เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)  (อ่าน 186477 ครั้ง)

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
อี้เอ๋อน่ารักอ่ะ อั๊ยยยยๆๆๆ แล้วเฮียเจิ้งจะไปไหนได้ล่ะ

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0


 เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
 บทที่39มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน (P.10วันที่ 18/7/59)



           ยามวิกาลในค่ำคืนนี้ดูเงียบผิดปกติกว่าคืนที่ผ่านมา หิมะไม่ได้โปรยลงมาแต่กลับให้ความรู้สึกเย็นเยือกเหล่าทหารที่มีสัมผัสไวต่างระวังตัว คบเพลิงถูกจุดไว้เป็นจุดๆ เพื่อเพิ่มแสงสว่างแต่มันกลับให้ความรู้สึกไม่น่าไว้วางใจ ทหารลาดตระเวนยังคงทำงานอย่างเคร่งครัด แต่กลับมีบางกลุ่มล้มลงพร้อมลมหายใจสุดท้ายโดยไม่มีเสียงเล็ดลอดแม้แต่น้อย!
         

           งานประพาสป่าในครั้งนี้มิได้มีเพียงฮ่องเต้ที่เสด็จแต่ยังมีเพ่ยอวี้องค์ชายสิบห้าและเหล่าสนมขั้นเฟยมาร่วมงานด้วยอีกสามคนและหนึ่งในนั้นมีพระสนมกุ้ยเฟยหมู่ต่านที่ยังติดตามมาด้วยรอบบริเวณดังกล่าวจึงมีทหารมากกว่าทุกจุด
     

         ร่างบอบบางในอาภรณ์แดงสดนั่งอ่านหนังสือภายในกระโจมมาเงียบๆ หลายชั่วยามดวงตางดงามดังหงส์เงยหน้าจากหนังสือในมือมองออกไปภายนอกกระโจมที่เย็นเยือกผิดปกติอย่างเงียบงัน คิ้วสวยเหมือนใบหลิวเลิกขึ้นสูง มือบางวางหนังสือลงแผ่วเบา ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบกระบี่บางเฉียบสีเงินประกายลวดลายพยัคฆ์อย่างระวัง สัญชาตญาณอันตรายร้องเตือนให้นางเดินไปหยิบอาวุธประจำกายเอาไว้ ภายนอกบอบบางเหมือนกิ่งหลิวที่พร้อมจะโดนพัดปลิวให้ตายตกง่ายๆ ทว่าคนที่ช่วยเหลือพี่ชายกอบกู้บัลลังก์แคว้นโจวจะบอบบางดังภาพลักษณ์ได้เช่นไร
       

           “องค์หญิง” นางกำนัลคนสนิทเดินเข้ามาใกล้อย่างระวังภัย แม้คนภายนอกจะเรียกนางพระสนมกุ้ยเฟยหมู่ต่านแต่พระนางก็ยังเป็นองค์หญิงน้อยของตนเสมอ นิ้วเรียวยกขึ้นทาบริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบา
       

             “ไปหาองค์ชายเพ่ยอวี้” หมู่ต่านบอกเสียงเบาเก็บกระบี่ไว้นายเสื้อคลุม ก่อนจะเดินลากกระโปร่งยาวออกนอกกระโจม บรรยากาศที่เงียบสงัดทำให้พระนางเดินเร็วขึ้นภารกิจที่แท้จริงคือปกป้องเพ่ยอวี้องค์ชายสิบห้าเพื่อตอบแทนบุญคุณเมื่อสี่ปีก่อน
       

            ร่างบอบบางมาหยุดที่หน้ากระโจมดังกล่าวพร้อมบอกประสงค์กับคนด้านในเ พียงไม่นานกระโจมก็ถูกเปิดออกเชื้อเชิญให้เขาไปอย่างง่ายดาย ดวงตาคมกริบที่ถอดแบบพี่ชายมองมาที่ตนอย่างพินิจ
       

            “พระสนมคงไม่ได้เข้ามาเพื่อเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนเปิ่นหวางหรอกกระมัง” หมู่ต่านมององค์ชายอายุสิบห้าซึ่งน้อยกว่านางสองปีด้วยรอยยิ้มบาง
         

            “หม่อมฉันนอนไม่หลับจึงอยากเล่นหมากล้อมกับองค์ชายจริงๆ เพคะ พระองค์ควรทราบว่าบรรดาน้องหญิงไม่มีใครเล่นหมากล้อมเป็นเลย” น้ำเสียงหวานละมุนและรอยยิ้มอ่อนโยนไม่ได้ทำให้องค์ชายที่ถูกลอบฆ่ามาหลายครั้งเชื่อใจ แต่ก็ยังจัดหมากล้อมไว้ให้นางตามคำขอเพราะเพ่ยอวี้เองก็อยากจะรู้ว่าพระสนมที่ไม่ได้ถวายตัวผู้นี้ของเสด็จที่จะมาหลอกล่ออันใดตน!
 




          การเคลื่อนไหวจากด้านนอกแม้จะเงียบเชียบ ทว่าคนในกระโจมก็ยังรับรู้การมาเยือนของแขกยามวิกาล หลิ่วเหวินอี้จับมีดสั้นหยินหยางอาวุธประจำกายออกมาอย่างระวัง ดวงตาเรียวคมมองลั่วเหยียนเจิ้งกษัตริย์ลั่วหยางและเป็นราชันย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าหกแคว้นที่เหลือ ทว่าเวลานี้ดวงตาคู่นั้นมองมาที่ตนอย่างกังวลจึงยกยิ้มบางให้กำลังใจ
         

            “เชื่อใจข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งมองสบตานิ่งๆ ยกมือลูบใหน้างดงามอย่างแผ่วเบา การมีความรักเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายแม้จะเป็นจุดอ่อนแต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
       

             ฟิ้วววววว
         

              ตูม!!!
       

              เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วค่ายพักพร้อมเสียงการต่อสู้ที่ดุเดือด หลิ่วเหวินอี้และลั่วเหยียนเจิ้งเดินออกมานอกกระโจมอย่างใจเย็น เงาร่างสีแดงโดดลงมาจากยอดไม้หยุดลงเบื้องหน้าของทั้งคู่ ใบหน้าขาวซีดดวงตาแดงก่ำและขอบตาดำมืดกลิ่นไออันตราย
           

            ความเปลี่ยนแปลงของหลิงเซียวองค์ชายสิบพี่น้องร่วมบิดาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งใจหาย เหตุใดคนตรงหน้าถึงคิดทำลายราษวงศ์ลั่วหยางและแปรเปลี่ยนตัวเองเป็นมารเช่นนี้ ข้างกายมีสตรีบอบบางใบหน้างดงามที่เหมือนคนรักตนไม่ผิดเพี้ยน ทว่าดวงตากลับไร้แววของสิ่งมีชีวิตเขาเหลือบมองใบหน้าเรียบนิ่งของหลิ่วเหวินอี้อย่างห่วงใยสตรีตรงหน้านี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกันแน่
           

           “ถวายบังคมเสด็จพี่ฮ่องเต้ ยินดีกับการกลับมาของน้องหรือไม่” เสียงราบเรียบและดวงตาเหยียดหยันที่ส่งมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งเพียงแค่ยืนนิ่งมิได้ตอบโต้อันใด กระบี่หยกขาวปรากฏขึ้นในมือดวงตาสีแดงเหมือนโลหิตเหลือบมองมาเล็กน้อยก่อนจะแสยะยิ้ม
           

           “กระบี่เทพไม่น่าเชื่อว่าท่านจะมีของดีอยู่ในตัว ถึงว่าครั้งที่แล้วแขนขาเกือบขาดเพราะมัน” น้ำเสียงราบเรียบไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกใดๆ แม้หน้ากระโจมใหญ่บรรยากาศจะดูเยือกเย็นจนน่าขนลุกทว่ารอบด้านกลับมีเสียงกรีดร้องและการต่อสู้ที่โหมรันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกกังวลเล็กน้อยถึงน้องชายคนเล็กสุดที่เป็นความหวังเดียวของตนเวลานี้
           

           “บอกข้าได้หรือไม่เจ้ามีความแค้นเคืองใดกับแคว้นลั่วหยาง” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างใจเย็น ดวงตาโลหิตมองมาอย่างชิงชัง
         

            “เสด็จพี่ข้ามิได้แค้นเคืองแคว้นลั่วหยาง แต่ข้าชิงชังสายโลหิตของกษัตริย์ เกียจชังความเย่อหยิ่งจองหองพวกท่านไม่เห็นผู้ที่ต่ำช้ากว่า มารดาข้าเป็นเพียงนางกำนัลชั้นต่ำแต่แล้วอย่างไร ข้ามิใช่น้องชายของพวกท่านหรอกหรือถึงปล่อยให้ข้าอยู่เดียวดายในตำหนักหลังร้างไร้ผู้คน มีงานเทศกาลไม่มีแม้กระทั่งบัตรเชิญ เสื้อผ้าอาภรณ์แต่ละปีกลับน้อยยิ่งกว่านางกำนัลชั้นสูง ฤดูเหมันต์มาเยือนไม่มีกระทั่งเตาอุ่นให้ผิง เงินเบี้ยหวัดแต่ละปีกลับไม่ได้รับแม้แต่อีแปะเดียว อาหารแต่ละมื้อสุนัขของพี่เจ็ดยังได้กินดีกว่าข้า หากคิดจะทำลายมันก็สมเหตุผลแล้วมิใช่หรือ”
         

             ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งงันไปกับคำตอบ ความรู้สึกสะเทือนใจจนมิอาจเอ่ยเป็นคำพูดได้ เรื่องนี้เขาไม่เคยรู้มาก่อนแต่การปรากฏตัวของน้องสิบนับว่าน้อยมากจนบางครั้งเขายังลืมไปด้วยซ้ำไปว่ายังมีน้องชายคนนี้อยู่แต่ว่าเรื่องที่กล่าวมาไม่เคยมีใครมารายงายเขามาก่อน
         

             “แต่อย่างไรในร่างกายเจ้าก็มีสายโลหิตของกษัตรย์” แม้จะเห็นใจและสะเทือนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทว่าตอนนี้เขามิใช่รัชทายาทที่ปิดตาไม่รับรู้ได้อีก หน้าที่ฮ่องเต้คือปราบกบฏและดูแลราษฏรให้อยู่อย่างผาสุก
       

             “เพราะเช่นนี้อย่างไรละข้าถึงได้เกียจตัวเองไปด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ข้าต้องสังหารท่านและทำลายเชื้อพระวงศ์ให้สิ้นไม่เช่นนั้นข้าไม่ขออยู่ร่วมโลกกับพวกท่าน” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดขององค์ชายสิบดังก้องจนสะทือนไปรอบบริเวณต้นไม้ไหวใบร่วงหล่น
       

               เพียงแค่ความโกรธก็ทำลายสิ่งรอบกายจน่าหงาดหวั่น หลิ่วเหวินอี้กระชับมีดสั้นหยินหยางในมืออย่างระวัง ดวงตาเรียวมององค์ชายสิบอย่างเห็นใจเพราะสภาพแวดล้อมทำให้จิตใจวิปริตจนยากจะแก้ไข ตอนนี้เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมลั่วเหยียนเจิ้งบางครั้งเหมือนกระหายเลือดเค่นฆ่าศัตรูอย่างไร้ความปราณี
       

             เรื่องขององค์ชายหลิงเซียวไม่ได้ทำให้เขาใส่ใจเท่ากับร่างบอบบาง ดวงตาไร้ชีวิตกลิ่นไอมารแผ่ความเย็นเยียบและจิตสังหารออกมาเต็มเปี่ยม แม้จะผ่านไปนานกว่าสิบเก้าปีแต่เขาจำได้ไม่เคยลืมว่าคนตรงหน้าเป็นใคร แม้จะไม่ได้ผูกพันแต่กลับรู้สึกเสียใจ เหตุใดสตรีที่เพรียบพร้อมถึงขายวิญญาณให้กับมารโลหิตกลืนกินได้ ดวงตาที่เหนือมนุษย์ทำให้มองเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน แม้ราตรีนี้จะมืดสลัวมีเพียงแสงจันทร์ทอให้เห็นบางเบาเท่านั้น แต่หัวใจกลับรับรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่มารดาที่ตนรู้จักอีกต่อไป
         

           “อี้เอ๋อร์” น้ำเสียงห่วงใยของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองเล็กน้อยใบหน้าเรียบเฉยทว่าดวงตาเย็ยเยียบราวกับน้ำแข็ง
     

           “นางมิใช้มารดาข้าอีกต่อไป ท่านวางใจเถิด” 
       

           “สังหารให้หมด!!!”
           

           คำสั่งสะเทือนฟ้าดังก้องทั่วค่ายพร้อมเงาดำมากมายปรากฏตัวขึ้นด้วยความเร็ว ลั่วเหยียนเจิ้งแสยะยิ้มกระบี่ในมือเรืองแสงก่อนจะพุ่งเข้าหาน้องสิบที่บัดนี้มิใช่พี่น้องอีกต่อไป!
         

           ตูม!!
         

           พลังลมปราณสีขาวนวลปะทะกับสีแดงฉานอย่างรุนแรง ความเร็วของทั้งคู่ทำให้เห็นเป็นเงาเลือนลางเท่านั้น กระบี่สองเล่มฟาดฟันกันอย่างดุเดือดจนเป็นประกายไฟออกมาอย่างน่ากลัว ทั้งคู่พุ่งเข้าหากันอย่างหนักหน่วงต้นไม้รอบบริเวณหักโค้นล้มลงเป็นแนวทางของกระบี่ กระโจมหลายหลังถูกไฟเผาไหม้พร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่าสนมที่หาเรื่องตายเร็วมากขึ้น แม้บริเวณโดยรอบจะฆ่ากันดังผักปลาทว่าบรรยากาศด้านหน้ากระโจมหลังใหญ่กับเย็นเยือกจนอุณภูมิรอบบริเวณต่ำลง
         

            หลิ่วเหวินอี้มองสตรีร่างบอบบางตรงหน้าอย่างนิ่งงัน ทว่าไอสังหารที่แผ่ออกมาไม่ได้ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย ใบหน้างดงามของนางเรียบเฉยไร้ความรู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ ทว่าแรงกดดันที่แผ่ออกมานับว่าไม่ธรรมดา
         

            เคร้ง!!
         

            หลิ่วเหวินอี้ยกมีดสั้นหยินขึ้นมาต้านรับกระบี่สีโลหิตที่แผ่ไอมารออกมาอย่างรวดเร็ว พลังโจมตีที่รุนแรงทำให้ถอยหลังรองเท้าครูดลึกลงไปตามทางถึงสามก้าว!
       

             เคร้ง เคร้ง เคร้ง
         

             หลิ่วเหวินอี้พลิกร่างตวัดกระบี่หยางฟาดฟันตอบโด้วยความเร็วที่เหนือกว่าทว่าร่างบอบบางมิได้กระจอกหลบการโจมตีและวัดกลับมาอย่างทันท่วงที มือกำมีดสั้นหยินหยางอาวุธประจำกายแน่นขึ้นพร้อมอัดพลังลมปราณมากขึ้นเป็นเจ็ดส่วน พุ่งเข้าหาร่างนั้นอย่างว่องไว
           

            เคร้ง!
     

          ตูม!
       

            ทั้งคู่ถอยห่างกันไปไกลกว่าหนึ่งเมตร ดวงตาที่ไร้แววกลับประกายวางอย่างขึ้นมาก่อนจะเลือนหายไป ทว่ากิริยาแม้เพียงเล็กน้อยหลิ่วเหวินอี้ยังมองเห็นได้ชัดเจน ดวงตาเขามองเห็นเส้นใยสีแดงดังโลหิตผูกมัดกับร่างบอบบางเอาไว้
         

             หุ่นเชิด!
       

           นั่นเป็นความคิดที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจ ใบหน้างดงามฉายแววเคร่งเครียดแม้เขาสู้คนตรงหน้าก็ไม่อาจจะชนะได้เพราะนี่เป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้นแล้วผู้ใดเป็นคนควบคุม!
     

             “หลวนซาน” หลิ่วเหวินอี้ร้องเรียกองค์รักษ์ข้างกายที่ยังฟาดฟันศัตรูอยู่ไม่ไกลนัก เพียงชั่วครู่เจ้าตัวก็มาปรากฏตัวตรงหน้า มองสตรีที่ยืนอยู่ไม่ห่างอย่างระวัง หลวนซานไม่ใช่คู่ของนางแต่สามารถถ่วงเวลาให้เขาได้
       

           “ถ่วงเวลาให้ข้า”
         

            หลวนซานไม่ได้มองนายน้อยแต่จ้องมองคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมารดาคุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้าไม่วางตา นางพยายามฆ่าลูกในไส้มาสองครั้งแล้วแต่ดวงตาที่ไร้แววคู่นั้นทำให้ต้องระวังตัวมากขึ้น
         

          “ขอรับ”
       

            หลิ่วเหวินอี้มองทั้งคู่อีกครั้งก่อนจะทะยานมองไปตามเส้นสายใยที่ผูกร่างของสตรีที่ขึ้นชื่อว่าแม่ไว้ ระหว่างทางเขาต้องหลบการโจมตีและฆ่าฟันคนที่ขวางทางไปตลอดเส้นสาย จนกระทั่งมาหยุดตรงหน้าบุรุษผู้หนึ่งในอาภรณ์สีดำที่มองด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าผ้าดีเส้นไหมสีทองที่ถักทอลายพยัคฆ์ยิ่งขับให้คนผู้นี้ดูยิ่งใหญ่ทว่า ใบหน้าปกปิดด้วยหน้ากากพยัคฆ์จนไม่อาจเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้
         

           “ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนหาข้าเจอด้วย” น้ำเสียงที่ราบเรียบทว่าเขาจำน้ำเสียงนั้นได้ดีและไม่อาจลืมได้ หลิ่วเหวินอี้หัวใจกระตุกอย่างแรงมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา คนที่ทำตัวไร้สะระไปวันๆ และพูดจาไร้แก่นสาร คนที่เขาคิดว่าไม่ได้เป็นภัยกลับอันตรายกว่าผู้ใด ไม่คิดว่าสายตาจะมองพลาดไปมากมายเช่นนี้
         

          “หลิ่วเชวี่ยนไป๋เหตุใดถึงเป็นท่าน” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามอย่างระวังกระชับมีดในมืออย่างระวัง เขาคิดว่าตัวเองแสดงละครได้ดีแต่กลับมีมืออาชีพยิ่งกว่าตน!
         

           “ผิดหวังหรือน้องสี่ที่เป็นข้า แต่เจ้าเองก็ทำให้ข้าแปลกใจเหมือนกัน”
         

           “พี่รองท่านต้องการอะไร” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามร่างโปร่งตรงหน้าที่ยืนนิ่งสงบเหมือนดังภูผาอย่างไม่เข้าใจเหตุใดต้องฝึกตนเป็นมารและยังตบตาผู้คนได้อย่างหมดจด
       

            “ข้าจะทำสิ่งใดต้องมีเหตุผลด้วยหรือ” หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ากับคำตอบ บรรยากาศรอบกายเงียบสงบ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงจิ้งหรีด เขาตามร่องรอยมาไกลจากผู้คนมากพอสมควร ดวงตาเรียวมองหลิ่วเชวี่ยนไป๋อย่างครุ่นคิด ก่อนจะถอนใจยาวเพราะไม่ว่าด้วยเหตุผลใดคนตรงหน้าก็คงไม่ถอนตัว
       

           “ไม่ต้องมองหาสิ่งใดกับข้าหรอกน้องสี่ มาร่วมมือกับข้าเถอะแล้วเจ้าจะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ต้องโดนผู้ใดดูหมิ่นเหยียดหยาม มาร่วมสร้างนิกายมารฟ้าให้ยิ่งใหญ่กำจัดพรรคธรรมะเสียให้หมดสิ้น” หลิ่วเหวินอี้มองตอบนิ่งๆ แววตาที่เปร่งประกายความหิวกระหายอำนาจของพี่ชายจอมเสแสร้งทำให้เขานิ่วหน้าอย่างเคร่งครึม
         

            “พี่รองท่านทำร้ายมารดาข้าเช่นนี้ ยังคิดจะให้ร่วมมือด้วยอีกหรือ”
       

            “หากเจ้าหมายถึงสตรีผู้นั้น นางตายตั้งแต่สิบปีที่แล้วสิ่งที่เจ้าเห็นก็เพียงหุ่นเชิดข้าเท่านั้น” หลิ่วเหวินอี้มองพี่รองที่ใจดีผิดปกติ เหตุใดถึงอธิบายให้เขาฟังอย่างง่ายดาย ก่อนจะกัดฟันแน่นเมื่อสัมผัสบางสิ่งกำลังเลื้อยเข้ามาหาเส้นสายโลหิตสีแดงฉานขยับเหมือนสิ่งมีชีวิต
       

             ฉัวะ!!
       

           มีดสั้นหยินหยางตวัดหมุนรอบกายอย่างทันท่วงที หลิ่วเชวี่ยนไป๋หรี่ตามองอย่างแปลกใจไม่คิดว่าเส้นสายที่ควบคุมจิตวิญญาณของโลหิตกลืนกินจะถูกตัดขาดสะบั้นได้ง่ายดายเช่นนั้น และนับว่าแปลกที่น้องชายร่วมบิดามองเห็นมัน
     

            “คิดจะควบคุมข้าหรือ” น้ำเสียงเย็นนิ่งและไอสังหารรุนแรงที่แผ่ออกมาจากน้องสี่ซึ่งไม่เคยเปิดเผยความสามารถมาก่อนกลิ่นไอที่ไม่ธรรมดาทำให้มันมองตามอย่างระวัง อสรพิษสีแดงตัวเขื่องในอกเสื้อเลื้อยออกมามองหลิ่วเหวินอี้ ดวงตาสีเขียวของมันมองศัตรูตัวจ้อยอย่างหวาดหวั่น กลิ่นไอที่คุ้นเคยและกักขังมันมานับพันปี ทำให้มันอดที่สั่นด้วยความหวาดหวั่นไม่ได้ หลิ่วเชวี่ยนไป๋มองอสรพิษตัวนี้อย่างแปลกใจเนื่องจากไม่เคยเห็นมันหวาดกลัวสิ่งใดมาก่อน เหตุใดถึงได้กลัว
       

          ฟ่อ ฟ่อ~~~
     

        หลิ่วเหวินอี้สะบัดมือพุ่งมีดสั้นหยินพุ่งเข้าหาอสรพิษแดงตัวเขื่องบนร่างพี่ชายด้วยความเร็ว สัญชาตญาณร้องเตือนว่าสิ่งที่อันตรายคืออสรพิษแดงตัวนี้ อีกทั้งลมปราณจิ้งจอกเดือดพร่านเหมือนดังเจอศัตรูคู่อาฆาต ก่อนหน้านั้นแค่รู้สึกไม่น่าไว้ใจทว่าเวลานี้เพียงเห็นสิ่งมีชีวิตตรงหน้าก็ได้รับคำตอบทันทีว่าเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งปวง อสรพิษแดงตัวนี้เป็นผู้ควบคุมเกมไว้ทั้งหมด!
       

           ตูม!!
       

           หลิ่วเชวี่ยนไป๋พลิกกายหลบด้วยความเร็วพื้นที่ที่เคยอยู่เป็นหลุมลึกกว้างอย่างน่าตกใจ หากไม่ได้รับการเตือนจากอสรพิษแดงตัวนี้มันคงหลบไม่พ้น
   

          “นี่คงเป็นคำตอบของเจ้า”
         

           “ข้าไม่มีสิ่งใดต้องตอบท่าน ในเมื่อข้ากับท่านเลือกคนละเส้นทางย่อมไม่มาบรรจบกันอยู่แล้ว” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งเข้าหาร่างของพี่ชายอีกครั้ง
       

            เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
         

           เงาร่างสองสายพุ่งฟาดฟันกันอย่างรวดเร็วจนเกิดแสงวูบวาบผ่านตาเท่านั้น ร่างโปร่งสีดำรวมตัวเข้าหากับอสรพิษแดงเหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน ดวงตาสีดำที่เคยมีชีวิตกับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งโลหิต มุมปากแต่งแต้มรอยยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะสยดสยองดังก้องทั่วหุบเขา
   

            “ฮ่าๆๆ ฟางเทียนฟง ข้าต้องฆ่าเจ้าให้ได้ ไม่คิดว่าเจ้าจะอ่อนแอลงมากถึงเพียงนี้เป็นโอกาสของข้าจริงๆ ฮ่าๆๆ” น้ำเสียงแหบแห้งที่เปลี่ยนไปของพี่ชายไม่ได้ทำให้หลิ่วเหวินอี้แปลกใจหากคิดเป็นมารก็ต้องถูกควบคุมร่างอยู่แล้วเพียงแต่คาดไม่ถึงว่าหลิ่วเชวี่ยนไป๋จะให้ผู้อื่นควบคุมร่างตัวเองง่ายดายเช่นนี้
     

            หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้สนใจว่ามันจะเห็นเขาเป็นผู้ใด กระชับมีดสั้นที่บรรจุพลังลมปราณแปดส่วนพุ่งเข้าหาศัตรูตรงหน้าอย่างรวดเร็ว การต่อสู้ครั้งนี้หากตนพ่ายแพ้นั่นหมายถึงความตาย แม้ชีวิตนี้จะถูกหักหลังและทรยศมามากแต่อย่างไรเขาต้องไม่ตาย เขาจะไม่มีวันให้จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์เป็นพ่อหม้ายและคอยสำราญกับสตรีอื่นเป็นแน่!
     

         “อยากตายก็เข้ามา!”







             หวานละมุมไม่กี่บทก็เลือดสาดอีกแล้ว สาบานได้ว่านี่คือนิยายรักโรแมนติก^^

             ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเสมอมาเหลืออีก3บทก็จบเรื่องอีกแล้ว รู้สึกใจหายไม่น้อย เรื่องเล่ห์ร้ายจอมราชันย์มี 1 เล่มจบ เรื่องจึงสั้นกว่าเล่ห์รักเทวาสวรรค์ นิยายที่ลงให้อ่านในเว็ตยังเป็นไฟล์ดิบมากไม่ได้แก้คำผิดและขัดเกลาภาษา อ่านติดขัดต้องขอโทษด้วยนะคะ ส่วนตอนพิเศษ 5 บทเจอกันในเล่มเหมือนเดิมค่ะ ขอบคุณที่ยังติดตามแล้วพบกันใหม่จ้า จุ๊บๆ



ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
ฮาตรงที่ไม่ยอมให้สำราญกับหญิงอื่นเป็นแน่~~ :hao7:

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ปริศนาช่างลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก//ปาดเหงื่อ :m29: :m29:

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
ดุเดือดเลือดพล่านกันเลยทีเดียว

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
มีหวงด้วย ไม่ยอมตายด้วยเหตุนี้นี่เองพระสนมหยางกุ้ยเฟย 55555

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ SaJung13

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1057
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
เรานึกว่านิยายแอคชั่น มันส์มากเลย
รอตอนต่อไปจ้าลุ้นใจจะขาด

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ถ้าคนเขียนลงทุนสาบาน เราก้อจะเชื่อ ว่ามันเปนเรื่อง รักโรแมนติก ค่ะ  o22

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PRINCESSPRIME

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mc4:   :mc4:
ติดตามมาจาก  'เล่ห์รักเทวาสวรรค์' (เพิ่งอ่านจบหมาดๆ)
เมะชนเมะ เป็นอะไรที่.... :z1:

ปล.วิ่งไปไล่อ่านให้ทันแปป  :katai5:

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
 
      เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
       บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสิน (P.10วันที่ 24/7/59)   



         ตูม!!!
       

         เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
         

         เงาร่างสีขาวและสีแดงฟาดฟันกันอย่างรุนแรง พลังลมปราณที่อัดแน่นด้วยความบริสุทธิ์ปะทะพลังสีแดงฉานที่มีไอมารเต็มเปี่ยมจนเกิดแรงปะทะอันดุเดือด พื้นที่โดยรอบเกิดเป็นหลุมบ่อและไฟลุกไหม้ตามเส้นสายของกระบี่สองเล่มที่พุ่งผ่าน
     

            ฉัวะ!!
       

            ลั่วเหยียนเจิ้งตวัดกระบี่ในมือโจมตีเงาร่างสีแดงด้วยความเร็ว พลังลมปราณผนึกเข้ากับกระบี่หยกขาวถึงแปดส่วน ดวงตาคมมองศัตรูตรงหน้าเย็นเยียบ
         

            “เมฆเคลื่อนมังกรบิน” ลั่วเหยียนเจิ้งเรียกชื่อวิชาออกมาแผ่วเบาทว่าพลังที่แผ่ออกมานั้นทำให้หลิงเซียวถอยหลังไปสามก้าว พลังที่พุ่งออกมาเป็นมังกรตัวใหญ่ที่แผ่อำนาจออกมาจนร่างสั่นสะท้านความกดดันทำให้มันไม่อาจเคลื่อนกายหนีไปได้ง่ายๆ
         

           เปรี้ยง!!!
         

           พื้นที่โดยรอบเกิดเป็นหลุมลึกและสะเก็ดไฟที่เผาไหม้ต้นไม้ราบเป็นหน้ากอง ร่างสีแดงที่เคยสง่างามและเย่อหยิ่งดำไปด้วยเขม่าควัน ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลแต่กลับไม่ตายอย่างที่คาดหวัง โลหิตที่ไหลจับกันเป็นกลุ่มก้อนรวมตัวเป็นกระบี่โลหิตในมือ เงาร่างสีแดงพุ่งเข้าลั่วเหยียนเจิ้งด้วยความเกรี้ยวกราด
         

            เคร้ง!
       

             ลั่วเหยียนเจิ้งยกกระบี่รับแรงปะทะอย่างทันท่วงที มือหนารู้สึกชาเล็กน้อย ดวงตาคมกริบหรี่ตามองน้องชายร่วมสายโลหิตที่อึดเกินมนุษย์ใบหน้าคมคายแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะตวัดกระบี่ตอบโตด้วยความเร็วมากขึ้น
       

            ฉัวะ!
       

           แผ่นอกของหลิงเซียวอาบย้อมไปด้วยโลหิตคมกระบี่กรีดเป็นทางยาวอย่างน่ากลัว ทว่าใบหน้างดงามทอประกายเกรี้ยวกราดโกรธแค้น พุ่งเข้าหาอย่างไม่มีกระบวนท่า
       

          “ตายยย!”
         

           เคร้ง เคร้ง
         

            ฉัวะ!!
     

          ลั่วเหยียนเจิ้งเอนกายหลบคมกระบี่ได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งตั้งรับและตอบโต้จนเงาร่างสีแดงกระเด็นถอยห่างออกไปไกล ทว่าเขาไม่หยุดเพียงแค่นั้นผนึกลมปราณลงในกระบี่เพื่มขึ้นอีกหนึ่งส่วนและดึงอำนาจที่แท้จริงของกระบี่มาใช้อย่างต่อเนื่อง
       

         เปรี้ยง!
       

         ตูม!!
       

           พลังสองสายปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้งอย่างต่อเนื่องเงาร่างสองสีพุ่งผ่านด้วยความเร็วจนมิอาจมองได้ทัน ทว่าหากใครมองเห็นภาพนี้ได้ชัดเจนจะรู้ว่าลั่วเหยียนเจิ้งกำลังได้เปรียบแม้จะมีบาดแผลามร่างกายแต่นับว่าน้อยกว่าหลิงเซียวมากโข
         

           ฉัวะๆ ๆ
         

            อึก...
         

           ร่างโปร่งในอาภรณ์สีแดงซึ่งอาบย้อมไปด้วยโลหิตเริ่มโงนเงนด้วยความเหนื่อยล้า พลังอำนาจของลั่วเหยียนเจิ้งมิอาจดูดายได้จริงๆ ครั้งที่แล้วอาจเพราะประมาทตนไปทำให้รอดชีวิตไปได้ แต่ครั้งนี้เห็นทีคงยากนัก ที่จะมีชีวิตรอด ทว่าใบหน้างดงามกลับยกยิ้มเบาบาง มีชีวิตแล้วอย่างไร ตายแล้วอย่างไร เขามองไม่เห็นความต่างแม้แต่น้อย ชีวิตที่ไร้ความหมายจะจบลงวันไหนก็มีค่าเท่ากัน     
       

           “ย้อมแพ้เถิดหลิงเซียว ทำเช่นนี้ไปเจ้าจะได้ประโยชน์อันใด” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยบอกเสียงเรียบมองร่างโปร่งที่ยืนแทบไม่ไหวด้วยสีหน้านิ่งเฉย ทว่าในใจกลับรู้สึกปวดร้าวกี่ครั้งแล้วที่เขาต้องสังหารพี่น้องร่วมสายโลหิต บัลลังก์ที่นั่งต้องแลกมาด้วยกี่ชีวิต แม้ไม่อยากได้แต่ก็ไม่อาจฝืนลิขิตสวรรค์ทอดทิ้งชาวประชาให้โดนข่มเหงได้
       

          “ได้สิพี่ชาย มีคนผู้หนึ่งบอกข้าว่าอำนาจจะทำให้ผู้คนยอมสยบแก่ข้าและไม่มีใครกล้าดูถูกข้าอีกและอำนาจนั้นก็คือบัลลังก์เลือดที่ข้าเกียจนักหนานั่นไงละ”
       

           คำตอบของน้องชายทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งถอนหายใจอีกครั้ง สุดท้ายก็ไม่พ้นความโลภกระหายอำนาจแม้เหตุผลจะต่างกันกับพี่น้องคนอื่น ทว่าสุดท้ายผลลัพท์ก็เหมือนกัน เขาหลับตาลงข่มขวามเจ็บปวดไว้ในอกผนึกลมปราณลงกระบี่อีกครั้ง
         

           ลั่วเหยียนเจิ้งลืมตาขึ้นอีกครั้งทว่าครั้งนี้ดวงตากลับเย็นเยียบไร้ซึ่งความปราณีอีกต่อไป เงาร่างสีขาวพุ่งเข้หาร่างสีแดงที่ผนึกพลังมารออกมาอีกครั้ง
       

           ฉัวะ!!
       

        เคร้ง เคร้ง เคร้ง....
     

         สองร่างฟาดฟันกันอย่างรุนแรงจนพื้นดินสั่นสะเทือนอากาศรอบตัวสั่นไหว ทหารที่อยู่รอบกายต่างกระโดดหลบถอยห่างจากรัศมีการโจมตีของทั้งคู่พลังการทำลายล้างน่ากัวจนไม่อาจยื่นมือไปเกี่ยวข้องได้นอกจากกำจัดมดปลวกที่อยู่รอบกายเท่านั้น เงาอสูรทหารลับของต่างปะทะกับเหล่าพวกมูซออย่างรงดเร็วเช่นกันขณะเดียวกันกลุ่มอสรพิษแดงที่ร่วมมือกับเผามูซอต้องรับมือกับอีกาดำด้วยความเคร่งเครียดเราะฝีมือแต่ละคนนับว่าเป็นตัวอันตราย!
       

           ทว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟผ่านไปสองชั่วยามที่มีการโจมตีกันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ นอกจากความตายเท่านั้น เผ่ามูซอแม้จะเป็นเผ่าที่ควบคุมเหล่าภูตผีทว่าถูกการลอบสังหารของเหล่าอสูรก็ดับดิ้นเป็นใบไม้ร่วงเช่นกัน ส่วนอสรพิษแดงก็ต่างจากเผ่ามูซอฝีมือของเหล่าอีกาดำไม่อาจนิ่งดูดายได้
         

          เซี่ยจวินเองก็ไม่ได้ดูดีนักเมื่อคู่มือของเขาคือมู่ฉีอีกาหมายเลขหนึ่งที่ฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าตน ร่างกายของทั้งคู่อายย้อมไปโลหิตทว่าแรงใจในการสังหารนั้นมันมากจนอาจล้มลงได้ง่ายๆ เงาสองร่างพุ่งเข้าหากันอย่างต่อเนื่อง
         

          เปรี้ยง...

       

           อึก...
       

           หลิงเซียวเบิกตากว้างมองกระบี่หยกขาวที่เสียบทะลุกลางหัวใจความเจ็บปวดโถมเข้าหาจนร่างทรุดลงกับพื้นดินที่เป็นหลุมน้อยใหญ่ ร่างกายอาบย้อมไปด้วยโลหิตพลังลมปราณถูกทำลายจนขาดสะบั้น กระบี่หยกขาวที่ดูธรรมดาบัดนี้กลบเรืองรองและทำลายอำนาจแห่งมารลงอย่างง่ายได้ ดวงตาสีแดงก่ำเหมือนโลหิตหายไปเหลือเพียงดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่เดิม ขอบตาที่เคยดำคล้ำเนื่องจากสูบไอมารมาหายไป ร่างกายอ่อนปวกเปียกเหมือนไร้เรี่ยวแรง เสียงหอบหายใจถี่ๆ จนดูน่าเวทนา
       

           ลั่วเหยียนเจิ้งกระชากกระบี่ออกมองร่างของน้องชายที่พร้อมจะดับสลายไปทุกลมหายใจ กระบี่ในมือแสดงอำนาจของมันอย่างแท้จริง กระบี่เทพที่ไว้สังหารมารของอดีตเทพปราบมารฝู่ซานอาจารย์เพียงหนึ่งเดียวเวลานี้มันได้ทำหน้าที่หลังจากที่ถูกกักไว้ในแดนลี้ลับมานานหลายปี เขามองร่างที่อ่อนแอเปาะบางของน้องชายเป็นครั้งสุดท้ายลมหายใจที่กระตุกแรงทำให้รู้ว่าสิ้นใจแล้ว เขาหลับตาลงด้วยความรู้สึกมากมาย ก่อนจะเหม่อมองท้องฟ้าอยากเอ่ยถามสวรรค์ว่าเขาทำอันใดผิดถึงต้องสังหารพี่น้องตัวเองครั้งแล้ว... ครั้งเล่า...
       

          ลั่วเหยียนเจิ้งเรียกสติตัวเองกลับมาอีกครั้ง เขาไม่มีเวลามาอาลัยอาวรณ์พี่น้องร่วมสายโลหิตเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้หลิ่วเหวินอี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาพรากคนรักเขาอันเด็ดขาด! เงาร่างสีขาวพุ่งไปหาคนในดวงใจด้วยความเร็วตามความรู้สึกที่สัมผัสได้ ใบหน้าคมคายนิ่วหน้ามองเส้นทางที่รับรู้สิ่งผิดปกติอย่างเคร่งเครียด
     

          ตูม!!!
     

         ลั่วเหยียนเจิ้งมองเงาร่างสีขาวกับสีดำซึ่งปะทะกันอย่างรุนแรงจไม่มีช่อว่างให้แทรกเข้าไปได้ ดูจากสภาพตอนนี้เหมือนอาวุธของหลิ่วเหวินอี้จะเสียเปรียบอีกฝ่ายเอามาก ทว่าพลังที่เอ่อล้นออกมาก็ไม่ได้ด้อยกว่าศัตรูและเหมือนจะมากกว่าด้วยซ้ำ
       

         เปรี้ยง!!
       

        กระบี่สีแดงฉานปะทะกับมีดสั้นหยินหยางอย่างรุนแรงอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้อาวุธธรรมดาไม่อาจต่อต้านอาวุธมารได้ สองร่างกระเด็นถอยห่างไปไกลกว่าสามเมตรแต่ละคนมีโลหิตซึมออกมาจากมุมปาก ทว่าดวงตากลับเย็นเยียบไม่ได้หวาดหวั่นกับศัตรูแม้แต่น้อย
       

         ลั่วเหยียนเจิ้งอาศัยจังหวะนี้พุ่งเข้าไปหาคนรักด้วยความเป็นห่วงเพราะอาวุธที่ถือแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะทนรับพลังของหลิ่วเชวี่ยนไป๋ไม่ไหว เขายื่นกระบี่หยกขาวให้คนรักอย่างไม่ต้องคิดอันใดมาก ทว่าทันทีที่หลิ่วเหวินอี้จับกระบี่หยกขาวมันกลับแยกออกมาเป็นกระบี่สองเล่ม ทั้งคู่มองตากันอย่างแปลกใจเพราะมันเกินคาดหมาย ทว่าหลิ่วเชวี่ยนไป๋กลับมองตามอย่างเคร่งเครียดแม้กระบี่ที่แยกออกมาจะคล้ายกันแต่กลับมีพลังเท่าเทียมกัน ความหวาดกลัวก่อเกิดขึ้นในใจ
       

          ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนรักด้วยสายตาล้ำลึกก่อนจะพุ่งเข้าหาศัตรูพร้อมเพรียงกัน สองร่างประสานกระบี่กันได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนร่วมมือกันต่อสู้มาเนิ่นนาน การสอดประสานทั้งรุกและรับของทั้งคู่ทำให้หลิ่วเชวี่ยนไป๋ตอบโต้ไม่ทันร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลอีกทั้งพลังเทพปราบมารในตัวกระบี่ทำให้อาจฟื้นฟูกำลังได้
         

           ฉัวะ!!
       

         เปรี้ยง!
     

         ร่างสีดำกระแทกลงพื้นด้วยความเร็วเมื่อรับกรโจมตีของทั้งคู่ไม่ไหว พลังมารถูกดึงมาใช้ครั้งแล้ว ครั้งเล่าทว่าพลงที่โอบล้อมเอาไว้นั้นเหนือกว่าตนมาก ดวงตาสีแดงฉานมองทั้งคู่ด้วยความโกรธเกรี้ยว โลหิตที่ไม่อาจรวมตัวเพิ่มพลังของตัวเองได้ยิ่งทำให้มันอาฆาตแค้น
       

           ตูมตูม...
     

          กระบี่หยกขาวสองเล่มพุ่งฟาดฟันร่างที่พยายามหลีกหนีด้วยความเร็วการสอดประสานกันเป็นหนึ่งเดียวยิ่งเรียกอำนาจของกระบี่ได้เต็มที่
     

             ฉัวะ!!
       

          อ๊ากกกกก~
       

           “ไม่ข้าจะไม่ยอมตาย!” หลิ่วเชวี่ยนไป๋ตะโกนก้องอย่างไม่ยอมแพ้ร่างกายถุกมารกลืนกินจนหมดตัวจากร่างมนุษย์เริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นอสรพิษสีแดงตัวใหญ่หางยาวกว่าห้าเมตรทว่าส่วนบนคล้ายมนุษย์ทว่ามันไม่ใช่หลิ่วเชวี่ยนไป๋ที่พวกเขารู้จักอีกต่อไป!
       

            หลิ่วเหวินอี้มองภาพตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด ดวงตาทอแสงสีทองออกมาอย่างประหลาดร่างกายอบอวนไปด้วยพลังหลังจากจับกระบี่หยกขาวร่างกายเขารู้สึกมีพลังที่มากล้นขึ้นมากอย่างน่าประหลาด ก่อนจะเหลือบมองลั่วเหยียนเจิ้งทีมีบาดแผลน้อยใหญ่เต็มร่างทว่าพลังชีวิตยังคงไม่ได้จางหายไปความรู้สึกที่ร่วมกันต่อสู้มันทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย ดวงตาคมกริบหันมาสบตาเขาอีกครั้งก่อนที่จะยกยิ้มที่มุมปากคล้ายรู้ใจกัมาเนิ่นนาน
       

           สองร่างพุ่งเข้าหามารตรงหน้าด้วยอย่างคล่องแคล่ว การโจมตีสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวของทั้งคู่ทำให้อสรพิษแดงหงุดหงิดและเกรี้ยวโกรธ พลังสามสายที่ปะทะกันอย่างรุนแรงแม้กระทั้งต้นไม้น้อยใหญ่หักโค้นลง เส้นทางที่กระบี่วาดผ่านต่างโล่งเตียนอย่างน่าหวาดกลัว
       

           เคร้ง เคร้ง เคร้ง
         

           ฉัวะ...
         

            ผ่านไปครึ่งชั่วยามที่ทั้งสามปะทะกันอย่างดุเดือด เวลานี้พื้นที่โดยรอบเงาอสูรและอีกาดำล้วนกำจัดได้หมดแล้วเหลือเพียงหัวหน้าใหญ่ตัวการสำคัญที่กำลังถูกฟาดฟันจนร่างกายขาดไปหลายท่อนแต่ก็ยังไม่ยอมตาย พวกเขาต่างมองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนกเกิดมาไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตเช่นนี้มาก่อน แต่ที่ทำให้พวกเขาต่างชื่นชมคือพลังการทำลายล้างของเจ้าเหนือหัวและพระสนมที่คว้าหัวใจจอมราชันย์อย่างลั่วเหยียนเจิ้งได้
     

            “จะชนะไหม” หลวนซานเอ่ยถามหยางซือหมิงกับกวงไห่อย่างกังวลวันนี้ตัวเองก็แทบไม่มีชีวิตรอดหากไม่ได้สองคนนี่มาช่วยเหลือ เขาติดหนี้บุญคุณสองคนนี้อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ มือหนาของหยางซือหมิงลูบหัวเขาแผ่วเบาแต่กลับทำให้ใจสั่นอย่างผิดปกติ
       

           “ต้องชนะสิ ฝ่าบาทไม่เคยแพ้ใครมาก่อนอีกอย่างตอนนี้ทั้งคู่ร่วมมือกันอยู่เราต้องเชื่อใจเจ้านายสิ” แม้จะได้คำปลอบโยนแต่เขาก็ยังไม่ไว้ใจเพราะศัตรูตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาใบหน้าที่ออกไปทางหวานหันไปมองเจ้าของมือหนาที่กุมมือตนไว้แน่น ดวงตคมกริบมองมาเงียบๆ โดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดทว่ามันทำให้จิตใจเขาสงบนี่เป็นวิธีการปลอบโยนของกวงไห่ใช่หรือไม่
         

           “หืม...ยังมาทันแฮะ” หลวนซานหันไปมองคนมาใหม่อย่างตกใจ ลู่เฟยอดีตองค์ชายห้าและจิวชงหยวนหมอเทวดาผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกล
     

           “ไปจัดการได้แล้ว เดี๋ยวโอรสสวรรค์ก็เดี้ยงก่อนหรอก” จิวชงหยวนหันไปบอกลู่เฟยผู้เป็นสามีซึ่งเป็นถึงเทพปราบมารทว่าทำตัวย็นชาจนออกจะเฉื่อยไปหมด การปรากฏตัวครั้งนี้เพราะไอมารแผ่ออกมารุนแรงมากเกินไป
   

            “ให้ทั้งคู่ออกแรงบ้างก็ดีไม่น้อย ฝีมือจะได้ไม่ตก” จิวชงหยวนกรอกตามองสามีตัวเองอย่างระอาหันไปมองการต่อสู้เบื้องหน้าทีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ได้ห่วงสองคนนั่นมากมายหรอก ทว่าที่หุบเขาแห่งนี้มันมีสมุนไพรเยอะแต่ตอนนี้ถูกทำลายจนเป็นภูเขาหัวโนหมดแล้ว!
     

             ตูม!!!
   

           หลิ่วเหวินอี้มองศัตรูตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด มันเป็นแมวเก้าชีวิตหรืออย่างไรตัดหางออกมาสี่ท่อนแล้วยังไม่ตาย ตอนนี้พลังที่ดึงมาใช้จนแทบจะหมดเกลี้ยงแล้ว ใบหน้างดงามแม้จะดูเย็นเบือกทว่าเวลานี้กลับมีเหงื่อไหลซึม มองคนที่ร่วมต่อสู้ก็มีสภาพไม่ต่างกันอาจเพราะทั้งคู่เป็นเพียงคนธรมดาถึงไม่อาจเอาชนะมารตรงหน้าได้ง่าย
       

           “พวกเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้กับจอมมารที่มีตบะมากกว่าพันปีหรอก แม้มันจะโดนฟางเทียนฟงกักขังไว้มากกว่าห้าร้อยปีแต่มันไม่ได้นิ่งดูดายดูดซับพลีงชีวิตของมนุษย์ที่หลงเข้าไปใกล้มันมาเป็นพลังของตัวเองตลอด” หลิ่วเหวินอี้หันไปมองคนที่มาใหม่รัศมีสีทองที่แผ่ออกมาจากร่างดูน่าเกรงขามทว่าเขากลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว กลับกันดวงตาของเขากลับทอประกายมากขึ้นจนต้องยกมือเตะดวงตาทั้งสองข้างของตนเองไว้ จึงไม่ไดเห็นรอยยิ้มล้ำลึกของเทปราบมารผู้นี้
         

            ลั่วเหยียนเจิ้งมองมาใหม่ด้วยความแปลกใจแต่ความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาทำให้ถอนใจยาว คนตรงหน้าไม่ใช่น้องห้าที่เขารู้จักอีกแล้ว มือหนาจับมือคนรักถอยออกมา ต่อไปนี้ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขาที่ต้องปราบมาร แต่เป็นคนตรงหน้าต่างหาก ไม่คิดว่าความฝันเมื่อสามปีก่อนที่ได้ไปร่วมงานแต่งงานลู่เฟยกับจิวชงหยวนบนทรวงสวรรค์จะเป็นความจริง
         

           เปรี้ยง!
       

          อ๊ากกกกกก
         

            เพียงแค่สะบัดมือมารร้ายตรงหน้กลับกรีดร้องออกมาและดิ้นรนอย่างทุรนทุราย ร่างกายที่หลอมลวมจากโลหิตถูกไฟเผาไหม้อย่างรวดเร็ว แม้จะพยามดิ้นรนถอยหนีก็ยังทำไม่ได้
       

            หลิ่วเหวินอี้มองภาพตรรงหน้าอย่างตื่นตะลึง พวกเขาพยายามฆ่ามันแทบตายกลับทำไม่ได้ แต่นี่เพียงแค่สะบัดมือเพียงครั้งเดียวกลับทำให้ศัตรูพ่ายแพ้อย่างหมดรูป สองมือกำเข้าหากันแน่นด้วยความหวาดหวั่น ลู่เฟยไม่ใช่มนุษย์และไม่ใช่มารแต่ว่าจะเป็นใครนั้นไม่อาจรู้ได้ แต่มันทำให้ดวงตาเขาเห็นภาพทุกอย่างชัดเจนมากขึ้นเหมือนถูกกระตุ้น
       

          “จบเรื่องเสียที”
         

           ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวเสียงเรียบมือซ้ายยังจับมือคนรักเอาไว้แน่น กระบี่ที่แยกกันเวลานี้มารวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว แม้เรื่องนี้จะสงสัยทว่ากระบี่นี้เป็นของอาจารย์มันย่อมมีความลับมากมายอยู่แล้ว
       

            หลังจากกำจัดมารและศัตรูได้อย่างหมดจดลั่วเหยียนเจิ้งก็ได้กลับมาที่วังหลวง การปราบกบฏในครั้งนี้ศูนย์เสียทหารมือดีไปหลายคน และบาดเจ็บสาหัสอีกนับสิบคนแต่ยังดีมีจิวชงหยวนไปช่วยในครั้งนี้ทำให้รอกตายกันได้ แต่ที่ทำให้ลั่วเหยีนเจิ้งกัวลในครั้งนี้กลับเป็นเรื่องของพระสนมกุ้ยเฟยหมู่ตานองค์หญิงจากแคว้นโจวที่เอาชีวิตตัวเองมาปกป้องเพ่ยอวี้จนบาดเจ็บสาหัส แม้บาดแผลจะถูกรักษาได้แต่เจ้าตัวกลลับยังไม่ฟื้นขึ้นมาและหากนางเป็นอะไรไปอาจเกิดสงครามระหว่างแคว้นก็เป็นได้
       

            “คงต้องรออีกสักระยะดูอาการของนางไปก่อน” จิวชงหยวนเอ่ยบอกเสียงเรียบไม่ได้ร้อนใจแต่อย่างไรเพราะมันเคยมีกรณีนี้เหือนกันจะฟื้นหรือไม่ขึ้นอยู่จิตใจคนไข้เอง
       

           “เหตุใดนางถึงปกป้องเพ่ยอวี้” ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปถามน้องชายที่ยืนเงียบขรึมไม่พูดไม่จามาสักระยะ ดวงตาคู่คมฉายแววอ่อนล้าออกมาเล็กน้อย
       

            “กระหม่อมเคยหนีไปเที่ยวข้างนอกและพบนางที่กำลังหนีพวกนักฆ่าจึงได้ช่วยเอาไว้ ไม่คิดว่านางจะจำได้อีกครั้งตอนนั้นกระหม่อมยังเล็กไม่ได้คิดเป็นบุญคุณอันใด”
       

            “นางชอบเจ้า” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามเสียงเรียบกลับทำให้ร่างโปร่งของเพ่ยอวี้สะดุ้งด้วยความตกใจพร้อมหลบสายตาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
       

           “กระหม่อมไม่กล้า เสด็จพี่อย่าทรงกริ้ว” หลิ่วเหวินอี้กอดอกมองสองพี่น้องที่จ้องกันจับผิดกันอย่างระอา แค่สนมคนเดียวจะมาผิดใจกันหรืออย่างไร ทำไมเขารู้สึกหงุดหงิดอย่างนี้
         

          “ห่วงนางมากหรือไม่” น้ำเสียงเย็นเยือกมาจากคนงามที่กอดอกมองลั่วเหยียนเจิ้งด้วยสายตาเย็นชาทำให้คนถูกมองสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะยกยิ้มบาง
         

           “อี้เอ๋อร์เจ้าอย่างเพิ่งหึง ใจของเจิ้นมีแต่เจ้าจะห่วงนางมากกว่าเจ้าได้อย่างไร”
       

            แค่กๆๆ
         

           คำพูดหวานหูและดวงตาทอประกายที่เปลี่ยนเป็นคนละคนของฮ่องเต้ ทำให้คนที่อยู่ภายในห้องสำลักน้ำลายตัวเอง ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความอายสองคนนั่นจะหวานไม่ดูสถานการณ์เอาเสียเลย
         

        “พวกข้าขอตัวกลับไปพักผ่อนดีกว่า ไว้พวกเจ้าตกลงกันได้แล้วค่อยคุยกันอีกนะ” จิวชงหยวนออกความเห็นซึ่งทุกคนภายในห้องพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พร้อมเดินออกจากห้องกันอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะเพ่ยอวี้ที่เร้นกายหายไปเร็วกว่าเพื่อน
     

            ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้าน้องชายเขาไปเรียนวิชาท่าเท้าท่องนภามาจากไหน หนีได้เร็วเกินไปแล้ว ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเห็นสายตาเย็นเยียบของหลิ่วเหวินอี้ ร่างสูงเดินไปกอดร่างคนงามอย่างออดอ้อนพร้อมคำพูดเดียวที่ทำให้คนเย็นชาใจอ่อนลงยวบ
       

           “เจิ้นรักเจ้าคนเดียวจริงๆ นะ”

 

 

 

      ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยนะคะที่หายไปหลายวัน ยอมรับว่าฟางเฟลจริงๆ ไม่อยากลงนิยายเลยก็ได้งานที่ฟางตั้งใจเขียนกับไปปรากฏในนิยายของคนอื่น! การที่นิยายฟางเป็นแรงบันดานใจในการเขียนนิายของคุณฟางดีใจที่ทำใหเกิดจินตนาการได้ แต่ฟางขอร้อง ได้โปรดอย่าลอกนิยายฟางไปเลย ฟางเขียนด้วยรักและลงให้อ่านด้วยหัวใจ แต่ฟางไม่อาจทิ้งนักอ่านที่น่ารักอีกหลายๆ ท่านได้ จึงได้กลับมาลงให้อ่านตามปกติ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ทำให้ฟางได้พบความสุขมากมายและประสบการณ์ที่ดีตลอดมา เหลืออีก 2 บทก็จบอีกเรื่องแล้ว! ใครที่พบนิยายที่คล้ายกับของฟางสามารถแจ้งฟางได้เสมอนะคะ ขอบคุณมากจ้า

ปล. นักอ่านที่น่ารักอยากอ่านเรื่องอะไรเป็นเรื่องต่อไป

1. เทพสายลมสะท้านพิภพ (จีนโบราณสายปกติไม่มีนางเอก)

2. จ้าวยุทธภพเจ้าสำราญ (จีนโบราณสายฮาเร็ม Yaoi)

3. มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ (จีนโบราณYaoi แนวสงครามระหว่างแคว้น)

4. บันทึกรักขันทีวังบูรพา (จีนโบราณ Yaoi)

 

ปล.2 ฟางมีกิจกรรมครบรอบ1ปีที่อยู่ด้วยกันมาให้เล่นค่ะ สามารถเข้าไปเล่นได้ที่แฟนเพจนะคะ

 

 

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
อยากอ่านหลิ่งเหวินต่อคะ ค้างมานานแล้วววววววว :katai2-1:

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ SaJung13

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1057
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
สู้ๆนะคะ เจอคนก๊อปก็แจ้งบลอกไม่ได้หรอคะ จัดการไปเลย
ส่วนเราชอบแบบที่1.เทพสายลมสะท้านพิภพ แต่ขอให้มีนายเอกได้คะ อยากได้แบบหวานๆ ชิลๆบ้าง

ออฟไลน์ yupa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
อยากอ่านจ้าวยุทธภพเจ้าสำราญให้จบก่อน เพราะตามอยู่ รอมาต่อค่ะ

แต่ชื่อเรื่องมู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ อันนี้ก็น่าอ่าน

แล้วแต่นักเขียนแต่งเลยค่ะ อ่านทุกเรื่องค่ะ

เป็นกำลังใจให้นะคะ สำหรับเรื่องที่โดนขโมยความคิด สู้ๆค่ะ

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
คุณฟางเขียนนิยายดีมากจริงๆๆๆ

อย่าเพิ่งทิ้งกันน๊าาา

เค้าจะคอยติดตาม เป็นแฟนคลับติดขอบสนามตลอดไปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปป :mew1: :mew1: :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
เราตามมาตั้งแต่หมอจิว คุณฟางเขียนดีมากค่ะ ภาษาสลวย อ่านแล้วเข้าใจง่าย ปกติไม่อ่านนิยายจีนเลยเพราะชื่อจำยากแล้วหลายๆเหตุการณ์จะทำให้งง แต่พอได้อ่านผลงานของคุณแล้วมันปลื้มปริ่มมากค่ะ ชอบแนวนี้เลยสิ สู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆค่ะ

การที่มีคนมาลอกนิยายเราก็คิดเสียว่านิยายเราดี เขาจึงอยากลอกนิยายเราค่ะ

และนิยายที่เราเป็นคนแต่งขึ้นมาเองถ้ามีคนลอกไป ก็ควรเอาเรื่องให้ถึงที่สุดค่ะ

นิยายแต่ละเรื่องกว่าจะแต่งออกมาได้ก็ใช้เวลา ต้องหาแรงบันดาลใจในการแต่ง

แล้วการที่มีคนลอกของเราไปง่ายๆเป็นสิ่งไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งค่ะ

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ puchi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 762
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-5
สนุกมากค่ะ รอติดตามนะคะ

สู้ๆค่ะ

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เซ็งแทนเลยค่ะ
อยากอ่านเรื่องขันทีค่ะ แปลกดีค่ะ

ออฟไลน์ hereg407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หลวนซาน หยางซือหมิง กวงไห่     3P เลยไหม 
อร๊ายยย   :-[  :-[

ออฟไลน์ yupa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้า(P.10วันที่ 29/7/59)






          หลังจากผ่านวันวุ่นวายไปหนึ่งเดือนทุกอย่างจึงได้กลับมาสู่สภาพเดิมอีกครั้ง ไม่มีศัตรูหรือพี่น้องที่จะแย่งชิงอำนาจ เวลานี้ลั่วเหยียนเจิ้งเหลือพี่น้องเพียงแค่สามคนเท่านั้นหากไม่นับคนที่ตัดขาดไปแล้วอย่างเช่นองค์ชายเก้าและองค์ชายห้า เวลานี้ผู้ที่รับใช้ราชวงศ์อย่างแท้จริงจึงเหลือองค์ชายเจ็ดลั่วหวังอู๋ องค์ชายสิบเอ็ดมู่เหรินและสุดท้ายองค์ชายสิบห้าเพ่ยอวี้เท่านั้น
     

        นับตั้งแต่การลอบสังหารของหลิงเซียวในครั้งนั้น ทำให้พระสนมกุ้ยเฟยหมู่ตานนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราถึงหนึ่งเดือนและด้วยความดีความชอบที่ปกป้องว่าที่องค์รัชทายาทจึงได้มอบอิสระให้ตามคำร้องขอ เวลานี้นางจึงได้ตำแหน่งองค์หญิงคืนมาและพักอยู่ในวังหลวงในฐานะแขก ซึ่งทางฮ่องเต้แคว้นโจวไม่ได้ตำหนิอันใดเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะแผนการขององค์หญิงที่ต้องการตอบแทนบุญคุณเพ่ยอวี้ จึงได้ใช้วิธีนี้เข้ามาอยู่ในวังหลวงลั่วหยางแทน อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้แคว้นโจวกับลู่เฟยและจิวชงหยวนนั้นดีต่อกันเสมอมาจึงไม่ได้เก็บมาให้ขุ่นพระทัย
       

        ทุกอย่างเหมือนจะราบรื่นหลังจากผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ลั่วเหยียนเจิ้งคิดว่าพระสนมรักอย่างหลิ่วเหวินอี้จะไม่กล้าไปไหนแล้ว แต่ที่ไหนได้ ตอนนี้เมียเขาหายไปเหลือทิ้งไว้จดหมายฉบับหนึ่งเท่านั้น เมื่อคืนสอนบทเรียนรักให้เมียรักจนสลบคาอกแทบขยับไมได้ ทว่าช่วงสายกลับหายไป! บทรักที่ร้อนแรงเมื่อคืนนี้เป็นสิ่งหลอกล่อให้เขาตายใจ น่าเจ็บใจนักคนที่เจ้าเล่ห์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเขาก็คืออี้เอ่อร์
       

         “ฝ่าบาทไม่ไปตามพระสนมหรือพ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงเอ่ยถามอย่างวิตกกังวล เวลานี้ฮ่องเต้กลับนั่งอ่านฏีกาอย่างเคร่งเครียดทั้งๆ ที่สนมรักหายไป
       

          ลั่วเหยียนเจิ้งนั่งเงียบ ในมือยังถือจดหมายแปกปลอมที่วางทับกับฏีกาไว้แน่นแล้วถอนหายใจเมียก็ห่วงงานก็ห่วง แต่หลังจากที่อ่านฏีจดหมายฉบับนี้แล้วทำให้อารมณ์หงุดหงิดดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะปรายตามององครักษ์ตัวเองเล็กน้อยแล้วเอ่ยดักคออย่างรู้ทัน
       

          “ที่ร้อนรนอย่างนี้พวกเจ้าห่วงเมียข้าหรือว่าห่วงกวางหนุ่มตัวนั้นกัน”
       

         “เอ่อ...ฝ่าบาทพวกกระหม่อมก็ห่วงพระสนมสิพ่ะย่ะค่ะ ไม่รู้หายไปไหนหากกลับไปนิกายมารฟ้าจะโดนรังแกหรือไม่ ฝ่าบาททรงเข้าใจผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงร้อนรนของหยางซือหมิงทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคออย่างรู้ทันก่อนจะอ่านจดหมายในมืออีกครั้ง
         

         “เคลียร์งานของท่านให้เรียบร้อย ข้าจะรออยู่นิกายมารฟ้าหากต้องการให้ข้าอยู่เคียงข้าจริงๆ ท่านพี่คงรู้ว่าต้องทำอย่างไร ขอเตือนว่าท่านพ่อข้าเจ้าเล่ห์ไม่น้อยไปกว่าท่านระวังจิ้งจอกเฒ่าจะลอบกัดด้วย หลิ่วเหวินอี้”
       

         ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มมุมปากคล้ายเห็นเรื่องสนุก กว่าจะได้ครอบครองหลิ่วเหวินอี้ก็หลอกล่อจนเหนื่อยยังจะมีจิ้งจอกเฒ่ามาขัดขวางความรักเขาอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเขาจะแสดงให้รู้ว่าต่อให้เจ้าเล่ห์เพียงใดก็ต้องพ่ายให้กับเขาให้จงได้ สองมือพับกระดาษไว้ในอกเสื้อและเริ่มทำงานอย่างจริงจัง ในเมื่อเมียรักรออยู่จะชักช้าไม่ได้
         

         “รอเจิ้นก่อนนะอี้เอ๋อร์”
 
       

          หลิ่วเหวินอี้กลับมานิกายมารฟ้าหลังจากหายไปเกือบครึ่งปี เวลานี้นิกายมารดูเงียบเหงามากเนื่องจากการหายตัวไปของพี่รองหลิ่วเชวี่ยนไป๋ แม้เขาจะรู้ดีว่าเพราะเหตุใดแต่เขาไม่จำเป็นต้องมาอธิบายให้ใครฟัง ทว่าการกลับมาครั้งนี้กลับเห็นภาพแปลกประหลาด ดวงตาเรียวสวยมองดูสองร่างที่กำลังแง่งอนต่อกันภายในเรือนดอกท้อของตนเอง ใบหน้างดงามที่เหมือนตัวเองไม่มีผิดเพี้ยนกำลังหงุดหงิดโมโหมู่ฉีดูแล้วก็แปลกตาเพราะโดยปกติเขาไม่เคยมีกิริยาแบบนั้นมาก่อนนอกช่วงหลังๆ ที่รู้สึกหงุดหงิดบ่อยเพราะราชภูตในหัวเมืองจะส่งผู้หญิงมาถวายให้ลั่วเหยียนเจิ้ง
         

         “นายน้อย ข้าว่ามันแปลกๆ นะขอรับ” หลวนซานที่ยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยออกมาเสียงเบา หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มมุมปากนิดๆ อาจจะแปลกจริงๆ ก็ได้ นี่คงเป็นสาเหตุที่มู่ฉีมีกิริยาแปลกไปจากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน เหมือนเด็กที่ทำความผิด แต่เขาสงสัยว่ามู่ฉีจะหลงรักจั่วเหรินในร่างของเขาหรือว่ารักจั่วเหรินจริงๆ เท่านั้นเอง
         

           “จั่วเหรินข้าขอโทษ ยกโทษให้ข้านะ”
         

           “ไม่ ไปให้พ้น”
         

           “แต่เจ้าเป็นเมียข้านะจะให้ข้าไปไหน”
         

          “ใครเมียเจ้าอย่าพูดให้มั่ว เดี๋ยวจะมีคนเข้าใจนายน้อยผิดไป เจ้าคนใจโลเลไปให้พ้นข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า”
       

           “ข้าชอบเจ้าจะให้ข้าไปที่ใดกัน”
         

           “ฮึ อย่าหลอกตัวเองเลย เจ้าชอบนายน้อยหาใช่ข้าไม่”
       

            หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองการสนทนาของทั้งคู่แล้วส่ายหน้า หน้าต่างมีหูประตูมีช่องแต่ทั้งคู่โต้เถียงกันอยู่ในสวนดอกท้อโจ้งแจ้งแบบนี้ชื่อเสียงของเขาไม่หายไปก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ร่างโปร่งกระโดดลงจากต้นไม้ลงไปหาทั้งคู่อย่างเงียบงัน ทั้งคู่มองมาที่ตนด้วยความตกใจ
       

           “ข้ากลับมาแล้วไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว” หลิ่วเหวินอี้บอกจั่วเหรินเสียงเรียบ ก่อนจะปรายตามองมู่ฉีอย่างเย็นชาจากสิ่งที่ได้ยินก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร
         

          “ขอรับ” จั่วเหรินตอบกลับเสียงเบาก่อนจะเดินเร็วกลับไปยังห้องของตน ความร่าเริงของอีกฝ่ายเหมือนจะหายไปเพราะไข้ใจจากที่ดูก็พอรู้ว่าจั่วเหรินรู้สึกอย่างไร เรื่องนี้ทั้งคู่เป็นคนในปกครองของตนเองแต่เรื่องของความรักเขาไม่อาจยื่นมือไปยุ่งเกี่ยวได้



       

           “พิสูจน์ตัวเองว่าเจ้ารักจั่วเหรินจริงๆ มิใช่เห็นเขาเป็นตัวแทนของข้า”
           

            “ขอบคุณนายน้อย ข้าเข้าใจแล้ว” มู่ฉีตอบรับด้วยความโล่งใจก่อนจะเร้นกายจากไปเมื่อเห็นเจ้านายโบกมือไล่
       

            “นายน้อยจะใจดีไปหรือเปล่าขอรับ” หลวนซานเดินเข้ามาหาอย่างไม่เห็นด้วย       
       

            “ไม่หรอกข้าเข้าใจพวกเขา” หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มบางแล้วส่ายหน้าเบาๆ สองมือไขว่หลังเดินไปยังตึกใหญ่ซึ่งมีท่านพ่อที่แสนจะเจ้าเล่ห์อยู่ที่นั่น ความเคลื่อนไหวของเขาอีกฝ่ายคงจะพอรู้ไม่มากก็น้อย ในเมื่อปิดไม่มิดก็เปิดเผยไปเลยแล้วกัน...
           
       

           ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีขาวเนื้อดีปักดิ้นด้วยไหมทองงดงามลายหงส์ซึ่งคนธรรมดาไม่อาจมีไว้ครอบครองได้ ทว่าเวลานี้กลับอยู่นเรือนร่างสูงโปร่งของคุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้าผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นฝ่ายอธรรม เหล่าลูกศิษย์น้อยใหญ่ที่ฝึกซ้อมวิชาอยู่ลานกลางของนิกายต่างหันไปมองนายน้อยผู้ซึ่งถูกเรียกขยะทางเดียวกัน ความสง่างามและรัศมีเจิดจ้ากว่าครั้งไหนที่เห็น ร่างกายที่ผู้คนบอกว่าไม่เอาไหนกลับสร้างความกดดันให้ผู้พบเห็นอย่างน่าตกใจ
         

           “นั่นคุณชายสี่หรือ” หนึ่งในนั้นเอ่ยถามสหายคล้ายกับละเมอ คุณชายสี่ที่พวกมันรู้จักไม่ย่างกายเข้ามาทางตึกใหญ่ โดยเฉพาะลานฝึกของนิกายมารฟ้า อีกทั้งช่วงนี้ได้ข่าวว่าป่วยไข้เก็บตัวอยู่แต่เรือนดอกท้อแล้วเหตุใดวันนี้ถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
       

           และคนที่แปลกใจไม่ได้มีเพียงแค่ลูกศิษย์เท่านั้น หลิ่วโอวหยางที่มาดูการฝึกซ้อมของเหล่าลูกศิษย์วันนี้ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นสูงมองบุตรชายคนที่สี่อย่างประหลาดใจ มุมปากยกขึ้นคล้ายยิ้มและไม่ยิ้มมองดูความเปลี่ยนแปลงของบุตรชายอย่างใคร่สงสัย วันนี้เหตุใดจึงเผยความจริงที่ปิดบังซ่อนเร้นมาสิบกว่าปีออกมาให้ผู้อื่นพบเห็น ก่อนจะหรี่ตามองเสื้อผ้าที่บุตรชายสวมใส่ซึ่งคนธรรมดาคงไม่มีไว้ครอบครองเสื้อผ้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเชื่อพระวงศ์!
       

          “เหวินอี้คำนับท่านพ่อ”
       

            หลิ่วเหวินอี้ยกมือคำนับบิดาที่จ้องมองตนอย่างเงียบงัน สายตามากมายหยุดลงที่เขาแต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาใส่ใจแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวมองผ่านไปยังหลิ่วเหวยจวงกับหลิ่วเมิ่งซุนซึ่งอยู่ข้างกายบิดา ดวงตาคมของทั้งคู่มองมาที่เขาคล้ายประหลาดใจ
     

          “ชนะข้าให้ได้ ก่อนที่คิดจะออกจากนิกายมารฟ้า” หลิ่วเหวินอี้นิ่งอึ้งไป เขาไม่ได้ต้องการที่จะออกจากนิกายมารฟ้าเลยเพียงแค่อยากเป็นอิสระเท่านั้น ที่นี่เป็นที่แห่งแรกที่ลืมตาขึ้นมาในโลกแห่งนี้แม้มันไม่ได้อบอุ่นอย่างที่ควรจะเป็นแต่มันมีความผูกพันธ์ไม่น้อย
   

            คำพูดของประมุขทำให้เหล่าลุกศิษย์ฮือฮาราวกับผึ้งแตกรัง มองดูคุณชายสี่ที่ไร้ประโยชน์ ไม่อยู่ในสายตาพวกมัน วรยุทธอ่อนด้อยมีแค่ความงามเท่านั้นที่เหนือกว่าผู้อื่น อีกทั้งนิสัยเย่อหยิ่งเย็นชาไม่เห็นหัวผู้ต่ำกว่าทำให้พวกมันเกียจชังนายน้อยสี่เข้ากระดูกดำ และคำยั่วยุจากคุณชายสามทำให้ไม่มีใครเข้าไปใกล้แม้แต่คนเดียว เพราะอาจจะเดือดร้อนอย่างไม่รู้ตัว วันนี้พวกมันได้ยินคำพูดของประมุขนิกายมารฟ้าเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น คุณชายสี่ที่วรยุทธอ่อนด้อยจับกระบี่แทบไม่เป็นจะชนะท่านประมุขได้อย่างไร น่าขำสิ้นดี!
       

            “ตกลง” หลิ่วเหวินอี้ตอบรับเสียงดังเมื่อพิจารณารูปแบบประโยคและแววตาห่วงใยของอีกฝ่ายออกแม้เพียงชั่วครู่แต่เขากลับมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน “ดวงตาทิพย์” นั่นคือสิ่งที่ลู่เฟยเคยบอกไว้ดวงตาของเทพพยากรณ์ที่หายตัวไปหลายพันปี เรื่องราวแต่หนหลังเขาไม่ได้เอ่ยถามเพราะคิดว่าอยู่ปัจจุบันดีกว่า เขาเคยเจ็บและจมปรักอยู่กับอดีตจนไม่มีความสุข ทว่าต่อไปนี้ไม่ใช่อีกแล้ว เพราะเขายังมีคนต้องคอยดูแลและปกป้อง
     

            “หาเรื่องตาย” หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้ใส่ใจคำพูดของพี่ใหญ่ แต่เดินไปยังลานประลองพร้อมหยิบกระบี่ในนั้นมาหนึ่งเล่ม แม้มันไม่ได้คุณภาพแต่ก็พอแก้ขัดไปได้ ตอนนี้เขาไม่มีอาวุธประจำกายหลังจากมันแตกหักไปแล้ว
       

            “เหวยจวงไปเอาดาบวงเดือนและกระบี่จันทราในห้องเก็บอาวุธมา” คำสั่งของประมุขพรรคทำให้คนฟังต่างตื่นตระหนกเพราะกระบี่ทั้งคู่ถือว่าเป็นศาสตร์ตราวุธที่สำคัญของพรรคมีแต่ผู้ถูกเลือกเท่านั้นถึงจะได้ครอบครอง
     

            “ขอรับ” แม้จะไม่เต็มใจแต่ก็มิอาจขัดคำสั่งบิดาได้ ผ่านไปหนึ่งเค่อเหวยจวงก็มาพร้อมกับศาสตร์ตราวุธ หลิ่วโอวหยางรับทั้งคู่มาก่อนจะทยานลงไปกลางเวทีซึ่งบุตรชายคนที่สี่รออยู่
       

           “เจ้าต้องการใช้สิ่งใด” หลิ่วเหวินอี้มองศาตร์ตราวุธทั้งคู่ที่อยู่เคียงคู่นิกายมารฟ้ามาช้านาน ก่อนจะเลือกกระบี่จันทราแม้มันใช่กระบี่เทพเหมือนของลั่วเหยียนเจิ้งแต่มันก็เป็นกระบี่ที่ดี
     

           “ทำไมคุณชายสี่ถึงได้โง่เขลาเช่นนั้น”
     

           “หาเรื่องตายหรือยังไงคนที่ไม่เคยจับกระบี่จะสู้ประมุขได้อย่างไร”
       

           “พวกเจ้าพูดถูกแค่ชนะคุณชายสามให้ได้ก่อนเถอะ”
       

            “เงียบ!”
     

         คำสั่นที่ดังก้องทั่วลานประลองอัดแน่นไปด้วยลมปราณทำให้ลูกศิษย์ที่นินทาดูถูกคุณชายสี่ต่างพากันเงียบกริบร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
       

           หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้เดือดร้อนใจกับเสียงนกเสียงกาที่กำลังดูถูกตนเอง เขากลับรู้สึกชื่นชอบเสียอีกเพราะพวกมันล้วนประมาทและต้องรับความพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย แต่คนที่ไม่ได้ดูถูกศัตรูอย่างเช่นบิดานั่นถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัว เขาลองตวัดกระบี่กับอากาศไปมาจนรู้สึกคุ้นมือ
       

           “เข้ามา”
         

            หลิ่วเหวินอี้มองร่างสูงสง่าดั่งภูผาของบิดาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ความแข็งแกร่งของบิดาคือของจริงประมุขนิกายมารฟ้าไม่ได้มาเพียงแค่ชื่อ เขายกมือคารวะตามธรรมเนียมผู้น้อย ก่อนจะพุ่งเข้าหาร่างของหลิ่วโอวหยางด้วยความเร็ว
         

           ร่างสีขาวเคลื่อนกายพุ่งเข้าหาประมุขนิกายมารฟ้าด้วยเร็วจนแทบมองตามไม่ทัน ทำให้ผู้คนรอบข้างต่างมองตามอย่างตกตะลึง พวกมันกำลังฝันไปใช่ไหม ความเร็วขนาดนั้นคนที่ไร้ประโยชน์จะทำได้เช่นไร
       

           เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
       

           กระบี่สีดำสนิทปะทะเข้ากับดาบวงเดือนที่โค้งยาวเป็นวงกลมล้อมร่างประมุขหลิ่วโอวหยางไว้ ความเร็วที่โจมตีและตอบโต้ทำให้ทุกคนต่างตื่นตระหนก โดยเฉพาะหลิ่วเหวยจวงบุตรชายคนโตที่ไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง น้องสี่ของมันมีวรยุทธและไม่ได้ต้ำช้าแม้แต่น้อย หมายความว่าที่ผ่านมาหลิ่วเหวินอี้ปกปิดความจริงมาโดยตลอด แต่ทำเช่นนั้นทำไมในเมื่อถูกตราหน้าว่าเป็นขยะ
       

            เปรี้ยง!!!
     

           พลังสองสายปะทะกันอย่างรุนแรง สองร่างถอยห่างจากกันไปสามก้าวหลิ่วโอวหยางมองบุตรชายด้วยรอยยิ้มมุมปาก เป็นอย่างที่คิด เจ้าเด็กนี้ร้ายกาจแต่อย่างไรก็ยังเป็นแค่เด็กน้อย ดวงตาคมเบิกกว้างอีกครั้งเมื่อร่างของบุตรชายเคลื่อนกายเข้ามาด้วยความเร็วจนเกิดภาพลวงตา สองมือตวัดกระบี่ตอบรับและตอบโต้ด้วยคามเร็ว
       

            ตูม!
       

            ทว่ากลับช้าไปหนึ่งก้าว ร่างประมุขนิกายมารฟ้ากระเด็นถอยห่างไปอีกเจ็ดก้าว ดวงตาคมหรี่มองบุตรชายที่ก้าวเท้าบางอย่างจนเกิดภาพลวงตามันเป็นวิชาอันใดในนิกายไม่เคยมีวิชาเช่นนี้มาก่อน
       

            เคร้ง เคร้ง เคร้ง
         

           หลิ่วเหวินอี้ก้าวเท้าสลับกันไปมาด้วยความเร็วเพื่อให้เกิดภาพลวงตา และยังใช้พลังลมปราณของจิ้งจอกวิชาอาคมที่ฝังลึกเข้ามาในใจเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายจึงทำให้ไม่อาจแยกออกได้ว่าร่างไหนจริงร่างไหนคือภาพหลอก
         

          เปรี้ยง!
     

        ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เหล่าลูกศิษย์ต่างมองตามอย่างโง่งม นี่มันเกิดอะไรขึ้นคนที่ไร้ประโยชน์สามารถทำให้ประมุขก้าวถอยหลังได้ ที่สำคัญพลังโจมตีมันไม่ใช่ต่ำอีกทั้งมากมายกว่าพวกมันเสียอีก ใบหน้าแต่ละคนอ้าปากค้างอย่างตะลึงอีกทั้งเบิกตากว้างขึ้นมากกว่าเดิม เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่เห็นมันคือความจริงไม่ใช่เพราะความเข้าใจผิด
     

          สองร่างโรมรันฟันแทงกันอย่างดุเดือด พลังลมปราณที่น่าหวาดกลัวกระจายทั่วอากาศ ความกดดันทำให้เหล่าคนดูต่างถอยห่างออกไปไกลสามเมตรเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง พื้นลานประลองแตกร้าวจนกระทั่งยุบลงไม่หลงเหลือเค้าเดิม ทว่าสองร่างที่ฟาดฟันกันนั้นไม่อาจมองด้วยตาเปล่าได้เพราะความเร็วของวรยุทธขั้นสูงและพลังวัตรที่เอ่อล้นจนยากที่จอมยุทธธรรมดาจะมองตามได้ทัน
     

           เปรี้ยง!
         

            หลิ่วโอวหยางตอบโต้บุตรชายได้อย่างดุเดือดแม้จะฟาดฟันไปยังเงาร่างลวงตาบ้างแต่ด้วยความเร็วที่ตวัดดาบวงเดือนกลับมาทันทำให้ไม่ได้รับคมกระบี่จันทรา แต่เมื่อหลายครั้งเข้าจึงได้พลาดท่าเสียทีจนได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ซ้าย ความสามารถของหลิ่วเหวินอี้ช่างน่าหวาดหวั่นและน่าภูมิใจเสียดายที่เจ้าตัวไม่โลภมากในอำนาจแต่ถึงกระนั้นก็ยังได้อำนาจที่เหนือกว่าชาวยุทธภพ
       

            “ท่านพ่อท่านคงไม่ได้ออกแรงมานาน วิชาท่านคงไม่ขึ้นสนิมหรอกใช่หรือไม่” หลิ่วเหวินอี้มองร่างที่ได้รับบาดเจ็บอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย จึงได้แสร้งเอ่ยถามเพื่อไว้หน้าให้กับบิดา เขาคงเอาชนะประมุขนิกายมารฟ้าไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นแล้วคนตรงหน้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดลูกศิษย์จะเคารพอยู่เช่นเดิมหรือไม่ แม้ไม่ได้ผูกพันธ์แต่อย่างไรจิ้งจอกเฒ่าก็ยังเป็นบิดาบังเกิดเกล้า
     

            “เจ้าชนะแล้วเหวินอี้” หลิ่วเหวินอี้มองหน้าบิดาที่ไม่ได้มีใจสู้ต่ออาจเพราะเห็นผลลัพท์ที่จะตามมา เขายกมือคารวะแล้วเอ่ยตอบเสียงเรียบ
     

           “ขอบคุณท่านพ่อที่ออมมือ”
       

           “เอาเถิดเรื่องนี้ไปคุยกันในห้องหนังสือแล้วกัน” หลิ่วโอวหยางเดินมาตบไหล่บุตรชายพร้อมเดินนำไปยังห้องสมุด
   

            สองร่างที่เดินจากไปนั้นดูสง่างามน่าเกรงขาม การประลองเมื่อครู่ดูก็รู้ว่ายังออมมือ แต่สิ่งที่ทำให้พวกมันไม่อยากเชื่อคือคุณชายสี่ไม่ใช่ขยะอีกต่อไป พลันใดนั้นข่าวลือของคุณชายสี่หลิ่วเหวินอี้ต่างร่ำลือไปไกลทั่วแคว้นว่ามีวรยุทธล้ำเลิศสามารถต่อสู้กับบิดาได้อย่างทัดเทียม จากคุณชายเจ้าสำราญชอบทำตัวไร้ค่ากับเป็นคุณชายน้อยมากความสามารถเพียงชั่วข้ามคืน ข่าวลือนี้ยังมีต่อไปอีกเนิ่นนาน บ้างก็ใส่สีตีไข่จนบัดนี้คุณชายสี่กลายเป็นผู้วิเศษไปเสียแล้ว...



         ขอบคุณทุกกำลังใจมากนะคะ อีกหนึ่งตอนก็จบแล้ว ฟางมีกิจกรรมแจกหนังสือเรื่องเล่ห์รักเทวาสรรค์ในหน้าแฟนเพจตามไปเล่นได้ค่ะ แล้วพบกันใหม่ค่าาา :bye2: :bye2: :bye2:








ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2

คุณชายสี่ไม่กระจอกนะคะ อึ้งไปเลยละสิ 5555
รีบไปรับอี้เอ๋อร์นะะะ

ออฟไลน์ apple32

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อี้เอ๋อ จะอยู่ในวังกับฝ่าบาทจริงๆแล้วใช่มั้ยยยยยยยยย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด