เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)  (อ่าน 186364 ครั้ง)

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่15 ผักมีประโยชน์(P.4วันที่ 24/5/59)


             ดึกสงัดภายในห้องคุมขังคุกหลวงที่ไม่มีคนอยากย่างกายเข้ามา เวลานี้มีเงาร่างสีดำสองร่างนั่งอยู่คานไม้อย่างสงบ ดวงตาสอดส่องมองเหยื่อตัวน้อยที่สะอื้นไห้ด้วยความกลัวอย่างเฉยเมย เหมือนสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นภาพที่คุ้นตา หลิ่วเหวินอี้ยกมือปิดปากขณะหาวด้วยความง่วงงุน เวลานี้จะเข้ายามสี่อยู่รอมร่อแล้วแต่แพะยังไม่ออกมาให้จับเสียที เมื่อมองคนข้างตัวแล้วได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตกที่หลวมตัวมาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับคนที่คิดไม่ซื่อกับตนเองเช่นนี้ กระบี่หยกขาวเป้าหมายที่เขาอยากรู้ไม่ทราบว่าเจ้าตัวไปเก็บไว้ที่ไหนเพราะตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็ไม่เห็นมันอีกเลย แล้วเขาก็ไม่รู้จะเริ่มต้นถามอย่างไรดีอาจเพราะยังไม่สนิทกันพอ ถึงเอ่ยถามไปก็คงไม่ได้คำตอบ
    
           หลิ่วเหวินอี้หันไปมองคนที่ยื่นมือมาจับมือตนไว้ด้วยสายตาดุๆ แม้ห้องนี้จะมืดมองเห็นแค่เงาเลือนลาง แต่เขามั่นใจว่าลั่วเหยียนเจิ้งกำลังส่งยิ้มมาให้ ทว่าเมื่อสัมผัสสิ่งที่อยู่ในมือเขาไม่แน่ใจว่ามันคือสิ่งใด มันเป็นลูกกลมๆ เม็ดเล็กๆ คิ้วขมวดมุ่นพร้อมความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา มันเป็นลูกกวาด เขาแอบทึ่งเล็กน้อยที่ฮ่องเต้นิสัยประหลาดผู้นี้ชอบของหวานพกแม้กระทั่งลูกกวาด เขาไม่ได้กินอย่างที่อีกฝ่ายต้องการแกล้งทำเป็นไม่สนใจนั่งนิ่งๆ รอคอยเงียบๆ ต่อไป
    
              พรึบ!
    
              เสียงความเคลื่อนไหวดังเข้ามาใกล้ หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างสนใจ รอคอยจนจะหลับในที่สุดก็โผล่มาซะที เหลือบมองคนข้างตัวแม้เห็นไม่ค่อยชัดนักแต่มั่นใจว่าเจ้าตัวคงยิ้มหวานอยู่แน่ๆ เขากลับมาสนใจอดีตพระสนมอีกครั้ง ความงดงามอ่อนหวานที่เคยมีไม่หลงเหลืออีกแล้ว เวลานี้นางหลับไปเพราะความอ่อนเพลียแต่อีกไม่นานนางจะได้หลับไปตลอดกาล
    
             ชีวิตของอิสตรีในวังหลวงก็แค่นี้ ไม่หักหลังทรยศก็แย่งชิงความโปรดปราน เขารั้งสายตากลับไปมองคนข้างตัวอีกครั้งแล้วต้องลอบถอนหายใจอย่างสังเวชพวกนาง คนผู้นี้จะมีหัวใจได้อย่างไร ฮ่องเต้ที่ฉลาดหลักแหลมไม่เอาหัวใจไปวางไว้ให้ผู้ใดหรอก    
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งเคลื่อนตัวด้วยความเร็วมากกว่าปกติ พุ่งเข้าหาเงาร่างสีดำที่ไม่สมควรปรากฏตัวในห้องคุมขังเวลานี้อย่างเงียบเชียบ เงาร่างนั้นสะดุ้งเพียงเล็กน้อยก่อนจะต้านรับยกกระบี่ปัดป้องเข็มสีเงินที่พุ่งออกไปหลายร้อยเล่มด้วยความเร็ว หลิ่วเหวินอี้นั่งชมโดยไม่คิดจะยื่นเขาไปช่วยแม้แต่น้อย และครั้งนี้ทำให้
เขาได้รู้ว่าลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้ถนัดแค่อาวุธกระบี่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
    
              อึก!
    
            เพียงไม่นานผลก็ออกมา เข็มเงินที่พุ่งออกไปแต่ละเล่มล้วนเคลือบยาพิษแม้เขาจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องยาพิษแต่มั่นใจว่าอ่องเต้เจ้าเล่ห์คงต้องใช้มันอย่างแน่นอน และเป็นอย่างที่คิดเมื่อร่างนั้นกระอักโลหิตออกมาคำโต พร้อมทรุดตัวลงกับพื้นอย่างไม่ยินยอม แม้จะเจ็บปวดมากแค่ไหนกลับไม่มีเสียงร้องออกมาสักนิดเดียว นับว่ากบฏในครั้งนี้มียอดฝีมือไม่ต่ำช้า เวลานี้ห้องคุมขังที่สมควรมืดมิดเหลือเพียงเงาเลือนลางถูกจุดคบเพลิงขึ้นมาอีกครั้ง กับดักหลอกล่อในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จแต่ก็เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่สามารถสาวถึงตัวการใหญ่ได้    
    
             “เปล่าประโยชน์ที่จะซักถาม” หลิ่วเหวินอี้กระโดดลงมาจากคานไม้ ใบหน้าฉายแววง่วงงุนเล็กน้อยแต่ดวงตาเรียวคมยังบ่งบอกได้ว่าร่างที่ถูกจับกุมได้นี้ไม่มีทางพูดออกมาได้ไม่ว่าใช้วิธีทรมานอย่างไรก็ตาม
    
            “หมายความอย่างไร” ลั่วเหยียนเจิ้งหันมาเอ่ยถามอย่างสงสัย คบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นทำให้เห็นต้นคอของมันมีสลักคำว่า “ตาย” ไว้ นั่นบ่งบอกว่าไม่ว่าอย่างไรคนตรงหน้านี้ไม่มีทางได้พูดความจริง แม้จะถูกสกัดจุดไม่ให้ด่วนกินยาพิษก็ตาม
    
            “ข้าเคยเห็นคนกลุ่มนี้ พวกมันถูกตัดลิ้นจนหมดสิ้น” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบ ยกมือขึ้นปิดปากหาวอีกครั้ง วันนี้เขาง่วงจริงๆ มาถึงวังหลวงครั้งแรกก็เจอเรื่องวุ่นวาย ตอนแรกว่าจะไม่สนใจแต่ไหนๆ ต้องการความเชื่อใจจึงต้องยอมเล่นกับจิ้งจอกเสียหน่อย
    
            “เจ้ารู้จักพวกมันดีหรือไม่” หลิ่วเหวินอี้ปรือตาที่จะหลับอยู่รอมร่อขึ้นไปมองคนถาม รอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมาให้เห็นทีไรก็รู้สึกขนลุกทุกที เขาส่ายหน้าเพราะไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก ในเมื่อพวกมันไม่ยุ่งกับกลุ่มอีกาและวิหคดำเขาก็คร้านที่จะใส่ใจ
    
           “เจ้าไปนอนเถอะ ในเมื่อไม่มีประโยชน์ที่จะเอ่ยถาม ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเก็บพวกมันเอาไว้” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองอดีตพระสนมซึ่งโดนเข็มพิษสังหารจากลั่วเหยียนเจิ้งอย่างรวดเร็ว แต่นี่ถือว่าเป็นความปราณีสูงสุดแล้ว เขาเดินออกจากห้องคุมขังอย่างไม่สนใจอีกว่าฮ่องเต้ผู้นี้จะเอาคำตอบจากคนที่ไม่สามารถพูดได้อย่างไร
    
           ทว่าขณะเดินออกมาข้างนอกกลับเห็นเงาร่างเลือนลางของบุคคลน่าสงสัยพุ่งหายไปทางปีกตะวันออก หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างลังเลว่าจะหาเรื่องใส่ตัวดีหรือไม่ แต่ว่าตามไปดูเสียหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
    
           ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีดำพุ่งตามไปอย่างรวดเร็ว วิชาตัวเบาไม่ได้เป็นรองผู้ใด จนกระทั่งมายังตำหนักหลังหนึ่งซึ่งไม่ใหญ่โตมากนัก เขาไม่แน่ใจว่าที่แห่งนี้เรียกว่าตำหนักอะไรเพราะครั้งล่าสุดที่เขาส่งคนนำฎีการ้องเรียนมาส่งให้ฮ่องเต้ก็เป็นเฉียวฟงอีกาหมายเลขหนึ่งเป็นคนดำเนินการทุกอย่าง ฝีมือที่ลำเลิศกว่าพวกพ้องทำให้เขาพอจะไว้วางใจ
    
           “มาช้า” น้ำเสียงเย็นนิ่งดังมาจากห้องหนึ่งแม้ไม่ได้จุดเทียนไขให้ความสว่าง แต่สายตาผู้เยี่ยมยุทธก็ยังพอมองเห็นได้เลือนลาง แต่มิอาจรู้ได้ว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ใดเพราะเขาไม่ได้ไปสืบตำแหน่งของเหล่าองค์หญิงองค์ชายหรือพระสนม  แต่ภาพที่เห็นทำให้เขาผงะออกด้วยความตกใจ ทั้งสองคนกำลังกอดรัดจูบกันอย่างดูดดื่มเหมือนพลัดพรากกันมาแสนนานและกำลังถอดเสื้อผ้าออกอย่างไม่อายฟ้าอายดิน ใบหน้างดงามแดงก่ำด้วยความอับอายและสยดสยองสายตา เพราะภาพที่เห็นเป็นบุรุษด้วยกันทั้งคู่!
    
           หลิ่วเหวินอี้ถอยกลับอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด ตอนนี้เขารู้สึกคลื่นไส้จนแทบอาเจียน ไม่น่าตามมาเลย ได้แต่สบถกับตัวเองในใจ เมื่อมาถึงห้องนอนกลับมีใครมานั่งรออยู่ สายตาคมๆ มองมาเหมือนปกติ ทว่าทำให้ตอนนี้เขารู้สึกสยดสยองไปหมด ร่างโปร่งพรวดเข้าห้องน้ำพร้อมอาเจียนออกมาอย่างหมดท่า
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งลุกพรวดตามเข้ามาด้วยความตกใจ แต่เมื่อเห็นหลิ่วเหวินอี้คุกเข่าอยู่ขอบอ่างอาเจียนอย่างหมดแรงทำให้เขามองตามอย่างมึนงงเล็กน้อย และไม่รู้จะช่วยคนตรงหน้านี้อย่างไรดี
    
          “เหวินอี้เจ้าเป็นอะไร” น้ำเสียงกังกลจากคนด้านหลังทำให้หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองเล็กน้อย แม้จะไม่เกี่ยวกันแต่ภาพที่เห็นทำให้เขาเก็บอาการไว้ไม่อยู่ แม้เขาจะเคยเห็นบุรุษรักกันแต่ไม่เคยเห็นอะไรที่มันโจ่งแจ้งเช่นนี้มาก่อน จะโทษใครก็ไม่ได้เพราะตัวเองตามไปเอง
    
           “เปล่า ข้าแค่ปวดท้อง” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปาก พร้อมลุกขึ้นด้วยสีหน้าซีดๆ สายตาที่มองมาคือไม่เชื่อในสิ่งที่พูด เขาเดินผละออกมาอย่างไม่สนใจก่อนจะไปนอนบนเตียงนอน เวลานี้เขาทั้งเหนื่อยและง่วงที่สำคัญเขาโดนทำร้ายสายตามาอย่างแรง
    
           “เดี๋ยวข้าไปเรียกหมอหลวงมาดูอาการเจ้า” แม้ครั้งแรกจะไม่เชื่อแต่เมื่อเห็นท่าทีอ่อนแรงของอีกฝ่ายก็ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยอมแพ้ สายตามองสำรวจร่างโปร่งนอนหลับตาพริ้มใบหน้าแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู
    
          “ไม่ต้อง ข้าง่วงนอนท่านก็ไปนอนได้แล้ว” เสียงอู้อี้ของคนที่นอนหมอบกับเตียงเอาหมอนมาทับศีรษะตัวเองเอาไว้ ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก ก่อนจะเดินออกจากห้องไปแม้จะสงสัยว่าหายไปไหนมา แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยากบอกต่อให้คาดคั้นก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี

    
           ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนงามที่เดินเข้ามาร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยสายตานิ่งๆ ใบหน้างดงามมีขอบตาดำซ้ำอยู่บ้าง ใบหน้าเย็นชาเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงทานข้าวตามปรกติ เขาชอบที่หลิ่วเหวินอี้เป็นเช่นนี้ แม้จะรู้ว่าเขาเป็นใครแต่ก็ยังทำตัวเช่นเดิม ความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่ายเหมือนคนรู้จักกันมาช้านาน เขารินน้ำชาให้อีกฝ่ายเงียบๆ มองมือเรียวเขี่ยผักออกจากจานตัวเองแล้วส่ายหน้าอย่างเอ็นดู อาจเป็นมุมนี้ที่อีกฝ่ายทำตัวเหมือนเด็ก
    
          “เจ้านอนไม่หลับหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถาม ทำให้อีกฝ่ายชะงักมือไปชั่วครู่ก่อนจะคีบกับข้าวกินต่อ ทว่าใบหน้าที่แดงระเรื่อนั่นคืออะไร เขามองอย่างมึนงงเพราะอาการเช่นนี้จะว่าโกรธไม่ใช่ที่ จะว่าอายก็ไม่น่าใช่อีก ดวงตาเย็นชาเหลือบมองเขาเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
    
          “ไม่มีใครสอนหรือว่าเวลาทานข้าวห้ามพูด” ลั่วเหยียนเจิ้งชะงักไปชั่วครู่ มองคนงามที่มองเขานิ่งๆ แต่แฝงไว้ด้วยความจริงจัง ไม่รู้ตอนนี้ตนเองทำสีหน้าอย่างไรดี เกิดมาก็เพิ่งจะมีคนตำหนิ แล้วเรื่องกินข้าวห้ามพูดไม่เห็นมีกฎข้อนี้เลย หรือว่าเขาทานคนเดียวมาตลอด ไม่สิอย่างน้อยเขาก็ได้ร่วมรับประทานอาหารกับผู้อื่นอยู่บ้างแต่ก็ยังพูดคุยตามปกติ เพียงแต่พูดน้อยคำเท่านั้นเอง
    
           “หึ...” เสียงหัวเราะในลำคอของคนตรงข้ามทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหรี่ตามองและสรุปได้ว่าคนตรงหน้ากำลังแกล้งตนด้วยสีหน้าตายด้านสุดๆ เขามองดวงตาเย็นนิ่งที่นั่งทานข้าวต่อเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้นด้วยความหมั่นไส้ คีบผัดผักใส่จานของอีกฝ่ายโดยไม่สนใจสายตาเย็นๆ ที่ส่งกลับมา
    
          “ผักมีประโยชน์” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มหวาน ที่มองอย่างไรมันก็เป็นการเสแสร้ง ทำให้คนถูกแกล้งมองหน้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์กับผักเต็มจานตัวเองสลับไปมา ก่อนจะคีบแล้วยัดใส่ปากคนที่ยิ้มหวานอย่างหงุดหงิด
    
          “ผักมีประโยชน์ห้ามคายออกมา” ลั่วเหยียนเจิ้งอึ้งไปเมื่อเจอคำยอกย้อนจากคนเย็นชา ได้แต่มองตามด้วยท่าทางน่าสงสาร เพราะในปากเขาตอนนี้เต็มไปด้วยผักที่อีกฝ่ายยัดใส่อย่างไม่ปราณีเลยสักนิด เอาเถอะยกนี้เขาขอยอมแพ้ก็ได้ คิดอย่างปลงตกกับตนเองรีบเคี้ยวกลืนผักลงคอก่อนมันจะติดคอตายเสียก่อน
    
            “หึ...”
    
             เสียงหัวเราะของหลิ่วเหวินอี้ยามนี้ฟังแล้วทำไมรู้สึกระคายหูนัก แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่แต้มมุมปากทำให้กลืนคำพูดต่อว่าลงคออีกครั้ง เฮ่อ ยอมให้ก่อนแล้วกันแล้วจะเอาคืนทั้งต้นและดอกเลยคอยดู
    
             หลังจากผ่านอาหารมือเช้าที่เหมือนจะฆ่ากันจบลง ลั่วเหยียนเจิ้งจึงพาแขกมาเดินเล่นในอุทยานหลังตำหนัก ดอกไม้งดงามแต่ไม่มีดอกท้อ ทว่าเวลานี้เขากลับรู้สึกอยากปลูกดอกท้อขึ้นมา
    
            “หลินกงกงให้คนไปจัดการสร้างตำหนักเถาฮวา(ดอกท้อ)ห่างจากตำหนักข้าไปแค่ครึ่งลี้ ปลูกต้นท้อและดอกอิงฮวา(ซากุระ)ล้อมรอบ” คำสั่งสายฟ้าแลบทำให้ผู้ติดตามตะลึงงัน เมื่อสติกลับคืนมาจึงคุกเข่าคารวะรับคำสั่ง ทว่าเวลานี้หลิ่วเหวินอี้หัวคิ้วกดลึกมองคนออกคำสั่งอย่างเคร่งเครียด ความนัยบางอย่างที่ออกปากไปลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าเกี่ยวกับตนทั้งสิ้น
    
             “ฝ่าบาทคิดจะทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงเย็นนิ่งพร้อมดวงตาเรียวคมจ้องมองมาอย่างจับผิดทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบาง
    
            “ข้าอยากสร้างตำหนักให้เจ้าไง” บอกอย่างไม่ปิดบัง ตำหนักเถาฮวาเหมาะกับคนตรงหน้านี้จริงๆ
    
             “ไม่จำเป็นยกเลิกคำสั่งไปซะ” น้ำเสียงเย็นนิ่งแต่ครั้งนี้กลับแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ คลื่นใต้น้ำก็พร้อมจะซัดเข้าหา แต่ยังมีหน้ามาสร้างตำหนักให้เปลืองงบประมาณไม่รู้ว่าฮ่องเต้มากเล่ห์คิดการณ์ใดอยู่
    
             “ฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่อาจคืนคำ เจ้าอย่าห่วงเลยข้าย่อมมีแผนการ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม มองคนเคร่งเครียดกว่าตนอย่างขำๆ แม้ตำหนักเถาฮวาจะเป็นสิ่งที่เขาอยากได้จริงๆ แต่แผนการต่อไปนี้ต่างหากที่สำคัญ ใบหน้าคมคายดวงตาคมกริบมองคนงามที่ประกายความไม่พอใจในดวงตา ริมฝีปากเม้มแน่นเวลานี้หลิ่วเหวินอี้พลาดพลั้งให้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เสียแล้ว
    
            “ท่านมันเจ้าเล่ห์นัก หากข้าไม่ร่วมมือกับท่าน” ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบาง ไม่ได้เดือดร้อนให้กับคนที่เอ่ยปากถาม หลังจากที่รู้จักพอประมาณแม้หลิ่วเหวินอี้จะเย็นชาสร้างกำแพงขวางกั้นมากมาย แต่สุดท้ายย่อมใจอ่อนให้คนที่รู้จักและยิ่งตอนนี้เขายังเป็นพี่น้องร่วมสาบานของอีกฝ่ายซึ่งไม่อาจนิ่งดูดายได้ง่ายๆ เช่นกัน
    
           “ข้าก็คงต้องรอเวลาต่อไปเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเก็บชีวิตนี้ตนเองไว้ได้นานแค่ไหนเท่านั้นเอง” ลั่วเหยีนเจิ้งเอ่ยตอบมองคนที่คิดจะให้มาเป็น “เหยื่อ” หรือ “จุดอ่อน” ของตนเอง ด้วยแววตาเศร้าหมอง
    
          “ข้ามีสิ่งแลกเปลี่ยน” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนเม้มปากแน่นด้วยความแปลกใจ ก่อนจะพยักหน้ายอมรับหากได้คนมีฝีมือมาอยู่ด้วยย่อมเป็นเรื่องดี ที่สำคัญที่สุดคือเขาได้เจริญสายตาเป็นไหนๆ
    
          “หากงานนี้สำเร็จข้าอยากรู้ชื่อที่อยู่คนที่ให้กระบี่หยกขาวแก่ท่านพี่เหยียนเจิ้ง” คำตอบตรงไปตรงมาของคนตรงหน้าทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งขมวดคิ้วมองอย่างแปลกใจ คำขอนี้ทำให้หวนนึกไปถึงคนน่าตายคนนั้น ที่กล้าแย่งซื้อรองเท้าจากเขาไป มิหนำซ้ำคนตรงหน้าไม่รับไปอีกแค่คิดก็ให้อารมณ์ครุกรุ่นในอกอีกครั้ง
    
           “เพราะเหตุใด” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามเสียงเย็น เมื่อคิดว่าเพราะเรื่องนี้อีกฝ่ายถึงยอมขอติดตามตนมา
    
            “มิอาจบอกได้”
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปสบดวงตาเย็นนิ่งไม่มีสั่นไหวของอีกฝ่ายอย่างจับผิด เขารู้จักผู้คนมากมาย และรู้จักนิสัยใจผู้คนเพียงแค่เหลือบมอง แต่คนตรงหน้าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถอ่านใจได้หมดใจ กำแพงอีกฝ่ายสูงเกินไป มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะพังลงมาให้เขาได้เข้าไป
    
            “เข้าใจแล้ว ข้าตกลง” ลั่วเหยียนเจิ้งกลับมายิ้มอ่อนตามปกติอีกครั้ง ร่างสูงสง่าในชุดมังกรเดินเคียงข้างกันมาจนถึงบึงน้ำ ที่สระน้ำไม่มีเรือพายแต่มีศาลาขนาดเล็กอยู่ตรงนั้นหากจะเข้าไปต้องมีวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศเท่านั้น ทว่าไม่มีปัญหาสำหรับคนสองคน
    
            ศาลากลางน้ำมีพิณงดงามวางอยู่ ลั่วเหยียนเจิ้งเดินไปนั่งลงตรงพิณสีทองพร้อมนิ้วเรียวสัมผัสแผ่วเบา เมื่อเหลือบมองคนงามที่ยืนจ้องมองเขานิ่งๆ จึงส่งยิ้มให้อ่อนโยน คนตรงหน้านี้เขาไม่จำเป็นพูดมากทว่าอีกฝ่ายกลับเข้าใจเขาว่าต้องการสิ่งใด แม้แต่กุนซือข้างกายยังไม่ฉลาดล้ำเช่นนี้ หากได้คนอย่างนี้มาอยู่ข้างกายจะดีสักเพียงใด อีกทั้งใบหน้าก็งดงามดูแล้วยิ่งเจริญตา
    
           “เล่นเป็นหรือไม่” เอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องมองพิณในมือนิ่งๆ แล้วส่ายหน้าก่อนจะขยับกายไปนั่งเหยียดกายหลังตรงบนโต๊ะกระดานหมากล้อม
    
           “ข้าสอนเจ้าเล่นพิณดีหรือไม่”
    
           “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ว่าท่านคิดจะลวนลามข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคอมองคนที่รู้ทันอย่างขำขัน บางครั้งก็รู้ทันมากเกินไป เขาแค่อยากได้กลิ่นดอกท้อใกล้ๆ เท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ไม่อยากไปกวนโมโหคนงามเดี๋ยวจะหนีกลับตำหนักเสียก่อน มือเรียวเริ่มขยับนิ้วบรรเลงเพลงหนึ่งที่คนฟังได้แต่นิ่วหน้าเหลือบมองคนบรรเลงเพลงที่นั่งเหยียดหลังตรงในชุดฮ่องเต้เต็มยศ
    
            ทว่าเวลานี้บรรยากาศรอบตัวของลั่วเหยียนเจิ้งดูอบอุ่นกว่าเวลาปกติ เพลงที่บรรเลงนั้นไม่ได้หวานละมุนและไม่ได้ร้อนแรงอย่างฮึกเฮิมแต่มันเป็นเพลงแห่งความอบอุ่นท่ามกลางหิมะเหน็บหนาวคล้ายจะบอกว่าไม่ต้องโดดเดี่ยวในความเหน็บหนาวอีกต่อไป มันจะดูปกติมากสำหรับผู้อื่น แต่สำหรับผู้ชายสองคนที่อยู่ด้วยกันเวลานี้มันทำให้หลิ่วเหวินอี้มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ภาพของเมื่อคืนฉายเข้ามาในหัวอีกครั้ง
    
           หวังว่าเขาจะรอดปลอดภัยกลับนิกายมารฟ้าได้หรอกนะ...




                      ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์จ้า เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อนะคะ จุ๊บๆ

                 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ lovetogether

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
น่ารักกกกกจัง มีการป้อนกันด้วยยย
ติดตามจ้าาา รีบมานะะะะ
 :mew1:

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
โถ่เหวินอี้ถึงกับอ้วก. แพ้ท้องอ๋ออออ~~~ :hao7:

ออฟไลน์ miya_pp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
เหวินอี้ท่าทางจะยังไม่ชิน เหยียนเจิ้งต้องคอยทำให้ชินซะแล้ว 555+

ออฟไลน์ lovetogether

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เหวินอี้น่ารัก รู้นะว่าเขินใช่ไหมล่ะ
รีบมานะ เป็นกำลังใจให้จ้า :katai2-1:

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
เดี๋ยวก็ได้เดี๋ยวก็โดนหรอกหนู อิอิ

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
เฮ้อ ในที่สุดก็มีฉากพอที่จะฟินได้บ้าง หลังจากเหี่ยวแห้งมายาวนาน อยากให้คู่ฝ่าบาท เหวินอี้รักชอบกันเสียที

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่16 ข้อแลกเปลี่ยน(P.4วันที่ 25/5/59)


            ภายในคุกห้องใต้ดิน นักฆ่าผู้หนึ่งมีคราบเลือดเกรอะกรังไปทั่วทั้งร่าง บนกายเต็มไปด้วยแผลฉกรรจ์จนมิอาจมองเห็นผิวที่แท้จริงได้ ภายใต้คบไฟที่ส่องสว่างดูคล้ายคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง เหตุเพราะเขาเพิ่งผ่านการลงโทษโบยตีอย่างหนักหนาสาหัส
    
           “พูดออกมาหรือไม่” น้ำเสียงนิ่งเรียบของผู้อยู่เหนือแผ่นดินดังขึ้นขณะก้าวเข้าห้องที่อับชื้นแห่งนี้ อาภรณ์สีเหลืองลายมังกรดูสง่างามและน่าเกรงขามลากยาวกับพื้นตามจังหวะก้าวเดิน นักฆ่าคนนี้เป็นคนเดียวกับที่ลอบสังหารลั่วเหยียนเจิ้งเมื่อครั้งก่อน หลังจากเบื่อหน่ายก็ให้องครักษ์เงานำตัวมาเก็บไว้ที่คุกมืดมิดในวังหลวงที่ยากจะเข้ามาได้ เพราะมันเป็นห้องลงทัณฑ์ที่ไว้ใช้สำหรับทรมานคาดคั้นเหยื่อซึ่งตั้งอยู่ใต้ดินในตำหนักตนเอง ทว่าแม้พยายามคาดคั้นนักโทษผู้นี้ก็ยังไร้ผลแม้จะผ่านมาหลายวันแล้วก็ตาม
    
          “ข้าน้อยลงโทษอย่างหนักทุกวิธีทาง แต่มันหาได้ปริปากพูดออกมาไม่พ่ะย่ะค่ะ” ผู้คุมคุกเข่ารายงานอย่างจนปัญญาไม่ว่าคาดคั้นอย่างไรนักฆ่าผู้นี้ก็ไม่ปริปากอันใด ร่างนั้นถูกตรึงไว้กับเสาอย่างโรยแรงเต็มที แต่กลับไม่ปริปาก ข้างๆ กันเป็นร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าซึ่งถูกลากมาวันก่อน แต่เพราะลิ้นโดนตัดแต่มันก็ไม่ยอมปริปากและได้ตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว ไม่เหมือนนักฆ่าอีกคนซึ่งมีรอยสักแมงป่องที่ทนยาพิษสารพัดได้อย่างน่าฉงน
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้ารับ ไม่ได้แปลกใจจากที่คาดไว้ ดวงตาคมมองนักฆ่าที่คาดว่ามีสองกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งซึ่งเป็นรอยสักแมงป่อง อีกกลุ่มเป็นนักฆ่าใบ้ที่ถูกตัดลิ้นหมดแล้วและยังถูกสลักคำว่าตายให้ เขามองพินิจร่างที่ไร้วิญญาณอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าทนพิษบาดแผลไม่ไหวแต่เหมือนมีบางอย่างควบคุมพวกมันเอาไว้เหมือนยาสั่งตาย แต่ว่าผู้ใดจะมีความสามารถผลิตยาได้เพียงนั้นหากไม่ใช่จิวชงหยวน แต่ว่าน้องสะใภ้คนงามเป็นคุณธรรมไม่น่าจะสร้างยาต่ำช้าเช่นนี้
    
            “สังหารซะ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกเสียงเรียบ ทว่าคนที่เหมือนคนตายกลับยกยิ้มอย่างสมใจ ในที่สุดมันก็พ้นความทรมานเสียที
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งสะบัดชายผ้าจากไป ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคาดคั้นแต่ก็สามารถรู้ได้นักฆ่าสองคนมาจากคนละกลุ่ม ยอมตายแต่ไม่ยอมปริปากนับว่าผู้อยู่เบื้องหลังคงน่ากลัวกว่าเขาเป็นแน่ ดวงตาคมหรี่ตาอย่างครุ่นคิดขณะเดินออกจากคุกลงทัณฑ์
    
            “ฝ่าบาทสนมจางหวงหลานสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่ก้าวเข้ามาในตำหนัก กวงไห่จึงได้เข้ามารายงานด้วยสีน้าเคร่งเครียด ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้าอย่างกังวล จางหวงหลานเป็นบุตรีของจางหูเตี๋ยขุนนางขั้นหนึ่งซึ่งเป็นพระญาติทางมารดาของลู่เฟย  พวกมันกล้าทำเช่นนี้นับว่าอาจหาญนัก
    
            “คราวนี้นางเป็นอะไรตาย”
    
            “ตกสระบัวหลังตำหนักเย็นพ่ะย่ะค่ะ” คำตอบยิ่งทำให้ฉงน นางไปทำอะไรที่นั่น ลั่วเหยียนเจิ้งครุ่นคิดเดินไปนั่งจิบเหล้าหยกน้ำค้างดื่มอย่างเชื่องช้าพร้อมเอ่ยถามเสียงเรียบ
    
            “แล้วสนมฉิงหลันเป็นเช่นไร”
    
             “นางยังสุขสบายดีพ่ะย่ะค่ะ” คำตอบที่ได้รับไม่ได้เกินจากที่คาดเดา ตอนนี้มีการเคลื่อนไหวภายในวังหลวงขณะที่ลั่วหวังอู๋ กับมู่เหรินกำลังเดินทางกลับมา ใบหน้าคมคายคิ้วคมเฉียงกดลึกขณะครุ่นคิด มือแกว่งเหล้าไปมาอย่างเชื่องช้า มุมปากยกยิ้มเย็นเมื่อก่อนองค์ชายรองกับองค์ชายสามแผนการไม่ได้ลึกลับซับซ้อนถึงเพียงนี้ แต่นี่ทำให้เขามองไม่ออกว่าเป็นฝีมือของผู้ใดกันแน่ เขาอยากเห็นหน้าของผู้ที่อยู่เบื้องหลังแล้วสิว่าจะเป็นผู้ใด
    
             “ฝ่าบาท ใต้เท้าจางมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เสียงนุ่มนิ่มของหลินกงกงหัวหน้าขันทีรายงานอยู่หน้าประตูห้อง ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งวางแก้วเหล้าในมือลงแล้วลุกขึ้นเดินออกไป เพราะมีเรื่องเดียวที่ทำให้จางหูเตี๋ยมาขอเข้าเฝ้า เขาถอดถอนใจ ใบหน้าอ่อนโยนเวลานี้แต่งแต้มด้วยความเศร้าสลด ดวงตาแดงระเรื่อเหมือนคนโกรธแค้นเจ็บใจที่ตนมิอาจช่วยชีวิตสนมรักไว้ได้
    
             “ฝ่าบาทโปรดหาความเป็นธรรมให้พระสนมจางหวงหลานด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่ประตูเปิดออก ก็เจอร่างท้วมของจางหูเตี๋ยคุกเข่าก้มหน้าชิดพื้นอย่างอ้อนวอน
    
            “ลุกขึ้นเถอะ ไม่ว่าอย่างไรข้าต้องหาความเป็นธรรมให้พระสนมของข้าอยู่แล้ว” แม้เสียงจะราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์สะท้อนความเสียใจออกมา ยิ่งทำให้จางหูเตี๋ยรู้สึกซาบซึ้งพระทัยยิ่งนัก ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือใคร จะไม่ปล่อยชีวิตพวกมันไว้เป็นอันขาด
    
           “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนที่ก้มหน้าขอบคุณด้วยความซาบซึ้งด้วยรอยยิ้มนิดๆ ก่อนจะเดินไปยังตำหนักของสนมจางหวงหลาน แม้ตำหนักนี้จะไม่ได้ใหญ่โตแต่มีทุกอย่างที่สนมคนหนึ่งพึงจะมี เขามองดูศพที่ตายอย่างละเอียดทว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เมื่อถามความจึงได้รู้ว่าพระสนมคนนี้มีอาการเหม่อลอยในช่วงหลังๆ นางอาจถูกใครข่มขู่จึงคิดไม่ตก แต่เมื่อวันก่อนที่เขาเรียกพวกนางไปพบยังมีสีหน้าปกติดี
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งสั่งให้จัดพิธีศพให้อย่างสมเกียรติพร้อมมอบของปลอบใจให้ตระกูลจางอย่างที่ควร การตายของนางแม้จะยังเป็นปริศนาแต่คงอีกไม่นานที่พวกฆาตกรรมจะเปิดเผยตัวเอง ในเมื่อคิดทำการอุกอาจอย่างไม่กลัวความตาย คงจะอยู่อย่างสงบได้ไม่นาน
    
           สองสามวันมานี้เหมือนมีแต่เรื่องวุ่นวายภายในวังหลวง เมื่อกลับมายังตำหนักหันไปมองทางตะวันออกกำลังมีการเริ่มก่อสร้างตำหนักเถาฮวา แม้จะเป็นที่คัดค้านจากหลายฝ่ายเพราะยังมีการตายของพระสนมในช่วงนี้ แต่เขาแสร้งอ้างว่าเป็นฮวงจุ้ยของนักพรตผู้หนึ่งที่จะขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายภายในวังหลวง เรื่องนี้จึงผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
    
          “ฝ่าบาทองค์ชายลู่เฟยกับพระชายาจิวชงหยวนจะเสด็จมาวังหลวงอีกสามวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” คำรายงานจากองครักษ์เงาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มอย่างยินดี เพราะตั้งแต่เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้มาลู่เฟยกับจิวชงหยวนก็ไม่ได้มาที่นี่อีกเลย แค่คิดว่าจะได้ทานของอร่อยก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอีกเท่าตัวแล้ว
    
            “บัวลอยไข่หวาน...”
    
            องครักษ์เงาเหลือบมองเจ้าเหนือหัวอย่างอึ้งๆ ใบหน้าคมคายยกยิ้มอ่อนโยนไม่ใช่ว่ายินดีที่จะได้พบน้องชาย แต่กลับยินดีที่จะได้ทานบัวลอยไข่หวาน เอ่อ...ฝ่าบาทท่านน่าจะคิดถึงน้องชายพระองค์บ้างนะ องครักษ์เงาได้แต่คิดอย่างปลงตก ก่อนถอยหลังจากไปเมื่อหมดหน้าที่ของตน...

    
           หลิ่วเหวินอี้นั่งกินนอนกินภายในห้องพักของตัวเองด้วยสีหน้านิ่งเฉย ทว่าในใจกลับรู้สึกอึดอัด ชีวิตที่นี่ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน หากอยู่นานไปเขาคงได้ตายเพราะความเบื่อหน่ายแน่ๆ ดวงตาเรียวคมมองสุราหยกน้ำค้างในมืออย่างชื่นชม มันหอมหวานรสชาตินุ่มคอ หากไม่ได้เป็นของหายากที่ดื่มได้เฉพาะวังหลวงเขาคงแอบนำสูตรไปขายในโรงเตี๊ยมหู่ผีอิงอู่ในเครือของกลุ่มวิหคดำแล้ว และคงมีสิ่งนี้เท่านั้นที่ช่วยให้รู้สึกอยากอยู่ต่อสักหน่อย
    
           “หลวนซานมาเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
    
           หลิ่วเหวินอี้บอกพร้อมเตรียมกระดานหมากล้อมไว้บนโต๊ะ หลวนซานเดินมานั่งตามคำสั่งอย่างว่าง่ายเพราะว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่มาเล่นเป็นเพื่อน หมากสีดำและขาวถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือกลับมีแขกเดินเข้ามาหา ไม่สิ ต้องเรียกว่าเจ้าของตำหนักถึงจะถูก เขาเหลือบมองใบหน้าคมคายซึ่งตอนนี้เคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย ข่าวการตายของพระสนมใช่ว่าเขาจะไม่รู้เพียงแต่คิดว่าไม่ใช่เรื่องของตนเอง จึงอยู่นิ่งๆไม่ได้สืบสาวความจริงแต่อย่างไร
    
          “รบกวนเจ้าหรือเปล่า”
    
          “เปล่า” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับเสียงเรียบ หลวนซานลุกขึ้นยืนถอยหลังห่างออกไป ลั่วเหยียนเจิ้งจึงมานั่งแทนที่ ใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มกลับมาเหมือนเดิมแต่แววตาหนักใจนั้นไม่อาจปิดบังสายตาตนไปได้
    
          “เจ้าคงจะเบื่อ” ดวงตาคมที่มองมาเหมือนมานั่งอยู่กลางใจ หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับเพียงแค่จับหมากในมือพร้อมยื่นหมากสีขาวให้อีกฝ่าย
    
          “เจ้าเหมือนจิวชงหยวน ที่ไม่ชอบการผูกมัดและหาทางออกไปจากวังหลวงและในที่สุดชงหยวนก็ทำได้อีกทั้งยังพาน้องชายข้าไปด้วย” หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ที่อีกฝ่ายเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟัง แต่ว่าจิวชงหยวนหากเขาจำไม่ผิดคือหมอเทวดาที่ช่วยเหลือเขาเมื่อสามปีก่อน
    
          แสดงว่าลู่เฟยบุคคลที่ติดตามหมอเทวดาผู้นั้นคือน้องชายของลั่วเหยียนเจิ้งอย่างนั้นหรือ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนทอดทิ้งความสบายติดตามคนรักออกไปท่องยุทธภพข้างนอก แต่เมื่อมองคนที่อยู่ตรงหน้าแล้วได้แต่เก็บซ่อนความคิดไว้ในใจเพราะเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนผู้นี้จะทอดทิ้งทุกอย่างเพื่อคนคนหนึ่ง ฮ่องเต้ย่อมไร้ใจถึงจะนั่งครองบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง
    
          “คนเช่นเจ้ายากนักที่อยากอยู่ในกรงทอง” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวเสียงนุ่มวางหมากสีขาวลงตำแหน่งที่เหมาะสม ใบหน้ายังฉายแววอ่อนโยน หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างไม่เข้าใจว่าวันนี้ฮ่องเต้ผู้นี้จะมาไม้ไหน
    
           “ท่านเป็นอะไร หรือว่านอนไม่พอ”
    
           “เปล่า ข้าแค่คิดว่าหากมีเจ้าคอยอยู่เป็นเพื่อนตลอดไปคงดีไม่น้อย” รอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจส่งมาให้ทำให้มือที่วางหมากสีดำสะดุดลงและเผลอไปวางผิดตำแหน่งจนโดนกินหมากไปอย่างง่ายดาย
    
           “ท่านต้องการอะไรพูดมาเลยดีกว่า ข้าไม่ชอบอ้อมค้อม” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบ ดวงตากวาดมองใบหน้าคมคายที่แต้มด้วยรอยยิ้มอย่างหงุดหงิดในใจ คนผู้นี้ชอบทำให้ใจเขาไม่สงบอยู่เรื่อย
    
           “น้องเหวินอี้ฉลาดหลักแหลม ต้องการมาเป็นกุนซือข้างกายพี่เหยียนเจิ้งคนนี้หรือไม่”
    
           “ข้าไม่ชอบหลายตำแหน่ง แค่พี่น้องร่วมสาบานก็มากพอแล้ว อีกอย่างข้าคงมิกล้ารับตำแหน่งกุนซือข้างกายฮ่องเต้หรอก” หลิ่วเหวินอี้กล่าวประชดอย่างอดไม่อยู่ ใบหน้าแต้มยิ้มหัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนจะยึดหมากสีดำเขาไปอีกครั้ง การเดินหมากที่ใจไม่สงบกลับพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย
    
           “ปกติในวังหลวงเขาทำอะไรกัน” หลิ่วเหวินอี้เปลี่ยนเรื่องคุย ขณะเก็บหมากล้อมที่พ่ายยับเยินเพราะไม่มีอารมณ์จะเล่นต่อ ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้ว่าอะไรนอกจากเก็บช่วย
    
           “สำหรับข้าหากว่างจากราชกิจก็จะเล่นหมากล้อม วาดรูป เล่นพิณ อ่านหนังสือ” หลิ่วเหวินอี้หลับตาปิดบังความรู้สึกตนเองเงียบๆ ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย ทว่าในใจกลับรู้สึกว่าหงุดหงิดกับกิจกรรมยามว่างของคนตรงหน้า ชีวิตทำไมน่าเบื่อและจืดชืดเช่นนี้ และของพรรคนั้นเห็นแต่พวกผู้หญิงทำกันไม่ใช่หรือ อย่าบอกนะว่าเย็บปักถักร้อยคนตรงหน้าก็ทำเป็น
    
           เสียงหัวเราะในลำคอของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้ลืมตาขึ้นมามองอีกครั้ง ดวงตาคมจับจ้องมองเขาอย่างไม่เกรงใจ รอยยิ้มแต้มบนใบหน้ามีแต่การลวงหลอกจนบางครั้งอยากรู้ว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของคนตรงหน้าจะเป็นเช่นไร และโหดเหี้ยมแค่ไหน
    
          “เจ้าอยากเล่นอะไรก็ได้แก้เบื่อ แต่อย่าให้โดนจับได้ก็พอแล้ว”รอยยิ้มและดวงตาอ่อนลงกว่าปกติสองส่วน ทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้า เขาเข้าใจความหมายนั้นดีเพียงแต่เหตุใดเขาต้องเอาตัวไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายที่ไม่ใช่เรื่องของตนเองด้วย
    
          “ข้าขออยู่เฉยๆ” หลิ่วเหวินอี้ปฏิเสธอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด เรื่องภายในวังหลวงเขาไม่อยากข้องเกี่ยว แค่นี้ก็หลวมตัวมามากแล้ว
    
           “เจ้ารู้จักกลุ่มนักฆ่าแมงป่องกับนักฆ่าใบ้หรือไม่” หลิ่วเหวินอี้นิ่งไปกับคำถามที่ครั้งนี้ตรงไปตรงมาอย่างไม่อ้อมค้อม ใบหน้าคมคายกลับมาจริงจังอีกครั้งอาจเพราะเห็นว่ายิ่งหลอกล่อยิ่งไม่ได้อะไรเลย
    
           “ท่านอยากได้คำตอบแบบไหน”
    
           “ความจริง” น้ำเสียงจริงจังและดวงตาคมกริบมองมาไม่ได้คาดคั้นแต่กลับแฝงไว้ด้วยความจริงใจ ซึ่งทำให้หลิ่วเหวินอี้รู้สึกแปลกๆ เพราะปกติคนตรงหน้าจะมากเล่ห์มีรอยยิ้มจอมปลอมอยู่เป็นนิจ
    
           “ข้าจะได้อะไร” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามแม้จะเป็นพี่น้องร่วมสาบานแต่เขาก็ไม่อยากขาดทุน ทุกการลงทุนย่อมมีผลกำไร แม้เรื่องนี้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่หากฉวยโอกาสได้เขาก็จะทำอย่างไม่ลังเล   

          “ข้าจะตอบคำถามเจ้าก่อนหนึ่งเรื่องในสิ่งที่เจ้าอยากรู้เกี่ยวกับกระบี่หยกขาวหรือผู้เป็นเจ้าของ” หลิ่วเหวินอี้มองอีกฝ่ายนิ่งๆ การเปลี่ยนแปลงสีหน้าและดวงตาจริงใจอีกฝ่ายทำให้ไม่คุ้นเคยแม้มุมปากจะยกยิ้มบางก็ตาม แต่หากได้คำตอบอย่างที่อีกฝ่ายรับปากจริงๆ เขาก็จะได้ไปจากที่แห่งนี้เช่นกันนับว่าไม่เสียเปรียบ
    
          “นักฆ่าแมงป่องเป็นคนกลุ่มน้อยจากทะเลทรายทางตอนใต้ของเจียงหนาน มีความสัมพันธ์กับแคว้นชิงเว่ยทุกคนมีรอยสักรูปแมงป่องอยู่กลางหน้าอก ส่วนนักฆ่าใบ้ชอบทำงานเป็นกลุ่มทุกคนโดนตัดลิ้นการควบคุมพวกเขาเป็นหนอนพิษแดงและผู้ผลิตยาชนิดคือพรรคหมื่นพิษที่หนีรอดจากการสังหารของหมอเทวะมารได้” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบมองดูใบหน้าคมคายที่ฉายแววเคร่งเครียดตรงหน้า แม้ไม่ค่อยได้รู้ประวัติของสองกลุ่มนี้มากนัก แต่ข่าวสารของอีกาดำไม่ได้เป็นรองผู้ใด
    
         “แสดงว่ามีสองกลุ่ม” หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับ เพราะความเป็นไปได้สูงมากที่คนในวังร่วมมือกับคนพรรคมาร และอาจเป็นไปได้ว่าคนผู้นี้เป็นคนสร้างนักฆ่าขึ้นมาด้วยตนเองโดยไม่ต้องจ้างวาน
    
         “คราวนี้ตอบคำถามข้า”
    
         “เหตุใดเจ้าต้องการรู้เกี่ยวกับกระบี่หยกขาว” หลิ่วเหวินอี้หรี่ตามองคนถามที่ยกยิ้ม หรือว่าเขาเชื่อใจคนตรงหน้าเกินไปจึงเบี้ยวที่จะตอบคำถาม
    
          “ไม่ใช่เรื่องที่ฮ่องเต้เช่นท่านจะรู้ แค่ตอบคำถามข้าก็พอ” น้ำเสียงเย็นนิ่งพร้อมไอเย็นที่แผ่ออกมา ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบางแล้วส่ายหน้าเบาๆ
    
          “ข้าไม่ได้คิดเบี้ยวคำตอบจากเจ้าเพียงแค่อยากรู้ว่าเหตุผลเพราะคนที่ให้กระบี่ข้าหาใช่มนุษย์ไม่”
    
           หลิ่วเหวินอี้กลับมาสงบนิ่งเช่นเดิม แต่ใบหน้างดงามเบือนออกนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยเพราะคนที่ต้องการคำตอบนี้จริงๆ ก็ไม่ใช่มนุษย์ หากคนที่ให้กระบี่หยกขาวของล้ำค่าเช่นนั้นแก่ลั่วเหยียนเจิ้งมิใช่มนุษย์ก็ไม่นับว่าแปลกอันใด แต่สิ่งที่เขาสงสัยเหตุใดถึงมีสิ่งที่เรียกว่าปีศาจ เทพ เซียน ใช่ว่าเขาไม่เชื่อเพราะแม้แต่ตนเองยังเป็นวิญญาณมาจากภพภูมิอื่น
    
           “เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ” น้ำเสียงตัดท้อจากคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามทำให้หันกลับมามองอีกครั้ง แววตาเรียวคมมองใบหน้าคมคายดวงตาตัดท้อของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
    
           “เปล่า ข้าแค่คิดว่าเหตุใด ปีศาจ เทพ เซียน ถึงมาท่องอยู่ในโลกมนุษย์”
    
           “ทุกคนอาจมีหน้าที่ หรือไม่ก็บางคนอาจถูกลงทัณฑ์ไม่สามารถกลับดินแดนตนเองได้”
    
           “แล้วคนที่ให้กระบี่หยกขาวแก่ท่านเล่า” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเมื่อเห็นดวงตาเศร้าสลดของอีกฝ่ายเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป ทว่ามันกลับสร้างความสงสัยภายในใจว่าคนผู้นี้ทำไมมีสีหน้าเช่นนี้ได้ ทั้งๆ ที่ควรจะไร้ใจมิใช่หรือ
    
          “ถือว่าเป็นหนึ่งคำถามที่ข้าจะตอบเจ้า คิดดีแล้วหรือว่าอยากได้คำตอบแบบไหน ข้าจะตอบเพียงคำถามเดียว” หลิ่วเหวินอี้เม้มปากแน่นมองคนฉลาดอย่างเจ็บใจนิดๆ เผลอหน่อยก็ไม่ได้เขาจะได้คำตอบทั้งหมดอยู่แล้วเชียว
    
          “ข้าขอที่อยู่คนคนนั้นก็แล้วกัน” หลิ่วเหวินอี้ตัดสินใจเอ่ยคำถามที่น่าจะมีประโยชน์มากที่สุด ชื่อแซ่ยังไงค่อยไปไถ่ถามกันทีหลังหากพบเจอแล้วก็คงจะง่ายขึ้น ทว่าเมื่อสบตาคมของลั่วเหยียนเจิ้งกลับรู้สึกว่าตนเองถามคำถามผิดไป
    
           “คำถามนี้แม้แต่ข้าก็ไม่อาจตอบได้ ข้ารู้เพียงแค่ว่าที่นั่นเรียกว่าหุบเขาเร้นลับ กาลเวลาไม่สิ้นสุด หนึ่งปีที่นั่นเท่ากับหนึ่งวันในโลกมนุษย์” หลิ่วเหวินอี้นิ่งไป ภายในใจเกิดความสงสัยเหตุใดคนตรงหน้าถึงยอมบอกความจริงกับเขา จากที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานทำให้รู้ว่าลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้โกหก เขาถอนหายใจเพราะรู้สึกว่าเรื่องมันช่างเป็นปริศนาไปหมด
    
           “รู้หรือไม่เหตุใดข้าถึงยอมความจริงกับเจ้าทั้งๆ ที่ข้าไม่เคยสนใจสิ่งใดมาก่อน” หลิ่วเหวินอี้หันมามองคนเอ่ยปากถามอีกครั้ง แววตาและรอยยิ้มที่ส่งมาทำให้รู้สึกแปลกๆ ความเชื่อใจก็ไม่ใช่เขาไม่เคยสัมผัสความรู้สึกการไว้วางใจใครสักคนอย่างหมดหัวใจมาก่อน
    
           “ข้าแค่อยากจริงใจกับเจ้า เผื่อสักวันเจ้าจะเปิดใจรับข้าไว้พิจารณาบ้าง” หลิ่วเหวินอี้นิ่งไปกับคำตอบ มองร่างสูงลุกขึ้นยืนมองมาที่เขาอย่างลังเล แต่ก็ไม่ได้พูดสิ่งใดต่อ
    
          “เจ้าควรพักผ่อน” บอกพร้อมเดินจากไปไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ หลิ่วเหวินอี้มองตามนิ่งๆ แม้อีกฝ่ายจะแสดงความจริงใจ แต่เขากลับยิ่งรู้สึกไม่ไว้วางใจ เหมือนกับว่าโดนหลอกล่อให้ตกหลุมพรางเท่านั้น
    
          “นายน้อย” หลวนซานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง นายน้อยตนเองนิ่งเกินไปใบหน้าเย็นชาแต่ดวงตาเรียวคมมองตามหลังฮ่องเต้ไม่วางตา
    
            “ฮ่องเต้ย่อมไร้ใจ ไม่เช่นนั้นจะมีจุดอ่อน เจ้าว่าเขาต้องการอะไรจากข้า”
    
            คำถามนี้ทำให้หลวนซานเกาศีรษะ มองใบหน้างดงามของเจ้านายแล้วได้แต่ยิ้มแห้ง พรางคิดว่านายน้อยไม่รู้คำตอบจริงๆ หรือ ตั้งแต่ร่วมเดินทางมาด้วยกันตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาองค์จักรพรรดิผู้นี้มองหลิ่วเหวินอี้อย่างชื่นชมความงดงามและความฉลาด บางครั้งสายตายังอ่อนลงอย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป หากให้บ่าวผู้ต่ำต้อยคาดเดาก็คงเป็น ฮ่องเต้ผู้นี้หลงรักนายน้อยอย่างไม่รู้ตัวเข้าเสียแล้ว



          ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์จ้า จุ๊บๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อค่ะ :bye2: :bye2: :bye2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
คนฉลาดมักโง่(?)เรื่องรักสินะ :hao7:

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
 :katai4: :kaขยันโพสต์มากๆค่ะ ชื่นชม  ตอนนี้ยังคงเป็รปริศนาต่อไป แต่คู่รององค์ชาย3 กับจิงชงหยวนกำลังมา เย้ จะได้มีฉากสวีทบ้าง

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
เหวินอี้คงมีอคติกับความรักสินะ

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่17เรื่องบังเอิญหรือว่าตั้งใจ(P.4วันที่ 26/5/59)

            ณ ตำหนักเยว่ชิงตอนนี้กลับมีไฟลุกไหม้อย่างน่ากลัว ร่างเล็กวัยสิบสองขวบปีสะดุ้งตื่นจากที่นอน มองรอบกายอย่างตื่นตระหนก มือเล็กโบกควันตรงหน้าไปมาพร้อมสำลักเล็กน้อย แม้จะโดนยาพิษหลากหลายชนิดก็ยังไม่ตายและยังรอดปลอดภัยมาได้ แต่หากไม่มีอาจารย์ผู้ล้ำเลิศอย่างฝู่ซานก็คงไม่มีวันนี้ ทุกวันนี้เพียงแค่แสร้งป่วยกระเสาะกระแสะอยู่บ่อยครั้งเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าวันนี้ตนจะโดนย่างสดเช่นนี้
    
           “ฝ่าบาท!” หยางซือหมิงพุ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ควันไฟฟุ้งไปทั่วห้องพร้อมไฟเริ่มลุกลามเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
    
           “ข้าไม่เป็นไร รีบออกไปเถอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งหรือรัชทายาทของแคว้นลั่วหยางเอ่ยบอกเสียงนิ่งเรียบ แม้เหตุการณ์ตรงหน้าน่าหวาดหวั่นแต่แววตากลับนิ่งเฉยไม่ได้หวั่นกลัวความตายที่ผู้อื่นมอบให้ มือเล็กคว้ากระบี่หยกขาวบนที่นอนพุ่งออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ความสามารถนี้ยังมิมีใครรู้และจะไม่รู้จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร หยางซือหมิงองครักษ์ฝ่ายขวาก็ตามมาติดๆ ทั้งคู่ออกห่างจากตำหนักมาไกลมากโขมองดูตำหนักเยว่ชิงที่โดนไฟลุกไหม้อย่างน่ากลัว ทหารองครักษ์รอบบริเวณต่างพากันช่วยดับไฟแต่กว่าจะมอดดับก็ผ่านไปครึ่งชั่วยาม
    
              แค่กๆ
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งสำลักควันไฟเล็กน้อย ใบหน้าคมคายตั้งแต่เยาว์วัยดำไปด้วยเขม่าควัน ดวงตาคมนิ่งกวาดมองรอบด้านเพื่อหาหนทางแก้ตัวที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่
    
            “กวงไห่ยังไม่มาเหรอ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามถึงองครักษ์ฝ่ายซ้ายของตนเองซึ่งให้ไปหาซื้อสมุนไพรหายากบางชนิดนอกวังหลวง เพราะคนที่แกล้งป่วยอย่างตนจึงไม่สามารถไปเพ่นพ่านในห้องยาได้
    
            “ยังพ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงที่อายุราวสิบเจ็ดปี แต่มีวรยุทธล้ำเลิศเหนือกว่าพวกพ้องรุ่นเดียวกันจึงได้ถูกมอบหมายมาทำหน้าที่องครักษ์รัชทายาทเช่นตน และเป็นคนที่เสด็จพ่อคัดเลือกด้วยตนเองจึงวางพระทัยได้ เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนที่ตนหนีรอดตายมาได้ แต่องครักษ์ที่ช่วยเหลือถูกสังหารจนหมดสิ้นจึ งได้องครักษ์ชุดใหม่มา แต่กว่าเขาจะไว้ใจได้ทั้งคู่ต่างถูกทดสอบจากเขาแทบเอาชีวิตไม่รอด แค่คิดก็รู้สึกยินดีที่ได้กลั่นแกล้งพวกองครักษ์ ครั้งแรกทำหน้าที่เหมือนผีดิบตายซาก  ไม่พูดไม่จา ยืนเฝ้ารอรับคำสั่งเหมือนคนตายด้าน
    
          “ไปหาน้องห้ากันเถอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยบอกพร้อมหมุนกายไปยังตำหนักกลางของลู่เฟยน้องชายคนที่ห้าที่ตนไว้ใจมากที่สุด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงวางใจจากคนคนนี้ แม้จะหาเหตุผลไม่พบแต่ภายภาคหน้าเขาคงได้คำตอบ    
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งมองน้องชายวัยสิบเอ็ดขวบปีที่นั่งอยู่บนเตียงนอนเหมือนรอคอยตนอย่างฉงน ข้างโต๊ะมีอ่างน้ำกับผ้าสีขาวเตรียมไว้ให้ล้างหน้าเหมือนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็นำผ้ามาเช็ดหน้าจนเขม่าสีดำบนใบหน้าออกจนเกลี้ยงเกลา
    
         “ไม่ต้องแปลกใจหรอก ข้าฝันเห็นเมื่อวาน” น้ำเสียงเล็กๆ ใบหน้าคมคายและออกจะหล่อเหลาในภายภาคหน้าแต่กลับนิ่งเรียบ คำกล่าวที่แสนประหลาดทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดน้องชายเหมือนจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แม้จิตใจจะสงบแต่ในใจก็อดที่จะรู้สึกหวาดระแวงไม่ได้ อาจเพราะหลายปีมานี้ไม่เคยมีวันไหนที่เขาจะไม่โดนลอบสังหาร
    
         “ท่านพี่วางใจเถอะข้าไม่เคยคิดสังหารท่าน” คำกล่าวเหมือนมานั่งกลางใจทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งถอนหายใจ บางครั้งก็เขารู้สึกว่าลู่เฟยฉลาดมากไป หากคนอื่นรับรู้คงได้ถูกสังหารไม่ต่างจากตน เห็นทีคราวนี้คงมาหาน้องห้าไม่ได้บ่อยๆ และคงจะแอบติดต่อกันเพื่อป้องกันอันตรายในภายภาคหน้า
    
          “พี่ขอรบกวนเจ้าแค่วันนี้” บอกกล่าวพร้อมปีนขึ้นที่เตียงนอนอีกฝ่าย ซึ่งเจ้าตัวก็ขยับถอยไปให้อย่างว่าง่าย
    
         “ข้ายังไงก็ได้ แต่ข้าไม่ยอมให้ท่านพี่ตายง่ายๆ หรอกวางใจได้” คำกล่าวของเด็กวัยสิบเอ็ดขวบทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งแปลกใจ แม้จะห่างกันแค่ปีเดียวแต่เนื่องจากตนไปอยู่ในหุบเขาเร้นลับมาหลายปีทำให้รู้ความมากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว และที่สำคัญเขามีอาจารย์ดีจึงได้รู้เท่าทันโฉมหน้าที่แท้จริงของคนพวกนั้น แต่ลู่เฟยน้องห้าผู้ที่เกิดจากสนมจางกุ้ยเฟยจึงได้สงบนิ่งและเหมือนรู้เท่าทันผู้คนได้มากมายเพียงนี้
    
          “น้องห้าเจ้าไม่อยากได้บัลลังก์เหมือนคนอื่นๆ บ้างหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามด้วยความสงสัย แม้จะนอนเคียงข้างกันแต่ดวงตาคมยังลืมตาขึ้นมองเพดานเงียบๆ เชิงเทียนถูกดับลงคล้ายจะไม่รับรู้เหตุการณ์วุ่นวายภายนอก
    
          “ไม่รู้สิ แม้แต่ตัวข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกับตนเกิดมาเพื่อปกป้องท่านมากกว่าที่จะขึ้นครองบังลังก์ด้วยตนเอง” น้ำเสียงนิ่งเรียบ ฟังแล้วรู้สึกสงบคนข้างกายบอกเล่าเหมือนรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ ลั่วเหยียนเจิ้งเหลือบมองน้องชายที่เพียบพร้อมอีกทั้งมีมารดาเป็นที่รักของเสด็จพ่อ แต่กลับไม่ต้องการความเป็นใหญ่ ตระกูลจางที่หนุนหลังใช่ว่าจะต่ำต้อย
    
          “ข้าจะเชื่อเจ้าลั่วลู่เฟย” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกเสียงแผ่ว ก่อนจะหลับตาลงเพื่อเก็บแรงไว้รับมือกับวันพรุ่งนี้ ภายในตำหนักลู่เฟยนั้นเงียบสงบ ต่างจากตำหนักเยว่ชิงที่มีเสียงร่ำไห้อย่างแสแสร้งอยู่รอบบริเวณ เพราะคิดว่าองค์รัชทายาทได้สิ้นพระชนม์แล้ว
    
          ทว่าพวกที่อยู่เบื้องหลังคงได้เสียน้ำตาจอมปลอมเปล่าประโยชน์ เพราะเจ้าของตำหนักเวลานี้กำลังหลับสบายอยู่ตำหนักองค์ชายห้าลู่เฟย...
    
          เช้าวันรุ่งขึ้นองค์รัชทายาทเดินกลับตำหนักด้วยใบหน้าใสซื่อ เมื่อเห็นตำหนักที่ถูกไหม้จนไม่หลงเหลือเค้าเดิมดวงตากลับปรากฏความเศร้าหมอง ใบหน้าซีดเผือดร่างเล็กวัยสิบสองขวบปีสั่นระริกคล้ายคนหวาดกลัว เมื่อทุกคนถามไถ่ ลั่วเหยียนเจิ้งเพียงแค่บอกว่าไปเล่นหมากล้อมกับองค์ชายห้าจนเผลอหลับที่ตำหนักนั้นไม่ได้กลับตำหนักเยว่ชิง
    
           ฮ่องเฮาผู้เป็นมารดาได้แต่กราบไหว้ฟ้าดินที่รัชทายาทไม่ทรงเป็นอะไร ทว่าสร้างความเคียดแค้นชิงชังให้กับผู้ลงมือ แม้จะสาเหตุไฟไหม้นั้นพบเจอเพียงเชิงเทียนล้มลงตามแรงลมจึงทำให้ไม่สามารถจับมือใครได้ แม้ภายนอกจะคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญแต่เขากลับรู้ดีว่าเป็นความตั้งใจของใครบางคน
    
           ตำหนักเยว่ชิงได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่และใหญ่โตยิ่งกว่าเดิม ทำให้ผู้ที่วางแผนสังหารเจ็บใจยิ่งนักแทนที่กำจัดศัตรูที่ขวางทางก้าวหน้าตนได้ กลับกลายเป็นทำให้รัชทายาทได้ตำหนักและองครักษ์เพิ่มมากขึ้นจนยากต่อการลอบสังหาร      
    
           เหตุการณ์เมื่อครั้งนั้นทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งอยู่อย่างสงบได้นับเดือน แต่ก็มีบ้างที่เผลอกินยาพิษไป แต่ร่างกายที่ต้านพิษได้ทำให้ไม่เป็นไรมากอี กทั้งพิษเหล่านี้ไม่ได้แปลกใหม่อะไร จึงแค่แสร้งเจ็บป่วยร่างกายอ่อนแอในช่วงฤดูหนาวก็จะเก็บตัวเหมือนคนโดนอากาศเย็นไม่ได้ แม้ภายนอกคนอื่นจะคิดว่าองค์รัชทายาทพระวรกายอ่อนแอจึงไม่อยู่พบปะผู้คน แต่แท้จริงแล้วเจ้าตัวชอบแอบออกนอกวังหลวงอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งได้มีการร่วมมือกับองค์ชายห้าลู่เฟยอยู่เงียบๆ เริ่มจัดหาผู้คนมาเป็นองครักษ์เงา การดำเนินเป็นไปอย่างเงียบๆ ผ่านมาหลายปีจนกระทั่งมียอดฝีมืออยู่ข้างกายหลายคน อีกทั้งมั่นใจว่าตนจะไม่ถูกหักหลัง
    
         “ฝ่าบาทพระสนมหลิ่วเหวินอี้มาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงนุ่มนิ่มของหลินกงกงรายงานอยู่หน้าประตู ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหลุดจากภวังค์หันไปมองแล้วยกยิ้มบาง ตำแหน่งที่หลินกงกงเรียกขาน ป่านนี้คนงามที่ยืนอยู่ด้านนอกคงโกรธจนควันออกหูแล้วแน่ๆ เขาเดินออกไปหาด้วยรอยยิ้มเมื่อเป็นอย่างที่คิด ดวงตาเย็นเยือกมองสบตาเขาพร้อมจิตสังหารพุ่งมาทิ่มแทงเหมือนจะฆ่าเขาให้ตายเสียตรงนั้น แต่จะแปลกอันใดในเมื่อเขาคิดจะสร้างตำหนักเถาฮวาให้หลิ่วเหวินอี้ ทุกคนที่นี่ต้องรับรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายมีฐานะใด
    
          “ท่านพี่ไม่ทราบว่าข้ามีตำแหน่งนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน” ดวงตาเย็นเยือกพร้อมน้ำเสียงที่เหมือนจะกัดฟันพูดทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มรับมือขวาพาดไหล่คนงามที่ตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจ ก่อนจะพามานั่งบนโต๊ะน้ำชาที่มีอาหารว่างวางอยู่
    
          “เจ้าอย่าได้คิดมากไป แม้คนอื่นจะเข้าใจว่าน้องเหวินอี้เป็นสนมรักข้าในเวลานี้ แต่แท้จริงเรายังเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันเช่นเดิม” น้ำเสียงนุ่มนวลไม่ได้ทำให้คนเย็นชาผ่อนคลายลง ยกมือปัดแขนคนที่ฉวยโอกาสลวนลามตนอย่างระอา นี่จะให้ไว้ใจได้อีกหรือว่าไม่ได้คิดไม่ซื่อกับตน
    
          “น้องเหวินอี้มาพบข้าเพราะเหตุใดกัน” ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ใส่ใจกับดวงตาเย็นเยือกที่ส่งมา เลื่อนเก้าอี้ให้อีกฝ่ายนั่งอย่างเอาใจ ก่อนจะรินน้ำชาดอกท้อกลิ่นเดียวกับคนงามให้อย่างคุ้นเคย แม้ไม่เคยรับใช้ผู้ใดแต่ตนกลับยินดีที่จะทำให้อีกฝ่ายอย่างน่าประหลาดใจ
    
           “ข้าจะออกไปข้างนอก” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนงามที่รับจอกชาไปแต่ไม่ดื่ม ดวงตาเย็นชาที่มองมาไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แม้ใบหน้างดงามจะเรียบนิ่งเช่นเดิมก็ตาม
    
           “เจ้าเบื่อ”
    
           “จะว่าเช่นนั้นก็ได้ ที่นี่ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ” ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งเงียบไป ไม่ได้แปลกใจกับอีกฝ่ายที่ไม่ชอบความน่าเบื่อเช่นนี้ที่นี่ไม่มีอะไรให้ชาวยุทธสนใจจริงๆ
    
           “แม้แต่ตัวข้าก็น่าเบื่อสำหรับเจ้าหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนงามที่นิ่วหน้าขมวดคิ้วมุ่นมองเขาคล้ายคิดมิตก ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างระอา ทำให้รู้สึกเศร้าในใจไม่ได้ เขาไม่มีสิ่งใดทำให้อีกฝ่ายหายเบื่อหน่ายได้หรอก ที่นี่ไม่ใช่ยุทธภพที่จะมีเรื่องกันอย่างออกนอกหน้า มีแต่พวกสุนัขลอบกัดเท่านั้น
    
           “ข้ามาที่นี่ไม่ได้มาบอกว่าท่านน่าเบื่อ แค่อยากออกไปข้างนอกสืบข่าวอะไรเสียหน่อย เพราะข้าออกจากตำหนักนี้ไม่ได้มีแต่คนติดตามเหมือนจะมีคนมาฆ่าข้าเสียอย่างนั้นแหละ” น้ำเสียงเบื่อหน่าย และดวงตาเรียวคมมองมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มบาง หากคนตรงหน้าคิดจะไปจริงๆ คงไม่มีใครตามเจอ เขารู้สึกยินดีที่อีกฝ่ายยังเห็นความสำคัญของตนอยู่บ้าง
    
         “เข้าใจแล้ว เย็นนี้ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยดวงตาเป็นประกาย ทว่าหลิ่วเหวินอี้กลับนิ่วหน้ามองตามอย่างไม่เข้าใจ
    
         “ท่านจะไปทำไม รอจับหนูที่นี่ไม่ดีกว่าหรือ”
    
         “อีกสามวันน้องชายข้าจะมาพวกหนูฉลาดๆ แบบนี้คงอยู่เงียบๆ ไปสักพักไม่มีอะไรน่าห่วงในช่วงนี้ ไปเที่ยวกับเจ้าน่าจะสนุกกว่า” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับอย่างมั่นใจ พวกหนูกลุ่มนี้ฉลาดและมีสายข่าวที่ดีไม่เช่นนั้นคงมีการเคลื่อนไหวบ้าง แต่องครักษ์เงาไม่สามารถหาสิ่งแปลกปลอมในวังหลวงได้ สิ่งเดียวที่พอคิดได้เวลานี้คือ พวกมันกลัวลู่เฟยกับจิวชงหยวน
    
          เหอะ พวกสุนัขลอบกัดคิดว่าไม่มีสองคนนี่แล้วจะรอดสายตาเขาไปหรืออย่างไร
    
          “เช่นนั้นก็ไปตอนบ่ายนี่เลย” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนใจร้อนอย่างแปลกใจ แต่เมื่อเห็นความเบื่อหน่ายในสายตาจึงพยักหน้าตกลง จากนั้นจึงไปเปลี่ยนชุดเป็นชาวบ้านธรรมดา และแน่นอนพวกเขาไม่ได้ออกไปอย่างฮ่องเต้หรือขุนนาง
    
         หลิ่วเหวินอี้พลิ้วไหวพุ่งข้ามกำแพงวังสูงใหญ่อย่างคล่องแคล่ว ไม่ได้มีอุปสรรคขัดขวางในการเดินทางเพราะมีฮ่องเต้ผู้แสนยิ่งใหญ่ติดตามมาด้วย และที่สำคัญเจ้าตัวไม่พกแม้แต่องครักษ์สักคนเดียว คนที่เคยเห็นก็เหมือนมีหน้าที่รับผิดชอบจึงไม่ค่อยได้เห็นอีกฝ่ายบ่อยนัก หากคาดเดาไม่ผิดคงไปสืบข่าวหาสาเหตุการตายของเหล่าสนม
    
          หลังจากพ้นกำแพงวังมาคือเมืองหลวงอันมั่งคั่งของแคว้นลั่วหยาง ที่นี่ดูวุ่นวายแต่ก็ทำให้ไม่น่าเบื่อเหมือนภายในวัง เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจิวชงหยวนน้องสะใภ้ของลั่วเหยียนเจิ้งถึงอยู่ที่นั่นไม่ได้ ชาวยุทธที่ชอบท่องอิสระยากนักที่จะอยู่ในกรงทองได้ แม้แต่ตัวเขาเองหากไม่มีข้อแลกเปลี่ยนก็คงไม่อยู่ ใช่ว่าเขาจะชอบความวุ่นวายแต่ความสงบนิ่งมีแต่คลื่นใต้น้ำมันก็ใช้ชีวิตไม่สงบเหมือนกัน ไม่ว่าที่นิกายมารฟ้าหรือที่วังหลวงก็ไม่อาจนอนหลับได้สนิทใจ แต่เขากลับเริ่มชินชาในเรื่องนี้เพราะตลอดชีวิตในสองชาติภพก็ไม่มีวันไหนได้นอนหลับสนิทเช่นกัน
    
         “เจ้าจะไปที่ไหนก่อน” หลิ่วเหวินอี้หันไปมองคนที่เดินเคียงข้างซึ่งสวมใส่อาภรณ์สีขาวเนื้อผ้าราคาแพงดูเรียบง่ายแต่ไม่อาจบดบังสง่าราศีของอีกฝ่ายได้
    
        “เดินเล่นเรื่อยๆ” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับอย่างไม่ใส่นัก มองดูบ้านเรือนที่เริ่มประดับโคมไฟเพราะใกล้เทศกาลหยวนเซียวแล้ว ร้านค้าแต่ละร้านดูครึกครื้นแต่น่าแปลกในวังหลวงยังไม่ได้จัดงานหรือเขาไม่ได้สังเกตกันแน่ หลวนซานวันนี้ไม่ได้ติดตามมาด้วยเพราะให้ไปสืบข่าวตำหนักทางตะวันออกซึ่งเป็นตำหนักไม้ไผ่ที่ตนเผลอเข้าไปวันนั้น เขาอยากรู้ความสัมพันธ์ของบุรุษแปลกหน้าทั้งคู่ แม้จะสะอิดสะเอียนกับภาพที่เห็นแต่ก็ไม่อาจปล่อยวางได้ หากเขาช่วยลั่วเหยียนเจิ้งได้ก็นับว่ามีบุญคุณต่อกัน
    
        “อีกเจ็ดวันจะมีเทศกาลหยวนเซียว มิน่าละน้องชายข้าถึงมาเยือน” หลิ่วเหวินอี้หันไปมองคนโบกพัดในมือหันมองรอบเมืองอย่างสนใจ กิริยาเช่นนี้ทำให้เจ้าตัวเหมือนฮ่องเต้เจ้าสำราญไม่มีผิด และอาจจะใช่เพราะสนมนางในวังหลังมีไม่ต่ำกว่ายี่สิบหรืออาจมากกว่านั้น
    
       “ในวังมีงานหรือไม่” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถาม ทว่าคนข้างกายกลับหายไปอย่างว่องไว เมื่อมองรอบกายจึงเห็นร่างสูงสง่างามกำลังซื้อถังหูลู่อยู่ร้านรวงไม่ไกลนัก เขายกมือกุมขมับกับนิสัยชอบของหวานของอีกฝ่าย นี่แม้แต่ขนมข้างทางยังซื้อกิน หากเทียบพวกเชื้อพระวงศ์คงไม่มีใครทำเหมือนเจ้าแน่ๆ ใบหน้าร่าเริงและรอยยิ้มละไมของอีกฝ่ายเวลานี้กลับทำให้หัวใจที่เย็นชารู้สึกกระตุกแปลกๆ ใบหน้าคมคายหันมาทางตนพร้อมร้อยยิ้มกว้างที่ทำให้รู้สึกตาพร่าไปชั่วขณะ
    
        “ข้าซื้อมาเผื่อเจ้าด้วย ร้านนี้อร่อยข้ารับรองได้ ข้าแอบมากินบ่อยๆ” หลิ่วเหวินอี้รู้สึกมึนงงกับตัวเองชั่วครู่มองถังหูลู่ในมือที่ถูกยัดเยียดให้โดยไม่ถามว่าเขาชอบของหวานหรือไม่ แต่เมื่อเงยหน้ามองคนให้ซึ่งกำลังยืนกินน้ำตาลเชื่อมในมือแล้วถึงกับพูดไม่ออก ทวงท่าแสนสบายไม่ได้ห่วงกิริยามารยาทเหมือนผู้ดีคนอื่นๆ
    
        “ไม่กินหรือ” หลิ่วเหวินอี้มองถังหูลู่แต่มันทำมาจากน้ำตาลล้วนๆ อย่างนิ่งงัน เขาไม่ใช่คนชอบของหวานแต่เมื่อเห็นสายตาคาดหวังจากอีกฝ่ายทำให้ลองยกกัดดูสักคำ ความหวานที่แผ่ซ่านทั่วลิ้นทำให้นิ่วหน้าน้อยๆ มองคนยิ้มบางกินของตนเองอย่างมีความสุขแล้วรู้สึกอิจฉาไม่ได้ แค่เพียงกินของที่ชอบก็รู้สึกมีความสุขขนาดนี้เชียวหรือ
    
         “เจ้าไม่ชอบ?” คำถามและดวงตาคมที่มอง ทำให้หลิ่วเหวินอี้ปิดปากเงียบก่อนจะกินส่วนที่เหลืออย่างเงียบๆ พรางเดินไปเบื้องหน้าโดยมีรอยยิ้มบางของคนข้างกาย เพียงพริบตาถังหูลู่ในมือของลั่วเหยียนเจิ้งก็หมดไป เจ้าตัวจับมือที่ว่างของเขาลากไปหาพุทราเชื่อมอีกร้านโดยไม่เอ่ยถามความเห็น
    
          มือซ้ายถูกจูงลากไปนู่นนี่อย่างน่าเวียนหัว ที่สำคัญขนมเต็มมือขวาจนแทบจะปาทิ้ง แล้วทำไมคนที่ไม่เคยสนใจอะไรถึงต้องมากล้ำกลืนกินขนมหวานของลั่วเหยียนเจิ้งด้วย
    
          เฮ่อ ชักเริ่มไม่เข้าใจตัวเอง...



   ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์จ้า จุ๊บๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อ สัก2ตอนดีไหมหว๋า อิอิ :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ anawas

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
ดีค่ะ. ดีงามมมมมมม~~. //เหวินอี้เริ่มมจอ่อนแล้วววว~~ :hao7:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ลากอ่านอย่างยาว แม้ว่าตอนอรกจะสับสนเรื่องชื่อคนไปบ้างก็ตาม ยังสนุกเช่นเคยชื่อคนแต่งรับประกันได้

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
ตอนนี้มีความมุ้งมิ้งนะเหวินอี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
เหวินอี้ตามเหยียนเจิ้งไม่ทันแล้ว 5555+

ออฟไลน์ lovetogether

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รู้สึกว่าลั่วเหยียนเจิ้งนี่ ห่วงของกินมากกว่าน้องชายนะ  :-[

ออฟไลน์ lovetogether

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ฟินนนนนน :mew3:
เหวินอี้จะตกหลุมที่ลั่วเหยียนเจิ้งขุดไว้รึเปล่าน้าาาาา
รอลุ้นอยู่และติดตามนะจ้าาาาา  :mew1:

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
 เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่18กินน้ำส้มสายชูไม่รู้ตัว (P.4วันที่ 27/5/59)

              ลั่วเหยียนเจิ้งกลับมาถึงตำหนักในเวลาพลบค่ำพร้อมด้วยขนมหวานหลายอย่าง ใบหน้าที่เคยเปื้อนยิ้มกลับมานิ่งเรียบ ทว่าเมื่อคิดถึงคนหน้านิ่งที่คิ้วขมวดเป็นปมลึกจนน่าขำก็ทำให้อดยิ้มไม่ได้ การได้แกล้งหลิ่วเหวินอี้ทำให้เขาอารมณ์ดีกว่าปกติ จากครั้งแรกที่พบคนผู้นี้ดึงดูดให้เข้าหาอย่างไม่ตั้งใจ ดวงตาเย็นชาติดจะรำคาญทำให้อยากจะเห็นรอยยิ้มบ่อยๆ แต่ก็แทบจะนับครั้งได้ที่เจ้าตัวจะยิ้มออกมา พอบอกให้ยิ้มก็เหมือนจะแยกเขี้ยวใส่เสียมากกว่า แค่นึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะกลับตำหนักก็ทำให้ดวงตาประกายอีกครั้ง
    
           “ข้าจะเป็นเบาหวานอยู่แล้ว กลับเถอะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งของคนที่หอบหิ้วขนมหวานของตนอีกทั้งดวงตาเย็นชาตวัดมองอย่างหงุดหงิด ยิ่งทำให้เขาอารมณ์ดี คำพูดที่บอกจะเป็นเบาหวานคล้ายจิวชงหยวนซึ่งเคยบอกเขาว่าสักวันคงได้ตายเพราะโรคเบาหวาน ตอนแรกคิดว่ามันจะเป็นขนมหวานแต่ที่ไหนได้มันเป็นโรคชนิดหนึ่งที่รักษาหายยาก หรือในกรณีหนักๆ ก็ไม่หายเลย แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่กลัว การที่ไม่ได้กินของที่ชอบนั่นสิ คือเรื่องเลวร้ายสุดๆ
    
         “เจ้ายิ้มหวานให้ข้าก่อนแล้วจะพากลับ” เขากล่าวหยอกล้อ ซึ่งอีกฝ่ายเหมือนอยากจะกลับมากถึงขนาดแยกเขี้ยวใส่เขาแทนที่จะเป็นยิ้มหวานเหมือนต้องการ แค่คิดถึงทีไรก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
    
         “ฝ่าบาทท่านอ๋องมู่เหรินมาถึงแล้วขอรับ” ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปมองหยางซือหมิงองครักษ์ฝ่ายขวาซึ่งหายไปทั้งวัน เพราะเขาสั่งให้ไปสืบเรื่องภายในวังหลังเงียบๆ
    
          “มีอะไรผิดปกติหรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามขณะเคาะพัดในมือเบาๆ ดวงตาเหม่อมองไปตำหนักเถาฮวาที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างรวดเร็ว
    
       “ไม่พ่ะย่ะค่ะ แต่ตำหนักเยี่ยเซียงขององค์ชายสิบหลิงเซียวมีการเคลื่อนไหวผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ เสนาบดีฝ่ายซ้ายคบหากับองค์ชายสิบอย่างลับๆ ที่สำคัญอีกฝ่ายมีวรยุทธที่ร้ายกาจซึ่งลักลอบเข้าไปตำหนักท้ายวังได้อย่างไม่มีใครสงสัยพ่ะย่ะค่ะ”
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้าครุ่นคิดไปถึงน้องสิบซึ่งรูปร่างบอบบาง ใบหน้างดงามคล้ายอิสตรีแต่ก็ถือว่าธรรมดามากหากเทียบกับหลิ่วเหวินอี้กับจิวชงหยวน หลิงเซียวมีมารดาเป็นนางกำนัลทำให้ฐานะไม่อาจเทียบเท่ากับองค์ชายองค์อื่นๆ ที่สำคัญมีงานเลี้ยงอันใดหากไม่จำเป็นเจ้าตัวจะไม่ค่อยปรากฏตัวหรือไม่เสด็จพ่อทรงลืมไปแล้วว่ามีบุตรคนนี้อยู่จึงไม่ได้ถูกเชื้อเชิญเข้าร่วม
    
            “จับตาดูไว้”
    
            “เอ่อ...ฝ่าบาท วันนี้กระหม่อมเห็นหลวนซานผู้ติดตามพระสนมหลิ่วเหวินอี้เพ่นพ่านอยู่หลังตำหนักเยี่ยเซียงด้วยพ่ะย่ะค่ะ” คำรายงานถัดมาทำให้หลิ่วเหวินอี้ขมวดคิ้วลึกกว่าเดิม ร่างสูงเดินไปรินน้ำชาดื่มช้าๆ พลางครุ่นคิดกับการเกี่ยวข้องในเรื่องนี้
    
           “เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจัดการ เจ้าให้องครักษ์เงาไปตามสืบนักฆ่าใบ้กับรอยสักมาให้ข้าภายในหนึ่งเดือน”
    
           “พ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงรับคำอย่างเคร่งเครียด ความขี้เล่นหายไปกับภารกิจที่ยากจนแทบไม่มีเวลานอน ขอบตามีรอยคล้ำเล็กน้อย ร่างสูงถอยหลังเดินจากไปเหลือเพียงแต่กวงไห่องครักษ์ฝ่ายซ้ายซึ่งทำเหมือนไร้ตัวตนยืนนิ่งอยู่หน้าประตูอย่างสงบ มีเพียงสายตาที่มองสหายอย่างเป็นห่วงเท่านั้น
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งเหลือบมององครักษ์ตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะผละไปสรงน้ำหลังจากหนีไปเที่ยวตั้งแต่บ่าย น้ำอุ่นพอดีทำให้รู้สึกสบายมากขึ้น เวลาอาบน้ำเขาไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย เหล่านางกำนัลขันทีจะรู้เรื่องนี้เพียงแค่เตรียมน้ำไว้ให้เท่านั้น เขาหลับตาลงผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากภารกิจในวันนี้ ทว่าขณะนั้นกลับพบความเคลื่อนไหวผิดปกติภายในห้องอาบน้ำ ดวงตาคมกริบประกายแววดุดันหันไปมองเงาร่างที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่
    
             พรึบ!
    
            “โอ้ ข้าเข้าห้องผิดหรอกหรือ” น้ำเสียงที่ฟังแล้วยียวนกวนปราสาทยิ่งนัก ทว่าใบหน้างดงามหวานล้ำของอีกฝ่ายทำให้ความตึงเครียดเลือนหายไป ดวงตากลับมาอ่อนโยนเฉกเช่นเดิม
    
            “เข้าห้องผิดหรือว่าตั้งใจมาดูข้าอาบน้ำกันแน่น้องสะใภ้คนงาม” ลั่วเหยียนเจิ้งหยอกเย้า มองใบหน้างดงามที่เชิดขึ้นอย่างถือดี มุมปากยกยิ้มนิดๆ หลังจากมาเป็นเจ้าสำนักเซียนโอสถเจ้าตัวจะดูเย่อหยิ่งขึ้น ไม่อาจเล่นสนุกได้เหมือนในอดีตเพราะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกศิษย์ ทว่าขณะนั้นเขากลับเห็นเด็กน้อยวัยสามขวบปีเดินออกมาจากด้านหลังร่างโปร่งของจิวชงหยวน
    
          “ข้าไม่พบเจ้ามาสี่ปีเจ้าถึงกับมีลูกแล้วหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างตกใจ ใบหน้าเด็กน้อยดูน่ารักน่าเอ็นดูทว่าดวงตานิ่งเรียบของเด็กน้อยผู้นี้ช่างแปลกประหลาดไม่เหมาะกับเด็กในวัยนี้
    
           “ท่านพี่เหยียนเจิ้งคงกินของหวานมากไปจนความทรงจำเลาะเลือน ถึงลืมว่าข้าเป็นบุรุษ แล้วบุรุษบ้านไหนกันจะคลอดลูกได้” น้ำเสียงประชดประชันและฝีปากอีกฝ่ายพัฒนาขึ้นมากจนน่าขัน ว่าแต่เหตุใดลู่เฟยถึงปล่อยให้ภรรยาคนงามมาอยู่ห้องอาบน้ำเขาได้
    
          “อาจารย์ท่านไม่ควรดูผู้ชายอาบน้ำ หากอาจารย์ลู่เฟยมาเห็นเข้า ท่านจะไม่ได้ออกจากตำหนักเป็นเดือนนะขอรับ” น้ำเสียงเล็กๆ และใบหน้าน่ารักเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง กิริยาดูขึงขังกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป ลั่วเหยียนเจิ้งฉีกยิ้มกว้างเมื่อรู้วิธีเอาคืนคนงาม ก่อนจะแสร้งลุกขึ้นยืนจากอ่างน้ำ ซึ่งอีกฝ่ายร้องเสียงหลงพร้อมคว้าเด็กน้อยนั่นหายไปด้วย เขาหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ การมาเยือนของอีกฝ่ายคงน่าสนุก
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งรีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วออกมายังห้องรับแขกซึ่งจิวชงหยวนอยู่รอที่นี่จริงๆ ดวงตาเรียวคมหันมามองเขานิ่งๆ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะปอกผลไม้ให้เด็กน้อยข้างกายกิริยาแสนสบายทำให้เจ้าของตำหนักอย่างเขาอดหมั่นไส้ไม่ได้
    
         “ข้าได้ยินข่าวตำหนักหลังของท่านพี่เหยียนเจิ้งกำลังลุกเป็นไฟ ไม่ทราบนี่เป็นวิธีกำจัดสตรีของท่านพี่หรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งเลิกคิ้วมองคนเอ่ยถามแล้วยกยิ้มบาง
    
           “เหตุใดเจ้าคิดเช่นนั้น”
    
         “ลู่เฟยบอกว่าท่านพี่ไม่ชอบพวกนางจึงยังไม่มีโอรสสืบทอดบัลลังก์ แต่หากท่านไม่ทำอะไรเลยจะไร้ผู้สืบทอดบัลลังก์” ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคออย่างไม่สนใจ นั่งลงตรงข้ามรับน้ำชาจากกวงไห่แล้วหันไปมองเด็กน้อยที่กินผลไม้เงียบๆ ทว่าสสายตากลับมองเขาอย่างสำรวจ
    
            “เด็กน้อยผู้นี้คือ...”
    
           “เปาอี้ฟานศิษย์ข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างแปลกใจ เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าสำนักเซียนโอสถจะมีลูกศิษย์ที่อายุน้อยเช่นนี้
    
            “แล้วลู่เฟยไปไหน ทำไมถึงปล่อยเจ้ามาคนเดียวได้” จิวชงหยวนนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับมาเสียงเรียบ
    
           “ไปทำธุระ เดี๋ยวก็คงตามมา” ลั่วเหยียนเจิ้งสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วไม่ได้กล่าวอันใดอีก ทว่าขณะนั้นสายตากลับมองเห็นร่างสูงของใครบางคนกำลังยืนนิ่งท่ามกลางดวงจันทร์ และจะไม่สนใจเลยหากไม่รับรู้ของเงาร่างเลือนรางของใครอีกคนที่อยู่หลังต้นไม้ใหญ่
    
            “เจ้ากลับตำหนักเจ้าได้แล้ว ข้ามีธุระ” ลั่วเหยียนเจิ้งไล่แขกยามวิกาลไปดื้อๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากตำหนักไปอย่างรวดเร็ว
    
            จิวชงหยวนมองตามอย่างมึนงง เพราะไม่ว่าอย่างไร ลั่วเหยียนเจิ้งจะไม่มีสีหน้าอื่นนอกจากรอยยิ้มอ่อนโยน แต่เรื่องใดกันทำให้ฮ่องเต้ผู้มีสีหน้าอ่อนโยนเปี่ยมล้นคุณธรรมถึงมีแววตาหงุดหงิดออกมาได้ ทว่าเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็ต้องยกยิ้มบาง สงสัยจะมีคนมาดัดนิสัยเจ้าเล่ห์ของจิ้งจอกตัวนี้เสียแล้วสิ ว่าแต่เป็นผู้ใดกันนะ
    
             “อี้ฟานเราไปกันเถอะ”
    
            “ไปไหนขอรับ” จิวชงหยวนฉีกยิ้มกว้าง แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงรื่นเริง มือคว้าร่างเล็กของลูกศิษย์ตัวน้อยที่อดีตเป็นสหายกลับชาติมาเกิดติดมือไปอย่างว่องไว เรื่องสนุกแบบนี้จะพลาดได้อย่างไร
    
           “ไม่เห็นต้องถามเลย ไปดูนะสิว่าใครที่ทำให้จิ้งจอกตัวนี้นั่งไม่ติด!”

    
            หลิ่วเหวินอี้มองคนที่อยู่หลังต้นไม้นิ่งๆ ใบหน้างดงามไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เงาร่างสีขาวยืนถือดอกกุหลาบสีแดงหลบมุมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย คนผู้นี้มาทวงหาคำตอบจากงานที่เขารับมา หลังจากที่ได้รับคำตอบเจ้าตัวก็เป็นเช่นนี้มาหนึ่งก้านธูปแล้ว
    
           “เหยียนเจิ้งบอกอะไรเจ้าเพิ่มหรือไม่” ใบหน้างดงาม อาภรณ์สีขาวและเส้นผมสีเดียวกันยาวลากพื้น มีเพียงกุหลาบสีแดงหนึ่งดอกที่ตัดกับชุด ทว่าความงามเหมือนไม่ใช่มนุษย์ก็ยังไม่อาจปกปิดรอยเศร้าหมองในแววตาได้ เขาเหม่อมองดวงจันทร์นิ่งๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกคำรบหนึ่ง ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์ แม้จะไม่รู้เรื่องของฟางเทียนฟงมากนัก แต่ความเศร้าหมองและบรรยากาศรอบกายทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดไปด้วยเช่นกัน
    
           “ไม่” หลิ่วเหวินอี้ตอบรับสั้นๆ ฟางเทียนฟงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แค่รู้จักสถานที่ก็ดีมากแล้ว ดวงตาเรียวคมมองไปยังร่างของใครบางคนที่กำลังพุ่งมาที่นี่ มุมปากยกยิ้มบางความเศร้าหมองเลือนหายไป
    
           “เช่นนั้นคงต้องรบกวนเจ้าให้สืบข่าวนี้ไปสักพัก เพียงแต่เจ้ามีสิ่งใดให้ข้าตอบแทนเจ้าหรือไม่” น้ำเสียงจริงใจ ตรงไปตรงมาผิดกับกิริยาที่ยอมออกจากเงาต้นไม้ใหญ่เข้ามาจับมือหลิ่วเหวินอี้ด้วยรอยยิ้ม
    
            ใบหน้างดงามแฝงไว้ด้วยความเย็นชานิ่วหน้าน้อยๆ มองคนที่ฉวยโอกาสจับมือตนอย่างไม่เข้าใจ แต่เรื่องนี้ไม่ได้ใหญ่อันใด คำถามของอีกฝ่ายเหมือนเปิดโอกาสให้เขาได้เสนอข้อแลกเปลี่ยน
    
             “ข้าอยากให้เจ้าตามหาสตรีนามว่าซูเม่ย” ฟางเทียนฟงนิ่วหน้าน้อยๆ ข้อแลกเปลี่ยนจะว่าง่ายๆ ก็แสนง่ายจะว่ายากก็คงจะใช่อีก เพราะสตรีที่มีนามว่าซูเม่ยมิใช่มีคนเดียวและนางเป็นผู้ใดถึงทำให้คนที่แสนเย็นชาต้องตามหา
    
            “นางเป็นมารดาข้า เจ้าตามหานางให้ข้าได้หรือไม่” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบ มือคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่น เหมือนจะบอกว่าเรื่องนี้สำคัญกับตนมาก ฟางเทียนฟงก้มมองมือตนเองแล้วยกยิ้มบางหากไม่มีคนที่รักอยู่ในหัวใจเขาคงไม่มีวันปล่อยมือคู่นี้แน่ๆ
    
           “เจ้าวางใจเถอะ ข้าสัญญาจะตามหามารดาเจ้าให้พบ” คำตอบที่ได้รับทำให้หลิ่วเหวินอี้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ทว่าต้องสะดุ้งตกใจเมื่อร่างตนเองถูกดึงออกจากฟางเทียนฟงอย่างรุนแรง จนร่วงชนเข้ากับอกแกร่งของใครบางคนอย่างไม่ทันตั้งตัว
    
            ใบหน้างดงามซึ่งแฝงไว้ด้วยความเย็นชานิ่วน้อยๆ มองฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจลากเขาไปไว้ในอ้อมกอดอย่างมึนงง อีกทั้งตัวก็ไม่ได้ใหญ่โตจากกันมากนักจึงทำให้รู้สึกแปลกๆ ในอก กลิ่นกายประจำตัวของอีกฝ่ายใกล้จมูกจนต้องผละออก ทว่าอ้อมกอดของอีกฝ่ายเวลานี้แน่นยิ่งกว่าตุ๊กแก เมื่อเงยหน้ามองสบกับคนที่ชอบฉวยโอกาสยิ่งทำให้มึนมากกว่าเดิม
    
           ดวงตาเย็นชาเหมือนจะฆ่าคนจ้องมองฟางเทียนฟงเขม็ง จิตสังหารพุ่งตรงไปหาร่างโปร่งสีขาวอย่างรุนแรง ทว่าคนที่บุกรุกยามวิกาลเข้ามาในวังหลวงเดินเข้าออกง่ายดายเหมือนสวนหลังบ้านตัวเองได้แต่ยกยิ้มยั่วยวน
    
          “เจอกันอีกแล้วนะน้องชาย ไม่ทราบว่ารองเท้าคู่นั้นเหวินอี้ได้ใส่หรือไม่” คำกล่าวของฟางเทียนฟงยิ่งทำให้ใบหน้าของลั่วเหยียนเจิ้งมืดครึ้มยิ่งกว่าเดิม ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้หลิ่วเหวินอี้ร้อนรนขึ้นมาในใจนิดๆ แม้เจ้าตัวจะไม่รู้ว่าเขาเก็บรองเท้ามา แต่คาดว่าคงจะสะเทือนใจแน่ๆ ที่สำคัญเขาเพิ่งรู้ว่าคนที่กอดเขาแน่นแย่งซื้อรองเท้ากับฟางเทียนฟง หรือว่าโลกใบนี้มันกลมเกินไป?
    
          “เจ้าหัวขโมย รนหามาตายถึงที่” น้ำเสียงดุดันพร้อมดวงตาคมกริบพร้อมจะเชือดคนได้ทุกเมื่อ ทำให้หลิ่วเหวินอี้ถอนหายใจออก เรื่องที่ผ่านมาแล้วไยต้องเก็บมาคิดให้วุ่นวายในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
    
           “ท่านพี่ปล่อยข้า แล้วนั่นก็สหายข้าท่านไม่ควรเสียมารยาท” แม้ในใจจะหงุดหงิดแต่ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทว่าอ้อมกอดของอีกฝ่ายยิ่งแน่นขึ้นจนต้องเอาศอกกระทุ้งเอวแต่เหมือนลั่วเหยียนเจิ้งจะรู้ทันรัดเขาแน่นยิ่งกว่าเดิม
    
           “แน่ใจหรือว่าสหาย” น้ำเสียงกดดันทำให้หลิ่วเหวินอี้กรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย แล้วนี่มันเรื่องอะไรกันทำไมเหมือนไปกินน้ำส้มสายชูจากไหนกัน
    
           “อือ ปล่อยได้แล้ว” หลิ่วเหวินอี้ตอบรับเสียงนิ่ง ทว่าเมื่อเห็นรอยยิ้มของฟางเทียนฟงกลับรู้สึกเหมือนงานจะเข้า ทันทีที่ลั่วเหยียนเจิ้งคลายอ้อมแขนร่างเขาก็ถูกฟางเทียนฟงใช้พลังบางอย่างฉุดเขาไปอ้อมกอดอีกครั้ง
    
          “เจ้าคิดจะทำอะไร” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามฟางเทียนฟงที่แสยะยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจ บรรยากาศรอบตัวในเวลานี้เหมือนจะร้อนขึ้นมาเท่าตัว ดวงตาเย็นชาและบรรยากาศดำมืดของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้ชะงันอีกครั้ง
    
          “ปล่อยอี้เอ๋อร์เดี๋ยวนี้” น้ำเสียงกดดันและแววตาจริงจังที่ส่งมาไม่ได้ทำให้ฟางเทียนฟงหวาดกลัวแม้แต่น้อย ทว่ากลับรู้สึกสนุกที่ได้หยอกล้อมนุษย์น้อยที่ริอาจทำตัวเหมือนจิ้งจอกอย่างน่าหมั่นไส้ อีกทั้งยังได้กระบี่หยกขาวอาวุธประจำกายของฝู่ซานอีกด้วย ยอมรับเลยว่าเขาอิจฉา ความรักความคิดถึงในเวลานี้มันเอ่อล้นจนแทบทานทนไม่ไหว หากให้ฮ่องเต้ผู้นี้สมหวังง่ายไปก็คงไม่ใช่นิสัยของตน อย่างน้อยก็ต้องหาคนทุกข์ทรมานในความรักมาเป็นเพื่อนบ้าง ยิ่งมีศัตรูหัวใจมากเท่าไหร่ความรักและความผูกพันยิ่งแน่นเฟ้นมากขึ้น นี่เป็นสิ่งที่เขาพอทำให้สหายได้
    
          หลิ่วเหวินอี้มองดูทั้งคู่แล้วรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมเวลานี้เหมือนผู้ชายสองคนกำลังยื้อแย่งสาวน้อย? ซึ่งที่สำคัญเขาไม่ใช่ผู้หญิงที่จะมายื้อแย่งกันเสียหน่อย แล้วมือของฟางเทียนฟงเป็นญาติกับตุ๊กแกหรืออย่างไรแกะไม่ออกเสียที
    
         ฟิ้ววว
    
         หลิ่วเหวินอี้เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย เมื่อลั่วเหยียนเจิ้งชักกระบี่มาจากไหนไม่รู้พุ่งเข้าหาเข้าอย่างรวดเร็ว ทว่ายังดีที่ฟานเทียนฟงไม่ใช่มนุษย์ทำให้ความเร็วเหนือชั้นกว่า แต่ว่าจะฆ่ากันทำไมไม่ปล่อยเขาเสียที ใบหน้างดงามที่แผงไว้ด้วยความเย็นชาตอนนี้มีไอเย็นแผ่ออกมาด้วยความโมโห ซึ่งคนที่กอดอยู่เหมือนจะรู้ตัวรีบปล่อยออกจากอ้อมแขนทันที
    
          “จะฆ่ากันก็ฆ่ากันไป ทำไมต้องเอาข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย” หลิ่วเหวินอี้มองทั้งคู่อย่างดุดัน แม้จะเป็นอิสระแต่ก็ยังไม่หายหงุดหงิด เมื่อครู่นี้คมกระบี่ของลั่วเหยียนเจิ้งเฉียดใบหน้าเขาไปนิดเดียวจนน่าโมโห เขาสะบัดหน้าหนีเดินกลับห้องตัวเองอย่างไม่สนใจสุนัขสองตัวปล่อยให้กัดกันเองจนพอใจไปเลย
    
           “หว้า อี้เอ๋อร์โกรธแล้ว ข้าต้องตามไปง้อสหายรักข้าแล้ว”
    
            “ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับทันควันเวลานี้มีรอยยิ้มหวานล้ำจนน่าหวาดผวา ฟางเทียนฟงส่ายหน้ายกยิ้มน้อยๆ
    
          “ไม่เป็นไร ไว้เจ้าเผลอแล้วข้าจะมาใหม่” ฟางเทียนฟงกล่าวจบแล้วหายไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ลั่วเหยียนเจิ้งมองศัตรูคู่อาฆาตอย่างเจ็บใจ รับรองได้ต่อไปนี้เขาจะไม่เผลอแน่ แต่เมื่อมองร่างที่หายไปแล้วต้องคิดหนัก เพราะอารมณ์ชั่ววูบทำให้อยากฆ่าคนที่เข้าใกล้หลิ่วเหวินอี้โดยไม่ได้ไถ่ถามเหตุผล จะว่าไปทำไมเขาถึงหงุดหงิดเพราะเรื่องแค่นี้
    
           ...แล้วต่อไปเขาจะไปง้อคนที่งอนอย่างไรดี?
    
            จิวชงหยวนนั่งมองภาพนั้นบนหลังคาพร้อมเปาอี้ฟานอย่างแสนสบายใจ เหตุการณ์เมื่อครู่นี่ทำให้เขายกยิ้มอย่างอารมณ์ไม่ดีไม่ ครั้งก่อนได้ช่วยให้ลั่วหวังอู๋สมปรารถนาในรัก แต่ฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งผู้นี้ทำไว้กับเขาแสบมาก หลอกลู่เฟยว่าเขาชอบความรุนแรงทำเอาซะลุกจากเตียงนอนไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาต้องตอบแทนอย่างสาสมใจ!





                           :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่19ง้อคนงาม(P.4วันที่ 27/5/59)



            หลิ่วเหวินอี้เดินกลับห้องด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ทว่าในใจยังรู้สึกหงุดหงิดไม่หาย ไม่รู้ว่าสองคนนั่นเป็นบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้พูดคุยกันด้วยกระบี่ อีกทั้งยื้อแย่งตัวเขาไปมาเหมือนของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น และที่น่าแปลกใจทำไมลั่วเหยียนเจิ้งไม่รับรู้ความผิดปกติของฟางเทียนฟง เส้นผมสีขาวโพลนยาวจนแทบลากพื้น นัยน์ตาสีฟ้าใสซึ่งคนที่นี่ไม่มีย่อมเป็นที่สะดุดสายตาอยู่แล้ว ร่างโปร่งเดินมานั่งรินน้ำชาดับอารมณ์ไม่คงที่ของตัวเอง คิ้วคมเฉียงเหมือนกระบี่กดลึกลงยิ่งกว่าเดิมเมื่อเหลือบเห็นสายตาแปลกๆ ของหลวนซาน
    
           “มีอะไร” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเสียงนิ่ง บ่าวรับใช้ที่ให้ไปหาข่าวเมื่อคืนกลับมาก็มีทีท่าแปลกๆ มาเสียจนไม่น่าไว้วางใจ
    
           “นายน้อยขอรับข้าขอบังอาจเอ่ยถาม ท่านคิดเช่นไรกับฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งขอรับ” คำถามของคนติดตามมานานหลายปีทำให้เลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ทวนคิดคำถามอย่างรอบคอบก็ไม่อาจเข้าใจได้
    
           “เจ้ามีอะไรเอ่ยมาตามตรงดีกว่า” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามตัดความรำคาญใจ อีกทั้งไม่อยากคิดอะไรให้ปวดหัว

    “นายน้อยก็รู้ว่าข้าหมายความว่าอย่างไร แต่ท่านขี้เกียจใส่ใจมากกว่า เวลานี้นายน้อยอาจไม่ทราบว่าคนที่นี่เรียกนายน้อยว่าพระสนม นายน้อยคิดเห็นเช่นไรกับตำแหน่งนี้ขอรับ” หลวนซานตอบกลับเหมือนมานั่งอยู่กลางใจทำให้อดที่จะยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้ ทว่าคำถามนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าดูลึกลับยิ่งกว่าเดิม
    
           “ก็แค่ในนามเจ้าจะใส่ใจทำไม หรือว่ากลัวตัวเองจะเป็นขันที” เอ่ยตอบพร้อมกระเส่าคนเอ่ยถามซึ่งทำให้หวนวานอ้าปากค้างส่ายหัวไปมาอย่างรวดเร็ว
    
          “นายน้อยล้อเล่นอีกแล้ว ฮ่องเต้ผู้นั้นต้องการให้ท่านเป็นพระสนมจริงๆ ท่านยังดูไม่ออกอีกหรือ วันนี้ยิ่งแสดงเห็นได้ชัดว่าพระองค์หึงท่านจนเลือดขึ้นหน้า” หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ากับความคิดเห็นของหลวนซาน แม้เจ้าตัวจะไม่ค่อยพูดแต่หากได้แสดงความคิดเห็นแล้วนั้นไม่มีสิ่งใดผิดพลาดไปได้ เรื่องนี้เขาไม่ได้เคยคิดอย่างจริงจังมาก่อน อาจเพราะว่าไม่ได้สนใจบุรุษ อีกทั้งการแสดงออกของลั่วเหยียนเจิ้งเอาแน่เอานอนไม่ได้ จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เช่นนั้นจะมีหัวใจได้อย่างไร คนที่ฮ่องเต้ผู้นั้นสนใจเพียงแค่คนที่มีประโยชน์เท่านั้นแหละ
    
         “เรื่องนี้ช่างเถอะว่าแต่ไปสืบได้ข่าวอะไรมาบ้าง” หลิ่วเหวินอี้เลิกสนใจคนที่ยังทำให้หงุดหงิดไม่หาย นั่งจิบชาเอ่ยถามเรื่องของวันนี้อย่างใจเย็น
    
         “ตำหนักวังหลังในเรือนไผ่คือตำหนักเยี่ยเซียงขององค์ชายสิบหลิงเซียวขอรับ ส่วนคนที่มาหาพระองค์รู้สึกจะเสนาบดีขั้นหนึ่งของราชสำนัก แต่ว่านายน้อยเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เราที่ไปสืบ ข้ายังเห็นหยางซือหมิงองครักษ์ของฮ่องเต้ด้วยขอรับแต่น่าแปลกที่คนนั้นไม่เข้ามาหาข้าทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าหลบอยู่แถวนั้น” หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของภายในวังหลวงลั่วเหยียนเจิ้งต้องไม่นิ่งดูดายแน่ๆ
    
           “ขอบใจเจ้ามาก ไปพักผ่อนเถอะ” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบ ยกมือไล่อีกฝ่ายไปพักขณะนั้นขันทีหน้าประตูก็ตะโกนด้วยเสียงที่แหบเล็กว่าฮ่องเต้เสด็จ  แม้จะได้ยินชัดเจนทว่าคนในห้องยังนั่งนิ่งไม่ไหวติง หลวนซานเหลือบมองนายน้อยอย่างกังวลการกระทำเช่นนับว่าเสียมารยาทกับฮ่องเต้ผู้เป็นเจ้าของตำหนักที่แท้จริง
    
           หลวนซานส่ายหน้ากับกิริยาของนายน้อย ก่อนจะเดินออกไปรับหน้า เมื่อประตูเปิดออกเผยให้เห็นร่างสูงสง่างามของฮ่องเต้ในอาภรณ์สีเหลืองลายมังกรดูสูงส่งจนมิคาดคิดว่าวันหนึ่งจะได้เข้าเฝ้าใกล้เช่นนี้ เขาคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วเอ่ยบอกเสียงเรียบ
    
           “ฝ่าบาทขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ นายน้อยไม่อยากพบพระองค์ในเวลานี้พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงนิ่งเรียบไม่ได้หวาดกลัวความตายแม้แต่น้อย เพราะคำพูดเช่นนี้ก็เหมือนการยื่นหัวไปให้อีกฝ่ายตัดทิ้งเล่นเสียมากกว่า ทว่าเวลานี้ชีวิตของเขาเป็นของหลิ่วเหวินอี้คุณชายสี่ไม่ว่าผู้ใดเขาก็จะไม่ยอมสวาภิภักดิ์ให้จนกว่าคนผู้นั้นจะรักนายน้อยด้วยความจริงใจ    

          “นายเจ้าบอกเช่นนี้หรือ” น้ำเสียงเย็นนิ่งฟังแล้วรู้สึกกระวนกระวาย เมื่อเหลือบมองจึงได้เห็นดวงตาคมประกายแววคมกริบ แม้อีกฝ่ายจะมีรอยยิ้มอ่อนโยนมากแค่ไหน ทว่าหลวนซานกลับรู้สึกว่ามันอาบย้อมไปด้วยยาพิษ
    
           “พ่ะย่ะค่ะ” หลวนซานกล่าวตอบด้วยความหนักแน่น หวาดกลัวก็ส่วนหวาดกลัว แต่ชีวิตเขาอุทิศให้หลิ่วเหวินอี้ไปแล้วต่อให้ตายเพื่อความปรารถนาของนายน้อยเขาก็ยินดีที่จะทำ
    
           “ข้าคิดแล้วต้องเป็นเช่นนี้”  หลวนซานมองตามร่างของฮ่องเต้ที่เดินสะบัดชายผ้าจากไปอย่างตะลึงงัน ไปง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ เมื่อมองกวงไห่องครักษ์ฝ่ายซ้ายมองมาที่ตนแล้วยกยิ้มบางพร้อมเดินตามจากไปเงียบๆ เขาลุกขึ้นมองตามอย่างมึนงงอย่างไม่เข้าใจ สายตาคู่นั้นเหมือนรักนายน้อยเขาจริงๆ เหตุใดถึงไม่ยอมงอนง้อเสียเสียหน่อย แต่นี่เพียงแค่มาก็จากไปหรือนี่เป็นวิธีการง้อที่สุดของคนที่เป็นฮ่องเต้แล้ว
    
           “เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” เสียงของนายน้อยดังแผ่วมาจากด้านใน ทำให้เขามองกลับไปก็เห็นเชิงเทียนถูกดับไปแล้ว กิริยาเช่นนี้หากเดาไม่ผิดนายน้อยคงรู้สึกหงุดหงิดมากๆ เป็นแน่
    
          “ขอรับ” เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนี้จึงยอมทำตามอย่างว่าง่าย ทว่าแทนที่จะกลับไปยังห้องของตนเองกลับกระโดดขึ้นไปบนหลังคาเอนกายนอนมองพระจันทร์บนฟ้าอย่างเหม่อลอย ชีวิตในวังหลวงมีแต่อันตรายแต่เขากลับรู้สึกท้าทาย ยิ่งเมื่อคิดไปถึงงานที่รับมาเมื่อตอนกลางยิ่งรู้สึกตื่นเต้น รอยยิ้มท้าทายของหยางซือหมิงยังติดตามุมปากยกยิ้มบางเมื่ออีกฝ่ายพนันกับเขาว่าใครจะสืบผู้ร้ายได้เร็วกว่ากัน
    
          เสียงก้าวเดินอย่างมั่นคงกลับมาอีกครั้งทำให้หลวนซานลุกขึ้นนั่งมองคนตรงหน้าอย่างฉงน ร่างสูงสง่างามเดินเข้ามาหยุดที่หน้าห้องของลั่วเหยียนเจิ้งพร้อมพิณในมือโดยไม่มีผู้ติดตามมาเหมือนครั้งแรก ร่างนั้นนั่งลงตรงทางเข้าพร้อมจับวางพิณในท่าที่ตนถนัด จากนั้นไม่นานเสียงเพลงที่อ่อนหวานละมุมก็ดังไปทั่วทั้งตำหนัก เขาเบิกตากว้างมองคนมาง้อนายน้อยของตนอย่างตื่นตะลึง
    
          หลิ่วเหวินอี้ผุดลุกขึ้นนั่งเมื่อเสียงเพลงดังขึ้นอยู่หน้าประตูห้อง ความหงุดหงิดในใจกลับเงียบสงบดั่งบทเพลงที่ถูกบรรเลง ใบหน้างดงามนิ่วขึ้นน้อยๆ เมื่อเพลงที่บรรเลงมันคือเพลงที่ไว้สำหรับงอนง้อคนรัก ฟ้าล้อมดาวที่ไม่ว่าอย่างไรก็ขาดกันไม่ได้ ไยใจร้ายทอดทิ้งกันโปรดกลับมาคืนดีกันเฉกเช่นวันวานกันได้ไหมคนดี นั่นคือความหมายที่รับรู้ เขาไม่ได้ชอบบุรุษอีกทั้งไม่ใช่ว่าไร้ความรู้สึกที่เรียกว่ารัก แต่เหตุใดคนที่บรรเลงเพลงในยามนี้กลับทำให้หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าอ่อนโยนฉายชัดในดวงตาแม้จะหลับตาลงก็ยังแจ่มชัดในดวงใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
    
           เพลงหวานซึ่งละมุน ทำนองเจ็บปวดเมื่อไม่ได้รับการอภัยทำให้คนฟังรู้สึกกระวนกระวายภายในใจเป็นครั้งแรก ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นยืนมองคนที่อยู่ด้านหน้าประตูอย่างสงบนิ่งกิริยาภายนอกไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมีเพียงหัวใจที่เต้นระรัวแรงเร็วจนน่ากลัว
    
           หลิ่วเหวินอี้เปิดประตูออกมาเห็นร่างสง่างามนั่งบรรเลงเพลงอยู่ข้างหน้าด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ทันทีที่เห็นเขาใบหน้าคมคายระบายยิ้มอ่อนโยนทำให้มือที่เปิดประตูค้างอยู่ท่าเดิม รอยยิ้มเจิดจรัสของอีกฝ่ายทำให้มือเท้าเขารู้สึกเกะกะไปเสียหมด ดวงตาที่เคยเย็นชาฉายแววหวั่นไหวเพียงครู่ก่อนจะเลือนหายไป เพลงที่บรรเลงค่อยๆ ผ่อนลงดนตรีที่จบไปแต่ดวงตาคมกริบรอยยิ้มอ่อยโยนมองมาจนทำให้หลิ่วเหวินอี้เรียกสติตัวเองกลับคืนมา
    
          “นี่ดึกแล้วเจ้าจะไม่ให้ข้าหลับนอนบ้างหรืออย่างไร” น้ำเสียงเย็นนิ่งผิดกับภายในใจที่ดูงุ่มง่ามไปเสียหมด ลั่วเหยียนเจิ้งยังส่งยิ้มมาให้เหมือนคนบ้า
    
        “หากเป็นข้าที่ทำให้เจ้าไม่ได้หลับได้นอนข้ายินดีอย่างยิ่ง” คำพูดสองแง่สองง่ามของอีกฝ่ายทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่งเงียบไป ดวงตาเรียวสวยจ้องมองคนพูดเพื่อมองให้ทะลุถึงจิตใจ จิตใจที่นิ่งสงบมานานหลายปีกำลังถูกเด็กตัวร้ายเจ้าเล่ห์ล่อลวงให้สั่นไหว ตอนนี้รู้สึกว่าตนเองจะก้าวขาลงหลุมพรางเด็กนี่มาครึ่งขาแล้ว หากไม่อยากเจ็บปวดคือต้องก้าวถอยกลับไปที่อยู่ที่จุดเดิม แต่หากคิดล่อลวงเขามีหรือว่าจะยอมถูกล่อลวงฝ่ายเดียว ใบหน้างดงามเผยรอยยิ้มบางแล้วกล่าวเสียงที่อ่อนลงกว่าปกติจนทำให้คนฟังใจสั่นระรัว
   
          “แล้วท่านพี่เหยียนเจิ้งคืนนี้จะยอมอดนอนทั้งคืนเป็นเพื่อนข้าหรือไม่” ร่างโปร่งย่อกายนั่งลงตรงข้ามพร้อมชะโงกใบหน้ามาใกล้อีกฝ่าย ลมหายใจแผ่วเบาใกล้กันแค่เอื้อมมือมีเพียงพิณที่ขว้างกั้นทั้งคู่เท่านั้น หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มบางฉุดร่างสูงสง่างามของลั่วเหยียนเจิ้งลุกขึ้นยืนพร้อมลากเข้าห้องโดยที่อีกฝ่ายเหมือนจะตัวแข็งทื่ออย่างตื่นตะลึง
    
           “ฮาๆๆๆ” ทันทีที่ประตูปิดลงคนที่แอบดูหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เห็นทีคราวนี้ฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งจะมีคนกำจัดเสียแล้วจากจิ้งจอกเจ้าเล่ห์จะเปลี่ยนเป็นจิ้งจอกน้อยเสียแล้ว น่าสนใจจริงๆ
    
           “อาจารย์ข้าง่วงจะตายแล้ว เมื่อไหร่ท่านจะพาข้าไปนอน” ใบหน้าน่ารักเริ่มถลึงตาเล็กมองอาจารย์ที่ทำตัวเถลไถลอย่างดุๆ ที่ออกมานี่ก็ยังไม่ได้บอกจุ้ยซิงเลย ไม่รู้กลับไปจะแอบร้องไห้อีกหรือไม่
    
           “กลับแล้ว กลับแล้วเด็กดี” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มงดงาม ที่ทำให้คนมองกรอกตามองอย่างระอา สองมือยกขึ้นให้อีกฝ่ายอุ้มอย่างคุ้นเคย สองร่างเลือนหายไปกับเงาของราตรีมีเพียงเชิงเทียนภายในห้องของหลิ่วเหวินอี้เท่านั้นที่ยังสว่างไสว หลวนซานหลบหนีเข้าห้องตนก่อนที่จะได้ยินเสียงที่ไม่สมควรได้ยิน
    
            แม้ภายนอกจะคิดต่างๆ นาๆ ทว่าภายในคนที่ถูกลากเข้าห้องกลับมองคนยิ้มหวานตาละห้อย วางเบี้ยสีขาวในมืออย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก นึกว่าจะได้อดหลับอดนอนขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า เหตุใดถึงได้มาใช้สมองโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้...
    
           หลิ่วเหวินอี้มองคนปิดปากขณะหาวจนน้ำตาเล็ดอย่างนึกขำ ดวงตาคมหรี่มองเขาคล้ายจะหงุดหงิด จึงฉีกยิ้มหวานให้พร้อมลูกกวาดในมือยื่นใส่ปากอีกฝ่าย ซึ่งลั่วเหยียนเจิ้งอ้าปากรับคล้ายกับจำใจ
    
          “เหวินอี้สว่างแล้วเจ้าจะไม่ให้ข้าเข้าราชการบ้างหรือ วันนี้ข้ามีประชุมพวกขุนนางนะ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกขณะรับลูกกวาดสีหวานมาอม นัยน์ตาแดงก่ำเล็กน้อยนี่ขนาดบอกว่าไม่งอนเขายังได้ง้อทั้งคืน หากบอกว่างอนเขาไม่ต้องตามง้ออยู่ด้วยทั้งวันทั้งคืนหรอกหรือ
    
          “หื้ม ท่านพี่ไม่อยากอยู่กับข้าหรอกหรือ เช่นนั้นท่านไปเถอะ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยบอกเสียงเรียบ เก็บหมากล้อมใส่กล่องคล้ายน้อยอกน้อยใจ ทำให้กษัตริย์ผู้ไร้หัวใจถอนหายใจออกมา มือหนายื่นไปจับมืออีกฝ่ายอย่างจริงจัง
    
          “เหวินอี้ข้าชอบเจ้าที่เป็นแบบนี้และก่อนหน้านี้ แต่หากให้ดีอย่าทำหน้าเช่นนี้ให้ใครเห็นอีก” บอกจบพร้อมลุกขึ้นยืนเดินจากไปปล่อยให้คนคิดจะเอาคืนมองตามแล้วยกยิ้มที่มุมปาก เคยได้ยินไหมยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุแต่ว่าหากไม่เป็นตัวของตัวเองจะเสแสร้งกับผู้อื่นไปทำไม
    
          หลิ่วเหวินอี้อ้าปากหาวลุกขึ้นยืนบิดกายไปมา ความง่วงงุนยังหลงเหลืออยู่เล็กน้อย แต่วันนี้คงไม่ได้นอนต่อเพราะคงไม่เหมาะที่แขกอย่างเขาจะอยู่สุขสำราญใจเกินไป ร่างโปร่งเดินไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ อาหารเช้าหรูหราเฉกเช่นเดิมเพียงแค่วันนี้ไม่ได้มีเพื่อนกินข้าวเช้าเท่านั้น
    
           “บังเอิญเจอกันอีกแล้วนะ” เสียงทักทายพร้อมร่างโปร่งของคนคุ้นตาเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มบาง ใบหน้างดงามและดวงตาเรียวสวยของคนตรงหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีใบหน้านี้ยังเฉกเช่นเดิมจนน่าประหลาดใจ
    
          “หมอจิว” เขาเรียกอีกฝ่ายเบา ทว่ากลับทำให้จิวชงหยวนฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ
    
           “ดีใจที่เจ้าจำข้าได้ และยังเรียกขานคำที่ข้าต้องการที่ได้ยินมาแสนนานน่าปลื้มใจนัก” หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับรู้ไม่ได้แปลกใจที่อีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้นเพราะจากที่ตามสืบมาทุกคนเรียกขานต่างกันไป บ้างก็หมอเทวดา หมอเทวะมาร เซียนกระบี่และอีกมากมายจนคร้านจะจดจำ
    
          “เจ้าไม่แปลกใจบ้างหรือที่เห็นข้าอยู่ที่นี่” คำถามพร้อมดวงตาเรียวสวยมองมาอย่างคาดหวังทำให้เลิกคิ้วแล้วตอบกลับเสียงเรียบ
    
          “ข้าต้องแปลกใจด้วยหรือ ในเมื่อเจ้าอยากไปไหน อยู่ที่ใด ข้าจำเป็นต้องรู้?” ใบหน้างดงามอึ้งตะลึงงัน คิ้วขมวดลึกคล้ายกำลังมือเท้ากระตุกทำให้อดที่จะยิ้มบางไม่ได้
    
          “ข้าล้อเจ้าเล่น” คราวนี้คนตรงหน้ากลับอ้าปากค้าง มองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไม่เชื่อสายตาก่อนจะพึมพำออกมาในภาษาที่ทำให้เขาตื่นตะลึง ร่างกายสั่นสะท้านความเหน็บหนาวบีดรัดหัวใจจนแทบหายใจไม่ออก เขาก้าวถอยหลังจากคนตรงหน้าอย่างไม่รู้ตัว
    
           “ล้อเล่นได้หน้าตายมาก” แม้จะแผ่วเบาแต่กลับได้ยินชัดในหัวใจ มันเป็นภาษาไทย!
    
           “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างห่วงใย อาการใจเต้นแรงและร่างกายสั่นสะท้านของคนตรงหน้าทำให้เขาฉงนสงสัยเมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย
    
           “เปล่า เมื่อครู่เจ้าพูดภาษาไทย” หลิ่วเหวินอี้เรียกสติตัวเองกลับมา พร้อมเอ่ยถามหยั่งเชิงอีกฝ่ายซึ่งจิวชงหยวนอ้าปากค้างตื่นตะลึง ก่อนจะลากเขาไปยังตำหนักทางฝั่งซ้ายห่างจากที่นี่กว่าหนึ่งลี้ด้วยความเร็ว ทันทีที่ห้องปิดลงร่างโปร่งบางแต่เรี่ยวแรงมากกว่าช้างสารทำให้หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างระวัง แม้จะโดนลากมาไม่ทันตั้งตัว ทว่าลองใช้ลมปราณตัวเองต่อต้าน กลับน่าเศร้าเมื่อไม่อาจเทียบกับคนตรงหน้านี้ได้เลยแม้แต่น้อย
    
          “เจ้าเป็นใครกันแน่เหวินอี้” คราวนี้ภาษาไทยชัดแจ๋วจนทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่งค้าง ริมฝีปากเม้มแน่นขึ้นมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา จากที่เคยใช้ชีวิตรวมกันสองชาติทำให้พอคาดเดาได้ว่าคนตรงหน้านี้มีความจริงใจขณะเดียวกันหากเป็นศัตรูเจ้าตัวก็ไม่ยอมเป็นเต่าหดหัวอย่างแน่นอน
    
           “ข้าคือหลิ่วเหวินอี้คุณชายสี่นิกายมารฟ้าข้อนี้เจ้าน่าจะรู้ดี” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับด้วยภาษาเดิมไม่เปลี่ยนแม้จะเป็นลูกครึ่งแต่เขาฟังออกทว่ากลับพูดภาษาไทยไม่ชัด จะโทษใครได้เขาอยู่อเมริกามาตั้งแต่เด็กจึงได้พูดภาษาแม่น้อยมาก คนตรงหน้ากอดอกกรอกตาไปมาอย่างระอา มือเรียวถือเม็ดยาสีอำพันสะท้อนให้เห็นเงาตัวเองทว่ามันดูไม่น่าไว้ใจ และเขาไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
    
           ใบหน้าสวยคมในสายตาจิวชงหยวนขมวดคิ้วกดลึกอย่างไม่พอใจ สีหน้ายังเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนไปจากเดิมหลังจากพบกันครั้งสุดท้าย มีเพียงความสวยเท่านั้นที่ดูเจิดจรัสมากขึ้นอายุเข้าสู่วัยหนุ่มเต็มตัวแต่กลับมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม เขาไม่ได้แปลกใจเลยที่ลั่วเหยียนเจิ้งสนใจผู้นี้มากขนาดนี้ การปิดกั้นตัวเองของอีกฝ่ายยิ่งทำให้ผู้ที่ชอบเอาชนะผู้อื่นอย่างฮ่องเต้ปรารถนา หวังว่าหลิ่วเหวินอี้จะได้หัวใจมังกรได้อย่างแท้จริงหากเป็นการโปรดปรานเพียงชั่วครั้งชั่วคราวคนที่เจ็บอาจจะไม่ใช่แค่คนสองคนเท่านั้น
    
         “ข้าแค่เคยเกิดและตายในโลกนั้นมาแล้ว เจ้ายังอยากรู้หรือไม่ว่าข้าตายด้วยเหตุผลใด” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับเสียงเรียบ ดวงตาประกายเย็นวาบ ทำให้จิวชงหยวนชะงักงันดวงตาเรียวสวยฉายแววรู้สึกผิดมาชั่วครู่
    
          “ข้าขอโทษที่เสียมารยาท ข้าเพียงแค่ดีใจที่จะได้เจอคนที่เคยอยู่โลกเดียวกัน แต่ความทรงจำของเจ้าอาจไม่ดีนัก เพื่อเป็นการไถ่โทษข้ามอบยาคลายความจริงให้เจ้าแล้วกัน นี่เป็นสูตรใหม่ที่ข้าค้นพบเลยนะ” ใบหน้าสำนึกผิดและคำตอบจริงใจของอีกฝ่ายทำให้หลิ่วเหวินอี้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นจริงเหมือนจิวชงหยวนกล่าวการได้พบเจอคนที่เคยอยู่โลกเดียวกันนั้นน่าดีใจมากแค่ไหน และการได้มาพบเจอเช่นนี้นับว่ามีวาสนาต่อกัน เพียงแต่เขาจะเปิดใจให้คนที่เคยช่วยชีวิตตนได้มากแค่ไหนเท่านั้นเอง
    
           “ไม่เป็นไร ข้าเพียงแค่กลัวความจริงเท่านั้น บางทีข้าคิดว่าที่นี่เป็นโลกแห่งความฝันสักวันคงตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความจริง แต่เวลาผ่านไปสิบแปดปีข้าไม่มีวี่แววจะพบเจอคนที่มาจากโลกเดียวกันมาก่อน แต่เมื่อเจ้ามาปรากฏตัวตอนนี้ข้ากลับไม่มั่นใจ” หลิ่วเหวินอี้เดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามจิวชงหยวนแม้จะบอกกล่าวความจริงภายในใจ ทว่าดวงตากลับเหม่อลอยออกไปข้างนอก แม้จะเป็นคนปิดกั้นตัวเองมานานแต่เมื่อมาเจอจิวชงหยวนกลับที่จะกล้าบอกความจริง
    
           “เจ้ากล้าที่จะเปิดเผยความกลัวของตัวเองก็นับว่ามีความกล้าหาญแล้ว เจ้าวางใจเถอะที่นี่เป็นโลกใหม่จริงๆ ข้าไม่ได้ตายจากที่นั่นแต่ถูกดึงตัวมาใช้งานมากกว่า แต่ข้าอยู่ที่ไหนก็ได้ตราบใดที่คนรักยังอยู่กับข้า” หลิ่วเหวินอี้หันกลับมามองคนที่เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มบาง ใบหน้าแดงเล็กน้อยมือยกมือลูบท้ายทอยอย่างเก้อเขินทำให้เขายกยิ้มที่มุมปาก ท่าทางดูใสซื่อแต่ความร้ายกาจของคนตรงหน้าดังไปทั่วยุทธภพของมีน้อยคนที่จะได้เห็นภาพลักษณ์เช่นนี้
    
           “จริงสิ ตอนนี้เจ้าเป็นพระสนมของท่านพี่เจ้าต้องระวังตัวไว้ให้มาก เจ้าเป็นคนฉลาดอาจจะรู้ว่า...เอ่อ...” หลิ่วเหวินอี้มองคนลำบากใจด้วยสีหน้านิ่งเฉยก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทว่าภายในใจกลับรู้สึกเศร้าหมอง หากตนหมดผลประโยชน์ก็คงต้องทางใครทางมัน
    
           “ข้าเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งที่ฮ่องเต้คิดจะใช้งาน ขอบคุณเจ้ามากเรื่องนี้ข้ารู้ดี”
    
           “เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างพวกเจ้าสองคนข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยว แต่เรื่องเอาคืนลั่วเหยียนเจิ้งข้ามีร้อยแปดวิธี และมีวิธีหนึ่งที่ข้าอยากให้เจ้านำไปใช้” ใบหน้างดงามราวเทพเซียนยกยิ้มมุมปากดูแสนเจ้าเล่ห์ ดวงตาประกายวาววับเหมือนมีความแค้นกับลั่วเหยียนเจิ้งโดยคิดจะยืมมือเขาแก้แค้นแทนเสียมากกว่า
    
           “เจ้าคิดจะยืมมือข้าไปแก้แค้นแทนตัวเองมากกว่าก็บอกมาเถอะ” ใบหน้างดงามอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มบาง
    
           “เรื่องนี้เจ้าได้ผลประโยชน์ โดยไม่ขาดทุนแม้แต่น้อย” หลิ่วเหวินอี้หรี่ตามองคนเจ้าเล่ห์หมายเลขสองอย่างระวัง คบคนฉลาดเจ้าเล่ห์ต้องตามให้ทันไม่เช่นนั้นคงได้ซ้ำในตายแน่ๆ
    
            “เชิญชี้แนะ”




   วันนี้มาสองตอนรวด ขอบคุณที่ติดตามและคอมเมนท์ให้กำลังใจนะคะ สำหรับใครที่สนใจเรื่องเล่ห์รักเทวาสวรรค์ตอนนี้ทางสนพ. ได้เปิดการสั่งซื้ออีกครั้ง สามารถติดตามได้ที่แฟนเพจจ้าและต้องขอโทษด้วยที่ฟางเอาลิ้งลงให้ที่นี่ไม่เป็น แล้วพบกันพรุ่งนี้จ้า

                   :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:



ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
งื้ออออ~~. เหวินอี้ดีงามอะ.ยั่วเยอะๆเลย. ฮ่ะๆ :hao7:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ miya_pp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
หึหึ. สองคนนี้ใาเจอกันแล้ว สนุกแน่

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
มีหมอจิวมาร่วมมือด้วย ตายแน่ๆ  :laugh:

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด