「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)  (อ่าน 78556 ครั้ง)

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
พ่อปาติซิเย่จอมอาชญากร
ทั้งขู่ให้เสียวว่าจะเสียสินทรัพย์ส่วนตั๊ว...ส่วนตัว ทั้งถอดสร้อยจากคอเจ้าของ
ขโมยรองเม้าเขาไปปาเล่น เป่าหูโดยไม่ได้รับอนุญาต
แล้วยังมาพูดจาคุกคามสุขภาพหัวใจอีก

มันจะน่าตกหลุมรักเกินไปแล้ว  :impress2:

อาทิตย์อัสดงจ๊ะ ไหน ๆ ก็ต้องตกจากฟ้าในยามเย็นอยู่แล้ว ก็ช่วย ๆ ตกลงหลุมที่คุณภัณขุดไว้กว้างเท่ามหาสมุทรเลยเถอะนะ
ฉันจะรอฟิน อิอิ 

 

ออฟไลน์ *-*คาเมะ*-*

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +69/-0
ละมุน ชอบๆ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
น่ารักเเบบกวนตีนๆ 5555

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
โห จีบกันตรงๆ แบบนี้ เล่นเอาอาทิตย์อัสดงไปไม่ถูกเลย 555
สนุกดี มาอัพต่อไวๆ นะ รออ่านอยู่

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ไม่รู้จะน่ารักหรือน่าหมั่นไส่ดี แต่ก็ได้ใจไปพอดูเลยครับ

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
โอ๊ย กรี๊ดมากค่ะ จำได้ว่าตอนแรกมาอ่านบทแรกไว้แล้วเราก็ลืมไปเลย วันนี้มาเห็นอีกทีเลยรีบตามอ่านเลยค่ะ ตอนแรกแบบเกลียดคุณภัณมาก แบบ โคตรน่ารำคาญอ่ะ เป็นเราจะถีบให้ไปไกลๆ ยิ่งตอนมาบุกบ้านตอนตีสามนี่เราเชียร์คุณอาทิตย์อัสดงให้เอามีดเสียบพุงเลยค่ะ หมั่นไส้ รู้แหละว่าร้อนรน แต่มันใช่เวลาป่ะ แล้วพอแกโดนขังนี่เราขำมาก 555555555 ด้วยความสะใจค่ะ แล้วดูค่ะดู ดูเธอทำ ทำไมถึงทำกับน้องอาทิตย์ได้ ฮืออออออออ เราเชื่อว่าน้องต้องหมุนไขควงอยู่นานมาก ฮืออออ สงสารนะคะ แต่ก็ขำ นี่เป็นนิยายตลกโปกฮาหรืออย่างไร แต่พอน้องอาทิตย์แกถูกลากบ่อยเข้านี่ก็เหมือนจะปลงนะคะ อารมณ์แบบ เออ จะทำไรก็ทำเหอะ เราชอบตอนสุดท้ายน้องบอกตรงๆนะคะว่าเพราะอะไร หลังจากนั้นคือคุณภัณหงอยมาก เราว่าจริงๆแกอยากรีบกลับบ้านไปแก้ขนมใหม่ แต่พอดีต้องพาน้องอาทิตย์ไปส่งไง แล้วดูค่ะ ไปเที่ยวคราวนี้คุณภัณแกคุ้มสุดนะคะเราว่า แทะโลมมากอ่ะ นี่คือไม่ยอมพลาดโอกาสสักครั้งนะคะ นิดๆหน่อยๆก็เอาอ่ะ ฉากในห้องน้ำนี่เราว่ามีคนฉวยโอกาสนะคะ มากด้วยอ่ะ คือแบบ มากกกกกกกก คุณภัณนี่มรอะไรดีบ้าง คนบ้าง ขอให้ได้แตะเหอะ เล่นซะน้องอาทิตย์กลัวเลยไหม เราว่าไปด้วยกันครั้งนี้เหมือนเขาได้ขยับเข้าใกล้กันมากขึ้นเยอะเลยอ่ะค่ะ จากตอนแรกนี่เราว่าคุณภัณแกแค้นฝังหุ่น ไปๆมาๆก็เริ่มชอบคุณอาทิตย์อัสดงมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนว่าเป็นเพื่อนกันได้ไหมนี่เราก็เขินแล้วนะคะ พอได้เจอรอยยิ้มเดียวนี่แบบ ยิ้มสยบวิญญาณมาก เพลงลอยมาในหัวคุณภัณแน่ๆค่ะ เรามั่นใจ "ใช่เลย คือคนนี้เลย ที่รอมาตั้งนาน ที่ใจต้องการ ประมาณนี้เลย" ฮือออออ ทำน้องอาทิตย์วูบเลยรู้ไหมคะ แต่นี่ประโยคหลังมาเร็วไง เขินจนลืมใจหายเลย 555555555 เราว่า 2 คนนี้นี่เหมือนค่อยๆผูกพันกันจากขนมมาก จากตอนแรกเกลียดก็เหมือนเริ่มมองเห็นข้อดีของอีกฝ่าย ค่อยๆยอมรับกันมากขึ้น แล้วก็รักกันไม่รู้ตัว โอ๊ย กรี๊ดดด มันดูอบอุ่นละมุนละไมมาก ฮือออ แต่เราว่าอนาคตคุณฐานทัพนี่ต้องมาเป็นประเด็นสำคัญ โหยยย คนแรกเลยนะคะ แล้วแบบ ยังติดต่อกันอ่ะ แน่ๆเลย แต่เราว่ามันอาจจะไม่ดราม่ามากนะคะ จากตอนก่อนๆที่คุณฐานแกเมามาน้อนห้องคุณภัณ เราว่าแกอกหักมา แกคงมีคนที่ชอบแล้วแน่ๆ ฮืออออ เราโคตรเดา 555555 ไม่เดาละ รออ่านตอนต่อไปนะค้าาา ขอบคุณสำหรับทุกตอนค่า กอดด   :กอด1:

ออฟไลน์ Kio

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
จะบ้าตายกับประโยคสุดท้าย ตัดสินใจเร็วไปรึเปล่าพ่อคุ๊ณณณ

อ่านรวดเดียวหมดเลย ชอบบบ ตอนหน้ามาไวๆ นะคะ

 :-[

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
10th Entry : แรมเดือน






ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่เลยทีเดียวกว่าอาทิตย์อัสดงจะคืนสติหลังจากได้ยินประโยคที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน และก็ไม่ใช่การดึงสติของตนกลับมาด้วยตัวเอง แต่เป็นเพราะพนักงานนำอาหารที่สั่งมาเสิร์ฟถึงทำให้บรรยากาศแปลกประหลาดพิลึกพิลั่นหมดไปได้ ทว่ามันก็ไม่เชิงว่าจะหายเป็นปลิดทิ้งเสียทีเดียว

“ผมว่า...รีบกินเถอะ ผมอยากรีบกลับแล้ว”

ถ้อยคำที่ร่างโปร่งเอ่ยออกมาตะกุกตะกักเล็กน้อย แต่เท่านั้นก็ชัดเจนมากแล้วสำหรับคนฟังที่ชำนาญเรื่องการอ่านท่าทางของคนอื่น เพราะทำงานในแวดวงบริการ

“เดี๋ยวจัดการธุระเสร็จแล้ว ผมไปส่งคุณนะ”

เพราะไม่อยากไล่บี้หรือคาดคั้นมากเกินไป ภันวัฒน์จึงไม่ไล่ต้อนด้วยความสนุกเหมือนที่ผ่านมาต่อ ถึงกระนั้นการเสนอตัวเพียงเท่านี้ก็ทำให้ชายหนุ่มหน้าตี๋ปั้นสีหน้าไม่ถูกแล้ว เขาก้มหน้าคีบซูชิเข้าปากพลางตอบแบบตัดรอน

“ไม่ต้องหรอก ผมเกรงใจ”

ภันวัฒน์ไม่ตอบอะไร เพียงแค่ลอบมองกิริยาอาการของคนตรงหน้าไปด้วย เห็นอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียวราวกับกำลังจะหาหนอนชาเขียวที่แฝงตัวอยู่ในเมล็ดข้าวก็ไม่ปาน

คงจะเกร็งน่าดู

รอยยิ้มผลิจากดวงหน้าหล่อจางๆ เมื่อคิดดังนั้น ก่อนจะหันความสนใจมาที่อาหารของตนเองบ้าง เพราะไม่อยากกดดันอีกฝ่ายมากเกินไป

เดี๋ยวเหยื่อตื่น คงหมดโอกาสกันพอดี

หลังจากกินอาหารเสร็จ ทั้งคู่ก็ไปที่ร้านโทรศัพท์ด้วยกัน เนื่องจากต่างใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตแบรนด์เดียวกันจึงได้ไปจัดการพร้อมๆ กันได้

ภันวัฒน์เลือกรุ่นโทรศัพท์คล้ายๆ เดิมที่เพิ่งออกใหม่ล่าสุด เมื่อตรวจสอบการทำงานของเครื่องว่าไม่มีปัญหาและจ่ายเงินค่าสินค้าเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการเปลี่ยนซิมการ์ด ซึ่งทันทีที่ซิมการ์ดถูกใส่ลงในโทรศัพท์ และเปิดเครื่องจนเรียบร้อยแล้ว เสียงข้อความก็ดังขึ้นเตือนว่ามีผู้ติดต่อมาและฝากข้อความไว้

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นข้อความจากเลขานุการจอมจิกแขวะของตนเอง และเมื่อคิดว่าจะโทรศัพท์ติดต่อกลับไป ชื่อของคนที่กำลังนึกถึงก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์เสียก่อน

เสียงเพลงที่ดังมาจากคนข้างๆ เรียกสายตาจากอาทิตย์อัสดงที่เพิ่งจัดการเรื่องแท็บเล็ตเสร็จได้เล็กน้อย

“แป๊บหนึ่งนะครับ”

ร่างสูงหันมาบอกคนที่อยู่ข้างๆ แล้วปลีกตัวออกมา พร้อมกับกดปุ่มรับสายไปด้วย และไม่ทันกรอกเสียงลงไป เสียงจากอีกฟากของโทรศัพท์ก็ดังมาเสียก่อน

[ทำไมถึงเพิ่งเปิดเครื่องล่ะคะ เจ้านาย]

“โทรศัพท์ผมเสียน่ะ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าครับ เห็นโทรมาหลายครั้ง ยังไม่ทันกดดูข้อความ คุณนนก็โทรมาเสียก่อน”

[นนนี่ค่ะ มีเอกสารด่วนที่ต้องเซ็น แล้วก็มีงานอื่นๆ อีกมากด้วยค่ะ ฝ่ายบัญชีก็ติดต่อมาหลายครั้ง]

พอได้ยินชื่อฝ่ายที่ติดต่อมาทางเลขานุการ ภันวัฒน์ก็แทบร้องอึ๋ยออกมา เพราะเป็นฝ่ายที่เรียกได้ว่าไม่ถูกโฉลกกับเขามากที่สุด

งานผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มต้องพัวพันกับค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ดังนั้นหากทำเอกสารหรือคำนวณงบประมาณในแต่ละเดือนไม่ดี หรือหากต้องการยื่นข้อเสนอที่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายก็มักจะมีปัญหากับทางฝ่ายนั้นเสมอ

“โอเคครับ เดี๋ยวผมจะรีบเข้าไป”

เมื่อตัดบทเช่นนั้นจบ ร่างสูงก็กดวางสายก่อนจะหมุนตัวกลับมา มองคนที่ยืนรออยู่ในตำแหน่งเดิมด้วยยิ้มเจื่อนๆ เล็กน้อย

“ผมต้องรีบกลับแล้วล่ะ ขอโทษด้วยที่คงไปส่งคุณไม่ได้แล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมกลับเองได้”

แม้จะตอบเช่นนั้น แต่อาทิตย์อัสดงกลับรู้สึกโล่งอกเล็กน้อยที่จะได้จากลาคนที่พูดจาพิลึกพิลั่นว่าจะ ‘จีบ’ เขาเสียที เพราะคาดเดาไม่ออกว่าหากอีกฝ่ายไปส่งที่บ้านจะเกิดอะไรขึ้น หรือฝ่ายนั้นจะพูดอะไรแผลงๆ ออกมาอีกหรือเปล่า

“ครับ ขอโทษด้วยจริงๆ”

ร่างสูงขอโทษซ้ำ ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดใหญ่หลวง ก่อนจะขยับฝีเท้าเข้ามาใกล้อาทิตย์อัสดงจนประจันหน้ากันในระยะห่างเพียงไม่ถึงช่วงแขน จับจ้องใบหน้าขาวสะอ้าน ดวงตาเรียวยาว ทำให้คนที่ต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพราะส่วนสูงที่ต่างกันงุนงง แต่เมื่อได้สบตากันเพียงชั่วครู่ ร่างโปร่งก็ต้องเลื่อนสายตาไปวางที่อื่นนอกเหนือจากตาคมดำขลับแทน เพราะมันรู้สึกแปลกๆ อย่างไรชอบกลตอนที่สบกับดวงตาคู่นั้น

“แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง”

“ครับ?”

เสียงของอาทิตย์อัสดงเบาจนแทบกลืนหายลงไปในลำคอ

“เลิกบล็อกเบอร์ของผมได้แล้วนะ”

พอได้ยินเรื่องนี้ก็เหมือนว่าความรู้สึกแปลกๆ เมื่อครู่จะหายไป บล็อกเกอร์หนุ่มขยับตัวถอยหลังเล็กน้อย

“เอาไว้ผมจะคิดอีกทีแล้วกันครับ”

“ใจร้ายเหมือนเดิม”

เหมือนเป็นคำตัดพ้อ แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะใบหน้าเข้มสยายยิ้มกว้าง

“งั้นผมกลับก่อนนะ”

“ครับ”

“แล้วก็...”

“แล้วก็บ่อยจังนะครับ รีบไม่ใช่เหรอ”

เห็นอีกฝ่ายมัวแต่ยึกยักนึกคำล่ำลา อาทิตย์อัสดงจึงอดแขวะเบาๆ ไม่ได้ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจแต่อย่างใด แต่เป็นสีหน้ายียวนเสียมากกว่า ทว่า...เพียงชั่วครู่พลันเปลี่ยนไป กลายเป็นนิ่งค้าง ชาวาบไปทั้งใบหน้า เพราะคำพูดต่อมาของเจ้าของร้านขนม

“อย่าลืมคิดถึงผมด้วยล่ะ”

ภันวัฒน์ขยิบตาแถมให้หนึ่งทีและแจกยิ้มเรี่ยร่ายอีกหนึ่งครั้งเมื่อเห็นว่าปฏิกิริยาตอบรับของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างพึงพอใจ





แม้ว่าจะกลับมาถึงบ้านแล้ว แต่คำพูดนั้นยังคงก้องอยู่ในหูจนต้องส่ายศีรษะแรงๆ เพื่อสลัดให้มันหลุดออกไป ทว่าใช่ว่าทำเช่นนั้นแล้วจะช่วยได้ อาทิตย์อัสดงคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ กะว่าหากอาบน้ำเสร็จคงจะชำระล้างเสียงทุ้มๆ กับคำพูดที่น่าจะชวนอี๋นั้นได้ ประหนึ่งมันเป็นขี้ไคล

เขาถอดเสื้อผ้าออก เปิดน้ำผักบัว สระผม จากนั้นถูสบู่ลูบไล้ใบหน้า ไล่ลงมาที่ลำคอกระทั่งถึงอก แล้วก็พลันนึกได้ว่าของบางอย่างที่ควรอยู่ตรงนั้นมันหายไป

“สร้อย...”

หมอนั่นสินะ เอาไปตั้งแต่เมื่อไร

ตั้งคำถามกับตนเองแล้วก็ไพล่นึกไปถึงเหตุการณ์ตอนที่มันน่าจะถูกฉกชิงไป

‘หัวคุณหอมดีนะ’

เพียงเท่านั้น มือเรียวก็ต้องยกขึ้นมาแตะตรงอกด้านซ้าย

“ใจเต้นทำไมวะ”

อาทิตย์อัสดงสะบัดหัวไปมาอีกครั้งและบอกตนเองให้ลืมเรื่องนั้นไป ส่วนเรื่องสร้อย เพราะยังมีข้อตกลงอยู่และเขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่คนสับปลับ แม้จะเป็นพวกเดาใจยากและหน้าด้านอยู่สักหน่อยก็เถอะ ดังนั้น...หากถึงปลายอาทิตย์ คงจะเอาขนมมาให้เขาชิมเหมือนอย่างที่เคย

เขาแน่ใจว่าครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายและเขาก็จะได้สร้อยคืน

แต่ทั้งที่คิดว่าเหตุการณ์คงดำเนินไปเช่นนั้น ครั้งนี้กลับไม่ใช่แบบที่คาดการณ์เอาไว้เลย เพราะแม้ว่าจะผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว โจรลักสร้อยคนนั้นก็ยังไม่โผล่มาที่บ้านของบล็อกเกอร์หนุ่ม ไม่แม้แต่โทรศัพท์ติดต่อมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะมาทุกสัปดาห์หรืออย่างน้อยที่สุดก็สองสัปดาห์ต่อครั้ง

อาทิตย์อัสดงมองโทรศัพท์ในมือที่ปรากฏเบอร์โทรซึ่งตนเป็นคนบล็อกเอง ชื่อที่ถูกตั้งเอาไว้เพียงชื่อเดียวนอกเหนือจากเบอร์โทรศัพท์ที่มีเลขหมายใกล้เคียงกันคือ ‘โจร’ สายตาจับจ้องอยู่ที่ตำแหน่งนั้นนานเลยทีเดียว และก็หลายครั้งที่นิ้วโป้งเลื่อนไปแตะ สองจิตสองใจว่าจะปลดบล็อกหรือว่าโทรไปดีไหม แต่สุดท้ายแล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจ

ทำไมเขาจะต้องติดต่อไปในเมื่อไม่มีความจำเป็นที่ต้องเกี่ยวข้องกัน

ไม่สิ

เสียงร้องค้านดังอยู่ในใจ เพราะนึกได้ว่าสร้อยพระยังเป็นตัวประกันอยู่ที่ฝ่ายนั้น ถ้าหากว่าผู้ชายคนนั้นเกิดหายตัวไปเสียดื้อๆ ไม่ติดต่ออะไรกลับมา เขาจะเอาสร้อยคืนได้อย่างไร

หรือควรไปที่โรงแรมดี?

แต่จากท่าทางแล้ว คงจะเป็นคนตำแหน่งสูง ถ้าเป็นเช่นนั้นก็อาจเจอตัวได้ยาก แบบนั้นแล้วไปที่ร้านน่าจะดีกว่า...ล่ะมั้ง?

ตรึกตรองและสรุปความกับตนเองเช่นนั้นแล้ว อาทิตย์อัสดงก็ตัดสินใจไปยัง ‘ห้องนั่งเล่น’ ในวันถัดมาซึ่งเป็นวันอาทิตย์

เหตุที่ไปที่นั่นก็เพราะว่าอยากได้สร้อยคืนให้เร็วที่สุดต่างหาก เพราะมันเป็นสร้อยเส้นสำคัญที่แม่ให้เขาสวมติดตัวไว้ตั้งแต่ยังเด็ก เหมือนเป็นเครื่องรางคุ้มภัยมาโดยตลอด และเขาก็สวมมันโดยไม่ถอดเลยนอกจากเสียจากว่าเปลี่ยนความยาวของสร้อย ไม่ได้สนใจหรอกว่าชายคนนั้นจะหายหัวไปไหน

ร่างโปร่งย่างก้าวเข้ามาในร้าน บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมยังเหมือนที่เคยมาในครั้งก่อนๆ พลันทำให้รู้สึกจิตใจสงบลง เขาชอบกลิ่นแบบนี้ กลิ่นที่ราวกับจะปลอบประโลมใจคน และทำให้รู้สึกอบอุ่น ผนวกกับการตกแต่งของร้านที่มีหลากหลายแต่ลงตัวก็ทำให้บรรยากาศยิ่งผ่อนคลายมากขึ้นไปอีก เสียงระฆังประตูที่ดังขึ้นยามเปิดประตูก็ราวกับเสียงสวรรค์

หน่วยตาเรียวสีชาเลื่อนไปยังตำแหน่งเคาน์เตอร์ก่อนเป็นอย่างแรกหลังก้าวเข้ามาภายในอาณาเขตนั้นแล้ว แต่สิ่งที่เห็นกลับไม่มีบุคคลซึ่งต้องการพบ มีเพียงพนักงานชายและหญิงอย่างละคนประจำอยู่เท่านั้น บล็อกเกอร์หนุ่มจึงสาวเท้ายาวๆ มายังเคาน์เตอร์และหย่อนตัวลง เพราะเป็นกฎของร้านว่าหากมาคนเดียวจะต้องนั่งที่เคาน์เตอร์เพื่อเผื่อแผ่พื้นที่สำหรับลูกค้ารายอื่น

“รับอะไรดีคะ”

หญิงสาวที่อยู่อีกฟากของเคาน์เตอร์หันมาถามด้วยรอยยิ้มบริการ แต่กลับดูจริงใจอย่างเห็นได้ชัด แตกต่างจากร้านขนมหรือร้านอาหารอื่นๆ ที่มักเห็นอยู่ประจำว่าพนักงานหน้าบูดบึ้งจนอยากจะเบือนหน้าหนี พลอยให้อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าของร้านเลือกพนักงานได้ เพราะเดี๋ยวนี้คนที่มีจิตบริการนั้นหายากยิ่งกว่าหาขุมทรัพย์เสียอีก

“ขอมอคค่าเย็นแก้วหนึ่งครับ”

“ค่ะ รอสักครู่นะคะ”

เธอตอบรับเสียงหวานก่อนจะหันไปกดรายการสินค้าบนเครื่องแคชเชียร์ครู่สั้นๆ จากนั้นหันกลับมาบอกราคา เขาจ่ายไปตามจำนวนนั้นและรอสักพัก มอคค่าเย็นที่ต้องการก็ถูกนำมาเสิร์ฟใ

เสียงเพลงบรรเลงเบาๆ กับอุณหภูมิเย็นๆ และเครื่องดื่มหอมอร่อยทำให้เบาสบายตัว จิตใจปลอดโปร่งนั้นเป็นเอกลักษณ์เด่นของ ‘ห้องนั่งเล่น’ ก็ว่าได้ ทว่ากลับไม่ใช่สำหรับอาทิตย์อัสดงในวันนี้ เพราะแทนที่จะรู้สึกสบายตัวสบายใจที่ได้ปล่อยอารมณ์ไปกับบรรยากาศโดยไร้ความกังวล ชายหนุ่มกลับรู้สึกมีบางอย่างติดขัดรบกวนอยู่ในใจ

ทั้งที่มีโอกาสจะหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาอ่านคอมเมนต์ในบล็อกของตนเอง หรือเปิดเกมเล่นไปตามเรื่องตามราวเพื่อความบันเทิง แต่หลังจากจิบเครื่องดื่มพลางเหม่อมองไปพักหนึ่ง ร่างโปร่งก็เหลือบสายตาไปทางเคาน์เตอร์ หรือหากได้ยินเสียงระฆังประตู ก็จะเผลอหันไปมองยังต้นตอของเสียงนั้น เป็นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้งจวบจนครบหนึ่งชั่วโมง เป้าหมายที่เขาคาดหวังว่าจะพบก็ยังไม่โผล่มา

หรือว่าวันนี้จะไม่เข้าร้าน?

เอ่ยถามตนเองในใจเช่นนั้นแล้วหัวคิ้วก็พลันมุ่นเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

มีทั้งความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้พอๆ กัน

เขาสรุปความกับตนเอง และจิบกาแฟที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งแก้วต่อไป

“เอ่อ ขอโทษนะคะ”

แต่ไม่นานหลังจากนั้น พนักงานหญิงที่รับออเดอร์เมื่อชั่วโมงที่แล้วก็หันมาเรียก อาทิตย์อัสดงสะดุ้งเล็กน้อยเพราะใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไร

“ครับ”

“ไม่ทราบว่าจะสั่งขนมเพิ่มไหมคะ”

เมื่อได้ยินคำถาม ความรู้สึกระอายก็แล่นวาบขึ้นมาในใจ อาทิตย์อัสดงหน้าชาไปเล็กน้อยเพราะคิดว่าตนคงทำเสียมารยาทมากเกินไป ที่สั่งเครื่องดื่มมาแค่แก้วเดียวแต่นั่งแช่อยู่ในร้านที่มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาใช้บริการไม่ขาดสาย

“ขอโทษนะครับ คือ...”

“ไม่ได้จะไล่หรอกค่ะ แต่ว่าเป็นนโยบายจากเจ้าของร้าน ว่าขนมหนึ่งชิ้นต่อหนึ่งชั่วโมง เพื่อให้ลูกค้าอื่นๆ ที่เข้ามาตามหลังมีที่นั่ง”

ไม่ทันจะได้เอ่ยปากใดๆ พนักงานหญิงก็ตอบกลับมาให้เข้าใจ ซึ่งมันก็ทำให้นึกเรื่องที่ลืมไปเสียสนิทได้ ว่าครั้งที่มารีวิวคราวก่อน เขาเห็นกติกาของร้านในหน้าแรกของเมนูที่เปิดดูอยู่เหมือนกัน แล้วก็คิดว่ามันแปลกดี เพราะไม่เคยเจอร้านที่มีกฎแบบนี้

“แต่หากลูกค้ามาคนเดียวเหมือนมารอใครแล้วสั่งขนมหนึ่งชิ้นหรือเครื่องดื่มหนึ่งแก้ว ถ้าครบชั่วโมงให้มาบอกน่ะค่ะ ว่าถ้าคู่นัดหมายปล่อยให้คุณรอนานขนาดนี้ แสดงว่าเขาไม่ใส่ใจคุณ เพราะฉะนั้นอย่ารอคนที่ไม่เห็นความสำคัญของคุณต่อไปเลยค่ะ”

ได้ฟังแล้วชายหนุ่มหน้าตี๋ก็ตะลึงงันไปชั่วครู่ รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ค่อนข้างประหลาด แต่ก็รู้สึกว่ามันดีอย่างบอกไม่ถูก และมันก็ทำให้เขาตัดสินใจว่าจะรอต่อไปอีกสักหน่อย

อีกฝ่ายอาจจะมาเร็วๆ นี้ก็เป็นได้

“งั้นผมขอสั่งขนมเพิ่มอีกสักชิ้นแล้วกันนะครับ เพราะว่าผมมารอเขาเอง ไม่ได้นัดเอาไว้หรอก”

จุ๊บแจง พนักงานหญิงของร้านได้ยินก็แปลกใจ เพราะปกติถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ลูกค้าจะดูเศร้าๆ สักหน่อย เนื่องจากถูกเบี้ยวนัด แต่ผู้ชายที่อยู่ต่อหน้าเธอคนนี้ถึงจะดูยิ้มเหงาๆ แต่ก็ไม่ได้เศร้าเสียทีเดียว

หลังจากขนมชิ้นแรกถูกนำมาเสิร์ฟชิ้นต่อไปก็ตามมาในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง แต่ถึงขนมจะหมดไปสามชิ้นแล้ว บุคคลที่อาทิตย์อัสดงรออยู่ก็ไม่ปรากฏตัว สุดท้ายก็เจ้าตัวจึงต้องตัดใจ อดคิดกับตนเองไม่ได้ว่า เป็นครั้งแรกเลยด้วยซ้ำที่มาร้านขนมแล้วไม่ได้รีวิว มิหนำซ้ำยังนั่งนานถึงขนาดนี้เสียอีก





ถัดไปอีกหนึ่งสัปดาห์ ความคืบหน้าหรือวี่แววของเจ้าของร้านขนมที่สมควรจะติดต่อมาหาก็ยังเป็นศูนย์ อารมณ์ที่ไม่แสดงออกมาเริ่มปรากฏขึ้นเรื่อยๆ บล็อกเกอร์หนุ่มอดรู้สึกไม่ได้จริงๆ ว่าชีวิตประจำวันดูแปลกไป มันเงียบสงบ เงียบเหงา วังเวงอย่างอธิบายไม่ถูก ทั้งที่ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป

“ดูโทรศัพท์อีกแล้วเหรอวะ”

เสียงเพื่อนสนิทราวกับช่วยเรียกสติที่เหม่อลอยไปที่ไหนสักแห่งกลับมา ร่างโปร่งหันกลับไปมองเพื่อนสาวซึ่งเป็นต้นเสียงอย่างงุนงง

“อะไรของมึง”

“หลายวันมานี้กูเห็นมึงจ้องแต่โทรศัพท์เนี่ย แต่ไม่เห็นโทรสักที เป็นอะไรของมึงวะ ติดอยู่ในห้วงรักหรือไง”

“ฮะ เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว”

เกือบคลำหาเสียงแล้วลากออกมาตอบไม่ถูกหลังจากถูกทักเช่นนั้น เขาไม่เคยนึกคิดมาก่อนว่าจะถูกเข้าใจผิดเช่นนี้ ไม่มีความคิดพรรค์นั้นอยู่ในหัวของเขาสักนิด

ห้วงรักนี่นะ?

เขาจะไปตกหลุมรักผู้ชายคนนั้นได้อย่างไรกัน เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ก็แค่รู้สึกว่า...

มันแปลกๆ นิดหน่อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยถูกกวนไว้เสียเยอะ

คิดได้เช่นนั้น เสียงที่เคยได้ยินก็แว่วดังในหูซ้ำอีกครั้งอีก

‘เปลี่ยนเป็นจีบคุณแทนได้ไหม’

ซึ่งมันก็ทำให้อาทิตย์อัสดงต้องสะบัดหัวซ้ำๆ กันหลายทีจนหนึ่งฤทัยได้แต่ข้องใจกับพฤติกรรมแปลกประหลาดของเพื่อน

“จะว่ามึงไม่อินเลิฟได้ยังไงวะ มานั่งสะบัดหัวอยู่แบบนี้ จะไล่ใครออกไปหรือไง”

“ปะ เปล่าเว้ย”

“ติดอ่างเนอะคนเรา”

เหมือนโดนฉมวกแทงจึกเข้ามาในใจอย่างแรง ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นแม้แต่น้อย แต่พูดติดขัดไปเอง ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าตนเองเหมือนโดนไล่ต้อนจนจนตรอกอย่างไรชอบกล ในหัวพลางคิดสะระตะหาหนทางเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์เข้าใจผิดนี้ และพลันนึกขึ้นได้

“มึงต่างหากล่ะมั้ง คุณอะไรนั่นน่ะ เป็นไง เดี๋ยวนี้กูไม่ได้ตามไปดูเลยนี่หว่า คืบหน้าถึงไหนแล้ว”

นับตั้งแต่วันที่เจ้าของร้านห้องนั่งเล่นพูดเอาไว้ว่าให้เขาเลิกตามติดเพื่อนสาวคนสนิท เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าตัวได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ถ้าดูแล้วทั้งคู่ไม่น่าจะไปด้วยกันได้ ค่อยขัดขวางในตอนนั้นก็ยังไม่สาย เขาก็ไม่ได้ตามไปเวลาที่หนึ่งฤทัยนัดหมายกับอีกฝ่ายอีกเลย กระทั่งหลังๆ มานี้เขาก็แทบจะลืมไปเสียด้วยซ้ำ

“คุณจอมน่ะเหรอ ก็โอเคดีนะ กูก็กำลังดูๆ อยู่ว่าจะเซย์เยสดีหรือไม่ดี ว่าแต่มึงรู้ได้ไงเนี่ย กูยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังเลย”

“เพื่อนเขาบอกว่าเขาสนใจมึง กูก็เลยคิดว่าผ่านมาเดือนกว่าแล้ว ตอนนี้เขาคงรุกจีบมึงไปถึงไหนๆ แล้ว”

“อ๋อ เพื่อนเขาที่ดูหล่อๆ หน้าคมๆ คิ้วเข้มที่เจอวันนั้นใช่ปะ”

คำบรรยายรูปลักษณ์ที่ได้ฟัง ทำให้อาทิตย์อัสดงเผลอจินตนาการตามไปด้วย และพอเห็นภาพใบหน้าที่มีรอยยิ้มทะเล้นขึ้นมา ในใจก็พานรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ที่อีกฝ่ายหายหัวหายตัวไปเสียเฉยๆ มาเดือนกว่าแล้ว

ก็แค่อยากได้สร้อยคืนไวๆ เท่านั้นแหละ

ชายหนุ่มบอกตนเองเช่นนั้น ประโลมใจตนเองซ้ำด้วยการคิดว่ากลัวอีกฝ่ายจะฉกสร้อยแล้วชิงหนีหายเข้ากลีบเมฆ

“อืม”

“เอ้อนี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูนัดกับคุณจอมไว้ จะไปถามรูปสถานที่จริง เพราะเหลือแค่ลงรูปอย่างเดียวก็ส่งอาร์ตเวิร์กไปพิมพ์ได้แล้ว มึงจะไปด้วยกันไหม”

“อ้าว ยังไม่เสร็จอีกเหรอวะ”

อาทิตย์อัสดงประหลาดใจ เพราะเห็นว่ารับงานมาตั้งนานแล้ว

“จริงๆ ก็น่าจะเสร็จตั้งนานแล้วแหละ แต่กูอยากได้รูปสถานที่จริงที่มีบรรยากาศพวกเด็กๆ มาเล่นกัน แต่คุณจอมยังไม่ได้เปิดให้บริการเลย ก็เลยต้องรอให้ดรีมแลนด์เปิดบริการก่อนน่ะ งานก็เลยค้างอยู่อย่างนั้น”

“แล้วตอนนี้เปิดแล้วหรือไง”

“อืม เปิดเมื่ออาทิตย์ก่อน ว่าแต่มึงไปด้วยกันไหม”

“จะให้กูไปเป็นก้างเหรอ”

คำถามนั้นทำให้หญิงสาวร้องเสียงสูง ทำหน้าหน่ายใส่เพื่อนรัก

“ทำงานน่ะมึง ทำงาน กูกับเขายังไม่ได้คบกันเลย จะเป็นก้างได้ไง ไม่ดีเหรอ มึงจะได้ช่วยกูพิจารณาด้วยไง ว่าเพื่อนมึงสมควรมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วหรือยัง”

หลังจากข้อเสนอนั้น บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนก็ตกอยู่ในความเงียบ ชายหนุ่มตรึกตรองอยู่ในใจ พิจารณากับตนเองว่าจะรับปากดีหรือไม่ ทว่าพอคิดว่าหากเขาไป อาจจะได้เจอคนที่กำลังรออยู่ก็ได้ สุดท้ายก็แง้มปากตอบ

“ไปก็ได้”

“ดีๆ”

หญิงสาวตอบด้วยรอยยิ้ม รู้สึกพอใจอยู่เล็กน้อยที่เพื่อนรักตอบรับ เพราะช่วงหลังๆ มานี้เธอรู้สึกว่าเพื่อนของตนเอื่อยเชื่อยดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาอย่างไรชอบกล

หรือว่าจะอินเลิฟจริงๆ หว่า?





สถานที่ซึ่งเป็นจุดหมายอยู่ค่อนไปทางชานเมืองเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ลำบากในการเดินทาง อาทิตย์อัสดงมาพบกับหนึ่งฤทัยตามเวลานัด ทักทายกันชั่วครู่ก็หันมองไปรอบๆ สถานที่แห่งนี้

พวกเด็กๆ ต่อคิวเข้าใช้บริการแหล่งความรู้เชิงสร้างสรรค์แห่งนี้เป็นจำนวนมาก เสียงของพวกเด็กๆ ดังเซ็งแซ่จนเกือบหูอื้อ ดูท่าว่าได้รับการตอบรับที่ดีอย่างล้นหลามเลยทีเดียว ทว่าคู่นัดหมายอีกคนที่น่าจะอยู่ตรงนี้ด้วย เขากลับไม่เห็นแม้แต่เงา

“แล้วคุณจอมอะไรนั่นล่ะ”

แม้จะถามถึงอีกคน แต่อาทิตย์อัสดงรู้แก่ใจดีว่าเป้าหมายที่ตนต้องการรู้ไม่ใช่เจ้าของชื่อ หากแต่เป็นอีกคนที่เขาหวังว่าจะได้เจอในวันนี้ต่างหาก

“มาตั้งแต่เปิดแล้วล่ะ เดี๋ยวไลน์บอกเขาว่าเรามาถึงแล้ว เขาก็คงเดินออกมาหา”

หนึ่งฤทัยหยิบโทรศัพท์ออกมากดเข้าแอปพลิเคชั่นที่ว่า หลังจากนั้นไม่ถึงห้านาที เกรียงไกรก็ออกมาพบทั้งคู่ตามที่หนึ่งฤทัยบอกไว้ ทว่าไม่ว่าจะข้างกายหรือว่าด้านหลังก็ไม่มีอีกคนหนึ่งที่อาทิตย์อัสดงคาดหวังเอาไว้ คิ้วเรียวขยับชิดเข้าหากันเล็กน้อย

“ขวัญชวนเพื่อนมาด้วย คงไม่เป็นไรนะคะ”

เสียงของเพื่อนสาวที่บอกกับเจ้าของสถานที่เรียกความสนใจของหนุ่มร่างโปร่งหน้าตี๋ให้กลับมาอีกครั้ง อาทิตย์อัสดงทักทายเกรียงไกรพอเป็นพิธี แต้มรอยยิ้มตามมารยาทส่งให้ แต่ภายในใจกลับรู้สึกถึงความว้าวุ่นที่ก่อตัว

ที่ร้านก็ไม่ไป เพื่อนนัดสาวไว้ก็ไม่โผล่

หนีหน้าหรือเปล่า?

ความคิดนั้นแล่นวาบเข้าสู่สมองเมื่อคิดเหตุผลอื่นใดไม่ออก แต่ก็หาเหตุผลรองรับนอกเหนือจากนั้นไม่ได้ เพราะหากเทียบกับคนที่ดูมีฐานะหน้าที่การงานดีแบบนั้น แค่สร้อยพระหนึ่งเส้นคงไม่ได้มีมูลค่าอะไรมาก

ไม่จำเป็นต้องขโมยเลยสักนิด

แล้วทำไม?

ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก แล้วมันก็ทำให้ยิ่งรู้สึกใจไม่สงบมากกว่าเดิม

“ขวัญ”

บล็อกเกอร์หนุ่มหันไปเรียกหญิงสาว ซึ่งเจ้าตัวก็หันมาถามด้วยความสีหน้าสงสัย

“ว่า”

“กูกลับก่อนนะ”

“อ้าว”

คงบอกอย่างอื่นไม่ได้นอกจากคำว่า ‘เหวอ’ หนึ่งฤทัยรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ซึ่งมันก็แสดงออกทางใบหน้าอย่างชัดเจน แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีของเพื่อน เธอก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง

“เออๆ กลับไปพักซะเถอะ เห็นหน้ามึงแล้วกูก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน”

“โทษทีนะ”

หลังจากบอกเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงก็โค้งศีรษะให้เกรียงไกรที่อายุมากกว่าเล็กน้อยก่อนจะถอยห่างออกมา ทำให้คนที่เพิ่งมาถึงอดงุนงงอยู่เล็กน้อยไม่ได้ แต่ร่างโปร่งก็หาได้ใส่ใจ เขาตรงกลับไปบ้าน ทิ้งตัวลงบนโซฟาสีขาวสะอาดสะอ้านอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ราวกับคนไร้กำลังจนไม่อยากทำอะไร

กี่วันแล้วนะที่หมอนั่นหายไป

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่คิดแบบนี้ทุกครั้งที่ว่างเว้นจากการทำงาน จนแม้แต่ตัวเองก็ยังนับไม่ถูก อาทิตย์อัสดงเอนหลังพิงโซฟา แหงนหน้าขึ้นพิงพนักนุ่มด้านบน ความกลุ้มใจรุมเร้ามากขึ้นทุกวัน เพราะของที่ถูกยึดไปยังไม่ได้คืน และดูท่าวี่แววจะหดหายไปทีละนิดๆ จนมันเลือนรางลงทุกที

หรือว่าควรจะไปที่โรมแรมจริงๆ

แต่...

สิ่งหนึ่งลอยคว้างขึ้นมาในสมอง

ถ้าไปโรงแรมแล้วเขาจะตามหาหมอนั่นเจอได้อย่างไร ทำงานตำแหน่งไหนก็ไม่รู้ คงไม่บังเอิญเดินๆ ไปแล้วเจอหรอก ที่สำคัญ...

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนั้นชื่ออะไร








---------------------
กรุบกริบนิดหน่อยพอ
ตอนที่แล้วคุณเขาได้กำไรไปเยอะ ตอนนี้ขอหักดิบซะเลย

จะมีคนเพิ่งรู้ตัวเหมือนคุณอาทิตย์บ้างหรือเปล่านะ


Undel2Sky

ออฟไลน์ Jitsupa_milk

  • Just Milky('s) Way
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
มาแล้ววว สู้ๆนะ อัสดงงง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เง้อออ ทำไมหายเงียบบบ เดือนนึงนี่นานนะคุณผู้จัดการร  :katai1:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ไอคนเจ้าเล่ห์วางแผนอะไรอยู่หรือเปล่า

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
โถ คุณอาทิตย์อัสดงคะะะ คุณอาทิตย์จะรู้ตัวไหมว่ากำลังเดินตกไปในหลุมพรางคนเจ้าเล่ห์ แงงงง นี่คือการแกล้งหายไปเพื่อดูว่าเราจะร้อนรนไหมคะ คุณอาทิตย์อย่าไปร้อนตามนะคะ เดี๋ยวเขาอยากกลับมาเขาก็มาเองงง 55555555 หรือไม่นี่ก็เ็ฯแผนที่จะทำให้คุณอาทิตย์เลิกบล็อกเบอร์ตัวเองค่ะ คุณอาทิตย์อย่านะคะ อย่าตกหลุมมมม เดี๋ยวปีนกลับมาไม่ได้ แอร๊ยยยย แต่ตอนนี้คุณอาทิตย์แบบ น่ารักจริงจังค่ะ นี่รู้เลยว่าโจรขโมยสติคุณอาทิตย์"ปพร้อมสร้อยแล้วว แงงง ถึงขนาดที่คุณอาทิตย์บอกว่านี่เป็นการกินขนมที่ไม่ได้รีวิวเป็นครั้งแรกเลยอะ คนบ้า มาทำให้คุณิาทิตย์ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวได้ไงคะ นี่เขาหวังว่าจะได้เจอก็ไม่ได้เจอเนี่ย ถ้าคุณอาทิตย์ร้องไห้ขึ้นมาจะทำยังไงคะะะ รีบกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!!  :angry2:

ออฟไลน์ Pisoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พระเอกวางแผนอะไรรึเปล่า แบบหายไปให้คิดถึงอ่ะ  :hao7:

ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
11th Entry : อิ่มอุ่น






เป็นความจริงที่อาทิตย์อัสดงเพิ่งรู้สึกตัวเอาตอนนี้เองว่าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เขาไม่เคยเรียกชื่อผู้ชายคนนั้นสักครั้ง และอีกฝ่ายก็ไม่เคยแนะนำตัว ตอนนั้นที่เจอกันที่โรงแรม ถึงจะเห็นว่ามีป้ายชื่อติดอยู่บนอกของฝ่ายนั้นแวบๆ แต่ในช่วงเวลาคับขันเช่นนั้น เขาไม่มีเวลามาดูหรอกว่าตัวอักษรบนป้ายชื่ออ่านว่าอะไร

แน่นอนว่ารู้แบบนี้แล้วยิ่งตามตัวยากมากขึ้นไปใหญ่

หรือทางออกสุดท้าย...

โทรศัพท์ถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง ชื่อที่ตั้งเอาไว้เพียงหนึ่งคำสั้นๆ ถูกดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้อง นิ้วมือแตะที่หน้าจอสี่เหลี่ยมระบบสัมผัส เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการปลดบล็อก ทว่า...

ติ๊งหน่อง

เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นมาเสียก่อนจนคนที่กะจิตกะใจไม่ได้อยู่ที่ตัวร้อยเปอร์เซ็นต์สะดุ้งโหยง รู้สึกใจหายไปชั่ววินาทีหนึ่ง ก่อนจะต้องลูบอกของตัวเองราวกับปลอบให้ขวัญกลับมา

ติ๊งหน่อง

เสียงเดิมดังขึ้นอีกครา เรียกเรียวหน้าขาวตี๋ให้เบือนไปทางหน้าต่างหน้าบ้าน เมื่อมองหาต้นตอ สิ่งที่เห็นมีเพียงกรอบร่างที่ไม่ชัดเจนนัก เพราะท้องฟ้าภายนอกกลายเป็นสีดำแล้ว ล่วงเลยเวลาาหนึ่งทุ่มมาหมาดๆ จึงทำให้อดแปลกใจไม่ได้ที่มีคนมาหาในเวลานี้

นานแล้วที่ไม่มีใครมาหาเขาที่บ้าน ยกเว้นก็แต่...

เมื่อความคิดนั้นโลดแล่นเข้ามาในสมอง หัวใจก็เร่งจังหวะขึ้นมาราวกับว่ามันเชื่อมต่อจนสัมพันธ์กัน มันกระตุกรัวจนรู้สึกว่าเหมือนจะทะลุออกมาอย่างไรอย่างนั้น มือเรียวจึงต้องยกขึ้นกุมมันเอาไว้เผื่อว่าจะช่วยบรรเทาอาการแปลกประหลาดนี้ได้

“จะตื่นเต้นอะไรขนาดนี้วะ บ้าปะเนี่ย”

ก่นด่าตนเองแล้วร่างโปร่งก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะกลาง ก่อนจะเดินไปยังหน้าบ้านเพื่อไปหาผู้มาเยือน ไม่รู้ทำไมพอยิ่งก้าวเท้าเข้าไปใกล้ประตูรั้วมากขึ้นเท่าไร ก้อนเนื้อในอกถึงได้เต้นจังหวะถี่มากขึ้นเท่านั้น

วี่แววว่าเขาจะได้สร้อยคืน มันกลับคืนมาสินะ

ยิ่งใกล้ประตูมากขึ้น ยิ่งเห็นร่างของอาคันตุกะชัดเจนขึ้น

หัวใจสั่นระรัว...

กระทั่งระยะห่างเหลือเพียงน้อยนิด ใจที่เคยว้าวุ่นกลับสงบลงได้อย่างน่าประหลาด จังหวะสั่นรัวในอกค่อยๆ ลดความเร็วลง

“มาทำไมครับ”

ประโยคแรกที่หลุดจากปากช่างต่างจากความรู้สึกที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง

“อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย”

เสียงทุ้มที่ห่างหายจากการได้ยินมาเดือนครึ่งกระทบโสตประสาทอีกคราว ก่อนมือหยาบหนาจะดันร่างเพรียวบางกว่าให้พ้นจากประตูบ้านและอุกอาจเข้าไปราวกับได้รับอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของแล้ว จากนั้นตรงเข้าไปห้องนั่งเล่น ดึงร่างของบล็อกเกอร์หนุ่มให้นั่งลงบนโซฟาแล้วตามด้วยทิ้งร่างตนเองนอนหนุนศีรษะบนตัก

อาทิตย์อัสดงทำหน้าประหลาดใจเกินอธิบายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พยายามผลักอีกฝ่ายที่ใช้กำลังกับตนออกไปให้พ้น เพราะยังไม่ได้พูดคุยกันเป็นกิจจะลักษณะเลยด้วยซ้ำก็จะถูกบุกบ้านเอาเสียดื้อๆ มิหนำซ้ำยังถูกเอาตักไปใช้ต่างหมอน แต่ภันวัฒน์ก็จับมือเรียวเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย

“ขอผมนอนหน่อย ผมเหนื่อยมากเลย”

พูดจบหน่วยตาที่เคยคมเข้มแฝงประกายอยู่สม่ำเสมอแต่บัดนี้กลับดูหมองก็หลับลง เสมือนคนหมดเรี่ยวแรงจริงๆ อาทิตย์อัสดงจึงจำต้องเปลี่ยนใจ แทนที่จะขับไล่ก็ยอมปล่อยให้นอนอยู่อย่างนั้น เพราะเมื่อมองหน้าของคนบนตักดีๆ แล้วก็รู้สึกได้ว่าดูซูบโทรมลงกว่าที่เคย

ตลอดเดือนกว่าไปทำอะไรมากันแน่ สภาพเลยเป็นอย่างนี้

ความสงสัยกะพริบอยู่ในสมองราวกับหลอดนีออนใกล้หมดอายุ ทั้งที่รู้ว่าไร้คำตอบและแม้จะคิดได้ว่าสงสัยไปก็ไม่มีประโยชน์ ทว่าแสงสลัวนั้นก็ยังติดๆ ดับๆ อยู่ในความคิดไม่จาง และเพราะถูกกักตัวเอาไว้ภายใต้ร่างกายที่ใหญ่โต บล็อกเกอร์หนุ่มตี๋จึงไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวไปไหนได้สะดวกนัก แม้กระทั่งจะเอื้อมตัวไปหยิบโทรศัพท์ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะกลางมาเล่นเพื่อฆ่าเวลาก็ยังรู้สึกลำบากจึงตัดใจ

อาทิตย์อัสดงได้แต่นั่งเหม่อมองไปเรื่อยเปื่อยสลับก้มมองคนที่อยู่บนตัก เพราะทางเลือกของเป้าสายตามีจำกัด แต่เมื่อมองๆ ไปสักพัก ความเงียบ ความเบื่อก็ทำให้เริ่มรู้สึกง่วงตาม ตาค่อยๆ ปิดลงเรื่อยๆ ก่อนศีรษะจะเอนลงไปยังพนักด้านหลัง แล้วปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อนไปตามธรรมชาติ





ลืมตาอีกครั้ง ฟากนภาสีเข้มที่เห็นจากนอกหน้าต่างก็มืดลงกว่าเดิมแล้ว ฉับพลันนั้นก็เริ่มรู้สึกถึงอาการเจ็บจี๊ดที่ขาทั้งสองข้าง เมื่อก้มลงมองก็เห็นว่าคนที่อาศัยตักของตนพักพิงยังคงหลับสนิทอยู่ทั้งที่ขาของเขาเป็นเหน็บชาจนไร้ความรู้สึกอื่นไปแล้ว

ครั้นเหลือบตาไปมองยังนาฬิกาบนผนัง อาทิตย์อัสดงก็พบว่าเป็นเวลาสามทุ่มแล้ว จึงพยายามยกศีรษะของคนหลับขึ้น ก่อนจะเอี้ยวตัวไปยังโซฟาเดี่ยวตัวใกล้ๆ เพื่อหยิบหมอนมารองไว้ แล้วเดินกะผลกกะเผลกเกือบล้มเพื่อเข้าครัวไปทำอาหาร เพราะตั้งแต่กลับมา เขายังไม่ได้กินอะไรเลย

เปิดตู้เย็นมาหาของที่พอจะทำเป็นกับข้าวง่ายๆ ได้ก็ต้องหันหลังกลับไปมองบุคคลที่นอนนิ่งอยู่บนโซฟาตัวยาว อดคิดไม่ได้ว่าจะต้องทำเผื่อหรือไม่ แต่จิตสำนึกด้านดีก็ตอบออกมาก่อนจิตสำนึกด้านร้ายจะโลดแล่นในความคิด

ถ้าทำกินเองคนเดียว คงจะเสียมารยาทไปหน่อย

แต่ว่า...ให้นอนตักแล้วยังต้องมาทำอาหารให้กินอีกเหรอเนี่ย

แม้จะพร่ำบ่นกับตัวเองในใจ ถึงกระนั้นชายร่างโปร่งผู้เป็นเจ้าของบ้านก็หุงข้าวและเริ่มทำอาหารสำหรับสองคนอยู่ดี กระทั่งเสร็จ ตั้งโต๊ะเรียบร้อยจึงเดินย้อนกลับไปที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง ปลุกโจรชายนิทราที่หลับใหลให้กลับมาสู่โลกแห่งความจริง

ภันวัฒน์ลืมตาขึ้น กะพริบตาอยู่สองสามครั้งเพื่อปรับสายตาให้เข้าที่ ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นจากโซฟาและมองหน้าคนที่มาเรียกสติ

“คุณกินอะไรมาหรือยัง”

“ยังเลยครับ”

หนุ่มร่างสูงยกมือขึ้นลูบหน้าเพื่อให้ตาสว่างมากกว่าเดิม จากนั้นยกมือเสยผมให้เข้าที่เล็กน้อย

“ผมทำกับข้าวไว้แล้ว มากินสิ”

ดวงตาที่ติดแววง่วงงุนอยู่เล็กน้อยเบิกกว้างขึ้นนิดหน่อยด้วยความประหลาดใจ แต่แววแห่งความปีติก็คลอเคลือบอยู่บนลูกแก้วสีนิลคู่นั้น

“ขอบคุณครับ”

รอยยิ้มบรรจงแต้มบนกรอบหน้าคมเข้มอย่างสดใส พานให้ใจของคนมองกระตุกเบาๆ เหมือนโดนไฟดูดไปหนึ่งครั้ง เพราะมันดูจริงใจไร้การเสแสร้งหรือหยอกล้อเช่นทุกที

อาทิตย์อัสดงรู้สึกเหมือนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่ ก่อนจะกระแอมในลำคอเบาๆ ไม่ให้อีกฝ่ายได้ยินเพราะอุปาทานไปเองว่ามีก้อนอะไรบางอย่างหน่วงติดอยู่ในลำคอ จากนั้นก็เอ่ยเสียงออกมาแผ่วเบาทั้งที่ตั้งใจให้ดังขึ้นแท้ๆ

“ไปกินข้าวกันเถอะ สามทุ่มกว่าแล้ว”

ร่างโปร่งผิวขาวผ่องราวกับจะเรืองแสงขึ้นมาในความมืดหันหลังแล้วเดินนำออกไปก่อน ปล่อยให้คนที่ยังนั่งจมอยู่บนโซฟามองตามโดยมีรอยยิ้มประทับอยู่บนใบหน้าเล็กน้อย

ภันวัฒน์รู้สึกอิ่มใจพิกล เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินตามคนที่นำไปก่อนแล้ว เห็นอาหารที่เป็นเพียงผัดผักง่ายๆ กับต้มจืดเต้าหู้ไข่และข้าวสวยร้อนๆ อยู่บนโต๊ะอาหารโดยมีอีกร่างนั่งอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งหนึ่งแล้วก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

มันเหมือนกับว่าเขากำลังอยู่ในครอบครัวเล็กๆ อย่างไรอย่างนั้น

“ผมไม่ได้กินข้าวในบ้านมานานแล้วเหมือนกันนะ” กายกำยำทิ้งตัวลงยังเก้าอี้ฝั่งที่ว่างอยู่ และเอ่ยปากออกมา “คุณทำให้ผมนึกถึงตอนเด็กๆ เลย”

ประโยคนั้นเหมือนจะเป็นการบอกเล่าโดยไม่ได้หวังคำตอบใดๆ ซึ่งไม่แปลกที่อาทิตย์อัสดงจะนิ่งเงียบ ทว่าแม้ภายนอกจะเห็นเป็นเช่นนั้น แต่ภายในใจของร่างโปร่งกลับครวญคิดไปถึงเรื่องไกลห่างออกไป

บรรยากาศที่มีใครสักคนมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่โต๊ะอาหารของบ้าน

คนคนนั้นกำลังกินอาหารที่เขาทำ

นั่งกันด้วยกันภายในบ้านหลังนี้

นานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้กินข้าวกับใครสักคนในบ้านหลังนี้?

คำถามเกิดขึ้นในใจโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะบรรยากาศพาไปทำให้ความหดหู่เจือจางเข้ามาในอากาศ ความคิดถึง ความโหยหาครอบครัวที่อบอุ่นซึ่งไม่มีอีกแล้วเข้ามากะเทาะเปลือกหัวใจที่อ่อนบางลงชั่วคราว จนความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้ไหลซึมออกมา

มันเป็นช่วงเวลาที่แสนคิดถึง

“รสชาติอาหารของคุณก็ดีนะ ถูกปากผมเลย”

อาจเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนกำลังจ่อมจมอยู่กับห้วงคำนึงบางอย่าง เสียงใหญ่ทุ้มต่ำจึงดังขึ้นมา โดยการเลือกบทสนทนาที่ไม่ได้เป็นการฝืนดึงหรือบีบบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามต้องถอนตัวออกมาจากที่นั่น แต่เป็นเรียกช้าๆ ให้เจ้าตัวก้าวออกมาพบกับแสงสว่าง

อาทิตย์อัสดงสูดกลิ่นอายของปัจจุบันและปรับสายตารับภาพที่อยู่เบื้องหน้า... ใบหน้าคมสันสีน้ำผึ้ง ก่อนจะเอื้อนเสียงออกมา

“ผมว่าก็งั้นๆ ธรรมดาแหละ ใครก็ทำได้”

“ถ้าอย่างนั้นผมมาฝากท้องบ่อยๆ ก็คงได้ใช่ไหม”

รอยยิ้มเย็นสบายผลิจากแก้มที่ซูบลงกว่าที่เคยเล็กน้อย ถึงกระนั้นมันก็ยังดูจะช่วยให้บรรยากาศรอบข้างสดชื่นขึ้นเหมือนเดิม แม้ร่างโปร่งจะลงความเห็นว่ามันเป็นรอยยิ้มกวนอารมณ์ก็ตาม

“คุณครับ ผมไม่ได้ว่างขนาดนั้น”

“แต่คุณก็ว่างมากกว่าผมนะ”

ทั้งที่ไม่อยากยอมรับ แต่บล็อกเกอร์หนุ่มก็ต้องยอมรับว่าเผลอคิดว่า ‘ก็จริง’ อยู่ในใจไปชั่วแวบหนึ่ง และก็พลอยให้นึกเจ็บใจอยู่นิดๆ ที่ตอบสนองอีกฝ่ายไปเสียได้

“ว่าแต่...”

“ครับ”

“เมื่อไรคุณจะทำขนมให้ผมชิมสักที”

เพราะไม่อยากตอบคำถามเรื่องทำอาหารให้อีกฝ่ายกิน ถึงได้บ่ายเบี่ยงมาเป็นประเด็นอื่น ซึ่งสมควรจะเป็นหัวข้อหลักที่ต้องพูดคุยเสียด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนจะถูกเข้าใจเจตนาผิดไปไกลโข

“แหมๆ คุณอยากกินขนมฝีมือผมล่ะสิ”

“คุณครับ ตั้งสตินิดนึง”

อาทิตย์อัสดงพูดด้วยน้ำเสียงเอือมระอาเต็มแก่แบบไม่ปิดบัง ซึ่งมันก็เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ของคนที่หายหน้าหายตาไปเดือนครึ่งได้

“ผมกลัวว่าคุณจะชิ่งหนี ไม่ยอมคืนสร้อยผมต่างหาก”

“ถ้างั้นพรุ่งนี้ไหมล่ะครับ”

“คุณว่างหรือไง”

ตาเรียวสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายกับคนกำลังจับผิดอย่างไรอย่างนั้น แท้ที่จริงแล้วต้องการเหน็บแนบเสียมากกว่า

“พรุ่งนี้ผมว่าง”

“.....”

“ว่างจริงๆ นะ ว่างทั้งวัน มีเวลาทั้งวัน ยกให้คุณหมดเลยก็ได้”

เห็นสีหน้าของร่างโปร่งเหมือนคนไม่เชื่อในคำพูดของตน ภันวัฒน์จึงต้องย้ำให้ชัดเจนอย่างสุดตัว

“โอเค เชื่อแล้วน่าว่าคุณว่าง แต่ผมไม่อยากได้เวลาทั้งวันของคุณหรอกนะ แล้วก็อย่าปีนรั้วเข้ามาตอนดึกๆ ดื่นๆ ด้วย”

ท้ายคำพูดนั้นเหมือนเป็นการตำหนิ แต่ไม่รู้ทำไมพอฟังแล้วหนุ่มผิวเข้มถึงรู้สึกว่าชอบใจอย่างบอกไม่ถูก





ตามคำบอกเล่าเอ่ยอ้างของคนที่บอกว่า ‘ว่างทั้งวัน’ เจ้าตัวถึงได้เสนอหน้ามาเยี่ยมบ้านอาทิตย์อัสดงตั้งแต่ช่วงที่ยังไม่อาจเรียกได้ว่าสายด้วยซ้ำ พลอยให้ใบหน้าของเจ้าถิ่นย่นยู่ไม่สบอารมณ์ไปเล็กน้อย ถึงกระนั้นก็ไม่ได้สร้างบาดแผลให้กับภันวัฒน์สักนิด เขายิ้มหน้าระรื่นบอกว่า...

“ผมมาฝากท้องกับอาหารเช้าของคุณ”

“บ้านผมไม่ใช่ภัตตาคารนะครับ”

ถึงปากจะบอกแบบนั้น แต่อาทิตย์อัสดงที่กำลังจะอาหารเช้าง่ายๆ เพื่อรองท้องของตนเองอยู่พอดี ก็เปิดตู้เย็นและหยิบวัตถุดิบเตรียมอาหารเพิ่มขึ้นสำหรับอีกท้องหนึ่งที่ยังว่างอยู่ดี

เพียงไม่นาน อาหารรสจืดที่เหมาะกับมื้อเช้าก็ถูกเสิร์ฟที่โต๊ะอาหาร เป็นครั้งที่สองแล้วที่ทั้งคู่ได้ร่วมโต๊ะกันในบ้านหลังนี้ แม้เมื่อคืนจะรู้สึกอยู่หน่อยๆ ว่ามันทำให้นึกถึงอดีตที่แสนอบอุ่น ครอบครัวสุขสันต์ แต่วันนี้ความรู้สึกนั้นกลับแปรเปลี่ยนไป

จะว่าอย่างไรดี...

อาทิตย์อัสดงบอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าความรู้สึกที่มันเอ่อขึ้นมาในอกเป็นความรู้สึกแบบไหน บอกได้แต่เพียงว่ามันทำให้เขาอิ่ม...ได้อย่างน่าพิศวง

ไม่ใช่เพราะกินอาหารแล้วทำให้อิ่มท้อง

แต่เป็นความ...อิ่มอกอิ่มใจงั้นเหรอ?

ทำไมล่ะ

คำถามดังย้อนกลับมาขณะตักข้าวเข้าปากไปด้วย หน่วยตาเรียวสีชาเหลือบมองคนฝั่งตรงข้ามที่กำลังกินอาหารฝีมือตนเองอยู่เช่นกัน แต่เหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ตัวหรืออย่างไรไม่ทราบ ถึงได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากันเข้าอย่างพอเหมาะพอเจาะ

บล็อกเกอร์หนุ่มถึงกับทำหน้าเลิ่กลั่ก รู้สึกมือไม้เก้งก้างขึ้นมากะทันหัน ก่อนจะต้องรับรอยยิ้มทะเล้นแต่เจิดจ้าของอีกฝ่ายกลับมาพร้อมกับประโยคว่า

“แอบมองผมแบบนี้ ผมคิดค่าเสียหายนะ”

“มันแค่บังเอิญหรอกครับ ผมก็แค่อยากรู้ว่าอาหารฝีมือผมถูกปากคุณหรือเปล่า คุณกินได้ไหม”

ทั้งที่อาทิตย์อัสดงคิดว่าตนเองหาข้ออ้างแก้ตัวหลบเลี่ยงไปได้อย่างเข้าท่าที่สุดแล้ว แต่คำถามของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกลับทำให้เขาแทบสำลักข้าวออกมาเดี๋ยวนั้น

“คุณอยากกินผมเหรอ”

“แค่ก แค่ก”

“อะไร แค่นี้ถึงกับสำลักเลยเชียว”

น้ำเสียงหยอกเย้าดังมาพร้อมกับมือหนาที่ยื่นแก้วน้ำให้ดื่ม เพื่อจะได้โล่งคอขึ้น ซึ่งแม้จะไม่อยากรับน้ำใจนี้ แต่ก็ไอโครกเกินกว่าจะปฏิเสธมันได้ มือเรียวจึงต้องรับแก้วทรงสูงที่จริงๆ แล้วเป็นของตนนั่นแหละขึ้นมาดื่มน้ำอึกๆ ลงไป

เมื่อเคลียร์คอให้กลับมาสู่สภาวะปกติได้ แม้ว่าหน้าจะแดงเพราะการสำลักแทบตายเมื่อครู่ ร่างโปร่งก็ยืดตัวขึ้นนั่งตัวตรง กระแอมเพื่อให้เสียงกลับเข้าที่ก่อนจะพูดออกมา

“พูดบ้าอะไรของคุณเนี่ย”

“ก็คุณถามว่า ‘คุณกินได้ไหม’ ”

ภันวัฒน์ตอบกลับด้วยหน้าตาเฉยราวกับเด็กใสซื่อบริสุทธิ์ที่ไม่มีพิษมีภัยเลยสักนิด ทั้งที่สำหรับอาทิตย์อัสดงแล้วรู้สึกว่าร่างสูงเหมือนสารกัมมันตภาพรังสีเสียมากกว่า เพราะดูจ้องจะทำลายล้างให้เขาซวนเซเดินเป๋เหลือเกิน

“ตกภาษาไทยหรือไงครับ”

“แต่ผมก็อยากให้คุณกินผมอยู่นะ แต่ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะกินคุณมากกว่า”

คนตัวโตทำหูทวนลมได้หน้าตายอย่างที่สุด มิหนำซ้ำยังยอกย้อนกลับมาเสียจนอาทิตย์อัสดงเริ่มจะกำหมัด อยากต่อยเพราะคำพูดพล่อยๆ ประโยคสุดท้าย

“กินอะไรของคุณ”

“ผมพูดไม่ชัดเจนเหรอ อืม...”

ไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าน่าหมั่นไส้ระดับไหนดี แต่มันก็ทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายกระตุกยิบๆ เลยเชียวล่ะ

ร่างโปร่งมองคนตรงหน้าที่ลอยหน้าลอยตาตอบแล้วก็รู้สึกแบบนั้นโดยไม่มีความคิดอื่นมาเจือปนเลยสักนิดเดียว โดยเฉพาะเสียงครางในลำคอคำสุดท้ายที่จงใจลากให้ยาวเท่ากับการใช้ความคิด

“ผมอยากจะกลืนกินคุณ แบบนี้น่าจะชัดเจนกว่าเนอะ”

ไม่เพียงแต่พูดคำพูดติดเรทออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยแล้ว ยังยิ้มหล่อเย็นสบายเหมือนมีลมเย็นๆ มาพัดเป่าหน้าอย่างทุกทีเสียอีก ผิดกับร่างโปร่งที่เริ่มตัวสั่นกึกๆ เพราะไม่รู้จะสวนถ้อยคำกลับไปอย่างไรดีแล้ว มิหนำซ้ำพอได้เห็นรอยยิ้มติดค้างอยู่บนใบหน้าคมเข้มนั้นก็ยิ่งทำให้สมองเหมือนจะทำงานผิดปกติเข้าไปใหญ่

“ผมว่า...คุณรีบกินดีกว่าจะได้รีบกลับ”

ทว่าสุดท้ายก็สามารถค้นหาประโยคตอบกลับอีกฝ่ายได้ แต่ทางนั้นก็ย่นหัวคิ้วเข้าหากันนิดหน่อย ทำสีหน้าราวกับเด็กถูกขัดใจ

“รีบไล่กันจังเลยนะครับ ผมไม่ได้เจอคุณเป็นเดือน ให้ผมเห็นหน้านานๆ หน่อยไม่ได้เหรอ”

ท้ายประโยคติดน้ำเสียงอ้อนออดจนรู้สึกจักจี้อย่างบอกไม่ถูก อาทิตย์อัสดงต้องขบฟันลงบนริมฝีปากเพื่อไม่ให้ตัวเองขนลุกซู่ขึ้นมา

“เมื่อคืนยังไม่พอเหรอครับ”

ออกจะดูสองแง่สองง่ามไปหน่อยหากคนนอกที่ไม่รู้เรื่องมาได้ยิน แต่ทั้งสองคนต่างเข้าใจมันได้ดี เพราะเมื่อคืนนี้ทั้งที่กินข้าวเสร็จแล้ว ภันวัฒน์กลับไม่ยอมกลับบ้าน ตื๊อจะอยู่ค้างที่นี่ให้ได้ จนเจ้าของบ้านต้องเอ่ยปากว่า



‘อย่างน้อยก็กลับไปอาบน้ำนอนที่บ้านคุณแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่แล้วกัน คุณคงไม่อยากให้ผมต้องมาคอยดมกลิ่นตัวเหม็นๆ ของคุณทั้งคืนหรอกนะ’



นั่นแหละร่างสูงหน้าหล่อถึงได้ยอมจรลีกลับถิ่นตัวเองไป แต่ก็ปาไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว ถึงความจริง ‘กลิ่นตัว’ ที่ว่านั่นจะไม่ได้เหม็นอย่างที่ว่าเลยก็ตาม เพราะบนร่างของภันวัฒน์ที่อาทิตย์อัสดงได้พบเมื่อวานมีแต่กลิ่นหวานๆ ของขนม กลิ่นน้ำหอมเย็นสดชื่น และกลิ่นเหงื่อจางๆ ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว

“ให้อยู่กับคุณ เท่าไรก็ไม่พอหรอก”

“ช่วงนี้เมาน้ำตาลเหรอครับ”

เพราะคำพูดของอีกฝ่ายหวานชวนเลี่ยนมากๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นจึงอดจะย้อนเสียงกลับไปไม่ได้ แม้ใจจริงแล้วจะไม่อยากยอมรับเลยสักนิดว่าตนเองกำลังโดนอีกฝ่ายหยอดอยู่

“ผมก็ว่างั้นแหละ ตลอดช่วงที่ผมไม่ได้มาหาคุณ ผมเกือบจะได้กินนอนอยู่ในครัวขนมแล้ว ทั้งที่ร้าน ที่โรงแรม”

ความสงสัยที่เคยทิ้งรอยไว้ในสมองกะพริบแสงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น และมันก็แสดงออกมาทางสีหน้าโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวสักนิด แต่คนที่นั่งเผชิญหน้ากันอยู่กลับเห็นมันได้อย่างชัดเจน ดังนั้นมุมปากของภันวัฒน์จึงกดลึกลงไปอีก

“ตั้งแต่วันนั้น...ที่เราแยกกัน ผมก็ต้องเข้าไปเคลียร์เอกสารด่วน ลับคารมกับฝ่ายบัญชี แล้วก็ต่อด้วยเข้าครัวขนมอบเพราะพ่อครัวใหญ่ประสบอุบัติเหตุจนแขนหักไปข้างหนึ่ง และต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลอีกเกือบสัปดาห์ ถึงจะมีผู้ช่วยพ่อครัวใหญ่อยู่ แต่ก็ทำงานกันไม่ทันอยู่ดี ผมที่สามารถทำขนมได้และรับผิดชอบฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มโดยตรงจึงต้องเข้าไปช่วยเสริมชั่วคราวจนแทบไม่ได้พักเลย ถึงขนาดต้องเปิดห้องในโรงแรมนอนด้วยซ้ำ เพราะขับรถกลับคอนโดฯ ไม่ไหว”

แต่ก็ยังขับรถมาที่บ้านเขา...เมื่อคืน

ประโยคนั้นดังก้องขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนแม้แต่อาทิตย์อัสดงยังตกใจตัวเองด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นเขาก็หลบเลี่ยงการพูดอย่างเห็นอกเห็นใจ หรือสอบถามเหตุผลที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ถ่อมาหาเขาถึงบ้านทั้งที่เหน็ดเหนื่อยเสียขนาดนั้น

เพราะกลัว...

กลัวจะได้รับคำตอบที่ทำให้ต้องรู้สึกพิลึกพิลั่นในอกอย่างบอกไม่ถูกอีก

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้คุณก็ควรจะนอนพักมากกว่ามาที่นี่นะครับ”

“ผมก็มาพักอยู่นี่ไง”

คำตอบที่ได้รับมาฟังไม่เข้าใจสักนิด พานให้ร่างโปร่งเลิกคิ้วสูงด้วยความฉงนอย่างลืมตัว ซึ่งภันวัฒน์ก็เต็มใจอธิบายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ความเหนื่อยล้าหายไปเป็นปลิดทิ้งผิดจากเมื่อวาน

“แค่เห็นหน้าคุณ ผมก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว”

ชะงักไปทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ และมันก็เหมือนจะเป็นคำตอบของคำถามที่ว่าทำไมเจ้าตัวถึงมาหาเขาที่บ้านเมื่อคืนนี้ด้วย แต่มันเป็นคำตอบที่ไม่ดีเสียเลยในความคิดของบล็อกเกอร์หนุ่มหน้าตี๋ เพราะมันทำให้ในอกชาวูบแปลกๆ

“ขอโทษนะครับ” อาทิตย์อัสดงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เอ่ยเสียงออกไปแผ่วเบา มองหน้าฝ่ายตรงข้ามแบบไม่เต็มสายตาสักเท่าไร พอทางนั้นเอียงคอนิดๆ เหมือนสงสัยจึงพูดต่อ “ที่คุณว่า...จะ...จีบผม...นี่คุณ...พูดจริงๆ เหรอ”

เสียงที่ออกมาขาดหายเป็นช่วงๆ เพราะกระดากเกินกว่าจะพูดออกมาเต็มเสียง ถึงแม้คำพูดนั้นจะถูกประกาศออกมาอย่างชัดแจ้งแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดี

มันก็ไม่ใช่ว่า...ไม่มีความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะล้อเล่นนี่

ผู้ชายคนนี้อาจจะนึกสนุกอยากแกล้งเขาก็ได้

“คุณไม่เชื่อผม หรือคุณคิดว่าตัวผมไม่น่าเชื่อเหรอครับ”

เจอถามกลับมาอย่างนี้ ร่างโปร่งก็ถึงกับไปต่อไม่ถูก มันคล้ายกับโดนกดดันด้วยมวลสารบางอย่างจนรู้สึกอึดอัดขึ้นมา เหมือนโดนต่อว่ากลายๆ หรือไม่ก็...เขากำลังมองอีกฝ่ายในแง่ร้ายอย่างไรอย่างนั้น จนต้องแก้ต่างออกไป

“ไม่ใช่หรอกครับ ผมก็แค่ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนั้น”

“.....”

บรรยากาศที่ดูเหมือนจะบีบรัดให้หายใจได้ยากขึ้นยังไม่หมดไป อาทิตย์อัสดงจึงต้องสูดลมหายใจเข้าลึกกว่าปกติแล้วแจกแจงมากขึ้น

“ก็คุณเคยบอกว่าผมไม่ใช่สเปกของคุณ”

“ครับ”

เหมือนว่าการอธิบายนี้จะช่วยให้สถานการณ์ผ่อนคลายลง เพราะร่างสูงตอบกลับมาเสียงเรียบ แต่ก็ยังไม่ยิ้มอยู่ดี สีหน้าของเขาดูจริงจังยิ่งกว่าทุกครั้ง

“คุณตรงข้ามกับสเปกผมทุกอย่าง ผมชอบผู้ชายตัวเล็ก ชอบคนช่างเอาใจ แต่คุณตัวก็ไม่เล็ก แถมไม่สนใจผมเลยด้วยซ้ำ ออกจะขับไล่ไสส่งเสียอีกต่างหาก”

เหมือนโดนถากถางกลายๆ อย่างไรไม่รู้ พานให้อาทิตย์อัสดงต้องกลืนน้ำลายลงคอ ทั้งที่รู้ตัวดีว่าตนเองไม่ผิดสักนิด แต่กลับรู้สึกแบบนั้นเสียได้

“ก็... ผมไม่ได้ชอบคุณนี่ครับ จะให้ผมต้องสนใจเอาใจใส่คุณเพื่ออะไร”

“นั่นน่ะสิ” ภันวัฒน์โคลงศีรษะไปมา ยอมรับโดยดุษณี ถึงกระนั้นก็ยังเอ่ยต่อ ให้คนฟังเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอย่างกะทันหัน “เพราะแบบนั้นผมเลยบอกว่าผมจะจีบคุณไง”

“เอ่อ...” เสียงที่เหมือนจะหายไปครึ่งหนึ่งครางออกมาอย่างไม่แน่ใจจนต้องกระแอมอีกครั้ง “คุณพูดแบบนี้ ไม่คิดเลยหรือไงครับว่าผมจะรู้สึกไม่ดี รังเกียจ หรืออะไรอื่นๆ”

ทั้งที่คำถามนี้น่าจะตอบยาก แต่เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งก็ตอบมันกลับมาอย่างง่ายดาย

“ผมคิดว่าคุณคงไม่ใจแคบแบบนั้นหรอก”

“คุณตอบแบบนี้นี่เหมือนมัดมือชกกันเลยว่าผมห้ามรังเกียจ ห้ามปฏิเสธ และต้องยอมให้คุณจีบผม”

“ถ้าคุณเต็มใจ ผมก็ยินดีนะ”

รอยยิ้มที่หายไปกลับคืนสู่ใบหน้าคมเข้มอีกครั้ง จนบรรยากาศที่หนักอึ้งเมื่อครู่หายไปในพริบตาราวกับเป็นเรื่องโกหก มันสว่าง เจิดจ้า และเย็นสบาย ทำให้ความอึดอัดในใจของบล็อกเกอร์หนุ่มปลิวหายไปด้วยเช่นกัน





-------------------
คุณโจรมาเร็วไปนิด ไม่งั้นได้ปลดบล็อกไปแล้ว

ช่วงสงกรานต์นี่ เลเวลความขี้เกียจอัพพรวดๆ เลย

Undel2Sky


ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
คุณกินได้ไหม?
แหม ถามอะไรอย่างนั้น กินได้สิ มาเสิร์ฟให้ถึงบ้าน

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
คุณอาทิตย์ของเราเจอสกิลอ่อยขั้นสูงเข้าแล้วค่ะ คุณภันกลับมาพร้อมขุดหลุมมาก 555555 บรรยากาศดูอบอวลไปด้วยความรักยังไงไม่รู้ค่ะ เหมือนเริ่มรู้สึกดีกันขึ้นเรื่อยๆ อีกหน่อยก็จะรักกันแล้วว คุณอาทิตย์อัสดงนี่ดูเหมือนไม่สนใจนะคะ แต่เก็บทุกรายละเอียดอ่ะ เราลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าคุณอาทิตย์ไม่ใช่แบบที่คุณภันชอบ คุณอาทิตย์ยังจำได้อยู่เลยอ่ะะะ นี่หมายความว่าสนใจเขามากพอตัวเลยนะคะ แต่เราติดใจประโยค คุณกินได้ไหม โอ๊ยยยยยยยยยยย ไม่คิดเลยจริงๆค่ะว่ามันจะมีความหมายอื่น แล้วยังต่อด้วยผมอยากกลืนกินคุณทั้งตัว ตามสบายเลยค่ะ ฮือออ กินกันไปเลยยยย เราว่าอนาคตนี่นอกจากจะมาฝากท้องเช้ากลางวัรเย็น ต่อไปคนเนียนอาจจะย้ายข้าวของมาอยู่ด้วยเลยนะคะ คุณอาทิตย์ถูกจับไว้แล้วค่ะ  :mew3:

ออฟไลน์ Pisoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนนี้แค่มาฝากท้องกินข้าว อีกสักพักคงย้ายเข้ามาอยู่และกินเจ้าของบ้านด้วยแน่นอน

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
12th Entry : ขันอาสา






เพราะไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองออกมาจากสถานการณ์ที่ไม่แน่ใจว่าจะเรียกหน้าสิ่วหน้าขวานดีหรือเปล่าอย่างไร อาทิตย์อัสดงจึงต้องคุ้ยหาเรื่องอื่นขึ้นมาเปิดประเด็นใหม่แทน ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องสำคัญที่สุดที่ทำให้เขากลุ้มใจมาตลอดเดือนครึ่ง และมันก็เป็นเหตุให้ร่างสูงหน้าคมเอ่ยปากชวน



‘งั้นไปที่ร้านผมกัน เดี๋ยวผมจะทำให้คุณชิมเลย’



ด้วยเหตุนั้นบล็อกเกอร์หนุ่มจึงจำต้องมายังร้านห้องนั่งเล่นเป็นครั้งที่สาม

บรรยากาศของร้านยังไม่เปลี่ยนไป มอบความอบอุ่นผ่อนคลายให้ลูกค้าที่มารับบริการ ประจวบกับวันนี้เป็นวันเสาร์ด้วยแล้วยิ่งมีคนหนาตาจนเกือบแน่นร้าน แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกพลุกพล่น ลดทอนจุดเด่นของร้านนี้ไปแม้แต่น้อย

อาทิตย์อัสดงคิดว่าอย่างนั้น จนกระทั่ง...เห็นใบหน้าหญิงสาวคุ้นตาที่เคาน์เตอร์

เวรล่ะ

เสียงอุทานสบถดังก้องขึ้นในใจ ลืมไปเสียสนิทว่าเมื่อสองสัปดาห์ก่อนเขาเพิ่งมานั่งแช่ในร้านนี้หลายชั่วโมง และยังได้คุยกันอีกต่างหาก ถึงจะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจำหน้าเขาได้หรือเปล่า ด้วยเพราะใบหน้าขาวตี๋ๆ แบบนี้มีกันเกลื่อน อีกทั้งฝ่ายนั้นต้องดูแลลูกค้าอยู่ตลอด ย่อมเป็นเรื่องยากอยู่แล้วที่จะจำใครได้สักคน

“สวัสดีค่ะ พี่ภัน”

“สวัสดีครับ จุ๊บแจง”

แต่... ความคิดของร่างโปร่งกลับไม่เป็นความจริง เพราะจุ๊บแจง พนักงานประจำของร้าน ลูกจ้างมือหนึ่งของภันวัฒน์หันมายิ้มให้อย่างเป็นมิตร ชนิดที่ว่ามองปราดเดียวก็รู้ว่าจำกันได้อย่างแน่นอน อาทิตย์อัสดงจึงอดรู้สึกชื้นแฉะที่ใบหน้าและแผ่นหลังไม่ได้ เขาหูอื้อตาลายขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

หวังว่าเธอคงจะไม่พูดโพล่งออกมาหรอกนะ

ว่าอ้าว นั่นคุณลูกค้าที่มานั่งอยู่ในร้านคนเดียวตั้งสี่ห้าชั่วโมงนี่คะ

สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกปรากฏเด่นชัดบนดวงหน้าขาวใส พานให้หญิงสาวเอียงคอมองด้วยความฉงน ก่อนจะเหลือบไปมองทางคนที่เดินนำหน้าอยู่หนึ่งก้าว ซึ่งเป็นเจ้านายของเธอ ดั่งกำลังปะติดปะต่อเรื่องราวในหัว

“เอ่อ คุณ”

“ผมว่าคนเยอะแบบนี้ เอาไว้วันอื่นดีไหม คุณทำมาให้ผมชิมที่บ้านก็ได้”

แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้เอ่ยทักใดๆ หรือหาข้อสรุปให้ตัวเองได้แล้วแปรมันเป็นคำพูด เสียงของอาทิตย์อัสดงก็หลุดออกมาเสียก่อน

“คุณเป็นคนบอกว่าอยากให้มันจบเร็วๆ ไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวผมทำให้คุณชิม แล้วก็คืนสร้อยคุณเลยไง”

“แต่ว่ามันจะลำบากคุณนะครับ คุณคงไม่สะดวกหรอก”

พยายามแล้ว อาทิตย์อัสดงพยายามหาข้ออ้างที่แนบเนียมเพื่อพาตัวเองออกไปจากตรงนี้แล้ว ทว่า...

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ ตามผมมาสิ”

รอยยิ้มเย็นสบายราวกับไม่มีเรื่องใดๆ ให้ต้องกังวลถูกแจงจ่ายมาให้ ก่อนร่างสูงจะหันไปบอกพนักงานสาว และพนักงานหนุ่มที่เพิ่งหันกลับมาจากเตาพร้อมแพนเค้กในจานบนมือ

“พี่ขึ้นไปข้างบนก่อนนะ”

“ครับ/ค่ะ”

ทั้งคู่ตอบรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม คนเอ่ยบอกก้าวนำให้ผู้ติดตามมองอย่างงุนงง แต่ไม่วายเหลือบสายตาไปทางหญิงสาวคนเดิม ซึ่งเจ้าหล่อนก็สิ่งยิ้มให้ต้องรู้สึกเสียวสันหลังไปอีกหนึ่งวาบ

เกือบแล้วไหมล่ะ

ลมหายใจถูกปล่อยพรูออกจากปากอย่างเงียบเชียบ ชายหนุ่มหน้าขาวที่สีหน้าซีดลงไปกว่าเดิมเล็กน้อยสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกโล่งใจราวกับอะไรบางอย่างที่กดทับในอกมลายหายไป รู้สึกดีที่อย่างน้อยผู้หญิงคนนั้นไม่หลุดปากออกมา

มันคงประหลาดแน่ๆ ถ้าผู้ชายที่เดินนำเขาอยู่รู้ว่าเขามาที่ร้านนี้ แล้วเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าจะถูกเข้าใจไปในทางไหน แต่ที่แน่ๆ เขาคงแก้ตัวได้แค่ว่า ร้อนใจเพราะนึกว่าจะโดนขโมยสร้อยไป เท่านั้น

ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสาม

ร่างโปร่งถูกพาขึ้นมาที่ชั้นสาม มันเป็นห้องกระจกใสขนาดใหญ่ ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือห้องทำงาน มีมอนิเตอร์ซึ่งกำลังฉายภาพในกล้องวงจรปิดอยู่หกจอ และโต๊ะทำงานขนาดใหญ่พร้อมคอมพิวเตอร์ ส่วนอีกห้องหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าถึงสามเท่า เป็นห้องครัวขนม ซึ่งมีทั้งตู้แช่ขนาดใหญ่ เตาอบ เคาน์เตอร์ และอุปกรณ์สำหรับทำขนมเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบ ดูเท่านี้ก็รู้ว่าเจ้าของห้องใส่ใจและให้ความสำคัญแค่ไหน

เขาชอบกินขนมหวานก็จริง แต่เพิ่งเคยเหยียบย่างเข้ามาในครัวขนมของจริงเป็นครั้งแรก

“คุณนั่งรอตรงนั้นก็ได้”

มือหนายื่นนิ้วชี้ไปทางเก้าอี้สตูลบาร์ที่อยู่ด้านหน้าเคานเตอร์แคบๆ เหมือนใช้มันเป็นที่รับรองแขกซึ่งมาเยือนอาณาจักรเล็กๆ แห่งนี้เป็นประจำอยู่แล้ว จากนั้นเสียงทุ้มเอ่ยต่อ

“เดี๋ยวผมขอเวลาทำขนมสักพัก เสร็จแล้วจะให้คุณชิมครับ”

ว่าอย่างนั้นจบ เจ้าของเสียงก็หยิบผ้ากันเปื้อนจากตู้เล็กบนชั้นเหนือศีรษะออกมาสวมทับเสื้อโปโลสีฟ้าสดใส ต่อด้วยหยิบวัตถุดิบและอุปกรณ์สำหรับทำขนมออกมาเตรียมพร้อม จนดูเหมือนว่าจะครบทั้งหมดแล้วถึงค่อยไปล้างมือ ก่อนจะย้ายร่างกลับมาที่เคาน์เตอร์ขนาดใหญ่อีกครั้ง และเริ่มลงมือทำขนมเจ้าปัญหา

หน่วยตาเรียวสีน้ำตาลทอดมองภาพนั้นอย่างสนใจ อาทิตย์อัสดงไม่รู้ว่าขนมแต่ละอย่างต้องทำแบบไหน เริ่มต้นจากอะไรด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาเคยเห็นมาตลอดคือผลงานที่เสร็จสิ้นแล้ว ไม่เคยเห็นความเหนื่อยยากของคนทำขนมที่ต้องทุ่มเทความตั้งใจและความใส่ใจลงไปเพื่อให้ได้ขนมสักชิ้น

แต่ในวันนี้...เขาได้เห็นมันอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนแล้ว

ใบหน้าคมคร้ามที่เคยยียวนบ้างล่ะ ยิ้มสบายอารมณ์บ้างล่ะ กวนตีนบ้างล่ะ เวลานี้กลับกำลังเคลือบด้วยไปด้วยความเอาใจใส่ ความตั้งใจ และมุ่งมั่น จนกลายเป็นภาพแปลกตา และมันก็ทำให้รู้สึกประทับใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เขามองภาพนั้นโดยไม่ได้ละสายตาด้วยซ้ำ ใคร่รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีด้านแบบนี้ด้วยหืรออย่างไม่อยากเชื่อสายตา จนเริ่มรู้สึกว่าตำแหน่งที่ตนเองนั่งอยู่ไม่เพียงพอต่อการมองเห็นด้วยซ้ำ

ปลายเท้าที่ปล่อยให้ลอยเหนือพื้นนิดๆ บนเก้าอี้ทรงสูงหย่อนลงมาแตะพื้นอีกคราว ค่อยๆ ย่างก้าวเข้าไปหาตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตรอย่างสนใจ แผ่วเบา ระมัดระวัง ราวกับกำลังย่องเข้าหาสัตว์ร้ายที่กำลังหลับใหลด้วยเกรงว่ามันจะตื่นขึ้นมาขย้ำตนเอง

กระทั่งระยะทางหมดลง ร่างโปร่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ ยืนมองใบหน้าที่ยังคงจดจ่ออยู่แต่กับสิ่งที่กำลังทำ สลับกับส่วนผสมของวัตถุดิบที่ถูกคลุกเคล้าให้เข้ากันอย่างพิถีพิถันจากแรงกาย ก่อนนำไปเข้าเครื่องตีแป้งอยู่หลายนาทีเพื่อให้เนื้อขนมเนียนละเอียด จากนั้นเทลงบล็อกเพื่อเข้าเตาอบ ตั้งเวลาตามสมควรแล้วเจ้าตัวก็ล้างมืออีกครั้ง

“เฮ้ย คุณ”

ไม่เพียงเสียงทุ้มเท่านั้นที่ร้องออกมาอย่างตกอกตกใจ แม้แต่สีหน้าก็แสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าเจ้าตัวตกใจจริงๆ เมื่อเห็นใครอีกคนที่น่าจะนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงอีกเคาน์เตอร์ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายเมตรมาอยู่ต่อหน้า

“คุณไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าผมมายืนอยู่ตรงนี้”

อาทิตย์อัสดงทำสีหน้าประหลาดใจเช่นเดียวกัน เพราะว่าเขามายืนอยู่นานพอสมควรแล้ว แต่ดูจากอาการของอีกฝ่าย ดูท่าว่าจะไม่รู้ตัวเลยจริงๆ

จดจ่อกับการทำขนมถึงขนาดนั้นเลย

“ผมไม่รู้จริงๆ เวลาผมทำขนมส่วนมากผมจะมีสมาธิอยู่กับการทำ จนไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้างเท่าไรน่ะ ขอโทษด้วยนะครับ”

“ทำไมคุณต้องขอโทษผมด้วยล่ะ ผมลุกขึ้นมาดูเอง คุณทำหน้าที่ของคุณไปก็ถูกแล้ว”

ร่างโปร่งตอบอย่างตรงไปตรงมาตามสิ่งที่คิด พลางเดินตามร่างสูงที่ก้าวนำกลับมายังเคาน์เตอร์แคบๆ ซึ่งตนเคยปักหลักอยู่ก่อนหน้านี้ นั่งบนเก้าอี้สตูลบาร์ตัวติดกัน และหันหน้าเข้าหากันเพื่อพูดคุยราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา

“แต่ผมก็ไม่คิดเหมือนกันนะว่าคุณจะมีสมาธิกับขนมจนไม่รับรู้ถึงสิ่งรอบตัวเลย”

“ผมก็ถูกจอม เอ่อ... เพื่อนของผมที่จีบเพื่อนคุณบอกอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน ตอนที่ผมทำขนม ผมจะไม่คุยโทรศัพท์น่ะ เพราะงั้นส่วนมากถ้ามันมีธุระสำคัญ มันก็จะมาหาผมที่นี่ พอคุยจบแล้วก็จะกลับเลย”

“อ๋อ”

บล็อกเกอร์หนุ่มครางเสียงในใจ เริ่มเข้าใจว่าเคาน์เตอร์กับเก้าอี้ตรงนี้อาจจะมีไว้เพื่อการนี้ก็ได้

“ว่าแต่” ภันวัฒน์เหลือบมองฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อย เกริ่นเสียงคล้ายว่าลังเลนิดหน่อยก่อนจะเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง “คุณแพ้ผู้ชายแบบไหน”

อาทิตย์อัสดงชะงักไปเล็กน้อย ที่อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็เข้าประเด็นเรื่องนี้มาเสียเฉยๆ

“ผมไม่ได้เป็นเกย์เหมือนคุณนะครับ ถึงจะต้องแพ้ผู้ชายแบบไหน แล้วอีกอย่าง ขนาดผมไม่ใช่สเปกคุณ คุณยังจะมาจีบผมเลย”

“ก็นั่นน่ะสิ”

ภันวัฒน์โคลงศีรษะเหมือนยอมรับและเห็นด้วยกับคำพูดนั้น อาทิตย์อัสดงจึงอดสงสัยไม่ได้

“แต่ว่าทำไมอยู่ๆ คุณถึงคิดพิเรนทร์จะมาจีบผมซะล่ะ ทั้งที่คุณก็พูดอย่างเต็มปากเต็มคำแท้ๆ ว่าไม่สนใจผมหรอก ผมก็แค่ผู้ชายธรรมดาหาได้เกลื่อนถนน แถมตอนแรกๆ คุณยังดูจะไม่ชอบผมด้วยซ้ำ เพราะหาว่าผมทำให้ร้านของคุณเดือดร้อน”

“เพราะอยู่กับคุณแล้วผมสนุกน่ะสิ”

“หะ”

ร่างโปร่งครางเสียงออกมาอย่างไม่เข้าใจ ว่ามันน่าสนุกตรงไหน ตรงข้ามกับภันวัฒน์ที่ยังตอบกลับมาด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มอบอุ่นนิดๆ ดวงตาเป็นประกายหน่อยๆ

“ผมชอบมองสีหน้าคุณน่ะ”

“หา”

“เวลาที่ไม่เจอคุณ ผมก็คิดถึงคุณนะ”

“เอ่อ...”

คราวนี้อาทิตย์อัสดงเริ่มกลายเป็นว่าไปไม่ถูกแล้ว รู้สึกเหมือนมึนๆ หัวขึ้นมากะทันหัน มีเสียงวิ้งๆ ในหู ขนลุกซู่ๆ ขึ้นมาอีกแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่อาการขนลุกแบบที่อี๋ๆ อะไรสักอย่างที่น่าขยะแขยง แต่เป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่บอกไม่ถูก

“ผมก็เลยรู้สึกว่าผมสนใจคุณ อยากใกล้ชิดกับคุณให้มากกว่านี้”

งั้นก็หมายความว่า...ยังไม่ได้ชอบ...จริงๆ สินะ

คล้ายว่าจะรู้สึกโล่งอกขึ้นมาอย่างไรชอบกลจนเกือบจะถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปพูดคุยอย่างเป็นจริงเป็นจัง

“ถ้าคุณอยากเป็นเพื่อนกับผม ผมยินดีนะ แต่ถ้าคุณคิดที่จะจีบผม ไม่ว่าเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็น หรือจริงจังก็ตาม ผมว่าอย่าดีกว่า”

“ทำไมล่ะครับ” คราวนี้สีหน้าของภันวัฒน์เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “หรือคุณจะบอกว่า เพราะคุณไม่ได้ชอบผู้ชาย ไม่มีทางที่คุณจะมาชอบผมหรอก”

“จะว่าแบบนั้นก็ได้”

เสียงที่ตอบกลับมาไม่ได้ออกมาอย่างเต็มที่นัก บล็อกเกอร์หนุ่มเลื่อนสายตาไปสบกับอีกฝ่ายอย่างจริงจังกว่าเมื่อครู่นี้ ทอดมองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ราวกับจะบอกให้รู้ถึงความแน่วแน่ของตนเอง

“ผมก็ไม่ได้ถึงขนาดยึดติดหรอกนะว่าจะต้องรักชอบแต่ผู้หญิง เพียงแต่ผมไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนั้นกับผู้ชายมาก่อน แล้วก็...”

ประโยคอธิบายที่ดูมุ่งมั่นเมื่อสักครู่แหบแห้งลงไปจนเสียงเหือดหาย ใบหน้าที่หันมาประจันกันอย่างตรงไปตรงมาหลบเลี่ยง อาทิตย์อัสดงทอดสายตาไปยังที่ไหนสักแห่งซึ่งคนมองไม่อาจระบุได้ เพราะมันไกลเกินกว่าจะหาจุดหมาย ก่อนเสียงเบาหวิวจะลอยออกมาจากกลีบปากเรียวบางแผ่วเบา คล้ายว่าไม่ต้องการให้อีกฝ่ายได้ยิน แต่ก็ต้องการให้ได้ยินเช่นเดียวกัน

“ผม...ไม่คิดจะมีความรักอีกหรอกครับ”

“.....”

ช่วยไม่ได้ที่ความเงียบจะโรยตัวลงมาในจังหวะนี้ เพราะคนฟังเองก็รับรู้ถึงความรู้สึกกล้ำกลืนของคนพูดอยู่ไม่น้อย น้ำเสียง สีหน้า บรรยากาศที่โอบล้อมรอบกายร่างโปร่งบ่งบอกได้อย่างชัดเจน

“คุณกลัว”

น้ำเสียงที่เกริ่นออกมาเป็นคำถามเบากว่าปกติกึ่งหนึ่งโดยธรรมชาติ ราวกับโดนบรรยากาศรอบข้างตัดทอนเสียงให้เบาลงอย่างไรอย่างนั้น จนแม้แต่ร่างสูงก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย

“ครับ ผมกลัว”

อาทิตย์อัสดงยอมรับโดยไร้ข้อโต้แย้ง ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะต้องปิดบังหรือเสแสร้ง มันอาจจะดูทำให้ตัวเองเป็นคนน่าสมเพช น่าสงสาร หรือขี้ขลาดก็แล้วแต่ แต่มันเป็นการดีที่สุดหากเขาจะหลีกเลี่ยงมันได้ ทว่า...

มันกลับให้ผลตรงข้าม

“งั้นถ้าผมจะอาสา... ทำให้คุณหายกลัวล่ะ”

ภันวัฒน์เสนอตัว กายสูงขยับลงจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่มาเผชิญหน้ากับคนที่หลบเลี่ยง ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือสายตาของเขาในเวลานี้ สบนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นราวกับจะบอกให้รู้ว่าเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ ถึงกระนั้นบล็อกเกอร์หนุ่มกลับเหยียดยิ้มเหนื่อยอ่อนทีละน้อย

“อย่าดีกว่าครับ ผมว่าคุณจะเสียเวลาเปล่า อย่างคุณน่ะ มีคนอีกมากมายอยากจะขอความรักเลยล่ะ เชื่อผมสิ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณลองเป็นคนนั้นให้หน่อยได้ไหม”

“อย่าทำให้ผมลำบากใจเลยครับ”

สีหน้าเศร้าๆ ที่ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับประโยคนี้ ทำให้ภันวัฒน์ไม่คิดบีบคั้นอีกฝ่ายอีก เขาคลี่ยิ้มน้อยๆ เพื่อให้เจ้าตัวสบายใจ

“งั้นก็ได้ครับ”

แต่แม้จะตอบเช่นนั้น ทว่าในใจของเขาไม่ได้เปลี่ยนความตั้งใจที่จะพยายามขยับความสัมพันธ์เข้าไปใกล้ร่างโปร่งให้มากขึ้นเลยสักนิด

มันไม่ง่ายนักหรอกที่เขาจะสนใจใครสักคน และมันก็ไม่ง่ายเช่นกันที่คนที่เขาเล็งไว้จะปฏิเสธเขาได้

เขาเชื่อแบบนั้น... และมันก็เป็นเช่นนั้นเสมอมา

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ขนมที่อบไว้ก็ได้เวลานำออกจากเตา เชฟขนมลุกจากตำแหน่งที่นั่งอยู่ไปยังเตาอบ นำขนมออกมาผึ่งให้เย็นสักพัก และดำเนินการต่อเพื่อให้มันออกมาเป็นรูปเป็นร่าง กระทั่งมันสมบูรณ์เรียบร้อยก็จัดใส่จานและยกมาให้คนที่รอชิมอยู่

“เสร็จแล้วครับ”

ขนมหน้าตาคุ้นเคยที่เห็นมาตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาปรากฏตรงหน้าอาทิตย์อัสดง แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ชิมมันตั้งแต่เสร็จใหม่ๆ และได้เห็นกระบวนการทำทุกขั้นตอนตั้งแต่ยังเป็นวัตถุดิบ

“ชิมเลยสิครับ”

จากใบหน้าที่ดูคล้ายจริงจังเมื่อตอนสนทนากันเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าลุ้นระทึกด้วยความอยากรู้อยากเห็นราวกับเด็กๆ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จนคนเห็นเกือบหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

มือเรียวขาวหยิบช้อนขึ้นมาตักเค้กเนยสดหน้าตาน่ารักสีสวยขึ้นมาหนึ่งคำเข้าปาก ค่อยๆ บรรจงเคี้ยวเพื่อสัมผัสรสชาติทีละนิด กลิ่นหอมของเนย ไข่ไก่ แป้ง ใบมินต์ อบอวลไปทั่วทั้งปากพานให้รู้สึกสดชื่น รสชาติหวาน เค็ม มัน ผสานเปรี้ยวนิดๆ กลมกล่อมกันอย่างลงตัว ไม่มีรสไหนโดดขึ้นมาเป็นพิเศษ และไม่รู้สึกถึงความมันแฉะของเนยสด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบเป็นขนมชิ้นนี้ทำให้รอยยิ้มผลิออกมานิดบนใบหน้าขาวตี๋

“อร่อยแล้วครับ ลดความหวานลงนิดหน่อยด้วยสินะครับ”

เป็นครั้งแรกที่ได้รับคำตอบนี้จากร่างโปร่งโดยตรง มันไม่ใช่แค่ ‘โอเคแล้ว’ หรือ ‘ใช้ได้แล้ว’ เมื่อได้ฟัง พ่อครัวที่ลงมือทำเองก็ถึงกับปลื้มปริ่มขึ้นมา รอยยิ้มผุดกว้างจนสว่างไสวราวกับภาพมายา เสียงทุ้มเอื้อนถามละม้ายไม่เชื่อหูตัวเอง

“จริงนะ”

“แล้วผมจะโกหกทำไมล่ะครับ”

ตอบไปแล้วร่างโปร่งก็อดขำไม่ได้จริงๆ เพราะอีกฝ่ายยังหน้ายิ้มบานแฉ่งอยู่เลย

“ค่อยยังชั่ว ขอบคุณคุณมากนะ คุณอาทิตย์อัสดง”

ชื่อเรียกเต็มยศทำให้เจ้าของชื่อพลันนึกขึ้นได้ ก่อนจะบอกเสียงเรียบ

“เรียกฟรีก็ได้ครับ”

“ครับ ฟรี”

จาก ‘คุณอาทิตย์อัสดง’ ที่เป็นทางการ กลายเป็น ‘ฟรี’ แค่สั้นๆ ราวกับคนสนิทสนมกัน

คำเรียกที่ถูกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทำเอาคนได้ยินเกือบตั้งตัวไม่ทัน ทั้งที่เป็นคนบอกเองว่าให้เรียกแบบนั้นแท้ๆ และก็ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าเสียงใหญ่ทุ้มนั้นก้องอยู่ในหูชอบกล

“ว่าแต่...”

คนยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มที่ผลิบานราวดอกไม้ค่อยๆ หุบลงทีละนิดด้วยความสงสัย เพราะดูเหมือนบล็อกเกอร์หนุ่มหน้าตี๋จะทำหน้าจริงจังเสียเหลือเกิน

“คุณชื่ออะไรเหรอครับ ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลย”

ชะงักงันไปในทันที ร่างสูงทำหน้าเหลอหลาหลังได้ยินคำถาม

“คุณ...ไม่รู้ชื่อของผมเหรอ”

“แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ ในเมื่อคุณไม่เคยแนะนำตัวหรือว่าบอกผมเลยสักครั้ง”

“อ้อ ขอโทษทีๆ”

ร่างสูงยิ้มแห้งเป็นเชิงขอโทษตามปากว่า เพราะเมื่อย้อนคิดดูแล้วก็เป็นอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ นับตั้งแต่รู้จักกันมา เขายังไม่เคยพูดชื่อตัวเองให้อาทิตย์อัสดงได้ยินเลยสักครั้ง แต่...

“เมื่อกี้เด็กในร้านก็เรียกชื่อผมไม่ใช่เหรอครับ”

คำถามนั้นราวกับหนามแหลมๆ ของอะไรสักอย่างพุ่งตรงเข้าใส่หลังของอาทิตย์อัสดง มันแทงฉึกอย่างรุนแรงจนแทบสะดุ้ง ในใจรู้สึกเลิ่กลั่กขึ้นมาครามครัน เพราะไม่คิดว่าจะโดนย้อนถามกลับมาเช่นนี้ จึงต้องรีบหาข้อแก้ตัวพัลวัน

“เอ่อ... พอดีว่าผมไม่ทันฟังน่ะครับ”

เหมือนว่าจะฟังขึ้นอยู่หน่อยๆ กระมัง ภันวัฒน์ถึงโคลงศีรษะไปมาเล็กน้อยคล้ายจะเข้าใจ จากนั้นเริ่มแนะนำตัวเองใหม่อย่างเป็นทางการ

“ผมชื่อฮักครับ”

“ฮัก?”

เมื่อได้ฟังชื่อของอีกฝ่าย อาทิตย์อัสดงก็ครางออกมาราวกับย้อนถามเพื่อความแน่ใจ ภันวัฒน์จึงผุดยิ้มบางๆ ตอบ

“ครับ ฮักที่ภาษาพื้นถิ่นเหนือกับอีสานแปลว่ารัก ภาษาอังกฤษแปลว่ากอดน่ะครับ”

“ชื่อแปลกดีนะครับ” เพราะไม่เคยได้ยินชื่อแบบนี้มาก่อน อาทิตย์อัสดงจึงรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้ “แต่ความหมายดีนะครับ ไม่ว่าจะเป็นภาษาไหน ก็บอกให้รู้ว่าคนตั้งรักคุณอยู่ดี”

“พ่อกับแม่ผมช่วยกันตั้งน่ะครับ แม่เล่าให้ฟังว่าตอนผมเกิด ทะเลาะกับพ่อ เพราะคนหนึ่งอยากได้ภาษาไทย อีกคนอยากได้ภาษาอังกฤษเพื่อจะได้ทันสมัย แต่สุดท้ายก็มาจบกันที่ตรงนี้ จริงๆ แล้วผมก็ชอบชื่อนี้นะ แต่ตอนนี้ไม่มีคนเรียกผมด้วยชื่อนี้แล้ว”

แววตาและสีหน้าที่ปรากฏบนดวงหน้าคมคร้าม บอกเล่าความรู้สึกได้เป็นอย่างดี หน่วยตาสีดำนั้นเป็นประกายแวววาวเหมือนลูกแก้วต้องแสงอาทิตย์ ขณะที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนด้วยความอ่อนโยน ทว่าท้ายประโยคนั้นแววตากลับวูบหม่นลง

“ทำไมล่ะครับ”

เห็นความแตกต่างอย่างโจ่งแจ้งระหว่างหัวและหางประโยคแล้ว บล็อกเกอร์หนุ่มก็ห้ามปากไม่ให้ถามไม่ได้

ไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็นของตนเองแต่อย่างใด หากเป็นการตอบสนองโดยอัตโนมัติตามสัญชาตญาณเสียมากกว่า ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ยอมรับว่าถามไปน่ะดีแล้ว

“ตอนเด็กๆ ผมประสบอุบัติเหตุน่ะครับ ทั้งครอบครัวเลย คุณคงเคยเห็นเหตุการณ์อย่างพวกตู้คอนเทนเนอร์ของรถบรรทุกหลุดออกมาทับรถคันข้างๆ ตามข่าวอุบัติเหตุใช่ไหมครับ”

ภันวัฒน์ไม่ได้เจตนาจะสร้างคำถามขึ้นในประโยคนี้ เป็นแค่การเกริ่นนำเพื่อเข้าสู่เรื่องราวที่จะเล่าเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้คนฟังวูบหวิวขึ้นมาในอก รู้สึกว่าตนเองทำเรื่องแย่ๆ ไปเสียแล้วที่เอ่ยถามออกมา ริมฝีปากบางพยายามอ้า ’ผม...’ แต่ก็ถูกรอยยิ้มอ่อนจางจากคนตรงหน้าห้ามไว้เสียก่อน

“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ ไม่ใช่เรื่องที่เล่าไม่ได้ เพียงแต่ผมก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังมาก่อนเหมือนกัน”

ความรู้สึกหลากหลายซ้อนทับเข้ามาในใจของอาทิตย์อัสดงในเวลานั้นอย่างรวดเร็ว ทั้งความรู้สึกผิด ความรู้สึกเสียใจ ความรู้สึกเห็นใจ ความรู้สึกไม่เข้าใจ มันปนเปกันหมด ในอกถูกความรู้สึกเหล่านั้นอัดไว้แน่นจนอึดอัด

“เล่าต่อนะครับ” เขายิ้มเล็กน้อยคล้ายเป็นการขออนุญาต “ตอนนั้นรถคันที่ขับนำอยู่ถูกคอนเทนเนอร์จากรถบรรทุกเลนข้างๆ หล่นลงมาทับ เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก พ่อของผมรีบเบรกรถเพื่อให้ไม่ชนเข้าไปซ้ำ แต่ว่ารถคันข้างหลังไม่ทันเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็เลยขับมาชนท้ายรถของพ่อผมอย่างแรงจนรถพุ่งชนตู้คอนเทนเนอร์ที่ทับรถคันหน้าอยู่ จากนั้น...ผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย”

“.....”

ความเงียบมาเยี่ยมเยือน ณ วินาทีนั้น อาทิตย์อัสดงพูดอะไรไม่ออก เพียงจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่เล่ามาก็ทำให้รู้แล้วว่ามันเป็นโศกนาฏกรรม

“ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมอยู่ที่โรงพยาบาล คนที่อยู่ในห้องพักฟื้นของผมมีลุงกับป้าแค่สองคน พวกเขาเล่าให้ผมฟังว่าพ่อกับแม่ของผมเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนผมรอดมาได้ราวปาฏิหาริย์ แค่หัวแตกกับแขนเดาะเฉยๆ เพราะแรงกระแทกตอนที่รถคันหลังชนท้ายมา ทำให้ตัวผมหล่นลงไปบนพื้นรถพอดี ช่องว่างตรงนั้นช่วยป้องกันให้ผมรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ใช้เวลาไปนานมากกับการตัดถ่างเพื่อเอาตัวผมออกมา”

ทั้งที่เรื่องที่เล่า เป็นเรื่องน่าสลดหดหู่ของเจ้าตัวแท้ๆ แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของอาทิตย์อัสดง ภันวัฒน์กลับคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้มากกว่าเดิม ราวกับจะปลอบประโลมกัน

“หลังจากนั้นลุงป้าก็รับผมไปเลี้ยงเป็นลูกอีกคน แล้วก็ขอให้พระตั้งชื่อให้ผมใหม่ เพื่อเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะผมเหมือนตายไปแล้วรอบหนึ่ง นับตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าจะเป็นชื่อจริงหรือชื่อเล่นของผมก็เคยไม่ถูกเรียกอีกเลย โดยเฉพาะลุงกับป้าที่ยิ่งปลื้มกับชื่อภันวัฒน์ที่ผมได้มา เพราะบ้านนั้นเป็นครอบครัว พ.พาน ก็เลยเอาแต่เรียกผมว่าภันๆ เพื่อจะได้เหมือนเป็นลูกชายคนโต”

ได้ฟังรายละเอียดทั้งหมดแล้ว ร่างโปร่งก็เข้าใจถ่องแท้ถึงความเป็นมา แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า...

“ทำไมคุณถึงเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังล่ะครับ”

มุมปากของร่างสูงกระตุกขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงที่เอ่ยตอบนุ่มนวล

“ไม่รู้สิครับ อาจเพราะมันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว และผมก็อยากย้ำเตือนกับตัวเอง หรือไม่ก็ผมอาจจะแค่อยากเล่าให้ใครสักคนฟังล่ะมั้ง แล้วเผอิญคนคนนั้นเป็นคุณ”

คำตอบที่ออกมาไม่แจ่มแจ้งไปทางใดทางหนึ่ง ถึงกระนั้นสิ่งหนึ่งที่แน่ชัดคือ... มันทำให้ภันวัฒน์รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับตะกอนความทรงจำที่นอนก้นทับถมกันอยู่มาช้านานถูกขูดลอกออกไป ราวกับเขารอเวลาที่จะเล่าเรื่องราวของตนให้ใครสักคนฟังมานานแล้ว แต่ครั้งนี้เพิ่งมีโอกาสเป็นครั้งแรก

ทั้งที่เขาสนิทกับเกรียงไกรมาก แต่เขากลับไม่เคยเล่าและไม่คิดจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

มันคงดูแปลกๆ กระมัง หากมาเล่าเรื่องโศกนาฏกรรมของครอบครัวตัวเองให้เพื่อนฟัง เหมือนกับว่ากำลังเรียกร้องความเห็นใจ

ทว่าแม้จะคิดอย่างนั้น แต่กับอาทิตย์อัสดงแล้ว เขาไม่รู้สึกเช่นนั้นแม้แต่น้อย

“แล้ว เอ่อ...ชื่อคุณล่ะครับ แฟนของคุณไม่เคยเรียกเลยเหรอครับ”

เพราะรู้สึกว่าหากคุยเรื่องนี้ต่อไป จะถูกเส้นด้ายที่มองไม่เห็นรัดรึงตนเองให้เข้าใกล้อีกฝ่ายมากจนเกินไป บล็อกเกอร์หนุ่มจึงเบี่ยงทิศออกมาเล็กน้อย

“แฟนคนก่อนๆ ของผม ส่วนมากจะรู้จักผมอยู่ก่อนแล้ว หรือไม่ก็เรียกตามเพื่อนๆ ผม อีกอย่างผมก็ไม่เคยบอกชื่อนี้กับใครด้วย เพราะมันคงแปลกถ้าต้องมาอธิบายทุกครั้งว่าทำไมเพื่อนรู้จักผมในชื่อภัน แต่ผมกลับแนะนำตัวด้วยอีกชื่อ ก็เลยไม่มีใครเคยเรียกชื่อเล่นจริงๆ ของผม”

“งั้นทำไมถึงแนะนำตัวเองกับผมว่าฮักแทนที่จะเป็นภันเหมือนอย่างคนอื่นๆ ล่ะครับ”

กว่าร่างโปร่งจะรู้ตัวว่าพลั้งเผลอถามอะไรออกไปและมันอาจจะเข้าตัวเองก็เป็นได้ ก็หยุดยั้งปากตนเองไว้ไม่ทันเสียแล้ว หนุ่มหน้าตี๋พยายามปรับสีหน้าให้เรียบเฉย ไม่แสดงอาการกระอักกระอ่วนออกมาให้อีกฝ่ายเห็น เพราะเกรงว่าฝ่ายนั้นจะจับพิรุธได้ว่าตนกำลังรู้สึกอย่างไรต่อคำถามนี้

“เพราะผมคงคิดถึงเวลาใครสักคนเรียกผมด้วยชื่อนั้นล่ะมั้งครับ”

แม้อาทิตย์อัสดงจะห้ามปรามสีหน้าของตนเองอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาเฉียบคมของภันวัฒน์ได้

เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอึดอัดใจ แต่เขาก็ไม่คิดจะแบ่งเวลาให้ทางนั้นได้หายใจเช่นกัน จึงตอบออกไปจากใจจริง พลางยกยิ้มนิดๆ ที่หากว่าผู้หญิงหรือเกย์ฝ่ายรับได้เห็น คงต้องตกหลุมเสน่ห์ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะภันวัฒน์มีเสน่ห์เช่นนั้นอยู่ล้นเหลือซึ่งเจ้าตัวก็รู้ดี จึงไม่ได้ใช้มันมากนัก แต่สำหรับชายหนุ่มตรงหน้าแล้ว เขาไม่ใช้ไม่ได้

“เอ่อ...”

สีหน้าที่ทำให้คนมองรู้สึกใจสั่นแปลกๆ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายเช่นเดียวกับตนทำให้บล็อกเกอร์หนุ่มรู้สึกคอแห้งผากในบัดดล เสียงเลือนหายไปจนต้องกระแอมเบาๆ เพื่อให้คล่องคอขึ้น แต่ยังไม่ทันจะได้เอื้อนเอ่ยประโยคใดต่อจากนั้น เสียงใหญ่ทุ้มที่นุ่มเป็นพิเศษก็ดังสวนแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“นะครับ ช่วยเรียกผมด้วยชื่อนั้น เรียกว่าผมฮักด้วยนะครับ ฟรี”

ไม่รู้ทำไม แต่พอได้ยินอย่างนั้นแล้ว ใจที่อยากจะแข็งกลับอ่อนยวบลงโดยพลัน...





--------------------
กว่าจะได้แนะนำตัวจริงจังก็ตอนที่ 12

ตอนที่แล้วอัพไปแล้วเพิ่งรู้สึกว่ากินข้าวกันทั้งตอนเลยนี่นา
แต่ก็สมกับชื่อตอนล่ะนะ อิ่มกันไปเลย

Undel2Sky

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
อั๊ยยะะะะะะ ฮักฟรี

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ฮักน่าสงสารขนาด

ฟรีปฏิเสธก็ช่าง ตื๊อให้สุดๆ มีเรื่องนี้แหละที่สมควรทำหน้ามึน

ออฟไลน์ cinnsin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
พี่ฮักรีบทำแต้มเร็วเข้า พี่ฟรีกำลังหวั่นไหวเลยนะ อิอิ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ฟรี ฮัก

แนะนำตัวอย่างเป็นทางการแล้ว จีบอย่างเป็นทางการได้แล้วสินะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
โง้ยยยย จีบกันเข้าไปปปป เรามีความรู้สึกแปลกที่ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าตอนที่คุณอาทิตย์ถามว่าตัวเองไม่ใช่แบบที่ชอบแล้วทำไมจีบ แล้วคุณภันบอกว่าอยู่ด้วยแล้วรู้สึกดี คุณอาทิตย์คิดว่า ก็ไม่ได้ชอบจริงๆสินะ... คืออัลไลคะะะะ นี่หมายความว่าถ้าคุณภันชอบตัวเองเข้าจริงๆก็จะรับพิจารณาใช่ไหมคะเนี่ย แล้วหลังจากเล่าเรื่องในอดีตที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังก็เหมือนได้ขยับเข้าใกล้กันอีกนิดนะคะ เราว่าเพราะคุณอาทิตย์ถามด้วยแหละว่าคุณชื่ออะไร แล้วจากตอนก่อน คือมันให้อารมณ์เหมือนคุณอาทิตย์เป็นคนที่ทำให้อุ่นเหมือนกับคนในครอบครัวคนหนึ่ง ก็เลยทำให้คุณภันเล่าให้ฟังล่ะมั้งคะ เรานึกภาพคุณอาทิตย์เรียกคุณภันว่าฮัก เขินนนนน 55555 คุณภันนี่ต้องตีความไปว่าคุณอาทิตย์บอกว่ารักแน่ๆ ขนาดคุณกินได้ไหมยังไปไกลขนาดนั้นเลย โอ๊ยย ทำไมเป็นคนแบบนี้คะคุณภันนนน เราว่ายิ่งอ่านคุณอาทิตย์ยิ่งน่ารักนะคะ คือให้ความรู้สึกว่าเป็นคนขี้เกรงใจ เหมือนจะเป็นพวกปากร้าย แต่ก็ใจดีมาก ดูเป็นคนไม่กล้าทำร้ายจิตใจใครและคิดมากอีก ทำไมรวมกันแล้วน่ารักกกก คุณภันคะ เราว่าคุณภันก็ชอบน้องฟรีแล้วล่ะค่ะ นี่กั๊กไว้กลัวเขาปฏิเสธหรือยังไม่แน่ใจตัวเองค้าาา ไม่ร้ล่ะสิว่าคุณอาทิตย์แอบหลงตัวเองเข้าแล้ว คิดถูกจริงๆนะคะที่พามานั่งทำขนมกินขนมกัน 2 คน ที่แท้คุณอาทิตย์ก็แพ้คนจริงจังและใส่ใจสิ่งที่ตัวเองรัก รู้นะว่าแอบคิดไปเลยว่าถ้าเก็นคนที่คุณภันรักก็คงจะได้รับการใส่ใจแบบนั้นเหมือกัน 55555555555555 เรานี่โคตรมโน แงงง  :mew3:

ออฟไลน์ Kio

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เหมือนเพิ่งเริ่มต้นยังไงไม่รู้  :hao7:

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
13th Entry : ทางเลือก






ไม่รู้ว่าเสน่ห์ของตนที่ไม่ต้องบริหารนักเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่กลับต้องรีบจ้วงออกมาใช้ต่อหน้าพระอาทิตย์ยามเย็นคนนั้นได้ผลบ้างหรือเปล่า แต่อย่างน้อยคำอ้อนวอนของภันวัฒน์ก็สัมฤทธิ์ผล เพราะได้ยินเสียงตอบรับ ‘ครับ’ จากร่างโปร่งมาอย่างอ่อนแรง

หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ไล่ต้อนอาทิตย์อัสดงให้จนมุมจนต้องลำบากใจไปมากกว่านั้น เพียงระบายยิ้มอย่างสบายๆ เพื่อคลายความกดดันที่อีกฝ่ายจะต้องแบกรับ ก่อนจะสนทนากันอีกเล็กน้อยและปล่อยให้กลับบ้านได้แต่โดยดีแบบไม่เหนี่ยวรั้ง ถึงกระนั้นก็ขันอาสาว่าจะขอไปส่ง แต่ก็ได้รับคำปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเกรงใจ

“ให้ผมกลับเองดีกว่าครับ คุณเหนื่อยอยู่ไม่ใช่เหรอ ผมว่าคุณกลับไปพักผ่อนเยอะๆ ดีกว่านะครับ”

รู้ว่าเป็นข้ออ้างอยู่เต็มอก ถึงกระนั้นดวงหน้าคมคร้ามสีน้ำผึ้งกลับแต้มยิ้มจาง รู้สึกเย็นในอก เสมือนลมสดชื่นกลิ่นเปปเปอร์มินต์พัดวูบผ่านไป ทว่าเมื่อเดินมาส่งบล็อกเกอร์หนุ่มที่หน้าร้านก็พลันนึกขึ้นได้

“เอ่อ สร้อยของคุณ”

“อ้อ จริงด้วย”

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะลืมไปเช่นกัน จึงร้องออกมาขณะที่ดวงตาเหลือกโพลงอย่างไม่ปิดบัง พานให้ภันวัฒน์อดยิ้มขำไม่ได้ จนถูกตัดพ้อกลายๆ

“อย่างยิ้มแบบนั้นสิครับ มันทำให้ผมขายหน้า”

“ผมยิ้มแบบไหนกันครับ”

“ยิ้มเหมือนคุณมองว่าผมป้ำๆ เป๋อๆ เหมือนเด็ก”


“ยิ้มแบบเอ็นดูน่ะเหรอครับ”

“ไม่รู้สิครับ”

ตอบมาแบบนั้นแท้ๆ แต่ก็ทำหน้างอนเหมือนจะเป็นเด็กจริงๆ ด้วย

มุมที่แตกต่างจากเคยเห็น ทำให้เจ้าของร้านขนมรู้สึกว่าความสุขปริ่มขึ้นมาในอกอีกแล้ว หากเทียบให้หัวใจมีปริมาตรหนึ่งลิตร ป่านนี้มันคงโป่งพองจนแทบจะล้นปริอยู่ร่อมร่อ

“แต่ผมชอบเวลาคุณทำหน้าแบบนี้นะครับ”

ปากของบล็อกเกอร์หนุ่มอ้าขึ้นเหมือนจะพะงาบงับอากาศเพราะพูดอะไรไม่ออก จนภันวัฒน์หลุดยิ้มขำ แต่กระนั้นก็ไม่อยากกลั่นแกล้งให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจอีกต่อไป จึงถอดสร้อยซึ่งสวมติดคออยู่คืนให้ผู้เป็นเจ้าของตัวจริง

“ขอบคุณนะครับสำหรับบทเรียนและคำแนะนำ แต่ว่าคุณอย่าเผลอให้ใครมายึดไปได้อีกนะครับ”

ทั้งที่เอ่ยขอบคุณและเตือนด้วยความปรารถนาดี แต่ทว่าหัวคิ้วของคนฟังกลับขมวดเข้าหากัน พลางสวนตอบพร้อมสวมสร้อยลงบนคอเหมือนเดิม ด้วยความรู้สึกอุ่นใจที่ในที่สุด ของสำคัญก็กลับมาอยู่กับตนเองอีกครั้ง และจะไม่มีใครพรากมันไปอีก

“คงมีแต่คุณมั้งครับ ที่ฉวยสร้อยคนไม่รู้จักไปได้หน้าตาเฉย จนผมต้องสร้างเงื่อนไขแปลกๆ”

“แต่มาคิดดูดีๆ แล้ว ต่อให้ผมกลับไปแก้ไขใหม่ได้ ผมก็ยืนยันจะทำแบบเดิมนะ เพราะมันทำให้ผมรู้จักคุณมากขึ้นไง”

“.....”

อาทิตย์อัสดงพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินเช่นนั้น ร่างสูงจึงเป็นฝ่ายกล่าวคำล่ำลา

“ถ้าอย่างนั้นเดินทางกลับดีๆ นะครับ แล้วไว้แวะมาที่ร้านผมอีกนะ มีขนมอีกตั้งหลายอย่างที่คุณยังไม่เคยชิม อ้อแล้วก็อย่างลืมเขียนรีวิวแก้เรื่องขนมให้ผมด้วยนะ”

“ครับๆ ไม่ลืมหรอก ผมรู้ว่าผมต้องรับผิดชอบตรงส่วนไหน ส่วนเรื่องขนมที่ร้านคุณ ไว้มีโอกาสผมจะแวะมาชิมอย่างอื่นนะครับ”

ลงท้ายใบหน้าที่ติดจะหงิกงอย่นยู่อยู่เมื่อครู่ก็เปื้อนรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยจนได้เพราะขนม พลอยทำให้ภันวัฒน์ยิ่งชื้นในใจ

“หรือถ้าผมว่างเมื่อไร จะไปหาคุณที่บ้านนะครับ”

แต่เพียงครู่เดียวหน้ายิ้มๆ ของอีกฝ่ายก็หุบลงเสียแล้ว อากัปกิริยาที่พลิกผันไปราวร้อยแปดสิบองศาทำให้หนุ่มช่างทำขนมลอบยิ้มอยู่ในใจ

“แล้วก็...ปลดบล็อกเบอร์ผมได้แล้วนะครับ”

คำพูดประโยคเดิมดังมาอีกครั้งหลังจากคราวก่อนเจ้าตัวเคยพูดไว้แล้วหายตัวไปเกือบสองเดือนให้อีกคนต้องว้าวุ่นใจ อาทิตย์อัสดงตอบกลับพลางเดินไปริมฟุตปาธเพื่อเรียกรถแท็กซี่ซึ่งกำลังวิ่งเข้ามาใกล้พอดี

“ไว้จะพิจารณานะครับ”

แต่เท่านั้นก็ทำให้คนฟังกดยิ้มลึกตรงมุมปากอย่างห้ามไม่อยู่แล้ว





เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในรอบหลายเดือนก็ว่าได้ที่ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งกลับมาเยือนสถานที่แห่งนี้ หากไม่เพราะเมื่อวานได้รับโทรศัพท์จากผู้มีสถานะเป็นลุงว่าให้กลับมากินข้าวที่บ้านบ้าง เขาคงไม่ได้เยียบย่างมาที่นี่

ไม่ใช่เพราะรู้สึกกระดากว่าตนเองเป็นคนภายนอกครอบครัวนี้ หรือถูกกีดกันรังเกียจแต่อย่างใด แต่ด้วยความเกรงใจเพราะได้รับการอุ้มชูดูแลดีเกินกว่าควรจะได้รับต่างหากถึงทำให้เขาไม่ค่อยอยากมายังบ้านที่เรียกได้ว่าคฤหาสน์หลังนี้

ภันวัฒน์สืบเท้าเข้าไปภายในตัวอาคารที่โอ่อ่า เพียงเข้ามาก็มีหญิงรับใช้มาคอยดูแลบริการแล้ว เขาส่ายหน้าพลางสอบถามถึงผู้เปรียบเสมือนบุพการีทั้งสอง พบว่าทั้งคู่อยู่ในห้องนั่งเล่น รอคอยการกลับมาของตนเองอยู่จึงสาวเท้าด้วยจังหวะเร็วขึ้นเพื่อไปยังจุดหมาย

“กลับมาจนได้นะตาภัน”

คำทักทายแรกมาจากไพฑูรย์ผู้เป็นลุง ขณะที่พรรณีผู้เป็นป้ากวักมือเรียกให้ไปนั่งเคียงข้าง เขาจึงต้องขยับเท้าไปหา เมื่อหย่อนร่างลงนั่งก็ได้รับการลูบคลำแขนและใบหน้าเป็นการทักทาย

“ดูผอมซูบซีดลงไปนะตาภัน”

“พอดีช่วงก่อนหน้านี้งานหนักน่ะครับป้า”

“ได้ข่าวว่าต้องไปช่วยงานในครัวขนมด้วยหรือ คุณนี่ก็ใจร้าย ใช้งานหลานหนักเกินไปนะคะ แทนที่จะจ้างคนมาเพิ่ม”

พรรณีหันไปตำหนิสามี ตวัดตาค้อนใส่ขวับใหญ่จนภันวัฒน์ต้องรีบแทรกเสียงบอก เพราะลุงของตนใช้หางตาชี้ใส่ภรรยาว่าดูสิๆ เข้าข้างหลานอีกตามเคย

“ไม่หรอกครับ ก็แค่งานชั่วคราว จะจ้างคนเพิ่มใช่ว่าจะหาได้เลยทันที แล้วถ้าจ้างก็ต้องจ้างระยะยาวด้วย มันจะเป็นการเพิ่มบุคลากรโดยเช่นเหตุนะครับ”

“แต่ภันก็ต้องอดหลับอดนอน ไหนจะงานเอกสาร งานดูแลคนในปกครอง แล้วต้องลงครัวทำขนมเอง และยังงานที่ร้านอีก มันเสียสุขภาพนะจ๊ะ”

“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ป้า ยังไงก็ผ่านมาด้วยดีแล้ว ต่อไปก็กลับมาสู่สภาพเดิม แถมนี่ผมยังได้วันหยุดตั้งสามวันอีกต่างหาก”

“จ้าๆ งั้นกลับมาคราวนี้ต้องกินเยอะๆ นะจ๊ะ จะได้แข็งแรง แล้วก็พักผ่อนให้เพียงพอด้วย”

“ครับ ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง”

ภันวัฒน์แต้มยิ้มประดับใบหน้าเพื่อให้ผู้เป็นป้าหายเป็นห่วง ก่อนจะเบี่ยงสายตาไปทางผู้อาวุโสอีกคน เห็นทางนั้นส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่ายก็อดขบขันในใจไม่ได้ เพราะเขากลับมาบ้านนี้ทีไร เป็นต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เสมอ

ป้ารักเขาเหมือนลูกแท้ๆ เพราะบ้านนี้มีแต่ลูกสาว เขาจึงเป็นลูกชายคนเดียว ขณะที่ลุงเลี้ยงเขาแบบปล่อยบ้างห่วงบ้าง เพราะเป็นผู้ชาย แต่ก็เป็นลูกชายคนเดียวของน้องชายที่เสียไป อารมณ์ของญาติผู้ใหญ่ทั้งสองจึงแตกต่างกันสิ้นเชิง

“แล้วพราวล่ะครับ”

เขาถามถึงลูกสาวคนเล็กของไพฑูรย์ ซึ่งปีนี้จะจบมัธยมปลายแล้ว เป็นเด็กที่สดใสร่าเริง แต่ก็เอาการเอางานดี ตอนเด็กๆ ติดเขาค่อนข้างมาก แต่ก็ห่างๆ กันไปเพราะเขาไปเรียนต่อต่างประเทศ และเมื่อกลับมาก็ย้ายออกไปอยู่คอนโดมิเนียมของตนเอง ทว่าทุกครั้งที่พี่ใหญ่กลับมาก็มักจะทำตัวน่าเอ็นดูใส่เสมอ

“อ่านหนังสืออยู่ในห้องนู่นแน่ะ กลัวแต่ว่าจะสอบไม่ผ่าน ป้าล่ะห้วงห่วง กลัวว่าจะฝืนตัวเอง”

“งั้นผมขึ้นไปตามพราวนะครับ จะได้มากินข้าวกัน ใกล้ถึงเวลาตั้งโต๊ะแล้วด้วย”

“ดีจ้ะ ภันไปหา น้องจะได้ยอมห่างหนังสือบ้าง”

หลังจากได้รับคำอนุญาต ร่างสูงกำยำก็ผุดลุกจากเก้าอี้ทรงหรู เดินขึ้นบันไดตรงโถงซึ่งอยู่ด้านนอกห้องนั่งเล่นไปยังชั้นบนที่เป็นห้องของน้องสาว

เมื่อเคาะประตูสองสามครั้ง ก็ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาก่อนเจ้าตัวเปิดประตู ปรากฏร่างของเด็กสาวผมยาวสีดำ นุ่งเสื้อยืดสบายๆ กับกางเกงขาสั้นอยู่ด้านหลังบานไม้ หลังจากเห็นใบหน้าของเขาแล้ว เจ้าตัวก็เบิกตาโพลงร้องเสียงดัง

“พี่ภัน!” มือเล็กคว้ามือเขามาจับไว้ ก่อนจะลากให้เข้าไปในห้อง “สอนตรงนี้หน่อย”

หาได้เป็นความคิดถึงไม่ เพราะมาถึงก็เรียกให้สอนหนังสือตรงจุดที่ไม่เข้าใจทันที จนภันวัฒน์ต้องวางมือใหญ่โตเมื่อเทียบกับอีกฝ่ายบนศีรษะกลมเล็กแล้วผลักออกพลางบอก

“พอเลยๆ พี่ขึ้นมาตามไปกินข้าว ไม่ได้มาช่วยติวหนังสือสักหน่อย”

“ก็ใกล้จะสอบแอดฯ แล้วนี่นา พราวกลัวสอบไม่ติด”

พราวดาวทำเสียงกระเง้ากระงอนเหมือนเด็กน้อยงอนผู้ใหญ่ ปากยื่นเล็กน้อยอย่างน่าเอ็นดูจนคนสูงวัยกว่าต้องส่ายศีรษะเบาๆ และสั่งสอน

“อ่านหนังสือเยอะน่ะได้ แต่ว่าต้องรู้จักพักผ่อนด้วย รู้ไหมว่าแม่เราเป็นห่วงขนาดไหน”

“พราวรู้ แต่มันก็กังวลอยู่ดี”

“น้องสาวพี่เก่งอยู่แล้ว เกิดหักโหมมากเกินไป ถึงวันสอบจริงขึ้นมาดันป่วยขึ้นมา ที่พยายามมาทั้งหมดจะสูญเปล่านะ”

ได้ยินเช่นนั้นเจ้าตัวก็สลดลงทันควัน ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอย่างน่าสงสาร

“ไปครับ ลงไปกินข้าวกัน แล้ววันนี้ห้ามอ่านหนังสือแล้วนะ”

“พราวว่าครอบครัวนี้ต้องประหลาดแน่ๆ บ้านไหนๆ เขาก็มีแต่อยากให้ลูกให้น้องอ่านหนังสือเพื่อให้สอบติดมหา’ลัยดีๆ แต่บ้านนี้กลับบอกให้เลิกอ่านซะงั้น”

“เพราะพราวอ่านมากเกินไปต่างหาก ไปเร็ว”

มือหนายื่นไปด้านหน้าหาเด็กสาวราวกับเป็นสัญญาณอีกทางหนึ่ง ร่างเล็กสะโอดสะโองจึงยิ้มกว้าง เข้ามากอดแขนไว้อย่างสนิทสนมและลงไปชั้นล่างด้วยกัน





ที่โต๊ะอาหารเย็นในครอบครัววันนี้ดูอบอุ่นขึ้นทันตา เพราะนอกจากลูกสาวคนเล็กจะยอมลงมากินข้าวแบบไม่เกี่ยงงอนขอต่อเวลาแล้ว ยังมีคนที่เป็นดั่งลูกชายคนโตของบ้านมาร่วมวงด้วย

เสียงช้อนส้อมกระทบจานเป็นจังหวะ ภันวัฒน์เอาใจน้องสาวโดยการตักอาหารที่เธอชอบให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็บริการพี่ชายเป็นอย่างดีด้วยการตักของโปรดของพี่ให้เช่นกัน

“แล้วนี่เมื่อไรจะรับเป็นผู้จัดการโรงแรมสักทีล่ะ”

รับประทานอาหารไปสักพัก พูดคุยกันเรื่องทั่วไปแล้วก็เข้าสู่ประเด็นใหม่โดยไพฑูรย์ เขาถามหลังจากเคี้ยวอาหารในปากจนหมดและตักคำใหม่เข้าปากราวกับเป็นเรื่องสนทนาธรรมดา ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ

“ให้ผมทำตำแหน่งที่ผมถนัดนั่นแหละดีแล้วครับ”

“เดี๋ยวอีกหน่อย อย่างไรภันก็ต้องขึ้นเป็นกรรมการ แล้วก็เป็นประธานอยู่ดี อย่าลืมสิว่าตัวเองมีหุ้นอยู่ด้วย”

“หุ้นนิดหุ้นหน่อยแค่พอมีเงินปันผลไว้ใช้จ่ายเองครับลุง ให้ผมทำงานใหญ่จะข้ามหัวผู้หลักผู้ใหญ่เอาเสียเปล่าๆ”

หุ้นที่ว่านี่ก็มาจากส่วนของบิดาที่เสียชีวิตไปยี่สิบกว่าปีแล้ว เขาได้รับตกทอดมาตอนบรรลุนิติภาวะ และที่เขาได้ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มมาอย่างง่ายๆ หลังเรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศก็ด้วยเหตุนี้ส่วนหนึ่ง มิหนำซ้ำยังมีสถานะพ่วงท้ายที่พนักงานในโรงแรมต่างรู้กันด้วยว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประธาน แม้ว่าจะไม่เต็มใจก็ตาม แต่ภันวัฒน์ก็ถูกวางตัวเอาไว้คร่าวๆ แล้ว เพราะประธานมีแต่ลูกสาว เขาจึงเข้างานตามอำเภอใจแล้วแต่สะดวกได้โดยไม่โดนตำหนิ ทว่าเจ้าตัวก็มีความรับผิดชอบพอที่จะไม่ทิ้งงานของตนเอง ออกจะขยันหมั่นเพียรเสียด้วยซ้ำเพื่อไม่ให้ใครมาดูถูกหรือครหา จะมีก็แต่ในสายตาเลขานุการสาวเท่านั้นที่มองว่าเขาเอ้อระเหยลอยชาย

“แล้วอีกอย่างถึงผมจะเรียนจบบริหารโรงแรมกับธุรกิจมา แต่ก็ไม่เก่งถึงขนาดจะขึ้นเป็นประธานหรอก ให้พร่างกับพราวรับไปเถอะครับ”

แม้ว่าภันวัฒน์จะประกาศเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของตนเองมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ไพฑูรย์ก็แย้งเสียทุกครั้ง

“ทำไมภันจะทำไม่ได้ ภันยังบริหารร้านตัวเองได้เลย”

“ตัวเลขรายรับรายจ่ายต่อเดือนของที่ร้านอย่างมากก็หลักหมื่น แต่ของโรงแรมมันหลักล้าน เทียบกันไม่ได้หรอกครับ”

พอเห็นว่าขืนยังคุยเรื่องนี้ต่อไปก็คงไม่ได้ข้อสรุปอยู่ดี เพราะต่างฝ่ายต่างยึดความคิดของตน อีกทั้งบรรยากาศเริ่มตึงเครียดมากขึ้น พรรณีจึงย้ายประเด็น

“แล้วนี่เรื่องแฟนล่ะจ๊ะ เมื่อไรจะหาเจ้าสาวสักทีล่ะ อายุสามสิบแล้วนะ”

แต่ดูเหมือนว่าหัวข้อที่เลือกมาจะไม่ค่อยหนีพ้นบรรยกาศเดิมสักเท่าไร ภันวัฒน์หันไปตอบผู้เป็นป้าด้วยเสียงเรียบ

“อายุสามสิบสำหรับผู้ชายมันเพิ่งแค่เริ่มต้นเองครับ แล้วก็เรื่องนี้ผมขอเลือกด้วยตัวเองแล้วกันครับ ป้ากับลุงก็รู้ว่าช่วงหลังมานี้ผมเน้นคบกับผู้ชาย”

ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใดเรื่องที่เขานิยมชมชอบผู้ชาย เพราะหลังจากมีความสัมพันธ์ทางกายกับฐานทัพในครั้งนั้น และเริ่มคบหากับผู้ชายด้วยกันอย่างเป็นทางการ เขาก็ยอมรับกับครอบครัวนี้อย่างตรงไปตรงมา

ในคราวแรกที่พรรณีรู้ นางแทบลมจับเพราะไม่เคยคิดหรือรู้สึกระแคะระคายแม้แต่น้อยว่าหลานชายที่รักประดุจลูกจะเบี่ยงเบนมาทางนี้ เช่นเดียวกับไพฑูรย์ที่ตะลึงงันไม่น้อย ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็ยืนยันคำพูดของตนเองอย่างชัดแจ้งว่าเขาไม่ได้ปิดกั้นผู้หญิง เพียงแต่เปิดรับผู้ชายเพิ่มเข้ามาเท่านั้น และเขาก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป ยังคงเป็นหลานชายคนเดิมที่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด ผู้อาวุโสทั้งสองจึงยอมรับได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ล้มเลิกความคาดหวังว่าหลานชายจะเลือกผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอยู่ดี

“แต่ภันก็ยังสนใจผู้หญิงอยู่ใช่ไหมจ๊ะ”

“ครับ แต่ผมกำหนดไม่ได้หรอกว่าสุดท้ายจะเป็นใคร เอาเป็นว่าผมชอบคนไหนก็คนนั้น เพศไหนก็ช่างมันเถอะครับ”

ดูเหมือนคำถามแฝงแววเกลี่ยกล่อมของพรรณีจะไม่สำเร็จ คราวนี้ไพฑูรย์จึงเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่องบ้าง

“พร่างจะกลับมาวันที่ยี่สิบนี้นะ”

ได้ผลชะงัด เพราะภันวัฒน์เบิกตา เลิกคิ้ว อดคิดไม่ได้ว่าสงสัยตลอดช่วงปีใหม่ เขาจะต้องยุ่งหนักกว่าเดิมเสียแล้ว





ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของตนเองที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย หลังจากกลับมาจาก ‘ห้องนั่งเล่น’ ในวันถัดไปอาทิตย์อัสดงจึงอัพบล็อกและลงรายละเอียดรีวิว Sweet Butterfly รอบใหม่ เขาใช้รูปเดิมจากคราวที่แล้ว เพราะครั้งนี้ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ก่อน แต่เพราะลักษณะภายนอกไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป มันจึงไม่ใช่ปัญหา จากนั้นลงรายละเอียดคะแนนอย่างที่เคยๆ ทำมา

คะแนนความหวานถูกลดไปหนึ่งคะแนน ขณะที่คะแนนความมันลดสองคะแนน และความกลมกล่อมเพิ่มจากเดิมอีกหนึ่งคะแนน พร้อมทั้งลงหมายเหตุเพิ่มเติม



ผมได้รับการติดต่อจากเจ้าของร้านหลังจากลงรีวิวไปคราวก่อน เขาเห็นว่าขนมของตัวเองยังมีจุดบกพร่องอยู่ จึงขอปรับปรุงสูตรและขอให้ผมช่วยชิมให้อีกครั้ง ซึ่งผมก็เห็นว่ามันเป็นสิ่งดีที่เขาอยากทำเพื่อลูกค้าในปัจจุบันและในภายภาคหน้า จึงยินดีตอบรับข้อเสนอนั้น และผลก็ออกมาอย่างที่เห็นครับ คุณผู้หญิงทั้งหลายไม่ต้องกังวลกับขนมชิ้นนี้แล้วไปลองพิสูจน์มันด้วยตัวเองดูนะครับ



หากจะเรียกว่าเป็นข้อความที่ค่อนข้างสร้างภาพ ก็คงไม่ผิดนัก เพราะเหตุการณ์เบื้องหลังตรงข้ามกับข้อความเหล่านั้นเลยก็ว่าได้ กว่าทุกอย่างจะลงเอยอย่างเรียบร้อยเช่นนี้ได้ เขาต้องผ่านอะไรมามาก ทว่าเมื่อมันจบลงแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่ายินดี

เมื่อนึกย้อนกลับไปแล้วก็เผลอคลี่ริมฝีปากออกและกดมุมลึกลงกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว มือเรียวคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา เตรียมกดหารายชื่อคนที่เขากล่าวถึงในบล็อก ทว่าหลังจากเห็นชื่อนั้นแล้ว นิ้วที่กำลังจะสไลด์เพื่อโทรออกก็ต้องชะงักค้าง เสียงสุดท้ายที่ได้ยินเมื่อวานซืนก้องเข้ามาในหัว

‘แล้วก็...ปลดบล็อกเบอร์ผมได้แล้วนะครับ’

เขายังไม่ได้ปลดบล็อกเบอร์ของผู้ชายคนนั้น คนที่ขอให้เขาเรียกว่า ‘ฮัก’

หน่วยตาสีชาจับจ้องจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าค้างอยู่เช่นนั้น ขณะที่มือยังไม่เคลื่อนไหวไปไหน ในสมองนึกคิดถึงสิ่งต่างๆ น้ำเสียง ถ้อยคำ สีหน้าของอีกฝ่ายที่อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาราวกับน้ำป่าหลากลงมาจากตำแหน่งสูง คล้ายกับว่าตนมีความทรงจำมากมายกับชายคนนั้น ทั้งที่มันไม่ใช่อย่างนั้น

อาทิตย์อัสดงยอมรับว่าการได้เป็นเพื่อนกับอีกฝ่ายอาจจะเป็นเรื่องที่ดี อย่างที่เจ้าตัวบอกไว้ คนที่ชื่นชอบขนมหวานเหมือนกันไม่ได้หาได้ง่ายๆ ดังนั้นหากมีเพื่อนที่สามารถพูดคุยในสิ่งเดียวกันได้ย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน และเขาก็รู้สึกยินดีด้วยซ้ำที่ได้มีเพื่อนคุยเรื่องอดิเรกเสียที

ในเรื่องรสนิยมทางเพศก็เช่นกัน เขาไม่ได้ยี่หระว่ามันจะเป็นแบไหน เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผิด ไม่ว่าเป็นเพศไหน เขาไม่เคยรู้สึกเดียดฉันท์ ดังนั้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะบอกออกมาว่าเป็นเกย์ เขาก็สามารถคบหาในฐานะเพื่อนได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

ทว่า...เพราะภันวัฒน์บีบลู่ทางของความสัมพันธ์ฉันเพื่อนให้แคบลง บล็อกเกอร์หนุ่มจึงเริ่มไม่แน่ใจ

มือที่ราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้จนวางทิ้งค้างอยู่กลางความว่างเปล่าจึงขยับลง ออกจากเมนูรายชื่อและกดล็อกโทรศัพท์กลับไปเช่นเก่า จากนั้นวางมันลงบนโต๊ะหนังสือข้างแล็บท็อปที่เปิดค้างอยู่

เขายังปลดบล็อกเบอร์นั้นไม่ได้

ทั้งที่ตัดสินใจอย่างชัดเจนแล้ว แต่ไม่รู้เหตุใดความรู้สึกหม่นๆ ถึงอัดแน่นอยู่ในใจ หนักอึ้งในอกจนอึดอัด ลมหายใจผ่อนออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งใช้งานเสร็จก่อนจะโยนร่างทิ้งไปบนเตียงสีขาวสะอ้าน ดึงหมอนข้างมากอดและซบหน้าลงแนบ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่มั่นใจในความรู้สึกของตนเอง หรือเกรงกลัวว่าหากใกล้ชิดกับใครสักคน หัวใจจะเอนเอียงโอนอ่อน อาทิตย์อัสดงแน่ใจว่าตนล็อกหัวใจได้อย่างแน่นหนาแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถก้าวล่วงผ่านปราการนั้นเข้ามา

กับภันวัฒน์ก็เช่นกัน

แต่ทั้งที่เชื่อมั่นเช่นนั้น เขากลับไม่กล้าเผชิญหน้าอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา ไม่กล้าที่จะเปิดโอกาสให้ฝ่ายนั้นเข้าใกล้มากกว่านี้ ไม่กล้านิ่งเฉยปล่อยให้ภันวัฒน์ได้ทำตามอำเภอใจอยู่หน้าประตูบานนั้น เพราะเกรงว่าหากผู้ชายคนนั้นทุบกำปั้นลงมาซ้ำๆ จะเกิดรอยปริแยก ทั้งที่หากเป็นคนอื่นเขาคงไม่รู้สึกเช่นนี้

ลองแล้ว ลองคิดจินตนการแล้ว หากเป็นผู้ชายคนอื่นในแผนกที่ทำงานล่ะ หากเป็นตะวันล่ะ ความมั่นใจของตนจะสั่นคลอนแบบนี้ไหม

คำตอบคือ ไม่

ไม่แม้สักนิด

หรือแท้จริงแล้ว เพราะเป็นคนคนนี้ เป็นภันวัฒน์ต่างหากที่ทำให้เขาหวั่นเกรงว่ากำแพงซึ่งก่อทับประตูไว้อย่างแข็งแกร่งจะพังทลาย

เพราะเขาไม่รังเกียจยามใกล้ชิดหรือถูกสัมผัสโดยภันวัฒน์ ถึงได้หวาดกลัว ถึงต้องป้องกันตัวเองให้มิดชิด และไม่เปิดโอกาสให้มากไปกว่านี้





กว่าผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มจะได้มีโอกาสเปิดดูบล็อก Tea Party ก็อีกหลายวันหลังจากนั้น เพราะแม้จะหลุดพ้นจากช่วงเวลาที่ต้องโหมงานจนร่างกายแทบบดย่อยเป็นชิ้นส่วนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ค่อยมีเวลาเว้นว่างให้เอ้อระเหยสักเท่าไร เนื่องจากงานบางส่วนที่ยังไม่ต้องเร่งรีบอนุมัติซึ่งผัดผ่อนเอาไว้แห่แหนต่อคิวให้ต้องสะสาง ไม่ใช่นั้นจะพอกเป็นดินติดหางหมู

เอนทรี่สุดท้ายที่ถูกอัพไว้เป็นสิ่งที่เรียกรอยยิ้มของชายหนุ่มได้ ภันวัฒน์กวาดสายตาไปตามตัวหนังสือที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อสร้างภาพพจน์ที่ดีทั้งสำหรับเขาและเจ้าของบล็อก หากแต่รอยยิ้มไม่ได้เกิดการความดีใจว่าในที่สุดอาทิตย์อัสดงก็ช่วยลบล้างข้อบกพร่องของขนมให้เสียที แต่เนื่องจากเนื้อหาถ้อยคำที่อีกฝ่ายเลือกใช้ต่างหากที่ทำให้หุบยิ้มไม่ลง จนนึกอยากขอบคุณร่างโปร่งขึ้นมาทันใด

นิ้วใหญ่กร้านรีบเลื่อนจอโทรศัพท์เพื่อกลับสู่หน้าจอหลัก เข้าสู่สมุดโทรศัพท์เพื่อติดต่อไปยังเป้าหมาย ครั้นเมื่อต่อสายแล้วกลับต้องนิ่วหน้าไปเล็กน้อย เพราะเสียงสัญญาณที่ดังอยู่ยังคงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะว่าเบอร์โทรศัพท์ของเขายังถูกสกัดกั้นไว้ไม่ให้ติดต่ออีกฝ่ายได้ เสียงทุ้มบ่นพึมพำ

“ยังไม่ปลดบล็อกอีกเหรอ”

รู้สึกผิดหวังอยู่เจือจางที่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากบล็อกเกอร์หนุ่ม ร่างสูงจึงเปลี่ยนมาเข้าแอปพลิเคชั่นสนทนา ตั้งใจว่าจะลองกดส่งข้อความผ่านชื่อที่แสดงอยู่ในหน้ารายชื่อเพื่อนซึ่งตนเพิ่งกดเพิ่มเพื่อนจากเบอร์โทรศัพท์เมื่อไม่กี่วันก่อน

“ส่งสติกเกอร์ไปก่อนแล้วกัน”

เพราะไม่รู้ว่าจะทักทายอีกฝ่ายไปอย่างไร จะโพล่งคำขอบคุณไปทางนั้นอาจงงได้ ผู้จัดการหนุ่มจึงเอาอะไรที่ดูเป็นกลางไว้ก่อน เขาส่งสติกเกอร์คำทักทายไป และกะว่าค่อยบอกว่าเป็นตนตอนที่ร่างโปร่งตอบกลับมา ทว่าหลังจากส่งไปสักพัก ก็ยังไม่มีข้อความแสดงว่าอีกฝ่ายอ่านข้อความนั้นแล้ว

“อาจจะไม่ว่างก็ได้มั้ง”

ไหวไหล่เบาๆ เมื่อเห็นว่าปฏิกิริยาจากบล็อเกอร์หนุ่มยังเป็นศูนย์ จึงกลับมาทำงานที่ยังเหลืออยู่อีกเล็กน้อยแทน ทว่าทำไปได้ชั่วครู่เสียงโทรศัพท์เครื่องบนโต๊ะก็เรียกความสนใจให้หันไปหา เขายกหูรับก่อนจะมีเสียงเลขานุการสาวดังมา

[นนนี่ค่ะ คุณภันไม่ได้จะออกไปเป็นสปายเหรอคะ]

ดั่งเป็นโค้ดลับอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งมันก็เตือนให้ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ เพราะเมื่อเช้าเขาบอกนนทิยาเอาไว้ว่าจะออกไปสำรวจดูบริการของโรงแรมอื่นช่วงบ่าย เนื่องจากตลอดหนึ่งเดือนครึ่งที่ผ่านมา เขาแทบฝังร่างอยู่ในโรงแรมนี้ จึงไม่ได้ติดตามว่าบริการในส่วนขอบเขตงานของตนเองของโรงแรมอื่นมีการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงไปเช่นไรแล้ว

“อ้อครับ ผมทำงานเพลินไปเลย ขอบคุณนะครับ”

ได้ยินเสียงขานรับ ‘ค่ะ’ แล้วตนจึงวางสายไป และย้ายมือไปยังโทรศัพท์มือถือแทน หน่วยตาคมจ้องตัวเลขบอกเวลาที่ปรากฏบนหน้าจอ จากนั้นเข้าเมนูสมุดรายชื่ออีกครั้ง คราวนี้เปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นอีกคนก่อนจะกดโทรออก

เสียงสัญญาณดังอยู่ไม่กี่ครั้งก่อนน้ำเสียงต่ำทุ้มทว่าสดใสจะดังมาจากปลายสาย

[ครับ พี่ภัน]

“ฐานว่างหรือเปล่าครับ”

เขาถามไปยังคนอีกฟากทั้งที่รู้ว่าจะได้รับคำตอบที่น่าพอใจ ถึงจะเป็นช่วงบ่ายแก่แบบนี้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ค่อยติดขัดอะไร เพราะฐานทัพเป็นนักศึกษาปริญญาโท หาใช่มนุษย์เงินเดือน ดังนั้นเขาจึงมักชวนฐานทัพออกมาเช่นนี้ยามที่ต้องการไปดูความคืบหน้าของคู่แข่ง แต่ก็เฉพาะในส่วนของห้องอาหารเท่านั้น หากเป็นส่วนของเลานจ์หรือบาร์ คู่หูของเขาจะเป็นเกรียงไกรเสียมากกว่า

จะว่าไปก็ไม่ได้ติดต่อรายนั้นนานแล้วเหมือนกัน สงสัยคงต้องชวนไปดื่มบ้าง

[ว่างครับ มีอะไรหรือเปล่า]

“ว่าจะชวนไปโรงแรมสักหน่อย”

ทั้งที่ประโยคนั้นกำกวมว่าต้นสายปลายเหตุที่ชวนคืออะไร แต่ฐานทัพกลับย้อนเสียงกลับมาโดยไม่มีวี่แววสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น

[ชวนเดทเหรอ]

“ไปไหมล่ะ”

[ไม่เห็นต้องถามเลยนี่]

น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดังอย่างสดใส ภันวัฒน์จึงพลอยยิ้มไปด้วย ก่อนจะสอบถามจุดหมายปลายทางที่ตนต้องไปรับหนุ่มร่างเล็ก ตามด้วยกดวางสายหลังจากบอกว่าอีกยี่สิบนาทีจะไปถึง







อ่านต่อข้างล่าง

v


v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥

ต่อจากข้างบน


v


v



กาแฟในถ้วยเซรามิคไร้ลวดลายถูกจรดเบาๆ ลงบนริมฝีปากของร่างสูงเมื่ออาหารมื้อบ่ายแก่จบลง เขาเก็บบันทึกข้อมูลบริการของห้องอาหารภายในโรงแรมที่ตระเวนสำรวจมาสามแห่งไว้ในสมองเรียบร้อยแล้ว ทั้งด้านดีและจุดบกพร่องที่สมควรแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ชนิดและปริมาณของอาหาร ราคา รวมไปถึงสุขอนามัย

“แล้วนี่เป็นยังไงบ้างล่ะ ยังมีปัญหาแบบเดิมไหม”

วางถ้วยในมือเสร็จก็หันไปสบตาร่างเล็กกว่ามากซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ฐานทัพหยุดมือที่คนกาแฟในถ้วยตรงหน้าตนอย่างเรื่อยเปื่อยราวกับลานที่ไขไว้กำลังจะหมดลง

“ผมว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าถามเลยนะพี่ภัน”

คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้ภันวัฒน์ต้องยิ้มอย่างอ่อนใจ แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายและอมทุกข์ให้เห็นอยู่รางๆ แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้

“แล้วนอกจากเรียนได้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาบ้างหรือเปล่าล่ะ”

ฐานทัพกลับมาเป็นนักศึกษาอีกครั้งหลังจากจบปริญญาตรีและเข้าทำงานอยู่สามปี แต่ชีวิตของนักศึกษาปริญญาโทย่อมไม่ครื้นเครงห้อมล้อมไปด้วยเพื่อนฝูงเหมือนอย่างตอนเรียนปริญญาตรีอยู่แล้ว เขาจึงอดเป็นห่วงไม่ได้

ยิ่งอยู่กับตัวเองมากเท่าไร เรื่องที่ไม่ควรจะใส่ใจก็เก็บเอามาคิด

เรื่องที่ยิ่งเครียดอยู่แล้ว ก็ยิ่งกัดกร่อนจิตใจ

“ก็เรื่อยเปื่อยแหละครับ พี่ก็รู้อยู่ ชีวิตผมไม่ค่อยมีอะไรหรอก”

“เที่ยวกลางคืนน่ะเหรอ พี่บอกให้เพลาๆ ลงแล้วไง”

“แล้วใครล่ะครับที่ไม่ว่างมาหาผมเลย”

เจ้าตัวทำเสียงกระเง้ากระงอดกึ่งประชดประชัน จับจ้องมายังดวงหน้าเรียวคมดังจะโบ้ยความผิดให้อย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งภันวัฒน์ก็ยอมรับความผิดนั้นในส่วนหนึ่ง เพราะเขาเคยเอ่ยปากแท้ๆ ว่ายินดีจะดูแล

“พอดีช่วงนี้พี่ยุ่งๆ น่ะ ถ้ามีเวลาพี่ก็ติดต่อฐานอยู่แล้ว”

ร่างเล็กเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายบอก จึงไม่ได้เอ่ยปากยอกย้อนใดๆ อีก ก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ และสานหัวข้อสนทนาบทใหม่ด้วยดวงตากลมโตที่เป็นประกายวาววับ

“แล้วคืนนี้พี่จะอยู่กับผมหรือเปล่าล่ะ”

ภันวัฒน์นิ่งค้างไปชั่วครู่หนึ่ง นัยน์ตาสีนิลจ้องมองไปยังกรอบหน้าเล็กกลมเบื้องหน้า พลางไพล่นึกไปถึงอีกคนที่อยู่ๆ ก็แวบเข้ามาในหัว

เขาอยาก...

มือหนาเลื่อนมาหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างมือ กดดูข้อความที่ตนส่งไปให้ใครบางคนก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าฝ่ายนั้นจะเปิดอ่านข้อความ สุดท้ายจึงเอ่ย

“พี่มีธุระต่อน่ะ”

“โห่” เสียงร้องอย่างเสียดายดังมาอย่างไม่ปิดบัง ฐานทัพบ่นต่อ “น่าเบื่อ”

“ไว้คราวหน้านะ”

ผู้จัดการหนุ่มเจือยิ้มบางบนหน้าคมคร้าม ทำให้ใจคนมองอ่อนลง แต่ไม่วายทำหน้าบึ้งเล็กน้อยอย่างที่คนเห็นรู้ได้ทันทีว่าเจตนา

“ก็ได้”

ร่างสูงส่ายศีรษะเล็กน้อยกับท่าทีเอาแต่ใจแต่กลับดูน่ารักของคนตัวเล็ก ครวญคิดไปถึงคนที่ป่านนี้คงนั่งทำงานอยู่กระมัง เพราะใช้ชีวิตเป็นพนักงานกินเงินเดือนไม่ต่างจากตน อดคิดไม่ได้ว่า...เขาตัดสินใจได้ง่ายเหลือเกิน

ระหว่างฐานทัพที่รู้จักมาแปดปีนับตั้งแต่เจอกันครั้งแรก และอีกสองปีที่ได้มาคบหากัน

กับอาทิตย์อัสดงที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่สี่เดือน...






-------------------
ได้แนะนำตัวกันตอน 12 แล้วกว่าจะได้เรียกชื่อจริงๆ นี่อีกกี่ตอนนะ?


Undel2Sky


ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
สู้ ๆ ค่ะ จีบต่อไปอย่าให้ขาดช่วงค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด