เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่16 ข้อแลกเปลี่ยน(P.4วันที่ 25/5/59)
ภายในคุกห้องใต้ดิน นักฆ่าผู้หนึ่งมีคราบเลือดเกรอะกรังไปทั่วทั้งร่าง บนกายเต็มไปด้วยแผลฉกรรจ์จนมิอาจมองเห็นผิวที่แท้จริงได้ ภายใต้คบไฟที่ส่องสว่างดูคล้ายคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง เหตุเพราะเขาเพิ่งผ่านการลงโทษโบยตีอย่างหนักหนาสาหัส
“พูดออกมาหรือไม่” น้ำเสียงนิ่งเรียบของผู้อยู่เหนือแผ่นดินดังขึ้นขณะก้าวเข้าห้องที่อับชื้นแห่งนี้ อาภรณ์สีเหลืองลายมังกรดูสง่างามและน่าเกรงขามลากยาวกับพื้นตามจังหวะก้าวเดิน นักฆ่าคนนี้เป็นคนเดียวกับที่ลอบสังหารลั่วเหยียนเจิ้งเมื่อครั้งก่อน หลังจากเบื่อหน่ายก็ให้องครักษ์เงานำตัวมาเก็บไว้ที่คุกมืดมิดในวังหลวงที่ยากจะเข้ามาได้ เพราะมันเป็นห้องลงทัณฑ์ที่ไว้ใช้สำหรับทรมานคาดคั้นเหยื่อซึ่งตั้งอยู่ใต้ดินในตำหนักตนเอง ทว่าแม้พยายามคาดคั้นนักโทษผู้นี้ก็ยังไร้ผลแม้จะผ่านมาหลายวันแล้วก็ตาม
“ข้าน้อยลงโทษอย่างหนักทุกวิธีทาง แต่มันหาได้ปริปากพูดออกมาไม่พ่ะย่ะค่ะ” ผู้คุมคุกเข่ารายงานอย่างจนปัญญาไม่ว่าคาดคั้นอย่างไรนักฆ่าผู้นี้ก็ไม่ปริปากอันใด ร่างนั้นถูกตรึงไว้กับเสาอย่างโรยแรงเต็มที แต่กลับไม่ปริปาก ข้างๆ กันเป็นร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าซึ่งถูกลากมาวันก่อน แต่เพราะลิ้นโดนตัดแต่มันก็ไม่ยอมปริปากและได้ตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว ไม่เหมือนนักฆ่าอีกคนซึ่งมีรอยสักแมงป่องที่ทนยาพิษสารพัดได้อย่างน่าฉงน
ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้ารับ ไม่ได้แปลกใจจากที่คาดไว้ ดวงตาคมมองนักฆ่าที่คาดว่ามีสองกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งซึ่งเป็นรอยสักแมงป่อง อีกกลุ่มเป็นนักฆ่าใบ้ที่ถูกตัดลิ้นหมดแล้วและยังถูกสลักคำว่าตายให้ เขามองพินิจร่างที่ไร้วิญญาณอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าทนพิษบาดแผลไม่ไหวแต่เหมือนมีบางอย่างควบคุมพวกมันเอาไว้เหมือนยาสั่งตาย แต่ว่าผู้ใดจะมีความสามารถผลิตยาได้เพียงนั้นหากไม่ใช่จิวชงหยวน แต่ว่าน้องสะใภ้คนงามเป็นคุณธรรมไม่น่าจะสร้างยาต่ำช้าเช่นนี้
“สังหารซะ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกเสียงเรียบ ทว่าคนที่เหมือนคนตายกลับยกยิ้มอย่างสมใจ ในที่สุดมันก็พ้นความทรมานเสียที
ลั่วเหยียนเจิ้งสะบัดชายผ้าจากไป ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคาดคั้นแต่ก็สามารถรู้ได้นักฆ่าสองคนมาจากคนละกลุ่ม ยอมตายแต่ไม่ยอมปริปากนับว่าผู้อยู่เบื้องหลังคงน่ากลัวกว่าเขาเป็นแน่ ดวงตาคมหรี่ตาอย่างครุ่นคิดขณะเดินออกจากคุกลงทัณฑ์
“ฝ่าบาทสนมจางหวงหลานสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่ก้าวเข้ามาในตำหนัก กวงไห่จึงได้เข้ามารายงานด้วยสีน้าเคร่งเครียด ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้าอย่างกังวล จางหวงหลานเป็นบุตรีของจางหูเตี๋ยขุนนางขั้นหนึ่งซึ่งเป็นพระญาติทางมารดาของลู่เฟย พวกมันกล้าทำเช่นนี้นับว่าอาจหาญนัก
“คราวนี้นางเป็นอะไรตาย”
“ตกสระบัวหลังตำหนักเย็นพ่ะย่ะค่ะ” คำตอบยิ่งทำให้ฉงน นางไปทำอะไรที่นั่น ลั่วเหยียนเจิ้งครุ่นคิดเดินไปนั่งจิบเหล้าหยกน้ำค้างดื่มอย่างเชื่องช้าพร้อมเอ่ยถามเสียงเรียบ
“แล้วสนมฉิงหลันเป็นเช่นไร”
“นางยังสุขสบายดีพ่ะย่ะค่ะ” คำตอบที่ได้รับไม่ได้เกินจากที่คาดเดา ตอนนี้มีการเคลื่อนไหวภายในวังหลวงขณะที่ลั่วหวังอู๋ กับมู่เหรินกำลังเดินทางกลับมา ใบหน้าคมคายคิ้วคมเฉียงกดลึกขณะครุ่นคิด มือแกว่งเหล้าไปมาอย่างเชื่องช้า มุมปากยกยิ้มเย็นเมื่อก่อนองค์ชายรองกับองค์ชายสามแผนการไม่ได้ลึกลับซับซ้อนถึงเพียงนี้ แต่นี่ทำให้เขามองไม่ออกว่าเป็นฝีมือของผู้ใดกันแน่ เขาอยากเห็นหน้าของผู้ที่อยู่เบื้องหลังแล้วสิว่าจะเป็นผู้ใด
“ฝ่าบาท ใต้เท้าจางมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เสียงนุ่มนิ่มของหลินกงกงหัวหน้าขันทีรายงานอยู่หน้าประตูห้อง ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งวางแก้วเหล้าในมือลงแล้วลุกขึ้นเดินออกไป เพราะมีเรื่องเดียวที่ทำให้จางหูเตี๋ยมาขอเข้าเฝ้า เขาถอดถอนใจ ใบหน้าอ่อนโยนเวลานี้แต่งแต้มด้วยความเศร้าสลด ดวงตาแดงระเรื่อเหมือนคนโกรธแค้นเจ็บใจที่ตนมิอาจช่วยชีวิตสนมรักไว้ได้
“ฝ่าบาทโปรดหาความเป็นธรรมให้พระสนมจางหวงหลานด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่ประตูเปิดออก ก็เจอร่างท้วมของจางหูเตี๋ยคุกเข่าก้มหน้าชิดพื้นอย่างอ้อนวอน
“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ว่าอย่างไรข้าต้องหาความเป็นธรรมให้พระสนมของข้าอยู่แล้ว” แม้เสียงจะราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์สะท้อนความเสียใจออกมา ยิ่งทำให้จางหูเตี๋ยรู้สึกซาบซึ้งพระทัยยิ่งนัก ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือใคร จะไม่ปล่อยชีวิตพวกมันไว้เป็นอันขาด
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนที่ก้มหน้าขอบคุณด้วยความซาบซึ้งด้วยรอยยิ้มนิดๆ ก่อนจะเดินไปยังตำหนักของสนมจางหวงหลาน แม้ตำหนักนี้จะไม่ได้ใหญ่โตแต่มีทุกอย่างที่สนมคนหนึ่งพึงจะมี เขามองดูศพที่ตายอย่างละเอียดทว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เมื่อถามความจึงได้รู้ว่าพระสนมคนนี้มีอาการเหม่อลอยในช่วงหลังๆ นางอาจถูกใครข่มขู่จึงคิดไม่ตก แต่เมื่อวันก่อนที่เขาเรียกพวกนางไปพบยังมีสีหน้าปกติดี
ลั่วเหยียนเจิ้งสั่งให้จัดพิธีศพให้อย่างสมเกียรติพร้อมมอบของปลอบใจให้ตระกูลจางอย่างที่ควร การตายของนางแม้จะยังเป็นปริศนาแต่คงอีกไม่นานที่พวกฆาตกรรมจะเปิดเผยตัวเอง ในเมื่อคิดทำการอุกอาจอย่างไม่กลัวความตาย คงจะอยู่อย่างสงบได้ไม่นาน
สองสามวันมานี้เหมือนมีแต่เรื่องวุ่นวายภายในวังหลวง เมื่อกลับมายังตำหนักหันไปมองทางตะวันออกกำลังมีการเริ่มก่อสร้างตำหนักเถาฮวา แม้จะเป็นที่คัดค้านจากหลายฝ่ายเพราะยังมีการตายของพระสนมในช่วงนี้ แต่เขาแสร้งอ้างว่าเป็นฮวงจุ้ยของนักพรตผู้หนึ่งที่จะขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายภายในวังหลวง เรื่องนี้จึงผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
“ฝ่าบาทองค์ชายลู่เฟยกับพระชายาจิวชงหยวนจะเสด็จมาวังหลวงอีกสามวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” คำรายงานจากองครักษ์เงาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มอย่างยินดี เพราะตั้งแต่เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้มาลู่เฟยกับจิวชงหยวนก็ไม่ได้มาที่นี่อีกเลย แค่คิดว่าจะได้ทานของอร่อยก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอีกเท่าตัวแล้ว
“บัวลอยไข่หวาน...”
องครักษ์เงาเหลือบมองเจ้าเหนือหัวอย่างอึ้งๆ ใบหน้าคมคายยกยิ้มอ่อนโยนไม่ใช่ว่ายินดีที่จะได้พบน้องชาย แต่กลับยินดีที่จะได้ทานบัวลอยไข่หวาน เอ่อ...ฝ่าบาทท่านน่าจะคิดถึงน้องชายพระองค์บ้างนะ องครักษ์เงาได้แต่คิดอย่างปลงตก ก่อนถอยหลังจากไปเมื่อหมดหน้าที่ของตน...
หลิ่วเหวินอี้นั่งกินนอนกินภายในห้องพักของตัวเองด้วยสีหน้านิ่งเฉย ทว่าในใจกลับรู้สึกอึดอัด ชีวิตที่นี่ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน หากอยู่นานไปเขาคงได้ตายเพราะความเบื่อหน่ายแน่ๆ ดวงตาเรียวคมมองสุราหยกน้ำค้างในมืออย่างชื่นชม มันหอมหวานรสชาตินุ่มคอ หากไม่ได้เป็นของหายากที่ดื่มได้เฉพาะวังหลวงเขาคงแอบนำสูตรไปขายในโรงเตี๊ยมหู่ผีอิงอู่ในเครือของกลุ่มวิหคดำแล้ว และคงมีสิ่งนี้เท่านั้นที่ช่วยให้รู้สึกอยากอยู่ต่อสักหน่อย
“หลวนซานมาเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
หลิ่วเหวินอี้บอกพร้อมเตรียมกระดานหมากล้อมไว้บนโต๊ะ หลวนซานเดินมานั่งตามคำสั่งอย่างว่าง่ายเพราะว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่มาเล่นเป็นเพื่อน หมากสีดำและขาวถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือกลับมีแขกเดินเข้ามาหา ไม่สิ ต้องเรียกว่าเจ้าของตำหนักถึงจะถูก เขาเหลือบมองใบหน้าคมคายซึ่งตอนนี้เคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย ข่าวการตายของพระสนมใช่ว่าเขาจะไม่รู้เพียงแต่คิดว่าไม่ใช่เรื่องของตนเอง จึงอยู่นิ่งๆไม่ได้สืบสาวความจริงแต่อย่างไร
“รบกวนเจ้าหรือเปล่า”
“เปล่า” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับเสียงเรียบ หลวนซานลุกขึ้นยืนถอยหลังห่างออกไป ลั่วเหยียนเจิ้งจึงมานั่งแทนที่ ใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มกลับมาเหมือนเดิมแต่แววตาหนักใจนั้นไม่อาจปิดบังสายตาตนไปได้
“เจ้าคงจะเบื่อ” ดวงตาคมที่มองมาเหมือนมานั่งอยู่กลางใจ หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับเพียงแค่จับหมากในมือพร้อมยื่นหมากสีขาวให้อีกฝ่าย
“เจ้าเหมือนจิวชงหยวน ที่ไม่ชอบการผูกมัดและหาทางออกไปจากวังหลวงและในที่สุดชงหยวนก็ทำได้อีกทั้งยังพาน้องชายข้าไปด้วย” หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ที่อีกฝ่ายเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟัง แต่ว่าจิวชงหยวนหากเขาจำไม่ผิดคือหมอเทวดาที่ช่วยเหลือเขาเมื่อสามปีก่อน
แสดงว่าลู่เฟยบุคคลที่ติดตามหมอเทวดาผู้นั้นคือน้องชายของลั่วเหยียนเจิ้งอย่างนั้นหรือ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนทอดทิ้งความสบายติดตามคนรักออกไปท่องยุทธภพข้างนอก แต่เมื่อมองคนที่อยู่ตรงหน้าแล้วได้แต่เก็บซ่อนความคิดไว้ในใจเพราะเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนผู้นี้จะทอดทิ้งทุกอย่างเพื่อคนคนหนึ่ง ฮ่องเต้ย่อมไร้ใจถึงจะนั่งครองบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง
“คนเช่นเจ้ายากนักที่อยากอยู่ในกรงทอง” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวเสียงนุ่มวางหมากสีขาวลงตำแหน่งที่เหมาะสม ใบหน้ายังฉายแววอ่อนโยน หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างไม่เข้าใจว่าวันนี้ฮ่องเต้ผู้นี้จะมาไม้ไหน
“ท่านเป็นอะไร หรือว่านอนไม่พอ”
“เปล่า ข้าแค่คิดว่าหากมีเจ้าคอยอยู่เป็นเพื่อนตลอดไปคงดีไม่น้อย” รอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจส่งมาให้ทำให้มือที่วางหมากสีดำสะดุดลงและเผลอไปวางผิดตำแหน่งจนโดนกินหมากไปอย่างง่ายดาย
“ท่านต้องการอะไรพูดมาเลยดีกว่า ข้าไม่ชอบอ้อมค้อม” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบ ดวงตากวาดมองใบหน้าคมคายที่แต้มด้วยรอยยิ้มอย่างหงุดหงิดในใจ คนผู้นี้ชอบทำให้ใจเขาไม่สงบอยู่เรื่อย
“น้องเหวินอี้ฉลาดหลักแหลม ต้องการมาเป็นกุนซือข้างกายพี่เหยียนเจิ้งคนนี้หรือไม่”
“ข้าไม่ชอบหลายตำแหน่ง แค่พี่น้องร่วมสาบานก็มากพอแล้ว อีกอย่างข้าคงมิกล้ารับตำแหน่งกุนซือข้างกายฮ่องเต้หรอก” หลิ่วเหวินอี้กล่าวประชดอย่างอดไม่อยู่ ใบหน้าแต้มยิ้มหัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนจะยึดหมากสีดำเขาไปอีกครั้ง การเดินหมากที่ใจไม่สงบกลับพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย
“ปกติในวังหลวงเขาทำอะไรกัน” หลิ่วเหวินอี้เปลี่ยนเรื่องคุย ขณะเก็บหมากล้อมที่พ่ายยับเยินเพราะไม่มีอารมณ์จะเล่นต่อ ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้ว่าอะไรนอกจากเก็บช่วย
“สำหรับข้าหากว่างจากราชกิจก็จะเล่นหมากล้อม วาดรูป เล่นพิณ อ่านหนังสือ” หลิ่วเหวินอี้หลับตาปิดบังความรู้สึกตนเองเงียบๆ ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย ทว่าในใจกลับรู้สึกว่าหงุดหงิดกับกิจกรรมยามว่างของคนตรงหน้า ชีวิตทำไมน่าเบื่อและจืดชืดเช่นนี้ และของพรรคนั้นเห็นแต่พวกผู้หญิงทำกันไม่ใช่หรือ อย่าบอกนะว่าเย็บปักถักร้อยคนตรงหน้าก็ทำเป็น
เสียงหัวเราะในลำคอของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้ลืมตาขึ้นมามองอีกครั้ง ดวงตาคมจับจ้องมองเขาอย่างไม่เกรงใจ รอยยิ้มแต้มบนใบหน้ามีแต่การลวงหลอกจนบางครั้งอยากรู้ว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของคนตรงหน้าจะเป็นเช่นไร และโหดเหี้ยมแค่ไหน
“เจ้าอยากเล่นอะไรก็ได้แก้เบื่อ แต่อย่าให้โดนจับได้ก็พอแล้ว”รอยยิ้มและดวงตาอ่อนลงกว่าปกติสองส่วน ทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้า เขาเข้าใจความหมายนั้นดีเพียงแต่เหตุใดเขาต้องเอาตัวไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายที่ไม่ใช่เรื่องของตนเองด้วย
“ข้าขออยู่เฉยๆ” หลิ่วเหวินอี้ปฏิเสธอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด เรื่องภายในวังหลวงเขาไม่อยากข้องเกี่ยว แค่นี้ก็หลวมตัวมามากแล้ว
“เจ้ารู้จักกลุ่มนักฆ่าแมงป่องกับนักฆ่าใบ้หรือไม่” หลิ่วเหวินอี้นิ่งไปกับคำถามที่ครั้งนี้ตรงไปตรงมาอย่างไม่อ้อมค้อม ใบหน้าคมคายกลับมาจริงจังอีกครั้งอาจเพราะเห็นว่ายิ่งหลอกล่อยิ่งไม่ได้อะไรเลย
“ท่านอยากได้คำตอบแบบไหน”
“ความจริง” น้ำเสียงจริงจังและดวงตาคมกริบมองมาไม่ได้คาดคั้นแต่กลับแฝงไว้ด้วยความจริงใจ ซึ่งทำให้หลิ่วเหวินอี้รู้สึกแปลกๆ เพราะปกติคนตรงหน้าจะมากเล่ห์มีรอยยิ้มจอมปลอมอยู่เป็นนิจ
“ข้าจะได้อะไร” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามแม้จะเป็นพี่น้องร่วมสาบานแต่เขาก็ไม่อยากขาดทุน ทุกการลงทุนย่อมมีผลกำไร แม้เรื่องนี้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่หากฉวยโอกาสได้เขาก็จะทำอย่างไม่ลังเล
“ข้าจะตอบคำถามเจ้าก่อนหนึ่งเรื่องในสิ่งที่เจ้าอยากรู้เกี่ยวกับกระบี่หยกขาวหรือผู้เป็นเจ้าของ” หลิ่วเหวินอี้มองอีกฝ่ายนิ่งๆ การเปลี่ยนแปลงสีหน้าและดวงตาจริงใจอีกฝ่ายทำให้ไม่คุ้นเคยแม้มุมปากจะยกยิ้มบางก็ตาม แต่หากได้คำตอบอย่างที่อีกฝ่ายรับปากจริงๆ เขาก็จะได้ไปจากที่แห่งนี้เช่นกันนับว่าไม่เสียเปรียบ
“นักฆ่าแมงป่องเป็นคนกลุ่มน้อยจากทะเลทรายทางตอนใต้ของเจียงหนาน มีความสัมพันธ์กับแคว้นชิงเว่ยทุกคนมีรอยสักรูปแมงป่องอยู่กลางหน้าอก ส่วนนักฆ่าใบ้ชอบทำงานเป็นกลุ่มทุกคนโดนตัดลิ้นการควบคุมพวกเขาเป็นหนอนพิษแดงและผู้ผลิตยาชนิดคือพรรคหมื่นพิษที่หนีรอดจากการสังหารของหมอเทวะมารได้” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบมองดูใบหน้าคมคายที่ฉายแววเคร่งเครียดตรงหน้า แม้ไม่ค่อยได้รู้ประวัติของสองกลุ่มนี้มากนัก แต่ข่าวสารของอีกาดำไม่ได้เป็นรองผู้ใด
“แสดงว่ามีสองกลุ่ม” หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับ เพราะความเป็นไปได้สูงมากที่คนในวังร่วมมือกับคนพรรคมาร และอาจเป็นไปได้ว่าคนผู้นี้เป็นคนสร้างนักฆ่าขึ้นมาด้วยตนเองโดยไม่ต้องจ้างวาน
“คราวนี้ตอบคำถามข้า”
“เหตุใดเจ้าต้องการรู้เกี่ยวกับกระบี่หยกขาว” หลิ่วเหวินอี้หรี่ตามองคนถามที่ยกยิ้ม หรือว่าเขาเชื่อใจคนตรงหน้าเกินไปจึงเบี้ยวที่จะตอบคำถาม
“ไม่ใช่เรื่องที่ฮ่องเต้เช่นท่านจะรู้ แค่ตอบคำถามข้าก็พอ” น้ำเสียงเย็นนิ่งพร้อมไอเย็นที่แผ่ออกมา ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบางแล้วส่ายหน้าเบาๆ
“ข้าไม่ได้คิดเบี้ยวคำตอบจากเจ้าเพียงแค่อยากรู้ว่าเหตุผลเพราะคนที่ให้กระบี่ข้าหาใช่มนุษย์ไม่”
หลิ่วเหวินอี้กลับมาสงบนิ่งเช่นเดิม แต่ใบหน้างดงามเบือนออกนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยเพราะคนที่ต้องการคำตอบนี้จริงๆ ก็ไม่ใช่มนุษย์ หากคนที่ให้กระบี่หยกขาวของล้ำค่าเช่นนั้นแก่ลั่วเหยียนเจิ้งมิใช่มนุษย์ก็ไม่นับว่าแปลกอันใด แต่สิ่งที่เขาสงสัยเหตุใดถึงมีสิ่งที่เรียกว่าปีศาจ เทพ เซียน ใช่ว่าเขาไม่เชื่อเพราะแม้แต่ตนเองยังเป็นวิญญาณมาจากภพภูมิอื่น
“เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ” น้ำเสียงตัดท้อจากคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามทำให้หันกลับมามองอีกครั้ง แววตาเรียวคมมองใบหน้าคมคายดวงตาตัดท้อของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
“เปล่า ข้าแค่คิดว่าเหตุใด ปีศาจ เทพ เซียน ถึงมาท่องอยู่ในโลกมนุษย์”
“ทุกคนอาจมีหน้าที่ หรือไม่ก็บางคนอาจถูกลงทัณฑ์ไม่สามารถกลับดินแดนตนเองได้”
“แล้วคนที่ให้กระบี่หยกขาวแก่ท่านเล่า” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเมื่อเห็นดวงตาเศร้าสลดของอีกฝ่ายเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป ทว่ามันกลับสร้างความสงสัยภายในใจว่าคนผู้นี้ทำไมมีสีหน้าเช่นนี้ได้ ทั้งๆ ที่ควรจะไร้ใจมิใช่หรือ
“ถือว่าเป็นหนึ่งคำถามที่ข้าจะตอบเจ้า คิดดีแล้วหรือว่าอยากได้คำตอบแบบไหน ข้าจะตอบเพียงคำถามเดียว” หลิ่วเหวินอี้เม้มปากแน่นมองคนฉลาดอย่างเจ็บใจนิดๆ เผลอหน่อยก็ไม่ได้เขาจะได้คำตอบทั้งหมดอยู่แล้วเชียว
“ข้าขอที่อยู่คนคนนั้นก็แล้วกัน” หลิ่วเหวินอี้ตัดสินใจเอ่ยคำถามที่น่าจะมีประโยชน์มากที่สุด ชื่อแซ่ยังไงค่อยไปไถ่ถามกันทีหลังหากพบเจอแล้วก็คงจะง่ายขึ้น ทว่าเมื่อสบตาคมของลั่วเหยียนเจิ้งกลับรู้สึกว่าตนเองถามคำถามผิดไป
“คำถามนี้แม้แต่ข้าก็ไม่อาจตอบได้ ข้ารู้เพียงแค่ว่าที่นั่นเรียกว่าหุบเขาเร้นลับ กาลเวลาไม่สิ้นสุด หนึ่งปีที่นั่นเท่ากับหนึ่งวันในโลกมนุษย์” หลิ่วเหวินอี้นิ่งไป ภายในใจเกิดความสงสัยเหตุใดคนตรงหน้าถึงยอมบอกความจริงกับเขา จากที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานทำให้รู้ว่าลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้โกหก เขาถอนหายใจเพราะรู้สึกว่าเรื่องมันช่างเป็นปริศนาไปหมด
“รู้หรือไม่เหตุใดข้าถึงยอมความจริงกับเจ้าทั้งๆ ที่ข้าไม่เคยสนใจสิ่งใดมาก่อน” หลิ่วเหวินอี้หันมามองคนเอ่ยปากถามอีกครั้ง แววตาและรอยยิ้มที่ส่งมาทำให้รู้สึกแปลกๆ ความเชื่อใจก็ไม่ใช่เขาไม่เคยสัมผัสความรู้สึกการไว้วางใจใครสักคนอย่างหมดหัวใจมาก่อน
“ข้าแค่อยากจริงใจกับเจ้า เผื่อสักวันเจ้าจะเปิดใจรับข้าไว้พิจารณาบ้าง” หลิ่วเหวินอี้นิ่งไปกับคำตอบ มองร่างสูงลุกขึ้นยืนมองมาที่เขาอย่างลังเล แต่ก็ไม่ได้พูดสิ่งใดต่อ
“เจ้าควรพักผ่อน” บอกพร้อมเดินจากไปไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ หลิ่วเหวินอี้มองตามนิ่งๆ แม้อีกฝ่ายจะแสดงความจริงใจ แต่เขากลับยิ่งรู้สึกไม่ไว้วางใจ เหมือนกับว่าโดนหลอกล่อให้ตกหลุมพรางเท่านั้น
“นายน้อย” หลวนซานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง นายน้อยตนเองนิ่งเกินไปใบหน้าเย็นชาแต่ดวงตาเรียวคมมองตามหลังฮ่องเต้ไม่วางตา
“ฮ่องเต้ย่อมไร้ใจ ไม่เช่นนั้นจะมีจุดอ่อน เจ้าว่าเขาต้องการอะไรจากข้า”
คำถามนี้ทำให้หลวนซานเกาศีรษะ มองใบหน้างดงามของเจ้านายแล้วได้แต่ยิ้มแห้ง พรางคิดว่านายน้อยไม่รู้คำตอบจริงๆ หรือ ตั้งแต่ร่วมเดินทางมาด้วยกันตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาองค์จักรพรรดิผู้นี้มองหลิ่วเหวินอี้อย่างชื่นชมความงดงามและความฉลาด บางครั้งสายตายังอ่อนลงอย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป หากให้บ่าวผู้ต่ำต้อยคาดเดาก็คงเป็น ฮ่องเต้ผู้นี้หลงรักนายน้อยอย่างไม่รู้ตัวเข้าเสียแล้ว
ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์จ้า จุ๊บๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อค่ะ