เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)  (อ่าน 186357 ครั้ง)

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ถังหลี่ต้าจะมีคู่แล้วววว :katai2-1:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ anawas

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1251
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
สนุกมากกกก อยากวาร์ปไปตอนหน้า 555

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่35เทศกาลล่าสัตว์1(P.8วันที่ 28/6/59)

           


            “อย่าถามว่าเคล็บลับแห่งความสำเร็จอยู่แห่งใด แต่จงทำในสิ่งที่ควรทำให้สุดความสามารถ”
    
            “คนโง่ไตร่ตรองพันครั้งย่อมได้ประโยชน์” (ความคิดของคนโง่บางครั้งก็ถูก)
 
               ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยคำปรัชญาที่บ่งบอกอุปลักษณ์นิสัยของคนที่ถูกใจที่สุดออกมาสองประโยคด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม ตัวอักษรอ่อนช้อยและหนักแน่นล้วนบอกตัวตนของผู้เขียนได้อย่างดี ดวงตาคมกริบมองไปเบื้องหน้าปรากฏว่าเป็นคำปรัชญาของสองพี่น้องตระกูลถัง มุมปากแต้มรอยยิ้มถังต้าหลี่สหายของหลิ่วเหวินอี้ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ ที่เลือกขึ้นมาใช่ว่าคนตรงหน้าเป็นคนรู้จักแต่นี่เป็นการเลือกขุนนางที่ซื่อสัตย์อย่างแท้จริง
    
              “นับแต่นี้พวกเจ้าทั้งสองคือขุนนางขั้นห้าของราชวงศ์ลั่วหยางมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของข้าและพระสนมหวงกุ้ยเฟยหลิ่วเหวินอี้”
    
             “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทั้งคู่คุกเข่าลงตอบรับอย่างนอบน้อมพร้อมชำเลืองมองพระสนมรักของฮ่องเต้ไปด้วยสนพระทัย ทว่าเวลานี้พวกเขามิใช่นักศึกษาสามัญชนธรรมดาอีกต่อไป จึงต้องรักษามารยาทเอาไว้อย่างเคร่งครัดแม้จะสงสัยเพียงใดก็ตาม
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ ก่อนจะสั่งให้แยกย้ายกันไป ส่วนสองขุนนางหน้าใหม่จะมีเรือนพักเป็นของตัวเองโดยให้หัวหน้าขันทีเป็นผู้นำทางไป ทว่ายังเหลือหนึ่งคนที่ยังถูกรั้งตัวเอาไว้ซึ่งถังต้าหลี่รู้ดีว่าเพราะเหตุใด เมื่อทุกคนไปกันหมดแล้วเวลานี้จึงเหลือเพียงสามคนเท่านั้น
    
             “เจ้าลุกขึ้นเถอะถังต้าหลี่” น้ำเสียงอ่อนโยนอนุญาตผู้ที่ยังคุกเข่าก้มหน้านิ่ง เสียงตอบรับหนักแน่นจริงใจพร้อมร่างสูงลุกขึ้นยืนแต่ยังไม่เงยหน้าสบพระพักต์
    
            “ไปที่ศาลาเหลียนฮวากันก่อนเถอะ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยบอกเสียงเรียบเพราะการอยู่ในสถานที่แห่งนี้ทำให้รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน การวางตัวและยังต้องนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นให้ผู้คนแอบมองอีกทั้งตำแหน่งที่ถูกยัดเยียดให้ฟังทีไรก็ระคายหูเสียทุกครั้ง
    
             “เช่นนั้นก็ได้ ต้าหลี่เจ้าไม่คิดจะเงยหน้ามองพวกข้าหน่อยหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยหยอกเย้าเวลานี้เหลือคนไม่มากอีกทั้งถังต้าหลี่เป็นสหายของหลิ่วเหวินอี้จึงไม่ได้แสดงสีหน้ากดดันมากนัก ทว่าคนตรงหน้าเหมือนจะอึกอักไม่กล้าตอบโต้ดั่งที่อยู่ในจวนตระกูลเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน
    
            “กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ” ถังต้าหลี่ตอบกลับอย่างนอบน้อม ก่อนจะสดุ้งเมื่อมือหนาตบลงไหล่กว้างของตนเอง
    
             “อย่าไปสนใจคนบ้าอำนาจเลยไปศาลาเหลียนฮวากับข้าก่อนเถอะข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าเหมือนกัน” หลิ่วเหวินอี้เดินลงมาจากแท่นนั่งเหลือบมองคนที่เดินตามมาเล็กน้อย ถังต้าหลี่เงยหน้ามามองอย่างไม่แน่ใจทว่ากิริยาเฉกเช่นเดิมของสหายทำให้คลายความหวาดหวั่นลงได้มาก  แต่ก็ยังรู้ตัวเวลานี้ตนอยู่ในฐานะอะไรทำให้เดินตามหลังทั้งคู่ออกไปอย่างระวัง
    
             “ตามสบายเถอะ ยังไงข้าก็เป็นสหายเจ้า” เมื่อมาถึงศาลาเหลียนฮวาหลิ่วเหวินอี้จึงเอ่ยบอกสหายให้คลายความวิตกกังวลออกไป แม้ตอนนี้ตำแหน่งที่รับไว้จะสูงส่งแต่อย่างไรเขาก็เป็นคุณชายสี่นิกายมารฟ้าอยู่ดี ทว่าถังต้าหลี่ยังยืนเกร็งไม่ห่างเหลือบมองลั่วเหยียนเจิ้งอย่างไม่แน่ใจเพราะใบหน้าคมคายถูกบดบังด้วยมาลาห้อยมุกสีเงิน ร่างสูงสง่านั่งหลังเหยียดตรงอย่างน่าเกร็งขาม
    
           “นั่งเถอะเจ้ากับข้าย่อมรู้จักกันมาก่อน” รอยยิ้มอ่อนโยนและน้ำเสียงของฮ่องเต้ทำให้ถังต้าหลี่ครุ่นคิด เงยหน้าสบพระพักต์อย่างจริงจังก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของกษัตริน์ลั่วหยาง
    
             “ท่านมิใช่พี่น้องร่วมสาบานของเหวินอี้หรอกหรือ หรือว่าจำผิด” ลั่วเหยียนเจิ้งสำลักน้ำชาที่กำลังจิบหันไปมองสบตากับหลิ่วเหวินอี้ที่ทำสีหน้านิ่งเฉย เมินจากเขาไปกวักมือเรียกให้ถังต้าหลี่มานั่งด้วย
    
             “จะว่าเช่นนั้นก็ได้ มานั่งเถอะ แต่พี่น้องร่วมสาบานของข้าคนนี้มักจะโลภมากนักชอบยัดเหยียดตำแหน่งแปลกๆ ให้ข้าอยู่บ่อยครั้ง” หลิ่วเหวินอี้กล่าวตอบเชิงประชดประชันฮ่องเต้เล็กน้อย ก่อนจะรินน้ำชาให้สหาย อาหารว่างถูกนำมาวางตรงหน้าแต่คนที่ยังไม่คุ้นเคยกับฮ่องเต้เพียงแค่ยื่นมือไปรับมาถือไว้เท่านั้น
    
            “ตามสบายเถอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกเสียงอ่อนเพราะเห็นคนตรงหน้าหวั่นเกร็งเขาซะเหลือเกินที่สำคัญถังต้าหลี่เป็นสหายคนสำคัญของหลิ่วเหวินอี้ซึ่งไม่ใช่คนต่ำช้าจึงไม่อยากสร้างความขุ่นมัวให้คนรักมากนัก    “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
    
            “อือ ไม่ต้องเกร็งใจ สหายเมียเจิ้นก็เหมือนสหายเจิ้นนั่นแหละ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะลูบหลังให้คนสำลักน้ำชาหน้าดำหน้าแดง พร้อมดวงตาเย็นนิ่งมองตาเขียวกลับมาทำให้อดที่จะยิ้มออกมาจากหัวใจไม่ได้ เขาชอบที่ตนเองสามารถทำให้หลิ่วเหวินอี้เปลี่ยนสีหน้าได้และยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเมื่อคิดถึงเวลาที่เจ้าตัวนอนอยู่ภายใต้ร่างเขาจะมีสีหน้าเช่นไร
    
            “ข้าไปเป็นเมียท่านตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วอีกอย่างเลิกทำสีหน้าโรคจิตนั่นเถอะ” หลิ่วเหวินอี้บอกอย่างเอือมระอา บรรยากาศสองคนทำให้ผู้เป็นแขกรับเชิญมาทำสีหน้าไม่ถูกรู้สึกว่าตัวเองอยู่ไม่ถูกที่ถูกทางจึงได้แค่ก้มหน้าจิบชาในมืออย่างเงียบงันทำตัวไร้ตัวตนให้มากที่สุด
    
           “หึ” เสียงหัวเราะอย่างไม่น่าไว้ใจของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้หรี่ตามองอย่างจับผิดก่อนจะเลิกสนใจ หันศีรษะกลับมามองสหายที่นั่งเงียบงันเป็นใบ้แล้วได้แต่ส่ายหน้า ความรื่นเริงของถังต้าหลี่หายไปไหนหมดหรือว่าเกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างที่เขาพักอยู่วังหลวง
    
            “เกิดอะไรขึ้นเมื่อสามเดือนก่อนหรือไม่”
    
            “เปล่า จริงสิก่อนเข้าเมืองเมื่อสี่วันก่อนข้าเจอเจ้าห้ากับแม่นางเหมยฮวาพวกเขาฝากจดหมายมาให้เจ้าด้วย ตอนนั้นข้ายังสงสัยว่าทำไมถึงฝากมาให้ข้าในวังหลวง ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว
    
            “หืม...” หลิ่วเหวินอี้รับจดมาอ่านแปลกใจ ก่อนจะเปิดอ่านด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ก่อนจะหันไปบอกคนส่งจดหมาย
    
             “ขอบใจเจ้ามาก”  ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้ามองทั้งคู่อย่างไม่ชอบนักรู้สึกเวลานี้ตนเหมือนคนนอกอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะฉุกร่างโปร่งที่นั่งอยู่ไม่ห่างเข้ามาใกล้จะแทบจะเกยหน้าตักตนเองพร้อมจดหมายในมือที่ถือวิสาสะเปิดอ่านโดยมีเจ้าของจดหมายเหลือบตาขึ้นมองอย่างระอา
    
            “ท่านหึง?”
    
            “เหมยฮวาเป็นว่าที่คู่หมั่นเจ้า เจิ้นจะกินน้ำส้มสายชูย่อมไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจในเมื่อเจ้าเป็นเมียเจิ้น” น้ำเสียงตอบรับและยอมรับความจริงอย่างไม่สะทกสะท้านทำให้คนที่นั่งอยู่ด้วยสำลักน้ำชาหน้าแดงก่ำมองทั้งคู่อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีแค่อยากจะไปจากตรงนี้เสียเหลือเกิน
    
           “เช่นนั้นสนมในวังหลังของท่าน ข้านี่ไม่รู้สึกอะไรเลยนะ” น้ำเสียงประชดพร้อมดวงตาเย็นชามองมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มกว้างกอดร่างโปร่งเข้าหาตัวแน่นขึ้น
    
            “อี้เอ๋อร์เจ้าน่ารักที่สุดเลย เช่นนั้นให้เจิ้นส่งพวกนางกลับหมดเลยดีหรือไม่” คำถามรื่นเริงและแววตาสดใสของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้กรอกตาไปมารู้สึกตัวเองจะพลาดท่าเสียทีอย่างไรอย่างนั้น
    
             “ท่านจะสร้างศัตรูเพิ่มหรือไง ข้าไม่ได้เบาปัญญาเช่นนั้น” หลิ่วเหวินอี้ผลักร่างสูงออกห่างแต่ลั่วเหยียนเจิ้งกลับยิ้มกว้างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน และยังไม่อายฟ้าดินอีกจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างอ่อนใจ เหลือบมองสหายที่มองมาด้วยดวงตาเบิกกว้างคล้ายตกใจและทำตัวไม่ถูกอย่างนึกสงสาร
    
             “เจ้าไปดูที่พักใหม่ของเจ้าก่อนแล้วกัน เดี๋ยวว่างๆ ข้าจะเข้าไปหา” หลิ่วเหวินอี้หันไปบอกสหายซึ่งพยักหน้ารับอย่างแข็งจขันเหมือนยกภูเขาออกจากอก จากนั้นขันทีผู้หนึ่งได้นำทางออกไป ภายในสวนดูสงบร่มเย็นทว่าเวลานี้เหมือนร่างกายจะร้อนผ่าวแปลกๆ
    
            “ปล่อยข้าได้แล้ว” น้ำเสียงเย็นนิ่งพร้อมดวงตาเรียวคมมองมาอย่างดุๆ ทำให้คนลั่วเหยียนเจิ้งปล่อยอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
    
             “อี้เอ๋อร์เทศกาลล่าสัตว์ของปีนี้เจ้าไปเป็นเพื่อนเจิ้นนะ” หลิ่วเหวินอี้นั่งครุ่นคิดมองคนออดอ้อนอย่างไม่ไว้ใจ ดวงตาคมกริบมองมาตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นทุกครั้งแต่ความรู้สึกบางอย่างยังก่อกวนหัวใจจึงมิได้ตอบโต้กลับไป
    
            “เจ้าเงียบถือว่าเจ้าตกลง” ลั่วเหยียนเจิ้นมัดมือชกอย่างเอ่ยความเห็น ทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าครุ่นคิดเพียงครู่ก่อนจะพยักหน้ารับ ดวงตาเย็นนิ่งฉายแววลำบากใจเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป แม้ภายนอกจะดูนิ่งเฉยเหมือนปกติทุกวันแต่เขากลับวางแผนที่จะออกไปเคลียร์ปัญญาของตัวเองให้เรียบร้อย

    
           หลังจากการสอบจอหงวนหาขุนนางที่ซื่อสัตย์ผ่านไปร่วมสามสัปดาห์และใกล้ถึงงานเทศกาลล่าสัตว์จากวันนี้หลังจากที่ตกลงกันเรียบร้อยหลิ่วเหวินอี้ก็ยังอยู่ภายในวังหลวงอย่างสงบ มีข่าวสารทางนอกมาบ้างเป็นครั้งคราว ทว่าข่าวของเหมยฮวากับอีกาห้าซึ่งถังต้าหลี่นำมาให้ครั้งที่ผ่านมานั้นไม่ได้สำคัญอะไรมากนัก เหตุเพราะทั้งคู่ท่องเที่ยวร่วมกันจนเกิดความรักที่ลึกซึ้งต่อกัน แต่ในฐานะของสตรีนั้นคงไม่อาจยอมรับบุตรเขยที่ภายนอกเป็นแค่คนธรรมดาได้ จึงทำการตัดสินใจหนีไปด้วยกันนั่นหมายความว่าอีกาห้าขอไปใช้ชีวิตสามัญชนธรรมดากับคนที่รัก เขาจึงได้ปล่อยผ่านไปแม้จะเสียดายยอดฝีมือแต่ในเมื่อเป็นคนเลือกทางเดินเขาก็จะไม่โต้แย้งเพียงแค่อำนาจที่เจ้าตัวเคยมีไม่หลงเหลืออีกแล้ว
    
           ร่างโปร่งเดินออกจากตำหนักเถาฮวาซึ่งสร้างเสร็จเรียบร้อยก้าวเดินไปยังตำหนักมังกรที่อยู่ไม่ไกลนัก ทว่าการมาครั้งกลับต้องผิดหวังเช่นเคย ตั้งแต่วันที่สอบจอหงวนเสร็จเขาก็ไม่เคยเห็นฮ่องเต้ผู้นี้อีกเลย มีบ้างที่เห็นออกมาว่าราชกิจภายในห้องโถงร่วมกับเหล่าขุนนางแต่เขาเองก็ไม่ได้เข้าไปก้าวก่าย
    
           “พระสนมฝ่าบาททรงเก็บตัวฝึกวนยุทธยังไม่อาจพบท่านได้พ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงออกมาบอกกล่าวด้วยความลำบากใจทุกครั้ง หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าก่อนจะพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยถามบอกเสียงเรียบ
    
           “ฝากความไปถึงเจ้านายเจ้าด้วยว่าภายในหนึ่งก้านธูปยังไม่เอาตัวมาพบข้า...” หลิ่วเหวินอี้บอกด้วยรอยยิ้มที่ทำให้คนฟังเย็นเยือกทั้งแผ่นหลัง น้ำเสียงเย็นนิ่งหยุดลงพร้อมคำขู่ที่ทำให้คนฟังเหงื่อตก
    
            “ข้าจะกลับนิกายมารฟ้า” รอยยิ้มหวานที่ทำให้คนมองเย็นเยือก มุมปากแย้มยิ้มเพียงครู่ก่อนจะกลับมานิ่งเฉยเช่นเดิม ทว่าในใจนั้นกลับรู้สึกหงุดหงิดโมโหคนที่หายไปไม่ยอมบอกกล่าว เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่าลั่วเหยียนเจิ้นแอบไปฝึกวรยุทธอยู่ที่ไหน ที่เขายอมเสียเวลาอยู่ที่นี่ทั้งที่มันน่าเบื่อเพราะสัญญาอีกฝ่ายเอาไว้จะไปร่วมเทศกาลล่าสัตว์ที่จะถึงไม่กี่วันนี้ ไม่เช่นนั้นป่านนี้คงไม่เห็นเงาหัวเขาแล้ว
    
           หลิ่วเหวินอี้กลับมายังตำหนักพร้อมชดชาดับอารมณ์คุกรุ่นของตัวเอง ไม่คิดว่ายามไม่เห็นอีกฝ่ายจะทำให้คิดถึงอย่างนี้ และยังน่าหงุดหงิดตัวเอง ทั้งๆ ที่คิดว่าไม่ได้รักลึกซึ้งมากมายแต่กลับกังวลและอยากเจอหน้าตลอดเวลา จากที่เคยมีคนนอนกอดจนดิ้นไม่ได้เวลานี้ข้างที่นอนกลับว่างเปล่า ความเคยชินเมื่อก่อนถูกลบเลือนไปด้วยความเจ้าเล่ห์ของใครบางคน แม้ทุกคืนจะหลับเหมือนทุกวันแต่กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายและเขาไม่ได้โง่เขลาจนไม่รู้ว่าตัวเองคิดเช่นไรอยู่
    
           เพียงแค่อึดใจเงาร่างสีเหลืองทองก็พุ่งมายังประตูห้องและเปิดออกอย่างรุนแรง การปรากฏตัวของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่งค้างไปชั่วครู่  เพิ่งจะไปข่มขู่มานั่งยังไม่ทันหายเหนื่อยแต่คนที่ต้องการมาพบกลับมาปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว รู้อย่างนี้น่าจะไปข่มขู่ตั้งนานแล้ว ร่างสูงใบหน้าคมคายแตกตื่นเล็กน้อยก่อนจะพุ่งเข้ามาสวมกอดเขาแน่น ทว่ากลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดอย่างที่คิดไว้
    
           “อี้เอ๋อร์เจ้าจะทิ้งเจิ้นไปหรือ” น้ำเสียงดูเหนื่อยล้าของอีกฝ่ายทำให้เพิ่งสังเกตว่าเจ้าตัวเหนื่อยมากเหมือนวิ่งระยะไกลเป็นพันลี้ เมื่อสำรวจร่างตรงหน้าจึงได้เห็นว่าวรยุทธของอีกฝ่ายก้าวหน้าขึ้นมาอย่างน่าตกใจ หายไปสามสัปดาห์แต่วรยุทธสูงเกือบเท่าเขาห่างชั้นกันแค่ขั้นเดียวเท่านั้น
    
           “ใครบอกให้ท่านหายไปเงียบๆ” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบผลักร่างสูงออกจากตัวพร้อมรินน้ำชาต่ออย่างไม่สนใจ แม้ภายในใจจะยินดีแค่ไหนทว่าใบหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลง
    
           “โธ่ อี้เอ๋อร์คนดีเจิ้นแค่เก็บตัวฝึกวรยุทธไม่นานเจ้าถึงกับคิดถึงเจิ้นจนทนไม่ไหวเชียวหรือ” ใบหน้าคมคายฉายแววเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มรื่นเริงทำให้หลิ่วเหวินอี้มองนิ่งๆ ก่อนจะตอบรับเสียงเรียบ
    
            “อือ คิดถึง” คำตอบที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งเบิกตากว้าง เอามือแตะหน้าผากวัดอุณภูมิในร่างคนงามอย่างไม่แน่ใจ ว่าไม่สบายหรือไม่ ดวงตาเย็นชามองมาอย่างดุดัน จึงฉีกยิ้มกว้างมากกว่าเดิมพร้อมรวบร่างโปร่งมากอดอีกครั้ง เพียงแค่คำว่าคิดถึงเขาก็ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่หากได้ยินคำว่ารักเขาคงไม่ยอมให้หลิ่วเหวินอี้ออกจากห้องบรรทมแน่ๆ
    
             “เจิ้นก็คิดถึงเจ้า”
    
             หลิ่วเหวินอี้นั่งนิ่งมองคนบอกว่าคิดถึงอย่างไม่เชื่อถือเท่าไหร่นัก แต่เขาก็เลิกที่จะใส่ใจเพราะคนเป็นกษัตริย์เชื่อใจไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ยังซ่อนเขี้ยวเล็บไว้อีกมากอย่างลั่วเหยียนเจิ้ง ทว่าหัวใจกลับรู้สึกอิ่มเอมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
    
            “ปล่อยข้าได้แล้ว” หลิ่วเหวินอี้บอกคนที่กอดเอวตนเองไม่ปล่อยแม้จะไม่ได้รัดแน่นอย่างน่าอึดอัดแต่มันกลับทำให้หัวใจเขาทำงานมากกว่าปกติ
    
            “เจิ้นขอโทษที่ปล่อยให้เจ้าเหงาอยู่คนเดียว” น้ำเสียงสำนึกผิดพร้อมมือหนาปล่อยร่างโปร่งออกอย่างไม่เต็มใจนัก ดวงตาคมมองสำรวจร่างโปร่งที่งดงามไปไม่เปลี่ยนอย่างแสนคิดถึงเพราะความอ่อนด้อยในฝีมือจึงเก็บตัวฝึกให้มากขึ้นอย่างน้อยก็ควรปกป้องคนที่รักได้เพราะเทศกาลล่าสัตว์ในครั้งนี้ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ศัตรูอยู่ในที่มืดย่อมทำให้เขาต้องระมัดระวังมากขึ้น
    
            “ข้าแค่เบื่อไม่ได้เหงา แล้วนี่ใกล้จะถึงเทศกาลล่าสัตว์แล้วต้องเตรียมตัวออกเดินทางล่วงหน้าหากข้าไม่ทำเช่นนี้ท่านพี่คงไม่ออกมา” หลิ่วเหวินอี้อธิบายเสียงเรียบนิ่งสีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม ทว่าคนที่อยู่ใกล้ชิดกันมาหลายเดือนเริ่มที่จะเข้าใจอะไรมากขึ้น
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามและรับน้ำชามาจิบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ยิ่งอยู่ใกล้ชิดคนตรงหน้ายิ่ง์ทำให้เขาหลงใหลหลิ่วเหวินอี้มากขึ้น งดงามเย็นชาแต่จิตใจอ่อนโยนมากกว่าที่เห็นหรือไม่อาจเป็นเขาเพียงคนเดียวที่ได้เห็นด้านนี้ของคุณชายสี่ซึ่งใครๆ ต่างเรียกว่าขยะไร้ค่า แม้เจ้าตัวจะมาอยู่กับเขาที่นี่ทว่ากลับมีตัวแทนของตัวเองเดินเร่ร่อนอยู่ข้างนอก จึงสืบลงไปได้ความว่าคนผู้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหนกลับเป็นจั่วเหรินคนที่ทำตัวสนุกเฮฮาอยู่ภายนิกายมารฟ้าแต่กลับแสดงบทบาทของหลิ่วเหวินอี้ได้อย่างไม่มีตกหล่น
    
             “ใครไปงานนี้บ้าง” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป
    
            “ไม่มากนัก เจ้าว่าอันใดหรือไม่หากเจิ้นต้องพาเหล่าสนมไปด้วย” คำถามของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้เบิกคิ้วสูงดวงตาเรียวคมจ้องมองคนเอ่ยปากอย่างพิจารณาก่อนจะถอนหายใจยาวเมื่อคิดว่าตนเองไม่มีสิทธิ์ไปหวงห้าม ไม่มีสิทธิ์แม้จะหึงหวงด้วยซ้ำไป เห็นทีจบงานนี้คงได้หลบหนีไปทำใจสักพัก
    
             “นั่นเรื่องของท่าน”
    
             “อี้เอ๋อร์คนดีที่เจิ้นทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล เจิ้นไม่ได้เอาไปหมดหรอกแค่ไม่กี่คนเท่านั้น หมากสำคัญเช่นนี้ไม่ใช้ให้คุ้มค่าได้เช่นไร” หลิ่วเหวินอี้มองคนตรงหน้าที่ฉายแววเจ้าเล่ห์มาเพียงครู่ก่อนจะถอนหายอีกครั้ง
    
             “แค่คิดกำจัด ให้พวกนางอยู่อย่างสงบเถอะ” เอ่ยตอบอย่างรู้ทัน ซึ่งทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหรี่ตามองกลับแล้วส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
    
             “อี้เอ๋อร์เจ้าใจอ่อนอีกแล้วนะ เจิ้นกำจัดขวากหนามภายในใจให้เจ้าไม่ดีหรอกหรือ” หลิ่วเหวินอี้เหลือบตามองคนที่แสร้งอ่อนโยนต่อผู้คนทั่วหล้าทว่าจิตใจที่แท้จริงนั้นกลับโหดเหี้ยมเย็นชายิ่งกว่าสิ่งใด หากไม่มีเขาคอยปรามนี่จุดจบลั่วหยางจะเป็นเช่นไรต่อไป
    
             “ไว้นั่นแหละ แค่ไม่รับมาเพิ่มก็พอแล้ว แต่หากยังมี... พวกนางก็จะเป็นของข้าด้วยเช่นกัน ของของท่านพี่ย่อมเหมือนของของข้า ใช่หรือไม่” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มยั่วโมโหและเหมือนจะได้ผลเพราะใบหน้าคมคายมืดครึ้มยิ่งกว่าเดิม ดวงตาคมกริบมองมาอย่างคาดโทษพร้อมรอยยิ้มและคำพูดที่ทำให้คนฟังหัวเราะในลำคออย่างพึงพอใจ
    
               “เจิ้นจะสังหารพวกนางให้หมด เจ้าจะได้มีแต่เจิ้นเพียงผู้เดียว!”




ขอบคุณมากค่าาา ลงให้ทันเว็ตอื่นแล้วนะคะ ใกล้ถึงช่วงNC จึงต้องรีบลงเพราะในเด็กดีกลัวได้กินแบนเป็นอาหารเสริมค่ะ 5555

แล้วพบกันจ้า จุ๊บๆ :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เพิ่งรู้ว่ามีลงที่เว็บอื่นด้วย แต่ยังไงก็จะรอติดตามเว็บนี้เสมอค่า

ใกล้จะถึงฉาก NC แล้ววววว ตื่นเต้นนนนน :hao7:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ SaJung13

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
ขอบคุณที่มาต่ออย่างไวนะคะ จุฟๆๆ
รักคนเขียนจริงๆเลย เราเสมอนะคะ
อี๋เอ๋อก็รู้ใจตัวเองแล้วแต่ยังไม่เลิกเย็นชาอีก
มีคำผิดอยู่นะคะ วรยุทธ์ เขียนเป็น วนยุทธ์

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
ชอบความหวานของเหวินอี้กับฝ่าบาทจัง   ตอนนี้หัวใจตรงกันแล้ว   ส่วนเพื่อนถังนี่น่าสนใจ คิดว่า ไม่คู่กับองค์ชายก็คู่กันเองกับถังอีกคน

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่36เทศกาลล่าสัตว์2 (P.8วันที่ 29/6/59)


             ขบวนเสด็จในการประพาสป่าในครั้งนี้ดูเหมือนจะคึกคักไม่น้อยไปกว่าทุกปี แม้คนที่มาร่วมงานด้วยจะไม่มากมายนักแต่ทุกคนกลับไว้ใจได้ไม่ต้องหวั่นเกรงเหมือนทุกปีที่ต้องมีการลอบสังหารเกิดขึ้น ทว่าลั่วเหยียนเจิ้งก็ไม่ได้ประมาทแม้แต่น้อย ตราบใดที่เขายังไม่ได้หลิ่วเหวินอี้เป็นเมียเขาจะไม่ยอมตายง่ายๆ แน่ ดวงตาคมกริบฉายแววเจ้าเล่ห์คิดหาหนทางให้คนนั่งนิ่งอยู่ข้างกายยอมมอบร่างกายและหัวใจให้ จิตใจที่เข้มแข็งและความเย็นชาของอีกฝ่ายทำให้หนักใจไม่น้อย หากคนอื่นรู้ว่าจนป่านนี้เขายังไม่ได้กินคนที่รักคงโดนหัวเราะเยอะแน่ๆ
    
             ดวงตาเรียวสวยเหลือบมามองเล็กน้อยแต่กลับทำให้หัวใจที่เคยไร้ความรู้สึกเต้นระรัวอีกครั้งจนอดไม่ได้ที่จะรวบร่างโปร่งมากอดไว้อย่างออดอ้อน ซึ่งก็โดนผลักออกจนหัวกระแทกรถม้าอย่างไร้ความปราณี
    
            “อี้เอ๋อร์ทำไมเจ้าเขินอายได้รุนแรงอย่างนี้” ลั่วเหยียนเจิ้งแสร้งตัดท้อ มือหนาลูบหัวตัวเองเบาๆ ดวงตาเรียวสวยมองสบมาพร้อมเลิกคิ้วคมเฉียงขึ้นสูง
    
           “เขิน? ท่านพี่ใช้ตาไหนมอง” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนปากแข็งก่อนจะหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเพราะความหน้าด้านไร้ยางอายเขามีมาก และเชื่อว่าคงทำให้หลิ่วเหวินอี้ยอมเป็นของตัวเองในสักวัน  ร่างสูงขยับไปกอดร่างโปร่งอีกครั้งซึ่งได้รับสายตาเอือมระอากลับมา
    
            “อากาศมันหนาวเจิ้นอยากได้ความอบอุ่น”
    
            “หึ แล้วใครหน้าไหนคิดได้ว่าต้องมาล่าสัตว์ในยามหิมะโปรยอย่างนี้” น้ำเสียงเย็นนิ่งที่ฟังแล้วรู้สึกสบายใจทุกครั้ง ทว่ารูปแบบประโยคนั่นช่างประชดประชันเสียจริง หากเขาบอกว่านี่เป็นการหาเรื่องอู้งานและอยากมาท่องเที่ยวกับเจ้าตัวจะยอมเชื่อไหม
    
             เวลาผ่านไปนานกว่าสองชั่วยามที่ทั้งคู่ยังนั่งอยู่ภายในรถม้าโดยที่ลั่วเหยียนเจิ้งพยายามลวนลามร่างโปร่งทุกครั้งเมื่อมีโอกาส การเดินทางเป็นไปอย่างเรื่อยเฉื่อย เขตล่าสัตว์อยู่ทางหุบเขาเมฆาล่องลอยจึงใช้เวลาการเดินทางร่วมวันที่จะถึงที่หมาย เสื้อผ้าที่ใส่มาอย่างเรียบร้อยของหลิ่วเหวินอี้เริ่มจะหลุดลุ่ยกับคนมือซน มือเรียวขาวจับมือหนาที่พยายามฉวยโอกาสกับตน ดวงตาเรียวคมมองมาอย่างดุๆ
    
            “ท่านพี่อย่าให้ข้าทำคืนนะ” น้ำเสียงเย็นนิ่งข่มขู่ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งฉีกยิ้มหวาน เขาแทบทนรอการเอาคืนของอีกฝ่ายไม่ไหว ดวงตาพราวระยับมองริมฝีปากที่แดงเล็กน้อยกับอากาศที่เย็นชื้นแต่เขาอยากจะจูบให้หายปรารถนาเหลือเกิน
    
          “ปกติท่านหื่นอย่างนี้หรือเปล่า” น้ำเสียงคล้ายระอาของคนที่จับมือตนเองไว้แน่นทำให้ยกยิ้มบาง แล้วย้อนนึกไปถึงตนเองในอดีต มีบ้างที่เขาจะเสพสมกับเหล่านางสนมแต่ไม่เคยมีใครเลยที่ทำให้เขาอยากโอบกอดเท่าคนตรงหน้า ที่สำคัญเขาไม่เคยแสดงความรู้สึกด้านอื่นๆ นอกจากความอ่อนโยนให้ผู้อื่นได้เห็น เพราะคนที่เคยเห็นล้วนแล้วตายตกหมดแล้ว
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งชะงักงันเมื่อใบหน้างดงามขยับกายเข้าหาพร้อมมอบจุมพิตให้อย่างไม่ทันตั้งตัว รสจูบที่หวานละมุนละไมคล้ายชะโลมความเหน็บหนาวภายในใจให้หายไป เขาไม่จูบตอบโต้แต่เลือกที่จะให้หลิ่วเหวินอี้เป็นฝ่ายนำ ทว่าเหมือนคนตรงหน้าประสบการณ์ด้านนี้จะไม่มีมากนักทำให้อดใจไม่ไหวที่จะตอบโต้ รสจูบที่หวานละมุนแปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนหอบหายใจสะท้าน เมื่อคนนำเปลี่ยนเป็นผู้มีประสบการณ์ที่เหนือกว่า
    
              หลิ่วเหวินอี้หอบหายใจแรงเร็วขึ้นแม้ตอนนี้ริมฝีปากจะเป็นอิสระแล้วแต่อารมณ์วาบหวามภายในอกยังคงอยู่ ใบหน้างดงามแดงขึ้นเล้กน้อยรู้สึกขัดใจตัวเองที่คิดว่าตัวเองจะได้เปรียบทั้งๆ ที่เป็นคนเริ่มก่อนแต่ตกเป็นเบี้ยล่างให้คนที่มีประสบการณ์มากกว่า แค่คิดก็ยิ่งทำให้หงุดหงิด
    
             “อี้เอ๋อร์ถึงจะอยู่บนรถม้าแต่หากเจ้ายั่วเจิ้นอย่างนี้ เจิ้นก็ทนไม่ได้สิ” หลิ่วเหวินอี้มองตาขวาง ที่เขาจูบอีกฝ่ายก่อนเพราะเพียงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่มั่นคงของลั่วเหยียนเจิ้งคล้ายกับเจ้าตัวพร้อมจะสังหารทุกสิ่งที่ขวางหน้า จนต้องเรียกสติอีกฝ่ายกลับคืนมา
    
             “ช่วยตัวเองไปแล้วกัน” หลิ่วเหวินอี้ผละออกจากร่างหนาเมื่อครู่แทบไม่รู้ตัวเลยว่าถูกดึงขึ้นมานั่งทับอีกฝ่ายเอาไว้หากไม่สัมผัสบางส่วนที่ตื่นตัวขึ้นมาคงมึนเบลอไปอีกนาน
    
            “หึ มิใช่ของเจ้าก็ตื่นตามเจิ้นหรอกหรือ” ร่างหนาขยับตามมาจนทำให้แผ่นหลังชิดกับขอบหน้าต่าง พื้นที่ตั้งมากมายแต่กลับถูกเบียดจนชิด หลิ่วเหวินอี้มองดวงตาคมกริบที่ทอประกายมุมปากแต่งแต้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เขามองตามอย่างหวาดระแวง แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยทว่าหัวใจกลับสั่นระรัวการที่ได้อยู่กับคนที่รักในสภาพล่อแหลมอย่างนี้มันทำให้ควบคุมตัวเองยากมาก
    
             “อ่า!” หลิ่วเหวินอี้สะดุ้งอย่างตื่นตระหนกเมื่อมือซุกซนขยับไปจุดสำคัญที่มันตื่นขึ้นมาไม่ต่างจากคนตรงหน้า ริมฝีปากถูกปิดด้วยปากอีกฝ่ายอีกครั้งทว่าครั้งนี้กลับปลุกเร่าอารมณ์ที่นอนนิ่งมาเนิ่นนานให้ตื่นจากการหลับใหล มือหนาที่ชำนาญลูบไล้ส่วนอ่อนไหวของตนไปมาอย่างได้ใจ
    
             ผัวะ!
    
              หลิ่วเหวินอี้หอบหายใจแรง ดึงกางเกงขึ้นมาปกปิดส่วนสำคัญ ก่อนจะเหลือบมองคนที่เขาถีบจนติดผนังอีกฝั่งและด้วยความแรงมากไปหน่อยหรือไม่ เพราะมันทะลุออกไปเลย เขานิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่และรถม้าก็หยุดนิ่งเมื่อฮ่องเต้ไปนอนกลิ้งอยู่ข้างทาง
    
             หลิ่วเหวินอี้พุ่งตัวออกไปหาอย่างตื่นตระหนก ตายหรือยัง? นั่นเป็นคำถามในใจเมื่อครู่เขาไม่ได้ตั้งใจแต่มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองเองตามธรรมชาติ ทหารรอบกายหันดาบเข้าหามาทางเขาอย่างรวดเร็วซึ่งเขาก็ยังยืนนิ่งไม่ได้ตอบโต้อันใด ร่างสูงลุกขึ้นมองเขาตาขวาง จึงยกมือเกาคางตัวเองแล้วเอ่ยบอกเสียงเบาด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
    
             “เอ่อ... ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
    
              หยางซือหมิงมองตามทั้งคู่อย่างนิ่งงัน เมื่อสำรวจร่างของฮ่องเต้ยังสบายดีจึงหันไปมองคนต้นเหตุ ทว่าสภาพเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยจนเห็นแผ่นอกขาวเนียนและใบหน้างดงามแดงระเรื่อโดยเฉพาะริมฝีปาก สภาพตอนนี้ของพระสนมบอกได้คำเดียวว่า มันทำให้ผู้ชายด้วยกันมองตาค้าง!
    
             “มองอะไร! แยกย้ายไปเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงดุดันของฮ่องเต้ทำให้เหล่าทหารเก็บดาบกลับประจำที่ตัวเองอย่างรวดเร็ว ทว่ายังไม่วายแอบมองพระสนมที่ตอนนี้ดูน่ากินอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าคมคายของฮ่องเต้ลั่เหยียนเจิ้งมืดครึ้มตนไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม แม้แต่องครักษ์ยังแอบหลบกลับที่ตัวเอง
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนที่ใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยอย่างหงุดหงิด แผ่นอกขาวๆ นั่นเขาดูได้คนเดียวแต่นี่มายืนโชว์จนทำให้เขาอยากควักลูกตาพวกที่มองเห็นออกให้หมด ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้พร้อมถอดชุดคลุมมังกรตัวเองไปสวมทับให้คนที่ยืนนิ่งเป็นเป้าสายตาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
    
            “ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย”
    
             “แต่ท่านเป็นคนถอดเองนะ” คำตอบหน้าตายจากคนตรงหน้าทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกพูดไม่ออก ก่อนจะลากคนข้างตัวไปขึ้นรถม้าคันใหม่โดยที่องค์ชายเพ่ยอวี้มานั่งรถม้าคันนี้แทน เหตุการณ์วุ่นวายกลับมาสงบเหมือนเดิม ครั้งนี้พวกทหารก็ได้เรื่องใหม่ไปเล่าลือกันอย่างสนุก บ้างก็ไปปรับเปลี่ยนจนไม่หลงเหลือความจริง ทว่าคนโดนนินทาก็แสร้งปิดหูปิดตาทำเป็นไม่รู้เรื่องไป
    
            หลังจากการเดินทางสิ้นสุดลงขบวนเสด็จก็ได้ตั้งหลักหาที่พักอาศัยสำหรับคืนนี้ เพื่อได้ออกล่าสัตว์ในวันรุ่งขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนกลางวันไม่มีใครเอ่ยขึ้นมาอีก ทว่าบรรยากาศอึมครึ้มระหว่างทั้งคู่บอกได้อย่างดีว่าตอนนี้ฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งกำลังงอนพระสนม ซึ่งหลิ่วเหวินอี้เองกลับนิ่งเป็นรูปปั้นน้ำแข็งเหมือนที่ผ่านมาโดยไม่มีการง้อขอคืนดีจนทำให้ภายในกระโจมเหมือนมีน้ำแข็งซึมซับเข้ามาด้านใน หยางซือหมิงมองดูทั้งคู่อย่างลำบากใจเพราะคิดไม่ออกว่ารูปปั้นน้ำแข็งอย่างพระสนมจะง้อฝ่าบาทอย่างไร จึงทำได้แค่หลบฉากออกมาเท่านั้น
    
             “จะรอดไหมเนี้ย” หยางซือหมิงขยี้ศีรษะตัวเองอย่างหนักใจกับบรรยากาศเย็นเยือกภายในกระโจม ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นหลวนซานที่ยืนกอดอกมองอยู่ไม่ห่างจึงเดินเข้าไปหาหลังจากอยู่ร่วมกันมาหลายเดือนทำให้คุ้นเคยกันมากขึ้น
    
            “เจ้าว่านายเจ้าจะง้อฝ่าบาทหรือไม่” เอ่ยถามคนที่พิงต้นไม้กอดอกมองมาด้วยดวงตาว่างเปล่า ใบหน้าหวานไม่เหมาะกับสีหน้านิ่งเฉยที่เห็นทีไรก็อดแกล้งไม่ได้ทุกครั้งและไม่ใช่แค่เขาที่คิดอย่างนั้นเพราะคนที่นั่งอยู่บนต้นไม้เหนือศีรษะของคนทั้งคู่ก็คิดไม่ต่างกัน
    
             “แม้แต่ตัวข้าเองก็คาดเดาอารมณ์นายน้อยไม่ได้หรอก” หลวนซานตอบกลับอย่างง่ายดายเพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโป้ปดคนทั้งคู่ที่พยายามช่วยชีวิตนายน้อยของตน
    
             “นั่นสินะ” หยางซือหมิงพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ยถามกวงไห่สหายร่วมตายที่นั่งอยู่บนต้นไม้เพื่อตัดบทสนทนาเรื่องของเจ้านาย
    
            “เฮ้อ ช่างเถอะว่าแต่เจ้าเตรียมของไว้พรุ่งนี้เรียบร้อยหรือยัง”
    
             “อือ” คำตอบสั้นๆ สมกับเจ้าตัวไม่ได้ทำให้หยางซือหมิงแปลกใจก่อนจะแยกย้ายกันไปเพราะพรุ่งนี้ยังมีงานรอพวกเขาอยู่ ส่วนเรื่องภายในกระโจมพวกเขาจะไม่พยายามไปยุ่งเพราะไม่อยากโดนแช่แข็งเอง
    
             ภายในกระโจมที่บรรยากาศดูอึมครึ้มกว่าทุกวันซึ่งมันมาจากสาเหตุเมื่อตอนกลางวัน หลิ่วเหวินอี้ยังนั่งนิ่งอยู่บนเตียงนอนขณะที่ลั่วเหยียนเจิ้งเอาแต่อ่านหนังสืออย่างไม่สนใจเขาเช่นเคย แต่เขาอยากบอกเหลือเกินว่าหนังสือที่อ่านอยู่นั่นมันกลับหัว ทว่าตอนนี้เขาโดนงอนอยู่จึงไม่อยากไปกวนอารมณ์เพิ่มอีกจึงได้นั่งมองโดยไม่รู้จะหัวเราะหรือเยอะเย้ยดี
    
            ผ่านไปหนึ่งก้านธูปที่ลั่วเหยียนเจิ้งยังนั่งอ่านหนังสือภายใต้โคมไฟ แม้มือจะแสร้งพลิกหน้ากระดาษแต่เจ้าตัวยังไม่รู้ตัวว่าถือหนังสือผิดด้านจนในที่สุดหลิ่วเหวินอี้ก็ทนไม่ไหว ร่างโปร่งเดินเข้าไปหาพร้อมดึงหนังสือในมือออก ดวงตาคมกริบตวัดมองอย่างไม่พอใจ
    
            “เอาหนังสือคืนมา” น้ำเสียงนิ่งเรียบของคนตรงหน้าทำให้รู้สึกนิ่งอึ้งไป นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ยินน้ำเสียงห่างเหินเช่นนี้
    
             “โกรธอะไร หากเรื่องเมื่อกลางวันข้าแค่ไม่คุ้นเคยเท่านั้นเอง” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงที่อ่อนลงกว่าปกติหลายส่วน มองดวงตาคมกริบที่เบือนหน้าหนีเหมือนไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้นแล้วได้แต่ถอนหายใจยาว เขาต้องมาง้อเด็กตัวโข่งทั้งๆ ที่ตัวเองผิดแค่นิดเดียวเอง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นอย่างครุ่นคิด
    
              หลิ่วเหวินอี้ขยับเข้าไปใกล้ มือขาวยื่นไปจับไหล่คนที่นั่งเบือนหน้าหนีให้หันกลับมา แต่เหมือนจะไร้ผล เขาถอนหายใจอย่างคิดหนักเกิดมาใหม่ได้สิบเก้าปีจะยี่สิบไม่กี่เดือนแต่ยังไม่เคยง้อใครเลย จะมีคนรักกับเขาทั้งทีก็ดันเป็นผู้ชายและยังตัวโตกว่าตัวเองเสียอีก มองไปทางไหนมีแต่เสียเปรียบไปหมด
    
            “ท่านพี่ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาบอกคนที่ยังไม่สนใจตน ตอนแรกเขาก็ยังเฉยชาได้ทว่านานเข้าหัวใจเขากลับรู้สึกอึดอัดกลัดกลุ้มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จากคนที่ไม่เคยคิดอะไรไร้สาระต้องมานั่งคิดว่าจะง้อฮ่องเต้ขี้งอนผู้นี้อย่างไร
    
             ร่างสูงลูกขึ้นปัดมือเขาออกห่างจากตัวพร้อมลุกขึ้นหมายจะเดินออกจากระโจม ยิ่งทำให้หลิ่วเหวินอี้ร้อนรนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากให้ถีบคืนตอนนี้จะหายโกรธไหม มือขาวคว้ามืออีกฝ่ายเอาไว้แน่นซึ่งร่างสูงหยุดหันมามองเขาด้วยสายตาว่างเปล่าจนน่าใจหาย เขาเม้มปากแน่นก่อนจะกล่าวอย่างแผ่วเบา
    
             “ท่านถีบข้าคืนก็ได้ แต่หายโกรธข้านะ” ร่างสูงเลิกคิ้วสูงก่อนจะสลัดมือออกอีกครั้ง พร้อมเดินออกจากกระโจมไปอย่างเงียบงัน หลิ่วเหวินอี้มองตามแผ่นหลังแล้วถอนใจยาว ให้ตายสิ การง้อคนเขาติดลบจนไม่น่าให้อภัย หากดุด่ากันสักนิดคงไม่ปวดใจเท่านี้ หรือต้องไปปรึกษาใคร?
    
             หลิ่วเหวินอี้ออกจากกระโจมตามร่างสูงออกมาแต่กลับไร้เงาของลั่วเหยียนเจิ้งเห็นเพียงกลุ่มองครักษ์กับผู้ติดตามของตัวเองนั่งดื่มเหล้ากันอยู่ไม่ห่างจึงเดินเข้าไปหา
    
            “นายน้อย” หลวนซานเห็นเป็นคนแรกก่อนจะลุกขึ้นเคารพหลิ่วเหวินอี้ยกมือขึ้นบอกไม่ต้องมากพิธี ดวงตาเรียวมองดูสุราที่พวกเขานั่งจิ๊บเพื่อคลายหนาวอย่างสนใจ เพราะมันอาจทำให้เขาหายอึดอัดใจได้บ้าง
    
            “นายน้อยดื่มไหมขอรับเผื่อจะดีขึ้น” หลวนซานยื่นสุราในไหเล็กให้เหมือนรู้ใจ ทั้งๆ ที่ตนไม่ชอบแต่เวลานี้กลับอยากดื่มจึงรับมาจิบเป็นอึกแรก รสชาติบาดคอของเหล้าทำให้อากาศที่เหน็บหนาวคลายลงได้ จากนั้นจึงนั่งรวมกลุ่มกับสามคนนี่เพราะตอนนี้เขาอยากปรึกษาและคนที่ใกล้ชิดลั่วเหยียนเจิ้งที่สุดก็คือองครักษ์คู่พระทัย
    
           “ซือหมิงนายเจ้าทำไมขี้งอนจัง ข้าเกิดมาง้อคนไม่เป็นพวกเจ้ามีวิธีบ้างไหม”  เพียงแค่เอ่ยถามองครักษ์กลับตาวาวก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูเบาๆ หลิ่วเหวินอี้ฟังการง้อของหยางซือหมิงแล้วหน้าแดงก่ำไม่ใช่เพราะเมาแต่มันอายจนแทบแทรกแผ่นดิน เมื่อหันไปมองหลวนซานคนสนิทเจ้าตัวก็ไร้เดียงสาไม่ต่างจากตน ดวงตาเรียวคมมองคนที่ดูเชี่ยวชาญตรงหน้าจนพูดไม่ออก 
    
            “แล้วตอนนี้ฝ่าบาทหายไปไหน”
    
             “กระโจมกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงตอบรับด้วยสีหน้าคาดหวังเต็มที่ว่าหลิ่วเหวินอี้จะไปง้อฮ่องเต้สำเร็จ
    
             หลิ่วเหวินอี้นิ่งอึ้งไปและเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าตัวดูกระตือรืนร้นมากกว่าปกติเพราะตอนนี้โดนยึดกระโจมนี่เอง เขายกเหล้าในมือดื่มไปอึกใหญ่เพื่อเรียกความกล้าออกมา เป็นไงเป็นกัน ไหนๆ ก็รักคนขี้งอนและขี้หึงไปแล้ว ก่อนจะลุกจากวงเหล้าเดินไปยังกระโจมเล็กของสององครักษ์ด้วยหัวใจเต้นระรัว
    
              หลิ่วเหวินอี้เดินเข้ามาภายในกระโจมเล็กอย่างตั้งใจแน่วแน่ แม้ใบหน้ายังเรียบเฉยทว่าหัวใจเขากลับเต้นแรงเร็วอาการตื่นเต้นเช่นนี้เขาไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้ว แต่มันจะมีอาการทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ลั่วเหยียนเจิ้งซึ่งเขารู้เหตุผลดีว่าเพราะเหตุใด ร่างสูงนั่งเดินลมปราณอยู่บนเตียงทำให้เขามองอย่างลังเลกลัวว่าไปก่อกวนตอนนี้ธาตุไฟจะเข้าแทรก แต่หากเขาไม่เคลียร์ปัญหาคาใจตอนนี้คงนอนไม่หลับทั้งคืนแน่ๆ
    
             หลิ่วเหวินอี้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอย่างชั่งใจว่าควรทำอย่างไรดี ประสบการณ์ความรักก็ช่างติดลบสิ้นดีแล้วเขาจะง้อคนขี้งอนสำเร็จไหม
    
             “ท่านพี่” เอ่ยเรียกเสียงเบาแต่ไร้การตอบรับจากคนที่นั่งนิ่งจึงขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นสองมือโอบกอดร่างสูงเอาไว้ด้วยหัวใจอัดอั้น เขาไม่ชอบให้อีกฝ่ายเมินเฉยกับเขาอย่างนี้เลย ดวงตาที่เคยเย็นชาคลอไปด้วยน้ำตา ความรักทำให้คนอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ เมื่อเงยหน้ามองหน้าคมคายกลับเห็นดวงตาคมกริบที่มองมานิ่งๆ ทำให้เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะยื่นใบหน้าไปสัมผัสริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างเอาใจ
    
           ร่างหนานั่งนิ่งให้แทะโลมตามอำเภอใจแต่เจ้าตัวไม่ได้ตอบสนองเหมือนทุกครั้ง หลิ่วเหวินอี้ผละออกห่างออกมาแล้วถอนหายใจยาว หากยังทำเฉยชาเช่นนี้กับเขาสาบานได้จะจับปล้ำเสียให้เข็ด
    
            “หากท่านยังเย็นชากับข้า ข้าจับท่านข่มขืนแน่ๆ”
    
            หลิ่วเหวินอี้มองอย่างจริงจังเหมือนจะบอกว่าว่าพูดจริงทำจริง ดวงตาคมกริบของอีกฝ่ายทอประกายบางอย่างเล็กน้อยก่อนจะกลับมานิ่งสนิทเช่นเคย
    
            หลิ่วเหวินอี้ยืนนิ่งอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะสลัดความคิดไร้สาระในหัวออก หากทำตามแต่ความคิดรับรองว่าทั้งคืนก็ง้อไม่สำเร็จ ต่อไปนี้เขาจะทำตามความรู้สึกล้วนแล้วๆ กัน
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งตกใจเล็กน้อยเมื่อร่างโปร่งผลักเขานอนลงกับเตียงพร้อมก้มลงมาปิดปากด้วยริมฝีปากนิ่ม รสจูบที่หอมหวานละมุนละไมเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาไม่เปิดปากออกให้อีกฝ่ายควานหาความหวาน ใบหน้างดงามขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเล็กน้อยมือขาวเริ่มจะซุกซนกับแผ่นอกและถอดเสื้อของเขาอย่างรวดเร็ว
    
            คนงามตรงหน้าท่าทางจะจริงจังกับการข่มขืนเขามากโดยไม่ทันได้สังเกตรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของเขาเลยสักนิด ในเมื่อเขาเป็นจิ้งจอกที่ห่มหนังแกะมาเนิ่นนานเรื่องแค่นี้ไยจะแสดงละครไม่ได้อีก ทว่าความซุกซนของอีกฝ่ายเวลานี้เริ่มทำให้ควบคุมอารมณ์ไว้แทบไม่ไหว จนต้องเปิดปากจูบตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้รสจูบที่เร่าร้อนกว่าครั้งไหนๆ เสื้อที่สวมใส่หลุดออกจากตัวด้วยฝีมือของคนที่เอ่ยปากจะข่มขืนเขา
    
            ท่าทางจริงจังและตั้งใจของหลิ่วเหวินอี้เวลานี้ช่างน่ารักจนแทบอดใจไม่ไหวที่จะขย้ำร่างโปร่งให้นอนระทวยภายใต้ร่าง เมื่อคิดดังนั้นจึงผลิกร่างคนงามมาอยู่ใต้ร่างแทนตน ดวงตาเรียวคมเบิกกว้างมากขึ้น ร่างกายแข็งทื่อไปชั่วขณะก่อนจะยอมผ่อนคลายและจูบตอบเขาอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน ศึกนี้เพิ่งจะเริ่มต้นทว่าใครจะได้ชัยชนะย่อมเป็นฮ่องเต้ผู้เกรียงไกลเช่นเขาอยู่แล้ว!



     แล้วพบกันใหม่จ้า :hao3: :hao3: :hao3:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-06-2016 11:24:50 โดย lingfang »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย :heaven

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ไม่ทันฮองเต้เจ้าเล่ห์หรอก

ออฟไลน์ chouxcream59

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กรี๊ดดดดดดดดดด ฮ่องเต้นี่ร้ายลึกจริมๆ
เหวินอี้จะเสร็จเหยียนเจิ้งแล้วหรอ รอออออออ  :a11: :a2:

ออฟไลน์ SaJung13

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
ขำพวกนางจริงๆเลย ผลัดกันรุผลัดกันรับ
จะรอดูนะว่าใครจะเป็ผู้กุมอำนาจเรื่องบนเตียง
เราก็เดาไม่ออกอ่ะ แม้จะเอียงไปทางเจิ้นก็เถอะ

ออฟไลน์ NuTonKaw

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 532
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ฮ่องเต้สู้ๆ จับกดไปเลยยย :z1:

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
บางทีก็คิดอยากจะเห็นฮ่องเต้ผู้เกรียงไกรโดนปราชัยเหมือนกันนะเจ้าคะ... :mew2:

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เจ้าเล่ห์มากกกกก ฮ่องเต้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อ๊ากกกกกก ขอต่อเลยด่วนๆ ค้างอย่างมาก  :katai1:

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0



เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่37ศึกรักศึกรบ?(NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)


             คำเตือน โปรดอย่าลืมหากระดาษทิชชู่ก่อนอ่านนะคะ อิอิ





            หลิ่วเหวินอี้รู้สึกร่างสั่นสะท้านเมื่อเสื้อผ้าหลุดออกจากกายจนหมดสิ้น รสจูบที่เร่าร้อนทำให้รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วร่างแม้จะโดนปลุกเร้าอารมณ์ให้ปรารถนาจนถึงขีดสุด ทว่าเขายังรู้ตัวว่ากำลังกระทำสิ่งใดอยู่ เมื่อริมฝีปากเป็นอิสระเขาได้แต่หอบกระเส่าพยายามสูดเอาอากาศให้ได้มากที่สุด ดวงตาเรียวสวยมองคนขี้งอนซึ่งเวลาฉายแววปรารถนาร้อนแรงจนทำให้ลมหายใจสะดุด หัวใจที่สั่นระรัวอยู่แล้วแต้นแรงมากขึ้นกว่าเดิม
         

            “หายโกรธข้าหรือยัง” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเสียงสั่นพร่าเมื่อเริ่มรู้สถานการณ์ตอนนี้ซึ่งตัวเองเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ลั่วเหยียนเจิ้งตัวหนากว่าเขาและยังสูงกว่าอีกเล็กน้อย แต่จะโทษอีกฝ่ายก็ไม่ได้เพราะเขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อนต้องยอมรับชะตากรรม หากเป็นไปได้เขาอยากกอดอีกฝ่ายเองมากกว่าแต่ดูจากสายตาและประสบการณ์แล้วคงจะสู้ไม่ไหว
         

            สายตาเร่าร้อนที่ส่งกลับมาทำให้รู้สึกหนาวๆ ร้อน ริมฝีปากถูกปิดอีกครั้งจูบที่สูบวิญญาณเหมือนไม่อยากให้เขาได้ใช้เวลาคิดเรื่องอื่นซึ่งมันก็ได้ผลเพราะตอนนี้รู้สึกมึนเบลอกับรสจูบไปหมด
     

            “อี้เอ๋อร์เจิ้นขอนะ” หลิ่วเหวินอี้เหลือบตาขึ้นมองใบหน้าคมคายที่มองมาอย่างเร่าร้อนเสื้อผ้าที่หายไปจากร่างอีกฝ่ายเผยให้เห็นร่างหนาแกร่งสมส่วนและยังทำให้เขาใจสั่นระรัว แม้จะยังไม่เคยทำอะไรอย่างนี้กับบุรุษมาก่อนแต่เขาไม่ได้โง่งมจนไม่รู้ว่าลั่วเหยียนเจิ้งต้องการอะไร ถึงแม้จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างน้อยเขาก็อยากได้ศักดิ์ศรีตัวเองคืนมาสักเล็กน้อยก็ยังดี สองมือกอดลำคอของลั่วเหยียนเจิ้งอย่างแน่วแน่
       

           “ให้ข้าปรนนิบัติท่าน”  ลั่วเหยียนเจิ้งเบิกตากว้างเหมือนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ร่างที่เคยอยู่ใต้อ้อมกอดพลิกร่างเขาลงแล้วขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ วรยุทธอีกฝ่ายช่างล้ำเลิศจริงๆ ดวงตาคมกริบแม้จะมีความปรารถนาอยู่เต็มเปี่ยมแต่เขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวว่าจะถูกหลิ่วเหวินอี้กินเสียเอง
       

            หลิ่วเหวินอี้ก้มลงไปจูบคนที่อยู่ใต้ร่างด้วยความปรารถนาในส่วนลึก แม้จะเป็นครั้งแรกกับบุรุษด้วยกันแต่กลับตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างกายของลั่วเหยียนเจิ้นนั้นงดงามสมกับเป็นบุรุษและยังสามารถปลุกเร่าอารมณ์ให้เขาตื่นตามด้วยผิวขาวเนียนสมกับเป็นฮ่องเต้แต่ไม่อ่อนนุ่มเหมือนสตรี
         

           หลิ่วเหวินอี้ลากลิ้นร้อนของตัวเองจูบลงมาที่ลำคอของอีกฝ่ายพร้อมฝากรอยความเป็นเจ้าของ ใบหน้างดงามยกยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนจะสบดวงตาคมกริบที่ยังนอนนิ่งใจเย็นให้เขาสำรวจร่างกายมือหนายื่นมาปัดปอยผมที่หลุดลุ่ยออกจากใบหน้า รอยยิ้มอ่อนโยนทว่าดวงตากลับเร่าร้อนกว่าครั้งไหนๆ ทำให้รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย แต่คนอย่างหลิ่วเหวินอี้ฆ่าได้หยามไม่ได้เพราะฉะนั้นเขาจะพยายามเป็นผู้นำที่ดี
         

           “อี้เอ๋อร์ให้เจิ้นสอนเจ้าก่อนดีกว่านะ” รอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมาทำให้หลิ่วเหวินอ้ะงักไปชั่วครู่แต่ความตั้งใจอันแน่วแน่ว่าต่อให้เสียเปรียเขาต้องเป็นคนนำให้ได้จึงส่ายหน้าแล้วก้มลูงจูบคนใต้ร่างอีกครั้ง สองมือลูบไล้ไปทั่วร่างแกร่งอย่างได้ใจก่อนจะเริ่มรุกเร่าแท่งหยกที่ใหญ่โตจนน่าหวาดหวั่นอย่างเชื่องช้า
       

             “อ่า...อา” หลิ่วเหวินอี้แทบเสียการทรงตัวเมื่อคนใต้ร่างเป็นฝ่ายรุกเร้าเองลิ้นร้อนสอดแทรกและดูดดื่มในโพรงปากเขาอย่างหิวกระหายจนลมหายใจสั่นสะท้าน แม้จะโดนจูบจนแทบสูญเสียจิตวิญญาณแต่มือที่ได้ครอบครองแท่งหยกร้อนๆ ก็ลูบไล้เร็วขึ้น ก่อนจะสะดุ้งเมื่อลั่วเหยียนเจิ้งครางลึกในลำคอและยังกอดรัดร่างเข้าหาตัวแน่นยิ่งขึ้น
     

               “อื้อ” หลิ่วเหวินอี้ครางประท้วงเล็กน้อยเมื่อมือหนาไม่อยู่นิ่ง ดวงตาคมมองมาจนทำให้หน้าร้อนผ่าวไปหมด เขาถอนริมฝีปากออกอย่างเหนื่อยหอบก่อนจะเคลื่อนกายลงมาหาแท่งหยกร้อนที่มือของตัวเองกำลังหยอกเย้า ความใหญ่โตของมันทำให้กลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ ถอนตัวตอนนี้ยังจะทันไหม?
       

              ลั่วเหยียนเจิ้งเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อลิ้นร้อนโอบอุ้มความเป็นชายของเขาอย่างไม่นึกรังเกียจ ที่สำคัญไม่เคยมีใครปรนนิบัติเชขาเช่นนี้มาก่อน ความรู้สึกวาบหวามและอิ่มเอมหัวใจทำให้ครางลึกในลำคอสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองให้คงนิ่งมากที่สุด ทว่าลิ้นร้อนที่ดูดเลียขึ้นลงอย่างมีจังหวะทำให้เขาแทบกระชากร่างโปร่งที่ขาวเนียนไปทั้งตัวขึ้นมากอดรัดให้สมอารมณ์หมาย
       

            อึก!
     

               ลั่วเหยียนเจิ้งกัดริมฝีปากตัวเองแน่น มองใบหน้างดงามที่ยังแฝงความเย็นชาแต่กลับมีเสน่ห์มากล้นของเจ้าตัวด้วยดวงตาประกายกล้า จิ้งจอกที่ห่มหนังแกะอย่างเขาตอนนี้หิวกระหายจนแทบจะกินร่างงามตรงแต่อาหารอันโอชะและรสชาติหวานเขาต้องอดทนใจเย็นให้สุกหง่อมเต็มที่ หัวใจที่เคยไร้ความรู้สึกกลบสั่นระรัวมันเต้นเร็วและแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นหลิ่วเหวินอี้กำลังตั้งใจปรนนิบัติเขาเต็มที่ น่ารัก คนตรงหน้าน่ารักเกินไปแล้ว
       

             หลิ่วเหวินอี้เหลือบตาขึ้นมองใบหน้าคมคายซึ่งงมีสีหน้าแหยแกด้วยความเสียวซ่านแล้วรู้สึกได้ใจมาเล็กน้อยและยังมีกำลังใจที่จะรุกรานแท่งหยกร้อนมากขึ้น ลิ้นร้อนเพิ่มความเร็วขึ้นมาจนร่างนั้นกระตุกเกร็งแม้นี่จะเป็นครั้งแรกสำหรับบุรุษด้วยกันแต่เขาย่อมรู้ดีว่าจุดกระสันของผู้ชายอยู่ตรงไหนบ้าง ใครบ้างที่ไม่เคยช่วยตัวเอง? เขาไม่ได้ไร้ความรู้สึกขนาดนั้น
       

             “อี้เอ๋อร์” เสียงแหบพร่าของลั่วเหยียนเจิ้งที่เอ่ยเรียกทำให้หลิ่วเหวินอี้รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร จึงเพิ่มความเร็วมากขึ้นลิ้นร้อนตวัดเลียรอบพร้อมโอบอุ้มดูดกลืนแท่งหยกร้อนเร็วมากขึ้นเท่าที่ความต้องการของคนเรียกร้อง เสียงครางลึกในลำคอของคนที่นอนกระตุกเกร็งทำให้รู้สึกอิ่มเอมหัวใจน้ำสีขุ่นพุ่งเข้าเต็มโพรงปากร้อนรสชาติฝาดปนหวานทำให้เผลอกลืนลงคออย่างอยากรู้อยากเห็น ใบหน้าตื่นตะลึงของคนที่ใต้ร่างทำให้เหลือบขึ้นมองอย่างสนใจ น้อยครั้งนักจะได้เห็นสีหน้าอื่นจากคนตรงหน้า
       

             ใบหน้างดงามตอนนี้แดงระเรื่ออย่างน่ามอง น้ำสีขาวขุ่นที่ออกจากร่างติดตามปากจนดูยั่วเย้าไปหมด ยิ่งเรือนร่างสมส่วนไม่ได้บอบบางเหมือนน้องสะใภ้ แต่กลับดูเร่าอารมณ์กว่าใครทั้งสิ้น หน้าอกแบนราบไม่ได้เต่งตึงเหมือนเหล่าสนมแต่เขาอยากกอดรัดฟัดเหวี่ยงร่างตรงหน้ามากกว่าผู้ใด
       

            “อี้เอ๋อร์คนดี” ลั่วเหยียนเจิ้งเรียกคนตรงหน้าอย่างรักใคร่ ตอนนี้เขาทั้งรักทั้งคลั่งไคล้คนตรงหน้าจนแทบอยากจะกลืนกินร่างโปร่งที่พยายามเปิดช่องทางของตัวเองพร้อมปีนคร่อมขึ้นมาบนร่างของเขา ความตั้งใจอันแน่วแน่ว่าจะปรนนิบัติเขาทำให้ต้องนอนนิ่งให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบ เขาอยากจะถนุถนอมคนตรงหน้าให้มากที่สุด ความสุขสมที่ได้รับจากหลิ่วเหวินอี้ทำให้หัวใจพองโตและเต้นเป็นจังหวะอีกครั้งหลังจากที่มันไร้ความรู้สึกมาเนิ่นนาน
       

           อึก!
       

           ใบหน้างดงามขมวดคิ้วแน่นเมื่อความเจ็บถาโถมเข้าหา แม้จะใช้น้ำรักของลั่วเหยียนเจิ้งเปิดทางให้ตนเองแล้วแต่ความใหญ่โตก็ทำให้ช่องทางที่เล็กแคบเข้าไปอย่างยากลำบาก แต่ความพยายามที่สูงส่งและความแน่วแน่แม้จะเป็นฝ่ายถูกกระทำแต่เขาต้องเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าให้ได้จึงไม่ย่อท้อที่จะให้คนใต้ร่างสยบให้แก่ตนเอง



       

             ลั่วเหยียนเจิ้งมองสีหน้าเจ็บปวดของคนรักแล้วอดรู้สึกสงสารไม่ได้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของหลิ่วเหวินอี้เขาไม่อยากให้เจ้าตัวเคร่งเครียดมากเกินไปจึงลุกขึ้นนั่งพิงเตียงนอนไม้ขนาดเล็กภายในกระโจมแล้วดึงร่างโปร่งเข้ามาจูบอีกครั้ง รสจูบที่อ่อนหวานและปลอบประโลมทำให้ร่างโปร่งหายตึงเครียดมากขึ้น มือหนากอบกุมส่วนสำคัญของคนรักที่อ่อนตัวลงจากความเจ็บปวดปลุกเร้าอารมณ์จนมันแข็งขืนขึ้นอีกครั้ง
         

            การกระทำเอาใจใส่ของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้รู้สึกตื้นตันใจ และครั้งนี้สอนให้เขาได้รู้ว่าการดื้อรั้นเกินไปมันไม่ได้เป็นผลดี ความรักหากไม่เอาใจใส่กันและกันแล้วจะมีความสุขได้อย่างไร และเหตุที่เขายินยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำเองเพราะคำว่ารัก ที่สำคัญคนใต้ร่างเขาเวลานี้ไม่เหมาะที่จะเป็นฝ่ายรับแม้แต่น้อยหากคนทั่วหล้ารับรู้ฮ่องเต้ที่ปกครองราชอาณาจักรเป็นที่รองรับอารมณ์ผู้อื่นจะมีผู้ใดเคารพนับถืออีก
       

            อึก!
         

            หลิ่วเหวินอี้สะดุ้งเมื่อนั่งท่านี้แท่งหยกอันใหญ่โตแทงลึกเข้ามาจนจุกไปหมด ทว่าจูบสูบวิญญาณที่ลั่วเหยียนเจิ้งมอบให้ทำให้ความหวาดกลัวและความเจ็บบรรเทาลงได้บ้าง ร่างโปร่งค่อยๆ ขยับกายไปมาอย่างเชื่องช้าสองมือกอดคอคนที่อยู่ใต้ร่างให้ชิดใกล้มากขึ้น จากความเจ็บแสบเริ่มเลือนหายความเสียวซ่านเข้ามาแทนที่ร่างกายโยกไหวไปตามอารมณ์ที่เริ่มเดือดพร่านจากบทรักที่อ่อนโยนกลับเร่าร้อนจนเปร่งเสียงหอบกระเส่าออกมา
         

            “อ่า...อา” หลิ่วเหวินอี้เม้มริมฝีปากแน่นขึ้นขณะที่จังหวะการโยกย้ายสะโพกนุ่มบนเรือนร่างแกร่งกำยำเร็วและแรงขึ้น ความเสียวกระสันทำให้อดกลั้นเสียงไม่ไหว ใบหน้างดงามแดงระเรื่อด้วยความอับอายเพราะคนใต้ร่างแค่ครางลึกในลำคอไม่มีเสียงออกมาให้ได้ยิน ทว่าตัวเองกลับอดกลั้นไม่ไหว ช่างน่าอายนัก!
       

           ใบหน้าคมคายยกยิ้มที่มุมปากเหมือนพึงพอใจขณะที่เร่งจังหวะรับการเคลื่อนไหวสะโพกตอบรับความเสียวซ่านมือหนาลูบไล้เรือนร่างที่น่าหลงใหลอย่างปลุกเร่าอารมณ์วาบหวาม และความสุขเอ่อล้นค่อยๆ เติมเต็มหัวใจที่เหน็บหนาว
         

            “อ๊ะ...อา...” จุดอ่อนไหวถูกกระทบไม่หยุดยั้ง ทั่วร่างของหลิ่วเหวินอี้เหมือนถูกความแผดเผาด้วยไฟปรารถนา เขาส่ายเอวไปมาบนเรือนร่างกำยำแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะมือใหญ่ที่บีบก้นนุ่มเข้าหาร่างหนาบดเบียดส่วนอ่อนไหวเข้าหน้าท้องของคนใต้ร่างอย่างเร่งเร้า
         

            “อ่า...อา...” หลิ่วเหวินอี้เปร่งเสียงออกมาอย่างอดกลั้นไม่ไหว ร่างโปร่งกระตุกเกร็งน้ำรักอุ่นร้อนชโลมทั่งท้องลั่วเหยียนเจิ้งอย่างน่าอาย มือกอดเกี่ยวร่างนั้นพร้อมเสียงหอบเหนื่อย ก่อนจะสะดุ้งเมื่อร่างถูกผลักลงนอนบนเตียงด้วยความเร็ว ดวงตาเร่าร้อนฉายแววปรารถนาอย่างแรงกล้าของคนเหนือร่างทำให้ต้องเม้มปากแน่น เมื่อครู่เขาไม่ได้ไร้ความรู้สึกจนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายก็หลั่งเต็มช่องทางด้านหลังของเขาแล้ว
         

            “อี้เอ๋อร์เด็กดี ทำไมเจ้าน่ารักอย่างนี้” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยชมด้วยความคลั่งไคล้ จากความรักเป็นความหลง ทว่าตอนนี้เขาอยากกลืนกินร่างงดงามตรงหน้าเหลือเกิน
         

           “เดี๋ยวสิ พอก่อน” หลิ่วเหวินอี้ร้องบอกเสียงหลงแม้เมื่อครู่เขาจะสุขสมไม่ต่างจากอีกฝ่ายทว่าช่องทางด้านหลังที่เคยใช้งานครั้งแรกยังรู้สึกเจ็บและแสบอยู่ เขาเบิกตากว้างเมื่อสิ่งที่คาอยู่ภายในร่างขยายใหญ่โตอีกครั้ง เมื่อครู่เพิ่งจะเสร็จไปด้วยกัน
         

          “หื้ม... เจ้าพูดอะไรที่รัก บอกให้เอาอีกทั้งคืนใช่ไหม ได้เจิ้นจัดให้” หลิ่วเหวินอี้มองคนหน้าด้านอย่างหงุดหงิด ก่อนจะสะดุ้งเมื่อมือของลั่วเหยียนเจิ้งไม่อยู่นิ่ง ริมฝีปากถูกปิดลงอีกครั้งความวาบหวามเริ่มกลับมาลมหายใจเริ่มติดขัด รสจูบที่เร่าร้อนทำให้ร่างกายร้อนผ่าวแก่นกายที่หดตัวกลับแข็งขืนขึ้นมาต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้
         

           “อ๊ะ!” หลิ่วเหวินอี้ร้องขึ้นอย่างขัดใจเมื่อส่วนนั้นถูกผละออก เขาเหลือบตามองลั่วเหยียนเจิ้งซึ่งยกยิ้มร้ายกาจที่ทำให้รู้สึกขนลุกชัน ข้อมือถูกตวัดขึ้นเหนือหัวพร้อมเชือกผูกเอวที่หล่นกองอยู่กับพื้นแต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับคนตรงหน้า เขานิ่วหน้ามองข้อมือของตนเองผูกมัดติดกับหัวเตียงเล็กที่หากใช้แรงดึงก็ออกอย่างง่ายดาย แต่เขากำลังสงสัยว่าคนเจ้าเล่ห์จะเล่นอะไร
       

          รอยยิ้มงดงามและเร่าร้อนของลั่วเหยียนเจิ้งเวลานี้ทำให้รู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัว ลิ้นอุ่นร้อนจูบสำรวจทั่วเรือนร่างของเขา ผ่านไปที่ไหนก็สร้างรอยแดงเอาไว้เป็นจุดๆ ทว่ามันกลับทำให้ท้องน้อยปั่นป่วนไม่อาจอยู่นิ่งได้ ร่างกายบิดเร่าตอบรับลิ้นและมือของคนตรงหน้าด้วยความวาบหวาม
       

           “อ๊า...” เข้าสะดุ้งออกมาด้วยความตกใจเมื่อลูกชายเขาถูกครอบครองด้วยปากคนตรงหน้า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดว่าไม่เหมาะสมจะให้คนที่อยู่เหนือแผ่นดินมาทำเรื่องอย่างนี้ให้อย่างไร
         

           “อย่า ท่านไม่ควรทำอย่างนั้น” บอกด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าความเสียวกระสันจุดเร่าอารมณ์จนสติเริ่มเลือนหาย ใจหนึ่งอยากให้ทำต่ออีกใจกลับคิดว่าไม่สมควร
         

           “เจิ้นอยากรักเจ้า ทุกอย่างภายในร่างกายเจ้าเจิ้นอยากครอบครองผู้เดียว ในเมื่อเจิ้นรักเจ้ามีสิ่งใดที่ไม่สมควร” หลิ่วเหวินอี้ไร้คำพูดทว่าหัวใจกลับเต้นระรัวด้วยความยินดี เขาหลับตาลงยอมรับสิ่งที่ถูกปรนเปรอให้อย่างเต็มใจ ความอ่อนโยนในคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นรุนแรงมากขึ้น
       

            “อึก!”
       

             “อี้เอ๋อร์คนดี เจิ้นอยากได้ยินเสียงของเจ้า” เสียงกระซิบแหบพร่าดังอยู่ข้างหู ทำให้ต้องลืมตาขึ้นมามองดวงตาร้อนแรงของคนตรงหน้าทำให้เบือนหน้าหนีด้วยความอาย เรื่องน่าอายอย่างนั้นยังจะพูดมาอีก แค่นี้เขาก็อับอายจะแย่แล้ว
         

             “หุบปากไปเลย” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเย็นก่อนจะเม้มปากแน่นเมื่อมือที่ลูบไล้แก่นกายของเขาเพิ่มความเร็วมากขึ้น ใบหน้าคาคายยกยิ้มร้ายอย่างไม่น่าไว้ใจ ลั่วเหยียนเจิ้งขบเม้มยอดอกของเขาพร้อมลิ้นร้อนไล้เลียยอดสีชมพูอ่อนซึ่งไม่เคยมีใครสัมผัสมาก่อน
       

            “อื้ม...อ่า...อา” หลิ่วเหวินอี้บิดกายด้วยความเสียวซ่าน การทำงานของลั่วเหยียนเจิ้งยอดเยี่ยมเกินไป ปากกระตุ้นอารมณ์ให้เขาเดือดพร่านขณะเดียวกันมือหนากลับทำหน้าที่ปรนเปรอความสุขสมให้จนหายใจหายคอไม่ทัน
         

             “อ๊า...อา...” เขาแทบกรีดร้องไม่เป็นภาษารู้สึกเหมือนโยนลงจากที่สูงเมื่อถูกหยุดกะทันหัน เขาลืมตาถลึงมองคนเจ้าเล่ห์อย่างหงุดหงิด ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อลั่วเหยียนเจิ้งเปลี่ยนจากมือเป็นริมฝีปากร้อนพร้อมโอบอุ้มน้องชายเขาอย่างไม่นึกรังเกียจแม้แต่น้อย
         

            “อ่า...อา...เร็วอีก” หลิ่วเหวินอี้ร้องเร่งอย่างลืมตัวเมื่อความเสียวซ่านพุ่งขึ้นสูง ร่างโปร่งยกสะโพกตอบรับการดูดกลืนของลั่วเหยียนเจิ้งเป็นจังหวะ ก่อนจะกระตุกเกร็งไปทั่งร่างพร้อมน้ำสีขาวขุ่นพุ่งเข้าเต็มโพลงปากของคนตรงหน้า เขาลืมตามองอย่างอับอาย ทว่าเจ้าตัวเพียงแลบลิ้นเลียและกลืนกินส่วนที่เหลือเหมือนมันเป็นอาหารอันโอชะ เขานอนหอบกระเส่ามองตามอย่างเหนื่อยอ่อน
         

           “หวานจริงๆ ด้วยอี้เอ๋อร์เจิ้นอยากกินอีก”
       

            หลิ่วเหวินอี้นิ่งอึ้งไร้คำพูด ปล่อยกายปล่อยใจให้คนโลภมากดูดกลืนตัวเองให้สาสมใจไหนๆ ก็ยอมเป็นเมียลั่วเหยียนเจิ้งไปแล้วแต่หากพรุ่งนี้ล่าสัตว์ไม่ได้ ไม่ได้ตายดีแน่!



     

             อึก!
           

            หลิ่วเหวินอี้เม้มปากแน่นเมื่อรู้สึกเจ็บแสบช่องทางด้านหลัง ทว่าเขากลับให้ความร่วมมือกับคนที่รุกรานเข้ามา ก่อนจะครางแผ่วเบาเมื่อได้เป็นหนึ่งกับคนที่รักอีกครั้ง ลั่วเหยียนเจิ้งขยับแก่นกายที่เปี่ยมด้วยความต้องการอยู่ภายในร่างของเขาอย่างลึกล้ำ
         

           “อ่า...ซี๊ดดด...เร็วอีก” หลิ่วเหวินอี้ครางเสียงแผ่วด้วยความรัญจวนใจ สะโพกนุ่มถูกจับไว้แน่นพร้อมส่งแรงกระแทกกระทั่นตามคำร้องขอ เขาเงยหน้าสั่นสะท้านไปทั้งร่างทว่ากลับทำให้รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งได้ยินเสียงครางลึกของคนเหนือร่างยิ่งทำให้รู้สึกอิ่มเอมในใจ
       

             “อี้เอ๋อร์เจ้าทำให้เจิ้นแทบคลั้ง” เสียงแหบพร่าดังอยู่ข้างหู ดวงตาเร่าร้อนฉายเพลิงปรารถนาพร้อมแรงกระแทกที่หนักหน่วงมากขึ้น หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มบางเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ตอนนี้เขาแทบสำลักความสุขออกมา เขารู้สึกอยากโอบกอดปลุกเร่าอารมณ์ดุเดือดและป่าเถื่อนของคนตรงหน้าให้ถูกขีดสุดแต่มือสองข้างผูกมัดติดไว้แน่นจึงใช้ขาเกี่ยวรั้งเอวอีกฝ่ายเข้าหาร่างตัวเองดวงตาที่เคยเย็นชาฉายแววท้าทาย
         

             “ฮึก... อ่า...” หลิ่วเหวินอี้สะดุ้งเมื่อลั่วเหยียนเจิ้งกัดไหล่เขาจนจมเขี้ยว และเผื่อไม่ให้ตัวเองเสียเปรียบอีกทั้งความเสียวซ่ายปลุกเร้าอารมณ์ให้พุ่งสูงจนน้ำตาเล็ดออกมาด้วยความสุขสม เขากดหน้าลงไหล่กว้างและกัดตอบด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ ทว่าให้ความรู้สึกดีอย่างไม่บอกไม่ถูก เขาได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของคนเจ้าเล่ห์ จึงยกยิ้มท้าทายอย่างลืมตัว
         

              ลั่วเหยียนเจิ้งจับร่างโปร่งที่ดูยั่วเย้าไปทั้งตัวผลิกนอนคว้ำหน้ากับพื้น เขาไม่ได้แก้เชือกที่มัดมืออีกฝ่ายออกจึงเกิดรอยแดงที่แขนขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้ายั่วยวนนั้นทำให้เขาอดกลั้นความรุนแรงตัวเองแทบไม่ไหว เขาจับสะโพกนุ่มยกขึ้นและตอบรับส่วนหนึ่งภายในร่างกาย ความคับแน่นและบีดรัดทำให้เขาครางออกมาเสียงแผ่วด้วยความซาบซ่าน เสียงหวานที่ครางแผ่วเบาทำให้เขาเร่งจังหวะรุกล้ำมากขึ้น เขาอยากได้ยินเสียงของหลิ่วเหวินอี้ ดังมากว่านี้
         

             “ซี๊ดดดด อ่า...อา ท่านพี่แรงหน่อย” เสียงที่เคยเย็นชาตอนนี้กลับหวานจนอยากกอดรัดร่างคนชอบยั่วให้เขาสติแตก เขากัดลงช่วงไหลของคนรักอย่างหมั่นเขี้ยว
     

              “อื้ม” ลั่วเหยียนเจิ้งครางอย่างพึงพอใจ เขาไม่เคยสุขสมและเร่าอารมณ์ได้เท่านี้มาก่อน เขากระแทกกระทั่นบนสะโพกนุ่มแรงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงการบีดรัดและเกร็งร่างของคนในอ้อมกอด
       

             “อ๊า!” ร่างโปร่งอ่อนระทวยเมื่อน้ำสีขาวขุ่นออกจากเรือนร่าง เขาก้มลงจูบซับแผ่นหลังอย่างปลอบโยน เขาไม่เคยอ่อนโยนและแสดงความรักกับใครเช่นนี้มาก่อน หลิ่วเหวินอี้เป็นเพียงคนเดียวและจะเป็นคนสุดท้ายที่เขาจะรัก
       

             ลั่วเหยียนเจิ้งแกะเชือกที่มัดมือออกดึงร่างอีกฝ่ายชิดเข้าหาจับสองมือให้โอบกอดรอบคอเขาเอาไว้ ร่างโปร่งสะดุ้งเอียงหน้ามามองตาขวาง
       

            “พอแล้ว” น้ำเสียงหอบกระเส่าอย่างเหนื่อยอ่อนของคนใต้ร่างไม่ได้ทำให้เขาสงสารแต่มันกลับทำให้ตื่นตัวมากขึ้น เขาจะโอบกอดรัดร่างนี้ไว้ในอ้อมแขนตลอดทั้งคืนให้สมกับที่รอคอยมานาน
       

             “อ๊ะ...” หลิ่วเหวินอี้ครางประท้วงเมื่อร่างกายถูกปลุกเร่าอารมณ์วาบหวามให้กลับมาอีกครั้ง เขาเอียงหน้ามองคนหื่นจัดอย่างเหนื่อยใจ สรุปแล้วจะกินเขาให้ได้เลยใช่ไหม เสียงเขาเริ่มแหบพร่าเพราะเปร่งเสียงไปมาก เขาแอ่นอกกอดรัดรอบคออีกฝ่ายแน่นขึ้น จุดอ่อนไหวถูกกระตุ้นอีกครั้ง... ครั้งแล้วครั้งเล่า...
       

             ผ่านไปหนึ่งชั่วยามภายในกระโจมหลังเล็กยังมีเสียงหอบกระเส่าและเสียงครางให้ได้ยินไม่หยุด แม้ค่ำคืนนี้จะเหน็บหนาว ทว่าด้านในกลับร้อนระอุด้วยเพลิงปรารถนา สองร่างรวมเป็นหนึ่งเดียวซึ่งโอบกอดรัดกันจนกระทั่งรุ่งสางเสียงครางชวนให้วาบหวิวจึงเลือนหายไป มีเพียงคำสั่งให้เตรียมน้ำใส่ถังไว้ให้เท่านั้น!
       

             ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนที่นอนสลบอย่างนึกสงสาร ทว่าใบหน้ากลับยิ้มด้วยความอิ่มเอมใจ เรือนร่างขาวเนียนงดงามไร้ที่ติเวลานี้ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงเต็มทั่วร่าง เขาลงมือทำความสะอาดร่างคนรักให้ด้วยความเต็มใจมือหนาเกี่ยวผมที่เปียกชื้นด้วยเหงื่อออกจากใบหน้าสวยงามจนสตรียังต้องอายด้วยความชื่นชม แม้จะปากแข็งแต่ก็ยอมทำตามใจเขาจนกระทั่งตัวเองไม่ไหว เวลานี้เขาหลงใหลหลิ่วเหวินอี้จนถอนตัวไม่ขึ้น เขาเอ่ยบอกคนหลับไหลอย่างแผ่วเบาด้วยความรู้สึกลึกล้ำ ดวงตาที่ไร้ความรู้สึกมานานฉายแววอ่อนโยนด้วยความรักใคร่
         

             “เจิ้นรักเจ้าอี้เอ๋อร์ รักมากอย่างที่ไม่เคยรักใครมาก่อน เพราะฉะนั้นต่อให้เจ้าอยากกางปีกออกไปเจิ้นก็ไม่มีทางปล่อยมือเจ้าไป”
         

              แม้คนที่หลับใหลไม่ได้ยินในสิ่งที่พูด ทว่าร่างโปร่งกลับเบียดกายเข้าหาความอบอุ่นตามความเคยชิน มุมปากแต่งแต้มรอยยิ้มบางบ่งบอกว่ากำลังฝันดี ทว่ากลับทำให้อะไรๆ ที่หลับตามไปตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ลั่วเหยียนเจิ้งหลับตาข่มอารมณ์เอาไว้แน่นก่อนจะหยิกแก้มอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว
       

                 “มันน่านัก ยั่วได้ยั่วดี!”





มาแล้วเป็นไงเม้นท์บอกฟางด้วยนะคะ ติดขัดตรงไหนหรือเปล่า บทนี้ตั้งใจเขียนมากกกก เพราะเขียนยากมากๆๆๆ เนื่องจากกลัวจะตัวละครจะหลุดบุคลิกจึงแก้อยู่หลายรอบ สรุปคือ ถึงอี้เอ๋อร์จะเป็นเคะ แต่ขอเป็นเคะราชินี แล้วกัน 5555 แล้วพบกันใหม่ค่าาา

 :bye2: :bye2: :bye2:





ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เลือดหมดตัวววววววว ขอบคุณค่าา คุณฟาง สนุกมากกก

ออฟไลน์ flowerloveyaoi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :m25: กระอักเลือด ตายอย่างสงบ :jul1:

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1251
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ตายตาหลับแล้ว เจิ้นได้กินเหวินอี้แล้ว :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด