「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)  (อ่าน 78519 ครั้ง)

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
เราสงสารคุณอาทิตย์ยังไงไม่รู้ค่ะ มีความรู้สึกว่าคุณภันยังไม่คู่ควร อยากเก็บไว้เป็นของตัวเอง คือเราคิดว่าคุณอาทิตย์นี่เริ่เปิดใจมากขึ้นทุกที แต่ก็ไม่รู้ว่าสาเหตที่คุณอาทิตย์เหมือนจะกลัวการผูกพันคืออะไรนะคะ เฮ้ออ อ่านแล้วอึดอัดนิดนึงค่ะ แต่ดีแล้วที่ไม่ปลดบล็อก อย่าปล่อยให้เขาเข้ามาได้ง่ายๆค่ะถ้าเรายังไม่พร้อม ดูหน้าคุณภันค่ะ หล่อ รวย รู้เลยว่าคั่วมาเยอะแน่ๆ คุณอาทิตย์ต้องเตรียมรับมือไว้เยอะนะคะ ถ้ายังไม่พร้อมก็อย่าเพิ่งขยับเข้าไปใกล้เลยค่ะ ส่วนคุณภันเราก็ว่าเวลาอยู่กับครอบครัวก็ดูเป็นผู้ชายอบอุ่นนะคะ แต่นอกบ้านนี่ดูเจ้าชู้มากอ่ะ อย่ามาบอกว่าคบไปเรื่อยๆเพื่อหาคนที่ถูกใจค่ะ เรารู้ทันนะคะ 55555 แต่มันก็พูดยากนะคะ กับน้องฐานนี่เราว่าก็แปลกๆอ่ะ คือน้องเขาเป็นอะไรเหรอคะ? ตอนแรกเข้าใจว่าน้องเขามีแฟนใหม่แล้วรักกันมาก แต่อะไรคือคืนนี้จะอยู่กับผมไหม เราว่ามันแปลกอ่ะ จะว่าเพราะเป็นคนแรกก็ไม่น่าใช่ คุณภันก็คงไม่ใช่เอ็นดูคนที่เคยนอนด้วยแบบน้องชายมั้ง ใครจะนอนกับน้องชายตัวเอง เราสับสนนนน แต่เพราะอย่างนี้เราเลยคิดว่าคุณภันยังไม่พอสำหรับคุณอาทิตย์อ่ะค่ะ จงโดนบล็อกต่อไปซะ ถึงสุดท้ายคุณภันจะเลือกบุกบ้านคุณอาทิตย์แต่เราก็ว่านะคะ ย่าไปเลย อย่าทำคุณอาทิตย์ลำบากใจเลยค่ะ โอ๊ย แต่ถ้าไม่ไปหาเลยเราว่าคุณอาทิตย์จะซึมเศร้า เราสับสนเหบือเกินค่ะ ทำไมแบบนี้อ่ะ ขอความกระจ่างให้เราเถอะค่ะะะะะ คุณอาทิตย์อย่าไปเรียกนะคะฮักเนี่ย อย่าาาา เดี๋ยวเสียเปรียบ สรุปเรื่องนี้คนอ่านมโนสุดค่ะ โอ๊ยยยยย 555555555555  :hao7:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เกิดอะไรขึ้นกับฟรีในอดีต? อยากให้อาทิตย์อัสดงดวงนี้งดงามและสดใส
อย่าปิดใจกับคุณฮักเลยนะ เขาออกจะใจง่ายหลงหนุ่มบล็อกเกอร์ขนาดนี้

ออฟไลน์ cinnsin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อีพี่ฮักกกกก! รู้สึกหมั่นขึ้นมาหน่อยๆ จะจีบพี่ฟรีแต่ก็คุยกับคนอื่นด้วยนี่มัน.. พี่ฟรีรู้เข้าก็คงไม่ปลื้มหรอกนะคะ  :m16: #ทีมพี่ฟรี

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
เลือกถูกแล้ว

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
14th Entry : ผัดวันประกันพรุ่ง






กว่าจะออกมาจากโรงแรม ท้องนภาก็แปรเป็นสีแห่งสนธยาแล้ว ภันวัฒน์ได้ส่งฐานทัพแค่ครึ่งทาง เพราะเจ้าตัวออกปากว่าจะไปเที่ยวต่อ เมื่อได้ฟังเช่นนั้นชายซึ่งสูงวัยกว่าก็ได้แต่อ่อนใจ

ฐานทัพเป็นคนดื้อ ทั้งดื้อดึง ดึ้อด้าน และดื้อเงียบ

“อย่ากลับดึกมากนะ แล้วก็ระวังตัวด้วย”

ประโยคหลังกล่าวเตือนด้วยความจริงจัง ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีเสน่ห์มากแค่ไหน เขาได้ลิ้มลองจนติดใจและหลงใหลมาแล้ว แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะไม่ได้ดูมีจริตสาวสักกระผีก แต่ดวงตากลมโต ขนตางอนยาว รูปหน้ากลมเล็ก และสรีระที่บอกได้คำเดียวว่าเล็กกระชับมือ ก็ทำให้เหล่าเกย์ถูกใจเอาได้ง่ายๆ

“หวงเหรอ”

คนถูกเตือนเผยยิ้มร้าย กล่าวกระแซะให้คนฟังส่ายศีรษะเบาๆ อีกครั้ง ถึงกระนั้นก็พูดตอบอย่างตรงไปตรงมา ‘ทั้งหวงทั้งห่วงเลยล่ะครับ’ เรียกรอยยิ้มพึงพอใจให้แต้มบนหน้าของคนถามได้

“ดีๆ งั้นผมไปก่อนนะ”

ฐานทัพบอกอย่างชื่นมื่น ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยออก ส่งยิ้มให้อีกหนึ่งครั้งและลงจากรถไป

ภันวัฒน์มองตามร่างแบบบางของนักศึกษาวัยยี่สิบหกจนร่างนั้นลับหายไปไกลแล้วจึงค่อยเคลื่อนรถออกไปจากจุดจอด

เวลาย่ำค่ำลงทุกที จุดหมายปลายทางจากที่คิดไว้ก่อนหน้านี้เข้มสีขึ้นเป็นภาพที่ชัดเจน รถยนต์สีเทาดำจึงเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางนั้นโดยไม่ต้องอาศัยการย้ำคิด หลังจากนั้นเพียงครึ่งชั่วโมงก็ได้มาหยุดล้อลงยังหน้าบ้านที่คุ้นเคย

แสงหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ส่องสว่างอยู่ภายในซึ่งเห็นได้ผ่านทางหน้าต่างทำให้คนที่มาเยือนโดยไม่บอกกล่าวใจชื้น แม้จะมั่นใจอยู่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่บ้าน แต่ก็เผื่อใจเอาไว้ว่าหากฝ่ายนั้นต้องทำงานจนกลับดึกเขาอาจจะมาเสียเที่ยวก็เป็นได้

กายกำยำลงมาเหยียบพื้นคอนกรีตที่หน้าประตูรั้วหลังดับเครื่องยนต์สนิท กดสัญญาณเรียกที่หน้าประตูอยู่สองสามครั้ง ประตูของตัวบ้านก็ถูกเปิดออกมาพร้อมกับผู้เป็นเจ้าของ เพียงแค่ได้เห็นใบหน้านั้นที่เผลอเป็นต้องนึกถึง ก็รู้สึกว่าริมฝีปากกำลังยกขึ้นโดยอัตโนมัติ

หัวใจกำลังเต้นอย่างเริงร่าจนรู้สึกได้

ทว่า...

“ทำไมหน้ามุ่ยจังครับ”

อีกฝ่ายนั้นมีสีหน้าตรงกันข้าม แม้จะไม่ได้ชัดเจนอย่างที่ตนเอ่ยทักออกไป แต่บนใบหน้าของอาทิตย์อัสดงก็ปรากฏริ้วรอยของความยุ่งยากใจ ทว่าสาเหตุไม่ใช่การมาเยือนของเขา ภันวัฒน์เชื่อเช่นนั้น เพราะเห็นว่ามันประทับอยู่บนดวงหน้าขาวตี๋ก่อนที่เจ้าตัวจะมาประจันหน้ากับเขาเสียอีก

“พอดีผมกำลังติดพันกับเรื่องบางอย่างอยู่น่ะ”

ได้ฟังเช่นนั้น หนุ่มร่างสูงสง่าพลันเลิกคิ้วขึ้นเ เสียงทุ้มที่สูงกว่าเล็กน้อยเอื้อนต่อ

“ว่าแต่คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

“อ้อ” ภันวัฒน์ครางเสียงออกมาเบาๆ ก่อนจะจาระไน “พอดีผมเห็นว่าคุณอัพรีวิวในบล็อกแล้ว ก็เลยจะมาขอบคุณน่ะครับ เพราะผมโทรติดต่อคุณไม่ได้ ไลน์คุณก็ไม่อ่าน”

หลังสิ้นเสียงของปาติซิเย่หนุ่ม อาทิตย์อัสดงชะงักไปครู่สั้นๆ ก่อนจะปรับสีหน้าใหม่ให้ดูแจ่มใสขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังติดแววกังวลอะไรบางอย่างอยู่ดี

“ไม่เห็นจำเป็นต้องถ่อมาถึงนี่เลยนี่ครับ เปลืองเวลา เปลืองค่าน้ำมันเปล่าๆ”

“งั้นถ้าผมบอกว่า...คิดถึง อยากเจอหน้าคุณล่ะครับ”

รอยยิ้มถูกยกขึ้นประดับบนหน้าภันวัฒน์ราวกับสวมหน้ากาก แต่หน้ากากนั้นถูกประดิษฐ์ขึ้นมาด้วยความรู้สึกจากใจจริง มันจึงสาดเซาะในใจของคนฟังได้ไม่น้อย

ร่างโปร่งหลุบตาลงต่ำราวกับไม่กล้าเผชิญหน้ากันตรงๆ เห็นดังนั้นภันวัฒน์ก็ขยับถอยห่างไปเล็กน้อย จากนั้นจึงค้อมตัวต่ำลงและเอียงตัวไปทางด้านข้างนิดหน่อย พลางช้อนสายตามองคนที่ก้มหน้าอยู่

“ไม่เห็นต้องทำหน้าแบบนั้นเลยนี่ครับ”

สิ่งที่เผยให้เห็นบนหน้าของบล็อกเกอร์หนุ่มไม่ใช่สีหน้าเอียงอาย หรือว่าหมั่นไส้ หากแต่เป็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกคล้ายสะกดกลั้นอะไรสักอย่างอยู่เสียมากกว่า

มือหนาทั้งสองยื่นประคองพวงแก้มของคนที่กึ่งก้มหน้าให้แหงนขึ้นมาสบตากันอีกครั้ง พร้อมยืดตัวกลับมายังตำแหน่งเดิม

“คุณ...”

เสียงแผ่วหวิวหลุดออกมาจากกลีบปากบางสีระเรื่อ มือเรียวยกขึ้นมาเพื่อดึงมือของอีกฝ่ายออก ภันวัฒน์ยิ้มน้อยๆ ก่อนบอกด้วยน้ำเสียงสุขุม

“รู้ไหมครับ ยิ่งคุณปิดกั้นตัวเอง คุณก็ยิ่งทรมาน”

“ผมไม่ได้ทำแบบนั้นหรอกครับ”

ถ้อยคำที่เอ่ยเอื้อนแสดงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งว่าเป็นคำแก้ตัว

“ถ้าไม่ได้ทำแบบนั้น คุณก็ต้องเผชิญหน้าผมเหมือนอย่างที่ผ่านมาสิครับ”

“.....”

“คุณน่ะ ยังไม่ต้องเปิดรับผมก็ได้ แต่แค่อย่าหลบซ่อน อย่าหลีกหนีจากผมก็พอ ผมไม่อยากให้คุณทำร้ายตัวเองหรอกนะ”

อาทิตย์อัสดงพูดอะไรไม่ออกเมื่อถูกย้อนกลับมาเช่นนั้น เขาหลุบตาลงมองปลายเท้าตัวเองอีกครั้งเพราะไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้าอีกฝ่ายแบบไหน ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ มันถึงกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมา

เพราะภันวัฒน์บอกว่าจะจีบเขา

หรือเพราะเขารู้สึกตัวแล้วว่าผู้ชายคนนี้อันตราย

สภาพของอีกฝ่ายที่เห็น ทำให้ร่างสูงรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก ถึงเขาจะพูดออกไปตามตรงว่าสนใจอาทิตย์อัสดง แต่ก็ไม่คิดจะบีบคั้นให้ตอบรับเขาในเวลานี้ เขายินดีค่อยๆ ก้าวเข้าไปทีน้อย แล้วทุบทำลายสิ่งกีดขวางทุกอย่างที่มาขวางทางเอาไว้ จนสุดท้ายไปถึงปลายทาง...หัวใจเปลือยเปล่าที่เจ้าตัวกอดเก็บมันเอาไว้อย่างหวงแหนและหวาดกลัว

“แล้ว...ที่ว่าคุณติดพันอะไรบางอย่างอยู่ นั่นเรื่องอะไรเหรอครับ เผื่อผมจะช่วยได้”

ท้ายที่สุดก็ต้องยอมละทิ้งความรู้สึกเมื่อครู่ไปก่อน เพราะดูเหมือนร่างโปร่งจะยังไม่พร้อมขยับเขยื้อนไปมากกว่านี้ ซึ่งมันก็ราวกับเส้นเชือกที่ทอดลงมาระหว่างที่อาทิตย์อัสดงกำลังจะก้าวพลัดตกเหว เจ้าตัวถึงได้คว้ามันเอาไว้โดยไม่ต้องตรึกตรอง

“ผมกำลังหาร้านเค้กเพื่อสั่งทำเค้กวันเกิดให้หลานชายวันมะรืนอยู่น่ะครับ เพราะว่าร้านประจำเขาปิดกิจการไปแล้ว ผมผิดเองแหละที่ดันชะล่าใจว่าไม่น่ามีปัญหา เลยไม่ได้สำรองร้านอื่นเอาไว้ แต่พอลองหาข้อมูลและโทรไปสอบถามแล้ว ไม่มีร้านไหนรับทำเค้กนมสดอย่างที่อยากได้เลย”

“เค้กนมสดเหรอครับ อืม... ส่วนมากถ้าไม่ใช่ร้านที่ขายอยู่ประจำก็ไม่ค่อยรับทำกันหรอกครับ ส่วนร้านที่รับทำก็จะทำตามรูปแบบสูตรของเขา”

ได้ยินคำชี้แนะจากมือโปรแล้วก็ยิ่งส่งผลให้คนฟังจิตใจห่อเหี่ยวลงไปอีก มันแสดงออกมาทางแววตาและสีหน้าอย่างชัดแจ้ง ภันวัฒน์จึงอดยื่นความช่วยเหลือให้ไม่ได้

“แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวผมแนะนำร้านให้”

“เอ๋ จริงเหรอครับ ร้านไหนเหรอครับ”

ฉับพลันที่ได้ฟัง ราวกับมีเม็ดทรายต้องแสงแดดส่องประกายเจิดจ้าขึ้นมาในใจที่ดำมืด ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น มันก็ถูกลมวูบใหญ่พัดหายไปอย่างรวดเร็ว

“ร้านผมไงครับ”

อาทิตย์อัสดงเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ก่อนเปล่งเสียงออกมา

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมจะลองหาร้านอื่นๆ ดู ต้องรบกวนคุณ...ผมเกรงใจ”

หางประโยคแผ่วลงเพราะรู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายที่มีเจตนาดี แต่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะถอยห่างออกมา ไม่เอาตัวเข้าไปพัวพันกับอีกฝ่ายมากไปกว่านี้

เขาจะทำอย่างแนบเนียนที่สุด

“แต่...เหลือเวลาอีกแค่สองวันเองนี่ครับ ไม่มีเวลาหาร้านหรอก ไม่เชื่อมือผมเหรอ”

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสร้างความหนักใจให้คนฟังมากยิ่งขึ้น ร่างโปร่งหลุบตาลงเล็กน้อยคล้ายครุ่นคิด เขากำลังลังเลว่าควรจะถอนตัวออกมาตอนนี้ หรือว่า...ผัดผ่อนไปก่อน เพราะในเวลานี้เขาเข้าตาจนจริงๆ

แล้วสุดท้าย...

“ก็ได้ครับ”

บล็อกเกอร์หนุ่มตอบอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ไม่ใช่เพราะอ่อนใจต่ออีกฝ่าย แต่อ่อนใจกับความอ่อนแอของตนเองต่างหาก

อีกสักครั้งก็ได้ แค่อีกครั้งเดียว แล้วเขาจะไม่ติดต่อภันวัฒน์อีก

“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยจดรายละเอียดให้ผมหน่อย ว่าต้องการแบบไหน แล้ววันมะรืน ช่วงประมาณหกโมงเย็น คุณมาที่ร้านผมนะ เดี๋ยวผมจะให้คุณแต่งหน้าเค้กเองด้วย”

รอยยิ้มยินดีและเต็มใจตามสไตล์นักบริการ แต่ดูจะจริงใจเป็นอย่างยิ่งกว่านั้นฉายออกมาจากดวงหน้าคมเข้ม พานให้คนได้เห็นต้องถอนหายใจกับตัวเอง และย้ำอีกครั้ง

แค่ครั้งเดียว... ครั้งเดียวจริงๆ





ตลอดทั้งวันของวันมะรืน ไม่รู้กี่ครั้งแล้วที่เสียงถอนหายใจเล็ดลอดออกมาจากชายหนุ่มซึ่งนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์ด้วยท่าทางเหมือนว่ากำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น แต่แท้จริงแล้วมือที่กุมเมาส์อยู่กลับไม่ขยับสักนิด จนหญิงสาวโต๊ะข้างๆ อดจะเหล่มามองไม่ได้

“เป็นอะไรอีกแล้วเนี่ย รู้สึกว่าพักนี้กูจะพูดประโยคแนวนี้อยู่บ่อยๆ นะ”

คล้ายว่าเป็นการบ่นกับตนเองเสียงมากกว่า เพราะว่าคนที่ตนพูดถึงเหมือนจะไม่ได้ยินใดๆ ทั้งสิ้น หนึ่งฤทัยจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วกระซิบริมใบหู

“เลิกงานแล้วโว้ย”

เสียงดังพอดู จึงทำให้คนที่สติเหมือนจะหลุดลอยไปไกลสะดุ้งโหยง หันขวับมามองเพื่อนสนิทด้วยดวงตาเบิกกว้าง

“อะไรของมึงเนี่ย เสียงดังฉิบหาย”

“จ้ะๆ” หนึ่งฤทัยครางรับด้วยเสียงเอือมระอา ก่อนจะผ่อนเสียงออกมาด้วยน้ำหนักที่ต่างกัน “แล้วใครกันล่ะวะ ใจลอยไปถึงดาวพลูโต”

“ใครใจลอย”

“อู้ยย กูมั้งเนี่ย” เธอย้อนเสียงกวนประสาท จากนั้นเปลี่ยนหัวเรื่อง “ว่าแต่วันนี้วันเกิดน้องโฟล์คไม่ใช่เหรอ มึงไม่รีบกลับหรือไง จะห้าโมงครึ่งแล้วเนี่ย”

“ห้าโมงครึ่ง!”

เสียงร้องดังออกมาจนแทบต้องอุดหู อาทิตย์อัสดงตาเหลือกลาน หันไปมองนาฬิกาบนมอนิเตอร์ แล้วก็ได้รับข้อมูลตรงกับที่เพื่อนสาวบอกอย่างไม่ผิดเพี้ยน เสียงอุทาน ‘เวรแล้วไงๆ’ ดังอยู่เนืองๆ ขณะที่เจ้าของเสียงรีบปิดคอมพิวเตอร์อย่างเร็วรี่

“มึง กูไปแล้วนะ” พอกดปุ่มชัทดาวน์เครื่องปุ๊บก็รีบหันไปบอกเพื่อนที่ช่วยเตือน “ฝากปิดยูพีเอสด้วย”

จากนั้นก็คว้ากระเป๋าพร้อมแท็บเล็ตอย่างเร็วไว แล้ววิ่งแจ้นออกจากห้องทำงานทันทีโดยไม่หันหลังกลับมามองเพื่อนสักนิด ว่ากำลังมองตามด้วยสีหน้าเหลอหลาเพราะไม่ทันตั้งตัว

ขาเรียวก้าวกระโดดลงบันไดเร็วเท่าที่สามารถทำได้ ข้ามสองขั้นบ้าง สามขั้นบ้าง กระทั่งมาถึงชั้นล่างจนสำเร็จ ก่อนจะพุ่งทะยานไปยังรถยนต์สีขาว เตรียมพร้อมสตาร์ทเครื่อง แต่อนิจจาเครื่องยนต์กลับไม่ทำงานอย่างที่ใจคิด เหมือนที่เขาว่าไว้ ยิ่งรีบเร่งยิ่งมีปัญหา เหมือนทุกอย่างบนโลกพร้อมจะขัดขวางอย่างไรอย่างนั้น

“โธ่เว้ย อะไรวะเนี่ย ทำไมสตาร์ทไม่ติดเอาวันนี้”

ยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา เห็นว่าเข็มยาวผ่านเลขหกไปแล้วก็ยิ่งรู้สึกร้อนรน เขานัดไปรับขนมเค้กตอนหกโมงเย็น แต่กว่าจะฝ่าการจราจรในตอนนี้ไป หกโมงครึ่งจะถึงหรือเปล่าเขายังต้องคิดดูก่อนเลย และยังมามีปัญหารถสตาร์ทไม่ติดเสียอีก

อาทิตย์อัสดงรู้สึกอยากจะบ้าตายเสียเดี๋ยวนั้น เพราะนอกจากไม่อยากผิดนัดแล้ว ยังต้องกังวลเรื่องหลานชายคนเล็กด้วย เนื่องจากรายนั้นเพิ่งจะหกขวบ แถมคาดหวังกับเค้กวันเกิดมาก ด้วยเขามักซื้อมันจากร้านประจำไปให้ทุกปี ดังนั้นหากไม่มีเค้กวันเกิดที่เขานำไปให้ คงเป็นวันเกิดที่ไม่สมบูรณ์อย่างแน่นอน

ไม่รู้ว่าถ้าเขาไปสาย หลายชายจะมองตาละห้อยขนาดไหนเมื่อได้พบกัน

ในเมื่อไม่สามารถพึ่งพารถของตนเองได้แล้ว อาทิตย์อัสดงจึงรีบลงจากรถแล้ววิ่งออกไปจากอาณาบริเวณของบริษัทอย่างรวดเร็ว สายตาสอดส่ายหารถแท็กซี่สักคัน แต่ฟ้าก็ไม่เป็นใจเอาเสียเลย ครั้นเปลี่ยนเป้าหมายใหม่เป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ก็ต้องผิดหวังอีก

“โอ๊ย ทำไงดีวะเนี่ย ทำไมพอรีบแล้วเป็นงี้ทุกทีเลยวะ”

ชายหนุ่มพร่ำบ่นกับตนเองเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว ยิ่งดูนาฬิกาก็ยิ่งรู้สึกร้อนใจ คิดว่าจะวิ่งไปเพื่อหารถในสถานที่ที่มีรถพลุกพล่านกว่านี้ แต่ก็เกรงว่าสภาพตนเองยามไปถึงบ้านของพี่สาวจะดูน่าอนาถเกินไป สุดท้ายจึงต้องตัดใจ ได้แต่พยายามทำใจสงบมองหารถสาธารณะอยู่เช่นนั้น

ปรี๊น

เหมือนสวรรค์โปรดหรืออย่างไร อยู่ๆ รถคันหนึ่งแล่นออกมานอกบริษัท เมื่อหันไปดูก็พลันนึกได้ ว่าเหตุใดตนจึงไม่ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสาว คงเพราะร้อนใจจนมืดแปดด้านกระมัง แต่มาคิดได้ตอนนี้คงสายไปเสียแล้ว

“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ ฟรี”

เจ้าของรถสีบรอนซ์ที่บีบแตรเมื่อครู่โผล่หน้าจากหน้าต่างมาถาม

“ผมหาแท็กซี่อยู่ครับ พี่เต็ม พอดีรถเสีย”

“อ้าวเหรอ จะไปไหนล่ะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“เอ่อ...”

รู้สึกเกรงใจอยู่หรอก แต่หากปฏิเสธตอนนี้จะกลายเป็นการกระทำโง่ๆ เสียเปล่าๆ อาทิตย์อัสดงจึงสาวเท้าตรงไปยังรถของตะวัน เปิดประตูแล้วหย่อนก้นนั่ง ตามด้วยคาดเข็มขัดนิรภัยโดยไม่อิดออด

“ผมจะไปร้านเค้กน่ะพี่ พอดีนัดรับเค้กวันเกิดของหลานชายเอาไว้”

“อ๋อ งั้นบอกทางแล้วกัน เดี๋ยวพี่บริการส่งถึงร้านเลย”

ตะวันตอบด้วยรอยยิ้มเต็มใจ ก่อนจะเคลื่อนรถออกไป เมื่อเป็นดังนั้นอาทิตย์อัสดงก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความกังวลเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขากล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งนั่นก็ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้เป็นสารถีชัดเจนยิ่งขึ้น

การแลกเปลี่ยนบทสนาดำเนินไปเรื่อยๆ ดังบ้างหยุดบ้างระหว่างผ่านการจราจรที่ไหลตามอัตภาพของช่วงเวลาเลิกงาน

“ฟรีรู้เรื่องเอาท์ติ้งแล้วใช่หรือเปล่า”

“ครับ ไปทะเลอีกเหมือนเดิมเลย”

แม้จะพูดเหมือนบ่นอยู่กลายๆ ทว่าก็ไม่ได้รังเกียจที่จะไปแต่อย่างใด เพราะมันเปรียบเสมือนของขวัญสำหรับพนักงานกินเงินเดือนที่ได้ไปพักผ่อนโดยทิ้งเรื่องงานเอาไว้เบื้องหลัง และที่สำคัญ...ได้ไปฟรี เพราะบริษัทออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แบบนี้ควรจะบอกว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเสียมากกว่าด้วยซ้ำ

“ช่วยไม่ได้นี่ มันเป็นกลางที่สุดแล้ว ใครไปก็ได้ ไม่ค่อยมีปัญหา ถ้าไปน้ำตกหรือภูเขา บางคนก็ปีนขึ้นไม่ไหว บางคนก็ไม่ชอบเดินป่า จะยุ่งยากเสียเปล่าๆ”

ตะวันตอบพลางหันมามองหน้าคู่สนทนาชั่วแวบหนึ่ง ซึ่งอาทิตย์อัสดงก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ถึงรู้สึกว่ามันน่าเบื่อไปหน่อยก็ตามที่ไม่ได้ลิ้มลองรสชาติใหม่ๆ แต่ก็ยังดีที่มีการเวียนสถานที่ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าไปที่เดิมซ้ำๆ กัน

หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็ย่นระยะเข้าสู่จุดหมายปลายทาง อาทิตย์อัสดงสามารถเดินทางมาถึง ‘ห้องนั่งเล่น’ ได้ แม้จะสายกว่าที่นัดเจ้าของร้านไว้สิบห้านาที เขาปลดเข็มขัดนิรภัยออกพลางหันไปกล่าวขอบคุณคนที่มีน้ำใจมาส่งด้วยความรู้สึกติดหนี้บุญคุณใหญ่หลวง

“ขอบคุณมากนะครับ ถ้าไม่เจอพี่ ผมต้องมาสายกว่านี้แน่”

“ไม่เป็นไรหรอก คนรู้จักมักจี่กัน จะไม่ช่วยเหลือกันได้ยังไง”

ตะวันแจงด้วยรอยยิ้ม เขาเต็มใจมากด้วยซ้ำที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้อง ถึงกระนั้นร่างโปร่งก็อดขอบคุณซ้ำไม่ได้

“แต่ก็ต้องขอบคุณมากๆ อยู่ดีแหละครับ ถ้างั้นเดี๋ยวผมลงไปเอาเค้กก่อนนะครับ ไม่งั้นจะสายมากกว่านี้”

พูดจบ อาทิตย์อัสดงทำท่าจะเปิดประตูรถและก้าวลงไปทันที ทว่ากลับต้องหยุดการกระทำของตนลงก่อนเพราะเสียงเรียกจากคนที่นั่งอยู่ด้านหลังพวงมาลัย

“เอ้อ แล้วจะให้พี่รอหรือเปล่า เอาเค้กเสร็จต้องไปบ้านต่อใช่ไหมล่ะ”

“อ๋อ” หนุ่มหน้าตี๋ครางเสียงยาว “ไม่ต้องหรอกครับ ผมคงอยู่ที่ร้านนี่สักพักด้วย เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ไปเองครับ”

“เอาอย่างนั้นเหรอ ถ้าสักครึ่งชั่วโมง พี่ไม่มีปัญหานะ”

“จะรบกวนพี่เปล่าๆ เพราะผมไม่รู้ว่าเค้กจะเสร็จเมื่อไรด้วย”

คำตอบนั้นทำให้คนฟังประหลาดใจไม่น้อย เพราะรุ่นน้องบอกว่ามารับเค้ก แต่ในตอนนี้กลับตอบสิ่งที่ย้อนแย้งกัน

“เค้กยังไม่เสร็จเหรอ”

“เอ่อ...” เมื่อถูกถาม อาทิตย์อัสดงก็ตอบไม่ถูก พยายามควานหาคำตอบจากคลังคำพูดที่มีอยู่ก่อนจะเอ่ยเสียงไม่ให้ประโยคที่ประกอบขึ้นมาดูแปลกประหลาดนักสำหรับคนฟัง “พอดีผมขอเขาเขียนหน้าเค้กเองด้วยน่ะครับ”

ได้ยินเช่นนั้น ตะวันก็ครางเสียงยาวเหมือนกับเข้าใจ ถึงกระนั้นก็ยังย้อนคำถามเดิมอีกรอบ

“ให้พี่รอก็ได้นะ คงไม่นานขนาดนั้นหรอก”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”

เพราะแค่นี้ก็ทำให้อีกฝ่ายต้องเสียเวลามากแล้ว บล็อกเกอร์หนุ่มตอบกลับไปด้วยความเกรงใจอย่างที่สุด เพราะถึงจะคุ้นเคยกับตะวันในระดับหนึ่ง แต่การรบกวนรุ่นพี่มากๆ คงไม่ดี

“ก็ได้ๆ ถ้ามันทำให้ฟรีลำบากใจ พี่ขอโทษด้วยนะ”

ราวกับจะบีบเค้นไล่บี้กันทางคำพูด เพราะแม้สีหน้าของตะวันจะนิ่งเฉย ไม่ได้แสดงออกมาว่าไม่พอใจที่เขาไม่ยอมรับน้ำใจ แต่น้ำเสียงก็แววแฝงอยู่เล็กน้อย ทำให้อาทิตย์อัสดงยิ่งรู้สึกยุ่งยากใจมากขึ้นไปอีก

“ขอโทษจริงๆ ครับ พี่ไม่ได้ทำให้ผมลำบากใจหรอก แต่ผมไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไรจริงๆ ผมไม่อยากรบกวนพี่ ผมเกรงใจครับ แค่พี่มาส่ง ผมก็ขอบคุณมากๆ แล้ว”

“โอเคครับ พี่จะกลับก่อน แต่พี่ไม่ได้ทำให้ฟรีลำบากใจแน่นะ”

“ครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”

คำตอบสุดท้ายมาพร้อมรอยยิ้มที่พยายามสยายให้กว้างกว่าครั้งไหนๆ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะคิดมากเกินไป ซึ่งมันก็ทำให้ตะวันยอมลดความตั้งใจของตนเองลง

เมื่อเห็นท่าทีโอนอ่อนของคนอาวุโสกว่าแล้ว อาทิตย์อัสดงจึงผงกหัวก่อนก้าวลงมาจากรถ ปิดประตูอย่างเบามือและโค้งศีรษะให้อย่างมีมารยาทอีกครั้ง พลางมองส่งรถของตะวันจนห่างไปเกือบสุดสายตา ถึงค่อยก้าวล่วงเข้าประตูร้านมา

“ผมมาพบเจ้าของร้านครับ”

นับว่าเป็นเรื่องดีก็ได้กระมังที่เวลานี้คนที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ไม่ใช่หญิงสาวที่คุ้นหน้า แต่เป็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง อาทิตย์อัสดงจึงไม่ต้องรับสายตาครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างจากเธอ

มันจะไม่น่าคิดมากหรอก ถ้าเขาไม่ได้มานั่งรอในวันนั้น...

รู้สึกว่าตนทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงอย่างไรไม่รู้

“สักครู่นะครับ”

เป็นหนึ่ง พนักงานชายซึ่งประจำเคาน์เตอร์ในวันนี้แทนจุ๊บแจงแจ้ง ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อไปยังชั้นบน ได้ยินเสียงตอบรับ ‘ครับ ทราบแล้วครับ’ ของเด็กหนุ่ม จากนั้นเจ้าตัวก็วางหูลงและหันมาบอก

“เดี๋ยวคุณขึ้นไปชั้นสามได้เลยครับ”

“อ้อ ขอบคุณครับ”

ร่างโปร่งครางเสียงตอบพร้อมพยักหน้าน้อยๆ เดินไปตามทางที่พนักงานหนุ่มผายมือให้ รู้สึกประหม่านิดหน่อยที่ต้องเดินฝ่าฝูงชนในร้าน ถึงจะรู้ว่าชั้นสองของร้านก็เป็นที่นั่งสำหรับลูกค้า แต่เมื่อต้องเดินผ่ากลางร้านเพื่อขึ้นไปชั้นบนเพียงลำพังก็อดรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้ แม้ลูกค้าจะไม่ได้มากเท่าวันหยุดที่เขาเคยมาครั้งก่อนก็ตาม

“สวัสดีครับ”

เมื่อเหยียบย่างมาสู่ชั้นที่เป็นอาณาเขตพิเศษ บล็อกเกอร์หนุ่มก็เอ่ยทักทายผู้ที่อยู่ในห้องนี้ก่อนแล้ว เห็นภันวัฒน์กำลังยกอะไรบางอย่างออกมาจากตู้แช่เย็นพอดีจึงรีบสืบเท้าเข้าไปหา เพราะคะเนได้ว่านั่นคงเป็นเค้กที่เขาสั่งทำไว้อย่างไม่ต้องสงสัย

“ขอโทษด้วยนะครับที่ผมมาช้า”

“ไม่หรอกครับ รถคงติดใช่ไหมครับ”

ภันวัฒน์ในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนและสวมผ้ากันเปื้อนทับ วันนี้ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส รอยยิ้มเย็นสบายที่ส่งให้ทำให้ความรุ่มร้อนในใจของอาทิตย์อัสดงซึ่งกรุ่นอยู่ในอกก่อนหน้านี้คลายลง

นี่อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่เขาเริ่มจะรู้สึกไม่ชอบในตัวภันวัฒน์ก็เป็นได้

รอยยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายแบบนั้น ไม่ชอบเอาเสียเลย

“ผมออกมาช้าด้วยแหละครับ แถมรถดันสตาร์ทไม่ติดอีก ไม่อยากจะเรียกวันซวยเลยล่ะครับ เพราะมันเป็นวันเกิดของหลานผม”

“แย่จังนะครับ แล้วนี่คุณมายังไง แท็กซี่เหรอ”

“อ้อ พี่ที่บริษัทมาส่งน่ะครับ พอดีเจอกันระหว่างผมรอแท็กซี่”

ภันวัฒน์ครางตอบเสียง ‘อ๋อ’ ตอบประโยคนั้น ก่อนจะเข้าเรื่อง

“ผมทำเค้กตามที่คุณขอทุกอย่างเลย ว่าแต่คุณจะแต่งหน้าเค้กแบบไหนดี”

นอกจากหยิบเค้กขนาดสามปอนด์ออกมาจากตู้แช่แล้ว ร่างสูงยังหยิบวัตถุดิบออกมาวางบนเคาน์เตอร์เสียจนมากมาย ทั้งผลเชอร์รี่แดงอวบปลั่ง สตรอเบอร์รี่ลูกโต เรนโบว์สีสันสดใส แผ่นช็อกโกแลต ครีมแต่งหน้าเค้กสำหรับเขียนข้อความหลากหลายสี และยังมีอื่นๆ อีกจิปาถะ

“งั้นเอาอันนี้แล้วกันครับ”

อาทิตย์อัสดงหยิบแผ่นน้ำตาลรูปสัตว์หน้าตาน่ารักสีสันสวยงามขึ้นมา

“เขียนข้อความไหมครับ”

“ครับ ขอบคุณนะครับ”

ภันวัฒน์เหลือวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ไว้ที่เคาน์เตอร์เช่นเดิม พลางหยิบของอื่นๆ กลับเข้าตู้แช่เพื่อรักษาอายุของมัน แต่กระนั้นก็ยังเผื่อเชอร์รี่เอาไว้อีกห้าลูกและสตรอเบอร์รี่ลูกโตอีกหนึ่ง

“ผมว่าเอาสตรอเบอร์รี่วางตรงกลาง แล้วก็เอาเชอร์รี่แต่งรอบๆ ส่วนน้ำตาลแผ่นประดับสักสองสามตัวก็พอครับ กินน้ำตาลมากๆ จะไม่ดีนะครับ ถึงจะเป็นเด็กๆ ก็เถอะ”

เหมือนว่าจะเป็นจุดด่างในความทรงจำอย่างหนึ่งของคนพูด และมันก็ทำให้อาทิตย์อัสดงอดจะยิ้มแหยออกมาไม่ได้ เขาครางเสียงเบาๆ ‘ขอโทษนะครับ’ ก่อนหยิบผลไม้วางลงยังตำแหน่งที่อีกฝ่ายเสนอ และปิดท้ายด้วยน้ำตาลแผ่นรูปสัตว์จำนวนสามตัวตามที่ผู้เชี่ยวชาญบอก

“เอ่อ... แล้วเขียนข้อความนี่...”

“ไหนๆ คุณก็แต่งหน้าเค้กเองแล้ว ลองเขียนเองดูดีไหมครับ”

ได้ยินข้อเสนอ ร่างโปร่งก็กวาดตามองไปยังครีมแต่งหน้าเค้กหลากสีสัน ดูเหมือนมันจะพร้อมใช้งานแล้ว

“ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง คุณเขียนให้ผมได้ไหม”

“ผมว่าคุณเขียนเองดีกว่านะ จะได้ไปอวดหลานคุณด้วยไง ว่าคุณเป็นคนเขียนให้เอง ผมว่าน่าภูมิใจออกนะ ทั้งตัวคุณและหลานคุณด้วย เขาต้องปลื้มมากแน่ๆ”

เพียงได้ฟังก็พานให้นึกหน้าหลานชายคนเล็กของตนออกแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้บล็อกเกอร์หนุ่มรู้สึกมีลูกฮึดขึ้นมา

“ก็ได้ครับ”

มือเรียวยื่นไปหาครีมสำหรับแต่งหน้าเค้ก จับมันมาถือไว้ให้มั่น ตามด้วยจรดลงไปเหนือผิวหน้าเค้กสีขาวเล็กน้อย ออกแรงบีบให้เนื้อครีมสีฟ้าค่อยๆ ผุดออกมา ทว่า...

ฝ่ามือที่ประกบทาบลงมาบนหลังมือ และความอุ่นของอะไรบางอย่างซึ่งแนบเข้ามาชิดแผ่นหลังกลับทำให้ต้องสะดุ้งโหยง








-----------------------
ต่อตอนหน้าจ้า

จะถึงร้อยแล้ว  :katai2-1:

Undel2Sky

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2016 00:15:17 โดย undersky »

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ไม่ไว้ใจฮักซักเท่าไหร่ แต่ก็เอาใจช่วยนะ

ชอบจังเวลาอ่านเรื่องที่นายเอกระวังตัวแบบนี้

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
เราเริ่มสับสนแล้วค่ะ ทำยังไงดี ฮืออออออ ที่แน่ๆเราไม่ชอบคุณภัน อันนี้จริงจัง กับน้องฐานทัพนี่ก็ตัดกันไม่ขาดนะคะ ดูมีเยื่อใยมากกว่าคนรู้จักหรือแฟนเก่า แล้วคุณภันก็บอกเองว่าน่าหลงใหล ดังนั้นคนนี้เรายังไม่ให้ผ่านค่ะ เกลียดดดดด ถ้ายังลืมคนเกาไม่ได้แล้วจะไปจีบคนใหม่ทำไมมมม คิดสิคะว่าถ้าคุณอาทิตย์รู้เข้าจะเสียใจไหม ฮะะะะะ คิดสิคะ!!!!!! โมโห ฮือออ แต่คุณรุ่นพี่นี่เราก็ไม่เอาอ่ะค่ะ ดูแกเป็นคนแปลกๆ แล้วคุณอาทิตย์ก็ดูอึดอัดด้วย คนนี้เราก็ไม่โอเค แล้วสรุปใครควรคู่กับคุณอาทิตย์คะ? เราเอง 55555555555 พูดเล่นค่ะ แต่คุณอาทิตย์คะ ถ้าเราจะถอยห่างแล้วก็อย่าผลัดวันไปเรื่อยค่ะ เราต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ค่ะ! จบเรื่องเค้กนี่ย้ายบ้านหนีเลยดีไหมคะ บ้านเรายังมีห้องว่าง (นี่ก็เต๊าะตลอด 5555555555) เอาจริงๆนะคะ ความจริงจากใจ เราเชียร์คุณภันค่ะ แต่เราโมโหกับการกระทำของแก เราไม่เข้าใจจจจจ กับแฟนเก่าจะอะไรขนาดนั้นคะะะ ไปเลยค่ะ ถ้ายังรักเขาก็อย่ามาหาคุณอาทิตย์ อย่าคิดว่าคุณอาทิตย์ไม่ได้สนตัวเองเลยไปกับคนอื่นได้ บริสุทธิ์ใจ มันไม่ใช่อ่ะเธอ ถ้าจะเริ่มจีบเขาก็ควรเคลียร์ตัวเองก่อนค่ะ ถ้าทำไม่ได้ก็กลับไป! (ประโยคนี้ย้ำหลายรอบจัง แงงงง) แต่เราจริงจังนะคะ เราอึดอัดอ่ะค่ะ ยิ่งอ่านยิ่งอึดอัด อยากให้มันชัดเจนแล้วววววว ไม่เอารุ่นพี่คนนั้นนะคะ เรารำคาญ ฮืออออ ทำไมเรื่องมากแบบนี้ 55555555 รอคอยตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อนะคะ  :mew3:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ตบเข่าดังฉาด!

ฉันว่าแล้ว! งานเขียนหน้าเค้กนี่ต้องมาพร้อมงานจับมือเขียน

มันดีงาม

คุณฮักคะ กรุณาเคลียร์เรื่องน้องฐานทัพด่วน ๆ
จะจีบคุณฟรีต้องมาใส ๆ นะคะ

ออฟไลน์ THiiCHA

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-4
งื้อออ ตัดฉับได้ค้างงงงงง มาก !!!! 
มาต่อเลยนะ
จะงอลแล้วนะ T^T   
ปล. หนีอะไรก็หนีไป หนีใจตัวเองจะได้เร้ออออ 
 :m1: :m1: :m1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
15th Entry : ฝนตั้งเค้า






“จับแบบนี้ครับ”

เสียงทุ้มที่กระซิบนั้นใกล้จนสัมผัสได้ถึงไอความร้อนของสายลม มันกระทบเข้ากับใบหู อาทิตย์อัสดงหันหน้ากลับไปอย่างเร็วพลันตามสัญชาตญาณของมนุษย์ แต่กลับกลายเป็นต้องเผชิญกับอันตรายที่มากกว่า เพราะใบหน้าคมคายสีน้ำผึ้งอยู่ใกล้มากเหลือเกิน

ใกล้เสียจนปลายจมูกแทบชนกัน...

“เอ่อ... คุณ”

สิ่งที่หลุดลอดออกจากปากกาของบล็อกเกอร์หนุ่มหน้าตี๋มีเพียงความแผ่วเบาทั้งนั้น มันเบาเสียยิ่งกว่ากระดาษแผ่นบางๆ เสียอีก และมันก็เปราะบางปลิวไปตามกระแสลมได้ง่ายราวกับหล่นลงมาจากตึกสูง นัยน์ตาสีชาจับจ้องดวงตาสีเดียวกับรัตติกาลไร้ดาวราวกับมีใครมาทากาวให้มันแข็งค้างอยู่เช่นนั้น ไม่สามารถปิดเปลือกตาลงมาได้

ฉับพลันนั้นรอยยิ้มผลิบานบนดวงหน้าหล่อเหลาได้รูป ร่างโปร่งสัมผัสถึงมันได้ผ่านดวงตาของอีกฝ่ายทั้งที่อยู่ในระยะที่ใกล้เกินไปจนไม่อาจเห็นได้ และมันก็ทำให้เสียงอะไรบางอย่างดังก้องมาจากที่ที่อยู่ลึกลงไปในร่างกาย มันกังวานจนหาตำแหน่งที่มาที่แน่นอนไม่ได้

“คุณจับเหมือนจับปากกาแบบนั้น จะไม่มีแรงบีบครีมเอานะครับ แล้วตัวหนังสือก็จะออกมาไม่สวยด้วย”

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่อาทิตย์อัสสดงกลับรู้สึกว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังนุ่มกว่าที่ผ่านมา เขาตั้งสติแล้วผละตัวให้ห่างออกมาเล็กน้อย แต่ก็ได้ระยะแค่เศษเสี้ยวของความคิดเท่านั้น เพราะว่าร่างชิดกับเคาน์เตอร์เสียแล้ว

“เอ่อ ถอยไปหน่อยได้ไหมครับ”

เพราะไม่มีหนทางอื่น ร่างโปร่งจึงต้องออกปากเองด้วยสีหน้าลำบากใจ ภันวัฒน์แสดงความเห็นใจด้วยการขยับตัวห่างอีกนิด พอให้อีกคนหายใจได้คล่องขึ้น ถึงกระนั้นหน่วยตาคมกริบก็ยังจดจ้องที่เรียวหน้าขาวกระจ่าง

“จับแบบนี้ถูกไหมครับ”

เกรงว่าจะก่อให้เกิดมวลอากาศลงมากทับร่างของตนไปมากกว่านี้ บล็อกเกอร์หนุ่มจึงเค้นเสียงออกมาอีกครั้ง พร้อมทั้งเปลี่ยนวิธีจับห่อครีมสีฟ้าที่อยู่ในมือเสียใหม่ แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่ถูกวิธีอยู่ดี มือหยาบใหญ่ทั้งสองข้างจึงเลื่อนมาจับภันวัฒน์จับปลายห่อพลาสติกที่อยู่ต่ำกว่ามือของผู้ไร้ประสบการณ์ด้วยมือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งจับมือเรียวบางกว่าให้ย้ายที จากการกำเนื้อครีมเต็มๆ มือเลื่อนไปยังตำแหน่งที่สูงกว่านั้น ให้เนื้อครีมสีฟ้านั่นอยู่ใต้สันมือที่กำไว้

“ถ้าจับแบบนั้น ตอนบีบ ครีมคงพุ่งใส่หน้าคุณหมดแน่”

อาทิตย์อัสดงรู้สึกว่าช่างน่าขายหน้าเหลือเกินเมื่อได้ยินคำชี้แจง ได้แต่อ้อมแอ้มพูดไม่เต็มเสียงนัก พลางก้มหน้าไปด้วย

“ขอบคุณครับ”

จากนั้นบิดลำตัวที่เผชิญอยู่กับอีกฝ่ายกึ่งหนึ่งให้หันกลับมาขนานกับเคาน์เตอร์อีกครั้ง และเริ่มเขียนตัวอักษรที่ต้องการลงบนหน้าเค้กอย่างระมัดระวัง แต่มันก็ไม่ง่ายนัก ตัวหนังสือบดเบี้ยวคดเคี้ยวไม่ต่างจากเด็กอนุบาล พานให้ผู้ชำนาญการถึงกับอมยิ้มขำ

“ผมช่วยไหม”

“ก็ดีนะครับ”

ร่างโปร่งได้พบปะความน่าอายของตนอีกอย่างหนึ่งบนพื้นสีขาวนั้นแล้วก็ต้องตอบรับคำเสนออย่างเลี่ยงไม่ได้ เขากำลังจะหันตัวและส่งของในมือให้ ทว่าก็ถูกร่างใหญ่กว่าประกบเข้ามาชิดใกล้อีกครั้ง และมันก็เป็นการอุปาทานไปเองอย่างชัดแจ้งว่ารับรู้ได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่าย

“คือ... คุณเอาไปเขียนดีกว่าครับ”

“คุณเขียนแหละดีแล้วครับ จะได้เป็นลายมือของคุณ”

ทั้งที่หาทางหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้แล้ว แต่ทางออกกลับถูกคนที่เอาแผ่นอกหนาแกร่งมาพิงแนบบนหลังโปกปูนปิดทับจนไม่สามารถหลบลี้ไปได้

“แต่ว่า...”

“เขียนเถอะครับ เดี๋ยวเสร็จช้า หลานชายคุณจะรอนานนะ”

เหมือนการเอาหลานมาอ้างชัดๆ

ถึงกระนั้นอาทิตย์อัสดงก็ยอมผ่อนลมหายใจออกมาอย่างจำยอม ยกมือที่กำถุงบีบครีมออกมาตรงหน้าอีกครา ซึ่งก็มีมือหนาเข้ามาปิดทับที่หลังมือและช่วยประคับประคองมันไว้ ขณะที่อีกมือของร่างใหญ่ยื่นมาเท้าเคาน์เตอร์ไว้ราวกับจะกักขังเขาไว้อยู่ในกรงมนุษย์ที่ชื่อภันวัฒน์

ไม่รู้จะปั้นหน้าอย่างไรดี

ร่างโปร่งรู้สึกร้อนวูบๆ ที่หน้าและเหมือนมีรถไฟขบวนใหญ่มาวิ่งวนเสียงดังกึงกังอยู่ในอกจนสนั่นหวั่นไหว ได้แต่บอกตนเองว่าจดจ่ออยู่ที่เค้กซะ ทำให้เสร็จเร็วๆ จะได้พ้นไปจากสภาพนี้เสียที แต่สติที่เฝ้าเพ่งจดจ้องก็มีอันต้องหลุดเป็นพักๆ เมื่อลมร้อนจากคนที่ซ้อนตัวอยู่ด้านหลังพ่นผ่านใบหู

“หลานชายคุณกี่ขวบแล้วครับ”

ทั้งที่เฝ้าอธิษฐานอยู่ในใจให้ผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปอย่างเงียบๆ โดยเร็วที่สุด ทว่าเสียงที่ดังมาจากข้างหูในระยะประชิดก็ทำลายความปรารถนานั้นลงอย่างราบคาบ อาทิตย์อัสดงได้แต่สะกดกลั้นความรู้สึกที่แล่นวูบขึ้นมาที่หูเพราะลมร้อนที่รู้สึกได้และน้ำเสียงนุ่มๆ จากอีกฝ่าย ก่อนจะตอบออกไปโดยระวังเพื่อให้ดูว่าตนเป็นปกติดี

“หกขวบครับ”

แต่ช่างน่าสังเวชที่เสียงตอบนั้นกลับกระท่อนกระแท่นตรงข้ามกับความตั้งใจอันแรงกล้า เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงภาวนาว่าขอให้มันเป็นบทสนทนาสุดท้าย

ทว่ามันก็ไม่เป็นจริง

“หลานคนเดียวเหรอครับ”

“หลานคนเล็ก...ครับ”

จะลอยไปถึงหูของอีกฝ่ายไหม

เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจของเจ้าตัวคนพูด อาทิตย์อัสดงปฏิเสธไม่ได้ว่าตนคิดเช่นนั้นจริงๆ ยามตอบคำถาม

“แสดงว่าพี่คุณกับคุณอายุต่างกันเยอะเหรอครับ”

“ครับ ...ต่างกันสิบหกปี”

“เยอะจังนะครับ”

“ครับ”

ไม่รู้จะตอบอย่างไรแล้ว บล็อกเกอร์หนุ่มพยายามสูดลมหายใจให้ลึก สงวนคำพูดของตนเองให้ได้มากที่สุด เพราะเกรงว่าหากส่งเสียงอะไรมากไปกว่านี้ จะยิ่งกลายเป็นการแฉตัวเองว่ากำลังรู้สึกสั่นสะท้านเพียงใด

ดุจสายลมต้นพายุพัดโหมผ่านกิ่งไม้ผอมชะลูดจนเอนโยก

หัวใจก็เต้นระส่ำแทบทะลุ จนกลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงมันได้

ร้อนไปหมดทั้งมือ หู และแผ่นหลัง ราวกับถูกเตาที่ไฟกำลังลุกโหมอิงอยู่จนเหงื่อแตกซ่าน เฉอะแฉะอย่างน่ารำคาญ

“เสร็จแล้วครับ”

กว่าจะผ่านพ้นช่วงเวลาอันยาวนานนี้ อาทิตย์อัสดงไม่แน่ใจว่าตนหยุดหายใจไปแล้วกี่รอบ เขารีบบอกเมื่อเขียนตัวหนังสือสุดท้ายเสร็จ ตั้งสมาธิกับตนเองว่าจะไม่ยอมหันไปทางด้านหลังเด็ดขาดจนกว่าจะรู้สึกว่าน้ำหนักที่ทิ้งทับลงมาหายไป

“ยินดีด้วยครับ”

ดูเหมือนว่าภันวัฒน์จะไม่อยากสร้างความลำบากใจให้อีกฝ่ายเท่าไร จึงยอมถอยห่างออกมาอย่างไม่อิดออด ดวงหน้าคมคร้ามเผยยิ้มกว้างอย่างอ่อนโยน จนอาทิตย์อัสดงที่จะหันไปขอบคุณต้องปะทะกับรอยยิ้มนั้นเต็มๆ ซึ่งมันก็ทำให้รู้สึกวูบเหมือนลมหนาวพัดเข้ามาอย่างจัง

ทั้งที่แผ่นหลังยังรู้สึกร้อนชื้นอยู่แท้ๆ

“...ขอบคุณครับ”

สุดท้ายก็เค้นเสียงที่ตกลงไปอยู่ที่ปลายเท้าขึ้นมาได้ ร่างโปร่งหันกลับมายังเค้กที่ตกแต่งเสร็จเรียบร้อยด้วยฝีมือตนเองเพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้าที่อันตรายนัก

“แล้วนี่ผมจะเอาไปยังไงดีครับ”

เพราะกลัวว่าความเงียบจะทำให้บรรยากาศแปลกๆ เกิดขึ้น บล็อกเกอร์หนุ่มจึงสร้างประโยคคำถาม ซึ่งคำตอบก็ดังมาอย่างง่ายดาย

“ผมเตรียมกล่องกับน้ำแข็งแห้งไว้ให้แล้วครับ”

หลังคำพูดของนั้น ภันวัฒน์ก็เริ่มเคลื่อนย้ายตัว ไปหยิบอุปกรณ์ที่บอกไว้มาให้ เขาประกอบกล่องกระดาษขึ้น ก่อนจะนำเค้กวางลงไป จากนั้นหยิบกระติกชนิดพิเศษซึ่งทำจากสแตนเลสมา เปิดมันออกและหยิบห่อกระดาษอะไรบางอย่างขึ้นมา

เมื่อเขาคลายกระดาษออกพร้อมหย่อนใส่มุมของกล่องเค้กจึงรู้ว่าเป็นน้ำแข็งแห้ง

“อยู่ได้สองสามชั่วโมงครับ แต่คิดว่าเค้กคงไปถึงก่อนหน้านั้นได้”

“อะ... ขอบคุณครับ ค่าเค้กเท่าไรเหรอครับ”

“ฟรีครับ”

“ครับ?”

หนุ่มหน้าตี๋ทำหน้าเหลอหลาขานเสียงกลับไปว่าอีกฝ่ายเรียกทำไม และดูเหมือนคนเห็นจะเข้าใจได้จึงผุดยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า

“เปล่าครับ ไม่ได้เรียกชื่อคุณ แต่หมายถึงค่าเค้กนี่ฟรีครับ ผมไม่คิดเงิน”

รู้สึกถึงความน่าอับอายจนไม่รู้จะวางสายตาไว้ที่ไหนดี เพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายต่ออยู่ชั่วครู่ทีเดียวหลังได้ยินคำอธิบาย ทว่าสุดท้ายก็สวนเสียงกลับไปได้เพราะเนื้อหาของประโยคเมื่อครู่

“จะให้ฟรีได้ยังไงกันครับ ของซื้อของขาย”

“ถือซะว่าเป็นของขวัญวันเกิดหลานชายคุณจากผมแล้วกันครับ”

“แต่ว่า...”

อาทิตย์อัสดงพยายามจะเถียงต่อ แต่ก็ถูกอุดปากด้วยภาพร่างสูงตรงหน้าเอาสันนิ้วชี้แตะที่ปากของเจ้าตัวเอาไว้เป็นสัญญาณให้เขาห้ามพูดต่อ

“มีคนมอบของขวัญให้หลานชาย คุณควรจะยินดีรับมันไว้นะครับ”

คล้ายกับถูกบอกว่า ‘เป็นของที่ให้หลานชายต่างหาก น้าชายไม่ควรถือวิสาสะปฏิเสธ’ อย่างไรอย่างนั้น บล็อกเกอร์หนุ่มจึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากรับคำ

“ก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ ทั้งทำเค้กให้แล้วยังให้ฟรีอีก”

เป็นน้ำใจที่เหลือคณาในสถานการณ์ที่เขากำลังเดือดร้อนจริงๆ แต่หากนี่จะเป็นครั้งสุดท้าย เขาคงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ไม่อยากติดหนี้บุญคุณ ไม่อยากมีอะไรให้ต้องมีปฏิสัมพันธ์กันอีก

ไม่อยากติดค้างจนไม่สามารถถอยห่างอีกฝ่ายได้อย่างสบายใจ

“ถ้าคุณรู้สึกไม่ดี งั้นทำอาหารให้ผมกินสักมื้อสิครับ ผมคิดถึงกับข้าวฝีมือคุณอยู่นะ”

คล้ายกับอ่านใจกันได้ ปาติซิเย่หนุ่มจึงแทรกเสียงออกมาอีกคราว ซึ่งมันก็ทำให้อาทิตย์อัสดงอดรู้สึกไม่ได้ว่าราวกับมีหนามแหลมขนาดใหญ่ทิ่มลงบนหัวใจ จนปั้นหน้าไม่ถูก

“ผมเห็นคุณทำหน้ายุ่งยากอยู่น่ะ คงรู้สึกว่าติดหนี้บุญคุณผมใช่ไหมล่ะ”

“ก็ได้ครับ”

จะได้จบๆ กันไปอย่างไม่มีอะไรกวนใจอีก อาทิตย์อัสดงตัดสินใจเช่นนั้นพลางรับกล่องเค้กที่ภันวัฒน์ใส่ถุงหูหิ้วแล้วมาให้ กำลังจะล่ำลาอีกฝ่ายอยู่แล้วเชียว แต่เสียงทุ้มก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน

“ว่าแต่คุณจะไปยังไงล่ะครับ รถเสียไม่ใช่เหรอ”

ได้ยินดังนั้นร่างโปร่งก็แทบละล่ำละลักตอบไป

“ผมไปแท็กซี่ครับ”

“เอ ถ้างั้นผมไปส่งแล้วกัน”

“ไม่ต้องหรอกครับ แค่นี้ผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

“ไม่ต้องห่วงครับ” ร่างสูงฉีกยิ้มให้เหมือนจะปัดเป่าความกังวลให้หายไป “ผมคิดค่าบริการเป็นอาหารที่คุณจะทำให้ผมกินแล้วไง นะ”

คำลงท้ายนั้นไม่เหมือนกับการสอบถาม แต่เป็นดั่งการบังคับกลายๆ เสียมากกว่า แม้ว่าจะใช้เสียงที่นุ่มนวลเพียงใด แต่อาทิตย์อัสดงก็รู้สึกเช่นนั้น

เขาได้แต่ถอนหายใจออกมา รับรู้ถึงการจนตรอกของตนเอง

หันไปทางไหนก็เจอแต่กำแพง

“ก็ได้ครับ รบกวนด้วยนะครับ”

ภันวัฒน์ขยายยิ้มกว้างราวกับผีเสื้อสยายปีก ก่อนจะชักชวน ‘ถ้างั้นไปกันเถอะครับ เดี๋ยวจะไปถึงช้า’ จากนั้นออกเดินนำไปยังชั้นล่าง ซึ่งร่างโปร่งก็ได้แต่ต้องเดินตามไปสถานเดียว

เมื่อเข้ามาในรถที่เปรียประดุจที่รโหฐานเคลื่อนที่ ความรู้สึกบางอย่างก็อัดเข้ามาในอกจนแน่น หลังจากบอกสถานที่ปลายทาง อาทิตย์อัสดงก็ขยับตัวไม่ถูก ร่างกายหนักอึ้งเหมือนหิน จะหันไปทางซ้ายทีก็ราวกับมีเสียงลั่นกึกๆ ตามมา จึงพยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้น้อยที่สุด

“นั่งตัวแข็งทื่อแบบนั้นไม่เมื่อยเหรอครับ”

สัญญาณจราจรสีแดงทำงาน ห้องโดยสารจึงหยุดเคลื่อนที่ ภันวัฒน์ใช้โอกาสนี้หันมาสอบถามอย่างโจ่งแจ้ง เพราะเขาเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งนิ่งหลังตรง ไม่กระดิกกระเดี้ยตัวตั้งแต่ออกจากร้านมาแล้ว

“คือ... ผมกลัวเค้กจะเละน่ะครับ”

เป็นข้ออ้างที่นับว่าใช้ได้ ร่างโปร่งบอกตนเองเช่นนั้นในใจ เพราะว่ากล่องเค้กขนาดใหญ่ถูกวางอยู่บนตัก แม้จะรู้สึกเย็นๆ อยู่บ้าง แต่ก็ปลอดภัยกว่าจะนำมันไปวางไว้ที่เบาะด้านหลัง

“แค่หันคอ หรือหันตัวช่วงบน คงไม่กระเทือนถึงขนาดนั้นหรอกมั้งครับ”

เสียงทุ้มพูดเจือหัวเราะ เพราะพอจะเข้าใจว่าร่างโปร่งกำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ ทว่าเพียงครู่เดียวก็ต้องหันหน้ากลับไปยังกระจกด้านหน้าใหม่ เพราะแสงไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว

“ผมแค่อยากระวังเพิ่มเฉยๆ”

“อยู่กับผมแล้วกลัวเหรอครับ”

การแจกแจงเพิ่มเติมถูกผลักตกจนกระเด็นไปไกล ภันวัฒน์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยโดยที่ไม่ได้หันมา ทว่านั่นก็ทำให้ใบหน้าที่ตั้งมั่นจนแข็งอยู่บนคอของบล็อกเกอร์ต้องหันมาทางร่างสูงจนได้

“ผมไม่ได้กลัว”

“กลัวสิครับ คุณกลัวว่าจะใจอ่อนให้ผมใช่ไหม”

ถูกตอกกลับมาเช่นนี้ ร่างโปร่งก็ได้แต่อ้ำอึ้งในใจ ริมฝีปากเรียวเม้มเข้าหากันแน่น ขบมันจนเจ็บเพราะโดนคำพูดที่เปรียบเสมือนอาวุธแทงเข้ามาในหัวใจอย่างรุนแรง เหมือนจะจับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายได้ ภันวัฒน์จึงเสริมต่อ

“แต่คุณจำไว้เลยนะครับ”

“.....”

“ถึงบางครั้งผมจะยอมอ่อนให้ แต่ผมจะไม่ปล่อยคุณไปหรอก”

คำพูดเหมือนแฝงด้วยอารมณ์ที่รุนแรง ราวกับจ้องจะทำร้ายกันก็ไม่ปาน แต่อาทิตย์อัสดงเข้าใจดีว่ามันหมายความในแง่ไหน

ไม่ยอมปล่อยเขาไป...

เพราะแบบนี้อย่างไร เขาถึงต้องหนี

จำต้องหลีกห่างให้ไกลที่สุด เพราะเขาสังหรณ์อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะเป็นบุคคลอันตรายเช่นนี้

ต้องเอาตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือผู้ชายคนนี้ให้ได้

เขาไม่อยาก...รู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว

“ผมขอร้องได้ไหมครับ”

ลองวิงวอนดู แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินเหลือเกิน

“ผมทำไม่ได้หรอกครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมสนใจคุณ และผมก็อยากจะพัฒนาความสัมพันธ์กับคุณไปมากกว่านี้”

“ทั้งที่ผมไม่ต้องการน่ะเหรอครับ”

“แต่สักวันคุณจะต้องการผมอย่างแน่นอน”

“ผมว่าคุณมั่นใจในตัวเองเกินเหตุไปนะครับ”

“เพราะผมเห็นความหวั่นไหวในตัวคุณต่างหาก ผมถึงมั่นใจ”

ภันวัฒน์หันหน้ามาประจันกันชั่วครู่หนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ส่งให้ใบหน้าดูดีนั้นดูหล่อเหลายิ่งกว่าเดิม ทว่าอาทิตย์อัสดงก็ตัดการรับรู้ในเรื่องนั้นออกทันที

“ผมอยากรู้จริงๆ ว่าอะไรทำให้คุณกลัวได้ขนาดนี้”

“.....”

คำถามนั้นดังอื้ออึงอยู่ในหูของร่างโปร่ง ราวกับมันกำลังถูกกักขังเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดจากภายนอก เสมือนคนหูดับ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกร้าวในอกคล้ายกับอะไรบางอย่างกำลังถูกโยกคลอน

“เลี้ยวขวาข้างหน้าก็ถึงแล้วครับ”

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง คล้ายกับเป็นการปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่าย เสียงของอาทิตย์อัสดงก็ดังขึ้นอีกคราวเมื่อรถเข้ามาในหมู่บ้านของพี่สาวได้ระยะหนึ่ง เขาทำราวกับเมื่อครู่ไม่ได้มีการสนทนาใดๆ ทั้งสิ้น ทำตัวให้เป็นปกติที่สุด กระทั่งรถเคลื่อนมาจอดยังหน้าบ้านที่ตนบอก

“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยเหลือผม ส่วนเรื่องค่าตอบแทน ไว้ผมพร้อมแล้วจะติดต่อไปนะครับ”

สิ้นเสียง ร่างโปร่งก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออก เตรียมตัวจะก้าวลงจากรถทันที แต่ก็ถูกอีกฝ่ายดึงข้อมือไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวครับ”

“คระ...”

ไม่ทันตอบได้จบคำ ดวงตาสีอ่อนกลับต้องเบิกโพลงค้างไว้เช่นนั้น เห็นภาพที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นภาพช้าประหนึ่งเวลาถูกหน่วงเอาไว้เกินความจริง

มือหนาแตะเข้ากับปากของเจ้าตัว ก่อนจะยื่นมาทาบบนแก้มของเขา

แม้เพียงสัมผัสเบาๆ แต่มันกลับเสมือนเครื่องหยุดเวลา

อาทิตย์อัสดงนิ่งค้างไปเช่นนั้นอยู่ชั่วครู่ เมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็แทบสำลักอากาศ เพราะกระแสเวลาไหลผ่านอย่างรวดเร็วสวนทางกับเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง

“ขอให้มีความสุขกับการฉลองวันเกิดหลานชายนะครับ”

ภันวัฒน์ระบายยิ้มแต้มบนกรอบหน้า พานให้ร่างโปร่งทำอะไรไม่ถูก เขารู้สึกเลิ่กลั่ก ร่างกายเก้งก้างขึ้นมาในบัดดล พยายามรั้งสติให้ได้มากที่สุดก่อนจะเอื้อนเสียงออกมา

“ขอ...ขอตัวก่อนครับ”

จากนั้นเผ่นแผล่วออกจากรถไปอย่างรวดเร็วดุจแมวผวา กระโจนให้ห่างจากสิ่งที่ทำให้ตนหวาดกลัวมากที่สุด เปิดประตูรั้วเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว ปิดประตูตามด้วยความไวแสงโดยไม่หันมองโครงเหล็กเครื่องที่แล้วผลุบเข้าไปในตัวบ้าน ไม่ห่วงขนมเค้กในมือแล้วว่าจะล้มเละขนาดไหน

ก้อนเนื้อในอกไหวระทึก ไม่ต่างจากคนหนีความผิดสักนิด

“น้าฟรีมาแล้วๆ”

เสียงเด็กน้อยที่เป็นเจ้าของวันเกิดดังมาพร้อมกับกระโดดเด้งร่างอย่างตื่นเต้นเข้ามาหาร่างสูงใหญ่กว่าที่รู้สึกขาอ่อนเปลี้ยทันทีที่เข้ามาในพื้นที่ปลอดภัย

“น้าฟรีๆ”

เสียงแจ้วยังร้องเรียกพร้อมกับมือจ้อยดึงขากางเกงผู้เป็นน้าชาย แต่ก็ยังไม่ได้รับเสียงตอบรับใดๆ เด็กน้อยเอียงคอด้วยความสงสัย ก่อนจะกระตุกขากางเกงอีกครั้ง

“น้าฟรีเป็นอะไร ทำไมหน้าแดงแจ๋เลย”

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลอีกเช่นเดิม เจ้าตัวเล็กปล่อยมือออก หมุนตัวกลับ หลังจากนั้นก็วิ่งกลับไปหามารดา ‘แม่ แม่ น้าฟรีเป็นอะไรไม่รู้’ อรุโณทัยจึงรีบออกมาจากครัวด้วยความร้อนใจ ทว่าเมื่อมาประจันหน้ากับน้องชาย คิ้วเรียวก็มุ่นเข้าหากัน

“ฟรี เป็นไข้เหรอ ทำไมหน้าแดงแบบนี้”

มือนุ่มแม้จะกร้านเพราะการทำงานบ้านแนบลงบนหน้าผาก สัมผัสที่เย็นกว่าใบหน้าของตน ทำให้ร่างโปร่งสะดุ้งเล็กน้อย

“ครับพี่แฟร์”

“ไม่สบายหรือเปล่า พี่เห็นหน้าแดงมาก น้องโฟล์คถึงขนาดรีบไปตามพี่จากในครัว”

“อ้อ เปล่าครับ ไม่เป็นอะไร”

อาทิตย์อัสดงได้แต่ตอบเสียงแห้ง ยิ้มแหยให้สองแม่ลูกที่จ้องมองเขาอย่างสงสัย โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กที่ทำหน้างุนงงเอ่ยถาม

“น้าฟรีไม่ได้ไม่สบายแน่นะ โฟล์คอยากกินเค้กวันเกิดกับน้าฟรีนะ”

ไม่เพียงแค่ประโยคที่พูดออกมาเท่านั้นที่น่าฟัง น้ำเสียงยังออดอ้อนช่วยให้สภาพร่างกายรวมทั้งจิตใจที่ดูจะรวนไปหมดเพราะการกระทำของใครอีกคนเริ่มเข้าที่เข้าทาง อาทิตย์อัสดงยิ้มกว้างได้มากขึ้น ควบคุมลมหายใจและการเต้นของหัวใจได้ทีน้อย พลางยกกล่องเค้กขึ้นมาโชว์

“นี่ไง เค้กวันเกิดของโฟล์ค ไว้กินข้าวเสร็จแล้วเรามากินด้วยกันนะครับ”

“ครับๆ เย้”

เด็กน้อยดีใจ กระโดดหย่องแหย่ง ใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์ที่ผู้ใหญ่คนไหนๆ ก็ไม่อาจมีได้ อาทิตย์อัสดงคิดเช่นนั้น ทว่า...

ไม่รู้เหตุใด รอยยิ้มเย็นสบายและสว่างเจิดจ้าของภันวัฒน์ ถึงผุดขึ้นมาทับรอยยิ้มของหลานชายในวินาทีนั้นเสียได้ และมันก็ทำให้หัวใจที่เริ่มกลับมาเต้นด้วยจังหวะเดิมเปลี่ยนเป็นเร่งจังหวะขึ้นอีกครั้ง






เพราะนานๆ ทีจะได้มีงานสังสรรค์ร่วมกับญาติของตน อาทิตย์อัสดงจึงรู้สึกสนุกเต็มที่ หลังจากรับประทานอาหารร่วมกับหลานชายทั้งสาม พี่สาว และพี่เขย ก็มานั่งเล่นเกมกระดานเสริมความรู้ง่ายๆ เพราะหลานชายคนโตอายุย่างสิบขวบแล้ว

เล่นสนุกกันได้ชั่วโมงกว่าๆ เพื่อรอให้อาหารค่ำที่รับประทานไปย่อยเรียบร้อย เตรียมพร้อมรับขนมประจำงานวันเกิดเข้าไปใหม่ อรุโณทัยก็เตรียมจานกับมีดให้พร้อมในห้องนั่งเล่น จากนั้นพี่เขยเป็นคนนำเค้กซึ่งถูกแช่อยู่ในตู้เย็นออกมาจุดเทียนและเดินกลับมาหาพวกเราทุกคน ขณะที่อรุโณทัยช่วยปิดไฟ

“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู”

เสียงร้องเพลงวันเกิดดังจากสมาชิกทั้งหกคน แม้แต่เจ้าของวันเกิดที่ยิ้มพลางร้องเพลงอย่างเริงร่า ตบมือเปาะแปะอย่างมีความสุข พลอยให้คนเห็นหุบยิ้มไม่ลงเลยทีเดียว โดยเฉพาะอาทิตย์อัสดงที่ยิ้มแก้มแทบปริเมื่อหลานคนเล็กบอกว่า

“เค้กน่ากินมากเลยครับน้าฟรี”

“น้าแต่งหน้าเค้กเองเลยนะ จะบอกให้”

ได้ยินดังนั้นจึงอดโอ้อวดออกไปไม่ได้ และไพล่คิดไปถึงว่าเป็นอย่างที่คนลงมือทำเค้กนี้บอกจริงๆ เพราะหลานชายรีบร้องกลับมาทันที

“โห น้าฟรีเก่งจัง”

ความสุขท่วมท้นเข้ามาในใจจนเอ่อไปหมด ทว่ามันกลับไม่ทะลักล้นออกมา อาจเพราะเขาสามารถขยายบ่อกักเก็บความสุขได้มากเท่าต้องการก็เป็นได้

“ถ้างั้นโฟล์คต้องกินเยอะๆ นะครับ น้าฟรีให้เขาทำให้แบบที่โฟล์คชอบเลย”

“ขอบคุณครับ”

“วันเกิดเฟียตเอาบ้างนะน้าฟรี”

“วันเกิดฟอร์ดด้วย”

หลานชายอีกสองคนรีบแทรกเสียงร้องกันใหญ่ จนผู้เป็นพ่อกับแม่หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ พี่เขยถึงกับเอ่ยแซว

“สงสัยงานซื้อเค้กต้องเป็นหน้าที่ประจำของฟรีแล้วล่ะมั้ง”

“ผมก็ซื้อให้ตลอดอยู่แล้วล่ะครับ แต่ดูท่าว่าจากนี้ไปถ้าพลาดสักงาน คงโดนบ่นแน่ๆ”

เสียงหัวเราะคลอตามกันไปอย่างสนุกสนาน เป็นช่วงเวลาที่หาได้ยากจากคนหนุ่มซึ่งอาศัยอยู่ตัวคนเดียว อาทิตย์อัสดงจึงตักตวงมันไว้อย่างเต็มที่ แต่ทั้งที่มีความสุขเสียขนาดนั้น เมื่อกลับถึงบ้าน อารมณ์กลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง

นิ้วเรียวเลื่อนเปิดดูคอมเมนต์ในบล็อกของตนเองตามปกติ รู้สึกยินดีที่มีหลายคนติดตาม ทั้งบอกเล่าเรื่องราวหลังจากได้ไปชิมรสชาติขนมตามร้านที่เขารีวิวเอาไว้ บ้างก็ให้กำลังใจและบอกว่าจะติดตามผลงานต่อไป สร้างความรู้สึกปริ่มเปรมใจได้ไม่น้อย

อาทิตย์อัสดงยิ้มกริ่มทุกครั้งที่อ่านข้อความเหล่านั้น มันเหมือนเชื้อเพลิงต่อไฟไม่ให้มอดดับ และยิ่งทำให้เขามีความสุขกับการทำงานอดิเรกของตนมากยิ่งขึ้น ทว่า...

มือที่ค้างอยู่บนเมาส์ชะงักกึกทันทีที่สายตาส่งภาพบางอย่างลงมายังประสาทการรับรู้ ไม่ต้องประมวลผลให้มากความ ตัวหนังสือเหล่านั้นก็เสียดแทงเข้ามาในอกดุจคมหอก ก้อนเนื้อเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่เจ็บร้าวขึ้นมาจนอยากจะเอามือกุมมันไว้ แต่ทั้งร่างกลับแข็งค้าง ไม่สามารถขยับกายได้อย่างที่หวัง

ไม่รู้ว่าผ่านเวลาไปนานแค่ไหนกันแน่ กว่านิ้วที่แข็งทื่อจะยอมขยับตามอำนาจสั่งการของสมอง ร่างโปร่งกดลบคอมเมนต์นั้นออกทันที ซึ่งข้อความต้นเหตุนั้นก็หายไปอย่างง่ายดาย ทว่าแม้จะลบมันออกไปแล้ว...

มันกลับฝังลึกในหัวใจ ในความคิด... ไม่สามารถลบออกไปได้ง่ายๆ เลย

บล็อกเกอร์หนุ่มกดปิดคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็ว พยายามฉุดตัวเองให้กลับมายังโลกทางนี้ โลกออนไลน์ที่ทำให้มีความสุขเมื่อครู่ ถูกทำลายย่อยยับเพียงข้อความนั้น

เขาอยากลืม อยากทำเป็นมองไม่เห็นมัน

หลังจากปิดคอมพิวเตอร์ได้เรียบร้อย กายโปร่งจึงทิ้งลงที่นอนอย่างรุนแรง หวังให้ความรู้สึกต่างๆ ที่พุ่งขึ้นมารุมเร้าจิตใจกระเด็นกระดอนหายตามสภาพร่างกายที่ถูกส่งขึ้นเหนือที่นอนนุ่มนิดๆ แต่ว่ามันไม่ง่ายเลย แม้ว่าจะปิดตาแน่น ข่มตาสักเท่าไร ก็ไม่อาจกำจัดมันได้

คืนนี้เขาจะหลับลงได้อย่างไร







---------------------
เป็นตอน 2 in 1
เอ๋ เกิดอะไรขึ้นน้อ?


Undel2Sky

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
อดีตกลับมาหลอกหลอนใช่ไหม
อยากรู้จังว่าฝังใจกับอะไรมากมาย

ออฟไลน์ cinnsin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เอาแล้ววววว... งานนี้ฟรีต้องต่อสู้ทั้งอดีตทั้ง(ว่าที่)อนาคตเลยนะเนี่ย...
มาอยู่กับเค้าเถอะฟรี---- //โดนฮักไล่ฆ่า

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
รู้สึกเหมือนได้ใส่ชุดขาวฟูฟ่อง วิ่งเล่นในทุ่งหญ้าเขียวขจี ใต้ผืนฟ้าสีคราม มีเมฆประปราย
แล้วก็ก้าวพลาดกลิ้งลงเหวในบัดดล
เฮ้อ!

ฟรีกลัวอะไร ใครทำให้เจ็บช้ำจนต้องระวังตัวระวังใจขนาดนั้น

ว่าแต่.....ขี้ฉวยโอกาสว่ะฮัก ลูกล่อลูกชนเยอะจนน่าหมั่นไส้ ชิ!

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
อยากรู้ว่าฟรีกลัวอะไรอะ

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
อดีตของคุณอาทิตย์จะเปิดเผยแล้วใช่ไหมคะะะะ กรี๊ดดดดดดดดดดดด คุณภันคะ! เราขอร้อง จบกับเขาแล้วมารักคุณอาทิตย์ได้ไหม อย่านะคะ อย่าบอกว่าจบกัันไปนานแล้ว การกระทำมันไม่ใช่อ่ะ ฮือออ ไม่เอา อย่าดูแลทุกคนจนไม่รู้ว่าคนไหนพิเศษจริงๆสิคะ เราชอบนะคะตอนคุณภันบอกว่าจะไม่ยอมปล่อยไปอ่ะ กรี๊ดมากค่ะ โอ๊ยยยย ออร่าพระเอกพุ่งหลังจากหมั่นไส้มาหลายตอน 5555555 แล้วการขอไปกินข้าวที่บ้านนี่เป็นหนึ่งในแผนการให้คุณอาทิตย์ปลดบล็อกอีกรึเป่าคะเนี่ย เฮ้อ คุณอาทิตย์ดูกลัวมากจริงๆด้วยแหละค่ะ เราสงสารคุณอาทิตย์นะคะ ิ่งตอนที่คิดว่าจะต้องหนีจากคุณภันให้ได้นี่เรายิ่งสงสาร เราว่ามันค่อนข้างเห็นได้ชัดจริงๆอ่ะค่ะว่าคุณอาทิตย์หวั่นไหว แต่ก็ต้องห้ามตัวเองไว้เพราะอะไรรรร ฮือออออ ความจริงคุณอาทิตย์เป็นคนที่ดูใส่ใจคนอื่น ขี้เหงา แล้วก็น่าจะเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ง่ายนะคะ ไม่รู้อะไรทำให้คุณอาทิตย์กลายมาเป็นแบบนี้ แต่เราเอาใจช่วยค่ะ คุณอาทิตย์ต้องผ่านทุกอย่างไปได้แน่ๆค่ะ อย่างน้อยครอบครัวคุณอาทิตย์ก็รักคุณอาทิตย์มากนะคะ ไม่สบายใจอะไรก็ไปหาหลานๆได้ค่ะ เด็กๆทำให้คุณอาทิตย์สบายใจขึ้นได้แน่ค่ะ นิดนึงก็ยังดี สู้ๆนะคะ

ปล. เราเจอคำผิดนิดนึงนะคะ

เกรงว่าจะก่อให้เกิดมวลอากาศลงมากทับร่างของตนไปมากกว่านี้  >>กดทับ

ส่วนอีกมือหนึ่งจับมือเรียวบางกว่าให้ย้ายที  >> ที่

โปกปูนปิดทับ  >> โบก

โครงเหล็กเครื่องที่   >> เคลื่อน

เรารอตอนต่อไปนะคะะะะะะ ขออดีตของคุณอาทิตย์เถอะค่ะะะะะะะ  :o12:

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
16th Entry : ไม่รู้เนื้อรู้ตัว






ไม่ใช่เพียงคืนเดียวที่บล็อกเกอร์หนุ่มต้องยอมรับความเจ็บร้าวซึ่งแทรกเข้ามาโดยไม่อนาทรต่อความยินยอมพร้อมใจ หลายวันผันผ่านพร้อมกับข้อความใหม่ๆ ถูกโพสต์ลงไป แม้ว่าจะลบข้อความเหล่านั้นจากบุคคลเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าสักกี่ครั้ง วันต่อไปมันก็ยังผุดใหม่ราวกับไม่หลาบจำ

สีหน้าหม่นหมองประจักษ์สู่สายตาผู้คนที่ได้พบเห็น ใต้ดวงตาดำลึกผิดจากสีขาวกระจ่างที่เคยมีมา หนึ่งฤทัยจึงอดเป็นห่วงเพื่อนของตนเองไม่ได้

“มึง ไหวหรือเปล่าวะ”

“กูไม่เป็นไร”

ทั้งที่ตอบไปเช่นนั้น แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับอ่อนระโหยกว่าปกติหลายเท่านัก

“มึงมีอะไร เล่าให้กูฟังก็ได้นะ”

หลายวันที่ผ่านมา อาการของเพื่อนเธอหนักขึ้นทุกวัน แต่เจ้าตัวกลับปิดปากเงียบ ไม่ยอมเอ่ยถึงสาเหตุใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าเธอจะคาดคั้นแล้วก็ตาม

“หน้ามึงทั้งหมองทั้งซีด ตาก็ดำขนาดนี้ มึงได้นอนบ้างหรือเปล่า”

“กูนอน”

“แต่นอนไม่หลับใช่ไหม ไม่ต้องมาโกหกกู”

คำพูดรู้ทันของเพื่อนรักทำให้อาทิตย์อัสดงหุบปากเงียบ ไม่ตอบใดๆ ทั้งสิ้น ช่วงพักกลางวันเขาก็พยายามบังคับเปลือกตาให้ปิดลง ทว่ามันเป็นได้แค่การฝืน เพราะแม้ว่าหนึ่งฤทัยจะขอร้องพี่ๆ ร่วมแผนกว่าให้เบาเสียงพูดคุยลง เพื่อให้เชาได้นอนพักผ่อนบ้าง แต่มันก็เปล่าประโยชน์

“มึงจะไม่บอกกูจริงๆ เหรอ กูเป็นเพื่อนมึงไม่ใช่เหรอ”

“กูยังโอเค ไว้ถ้ากูไม่ไหวจริงๆ กูจะบอกมึงนะ”

แม้ว่าจะได้รับคำตอบมาเช่นนั้น หนึ่งฤทัยก็ยังส่ายศีรษะอย่างไม่ยอมรับอยู่ดี เธอรู้ว่าเพื่อนสนิทไม่มีทางปริปากออกมาบอกเธอหรอก นอกจากจะเป็นอะไรไปแล้วนั่นแหละถึงได้ยอมพูด

เหมือนกับครั้งนั้น...

“วันนี้ให้กูไปส่งที่บ้านไหม”

“ไม่เป็นไรๆ มึงนี่ห่วงเกินไปแล้วนะ กูรู้ว่ามึงมีงานนอกที่รับไว้เยอะแยะ มาห่วงกูนี่เสียเวลาเปล่าชัดๆ”

ดังตัดรอนกันอย่างไม่อ้อมค้อม หญิงสาวจึงได้แต่เงียบ เลิกพูดเรื่องนี้ และตัดสินใจกับตนเองว่าจะรอดูสถานการณ์ไปอีกสักพักแล้วกัน





เหงื่อเย็นๆ ผุดจับโครงหน้า ร่างของชายหนุ่มกระสับกระส่ายไปมาราวกับหลีกหนีของร้อน เปลือกตาที่ปิดลงขยับยุกยิกไปมาคล้ายคนทรมาน แล้วสักพัก...

เฮือก!

ดวงตาที่ปิดอยู่ลืมโพลงขึ้นพรวด ทั้งร่างกระเด้งขึ้นดุจถูกแผดเผา อาทิตย์อัสดงหอบหายใจอย่างรุนแรง ดังจะกอบโกยอากาศทั้งหมดเข้าไปในคราวเดียว ตัวที่ยืดขึ้นจนอกแอ่นค่อยๆ คลายสภาพลง แผ่นหลังแนบเข้ากับโซฟาสีขาว ก่อนจะปล่อยลมหายใจที่เมื่อครู่ฝืนยัดเข้าไปในปอดออกมา

เป็นเวลากว่าสัปดาห์แล้วที่อาทิตย์อัสดงฝืนสังขารบังคับร่างกายที่ขยับเคลื่อนไหวได้ยากกว่าปกติหลายเท่า เพราะหน้าที่การงานนั้นสำคัญ เขาจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถึงจะนอนไม่หลับหลายวันติดต่อกัน หรืออย่างมากก็หลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน เพราะไม่ว่าเมื่อไรที่เข้าสู่ห้วงฝัน จะต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยฝันร้ายทุกครั้งก็ตาม

กระทั่งในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่มีเวลาว่างเหลือเฟือ ร่างกายอ่อนล้าเต็มที่ สมองเริ่มไม่ทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ มันมึนตื้อไปหมด จนเขารู้สึกตัวหนักเกินกว่าจะเคลื่อนไหวร่างกาย จึงได้แต่นั่งเหม่อลอยนิ่งๆ โดยเปล่าประโยชน์ต่อไปเรื่อยๆ ปลายสายตาไม่มีจุดหมายอะไรสักอย่าง เพียงทิ้งค้างอยู่กลางอากาศซึ่งสมองไม่อาจระบุได้ว่ามันคืออะไรกันแน่

แต่ดูเหมือนเมื่อครู่สภาพร่างกายจะทัดทานความเหนื่อยล้าไม่ไหว

สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมีเพียงบล็อก Tea Party ที่อัพไว้ล่าสุด ไม่ว่าร่างกายจะต่อต้านสักเพียงใด สมองจะมึนชาสักแค่ไหน เขาก็ต้องเข้าไปเช็กมันทุกๆ สองหรือสามชั่วโมง และเหตุการณ์ก็วนเข้าสู่ที่เดิมซ้ำๆ

มาอีกแล้ว...

ข้อความของคนคนนั้น ผุดขึ้นมาราวกับจ้องรังควาน

จองเวรเขาอย่างไม่ลดละ

ทรมาน... ทรมานจนไม่หายใจไม่ออก

อาทิตย์อัสดงรวบรวมกำลังที่มีอยู่กดลบข้อความไป ก่อนจะต้องหยุดหายใจทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจกลั้น เพราะนอกจากข้อความนั้นแล้วยังมีความอื่นๆ ตามมา

ข้อความที่เต็มไปด้วยความสงสัย

ประเด็นที่ผูกโยงไปกับข้อความที่เขาลบทิ้ง

ลุกลามราวกับไฟลามทุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ใช่ว่าช่วงแรกๆ ไม่มี มันมีสอดแทรกอยู่บ้างประปราย แต่พอเขาลบข้อความต้นเหตุนั้นแล้วมันก็สงบไป ไม่มีใครติดใจสงสัย แต่เมื่อนานวันเข้า พายุแห่งความกังขาก็ก่อตัว ยิ่งมีคนเข้ามาชมบล็อกมากเท่าไร ยิ่งมีคนติดตามงานของเขามากแค่ไหน ความอยากรู้อยากเห็นก็ยิ่งขยายวงกว้าง

ทำอย่างไร ต้องทำอย่างไร

ตุ้มน้ำหนักถ่วงลงในอกจนแทบยกร่างไม่ขึ้น คับแน่นอยู่ภายในจนยากจะหายใจ

อึดอัดเหลือเกิน...

แม้จะรู้สึกทุกข์ทรมานเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะคนที่อยู่ในเงามืดยังคงวนเวียนก่อความไม่สงบอยู่อย่างต่อเนื่อง ล่วงเข้าสู่วันอาทิตย์ เลยมายังวันจันทร์ ครบหนึ่งสัปดาห์แล้วด้วยซ้ำ แต่ทางฝ่ายนั้นกลับยังไม่ละความพยายาม

อาทิตย์อัสดงได้แต่ทำตัวตามปกติที่สุด บอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าใส่ใจในข้อความเหล่านั้นมากนัก ทั้งที่เพียงกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็วที่สุด ก็ยังทำให้ปวดใจได้ขนาดนี้ แค่เห็นตัวหนังสือเล่านั้น ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก็พรั่งพรูราวกับถูกรื้อออกมาจากลิ้นชักที่ลึกที่สุด

พอสักทีได้ไหม...

เหนื่อย เขาเหนื่อยเหลือเกิน

อยากจะอ้อนวอนใครคนนั้นให้หยุดการกระทำนี้เสีย แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาไม่สามารถติดต่อกับทางนั้นได้ และทั้งหมดเป็นเพราะเขาเอง

เขาเลือกเส้นทางนี้ด้วยตัวเอง

ไม่สิ มันเป็นทางเดียวที่เขาเลือกได้ต่างหาก

ร่างโปร่งที่มองเพียงภายนอกก็รับรู้ได้ว่ากำลังอ่อนล้าอย่างที่สุดทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างสิ้นเรี่ยวแรง นึกถึงวันพรุ่งนี้ว่าตนควรจะทำอย่างไร จะสามารถพาร่างที่อ่อนระโหยไร้แรงพยุงนี้ไปทำงานอย่างปกติได้หรือไม่

ขนาดวันนี้หนึ่งฤทัยยังขู่บังคับว่าอย่างไรก็ต้องมาส่งเขาที่บ้านให้ได้ ถึงจะไม่ยอมบอกอะไร แต่ก็ขอให้ช่วยรับน้ำใจในฐานะเพื่อนด้วย เขาจึงยอมให้เธอขับรถมาส่งถึงบ้านได้

ศีรษะทิ้งลงบนเบาะนุ่มสีขาวอย่างคนหมดอาลัย ทั้งที่มือยังกำโทรศัพท์และเปิดไปยังหน้าบล็อกเดิมๆ

อีกแล้ว มันมาอีกแล้ว

จากที่เคยปวดร้าว ทรมาน ในเวลานี้มันบีบคั้น

น้ำตาใสๆ เกือบจะเอ่อล้นออกมา ไม่รู้ว่าเพราะความเจ็บปวด เจ็บช้ำ หรือเพราะสมองที่ปวดตุบๆ จนตาแสบพร่าไปหมดกันแน่

“จะต้องทรมานกันอีกแค่ไหนถึงจะพอใจ”

เสียงที่เปล่งออกมาได้นั้นช่างเบาหวิว เหือดแห้ง

รู้สึกแล้ว แน่ใจแล้วว่าตัวเองเข้มแข็งไม่พอ ตัวเองที่อ่อนแอเอง

ทั้งที่ควรจะโกรธแค้น แต่มันกลับเจ็บปวดพะอืดพะอม

“ผ่านไปเป็นปีแล้วแท้ๆ แต่ทำไมยังรู้สึกแบบนี้อยู่วะ”

อาทิตย์อัสดงทุบอกตัวเอง แต่ก็เบาเหลือเกิน เขาอยากจะทุบลงไปให้แรงกว่านี้ เผื่อมันจะหลาบจำบ้างว่าเคยผ่านประสบการณ์แบบไหนมา และควรจะฝังมันลงไปในดิน กลบให้มิดแล้วลืมไปให้หมด แต่ความทรงจำเหล่านั้นกลับยังไม่หายไปเลย

หัวปวดตุบๆ ราวกับใครมาย่ำเท้าอยู่ข้างใน หรือไม่ก็อาจจะมีหนอนมาชอนไชอยู่ภายในนั้นก็ได้ ความคิดพิลึกพิศดารผุดขึ้นมาในหัวขณะที่ยกหลังมือขึ้นมาวางทาบหน้าผากเอาไว้ หวังให้มันช่วงบรรเทาอาการเหล่านั้นสักเล็กน้อยก็ยังดี ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ใช่ว่าทำเช่นนั้นแล้วจะช่วยได้

ไม่ใช่ว่าไม่พึ่งยา แต่ดูเหมือนว่าถ้ากินยามากไปกว่านี้อาจจะเกินขนาดจนเข้าต้องเข้าโรงพยาบาลก็เป็นได้ จึงได้แต่กัดฟันทนความเจ็บปวดนี้เอาไว้ให้ได้มากและนานที่สุด

เมื่อนอนทิ้งร่างลงบนโซฟาแล้วเปลือกตาก็เหมือนจะหนักขึ้น อาจจะเป็นโอกาสดีก็ได้ที่เขาจะได้นอนพักผ่อนอย่างจริงจังเสียที ร่างกายอาจจะประท้วงว่าถึงที่สุดแล้วก็เป็นได้ แม้จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก เพราะเขารู้สึกปวดและมึนหัวเกินกว่าจะข่มตาลงได้จริง แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงหวังว่ามันจะเป็นไปได้

อาทิตย์อัสดงคิดเช่นนั้น ทว่าเสียงสัญญาณจากหน้าประตูบ้านก็ทำให้สติที่เหลืออยู่น้อยนิดกลับคืนมา ร่างสะโหลสะเหลยันขึ้นจากเบาะนุ่ม ชะโงกมองออกไปนอกหน้าต่าง เผลอคาดเดาไปว่าอาจจะเป็นเชฟขนมคนนั้นก็เป็นได้ แต่อีกใจหนึ่งก็หวนนึกถึงเพื่อนสาวที่มาส่งเมื่อชั่วโมงก่อนว่าเธออาจจะย้อนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับถุงกับข้าว

สุดท้ายเพราะไม่รู้แน่ว่าจะเป็นใคร ในตอนนี้ตาของเขาพร่าเลือนเกินกว่าจะจับภาพบุคคลที่อยู่หน้าประตูบ้านได้ประกอบกับฟ้าสีครามหย่อนตัวเข้าหาความมืดมากขึ้นจึงจำต้องพาร่างกะปลกกะเปลี้ยออกไป

แต่ครั้นเดินออกมาจากประตูบ้านได้ไม่กี่ก้าว ขาก็สิ้นเรี่ยวแรงขึ้นมาทันใด

กายโปร่งหล่นวูบลงกับพื้น อาทิตย์อัสดงรู้สึกหน้ามืดจนเห็นภาพเบื้องหน้าเป็นสีดำทั้งหมด ได้ยินเสียงแว่วคุ้นหูตะโกนเรียกชื่อตนเอง

“ฟรี!!”

คนมาเยือนร้องด้วยอารามตกใจซึ่งพุ่งพรวดขึ้นมา ขณะที่หัวใจเหมือนหล่นตุบตกลงไปเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขากระโจนขึ้นประตูรั้วก่อนปีนขึ้นไปและกระโดดลงมาจากจุดสูงสุด จากนั้นวิ่งตรงเข้าไปหาร่างโปร่งที่ดูอ่อนแรงเสียเหลือเกิน

“เป็นไงบ้างครับ”

“ผม...มองไม่เห็น”

ได้รับคำตอบแล้วหัวใจของภันวัฒน์ก็เหมือนหยุดไปหนึ่งจังหวะ เขาค่อยๆ พยุงร่างของอาทิตย์อัสดงขึ้นช้าๆ ประคองเอาไว้พลางพาเดินเข้าไปในบ้าน

“ค่อยๆ เดินนะครับ ข้างหน้ามีขั้นบันได”

มือซ้ายโอบประคองเอวไว้ ขณะที่มือขวาจับแขนร่างโปร่งไว้ด้วย ปากบอกให้ระมัดระวัง ช่วยเหลือเท่าที่ตนเองสามารถ ก่อนจะเปิดประตูบ้านและพาบล็อกเกอร์หนุ่มเข้าไปในบ้านจนสำเร็จ

“นั่งก่อนนะครับ” เมื่อมาถึงห้องนั่งเล่นก็พยุงกายโปร่งให้นั่งลงบนโซฟายาวอย่างนุ่มนวล จากนั้นดันให้กายให้เอนลงไป “นอนลงเลยครับ”

อาทิตย์อัสดงทำตามคำเอ่ยของอีกฝ่ายอย่างง่ายดายเพราะเวลานี้มันยากเกินกว่าที่เขาจะพึ่งพาตนเองแล้ว

ภันวัฒน์มองใบหน้าซีดเผือดขาดสี ทั้งใบหน้าและริมฝีปาก ใต้ตาลึกคล้ำตัดกับสีหน้าที่เหมือนกระดาษด้วยความเป็นห่วง รู้สึกปวดใจอยู่นิดๆ ที่ได้เห็นภาพเช่นนี้

ไม่เจอแค่อาทิตย์เดียว ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้

ร่างสูงเค้นเสียงถามตัวเองทั้งที่รู้ว่าไม่มีคำตอบที่รออยู่

“เป็นยังไงบ้างครับ”

“ไม่รู้สิครับ”

เสียงที่ตอบกลับมาอ่อนระโหยผิดจากครั้งที่ได้สนทนากัน ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่ปริร้าวในใจของภันวัฒน์ได้มากขึ้น เขาวางมือลงบนหน้าผากของอาทิตย์อัสดง แสดงความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบังและถือโอกาสวัดไข้ไปในตัว ขณะเดียวกันก็รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ตนได้หยุดงานวันพรุ่งนี้ ถึงได้ตัดสินใจมาหาอีกฝ่ายที่บ้านโดยใช้ข้ออ้างว่ามาทวงบุญคุณ ไม่เช่นนั้นอาทิตย์อัสดงจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่อาจรู้ได้เลย

“ตัวอุ่นหน่อยๆ นะครับ ปวดหัวไหม”

ถามพลางทิ้งมือหนาอยู่บนนั้น มือของภันวัฒน์ที่เพิ่งออกมาจากรถยนต์อาจจะเย็นกำลังดีก็เป็นได้ ถึงทำให้ร่างโปร่งรู้สึกดีขึ้นเมื่อถูกสัมผัส อาทิตย์อัสดงจึงหลับตาลงเพื่อซึมซับความรู้สึกสบายนั้นอย่างเนิบช้า

แม้จะไร้คำตอบ แต่สีหน้าที่คลายลงของคนที่นอนอยู่ทำให้ผู้จัดการหนุ่มรู้สึกเบาใจลง เพราะดูเหมือนอย่างน้อยเจ้าตัวจะไม่ได้ทรมาน เขาทิ้งมือไว้แบบนั้นพลางหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ บนพื้นที่อันน้อยนิดๆ กวาดสายตาไปตามใบหน้าของคนที่ไม่ได้พบหน้ากันเกือบสิบวัน ดั่งจะช่วยให้คลายความคิดถึง

เพียงครู่สั้นๆ เปลือกตาที่ปิดทับตาเรียวสีน้ำตาลอ่อนก็สงบนิ่งลง ไม่มีรอยขยับเขยื้อนเช่นเดียวกับยามที่มีสติอยู่ ลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกเข้าที่สม่ำเสมอกันผิดกับตอนแรกที่ดูเหมือนจะปั่นป่วน เมื่อเลื่อนมืออีกข้างไปสัมผัสกับผิวแก้มที่อุณหภูมิสูงนิดๆ ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบรับกลับมา

ท่าทางว่าจะหลับไปแล้ว

รู้ดังนั้นภันวัฒน์ก็ผละมือที่วางแนบบนหน้าผากของร่างโปร่งออกอย่างเชื่องช้า พลางสังเกตอาการอีกฝ่ายไปด้วย แต่ก็ไม่มีอะไรผิดแผกจากเดิม จึงมั่นใจได้ว่าบล็อกเกอร์หนุ่มหลับไปแล้วจริงๆ

น่าจะหลับอีกนานล่ะมั้ง

ร่างสูงเบือนสายตามองนาฬิกาติดผนังเพื่อตรวจสอบเวลาอีกครั้ง พบว่าหนึ่งทุ่มกว่าแล้วจึงชันตัวขึ้นลุกยืนเต็มความสูง จากนั้นพิจารณาร่างสูงโปร่งอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจย่อตัวลงเล็กน้อย สอดท่อนแขนเข้าใต้ข้อพับขาและใต้คอ ช้อนร่างนั้นขึ้นมาประคองไว้แนบอก

น้ำหนักตัวของคนไม่ได้สติถ่ายเทลงมามากกว่าที่ประมาณไว้ อาจเพราะไม่มีสติอยู่ด้วยจึงทำให้รู้สึกว่าหนักมากขึ้น นึกเสียดายว่าหากอีกฝ่ายตัวเล็กกว่านี้อีกสักหน่อยเขาคงอุ้มได้สบายกว่านี้ แต่กระนั้นก็ยินดีที่จะต้องเสียพลังงานเพิ่มเพื่อให้อาทิตย์อัสดงได้พักผ่อนอย่างสบายที่สุด

สองขาก้าวไปตามทางเดิน มุ่งตรงสู่ชั้นบนเพื่อไปยังห้องนอน การเดินทางตรงดูไม่ใช่ปัญหา แต่การขึ้นบันไดที่ไม่ได้กว้างมากนั้นค่อนข้างลำบากเลยทีเดียว ภันวัฒน์สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะกระชับร่างในอ้อมแขนให้ถนัดถนี่ขึ้นอีกครั้ง จากนั้นจึงก้าวย่างขึ้นมาอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย

กระทั่งเมื่อเข้ามายังห้องที่เป็นปลายทางได้แล้ว เขาก็วางตัวหนุ่มหน้าตี๋ลงอย่างแผ่วเบา รู้สึกแขนอ่อนล้าไปบ้างเมื่อน้ำหนักที่เคยกดอยู่บนแขนหายไปแล้ว

ร่างสูงสะบัดแขนเบาๆ เพื่อคลายกล้ามเนื้อ พลางเปิดเครื่องปรับอากาศให้อุณหภูมิพอเหมาะ ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไปด้วย เพราะแม้ว่าคนป่วยจะมีอุณหภูมิสูงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงขนาดระบุได้ว่าเป็นไข้ จากนั้นจึงตรงไปยังตู้เสื้อผ้า หาผ้าขนหนูผืนเล็กๆ

เขานำผ้าขนหนูผืนนุ่มไปซับน้ำหมาดๆ ในห้องน้ำ เพื่อมาเช็ดหน้าให้ร่างที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะตามไล้ผืนผ้านั้นมายังลำคอ ปลดกระดุมสองเม็ดแรกออกแล้วจึงเลื่อนผ้ามายังอก ปิดท้ายด้วยการเช็ดแขนและฝ่ามือ

เช็ดเนื้อเช็ดตัวเพื่อให้ร่างโปร่งสบายตัวยิ่งขึ้นแล้ว นัยน์ตาคมก็ยังคงจับจ้องที่ดวงหน้าเรียวได้รูป ปัดผมหน้าที่ปรกลงมาเล็กน้อย ไล้นิ้วไปตามใต้ดวงตาที่คล้ำเป็นพิเศษ อดรู้สึกเป็นห่วงจากใจจริงไม่ได้ และอยากรู้ด้วยเช่นกันว่าเหตุใดอาทิตย์อัสดงจึงมีสภาพเช่นนี้ แต่ก็รู้ตัวดีว่าหากถามไป ก็คงไม่ได้รับคำตอบ

เขายังมีสถานะต่ำเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะยอมเปิดใจระบายความในใจได้

ถึงกระนั้นก็ยังหวังว่าสักวัน... สักวันหนึ่งเขาจะได้รับโอกาสนั้น

คิดกับตนเองใช่นั้นแล้ว ภันวัฒน์ก็โน้มตัวลงไปด้านหน้า ก้มริมฝีปากแนบกับหน้าผากมนของคนนอนหลับอยู่อย่างแผ่วเบา ปิดดวงตาของตนเพื่อซึมซับความรู้สึกที่ก่อตัวอย่างมั่นคงอยู่ภายในอก ณ เวลานี้

เขาห่วงใย... อาทิตย์อัสดงมากจริงๆ





ลืมตาอีกครั้งก็พบว่ามีแสงส่องเข้ามาภายในห้องสีสว่าง เปลือกตาที่คลายตัวไปนานกะพริบเปิดปิดสลับกันไปมาอยู่หลายครั้ง เพื่อปรับสภาพให้เข้าที่พร้อมใช้งาน ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาบนผนังซึ่งอยู่เบื้องหน้าตนเอง

เกือบสิบโมงแล้วเหรอ

อาทิตย์อัสดงครางเสียงอยู่ในใจ พลางนึกย้อนถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งตอนนี้ เท่าที่พอจะจำได้คือเหมือนว่าจะมีใครสักคนมาหาเขาที่บ้าน แล้วหลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ค่อยได้เลย

มานอนที่ห้องได้อย่างไร

ขณะที่สงสัยเช่นนั้นก็พลิกหน้าไปด้านที่มีความสว่างส่องเข้ามาถึง พลันนั้นก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแยงเข้าที่แก้มเบาๆ จึงเอื้อมมือขึ้นมาจับ มันคือกระดาษโน้ตแผ่นประมาณฝ่ามือซึ่งน่าจะมาจากโต๊ะหนังสือที่อยู่ชิดผนังฝั่งตรงข้าม

ความสงสัยก่อตัวขึ้นอีกระลอก เพราะจำไม่ได้ว่าได้เอากระดาษอะไรมาวางไว้ตรงนี้ด้วย ทว่าเมื่อเห็นข้อความบนนั้นแล้วก็ทำให้ได้รับคำตอบของข้อสงสัยก่อนหน้านี้ ลายมือที่เหมือนจะหวัดแต่ก็เป็นระเบียบเรียบร้อยดีบ่งบอกถึงลักษณะของความเป็นผู้นำปรากฏอยู่บนนั้น



ผมทำข้าวต้มไว้ในครัว ถ้าคุณตื่นแล้วลุกไหวก็ลงไปกินด้วยนะครับ อย่าลืมกินยาล่ะ



เพียงแค่ประโยคเท่านี้ก็ทำให้รับรู้ได้ถึงความใส่ใจของอีกฝ่ายแล้ว ทว่าประโยคสุดท้ายที่ทิ้งเอาไว้ใต้ข้อความเหล่านั้นกลับยิ่งตอกย้ำมันให้ชัดเจน



ผมเป็นห่วงคุณนะ



ริมฝีปากเรียวเม้มเข้าหากันแน่น บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าความรู้สึกแบบไหนกำลังจู่โจมหัวใจตนเองอยู่ในเวลานี้ มันปั่นป่วนไปหมดเมื่อคิดว่าใครคนนั้นมาหาเขา พาเขาขึ้นมาที่ห้องนอน และทำอาหารไว้ให้

ทั้งที่ไม่อยากเกี่ยวพันด้วยแท้ๆ

บล็อกเกอร์หนุ่มตัดพ้อกับตนเอง ก่อนจะค่อยๆ ดันกายเพื่อลุกขึ้นนั่ง รู้สึกอาการดีขึ้นมา เขาไม่ปวดหัวและวิงเวียนแล้ว ออกจะประหลาดใจด้วยซ้ำที่เขาหลับไป มิหนำซ้ำยังหลับสนิทจนถึงเวลาสายเสียขนาดนี้ ทั้งที่ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาต่อให้ฝืนเท่าไร เขาก็ประสบแต่ความล้มเหลว

ทว่าเมื่อยันตัวขึ้นนั่งแล้วกลับเกือบจะหงายหลังลงไปบนที่นอนอีกครั้งเพราะแรงดึงรั้งจากอะไรบางอย่าง เมื่อหันหน้าไปมองทางต้นตอของมัน หัวใจก็โลดเต้นขึ้นมาโดยพลัน ราวกับถูกเหวี่ยงออกไปโดยที่มีสายบันจี้จัมพ์ผูกเอาไว้ เย็นเยือกไปทั้งร่างกาย เพราะมันเป็นภาพที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น

ภันวัฒน์อยู่ตรงนี้

...นอนกอดเอวเขาเอาไว้อยู่

‘มาได้อย่างไร’ คำถามนี้ไม่น่าอยากรู้คำตอบเท่า ‘ทำไมยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ’

ทั้งที่เขียนโน้ตทิ้งเอาไว้แล้ว แต่กลับยังปรากฏตัวอยู่ที่นี่ กอดเขาเอาไว้...

ทั้งคืนอย่างนั้นเหรอ?

ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดคำถามเลยสักนิด แต่ว่ามันก็ผุดขึ้นมาโดยไม่สนใจว่าเขาจะยินดีหรือไม่

อาทิตย์อัสดงรู้สึกตัวชาด้วยความสับสนไปครู่ใหญ่ ก่อนจะบอกตนเองว่า ‘จะต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด’ จากนั้นจึงวางมือลงบนท่อนแขนที่โอบรอบเอวตนเองออกช้าๆ พยายามเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว ทว่ามันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อยกแขนใหญ่ได้ ดวงตาคมที่ถูกซ่อนอยู่ก็เผยออกมา

นัยน์ตาสีนิลจับจ้องมาที่ร่างโปร่งที่ใบหน้าซับสีขึ้นกว่าเมื่อวาน ภันวัฒน์จับจ้องกรอบหน้านั้นพลางสำรวจไปด้วย เสียงทุ้มหลุดลอดออกมาจากกลีบปากที่ดูบวมหนาเป็นพิเศษเพราะเพิ่งตื่นนอน

“ตื่นแล้วเหรอครับ รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”

แม้ว่าเป็นคำถามที่ตอบได้อย่างง่ายดาย แต่อาทิตย์อัสดงกลับรู้สึกว่าตนกำลังหลงทางอยู่ท่ามกลางตัวหนังสือมากมาย เขาไม่รู้จะเลือกคำไหนมาตอบดี กระทั่งร่างสูงใหญ่ที่นอนอยู่ลุกขึ้นมานั่งต่อหน้า ขยับดวงหน้าคมเข้มเข้ามาใกล้พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งแนบลงบนหน้าผาก

“อุณหภูมิปกติแล้วนี่ครับ ปวดหัวหรือเปล่า”

ราวกับไม่สนใจปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ ภันวัฒน์สอบถามในสิ่งที่ตนอยากรู้เพียงเท่านั้น แต่แม้จะไม่ได้คำตอบใดๆ กลับมาเลยก็ตาม แต่เขาก็คาดการณ์ได้เมื่อกวาดตามองสีหน้าของอาทิตย์อัสดงจนถ้วนทั่ว

“หิวไหมครับ”

ดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในความเงียบอึ้งนานเกินไปแล้ว ร่างโปร่งจึงได้สติอีกครั้ง พยายามสูดลมหายใจให้ลึกแต่แผ่วเบาที่สุดเพราะเกรงว่าจะเผลอสูดเอากลิ่นกายของอีกฝ่ายที่อยู่ใกล้เสียเหลือเกินเข้าไปด้วย จากนั้นกระแอมเพื่อให้ก้อนอะไรสักอย่างที่ขัดอยู่กลางลำคอมลายหายไป และปั้นเสียงออกมา

“คุณมาได้ยังไง”

“ก็ขับรถมาไงครับ”

“ไม่ ผมหมายถึง...” อาทิตย์อัสดงมีสีหน้าสับสนเล็กน้อย หันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำเพื่ออะไร อาจจะกำลังหาคำพูดอะไรสักอย่างมาอธิบายคำพูดของตนเองก็ได้ ก่อนจะรู้ตัวว่ามีอะไรอยู่ในมือ “ก็คุณเขียนโน้ตทิ้งเอาไว้แล้วนี่ไง”

“อ๋อ...”

ภันวัฒน์ครางเสียงออกมายาวเหยียด ก่อนจะนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้



หลังจากทำข้าวต้มและขึ้นไปเช็กอาการของเจ้าของบ้านอีกครั้ง ภันวัฒน์ก็ลงจากชั้นบนและตรงไปยังโต๊ะกลางในห้องนั่งเล่น เพราะเห็นว่ากุญแจบ้านถูกวางทิ้งไว้บนนั้น จากนั้นจึงมุ่งไปสู่ร้านขนมของตนเองตามกำหนดการเดิม ซึ่งกว่าภารกิจที่คล้ายเป็นกิจวัตรประจำวันจะเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยจนเกือบเที่ยงคืน

เขาย้อนกลับมายังบ้านของอาทิตย์อัสดงอีกคราว ไฟในบ้านยังคงปิดสนิท เงียบกริบดังเช่นยามที่เขาออกมา จึงเปิดประตูบ้านและแล่นรถเข้าไปจอดอย่างถือวิสาสะเอาเอง ตามด้วยย่างก้าวเข้าไปภายใน ตรงไปยังห้องครัว แต่ก็เห็นว่าอาหารที่สมควรจะพร่องลงไปบ้าง มันกลับเหมือนไม่ถูกแตะต้อง จึงเก็บอาหารเข้าตู้เย็น เพราะดูจากเวลาแล้ว อีกฝ่ายคงจะไม่ตื่นขึ้นมาในคืนนี้แล้ว หลังจากนั้นก็เคลื่อนย้ายตัวกลับมายังชั้นบน

เปิดประตูห้องเข้าไป ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้รู้สึกสบายตัว เขาสืบเท้าเข้าไปภายในห้องพลางคลำมือเพื่อหาสวิตช์ไฟ เปิดมันอย่างไม่เกรงใจผู้ที่น่าจะอยู่ในห้องอยู่ก่อนแล้ว เพราะอยากเห็นอีกฝ่ายให้ชัดๆ เผื่อว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปก่อนจะตรงไปยังเตียงนอน

‘ถ้าเป็นอย่างนี้ก็คงจะหลับสนิทจนถึงเช้าเลยล่ะมั้ง’

เมื่อเห็นว่าร่างนั้นยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม ภันวัฒน์ก็ไปล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อย ปลดกระดุมเสื้อและถอดเข็มขัดกางเกงออกเพื่อให้ชุดซึ่งสวมอยู่สบายตัวยิ่งขึ้น จากนั้นตรงไปปิดไฟแล้วกลับมาทอดตัวลงบนที่นอน

แขนแกร่งโอบกระชับร่างโปร่งที่หล่นร่วงลงไปในห้วงนิทราเอาไว้ ปิดท้ายด้วยการแตะริมฝีปากลงบนศีรษะของคนที่สติโบยบินไปแสนไกล ราวกับร่ายมนต์เพื่อให้คนที่นอนอยู่หลับฝันดี








อ่านต่อด้านล่าง


v


v


ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥


ต่อจากข้างบน


v



v




“ผมเป็นห่วงคุณน่ะ ก็เลยไม่อยากปล่อยคุณไว้คนเดียว”

เมื่อคำที่เคยเห็นเป็นตัวอักษรแปรสภาพเป็นเสียงที่ทั้งทุ้มและนุ่ม อาทิตย์อัสดงก็รู้สึกอ่อนแรงเหลือกำลัง

ไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจ

เขาขยับร่างกายไม่ได้ กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกไปหมด ราวกับมันถูกความร้อนเผาผลาญจนแทบสลาย จึงเป็นภันวัฒน์เสียเองที่เปล่งเสียงออกมาเมื่อเห็นอากัปกิริยานิ่งสงบของคนตรงหน้า

“ว่าแต่คุณหิวไหมครับ ผมว่าเราไปกินข้าวกันดีกว่านะ เพราะว่าผมหิวมากๆ แล้ว”

ผู้จัดการหนุ่มทำเสียงอ่อนดั่งกำลังออดอ้อนอีกฝ่ายอยู่พลางเอามือลูบท้องไปด้วย เรียกสติที่ลอยคว้างจนคว้าจับไม่ถูกให้กลับคืนมายังร่องรอยเดิมของมัน

“อ้อ ครับ”

ร่างโปร่งตอบเสียงติดแหบเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะการหลับใหลเป็นเวลานาน ทว่าเป็นเพราะถ้อยคำจากปากของชายผู้นี้ต่างหาก จากนั้นจึงค่อยรั้งตัวลุกขึ้นจากที่นอน

อาทิตย์อัสดงมึนงงอยู่ชั่วครู่ เพราะแม้จะได้สติคืนกลับมาแล้ว มันก็ยังไม่ค่อยสมบูรณ์นัก ละม้ายทำตกหล่นตามรายทางไปบางส่วน ก่อนจะต้องสูดลมหายใจลึก ตั้งสติให้มั่นอีกครั้งแล้วจึงค่อยสาวเท้าตรงไปยังห้องอาบน้ำ แต่ยังไม่ทันเปิดประตู เสียงจากคนด้านหลังก็ดังขึ้นก่อน

“อย่าเพิ่งอาบน้ำนะครับ เผื่อว่าไข้กลับ”

แม้อาการเมื่อคืนจะเรียกว่าไข้คงพูดได้ไม่เต็มปาก แต่ร่างสูงก็อยากระวังเอาไว้ก่อน ซึ่งเจ้าของหน้าขาวตี๋ก็ยอมพยักหน้าให้เบาๆ แล้วเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตูลงไปชั่วครู่

ครั้นออกมาจากห้องน้ำ อีกคนหนึ่งที่น่าจะอยู่ภายในห้องนอนกลับไม่อยู่แล้ว มันไร้สัญญาณชีพจากบุคคลอื่นนอกเหนือไปจากตัวเอง อาทิตย์อัสดงจึงพอจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงลงไปชั้นล่างก่อนแล้ว

ขาเรียวสาวตามระยะก้าวโดยปกติ บล็อกเกอร์หนุ่มรู้สึกหายใจได้ทั่วท้องขึ้น ความเป็นตัวเองเริ่มกลับมา หลังจากมันร่วนไปชั่วครู่เพราะเหตุการณ์ที่เหนือความคาดคิดและคำพูดเกินความคาดเดา กระทั่งไปถึงห้องครัว ก็พบว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่ยืนอยู่หน้าเตา

“ผมอุ่นข้าวต้มที่ทำไว้เมื่อคืนครับ อีกสักพักก็เสร็จแล้ว”

ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ว่าเขาลงมายังชั้นล่างแล้ว จึงบอกออกมาทั้งที่ยังไม่ถูกถาม

อาทิตย์อัสดงเดินไปนั่งยังโต๊ะอาหาร เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทำอะไรดี หรือควรจะเปิดบทสนทนาบทไหนจึงได้แต่เงียบ รอจนชายผิวเข้มที่ดูเหมาะกับการอยู่หน้าเตาไปอีกแบบนำข้าวต้มพร้อมกับที่อุ่นเรียบร้อยแล้วมาเสิร์ฟพร้อมช้อนและน้ำดื่ม

ร่างสูงเตรียมจะนั่งลงเพราะเตรียมอาหารเผื่อในส่วนของตนเองด้วย ทว่าเสียงทัก ‘เดี๋ยว’ จากเจ้าของบ้านก็ทำให้ต้องชะงักไป จึงอยู่ในสภาพที่หย่อนตัวลงแบบครึ่งๆ กลางๆ พลางเอียงคอด้วยความสงสัย

“คุณจะกินทั้งที่ไม่ได้แปรงฟันเหรอครับ”

“อ๋อ” ภันวัฒน์ครางเสียงตามด้วยผลิยิ้มบนหน้าเล็กน้อย “ผมใช้น้ำยาบ้วนปากของคุณบ้วนปากเรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหา”

ได้ยินดังนั้นบล็อกเกอร์หนุ่มก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ภันวัฒน์ถือโอกาสนั้นนั่งประจำที่ แต่ครั้นนั่งลงแล้วคนซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับเป็นฝ่ายลุกขึ้นเสียเอง ราวกับกำลังเล่นมากระดกกันอยู่อย่างไรอย่างนั้น

“มีอะไรเหรอครับ”

คนถูกถามไม่ตอบอะไร แต่เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ครัว เปิดตู้ด้านซ้ายสุดซึ่งอยู่ระดับเดียวกับศีรษะและหยิบบางอย่างออกมายื่นให้

“ไปแปรงฟันก่อนสิครับ”

ภันวัฒน์ผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สืบเท้าเข้าหาร่างโปร่งบางกว่าตน ยื่นมือออกมารับน้ำใจจากอย่างเต็มที่ แต่เมื่อกำลังจะแตะแปรงสีฟันใหม่เอี่ยมได้ อาทิตย์อัสดงกลับพูดขึ้นขัดอีกครั้ง

“มีอะไรน่ายิ้มถึงขนาดนั้นด้วยเหรอครับ”

อดสงสัยไม่ได้จริงๆ ทั้งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันกลับทำให้ร่างใหญ่ยิ้มแฉ่ง ซึ่งมันก็ถือว่าเป็นความผิดพลาดเช่นกันที่อาทิตย์อัสดงส่งคำถามนั้นออกไป เพราะคำตอบที่ได้รับ...

“เพราะมันเหมือนว่าคุณยอมให้ผมขยับเข้าไปใกล้คุณมากขึ้นอีกนิดไงครับ”

ร่างโปร่งรู้สึกมึนงงไปชั่วครู่ เนื่องจากไม่ได้คิดอะไรไปแบบนั้นเลย จริงอยู่ว่าเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายช่วยเหลือเขา สมควรจะตอบแทนบ้าง และการให้แปรงสีฟันไปแปรงฟันก่อนกินอาหารก็เป็นเรื่องที่เรียกได้ว่า ‘ขี้ประติ๋ว’ เสียด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายกลับตีความไปในทางที่ไกลจากความตั้งใจเดิมของเขาไกลโข

“ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องแปรงแล้วกันครับ”

อาทิตย์อัสดงชักมือกลับโดยเร็วพลันเมื่อรั้งสติกลับมาได้ เขาหันขวับกลับไปยังตู้ที่อยู่ข้างๆ ชูแปรงสีฟันเข้าเก็บที่เดิมของมัน แต่ไม่ทันจะทำได้สำเร็จ ก็ถูกร่างใหญ่ขยับเข้ามาเบียดชิด มือหนาคว้าทับมือเรียวที่กำลังจะปล่อยของในมือลง

“อย่าเพิ่งใจร้อนสิครับ”

เสียงกระซิบแผ่วเบาที่น้ำเสียงดูแหบพร่ากว่าปกติดังเฉียดหูไป ทำให้ร่างโปร่งไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้

อาทิตย์นิ่งค้างอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง รู้สึกว่าหากขยับมือไปมากกว่านี้ร่างกายที่ประชิดกันอยู่จะยิ่งย่นระยะแนบแน่นมากไปกว่านี้ ครั้นจะเปล่งเสียงอะไรสักอย่างออกมาก็นึกคำพูดไม่ออก จึงได้แค่พยายามเบี่ยงหน้ากลับมาหาฝ่ายที่อยู่ด้านหลังอย่างเชื่องช้าที่สุด

อย่างน้อยให้เขาได้สยบข่มทางสายตาก็ยังดี

แต่เมื่อหันไปแล้วกลับยิ่งต้องหยุดหายใจเพราะรับรู้ถึงความใกล้ชิดที่มากกว่า

ใบหน้าอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบด้วยซ้ำ

นัยน์ตาสีราตรีดำขลับจับจ้องมา ราวกับว่ากำลังร่ายเวทคาถาให้ต้องประสานสายตาตอบ ติดตรึงอยู่บนลูกแก้วคู่นั้นจนไม่สามารถละสายตาออกห่างได้

อาทิตย์อัสดงได้แต่ทอดสายตามองดวงตาคู่นั้นที่ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยใจที่สั่นไหว ก่อนจะหยีตาปิดแน่นเมื่อรับรู้ว่าใบหน้าของอีกฝ่ายที่ได้เห็นเริ่มไม่ชัดเจนมากขึ้นทุกที ขณะที่ลมร้อนจากลมหายใจกลิ่นเปปเปอร์มินต์พัดแผ่วเข้ามาปะทะใบหน้าจนมันลามร้อนจากใบหน้าไปสู่ทั่วร่าง

หัวใจเต้นโครมครามราวกับจะทะลุออกมา สัมพันธ์กับระยะห่างของใบหน้าที่ชิดเข้ามาเรื่อยๆ




----------------
รู้สึกเหมือนอารมณ์ตอนนี้จะสลับกับตอนที่แล้ว?

Undel2Sky

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ใคร ทำไม ยังไง เรื่องอะไรที่ทำให้เครียดจนนอนไม่หลับถึงกะล้ม

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ชอบเจ้าของร้านขนมกับคุณบล็อกเก้อ นะค๊ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
โอ๊ยยยยย คุณอาทิตย์ของเราาาาาาาาาา บุคคลปริศนาเจ้าของคอมเม้นนี่เป็นใครกันคะ มาปลุกอดีตของคุณอาทิตย์ทำไมมม เราก็ไม่รู้ว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้น แต่ต้องเป็นเรื่องหนักหนาจริงๆล่ะค่ะที่ทำให้คุณอาทิตย์ถึงกับเครียดตลอดเวลา เฮ้อ เราอยากให้ปมนี้คลี่คลายจังค่ะ ให้เรากลับไปด่าคุณภันต่อเถอะค่ะ ไม่อยากสงสารคุณอาทิตย์แล้ววว พูดถึงคุณภัน ตอนนี้โคตรเท่ค่ะ บอกก่อนว่าเราไม่อยากพูดแบบนี้เลย แต่มันก็ต้องพูดจริงๆ เราขอเลิกหมั่นไส้คุณภันแป๊บนะคะ เราว่าตอนนี้คุณอาทิตย์อาจจะกำลังแย่ แต่มันจะไม่เลวร้ายไปทั้งหมดเพราะตอนนี้คุณอาทิตย์มีคุณภันอยู่ด้วยแล้ว ในความรู้สึกเราคุณภันเป็นผู้ชายอบอุ่นค่ะ เราเชื่อว่าแกจะสามารถดูแลคุณอาทิตย์ได้ และจะจับมือคุณอาทิตย์ผ่านเรื่องนี้ไปได้ในที่สุดเช่นกัน ดูสิคะ แค่คุณภันมา นอนกอดไว้ คุณอาทิตย์ก็หลับได้อย่างสบายใจแล้ว มันคงต้องเป็ฯคุนๆนี้แล้วล่ะค่ะคุณอาทิตย์ ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณภันแล้วนะคะว่าจะทลายกำแพงของ "ฟรี" ไปได้รึเปล่า ฮื้ออออ ตกใจจนหลุดเรียกฟรีนี่แสดงว่าจิตใต้สำนึกอยากเรียกอยู่ตลอดเวลานะคะ อิอิ เราขอร้องล่ะค่ะ พาเราฝ่ามรสุมที่นะคะ ชื่อตอน "ไม่รู้เนื้อรู้ตัว" นี่ เราเดาเต็มที่มากว่าหมายความว่าคุณอาทิตย์ไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าอยากพึ่งคุณภันนะคะ แอร๊ยยยย ป่วยก็มีคนดูแล ตื่นมาก็มีคนทำกับข้าวให้แล้วนั่งกินเป็นเพื่อน โอ๊ยยยยย เราว่าถ้าผ่านพายุลูกนี้ไปได้เราจะได้พบความละมุนน 5555555 รอนะคะะ รออย่างจริงจัง อย่าทำให้เราเครียดนานนะคะ  :mew3: :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ cinnsin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
โหย.. พี่ฟรีน่าสงสารมากอ่ะ ถึงขั้นล้มนี่ไม่ใช่เล่นๆเลยนะเนี่ย..
พี่ฮักห้ามทำพี่ฟรีเสียใจเด็ดขาดเลยนะ! ไม่งั้นหนูจะไปบึ้มบ้านพี่แน่ -^-

ออฟไลน์ saotome

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
อิ้วๆ จะจูบหรา

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
หลับตาตามฟรีไปด้วยเลย

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
17th Entry : หวานอมขมกลืน






RRrrr

ราวกับสัญญาณช่วยชีวิตดังขึ้น ร่างโปร่งสะดุ้งโหยงเบิกตาเรียวขึ้นมาจนโต ประจันหน้ากับร่างสูงที่ถอยห่างออกไปเล็กน้อย รู้สึกหายใจได้ทั่วท้องขึ้นจนอยากจะพ่นลมหายใจออกมาในรวดเดียว

RRrrr

เสียงโทรศัพท์ดังซ้ำเพื่อเรียกสติที่คล้ายว่าจะเตลิดเปิดเปิงไปชั่วครู่ให้กลับคืนมาโดยสมบูรณ์ อาทิตย์อัสดงชักมือที่กำแปรงสีฟันค้างอยู่ลง ซึ่งภันวัฒน์ก็ปล่อยมือที่ตนกุมเอาไว้ออกเช่นเดียวกัน

“มือถือผม”

ร่างโปร่งบอกพลางดันวัตถุในมือใส่อกของคนที่อยู่ตรงหน้า เมื่ออีกฝ่ายรับมันไปอย่างไม่มีทางเลือกแล้ว จึงเดินตรงไปยังห้องนั่งเล่นที่วางโทรศัพท์ทิ้งไว้ หยิบมันขึ้นมารับสายหลังจากเห็นว่าเป็นเพื่อนรักที่โทรเข้ามา

[มึงเป็นอะไรหรือเปล่า]

ไม่ทันได้ส่งเสียงออกไป ก็ถูกสวนประโยคกลับมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเสียก่อน

“กูไม่เป็นไร แค่ตื่นสายนิดหน่อย ขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกมึง

[ตื่นสายเหรอ]

หนึ่งฤทัยทวนคำตอบ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

[เออๆ งั้นก็ดีแล้ว แสดงว่านอนหลับสนิทสินะ กูนึกว่ามึงเป็นอะไรเสียอีก กะว่าถ้าคราวนี้ไม่รับสาย ตอนเที่ยงกูจะแวะเข้าไปหาแล้ว]

ได้ยินคำพูดของเพื่อนเช่นนั้นก็เหมือนเป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่าเมื่อคืนเขาหลับสนิทไปจริงๆ อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็บ่ายเบี่ยงประเด็นที่จะตอบ

“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่วันนี้กูคงไม่เข้าไปแล้ว ฝากลาพี่โหน่งให้ด้วยแล้วกัน”

[ไม่ต้องห่วงหรอก ว่าแต่เย็นนี้จะให้กูเข้าไปหาหรือเปล่า จะได้ซื้อผลไม้ไปฝาก กินผลไม้เยอะๆ จะได้สดชื่น หน้าตาไม่ซูบซีด]

หลังคำถามนั้นอาทิตย์อัสดงเหลือบตาไปมองทางคนที่อยู่ในห้องครัว แต่เห็นว่าร่างใหญ่นั้นไม่อยู่ที่นั่นแล้ว คาดว่าคงจะเข้าไปแปรงฟันในห้องน้ำกระมัง

“ไม่ต้องหรอก กูดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องห่วงมากก็ได้ กูบอกแล้วไงว่ากูโอเค”

[แน่นะ]

ถึงจะย้ำเช่นนั้นเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็จำไม่ได้ แต่หนึ่งฤทัยก็ยังถามซ้ำ ร่างโปร่งจึงต้องยืนยันให้ชัดเจนมากขึ้นอีก

“จริงๆ จริงแบบสุดๆ พรุ่งนี้มึงรอดูเลย กูจะเอาหน้าบลิ๊งไปให้มึงดู โอเค้”

[จ้าๆ เชื่อแล้ว งั้นเท่านี้ก่อนแล้วกัน มึงจะได้พักผ่อน]

น้ำเสียงที่แตกต่างออกไป ละม้ายจำใจยอมแพ้ดังออกมา ร่างโปร่งกล่าวลา ‘เจอกันพรุ่งนี้’ เท่านั้นก่อนจะกดวางสายไป เขาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาและวางโทรศัพท์ลงยังโต๊ะกลางเช่นเดิม กลีบปากเม้มเข้าหากันโดยไม่ได้ตั้งใจเพียงแค่คิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก่อนที่โทรศัพท์จะดัง

ถ้าหนึ่งฤทัยไม่โทรมา

เขากับผู้ชายคนนั้นจะ...จูบกันงั้นเหรอ?

แค่คิดก็รู้สึกร้อนเห่อขึ้นมาจนคันยุบยับไปทั้งใบหน้าและลามไปทั้งแขน ราวกับว่าเขาเพิ่งวิ่งมาราธอนมาอย่างไรอย่างนั้น

“คุณ”

“.....”

“คุณ”

เสียงที่เข้ามาในโสตประสาทเบาๆ ทำให้สะดุ้งและรู้สึกตัวว่าสติกำลังโบยบินออกไปโดยไม่ได้รับคำอนุญาต บล็อกเกอร์หนุ่มหันกลับไปมองคนที่ออกมาจากห้องน้ำแล้ว กระแอมเบาๆ ก่อนจะส่งเสียงออกไป

“ครับ”

“มากินข้าวเถอะครับ”

ได้ยินดังนั้นถึงนึกขึ้นได้ว่าตนทำอะไรค้างอยู่ อาทิตย์อัสดงยันตัวขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะเดินกลับไปยังที่โต๊ะอาหารเช่นเดิม เมื่อนั่งลงยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับร่างสูงแล้วจึงเหลือบตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย ภันวัฒน์ยกช้อนขึ้นตักข้าวต้มขึ้นกินราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งเกิดอะไรแบบนั้นขึ้น

“มีอะไรหรือเปล่า”

“หา?”

น้ำเสียงบ่งบอกถึงความงงงวยอย่างชัดเจน ผู้จัดการหนุ่มจึงต้องขยายความเพิ่ม

“คุณมองหน้าผมอยู่”

“เปล่า ไม่มีอะไร”

ร่างโปร่งรีบตอบกลับไปราวกับร้อนรน พลางคว้าช้อนขึ้นมาตักข้าวต้มเปล่าเข้าปากจนอีกฝ่ายต้องบอก

“ตักกับไปด้วยสิครับ กินเปล่าๆ มันไม่อร่อยนะ”

ราวกับคนป้ำเป๋อไปชั่วคราว อาทิตย์อัสดงรู้สึกเช่นนั้น ก่อนจะยื่นมือมาตักกับตามคำบอก คลุกข้าวต้มเม็ดสวยที่ดูจะเละลงกว่าปกติเล็กน้อยเพราะผ่านความร้อนมาถึงสองครั้งเข้าปากโดยไม่พูดอะไร ขณะที่อีกฝ่ายมีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนผืนหน้าน้อยๆ เหมือนกำลังขบขันอะไรสักอย่าง ถึงกระนั้นร่างโปร่งก็ยังทำเป็นมองไม่เห็น

กระทั่งอาหารและกับหมด บล็อกเกอร์หนุ่มจึงหยิบจานชามยกตรงไปยังอ่าง แต่ครึ่งหนึ่งของภาชนะที่ถูกใช้งานก็ถูกร่างใหญ่คว้าเอาไว้ก่อน ภันวัฒน์ขยับร่างมายืนเคียงอาทิตย์อัสดงที่อ่างล้างจาน

“เดี๋ยวผมล้างให้เอง คุณไปพักเถอะ”

อ้าปากเตรียมจะสวนเสียงคำว่า ‘แต่’ ทว่าก็ถูกกายที่สูงสง่ากว่าเขม่นมองราวกับจะดุจึงต้องหุบปากลงไป

มีคนล้างจานให้ก็สะดวกสบายมิใช่หรือ

บอกกับตนเองเช่นนั้นแล้ว ผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ยินยอมเดินกลับมายังห้องนั่งเล่นอีกคราว ทิ้งตัวเอนหลังด้วยท่าที่ผ่อนคลายที่สุดพลางดึงหมอนอิงที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมากอดด้วยไม่รู้จะทำอะไรดี จวบจนอาสาสมัครล้างจานเดินกลับมานั่งลงยังที่ว่างด้านข้างราวกับเป็นเรื่องปกติ ถึงได้คิดคำพูดขึ้นมาได้

“วันนี้คุณไม่ไปทำงานเหรอ”

เห็นว่าเกือบจะเข้าสู่ช่วงเที่ยงแล้วจึงอดสงสัยไม่ได้ ซึ่งคำตอบก็มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ ที่ราวกับจะหว่านเสน่ห์ให้ลุ่มหลง

“วันนี้ผมหยุดน่ะ”

“แล้วคุณไม่ต้องเข้าร้านเหรอ”

“เมื่อคืนผมไปทำขนมมาแล้ว ค่อยเข้าไปมืดๆ ก็ได้”

“แล้วคุณ...”

คล้ายว่าพยายามหาคำถามที่จะชักจูงอีกฝ่ายให้ออกไปจากบ้านตนเองให้ได้อย่างไรอย่างนั้น แต่ภันวัฒน์ก็จับได้ไล่ทันในทันที

“วันนี้คำถามเยอะจังนะครับ”

อาทิตย์อัสดงเกือบจะสำลักน้ำลายตนเอง ณ ตอนนั้น รับรู้แล้วว่าถูกรู้ทันจึงต้องเบนทิศ

“คุณบอกว่าไปทำขนมเมื่อคืน แสดงว่าคุณเปิดประตูบ้านผมทิ้งไว้เหรอครับ”

“ผมก็ใช้กุญแจบ้านคุณล็อกสิครับ”

“แล้วคุณเอากุญแจมาจากไหน”

“ก็คุณวางทิ้งไว้บนโต๊ะตัวนี้เองนี่นา”

ดูเหมือนว่าช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ตนจะมีความทรงจำค่อนข้างเลอะๆ เลือนๆ ก็เป็นได้ อาทิตย์อัสดงจึงมุ่นคิ้วเข้าหากันราวกับจำไม่ได้ว่าทิ้งกุญแจบ้านไว้แบบนั้น และมันก็ทำให้ไพล่คิดไปถึงอีกเรื่อง

“ผมขึ้นไปนอนที่ห้องได้ยังไงครับ เท่าที่จำได้เหมือนผมจะอยู่ที่หน้าบ้าน เห็นคุณมา แล้วก็...” เสียงขาดหาย รอยย่นตรงหัวคิ้วหดระยะเข้าหากันมากกว่าเดิม ราวกับกำลังพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก “ผมเดินขึ้นไปเองสินะ น่าจะละเมอ”

น้ำเสียงที่เอ่ยดูเลือนลอยเล็กน้อย ประหนึ่งพูดออกมาโดยการนึกภาพในใจว่าคงเป็นเช่นนั้น ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองให้ดี ซึ่งมันก็ทำให้เสียงหัวเราะเบาๆ หลุดออกมาจากคนที่รู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง

เสียงหัวเราะทำให้บล็อกเกอร์หนุ่มต้องเชยหน้าขึ้นมองอีกคนอย่างฉงนว่ามีอะไรน่าขำ ยิ่งทำให้รอยยิ้มของภันวัฒน์กว้างขึ้นอีก เขาบอกเสียงกลั้วหัวเราะกลับมา

“คุณไม่ได้เดินขึ้นไปเองหรอก ผมต่างหากที่อุ้มขึ้นไป”

ได้ยินดังนั้นเจ้าของหน้าขาวตี๋ก็เบิกตาจนกลมโตขึ้นมากกว่าปกติเกือบเท่าตัว ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่คำอธิบายเพิ่มเติมก็ยังตามมาดังจะยืนยันว่าเป็นความจริง

“เกิดมาผมก็เพิ่งเคยอุ้มคนตัวใหญ่แบบคุณนะ ทุลักทุเลจนเกือบตกบันไดแน่ะ”

อาทิตย์อัสดงไม่รู้ควรจะรู้สึกสังเวชภันวัฒน์ที่ต้องลำบากลำบนอย่างน่าขำเช่นนั้น หรือว่าอับอายจนอยากเอาหัวมุดไปอยู่ที่ไหนสักทีดี จึงได้แต่หน้าร้อนฉ่าขึ้นมา

“คุณอุ้มผม...เนี่ยนะ?”

“ใช่ๆ ตอนเดินพื้นราบก็โอเคนะ ตัวคุณไม่ได้หนักเท่าไรหรอก แต่ตอนขึ้นบันไดเนี่ยแหละ เสียวสุดๆ ว่าจะหงายหลังหรือเปล่า”

ร่างโปร่งรู้สึกหน้าชาจนต้องเอามือกุมหน้าเอาไว้ให้มิดชิดเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย

“ขอโทษที่ทำให้คุณต้องลำบาก จริงๆ คุณไม่ต้องแบกผมขึ้นไปบนห้องก็ได้ ทิ้งให้ผมนอนบนโซฟาก็พอแล้ว”

เจ้าตัวได้แต่พูดให้เสียงลอดผ่านฝ่ามือที่ปิดบังใบหน้าอยู่ ไม่รู้ทำไมเห็นดังนั้นแล้วภันวัฒน์จึงรู้สึกว่าน่าเอ็นดู เขายิ้มกริ่มกับตนเองก่อนจะตอบเหตุผล

“อาการคุณดูไม่ดีเลย ให้นอนโซฟาคงจะไม่สบายตัว ใช่ไหมล่ะครับ”

คำถามนั้นทำให้คนถูกถามต้องครุ่นคิด มันเป็นเช่นนั้นหรือไม่เขาก็ไม่แน่ใจหรอก หากแต่เมื่อคิดไปถึงการนอนบนเตียงแล้วก็ทำให้โยงไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าขึ้นมา

ทันทีที่ลืมตาก็ได้เห็นหน้าคนที่ตนเองอยากเลี่ยงมาโดยตลอด

“ถ้าอย่างนั้นคุณเรียกให้ผมลุกขึ้นมาเองก็ได้”

“คุณคงลุกไม่ไหวหรอกครับ แล้วก็...”

หน่วยตาคมดำขลับกวาดมองใบหน้าที่เผยออกมาทีละนิดเมื่อเห็นว่าตนเงียบไป จดจ้องดั่งต้องการสื่อความนัยอะไรบางอย่าง จนอาทิตย์อัสดงรู้สึกราวกับถูกตรึงเอาไว้ให้ไม่สามารถเบี่ยงสายตาหลบเลี่ยงไปทางอื่นได้ ได้แต่รอคอยคำพูดถัดไปที่จะออกมาจากอีกฝ่าย

“อย่าพยายามหาข้ออ้างเพื่อเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วเลยครับ เพราะมันเป็นอดีตที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จึงมีแต่จะต้องยอมรับและทิ้งมันไว้เบื้องหลัง ไม่ว่าคุณจะยินดีหรือไม่ก็ตาม”

เสมือนหอกเล่มใหญ่เสียดผ่านผิวเนื้อเข้ามาในอก อาทิตย์อัสดงรับรู้ได้ถึงสัมผัสคมกริบที่ค่อยๆ แหวกประสาทสัมผัสเข้ามา มันเจ็บจนปวดหนึบ เพราะสิ่งที่ภันวัฒน์พูดนอกจากจะถูกต้องตามสถานการณ์นี้แล้ว ยังยืดโยงไปเกี่ยวเข้ากับความลับที่เขาซุกซ่อนเอาไว้ในอก

“ฟรี ฟรีครับ”

“.....”

“ฟรี!”

เสียงที่เรียกดังขึ้นทำให้บล็อกเกอร์หนุ่มสะท้านเฮือกทั้งกาย รับรู้บรรยากาศรอบตัวได้อีกครั้ง แต่ยังไม่วายมึนงง สีหน้าแสดงออกอย่างชัดแจ้งจนคนเห็นอดไม่ได้ที่จะถาม

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่ได้เป็นอะไรครับ ว่าแต่...”

เขาหยุดเสียงพูดครู่สั้นๆ คิดอยู่ในใจว่าจะหยิบคำพูดไหนมาต่อบทสนทนาดี ฉับพลันหนึ่งก็นึกขึ้นได้

สิ่งที่เขาสมควรทำที่สุดในเวลานี้

“คุณไม่มีธุระอะไรแล้ว น่าจะกลับไปพักนะครับ วันหยุดทั้งที”

มุ่งสู่ประเด็นที่ตนเคยพยายามอ้อมค้อมมาตลอด แต่อีกฝ่ายกลับตอบอย่างไม่ยินดีตอบสนอง

“ผมอยากอยู่กับคุณมากกว่า”

ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้มีความพยายามที่จะเข้าหาเขานัก ทั้งที่ปฏิเสธไปอย่างชัดเจนและบอกเหตุผลไปแล้ว อาทิตย์อัสดงรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาครามครัน เพราะมันทำให้เขายากที่จะผลักไสภันวัฒน์มากขึ้น

ยิ่งถูกรุกไล่เข้าหา เขาก็ยิ่งต้องเสียเวลาตั้งรับ และมันก็ทำให้วิ่งหนีได้ล่าช้าลงเท่านั้น

“คุณไม่ต้องใส่ใจผมก็ได้ คุณจะทำอะไรก็ได้ ตามสบายเลย ขอแค่ให้ผมอยู่ใกล้ๆ ก็พอ”

“ผมว่า... คุณไม่ค่อยเหมาะกับบทผู้ชายที่แสนดี คอยเฝ้ามองคนที่ตัวเองสนใจสักเท่าไรนะ”

ดูจากบุคลิกของร่างสูงแล้วน่าจะเป็นเช่นนั้น พนันได้เลยว่าที่ผ่านมาคงมีแต่คนเข้าหาเป็นแน่ เพราะไม่ว่าจะพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอก ทัศนคติ หรือฐานะ ก็ดูจะเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง แน่นอนว่าดูสมบูรณ์แบบกว่าเขาหลายเท่า

“นั่นก็แล้วแต่ว่าคนคนนั้นเป็นแบบไหนมากกว่า ในเมื่อคุณไม่สนใจผม ก็ต้องเป็นฝ่ายผมสิที่คอยใส่ใจคุณ”

“ตรรกะประหลาดดีนะครับ”

“เพื่อความสมดุลไงคุณ” ภันวัฒน์ยิ้มย่องราวกับว่าตนทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วและน่าเชิดชู ก่อนจะขยับสะโพกเล็กน้อย กระเถิบร่างที่อยู่ใกล้ร่างโปร่งให้ระยะห่างลดลงอีก “เอางี้ดีกว่า คุณมีหนังอะไรสนุกๆ ให้ผมดูหรือเปล่า เดี๋ยวผมจะอยู่ดูหนังเฉยๆ ส่วนคุณก็นอนพักผ่อนไป ดีไหมครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่อยากพักแล้ว”

ร่างกายรับรู้มาตลอดว่ายามที่หลับตาลงจะเป็นเช่นไร อาทิตย์อัสดงจึงสวนคำตอบกลับไปทันควัน แต่นั่นก็ทำให้ภันวัฒน์ยิ้มอ่อน มือหนายกขึ้นลูบศีรษะคนนั่งข้างเบาๆ

“พักเถอะครับ เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อนเอง”

ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังเผชิญเรื่องแบบไหนอยู่ แต่ร่างสูงก็ทำประดุจรู้ทะลุปรุโปร่ง ทว่าช่างน่าประหลาดเหลือเกินที่เพียงมือใหญ่นั้นลูบผมเบาๆ กลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ขนาดนี้ สีหน้าของบล็อกเกอร์หนุ่มอ่อนลง แม้คิดว่าตนควรปัดมือนั้นทิ้งเสียมากกว่า

“นะ”

เสียงทุ้มดังอีกคล้ายเอื้อนเอ่ยประโยคขอร้อง อาทิตย์อัสดงจึงยอมผ่อนกายลงเล็กน้อย จากนั้นเอนตัวลงยังโซฟาอย่างเชื่องช้า พร้อมกับย้ายหมอนในอ้อมกอดไปยังใต้ศีรษะ ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มตอบรับการกระทำจากอีกฝ่าย

ภันวัฒน์ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ขาของคนข้างหลังยืดออกมาได้เต็มที่ พลางถาม ‘กอดหมอนไหมครับ’ พร้อมฉวยหมอนอิงที่อยู่ใกล้ตัวขึ้นมาส่งให้ และคนถูกถามก็รับมันไปกอดแนบอกแต่โดยดี เห็นดังนั้นแล้วผู้จัดการหนุ่มก็โน้มกายเข้าหาเล็กน้อย

อาทิตย์อัสดงลืมตามองใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้ ใคร่รู้ขณะเดียวกันก็หวาดระแวงว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร แต่เพียงไม่นานก็ได้รับคำตอบที่ทำให้ตาที่ลืมอยู่เบิกโพลงยิ่งขึ้น

ริมฝีปากของภันวัฒน์กดแนบเข้าที่หน้าผากเบาๆ

หากมีสตินับได้คงสักสามวินาทีกระมัง แต่สำหรับอาทิตย์อัสดงกลับไม่รู้ว่ามันยาวนานแค่ไหน

“ฝันดีนะครับ”

กระทั่งเสียงนั้นดังอีกคราเปลือกตาจึงกะพริบถี่เช่นเดียวกับแมลงปอกระพือปีก จากนั้นภายในอกก็เกิดเสียงทึบๆ ตามมาระรัว ความร้อนแล่นไหลไถลมาสู่ใบหน้า ไม่แน่ใจว่าหายใจอยู่หรือเปล่าไปชั่วคราว

เมื่อเรียกสติได้มือเรียวที่กอดหมอนอยู่ก็ยิ่งขยำมันแน่น ถ้าไม่คิดว่ามันคงน่าอับอายอย่างมาก เขาคงดึงหมอนขึ้นมาปิดหน้าไปแล้ว แต่เพราะไตร่ตรองดีแล้วว่าทำเช่นนั้นคงไม่ดีแน่ๆ เจ้าตัวจึงเพียงขบริมฝีปากแน่น พยายามกล่อมตัวเองให้กลับคืนสภาวะปกติที่สุด พร้อมกับหลับตา แสร้งทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับการกระทำอุกอาจของอีกฝ่าย ทั้งที่ในใจร้องร่ำว่า...

เจอแบบนี้ใครหลับลงก็บ้าแล้ว!

แต่ทั้งที่คิดว่าเป็นแบบนั้น ร่างโปร่งกลับเข้าสู่ภวังค์ได้ง่ายดายหลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ราวกับคนอดยากหิวโหยการนอนจนยากต่อต้าน

ภันวัฒน์มองภาพใบหน้าที่ดวงตาปิดพริ้ม มือซึ่งกำแน่นอยู่ที่หมอนคลายลง จึงจุดยิ้มที่กรอบหน้าคมคายด้วยความพึงพอใจ เพราะแม้ว่าสีหน้าของบล็อกเกอร์หนุ่มจะดีขึ้นมากกว่าเมื่อวาน แต่ก็ยังมีร่องรอยของความเหนื่อยล้าที่เจ้าตัวไม่แสดงออกมาแฝงอยู่

จากนั้นกายสูงค่อยฉุดตัวลุกขึ้น เดินตรงไปยังโทรทัศน์ซึ่งมีเครื่องเล่นดีวีดีอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นมีแผ่นหนังวางเรียงอยู่ระเกะระกะนิดหน่อย บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของมันไม่ใส่ใจจะจัดเก็บนัก เขาหยิบขึ้นมาหนึ่งแผ่น ใส่เครื่องเล่นอย่างถือวิสาสะ และกลับมานั่งที่โซฟาตัวเดิม ตามด้วยกดรีโมทเปิดเสียงโทรทัศน์ในระดับเบาที่สุดเท่าที่จะได้ยิน แล้วมองสลับกล่องสี่เหลี่ยมที่เริ่มฉายภาพกับใบหน้าของคนหลับที่อยู่ด้านหลัง

เพียงเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนอนหลับสบาย ไม่รู้ทำไมถึงสัมผัสได้ถึงความสุขใจ





เย็นย่ำแล้วกว่าดวงตาปิดสนิทจะเปิดขึ้น สิ่งแรกที่อาทิตย์อัสดงเห็นไม่ใช่เพดานหรืออากาศเบื้องหน้า หากแต่เป็นร่างของภันวัฒน์ที่เอนพิงพนักโดยมีเท้าของเขาพาดอยู่บนตัก เจ้าของร่างนั้นกอดอกหลับตา ดูท่าว่าคงจะหลับไปเช่นเดียวกัน

เห็นดังนั้นก็รีบชักขาของตนเองลงสู่พื้น หันมองรอบบริเวณเพื่อรับรู้ถึงสภาพซึ่งเปลี่ยนแปลงไปนับจากที่สติดับวูบ ไม่นึกคิดเลยว่าจะหลับได้สนิท ไม่มีฝันร้ายแผ้วพานราวกับหลายคืนที่ผ่านมาเป็นเรื่องโกหก เขาเพ้อพกฟุ้งซ่านไปเอง

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร

อยู่กับผู้ชายคนนี้ เขาสบายใจจนกระทั่งสามารถหลับได้ทั้งที่หวาดกลัวเชียวหรือ

ฉับพลันที่ความคิดนั้นท่วมท้นออกมา อาทิตย์อัสดงรู้สึกกลัว ตัวเขาในจิตใจกำลังนั่งกอดตัวเองซุกอยู่ที่มุมมืด ทั้งร่างสั่นเทิ้ม

สัญญาณเตือนอันตรายหวีดร้องจนแสบแก้วหู

ไม่เอาแล้ว เขาต้องออกไป ต้องอยู่ห่างจากผู้ชายคนนี้ให้มากที่สุด

แม้จะคิดเช่นนั้น แต่จะให้ปลุกคนที่นอนหลับอยู่เพื่อไล่กลับบ้าน ก็ออกจะเป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างไร้มารยาทไปสักหน่อย อาทิตย์อัสดงจึงได้แต่มองอีกฝ่าย ครุ่นคิดหาวิธีออกที่ดีที่สุดและไม่เป็นการขับไล่อย่างน่าเกลียดจนเกินไป ทว่าก็จนปัญญา

เขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรเพื่อให้ภันวัฒน์ล้มเลิกความตั้งใจเสีย

เพราะตลอดที่ผ่านมาชายคนนี้ไม่เคยเปิดรับคำพูดทำนองนั้นของเขาสักครั้ง

คล้ายคนหูหนวกตาบอดที่เอาแต่จะพุ่งชนจุดหมาย

แง่หนึ่งก็นับได้ว่าเป็นคนที่น่าชื่นชมมากทีเดียว เพราะมีความมุ่งมั่นถึงเพียงนั้น

แต่ในอีกแง่ ฉายชัดถึงความดันทุรัง ดื้อรั้น และมันก็ก่อความลำบากให้เขาเสียเหลือเกิน

หลังจากนั้นไม่นาน เสมือนว่าร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มแล้ว ร่างสูงจึงกลับเข้าสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง เขาลืมตาหันมองรอบด้าน พบว่าเจ้าของบ้านตื่นแล้วเช่นกัน ร่างโปร่งนั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จ้องมองมาทางเขา และพอสายตาประสานกัน อาทิตย์อัสดงก็หันหน้าไปทางอื่นทันควัน

“กี่โมงแล้วเหรอครับ”

เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองไปทางฝั่งผนังพอดี จึงใช้ประโยชน์ในคราวเดียว ซึ่งอาทิตย์อัสดงก็อึกอักเล็กน้อยก่อนจะส่งคำตอบกลับมา

“สี่โมงครึ่งแล้ว”

“งั้นผมว่า วันนี้เราสั่งอะไรจากข้างนอกมากินดีไหม ถึงจริงๆ ผมจะอยากกินอาหารฝีมือคุณมากกว่าก็เถอะ แต่ไม่อยากให้คุณเหนื่อย”

ยามได้ยินประโยคกลาง อาทิตย์อัสดงกลับคิดสิ่งหนึ่งได้ฉับพลัน

เขาติดหนี้บุญคุณคนคนนี้อยู่ จำต้องสะสางเพื่อขจัดเรื่องค้างคา จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดชอบชั่วดีตอนโยนตัวเองออกห่างความใกล้ชิดที่มีระหว่างกัน ณ ปัจจุบันนี้

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมทำให้เอง”

“อยากรีบใช้หนี้กันเร็วขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

คล้ายว่าผู้จัดการหนุ่มจะรู้ทัน ถึงได้สวนเสียงกลับมาอย่างไม่รีรอ ใบหน้าคมคร้ามประทับด้วยประโยคคำถามแฝงแววแดกดันอย่างไรชอบกล อาจคิดไปเองก็ได้ แต่ร่างโปร่งกลับรู้สึกเช่นนั้นโดยไม่อาจปฏิเสธ จึงโต้แย้งกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้

“ที่คุณมาหาผมตั้งแต่เมื่อวาน ไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้เหรอครับ”

“มันก็ใช่ครับ ผมมาหาคุณเพราะผมอยากกินอาหารฝีมือคุณ แต่ไม่ใช่ว่าผมอยากให้คุณใช้หนี้เร็วๆ เพราะคุณจะใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อเลี่ยงการเจอกับผม ใช่ไหมล่ะครับ”

ทั้งที่พอรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายรู้ทัน เพราะไม่ว่าครั้งไหนๆ เจ้าตัวก็ใช้ความฉลาดเป็นกรดไล่เบี้ยเขาจนมุมได้เสมอ ถึงกระนั้นเมื่อได้ยินกับหูของตนเองแล้ว กลับรู้สึกว่ามันจี้ใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ผมทำเพื่อตัวเอง และทำเพื่อคุณครับ อย่าเสียเวลาเลยนะครับ ถือว่าขอร้อง”

อาทิตย์อัสดงเอ่ยเสียงอ่อน เขาไม่เคยวอนขอใครเช่นนี้มาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก และเขาก็เต็มใจทำหากว่ามันจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างที่ต้องการ

“ผมทำไม่ได้ครับ”

คำตอบพุ่งตรงออกมาอย่างแน่วแน่ราวกับศรที่ถูกง้างออกมาจากคันธนูหลังจากเล็งเป้าเป็นอย่างดีแล้ว มันไม่คลาดเคลื่อนไปแม้แต่มิลลิเมตรเดียวจากหัวใจของคนฟัง ทำให้หน่วยตาของบล็อกเกอร์หนุ่มหลุบต่ำลง รู้สึกทดท้อในใจว่าจะทำเช่นไรถึงจะผลักไสอีกฝ่ายให้พ้นไปจากชีวิตตนเองได้

ไม่อยากทำร้าย หรือใช้วิธีที่ร้ายกาจ เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกย่ำแย่ต่ออีกฝ่าย ออกจะรู้สึกดีเสียด้วยซ้ำ

เขายอมรับในเรื่องนั้น

และเพราะยอมรับมันนั่นแหละ ถึงทำให้เขายิ่งหวาดกลัวเหลือคณา

ในคราวแรกที่ได้รู้จักกันเขาอาจไม่พอใจในการกระทำของภันวัฒน์ แต่ยิ่งได้ทำความรู้จักลึกซึ้งมากเพียงใด ความอคติที่เคยมีก็หันเหเข้าสู่ทิศตรงกันข้าม และกว่าจะรู้ตัว มันก็ล่วงเข้ามาในเขตอันตรายเสียแล้ว

“ยิ่งคุณต่อต้านผมเท่าไร ผมก็ยิ่งดื้อดึง รู้ไหมครับ”

อาทิตย์อัสดงได้แต่เงียบ กับคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“การที่คุณหวาดกลัวผม มันยิ่งกระตุ้นให้ผมอยากเข้าใจคุณมากขึ้น สนใจคุณมากขึ้น อยากทำให้คุณยอมเปิดรับผมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคุณ”

หากเขาเป็นคนปกติทั่วไป ไม่ได้มีเหตุการณ์ฝังรากลึกจนขุดถอนโคนต้นไม่ออกเช่นนี้ เขาอาจจะยอมแพ้ไปแล้วก็ได้

ร่างโปร่งบอกกับตนเองเช่นนั้น แต่เพราะมันไม่ใช่ เขายังคงเป็นคนที่ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ และหวั่นกลัวการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ มันถึงได้พบกับจุดจบเช่นนี้

“ปล่อยให้ผมพยายามของผมเองคนเดียวได้ไหมครับ คุณจะนิ่งเฉยต่อไปก็ได้ คุณจะตั้งป้อมแน่นหนาสักกี่ชั้นก็ได้ แล้วผมจะเป็นคนทลายมันเอง คุณไม่ต้องทำอะไรเลยสักอย่างเดียว”

อ่อนอกอ่อนใจเหลือประมาณกับชายคนนี้ ข้อเสนอนั้นน่าฟังราวกับว่าเป็นเรื่องเรียบง่าย ประหนึ่งว่าเขากำลังรอคอยสักคนที่จะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่เพราะไม่อาจทำใจปล่อยวางมันลงได้ง่ายๆ จึงไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา นานอยู่ครู่ใหญ่เลยทีเดียว กว่าอาทิตย์อัสดงจะขับเสียงของตนเองออกมาได้

“คุณอยากกินอะไรเป็นอาหารเย็นครับ”

อาจเป็นการปัดบทสนทนาเดิมทิ้งอย่างไม่ไยดี และน่าทุเรศที่สุดก็เป็นได้ แม้กระนั้นอาทิตย์อัสดงก็ไม่แยแสมัน ยังคงตีหน้าเฉยอย่างไม่สะทกสะท้าน ทั้งที่ภายในใจเกิดความรู้สึกซับซ้อนจนหาคำมาจาระไนไม่ได้

ภันวัฒน์ถอนหายใจเบาบางอย่างไม่ปิดบัง บอกตนเองว่าทำได้เพียงยอมรับการวิ่งหนีของอีกฝ่าย มันอาจเร็วเกินไปที่จะฝืนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้าม

จะยอมไปก่อนก็ได้ แต่ใช่ว่าเขาจะยอมแพ้

“อะไรก็ได้ครับที่คุณอยากกิน”

หลังจากนั้นอาหารมื้อเย็นที่ดูจะเร็วกว่าเวลาไปสักหน่อยก็เริ่มต้นขึ้นด้วยความเงียบสงบเมื่อเจ้าของบ้านทำ ‘อะไรก็ได้ครับที่คุณอยากกิน’ เสร็จเรียบร้อย ทั้งสองคนต่างไม่มีคำพูดคำจาใดๆ ต่อกัน พานให้บรรยากาศอึมครึมโรยตัวลงมาอย่างหนาแน่น รวมตัวกันจนเป็นเมฆครึ้มแผ่นกระจายภายในห้องรับประทานอาหาร

และอาหารมื้อนั้นก็จบลงเช่นนั้นด้วยความรู้สึกอึดอัดในใจ แม้ว่าเป็นสิ่งที่ตนปรารถนาอย่างแท้จริง แต่ไม่รู้เหตุใดอาทิตย์อัสดงกลับรู้สึกแน่นหน้าอก ประหนึ่งดำดิ่งอยู่ในน้ำลึกและอากาศในถังออกซิเจนที่ช่วยประคองการใช้ชีวิตอยู่ใต้โลกบาดาลกำลังจะหมด

กระอักกระอ่วน คิดอยากพูดอะไรมากมายเพื่อทำลายความรู้สึกนี้ แต่ไม่มีวลีไหน บริบทใดลอยเด่นขึ้นมาในสมอง มีเพียงความว่างเปล่าที่อืดตื้อบรรจุอยู่จนแทบจะระเบิดออก

ภันวัฒน์ที่เงียบแบบนี้ เขาไม่เคยรับมือมาก่อน

เพราะความอ่อนด้อยประสบการณ์หรือ ถึงทำให้เขารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองและทรมาน

เมื่อล้างจานเสร็จโดยมีลูกมือมาช่วยประจำการโดยไม่มีการขออนุญาตหรือเรียกร้องเฉกเช่นมื้อสาย แต่กลับรับส่งหน้าที่กันได้ราวกับรู้ใจ จึงทำงานได้อย่างฉับไว ทั้งที่ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ ดังขึ้นมาสักนิด ทั้งคู่ก็กลับมายังห้องนั่งเล่นอีกครั้ง








อ่านต่อด้านล่าง

v


v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-06-2016 00:16:43 โดย undersky »

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน



v



v




อาทิตย์อัสดงทิ้งตัวลงโซฟาหลังเดิมที่ใช้รองร่างมาเกือบตลอดทั้งวัน ขบฟันเข้ากับด้านในของริมฝีปาก ครุ่นคิดว่าควรจะทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์เช่นนี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องอึดอัดและรู้สึกผิดติดอยู่ในใจจนแกะไม่ออก เพราะเพียงเท่านี้ก็ทำให้เขาหายใจไม่สะดวกมากแล้ว ทว่าทันใดนั้นภันวัฒน์มายืนต่อหน้า สายตาจับจ้องมาที่เขา

ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นเผชิญอย่างใคร่รู้ เพราะไม่มีสิ่งใดจะทำได้ไปมากกว่านี้ และเมื่อสายตาสอดประสานกัน เสียงจากชายหนุ่มผิวเข้มที่อยู่เบื้องหน้าพลันดังขึ้น

“ผมจะกลับแล้วครับ”

น้ำเสียงที่ได้ยินดูราบเรียบกว่าปกติ ไม่มีรอยยิ้มทะเล้น เค้าเงาของความยียวนอยู่บนผืนหน้าคมคาย เห็นดังนั้นแล้ว อาทิตย์อัสดงรู้สึกเหมือนกระแสไฟแล่นปราดอยู่ในอกจนร่างชา ความรู้สึกละม้ายหดหู่เหงาเศร้าเผยกายออกมาจนพูดไม่ออก

“เหรอ... เหรอครับ ถ้าอย่างนั้น... ขับรถกลับดีๆ นะครับ”

คำพูดกระท่อนกระแท่นออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจสักนิด แต่หากคิดจะแก้ไขมันก็ไม่ทันเสียแล้ว จึงได้แต่หลุบตาลง ก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงต้นเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้น ประสาทรับรู้ที่เหลืออยู่จึงมีเพียงหูเท่านั้น

“ช่วยออกไปส่งผมที่หน้าบ้านหน่อยได้ไหมครับ”

นิ่งค้างไปครู่หนึ่งหลังจากประโยคนั้นดังมาจากฝั่งตรงข้าม บล็อกเกอร์หนุ่มเงยหน้าขึ้นอีกครา มองอีกฝ่ายที่ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหน หน่วยตาดวงคมทอดลงมายังเขาที่อยู่ในระดับต่ำกว่า

แววตาคู่นั้นที่ได้เห็น สายตาที่มองมา คล้ายสะท้อนภาพเขาอย่างชัดเจน ทั้งที่อยู่ในระยะห่างซึ่งไม่อาจมองเห็นได้ แต่กลับคิดไปเช่นนั้น และมันก็ทำให้เสียงตอบรับดังในลำคออย่างไม่ตั้งใจ

“อืม”

เบาแสนเบา แต่มันกลับไปกระทบกับส่วนรับเสียงของร่างสูงได้อย่างไรไม่อาจทราบได้ ภันวัฒน์ยอมขยับเท้า ผละห่างออกมาเล็กน้อยราวกับหลีกทางให้อีกฝ่ายลุกขึ้นและก้าวล่วงออกมา คนที่ถูกเชื้อเชิญไปโดยปริยายจึงนำไปยังหน้าบ้าน และหยุดฝีเท้าที่ประตู มือเรียวเปิดรั้วสูงที่ไม่อาจกั้นชายที่เดินตามหลังได้เลยสักคราค้างไว้

ยามสนธยาท้องฟ้าสีแสดสดขณะเดียวกันก็หม่นครึ้ม ดวงตะวันที่เคยกลมซ่อนตัวหลังผืนดินเกินกว่าครึ่งดวง บรรยากาศโพล้เพล้ที่เคยไม่ใส่ใจ ในเวลานี้กลับยิ่งบีบรัดอารมณ์ความรู้สึกที่สาธยายออกมาได้ยาก แต่สิ่งหนึ่งที่แจ่มชัดในความนึกคิดของอาทิตย์อัสดง...

มันไม่ใช่ความสุขอย่างแน่นอน

ภันวัฒน์ก้าวล่วงเลยเขตอาณาบริเวณของบ้าน มายืนประจันหน้ากัน ยังคงไร้คำพูดเช่นเดิม มีเพียงสายตาที่สื่อนัยอะไรสักอย่างที่คนมองอ่านไม่ออก จึงไม่สามารถเข้าใจความหมายได้

หรือบางที...อาจจะแสร้งทำเป็นอ่านไม่ออกก็เป็นได้

อาทิตย์อัสดงไม่อยากคิดหาคำตอบว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่

“ถ้าอย่างนั้น...กลับดีๆ นะครับ”

ล่ำลาด้วยประโยคเดิมอีกคราว เพราะไม่รู้ว่าหากตนไม่พูดอะไรออกมาสักอย่าง ความเงียบเนิ่นนานนี้จะจบลงเมื่อไร แต่ครานี้ปาติซิเย่หนุ่มวาดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยจนแทบไม่เห็น ราวกับว่าเจ้าตัวรอคำพูดนี้มาตลอดทั้งที่มันเคยผ่านหูมาแล้วหนึ่งครั้ง

ทว่าเพียงเท่านั้น แค่การขยับมุมปากเพียงน้อยกลับทำให้ความรู้สึกหลากหลายในใจของคนเห็นสลายตัว สิ่งที่ฝังอยู่ภายในอกพองตัวดุจถูกสูบลมเข้าไปอย่างรวดเร็ว และมันก็ชักจูง โน้มน้าว หรืออาจจะเหนี่ยวนำให้ดวงหน้าขาวปรากฏรอยยิ้มได้เช่นเดียวกัน

ร่างโปร่งรู้สึกตัว... รู้สึกถึงริมฝีปากและแก้มที่ขยับตัวเปลี่ยนทิศไป ทว่าไม่อาจยับยั้งมันได้ ได้แต่ต้องข่มให้สิ่งเหล่านั้นกลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด แต่มันคงดูประดักประเดิดในสายตาของคนมองเหลือเกิน กลีบปากที่เหยียดออกเพียงน้อยนิดในคราวแรกของภันวัฒน์จึงขยับขยายกว้างขึ้น

ความสดใสเบ่งบานกลับมา ก่อนใบหน้าคมเข้มจะเขยื้อนย่นเข้ามาใกล้

อาทิตย์อัสดงเบิกตาขึ้นน้อยๆ กับระยะทางที่หดสั้นลงในเวลากระชั้นชิด แต่เพียงวูบเดียว เพียงกะพริบตาครั้งเดียวเท่านั้น สัมผัสจากอะไรบางอย่างก็แนบทาบกับริมฝีปากเขาเสียแล้ว

รู้สึกว่ามันเป็นช่วงสั้นๆ ราวกับไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่สิ่งนั้นเคลื่อนเข้ามาจนประทับ

แต่รู้สึกนานเหลือเกินยามมันประกบทิ้งค้างลงมา

ดวงตาได้แต่เปิดขึ้นกว้างเสมือนถูกทากาวเอาไว้จนไม่สามารถปิดได้ หายใจไม่ออกคล้ายถูกปิดกั้น ขณะเดียวกัน...กลับมีเสียงรัวกลองดังอยู่ในจุดที่ต่ำกว่าคอ มันทุบดังตึงๆ หลายครั้งจนกลัวจะมีอะไรกระเด้งกระดอนออกมา

และเมื่อความนุ่มหยุ่นที่แต้มทับบนริมฝีปากจากไป ความวูบหวิวราวกับสายลมเหน็บหนาวก็พัดผ่านจนกายสะท้าน ใบหน้าที่เคยอยู่ใกล้จนมองไม่ออกกลับมาอยู่ตรงหน้าอีกคราว พร้อมรอยยิ้มประดับที่จับสัญญาณได้ถึงวี่แววของความสุข

“ผมไปนะครับ แล้วเจอกันใหม่”

ทิ้งประโยคนั้นไว้ จากนั้นร่างสมส่วนก็หมุนตัวกลับไปยังอีกด้าน เปิดประตูรถแล้วลับร่างเข้าไปในนั้น ก่อนพาหนะสีเทาดำจะแล่นจากไป ขณะที่อาทิตย์อัสดงทำได้เพียงยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิม

ไม่รู้ว่านานแค่ไหนกว่าประตูบ้านจะถูกปิดลง บล็อกเกอร์หนุ่มทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่ เดินกลับมาในตัวบ้านโดยที่ไม่รู้ว่าตนเข้ามาอย่างไรกันแน่ ทั้งที่คำตอบนั้นง่ายนิดเดียว แม้ล็อกบ้าน เดินขึ้นห้องนอนก็ยังรู้สึกว่าไร้สติเต็มที สิ่งที่รับรู้และรบกวนใจอยู่ในตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียว

สัมผัสที่หลงเหลือร่องรอยไว้บนริมฝีปาก

มันร้อนและอ่อนนุ่ม

สายน้ำไหลผ่านร่างกายไป ขณะที่มือถูสบู่ไปเรื่อยเปื่อย ล้างเนื้อล้างตัวจนเสร็จแล้ว แต่ความร้อนที่ถูกทาบทาด้วยคนอื่นก็ยังไม่คลายลง แม้กระทั่งสวมเสื้อผ้าเบาสบายเหมาะสมกับการนอนและทิ้งตัวลงบนเตียงก็แล้ว มันก็ยังวิ่งวนเวียนอยู่ภายในสมอง สลับกับใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของร่องรอยนั้น และเหตุการณ์รวมทั้งคำพูดต่างๆ ที่เคยได้ยินได้ฟังแห่แหนมารวมตัว

อาทิตย์อัสดงฝืนหลับตา แม้จะเรียกได้ว่ายิ่งกว่านอนแต่หัวค่ำก็ตามเพราะไม่อยากให้สิ่งเหล่านี้คอยก่อกวนเรื่อยไป มันเป็นทางหนีที่ง่ายดายที่สุดที่เขาจะทำได้ในเวลานี้ ทว่าดูเหมือนมันจะมีพลานุภาพสูงเกินกว่ากิจวัตรง่ายๆ จะมาคร่ามันไป

ตาแข็ง...

ไม่ได้กินกาแฟแท้ๆ แต่อาการเช่นนั้นกลับก่อเกิดขึ้นในคืนนี้ ครั้นพยายามนับแกะ นอนพลิกตัวไปมา ก็ยังไร้ผล ไม่ว่าอย่างไรก็สลัดสิ่งที่ลอยล่องอยู่ในหัวและสติออกไปไม่ได้เลย สุดท้ายจึงเลือกที่จะล้มเลิกความตั้งใจ

มือเรียวกวาดลูบไปบนที่นอนราวกับหาอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พบ คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะพบคำตอบว่าตนไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือติดมามาด้วย กายโปร่งจึงยันขึ้นเหนือเตียง ก่อนตรงออกจากห้องไปยังชั้นล่าง เพราะเท่าที่เรียกความทรงจำกลับมาได้ ดูเหมือนเขาจะทิ้งมันไว้ที่ห้องนั่งเล่น

เป็นเช่นนั้นจริง เพราะเมื่อไปถึงจุดหมายในห้องนั่งเล่นมืดซึ่งมีแสงไฟสลัวรางจากถนนด้านนอก พบว่ามันวางอยู่บนโต๊ะกลาง เจ้าของกายขาวคว้ามันขึ้นมาปลดล็อก นึกถึงกิจกรรมอย่างแรกที่ตนมักทำสม่ำเสมอยามที่มีสิ่งนี้อยู่ในมือ

บล็อกของเขา...

ความคิดนั้นราวกับดึงสติรับรู้ให้หวนคืนกลับมาได้ ทว่าฉับพลันที่ระลึกถึงมัน ความรู้สึกบางอย่างก็ถาโถม

เขาลืม...

ลืมไปเสียสนิทว่าไม่ได้เช็กบล็อกเลยตั้งแต่ภันวัฒน์มาที่นี่

ตัวชาวูบขึ้นมาในบัดดลเหมือนถูกน้ำเย็นจากขั้วโลกสาดในคราวเดียวจนเปียกตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า นิ้วหัวแม่มือเลื่อนกดเข้าไปดูเอนทรี่ล่าสุด แล้วดวงตาที่สะท้อนแววตะลึงงันก็ยิ่งพรึงเพริดยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเห็นจำนวนคอมเมนต์ มันมากมายมหาศาลกว่าครั้งไหนๆ ที่เขาได้เห็น

ลมหายใจหยุดไปชั่วคราว มือสั่นเทาอย่างอ่อนแรง

อาทิตย์อัสดงพยายามใช้เรี่ยวแรงที่เค้นออกมาเพื่อกดดูคอมเมนต์และเลื่อนหาสิ่งที่เขารู้ว่ามันจะมี

ข้อความของใครคนนั้น...

และมันก็เป็นอย่างที่เขาแน่ใจ

ภาพบางอย่างถูกแนบมาหลายต่อหลายรูปทุกๆ สองชั่วโมง ปิดท้ายด้วยตัวหนังสือที่ราวกับตั้งใจให้มันใหญ่เป็นพิเศษ  และเมื่อได้อ่านจนเข้าใจความหมาย ขาที่หยัดยืนอยู่ได้ก็สิ้นแรง ทั้งร่างทรุดฮวบลงกองกับพื้น ใบหน้าที่ซีดเผือดจนขาดสีเลือดซุกลงกับสองเข่า

ความปวดร้าวแล่นริ้วมาจุกอกจนต้องกัดริมฝีปากแน่นท่ามกลางความมืดที่แสนเงียบงันและวังเวง...






---------------------------
อ่านตอนนี้แล้วควรรู้สึกยังไงนะ
น่าจะดีใจ ถ้าไม่ได้อ่านช่วงท้ายก่อนตอนจบ?

ป.ล. ตอนหน้าจะมีคีย์เวิร์ดว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีตของคุณอาทิตย์อัสดงค่ะ

Undel2Sky
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-06-2016 14:49:32 โดย undersky »

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
รู้สึกเหมือนโดนหักหลัง... ฮื้อออออ เอาตอนแรกก่อน ตอนนี้เรายอมแล้วค่ะ เต็มที่ค่ะคุณภัน สู้ๆนะคะ ทลายกำแพงของคุณอาทิตย์ให้ได้นะคะ แต่ทำลายแบบนุ่มนวลหน่อยเถอะค่ะ คุณอาทิตย์ของเราเปราะบางนะคะ แต่จะผิดไหมคะเนี่ย ถ้าเราจะอยากให้คุณภันย้ายสำมะโนครัวมาอยู่กับคุณอาทิตย์มันซะเลย นี่ดูก็รู้นะคะว่าคุณอาทิตย์ตกหลุมคุณภันไปลึกมากแล้ว ไม่น่าจะขึ้นมาได้แล้วด้วย แต่มันก็ติดตรงอดีตคุณอาทิตย์นี่แหละค่ะ คนเก่าของคุณภันด้วย เฮ้อ ขออย่าให้ 2 เรื่องนี้มาพร้อมกันเลยเถอะค่ะ เรากลัวคุณอาทิตย์พังกว่านี้ แต่ว่ากันจริงๆนะคะ เรามีความรู้สึกว่าอดีตคุณอาทิตย์นี่คือแฟนเก่า? อันนี้เราก็ไม่รู้ แต่ถ้าใช่ ก็อย่างที่คุณันบอกแหละค่ะ อดีตมันผ่านไปแล้ว ย้อนกลับไปทำอะไรกับมันไม่ได้แล้ว คุณอาทิตย์ต้องก้าวต่อไปแล้วค่ะ มีคนรอจับมือพาคุณอาทิตย์ไปแล้วนะคะ โอ๊ยยยย เราอึดอัดตลอดเวลาเลย ทำยังไงดีคะ เราขอตอนต่อไปเลยได้ไหมคะ ไม่อยากรับความหน่วงแล้ว ฮืออออ ไอ้เราอ่ะไม่เท่าไหร่ค่ะ กลัวคุณอาทิตย์เป็นอะไรไปจริงๆ คุณภันคะ อย่ายอมแพ้นะคะ เช้าถึงเย็นถึงดีกว่าค่ะ ถึงคุณอาทิตย์จะแสดงออกว่าไม่อยากอยู่ใกล้มากๆ แต่หน้าด้านเข้าไว้นะคะ! ความจริงคุณอาทิตย์อยู่ใกล้คุณภันแล้วสบายใจที่สุดเลยค่ะ ดูดิ แค่คุณภันมาคุณอาทิตย์ก็กินอิ่มนอนหลับ ลืมเรื่องไม่สบายใจไปหมดเลย เฮ้ออออ คิดถึงจูบของคุณภันเข้าไว้นะคะ อย่างน้อยเขินก็ดีกว่าเครียดแหละค่ะ เปิดใจรับคนใหม่เข้ามาบ้างเถอะนะคะ เอ... หรือว่าแฟนเก่านี่คือตัดกันไม่ขาดคะ! ฮื้อออ เรากลัวเหลือเกิน คนที่ทำให้คุณอาทิตย์เป็นแบบนี้นี่อย่าให้รู้นะคะว่าบ้านอยู่ไหน เราจะไปเผา ฮึ่ม

ปล. เราเจอคำผิดนิดหน่อยนะคะ

สีหน้าแสดงออกอย่างชัดแจ้งจนคนเห็นอดไม่ได้ที่ถาม  >> อันนี้น่าจะ ที่จะถาม นะคะ

เจอแบบนี้ใครหลับคงก็บ้าแล้ว!  >> อันนี้น่าจะหลับลง

เพราะมีความมุ่งมันถึงเพียงนั้น  >> มุ่งมั่น

แต่ไม่มีวลีไหน บริบทได้ลอยเด่นขึ้นมาในสมอง  >> อันนี้ บริบทใด รึเปล่าอ่ะคะ

ทว่าทันใดนั้นภันวัฒน์มายืนต่อหน้า  >> ตรงนีมันน่าจะมีคำเชื่อมแบบ กลับมายืนต่อหน้า / ก็มายืนตรงหน้า ไหมอ่ะคะ

ประสาทรับรู้ที่ที่เหลืออยู่จึงมีเพียงหูเท่านั้น  >> ตรงนี้มี ที่ ตัวเดียวป่ะคะ

เรารอตอนต่อไปนะคะะะะ มาเร็วๆนะคะะะะ กรี๊ดดดดดดดดดด  :z3:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ตอนนี้ทิ้งได้อึมครึมมาก
อาทิตย์เคยไปทำอะไรใครไว้เหรอ

ออฟไลน์ saotome

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
อยากรู้ว่าเขาคือใคร :ling1:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
คล้าย ๆ จะพ้นน้ำ แต่แล้วถูกฉุดลงมาใหม่

ตะเกียกตะกายไม่พ้นสักที

ปล. พ่อปาติซิเย่ขี้ขโมย จุ๊บเขาเฉยเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด