Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59  (อ่าน 134432 ครั้ง)

ออนไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อาร์ หรือ คีตา ใครเมะ กันแน่ :katai1:
 รอ :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ P_Ple

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกมากมายค่ะ เสียดายที่จองหนังสือไม่ทันแล้ว คงต้องไปสอยตามร้านหนังสือแทน

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สนุกมากมายค่ะ เสียดายที่จองหนังสือไม่ทันแล้ว คงต้องไปสอยตามร้านหนังสือแทน

หลังไมค์มาที่เพจนะคะ https://www.facebook.com/NooDangzzz/

ออฟไลน์ Mitnai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เกลียดกวินทร์มากสุด มีความเพ้อเจ้อแบบไม่แสดงออกรุนแรงมาก
มีความสตรองและความเกรียนไม่น้อยไปกว่ากัน
นี่ถ้ามันไม่ได้เป็นนายเอก หล่อนก็ไม่น่าจะอยู่รอดในเล้านี้ได้อีกต่อไป555555555
ขอบคุณสำหรับความรั่วค่าา ♥

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8

เอาต้นฉบับเล่มนี้ไปรีไรท์มาใหม่ค่ะ รีไรท์ที่เหมือนจะเขียนใหม่ทั้งเรื่อง 555 ปรับพล็อตใหม่ ปรับคาแรคเตอร์ตัวละครใหม่หมด ไปอ่านเองแล้วเห็นข้อผิดพลาดกับความไม่สมเหตุสมผลเยอะ หนูแดงเลยตัดสินใจรื้อใหม่ทั้งเรื่องเลยค่ะ
อันนี้จะเอาลงให้อ่านพาร์ทละ 4 ตอนเช่นเคย จะทยอยมาอัพให้นะคะ
------------------------------------------
[Kyta’s Part]
 
Prologue

ผมเป็นลูกครึ่งมนุษย์ต่างดาว...
ครับ ฟังไม่ผิดหรอก ผมเป็นลูกครึ่งมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ยูนิกมาที่ว่ากันว่าเป็นชาติพันธุ์ฮิวมานอยด์ที่สูงส่งในอันดับต้น ๆ ของจักรวาล สูงส่งขนาดที่ไปที่ไหนก็ต้องมีคนรู้จักและให้ความเคารพยำเกรง ทว่าอีกสายเลือดหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในกายผมกลับเป็นเลือดของมนุษย์โลก หรือที่รู้จักกันไปทั่วทั้งอวกาศว่าชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสายพันธุ์ฮิวมานอยด์ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่สุดในอวกาศ พูดง่าย ๆ ก็คือล้าหลัง ถ้าเทียบกับชาติพันธุ์บนโลก ก็ออกแนวคนป่า มีอารยธรรมแต่ไม่เจริญอะไรเทือกนั้น
ทว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจนัก เพราะไม่ว่าอย่างไร ผมก็ได้รับการเคารพยกย่องจากชาติพันธุ์อื่นอย่างที่ลูกหลานชาวยูนิกมาควรจะเป็น
ทำไมน่ะเหรอ?
ก็พ่อฝั่งที่เป็นมนุษย์ต่างดาวอย่างพ่อคีธเป็นชาวยูนิกมาน่ะสิ ไม่ใช่ชาวยูนิกมาธรรมดาด้วยนะ เป็นถึงผู้พิทักษ์ขององค์ราชารัชกาลปัจจุบันแห่งยูนิกมา ทั้งยังมีวีรกรรมที่เรียกได้ว่าสร้างประโยชน์แก่มวลสิ่งมีชีวิตในอวกาศมามาก ผมซึ่งเป็นลูกก็เลยได้รับการพูดถึงไปด้วย แต่ไม่ได้ถูกพูดถึงในฐานะลูกคนแรกของเขา
ถูกพูดถึงในฐานะผู้พิทักษ์ของเจ้าชายอาร์ทูโร รามูเอลี ที่เก้า ซึ่งเป็นพระโอรสพระองค์เดียวและมีสิทธิ์ในการครองบัลลังก์ต่อจากองค์ราชาพระองค์ปัจจุบันต่างหาก
ถ้าถามว่าผมมาเป็นผู้พิทักษ์ได้ยังไง อาจจะต้องบอกว่ามันเป็นการสืบทอดตำแหน่งทางสายเลือด และแน่นอนแหละว่าพ่อผมอีกคนอย่างพ่อกวินทร์ซึ่งเป็นมนุษย์โลกไม่เห็นด้วยอย่างแรงกล้า ไม่สนับสนุนให้ผมไปทำหน้าที่ใด ๆ เกี่ยวกับผู้พิทักษ์เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเจ้าชายอาร์ทูโร หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า อาร์ จะเป็นลูกชายของเพื่อนสนิทพ่อกวินทร์ก็ตาม
และเพราะเหตุนี้ ผมเลยไม่ได้เจอกับองค์ชายอีกเลยตั้งแต่ที่เราแยกกันเมื่อตอนผมอายุสิบขวบ ได้ยินลุงแอสตันกับลุงริชาร์ดบอกว่าส่งอาร์ไปเรียนรู้อารยธรรมของชาวยูนิกมากับองค์ราชาพระองค์ก่อน
แล้วก็ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมผมถึงเรียกเจ้าชายอาร์ทูโรว่าอาร์เฉย ๆ แล้วเรียกองค์ราชารัชกาลปัจจุบันกับพระชายาว่าลุงอย่างสนิทสนม นั่นเป็นเพราะพ่อกวินทร์สั่งห้ามน่ะครับ ที่สั่งห้ามเป็นเพราะพ่อกวินทร์กลัวว่าผมจะถูกแบ่งลำดับชั้นแล้วจะถูกข่มอะไรประมาณนั้น แรก ๆ ผมก็ไม่กล้าทำตามพ่อกวินทร์เหมือนกันด้วยพ่อคีธไม่เห็นด้วย แต่พอลุงริชาร์ดกับลุงแอสตันเอ่ยปากอนุญาตด้วยไม่ได้คิดอะไรมาก ผมเลยเรียกทั้งหมดด้วยสรรพนามนี้มาตลอด
หากแต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่ากับตอนที่ผมอายุสิบแปดเช่นตอนนี้ เพราะตอนนี้ผมกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก
มองเผิน ๆ ก็เหมือนจะไม่มีปัญหาเพราะผมใช้ชีวิตเหมือนเด็กไฮสคูลมนุษย์โลกทั่ว ๆ ไป ที่พอเรียนจบไฮสคูลแล้วก็เลือกทางเดินของชีวิตตัวเองว่าจะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยหรือจะไปทำงาน ใจจริงผมอยากจะทำงานด้วยผมไม่ใช่คนหัวดีสักเท่าไหร่ เป็นสตั๊นแมนของกองถ่ายฮอลลีวูดอย่างพ่อคีธก็ได้ ผมเองก็มีเส้นสายและพอจะมีแมวมองมาติดต่ออยู่เหมือนกันด้วยพ่อคีธเทรนผมให้รู้จักศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เด็ก ทว่าพ่อกวินทร์ที่ทำงานเป็นโปรดิวเซอร์ค่ายหนังกลับไม่เห็นด้วย สนับสนุนผมให้เรียนต่อเสียอย่างนั้น เหตุผลก็เพราะว่า...
ผมเป็นตัวอันตรายสำหรับคนอื่น
ฟังเหมือนเป็นเรื่องน่ากลัว ทว่าจริง ๆ แล้ว ผมไม่ได้ไปทำร้ายอะไรใครอย่างนั้นหรอกนะ เพียงแต่ด้วยความที่ผมเป็นลูกครึ่งมนุษย์ต่างดาว ผมจึงได้ความสามารถและทักษะพิเศษบางอย่างที่ชาวยูนิกมาติดตัวมาด้วย ซึ่งนั่นก็คือประสาทสัมผัสที่ดี ทั้งหู ตา จมูก ที่รับรู้ได้ไวและมากกว่ามนุษย์โลกทั่วไป และการที่มีพลังกายมากผิดปกติ
จริง ๆ พ่อคีธใช้คำว่า ‘แข็งแรงสมบูรณ์สมเป็นชาวยูนิกมา’ แต่ในสายตาพ่อกวินทร์ เขาว่ามันผิดปกติน่ะ นั่นก็เพราะผมยังยั้งแรงของตัวเองไม่ค่อยได้ในบางครั้ง เขาเลยกลัวว่าถ้าผมไปทำงาน ผมอาจจะทำอันตรายให้คนอื่นได้ อะไรไม่ว่า เขากลัวผมจะถูกตำรวจจับเข้าซังเตในข้อหาทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจอะไรประมาณนั้น ทำให้การที่จะไปเป็นสตั๊นแมนถูกปัดตกไป และกลายเป็นถูกส่งตัวเข้ามหาวิทยาลัยแทน
สงสัยใช่มั้ยล่ะว่าไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยมันช่วยให้ผมไม่ไปเป็นตัวอันตรายสำหรับคนอื่นได้ยังไง
ผมจะบอกให้ จริง ๆ แล้วในดาวเคราะห์ดวงนี้ มีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่มากมาย หลายเชื้อชาติ หลายสายพันธุ์ ซ้ำยังแทรกซึมเข้าไปทำงานในองค์กรระดับโลกอีกเพียบ ดังนั้นการที่จะมีลูกหลานของมนุษย์ต่างดาวมาเพ่นพ่านแฝงตัวกับมนุษย์โลกแท้ ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก และเพราะเหตุผลนี้ ทำให้มนุษย์ต่างดาวที่แฝงตัวเคลื่อนไหวอยู่ในองค์กรการศึกษาก่อตั้งชมรมหรือกลุ่มสำหรับรวบรวมลูกหลานมนุษย์ต่างดาวเอาไว้ด้วยกัน
นั่นแหละ ผมเลยถูกส่งตัวเข้ามหาวิทยาลัยล่ะ... มหาวิทยาลัยที่มีกลุ่มองค์กรสำหรับดูแลลูกหลานมนุษย์ต่างดาวโดยเฉพาะ
องค์กรที่มีชื่อว่า ‘เอเลี่ยนคิดส์’
พ่อกวินทร์เชื่อว่านอกจากผมจะไม่ไปทำให้คนอื่นตกอยู่ในอันตรายแล้ว ผมเองยังจะปลอดภัยด้วยหากอยู่ที่นี่ ผมเลยไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไร ในเมื่อเขาอยากให้ผมเรียนต่อก็ไม่มีปัญหา ก็พ่อกวินทร์เป็นคนที่รักและห่วงลูก ๆ มากกว่าใครอยู่แล้วนี่นา เชื่อเถอะว่าเขาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผมแล้ว
“คีตา เดี๋ยวไปเอากระเป๋าหลังรถแล้วเช็คก่อนนะว่าเอาของที่จำเป็นมาครบมั้ย ถ้าไม่ครบ เดี๋ยวพ่อกลับไปเอามาให้วันหลัง”
พ่อกวินทร์ว่าขึ้นหลังจากที่พ่อคีธขับรถแวนครอบครัวประจำบ้านเรามาถึงยังมหาวิทยาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะลงจากรถไปจัดการตามที่พ่อกวินทร์สั่ง ไม่นาน พ่อ ๆ ทั้งคู่ก็ลงจากรถตามมาบ้าง มายืนมองผมเปิดกระเป๋าสัมภาระที่พ่อกวินทร์จัดให้เมื่อหลายวันก่อนเพื่อเช็คของเงียบ ๆ
“ไง ตกลงไม่ลืมอะไรนะ”
“ไม่ลืมครับ” ผมตอบรับ สงสัยว่าพ่อกวินทร์จะลืมไปแล้วว่าเป็นคนจัดกระเป๋าให้ผม ถ้าลืมอะไรก็แปลกแล้วล่ะ
“ไม่ลืมก็ดี จะได้ไม่ต้องพะว้าพะวงอะไร” พ่อกวินทร์ว่าไปตามเรื่อง ทำให้พ่อคีธที่ยืนมองอยู่นานแทรกขึ้นมา
“คนที่พะว้าพะวงน่ะ กวินทร์ต่างหาก”
ผมเห็นด้วยกับพ่อคีธอย่างแรง ก่อนจะรีบย้ายฝั่งเมื่อเขาถูกพ่อกวินทร์หันไปต่อยหน้าอกดังอั้ก ถึงจะรู้ว่าแรงของพ่อกวินทร์ไม่ทำให้พ่อคีธสะทกสะท้านได้ แต่ผมก็ไม่เสี่ยงเข้าข้างพ่อคีธหรอก ขืนโดนพ่อกวินทร์บ่นไปด้วยขึ้นมา มีหวังหูชาแน่
“ไม่ต้องพูดมาก ฉันเป็นห่วงลูกฉัน นายมีปัญหาอะไร”
ไม่ใช่แค่ต่อยอย่างเดียว ตอนนี้ทำท่าหาเรื่องด้วย พ่อคีธทำหน้านิ่ง ๆ แล้วส่ายหน้า
“ไม่ได้มีปัญหาอะไร”
“ไม่มีปัญหาอะไรก็หุบปาก”
พ่อคีธหุบปากสนิทเลย
เป็นไงล่ะ พ่อบ้านใจกล้า เป็นผู้พิทักษ์ชื่อดังที่มีแต่คนทั่วจักรวาลหวั่นเกรงก็เท่านั้น โดนพ่อกวินทร์สวนเข้าหน่อยก็ไปไหนต่อไม่ถูกแล้ว
ผมแอบขำพ่อทั้งสองในใจ แต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า ผมค่อนข้างจะเป็นพวกแสดงสีหน้ายากสักหน่อย ทั้งนี้ก็ต้องโทษพ่อคีธนั่นแหละที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ตอนเด็ก ๆ พ่อคีธเคยสอนว่าการเป็นผู้พิทักษ์ต้องไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ให้คนที่เราดูแลอยู่ลำบากใจ ดังนั้นผมเลยเป็นพวกเก็บอาการตั้งแต่นั้นเรื่อยมา แน่นอนล่ะว่าพ่อกวินทร์ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ก็พ่อกวินทร์น่ะ เป็นพวกที่รู้สึกอะไรแล้วก็แสดงออกมาเลยมากกว่า เหมือนกับคินน์ไม่มีผิด
เอ้อ คินน์นี่คือน้องชายผมน่ะ เราอายุห่างกันปีนึง แต่คินน์ไม่ได้อยู่กับเราตั้งแต่อายุเก้าขวบแล้ว ถูกพ่อกวินทร์ส่งไปอยู่กับย่าและป้า ๆ ที่ประเทศไทยด้วยเหตุผลว่าถูกเพื่อนซึ่งเป็นลูก ๆ ของเพื่อนพ่อ ๆ อีกทีแกล้งจนเข้าขั้นวิกฤต เลยให้ไปเจอสังคมดี ๆ ที่ทำให้คินน์หายจากอาการหวาดผวาได้
ผมยืนมองพ่อกวินทร์บ่นพ่อคีธต่ออีกยาวเหยียด จากเรื่องที่ขัดคอพ่อกวินทร์เมื่อครู่นี้ ตอนนี้เริ่มกลายเป็นเรื่องงานบ้านที่พ่อคีธยังทำไม่เสร็จ เรื่องงานสตั๊นแมนที่พ่อคีธไปรับทั้งที่พ่อกวินทร์บอกแล้วว่าให้อยู่บ้านเฉย ๆ ด้วยช่วงนี้พ่อคีธขยันทำงานเกินไป สาเหตุก็มาจากมีอยู่ช่วงนึงที่พ่อกวินทร์ป่วยนั่นแหละ พ่อคีธเลยรับหน้าที่หาเงินเข้าบ้านแทน แล้วตอนนี้ก็เริ่มลามไปบ่นเรื่องอื่น ๆ จนลืมไปแล้วว่าอันที่จริง พวกเขามาส่งผมเข้ามหาวิทยาลัยวันแรก ไม่ได้มาเปิดฉากบ่นกันโชว์ในที่สาธารณะ
และดูท่าพ่อกวินทร์คงจะบ่นอีกนานแน่ถ้าหากว่าโทรศัพท์ของเขาไม่ดังขึ้นมาก่อน พ่อกวินทร์ล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงได้ ก็ย่นคิ้ว พึมพำเบา ๆ เป็นภาษาไทย
“ไอ้เจ๊กนี่หว่า โทรมาทำไมวะ”
บ่นแต่ก็รับ ส่วนไอ้เจ๊กนี่ เป็นฉายาของลุงริชาร์ดที่พ่อกวินทร์ใช้เรียกบ่อย ๆ ผมได้ยินลุงริชาร์ดถามว่าพวกเราอยู่ไหน พอรู้ว่าอยู่ที่มหาวิทยาลัยของผม ลุงริชาร์ดก็บอกให้รอก่อนเพราะกำลังมุ่งหน้ามาหา พอพ่อกวินทร์ถามว่ามาหาทำไม อีกฝ่ายก็ไม่ตอบ ได้แต่บอกให้รอเท่านั้น พ่อ ๆ ของผมจากที่ตั้งใจว่าจะส่งผมแล้วกลับ กลายเป็นว่าต้องรอลุงริชาร์ดอีก
รออยู่สักพัก พ่อกวินทร์ก็บ่นอีกพักใหญ่ ลุงริชาร์ดถึงโผล่มา แต่เป็นถึงพระชายา จะให้โผล่มาแบบธรรมดาได้ยังไง มีลุงแอสตันตามมา แถมผู้พิทักษ์อีกเป็นพรวน ดูอย่างกับเป็นขบวนของคนใหญ่คนโตที่ไหนสักที่ ทำเอาคนรอบข้างมองไปยังรถคันหรูสองสามคันที่เรียงรายมาจอดในลานจอดรถเป็นตาเดียว
“แค่แวะมาหาแค่นี้ เอาซะเว่อร์” พ่อกวินทร์ยังบ่นเป็นภาษาไทยไม่เลิก ขณะที่พ่อคีธเอ่ยปากขึ้นมา
“อย่าจาบจ้วงพระชายาสิกวินทร์”
“ช่างหัวพระชายาเถอะ มันเป็นเพื่อนฉัน ฉันจะพูดกับมันยังไงก็ได้”
นั่นแหละ พ่อคีธเลยเงียบไปอีกรอบ ปล่อยให้ผมอดขำกับสีหน้าของพ่อคีธที่ดูคล้ายจะไม่พอใจ แต่ทำได้แค่ขมวดหัวคิ้วเล็ก ๆ ไม่ได้
ผมเบนความสนใจไปยังรถพวกนั้นอีกครั้งเมื่อผู้พิทักษ์คนหนึ่งลงจากรถมาเปิดประตูรถให้กับลุงริชาร์ดและลุงแอสตัน เห็นแล้ว ผมก็รีบตรงเข้าไปทักทายโดยไม่รอให้พ่อ ๆ บอก ทำเอาลุงริชาร์ดชมผมเป็นการใหญ่
“เจอกันครั้งไหนก็ยังวางตัวได้น่ารักตลอดเลยนะคีตา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเควินถึงได้ภูมิใจนักหนาว่ามีลูกดี”
“ก็แน่ล่ะ ลูกฉันก็ต้องดีเหมือนฉันสิวะ” พ่อกวินทร์ยืดอกรับเสียอย่างนั้น ก่อนดึงผมเข้าไปยืนข้าง ๆ พร้อมทำหน้าภูมิใจสุดฤทธิ์ ขณะที่ลุงริชาร์ด ลุงแอสตันและพ่อคีธต่างมองหน้ากันราวกับระอา
คือ...ผมก็พอรู้อยู่หรอกนะว่าก่อนที่ผมเกิด พ่อกวินทร์เคยสร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้บ้าง เห็นพวกยูนิกมาเคยพูดกันอยู่ว่าพ่อกวินทร์เป็นชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่โผล่ไปที่ไหน ที่นั่นป่วนไปหมด แม้ว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ดาวยูนิกมากับดาวศัตรูปรองดองกันได้ก็ตาม ที่ทำหน้าระอากันอย่างนั้น คงเป็นเพราะจู่ ๆ ก็พร้อมใจกันนึกถึงอดีตแหง
ทว่าก็ไม่ได้มีใครสนใจอะไรนัก นอกจากพ่อกวินทร์ที่ถามขึ้นอย่างสงสัยเมื่อจู่ ๆ ก็เห็นเพื่อน ๆ มาโผล่ตรงนี้
“แล้วพวกนายมาที่นี่ทำไมวะ ไหนว่ามีธุระต้องไปวอชิงตันหลายวัน แล้วไหงมาโผล่หัวอยู่นี่”
ผมนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่ออาทิตย์ก่อน ลุงริชาร์ดกับลุงแอสตันแวะมาที่บ้านของพวกเราเพื่อทานมื้อค่ำ แล้วบอกว่าอาทิตย์นี้ต้องไปจัดการธุระสำคัญที่รัฐอื่น คือพวกเราอยู่ในแอลเอน่ะ ลุง ๆ ก็อยู่บ้านใกล้ ๆ พวกเรา ถึงจะไม่ได้ใกล้มาก แต่ก็ไปมาหาสู่กันบ่อย
หากแต่ลุงริชาร์ดไม่ตอบ ยกยิ้มขึ้นมาจนตาหยีแล้วถามกลับหน้าตาเฉย
“ทายสิว่าทำไมฉันมาอยู่นี่”
“ใครจะไปรู้กับมึงวะ” พ่อกวินทร์พ่นคำหยาบภาษาไทยออกมาทันที
ความจริงชาวยูนิกมามีความสามารถพิเศษในการพูดได้หลายภาษาด้วย แต่ผมไม่ได้ความสามารถพิเศษด้านนั้นมา ทว่าก็พอจะฟังออกอยู่บ้างว่าพ่อกวินทร์พูดอะไรเวลาเขาพูดภาษาบ้านเกิด
ก็เวลาเขาอารมณ์เสียหรือบ่นอะไร เผลอหลุดพูดภาษาไทยออกมาทุกทีเลยนี่นา ผมก็ต้องฟังออกบ้างแหละ
“ทายสิ” ลุงริชาร์ดว่าขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าพ่อกวินทร์ไม่พูดอะไรสักที
พ่อกวินทร์นิ่งไป ก่อนจะเอ่ย
“นายได้งานโปรเจ็กต์ใหม่ที่อยากทำ?” หมายถึงโปรเจ็กต์หนังน่ะ ลุงริชาร์ดเองก็ทำงานบริษัทเดียวกับพ่อกวินทร์ เพียงแต่มีตำแหน่งเป็นผู้กำกับ
“ไม่ใช่” ส่วนลุงริชาร์ดก็ทำหน้าทะเล้นเมื่อพ่อผมทายไม่ถูก ก่อนพ่อกวินทร์จะพูดขึ้นมาอีก
“แอสตันวางไข่ใส่นายอีกรอบ จะมีลูกคนที่สอง?”
“ไม่ใช่”
“ซื้อชุดนอนไม่ได้นอนมาเซอไพรส์แอสตันอย่างที่ชอบทำ? ทำไม พักนี้มันหมดน้ำยาเหรอวะ”
“ไม่ใช่!”
ทายไปเรื่อย ไม่ถูกไม่พอ เริ่มเลอะเทอะไปเรื่อยจนลุงริชาร์ดหุบยิ้ม แผดเสียงออกมาดังลั่นเมื่อพ่อกวินทร์โพล่งออกมากลางวง ทำเอาบรรดาผู้พิทักษ์เสมองไปทางอื่นกันเป็นพัลวันทันทีที่รู้ว่าเจ้านายของตัวเองมีรสนิยมยังไง ขณะที่ลุงแอสตันหัวเราะร่วน ส่วนพ่อคีธก็เข้ามาจับแขนพ่อกวินทร์ไว้เป็นเชิงเตือนว่าอย่าพูดอะไรเรื่อยเปื่อยอีก
“แล้วอะไรล่ะวะ”
ตอนนี้พ่อกวินทร์เริ่มหงุดหงิดแล้วล่ะ ก่อนลุงริชาร์ดที่เพิ่งปรับสีหน้าเขินอายให้เป็นปกติได้จะกระแอมไอแล้วว่าออกมา
“ฉันพาใครบางคนมาต่างหาก”
“ใครบางคน?”
พ่อกวินทร์ทำหน้าสงสัย ผมเองก็เช่นกัน เกือบหลุดถามลุงริชาร์ดออกไปแล้วว่าใคร หากแต่จมูกผมก็ได้กลิ่นของใครบางคนจากในรถตรงหน้าขึ้นมาก่อน
“องค์ชายอาร์ทูโร”
ไม่ต้องรอให้ลุงริชาร์ดบอกว่าใคร พ่อคีธก็พูดออกมาแล้ว รายนี้ก็คงได้กลิ่นเดียวอย่างที่ผมได้กลิ่นเหมือนกัน ส่วนลุงริชาร์ดก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ
“ปิ๊งป่อง ถูกแล้ว ที่ฉันไปวอชิงตันมา ก็ไปรับอาร์มานี่แหละ”
พูดแล้วก็ทำท่าทางตื่นเต้น ผมเข้าใจว่าคงเพราะไม่ได้เจอลูกนานหลายปี พอเจอกันเลยดีใจเป็นพิเศษ เว้นแต่พ่อกวินทร์ที่พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง
“ลูกไอ้เจ๊กนี่เอง นึกว่าอะไร”
พ่อกวินทร์จะไม่ตื่นเต้นก็ไม่แปลก จำได้ว่าเขาไม่ค่อยชอบหน้าอาร์เท่าไหร่นัก ส่วนผมน่ะตื่นเต้นขึ้นมาที่จะได้เจออาร์ ก็ไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งแปดปีแล้วนี่นา ผมในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ ยังไงก็ต้องตื่นเต้นอยู่แล้ว อันที่จริง ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่าอาร์จะมาเพราะพ่อคีธแอบบอกโดยที่พ่อกวินทร์ไม่รู้ แบบว่า...พวกเราวางแผนกันน่ะว่าผมต้องดูแลอาร์ในฐานะผู้พิทักษ์ตอนที่อาร์กลับมายังโลก และเราก็รู้กันว่าพ่อกวินทร์ต้องไม่ยอมแน่ เลยตัดสินใจมัดมือชกอย่างที่เห็น แต่ดูแล้วท่าทางตอนนี้พ่อกวินทร์จะยังไม่รู้ตัว
ลุงริชาร์ดส่งซิกให้ผมกับพ่อคีธเล็กน้อย ก่อนไปเรียกอาร์ลงจากรถ ผมมองไปยังชายหนุ่มรูปร่างสันทัดที่เดินลงมาด้วยใจเต้นระทึก พอเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนก็ตะลึงงันไปเล็กน้อยกับท่วงท่าสง่างามสมเป็นเชื้อราชวงศ์
ความจริงแล้ว อาร์ดูไม่ต่างจากตอนเด็กเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าออกไปทางโซนเอเชียเหมือนกับลุงริชาร์ดยังคงนิ่งเรียบเหมือนเดิม ทว่าแฝงไปด้วยความหยิ่งผยองตามแบบฉบับของชนชั้นสูง แต่ดูเหมือนว่าจะหยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะทันทีที่เขาสบตากับผมและพ่อ ๆ เขาก็เสมองไปทางอื่น เชิดใบหน้าขึ้นราวกับว่าไม่เห็นพวกผมอยู่ตรงนี้
ผมว่าเขาหล่อนะ หล่อมากเลยล่ะ มีเสน่ห์ด้วย แต่พ่อกวินทร์ไม่คิดอย่างนั้น ไม่สนใจว่าการที่อาร์มีทีท่าเฉยเมยนั่นเป็นเพราะเขาเป็นเจ้าชายด้วย พอเห็นอาร์ไม่ทัก ก็บ่นออกมาอีกแล้ว
“ลูกไอ้เจ๊กนี่หน้าตาเหม็นข้าวหมาบูดตั้งแต่เล็กยันโต ยิ่งโต ยิ่งหน้าบอกบุญไม่รับ แล้วนี่เจอหน้าผู้ใหญ่ยังจะไม่ทักทายอีก เสียมารยาท”
ก็จริงอย่างที่พ่อกวินทร์ว่า ถึงจะเป็นเจ้าชาย แต่อาร์ก็ยังเด็กกว่าอยู่ดี ซึ่งสมควรจะเป็นฝ่ายทักทายก่อน และถึงพ่อกวินทร์จะบ่นออกมาเป็นภาษาไทย ทว่าลุงริชาร์ดคงจะรับรู้ได้ เลยสะกิดให้อาร์ทักทาย
“ทักทายลุง ๆ เขาสิครับอาร์”
อาร์เหลือบมองหน้าคนพูด ก่อนสลับมามองหน้าลุงแอสตัน พอเห็นลุงแอสตันพยักหน้าเป็นเชิงให้ทำตามที่พ่ออีกคนว่า เขาก็ค้อมตัวลงเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรทั้งที่ควรจะเอ่ยปากว่า ‘สวัสดีครับ’ หรือเข้ามาจับมือทักทาย ไม่ก็เข้ามาดูดนิ้วอีกฝ่ายตามการทักทายแบบฉบับชาวยูนิกมาแท้ ๆ
ดูท่าทางจะถูกอบรมให้วางตัวอยู่คนละระดับกับคนที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์มากไปหน่อยถึงได้มีทีท่าแบบนี้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้พ่อกวินทร์เลิกค่อนแคะได้ ก่อนเขาจะหันไปถามลุงริชาร์ดอีกครั้ง
“นายแวะมาหาฉันแค่จะเอาลูกหน้าบูดของนายมาอวดว่ากลับมาที่โลกแล้วแค่นี้น่ะนะ เสียเวลาว่ะ ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกำลังวุ่นวายกับการส่งคีตาเข้าบ้านพักนักศึกษาอยู่” พูดพลางพยักปลายคางมาทางผมที่ถือกระเป๋าลาก
อึดใจเดียว ลุงริชาร์ดก็ทำพ่อกวินทร์เบิกตาโตเมื่อเอ่ยขึ้นมา
“ใครว่าฉันจะเอาอาร์มาอวดว่ากลับมาแล้วล่ะ ฉันเอาอาร์มาส่งเข้าหอพักด้วยเหมือนกันต่างหาก”
“ฮะ? หมายความว่าลูกนายจะมาเรียนที่นี่เหรอ”
“อื้ม อายุครบสิบแปดแล้วนี่ ทางพ่อของแอสตันอนุญาตให้ออกมาหาประสบการณ์นอกวังได้แล้ว ฉันก็เลยเรียกให้อาร์กลับมาน่ะ”
สารภาพออกมาแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามแผน และเป็นไปตามการคาดการณ์ของผมด้วยว่าพ่อกวินทร์จะต้องตกใจ ส่วนเรื่อที่ลุงริชาร์ดพูดเมื่อครู่ ความจริงแล้ว ชาวยูนิกมาจะมีอายุมากกว่ามนุษย์โลกอยู่สองเท่า แต่สำหรับลูกครึ่งมนุษย์โลกอย่างพวกเราจะมีอายุเทียบเท่ากับมนุษย์โลกตามปกติเพราะร่างกายโตไวกว่าชาวยูนิกมา ไม่อย่างนั้น อาร์คงไม่ได้ออกจากวังมาหรอก เพราะถ้าเทียบอายุของชาวยูนิกมาแล้ว สิบแปดปียูนิกมาเท่ากับเก้าปีมนุษย์โลกเอง
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่จู่ ๆ พ่อคีธก็แทรกเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“งั้นกลับมาอย่างนี้ ก็แสดงว่าคีตาต้องรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ให้องค์ชายอาร์ด้วยล่ะสิ” เป็นการพูดที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนั้น แต่พูดเพื่อเป็นการเกริ่นให้พวกเราเตรียมพร้อมรับมือกับการโวยวายของพ่อกวินทร์น่ะ
และก็เป็นไปอย่างที่คิด เพราะพอสิ้นเสียงพ่อคีธเท่านั้น พ่อกวินทร์ก็ถลึงตา แล้วจัดการลากผมไปขนาบข้างทันที
“เรื่องเถอะ! มันใช่เรื่องอะไรที่ลูกฉันต้องไปดูแลไอ้เด็กหน้าบอกบุญไม่รับนี่มั้ย คีตามาเรียนเว้ย ไม่ได้มาเป็นคนรับใช้ ฝันไปเลย!”
“เป็นผู้พิทักษ์ ไม่ได้เป็นคนรับใช้” พ่อคีธแก้คำพูดให้ ทว่าพ่อกวินทร์ก็ไม่สน
“จะเป็นอะไรก็ช่าง แต่จู่ ๆ จะโผล่มาแล้วลากลูกฉันไปทำโน่นทำนี่โดยไม่ถามความเห็นฉันก่อนล่วงหน้าแบบนี้ ฉันไม่อนุญาตเว้ย!”
“แต่คีตาเป็นผู้พิทักษ์ขององค์ชายอาร์”
“แต่นี่ลูกฉันเว้ย ลูกคนอื่นจะเป็นไงก็ช่างหัวมัน ดูแลตัวเองสิวะ มาเดือดร้อนลูกฉันทำไม!”
เอาแล้ว เริ่มปฏิบัติการโวยวายหนักขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว และดูท่าจะลามไปมากกว่านี้ด้วยถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง ผมเลยเอื้อมมือไปจับมือพ่อกวินทร์ที่จับแขนผมอยู่เป็นเชิงบอกว่าให้ใจเย็น ๆ ก่อนว่า
“พ่อกวินทร์... ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ช่วยดูแลก็ได้”
แต่พ่อกวินทร์ก็คือพ่อกวินทร์ ถ้าไม่ยอมก็หมายถึงไม่ยอม จากที่โวยคนอื่นอยู่ ก็กลายมาโวยผมด้วยเสียอย่างนั้น
“ไม่ต้องมาทำเป็นพ่อพระ อยู่เฉย ๆ ไปเลยคีตา พ่อจัดการเอง”
นี่แหละพ่อกวินทร์ อะไรที่เกี่ยวกับลูก ออกโรงปกป้องหมดแหละ
แล้วก็เข้าไปโวยวายกับลุงริชาร์ด ลุงแอสตันว่ายังไงก็ไม่ยอมให้ผมไปเป็นผู้พิทักษ์คอยดูแลอาร์อย่างแน่นอน แต่ลุง ๆ ไม่ได้อยากให้ผมมาเป็นผู้พิทักษ์หรอกจากที่คุยกันผ่านพ่อคีธในตอนแรก แค่อาร์ไม่ได้อยู่ที่โลกนาน และเรียนคณะเดียวกับผม ซ้ำยังอยู่บ้านพักนักศึกษาเดียวกัน ลุง ๆ เลยอยากให้ผมคอยแนะนำอะไร ๆ ให้อาร์หน่อยก็เท่านั้น ทว่าพ่อคีธไม่คิดอย่างนั้นไง การดูแลก็คือหน้าที่ของผู้พิทักษ์ จะมาดูแลนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้ ต้องทำอย่างเต็มที่
ผมก็เออออตามพ่อคีธไป รู้และเตรียมใจมาอยู่แล้วว่าสักวันต้องดูแลอาร์ เลยไม่ได้ปฏิเสธอะไร อีกอย่าง ผมกับอาร์ก็เคยเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เลยคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จะมีก็แต่พ่อกวินทร์ที่ยังยืนกรานคำเดิมว่าไม่ยอม ยืนเถียงกันไป เถียงกันมา ผมก็สังเกตเห็นว่าใบหน้านิ่งเรียบของอาร์เริ่มแสดงความหงุดหงิดออกมาให้เห็น เรียวคิ้วสวยเริ่มย่นยู่ แขนเรียวทั้งสองข้างก็ยกมือขึ้นกอดอก ถอนหายใจอย่างรำคาญ ก่อนเปล่งเสียงขึ้นแทรก
“ไม่ต้องให้ใครมาดูแลทั้งนั้นแหละครับ ผมอยู่เองได้”
พูดเท่านี้ ทุกคนก็เงียบ หันไปมองต้นเสียงทันใด ทว่าอาร์กลับไม่สนใจ คว้ากระเป๋าสัมภาระของตัวเองที่ผู้พิทักษ์คนหนึ่งถืออยู่มา แล้วบอกกับลุง ๆ
“ถ้าพ่อ ๆ ไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน”
จากนั้นก็เข้าไปสวมกอดลุง ๆ โดยที่ลุง ๆ ไม่ทันตั้งตัว ก่อนเดินจากไปท่ามกลางสายตางุนงงของทุกคน พอตั้งสติได้ พ่อกวินทร์ก็แขวะมาอีก
“ไอ้ลูกเจ๊กนี่มันอัธยาศัยแย่ไม่เปลี่ยนเลยแฮะ”
จริงอย่างที่พ่อกวินทร์ว่า มาก็ไม่ทัก ไปก็ไม่ลา ปล่อยให้ลุง ๆ ยิ้มตามหลังแห้ง ๆ
ส่วนผมก็เดาได้ว่าเดี๋ยวพ่อกวินทร์จะต้องบ่นต่อเรื่องอาร์แน่ ๆ และถ้าขืนผมยังอยู่ตรงนี้ต่อ มีหวังคงหาทางปลีกตัวไปจัดการเรื่องตัวเองไม่ได้แหง เลยตัดบทก่อนที่พ่อกวินทร์จะได้พูดอะไร
“งั้นผมไปบ้างดีกว่า ขอบคุณที่มาส่งครับพ่อกวินทร์”
แล้วก็เข้าไปสวมกอดพ่อกวินทร์แน่น ๆ ทีนึง กะให้พ่อกวินทร์อารมณ์ดีด้วยปกติแล้ว ผมไม่ค่อยเข้าหาพ่อกวินทร์เท่าไหร่เพราะต้องรักษามาดผู้พิทักษ์อย่างที่พ่อคีธสอน ซึ่งก็ได้ผล พ่อกวินทร์กอดผมตอบ หยุดบ่นฉับพลัน ปรี่เข้ามาหอมแก้มผมซ้ายขวาอีกหลายฟอดกว่าจะปล่อยได้ รวมถึงสั่งโน่นนี่ไปเรื่อย ตบท้ายด้วยการบอกว่า...
“อย่าไปยุ่งกับลูกไอ้เจ๊กเชียว ถ้ามันบังคับข่มเหงอะไร คีตาต้องรีบโทรมาฟ้องพ่อนะรู้มั้ย เดี๋ยวพ่อไปตบกบาลสั่งสอนมันเอง”
ผมพยักหน้าไปตามเรื่อง เผลอนึกถึงตอนเด็ก ๆ ที่ผมกับอาร์เล่นวางไข่กัน แล้วอาร์พยายามกดผมจนถูกพ่อกวินทร์ตบกะโหลกเสียงดังสนั่นขึ้นมา ขำในใจอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยไปกอดลาพ่อคีธและบอกลาลุง ๆ บ้าง ตอนที่ผมจะผละออกมา พ่อคีธก็อาศัยจังหวะที่พ่อกวินทร์เผลอส่งแผ่นชิปสื่อสารให้ผม มันเป็นแผ่นชิปสื่อสารจากยูนิกมาที่เอาแปะตรงขมับก็ส่งโทรจิตสื่อสารกันได้ ตอนแรกพ่อกวินทร์ไม่ให้เอามันมา ด้วยไม่ต้องการให้ผมติดต่อกับพ่อคีธโดยที่เขาไม่รู้ เหมือนกับว่าเขาพ่อจะรู้มาบ้างแล้วล่ะว่าตามกฎมณเฑียรบาลของชาวยูนิกมา หากเจ้าชายรัชทายาทอายุครบสิบแปดปี ก็จะออกจากวังได้ เขาเลยกลัวว่าอาร์จะกลับมายังโลกแล้วผมจะถูกจับให้กลับไปรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์
แต่ไม่ทันแล้วล่ะ เราเตรียมการกันมาตั้งนานแล้ว และคงไม่มีใครกล้าหลุดปากบอกพ่อกวินทร์ในตอนนี้แน่ว่ามันเป็นแผน ไม่อย่างนั้น ราชวงศ์ยูนิกมาล่มสลายแน่นอน
ผมรับแผ่นชิปนั้นมาแล้วรีบยัดลงกระเป๋ากางเกง ปล่อยให้พ่อกวินทร์สั่งลาอีกนิดหน่อยก่อนทั้งพ่อ ๆ และลุง ๆ จะขึ้นรถขับออกไปนอกมหาวิทยาลัย ทิ้งให้ผมยืนส่งจนรถของพวกเขาหายไปลับสายตา
ผมคว้ากระเป๋าตัวเอง เตรียมตัวจะเดินไปที่บ้านพักนักศึกษาบ้าง ทว่าเสียงเรียกเข้าของชิปสื่อสารก็ส่งสัญญาณเตือนขึ้นมาเสียก่อน ผมล้วงออกจากกระเป๋ามาแปะที่ขมับ ก่อนเสียงของลุงริชาร์ดจะดังมาให้ได้ยิน
‘ขอฝากอาร์ด้วยนะคีตา อาร์ไม่ได้อยู่ที่โลกนาน พฤติกรรมเลยอาจจะแปลก ๆ ไปบ้าง ยังไงก็ช่วยดูด้วยนะ ลุงกลัวว่าอาร์จะอยู่ไม่ได้ ไม่ต้องดูในฐานะผู้พิทักษ์ก็ได้ ถือว่าดูในฐานะเพื่อนสมัยเด็กแล้วกัน ช่วยลุงหน่อย อดทนอาร์นิดนึงนะ’
‘ครับ ผมจะดูแลให้’
ผมรับปากโดยไม่ได้คิดอะไรมากทั้งที่รู้สึกแปลก ๆ ตอนได้ยินลุงริชาร์ดบอกว่าให้อดทนอาร์นิดนึง แล้วก็ตัดสัญญาณไป
อดทนเหรอ? หมายถึงนิสัยหยิ่ง ๆ ของอาร์หรือเปล่านะ?
เอาเถอะ ถึงจะหยิ่ง แต่ก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงสำหรับการดูแลเท่าไหร่ ยังไงผมก็เป็นผู้พิทักษ์ให้กับอาร์อยู่แล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรก็ค่อยโทรไปปรึกษาพ่อคีธแล้วกัน เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ อย่าให้พ่อกวินทร์รู้ว่าผมกลับมาเริ่มหน้าที่ผู้พิทักษ์ให้อาร์ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คนที่จะถูกพ่อกวินทร์ตบกะโหลกแยกคงหนีไม่พ้นผมกับพ่อคีธนี่แหละ

ออฟไลน์ Silver Fish

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-0
    • Fanpage
ร้ายจริงๆเคะเราเนี่ย5555555

ออนไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
 :katai2-1: มาต่อแล้ว ดีใจจัง :mew1:
กวินทร์ ยังเก่ง น่ารัก รักลูก ปกป้องลูก  ขึ้บ่น เหมือนเดิม
อาร์ ก็ยังหน้าบูด หยิ่งในเชื้อสายราชวงศ์เหมือนเดิม
ชอบ รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ reborn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1

ออฟไลน์ Aunttk

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
คีตาหนูเมะใช่ไหมลูก  :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ตัวอย่างตอนแรกมาแล้วค่ะ รีไรท์มาแล้วเนื้อหาเปลี่ยนจากเดิมเกือบทั้งเรื่อง 555 แต่พล็อตหลักก็ยังอยู่เหมือนเดิมนะคะ ยังไม่ไฟนอลเช่นเดิม ต้องรีไรท์ซ้ำอีกที แต่คีตาในเวอร์ชันนี้จะดูอ่อนโยนกว่าเวอร์ชันแรกที่มึนๆ อึนๆ สักหน่อย ส่วนอาร์ก็... ก็น่าหมั่นไส้เหมือนเดิม ฮา เซซิลกับเบลคยังไม่โผล่มาในพาร์ทของคีตา รู้สึกว่าพอมีตัวละครสำคัญๆ หลายตัวแล้วกระจายบทยาก ยิ่งถ้าเป็นเรื่องไม่ยาวมากด้วยแล้ว ยิ่งยากเลยยกไปให้มาในพาร์ทของคินน์ทีเดียวเลย
ไว้ตอนที่ 2 จะทยอยมาอัพนะคะ
------------------------------------------


Episode 01: The egg from the prince[1]


บ้านเอเลี่ยนคิดส์มีลูกครึ่งมนุษย์ต่างดาวเกลื่อนกลาดอย่างที่ผมคิด พอย่างเท้าเข้ามาในบ้าน บรรดาพวกลูกครึ่งเหมือนกับผมก็แสดงอภินิหารกันยกใหญ่ ให้รู้กันว่าเป็นลูกครึ่งอะไรบ้าง บ้างก็คืนร่างเดิม บ้างก็แสดงความสามารถพิเศษที่สายพันธุ์ของตัวเองมี แต่ผมไม่ได้สนใจนัก และไม่สนใจที่จะแสดงความสามารถพิเศษของตัวเองออกมาด้วย เพราะสิ่งที่ผมสนใจก็คือแผ่นหลังของคนที่เดินนำผมมาก่อนหน้านี้มากกว่า
อาร์ตรงเข้าไปนั่งบนโซฟาที่อยู่กลางบ้านโดยไม่พูดกับใครสักคำ ไม่สนแม้แต่จะทักทายประธานบ้านที่เดินมาแนะนำตัวเองเมื่อครู่ว่าชื่อมิเกลและเป็นลูกครึ่งอะไรสักอย่าง ยิ่งพอมิเกลเดินเข้าไปถามเซ้าซี้ว่าอาร์เป็นลูกครึ่งอะไร อาร์ก็ให้คำตอบโดยการเปิดเผยตัวเองโดยการปล่อยกลิ่นของชาวยูนิกมาออกมาทั้งที่ปกติแล้ว พวกเราจะเก็บซ่อนกลิ่นนี้ไว้ ทำให้บรรยากาศคึกคักเมื่อครู่นี้หายไปทันตา ก่อนจะตามมาด้วยการทำความเคารพกันอย่างพร้อมเพรียงเมื่อรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของอาร์คือใคร
ก็แน่ล่ะว่าเป็นลูกครึ่งชาวยูนิกมาผู้สูงส่ง แต่สูงส่งกว่าเมื่อกลิ่นของอาร์ไม่ได้เหมือนชาวยูนิกมาทั่วไป แต่มีกลิ่นของเชื้อพระวงศ์ด้วย ทุกคนจะรีบให้ความเคารพก็ไม่แปลก
เพราะอาร์ทำแบบนี้ ผมเลยได้แต่แค่นยิ้มให้กับคนอื่น ๆ ที่หันมามองผมเป็นเชิงว่าทำไมผมถึงไม่ทำความเคารพอาร์เหมือนกับพวกนั้น แล้วทุกคนก็ประจักษ์ได้เมื่อจู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ท่วงท่าสง่างามไม่แพ้กับอาร์โผล่มาจากด้านในของบ้าน พร้อมกับเอ่ยปากทักอาร์อย่างเป็นมิตร
“ก็นึกว่าใครมา ที่แท้ก็ญาติผู้น้องของฉันนี่เอง” ชายคนนั้นว่าขณะยกมือทั้งสองข้างรวบผมยาวปะบ่าสีบลอนด์สว่างขึ้นเป็นหางม้า พออาร์หันไปมองก็หยักยิ้มกว้างให้
ผมมองปราดเดียวก็จำได้เลยว่านั่นคือจูเลียน เจ้าชายรัชทายาทแห่งเซนไทน์ที่เป็นพระโอรสพระองค์เดียวของกษัตริย์เซนไทน์และลุงเจเนซิส แฟนเก่าของพ่อคีธ รายนี้ก็เป็นเพื่อนผมสมัยเด็กเหมือนกัน ผมเลยไม่เคยใช้คำคนละระดับด้วย แต่เราไม่ได้เจอกันนานหลายปีพอ ๆ กับที่ผมไม่ได้เจออาร์แล้วล่ะ นั่นก็เพราะจูเลียนไม่ได้อาศัยอยู่บนโลก แต่อาศัยอยู่ที่ดาวเซนไทน์เพื่อเรียนรู้การเป็นกษัตริย์อย่างที่บรรดาเจ้าชายทำกัน และที่มาโผล่ที่นี่ได้ คงเป็นเพราะเหตุผลเดียวกับอาร์นี่แหละ
อาร์เห็นจูเลียนยิ้มให้ก็ทำเพียงพยักหน้า ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ซ้ำยังเมินเสมือนจูเลียนเป็นอากาศธาตุ ทำเอาจูเลียนยิ้มแหย ผมเลยเข้าใจได้ว่าอาร์น่ะไม่ได้หยิ่งแค่กับคนต่ำศักดิ์กว่าหรอก ขนาดคนมียศถาบรรดาศักดิ์เท่าเทียมกัน ยังหยิ่งใส่เลย ก่อนผมจะยิ้มบาง ๆ ให้จูเลียนบ้างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองมาทางผม
“นายตามมาเป็นผู้พิทักษ์ให้อาร์เหรอ” จูเลียนถามอย่างรู้ทัน คงจะรู้เพราะลุงเจเนซิสบอกแน่ เห็นพ่อคีธบอกว่าลุงเจเนซิสเป็นคนเสนอแผนการหลอกพ่อกวินทร์นี้ให้ลุงแอสตันน่ะ
ผมพยักหน้า จูเลียนเลยตบบ่าผมดังปุ
“งั้นคงต้องทำใจหน่อยนะ ดูท่าทางอาร์จะยังปรับตัวไม่ได้ กว่าจะคุ้นชินคงอีกนาน”
ผมพยักหน้า อยากจะย้อนถามเหมือนกันว่าแล้วเขาทำยังไงถึงปรับตัวได้เร็วขนาดนี้ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นานพอกันกับอาร์ หากแต่ไม่ทันจะได้ถาม เสียงของอาร์ก็เรียกความสนใจจากผมไปแล้ว
“ห้องของเราอยู่ไหน” อันนี้หันไปถามมิเกล
มิเกลที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่รีบกุลีกุจอตอบทันใด
“คะ...คือว่าเรื่องห้องพักนี่ เราต้องให้น้องใหม่จับสลากเลือกน่ะเพคะ ต้องรอให้คนมาครบกันก่อน ตอนนี้ยังมาไม่ครบ ยังจะจัดห้องบรรทมให้ฝ่าบาทไม่ได้”
ตอบไปอย่างนี้ สีหน้าเรียบเฉยของอาร์ก็เผยความไม่พอใจออกมาทันที ทำเอาคนถูกถามมีสีหน้าเจื่อนไปทันตา เจื่อนเพราะกังวลว่าใช้ภาษาคนละระดับไม่ถูกไม่พอ ยังจะเจื่อนหนักกว่าเดิมเมื่ออาร์พูดออกมาสั้น ๆ อีก
“แต่เราเหนื่อยแล้ว เราอยากพัก”
“แต่ว่า...”
พูดแค่นั้นก็ต้องเงียบไปเมื่อถูกดวงตาหรี่เล็กมองเขม็ง เป็นสายตาที่ใครมองก็รู้ว่าเป็นความไม่พอใจอย่างสุดซึ้ง แม้อาร์จะไม่พูดอะไร แต่ก็สร้างความหวาดเกรงให้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี ทำเอาจูเลียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมว่าเบา ๆ
“ใช้สายตาของผู้มีอำนาจได้ดีกว่าฉันซะอีก”
ผมพอจะเข้าใจว่าจูเลียนหมายถึงพวกเชื้อพระวงศ์จะมีความสามารถพิเศษในการแสดงอำนาจแบบที่ไม่ต้องพูดอะไร ก็สามารถแผ่รัศมีความน่าเกรงขามออกมาได้อะไรประมาณนั้น แต่สำหรับคนที่คุ้นชินกับเชื้อพระวงศ์อย่างผม ผมกลับมองว่ามันเป็นสายตาของคนเอาแต่ใจมากกว่า เพราะผมไม่เคยเห็นลุงริชาร์ดกับลุงแอสตันมองใครด้วยสายตาแบบนี้เลย แม้แต่จูเลียนตอนเด็กที่เจอกันก็ไม่เคย รวมถึงลุงเจเนซิส ลุงซีเลน หรือจะเป็นลูก ๆ ของลุงซีเลนอย่างเซซิลกับเบลคที่ตอนนี้อยู่ที่ฝรั่งเศสซึ่งมีสายเลือดสีน้ำเงินเหมือนกัน ก็ไม่เคยมองคนอื่นด้วยสายตาแบบนี้ จะมีก็แต่อาร์ที่ทำอย่างกับว่าคนอื่นต่ำชั่นกว่า
คงเพราะเหตุนี้ ลุงริชาร์ดกับลุงแอสตันถึงได้เป็นห่วงจนต้องขอให้ผมมาดูแลล่ะมั้ง
และเพราะอาร์ไปมองมิเกลอย่างนั้น เธอก็เกิดเกรงใจขึ้นมาจนอดไม่ได้ที่จะมอบสิทธิพิเศษให้อย่างไม่มีทางเลือก
“ชะ...เช่นนั้นฝ่าบาทมีรูมเมทหรือยังเพคะ ถ้ามีรูมเมทแล้ว หม่อมฉันจะจัดห้องบรรทมให้”
“ยังไม่มี” อาร์ตอบ ทำให้มิเกลลุกลี้ลุกลนขึ้นไปอีก
“ถ้ายัง หม่อมฉันคงต้องรบกวนฝ่าบาททรงหารูมเมทก่อน แบบว่า...ห้องนึงต้องอยู่กันสองคนน่ะเพคะ ไม่อย่างนั้น ห้องจะไม่พอสำหรับนักศึกษาใหม่คนอื่น”
“งั้นก็หาให้เราสิ”
งานงอกที่มิเกลทันที มิเกลทำหน้าหนักใจ และดูเหนื่อยใจมากขึ้นไปด้วยเมื่อหันไปมองยังนักศึกษาใหม่คนอื่น ๆ เพื่อหารูมเมทให้อาร์แล้ว ทุกคนก็พากันหลบสายตา บ่งบอกชัดเจนว่าไม่อยากร่วมห้องกับคนบนโซฟาที่นั่งแกะขี้เล็บตัวเอง คงเพราะไม่อยากอึดอัดหรือถูกอาร์ข่มล่ะมั้ง
สุดท้าย หวยเลยมาออกที่จูเลียนเพราะอีกฝ่ายเป็นลูกพี่ลูกน้อง ทว่าพอมิเกลกำลังจะเอ่ยปาก จูเลียนก็ยกมือขึ้น ออกปากปฏิเสธก่อนแล้ว
“ฉันมีรูมเมทแล้วน่ะ ขอโทษนะ” แล้วก็พุ่งไปคว้าใครก็ไม่รู้ที่อยู่ใกล้ ๆ เสียอย่างนั้น
ผมดูหน้าเหวอ ๆ ของใครคนนั้นก็พอจะรู้ได้ว่าจูเลียนไม่ได้ตกลงจับคู่กับหมอนั่นตั้งแต่แรกหรอก ทว่าพอจะถูกยัดเยียดอาร์ให้ ก็ทำเป็นเหมือนว่าตัวเองไม่ว่างขึ้นมาทันที ผมเลยเผลอถอนหายใจไม่ได้
ดูสิ ขนาดลูกพี่ลูกน้องอย่างจูเลียนยังไม่อยากอยู่ด้วยเลย ขนาดได้ข่าวว่าเจอกันบ่อยก่อนมาที่โลกด้วยนะ แสดงว่าฤทธิ์เดชของอาร์คงจะเหลือทนจริง ๆ ถึงขนาดจูเลียนทนไม่ได้เนี่ย
ในเมื่อไม่มีใครยอมคู่กับอาร์สักที อาร์ที่รอได้ไม่ถึงห้านาทีก็ร้องถามด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญนิด ๆ
“ได้หรือยังรูมเมทน่ะ เราบอกแล้วไงว่าเหนื่อย อยากพัก”
เท่านั้น มิเกลก็เลิ่กลั่กเป็นการใหญ่ เห็นแล้วผมก็สงสาร เลยรีบออกปากก่อนที่จะได้เห็นเธอร้องไห้
“ฉันเป็นรูมเมทให้อาร์เอง”
สิ้นเสียงก็รู้สึกเหมือนสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมายังผมประกายวาวราวกับเห็นแสงแห่งความหวัง ความจริงพวกนี้ก็น่าจะรู้กันอยู่แล้วล่ะว่ายังไงผมก็ต้องเป็นรูมเมทให้อาร์ ก็ผมเป็นผู้พิทักษ์นี่นา จะอยู่ห่างจากคนที่ตัวเองดูแลได้ไง
“งั้นก็เอากุญแจห้องไปเลย ขึ้นบันไดไปชั้นสอง ห้องอยู่ริมสุดระเบียงฝั่งขวานะ นาย...”
“คีตา” บอกชื่อไปสั้น ๆ มิเกลก็วางกุญแจแหมะลงบนมือผมทันใด
“ฝากด้วยนะคีตา ดูแลองค์ชายดี ๆ ล่ะ”
แล้วก็ดุนหลังผมให้เข้าไปหาอาร์เป็นการใหญ่ ผมรำคาญนิด ๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก เข้าใจอยู่ว่าเธอคงอยากให้อาร์รีบไปให้พ้นจากตรงนี้ก่อนที่บรรยากาศจะกร่อยไปกว่าเดิม ผมเลยเดินเข้าไปหาอาร์ ตั้งท่าจะบอกว่าให้ขึ้นไป ทว่าไม่ทันจะได้พูด อาร์ก็ลุกขึ้นเดินนำไปแล้ว อะไรไม่ว่า ทิ้งกระเป๋าสัมภาระตัวเองไว้ให้ผมขนอีกต่างหาก
“ตามมาเร็ว ๆ เราอยากนอน”
ผมลอบพ่นลมหายใจนิดหน่อย คว้ากระเป๋าเป้ใบเขื่องของอาร์ขึ้นสะพายหลัง แล้วตามขึ้นไป หัวก็คิดไปเรื่อย
ดูท่าทางจะไม่ได้หยิ่งอย่างเดียวแล้วล่ะ น่าจะเอาแต่ใจตัวเองแบบสุดกู่ด้วย แค่นี้ก็เริ่มออกลายแล้ว เห็นทีผมคงต้องเตรียมรับมืออย่างจริงจังแล้วล่ะ
 
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพ่อกวินทร์ถึงได้ไม่อยากให้ผมยุ่งกับอาร์นัก ซ้ำยังกำชับอีกว่าถ้าอาร์กดขี่ข่มเหงอะไรผมก็ให้รีบบอก จะรีบมาจัดการให้ ก็ดูสิ ขนาดแทบไม่ได้คุยกัน แต่พอเข้ามาในห้องได้ปุ๊บ อาร์ก็ออกคำสั่งให้ผมเลื่อนเตียงของผมเข้าไปชิดกับเตียงของตัวเอง ตอนแรกผมก็นึกว่าจะให้นอนคู่กัน แต่ไม่ใช่ เขาอยากได้เตียงที่ใหญ่ขึ้นเพราะเตียงเดี่ยวของบ้านพักนักศึกษามันเล็กไปสำหรับเจ้าชายอย่างเขา เขาบอกว่ามันไม่ชินเพราะไม่เคยนอนเตียงเล็กแบบนี้มาก่อน ทั้งที่ผมมองดูแล้ว ตัวขนาดอาร์นี่ เตียงเดี่ยวก็ใหญ่เหลือเฟือแล้ว ถ้าจะนอนไม่พอก็น่าจะเป็นผมมากกว่า
ทว่าผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ผมไม่ค่อยสนใจอะไรอยู่แล้ว ให้ไปนอนที่โซฟาที่อยู่ตรงมุมห้องก็ได้ ถึงจะเล็กไปหน่อย แต่ก็โอเค ผมนอนตรงไหนก็ได้ ยังไงก็เป็นผู้พิทักษ์อยู่แล้ว พ่อคีธก็สอนมาแล้วนี่นาว่ามีหน้าที่ต้องดูแลอาร์ให้ดีที่สุด อะไรเสียสละให้ได้ก็ต้องให้ แม้แต่ชีวิตก็ต้องให้ได้เช่นกัน
ถ้าพ่อกวินทร์ไม่มาแหกอกเสียก่อนน่ะนะ...
เลื่อนเตียงให้อาร์เสร็จ อาร์ก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วล้มตัวนอน ก่อนผล็อยหลับไปในเวลาเพียงไม่กี่นาที สงสัยจะเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินทางเลยทำให้หลับง่ายขนาดนี้ ผมเลยไม่ได้ใส่ใจ ปล่อยให้อาร์พักผ่อนอย่างเต็มที่ ส่วนตัวเองก็ลงไปข้างล่างเมื่อหูได้ยินใครบางคนพูดว่าให้นักศึกษาใหม่เริ่มการแนะนำตัว ผมเลยคิดว่าลงไปร่วมกับคนอื่นดีกว่า จะได้รู้จักคนเพิ่ม เผื่อในอนาคตจะได้แนะนำให้อาร์รู้จักด้วย
การแนะนำตัวและทำความรู้จักกันแบบมีขั้นตอนเริ่มกลายเป็นการพูดคุยตามอัธยาศัยเมื่อมิเกลให้จับคู่รูมเมทและจับสลากเพื่อเลือกห้องพัก แล้วก็เริ่มเลยเถิดเป็นการปาร์ตีของมึนเมาเมื่อฟ้าเริ่มพลบค่ำ ความจริงแล้วผมไม่อยากดื่มเท่าไหร่ พ่อคีธเคยบอกไว้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พวกนี้เป็นภัยถึงชีวิตได้ ผมก็ไม่เข้าใจนักหรอกว่าเป็นภัยถึงชีวิตยังไง เท่าที่ผมเคยดื่มกับเพื่อนในงานเลี้ยงตอนเรียนจบไฮสคูล อย่างมากมันก็ทำให้เมาค้างยันวันใหม่ก็เท่านั้นหากดื่มมากเกินไป และพอพ่อคีธพูดอย่างนั้น พ่อกวินทร์ได้ยินทีไรก็หัวเราะออกมายกใหญ่ พร้อมกับอธิบายให้ผมฟังว่าพ่อคีธมีอดีตฝังใจกับเครื่องดื่มจำพวกนี้ ผมอยากถามเหมือนกันว่ามีอดีตยังไง แต่เหมือนพ่อคีธไม่อยากพูดถึงก็เลยไม่เคยถามสักที
ทว่าตอนนี้ เครื่องดื่มที่พ่อคีธขยาดที่สุดอยู่ในมือผมแล้วล่ะ ผมเลือกดื่มเบียร์เพราะคิดว่ามันน่าจะทำให้มึนเมาน้อยกว่าพวกวอดก้าหรือบรั่นดีที่คนอื่นกระดกดื่มกันเพียว ๆ และแน่นอนว่าผมไม่ลงไปเล่นเกมแข่งดื่มอะไรกับใครด้วยเพราะไม่อยากจะเมาหัวทิ่มจนไปเรียนไม่ได้ตั้งแต่วันแรกซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้ ดื่มไปก็นั่งฟังคนอื่นคุยกันไป ไม่ค่อยมีปากเสียงกับใครเท่าไหร่นัก การชวนคนอื่นคุยไม่ใช่สไตล์ผมเท่าไหร่ นั่งฟังเงียบ ๆ น่ะดีแล้ว จะมีก็แต่ตอบรับจูเลียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ บ้างเท่านั้น
“นายนี่พูดน้อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ” จูเลียนว่าเมื่อเห็นว่าผมถามคำตอบคำตลอดเวลา ผมเลยยักคิ้วให้เป็นการตอบรับ ทำเอาอีกฝ่ายตีเข้ามาที่บ่าผมเบา ๆ
“นายพูดน้อย อาร์ก็พูดน้อย อยู่ด้วยกัน สงสัยห้องพวกนายสงบสุขแน่ถ้าอาร์ไม่ออกอาการเอาแต่ใจซะก่อนน่ะนะ รายนั้นน่ะ เอาแต่ใจทีไร ทำคนติดตามผวาทุกที เอาแต่ใจมาก ขนาดฉันยังไม่ค่อยอยากคุยด้วยเลยตอนหมอนั่นเอาแต่ใจ กลัวโดนลูกอาละวาด”
นั่นไง เหมือนที่ผมเคยบอกว่าจูเลียนคงจะรู้ดีว่าอาร์เป็นคนแบบไหน ตอนอยู่ที่ดาวบ้านเกิดพ่อ ๆ คงจะได้เจอกันบ่อยแน่
“ว่าแต่ตอนนี้อาร์อยู่ไหนล่ะ ทำไมไม่ลงมาปาร์ตีกับคนอื่น”
“นอนน่ะ” ผมว่าสั้น ๆ ทำเอาจูเลียนย่นคิ้ว
“เฮ้ย มานอนอะไรตอนนี้ เดี๋ยวค่อยนอนใหม่ตอนกลางคืนก็ได้ ไปลากหมอนั่นมาร่วมวงกับคนอื่นก่อนไป” จูเลียนไล่ผมเมื่อได้ยินคำตอบแบบนั้น ผมเลยต้องรีบชี้แจง
“เห็นว่าเดินทางมาเหนื่อยเลยไม่อยากกวน ปล่อยให้พักเถอะ เดี๋ยวก็ได้หงุดหงิด”
พูดไปอย่างนี้ จูเลียนก็ทำท่าเหมือนจะคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าอาร์ถูกกวนจะเป็นยังไง เลยย่นปาก ทำหน้าเหมือนกับว่าเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ทว่าก็ยังหลุดปากพูดออกมา
“ก็นะ ขนาดหมอนั่นตอนอารมณ์ปกติยังไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้ ถ้าอารมณ์เสียขึ้นมาเมื่อไหร่ มีหวังปาร์ตีได้หมดสนุกแน่ ให้นอนต่อไปก็แล้วกัน แต่ก็น่าเสียดาย น่าจะมาร่วมวงกับคนอื่นเค้าหน่อย จะได้ฝึกทักษะการเข้าสังคม ได้ยินพ่อเจเนซิสของฉันบอกว่าพ่อ ๆ ของหมอนั่นกังวลเรื่องการเข้าสังคมนี่นา ไม่มาเข้าร่วมแบบนี้ จะไปฝึกการเข้าสังคมได้ยังไง”
คำพูดของจูเลียนมีเหตุผล พอผมมองหน้า จูเลียนก็ส่งยิ้มให้เป็นเชิงถามว่า ‘จริงมั้ย?’ ผมเลยตอบรับอย่างไม่มีทางเลือก เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์สำหรับอาร์เช่นเดียวกัน
“งั้นเดี๋ยวฉันไปตามอาร์มาแล้วกัน”
จูเลียนส่งยิ้มให้ผมราวกับบอกว่าตัดสินใจถูกต้องแล้ว ทว่าพอผมลุกขึ้นเดินไปยังทางขึ้นชั้นสองเท่านั้น ร่างของอาร์ก็ปรากฏให้เห็นบนบันได ผมเลยถอยมาให้เขาได้เดินผ่านหน้าไป แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นความอึกทึกคึกโครมภายในโถงของบ้าน ก่อนจะหันมาถามผมเสียงขุ่น
“นี่ทำอะไรกันอยู่”
“ปาร์ตีต้อนรับนักศึกษาใหม่” ผมว่า หัวคิ้วอาร์ก็ย่นยู่พลัน
“น่ารำคาญ ไร้อารยธรรม” ไม่พูดอย่างเดียว สีหน้าก็แสดงออกมาชัดเจนด้วยว่าไม่พอใจ
ก็นะ งานเลี้ยงของคนทั่วไปกับงานเลี้ยงของบรรดาเชื้อราชวงศ์มันต่างกันนี่นา คนทั่วไปก็เน้นสนุกสนานเละเทะไปตามเรื่อง ส่วนพวกเชื้อราชวงศ์ก็เป็นงานแบบมากพิธีรีตอง อาร์คงจะชินกับงานเลี้ยงแบบนั้นมากกว่าถึงได้เกิดอาการไม่ชอบใจแบบนี้
แล้วผมก็เบี่ยงประเด็นด้วยไม่อยากให้อาร์โผล่ไปทำงานเลี้ยงของคนอื่นกร่อย
“แล้วนี่ตื่นมาทำไม หิวเหรอ” ที่ถามอย่างนี้เพราะเห็นว่าอาร์ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่มาถึงที่นี่น่ะ
อาร์ส่งเสียงอือในลำคอเป็นการตอบรับ ผมเลยพยักหน้าเรียกอาร์ให้ตามไปที่ห้องครัว จัดการเอาขนมปังมาทำแซนวิซแบบง่าย ๆ ให้กินด้วยไม่เหลืออะไรให้เขากินแล้ว ปกติแล้ว ชาวยูนิกมาจะไม่กินอาหารของมนุษย์โลก จำเป็นต้องกินยาปรับสภาพถึงจะรับอาหารของมนุษย์โลกไปผ่านกระบวนการดูดซึมให้กลายเป็นสารอาหารได้ แต่เพราะพวกผมเป็นลูกครึ่งเลยไม่จำเป็นต้องกินยาพวกนั้น แค่กินอาหารแบบปกติก็ได้รับสารอาหารแล้ว
อาร์จัดการแซนด์วิซโดยเวลาไม่กี่นาที ดูท่าทางจะหิวมาก กินเสร็จก็เดินไปล้างมือ แล้วก็ทำท่าจะเดินกลับขึ้นห้องไปอีกครั้งโดยไม่แม้แต่จะขอบคุณผมสักนิด ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็เจ้าชายนี่นะ มีเจ้าชายที่ไหนขอบคุณข้าราชบริพารบ้างล่ะ ยิ่งกับเจ้าชายที่หยิ่งยโสอย่างอาร์ด้วยแล้ว ไม่ต้องไปหวังอะไรเลย
ผมเลยทำท่าจะเดินกลับไปยังโถงกลางบ้านอีกครั้ง แต่ก็ต้องชะงักขาเมื่อหูได้ยินเสียงของลูกครึ่งคนหนึ่งที่เมาได้ที่โวยวายเสียงดัง โวยวายไม่พอ ยังเข้าไปเกาะแกะอาร์อีก ไม่ได้เกาะแกะเพราะเห็นว่าอาร์หน้าตาดีหรืออะไรด้วยนะ แต่ไปเกาะแกะอาร์เพราะเห็นว่าอาร์ไม่มาเข้าร่วมวงต่างหาก
“เฮ้ย จะไปไหน ปาร์ตียังไม่เลิกเลย จะหนีไปนอนแล้วเหรอวะ เอิ๊ก” คนเมาพูด คว้าต้นแขนอาร์ไว้อีก อาร์เลยชักสีหน้าใส่ ก่อนว่าเสียงเรียบ
“ปล่อย” แล้วก็สะบัดออก หากแต่อีกฝ่ายไม่ปล่อย ถลาเข้าไปใกล้อีกต่างหาก
“กลัวเมาล่ะซี่ แหม เป็นถึงเจ้าชายแห่งยูนิกมา มากลัวมงกลัวเมา ใจเสาะนี่หว่า ทำเป็นวางท่าสูงส่ง เฮอะ ถ้าแน่จริงก็มาดวลดวดวอดก้ากันสิ รับรองเลยว่าฉันจะถล่มนายให้คว่ำ”
เริ่มพูดจาเลอะเทอะแล้วด้วย อะไรไม่ว่า มีการดูหมิ่นเกียรติของอาร์ในฐานะเจ้าชายอีกต่างหาก ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าพูดไปเพราะเมา แต่ก็ทำให้สีหน้าของอาร์โกรธขึ้งขึ้นมาทันตา และผมก็ไม่รอช้าที่จะรีบโผล่หน้าออกจากห้องครัวไปยุติเหตุการณ์นั้นในฐานะผู้พิทักษ์ทันใด ไม่ใช่ว่ากลัวอาร์จะเป็นอันตรายหรอกนะ ได้กลิ่นลูกครึ่งพวกนั้นแล้วก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นพวกรักสงบเข้าขั้นขี้ขลาด แต่กล้าพูดเพราะเมาไม่ได้สติ ผมกลัวว่าอาร์จะอาละวาดมากกว่า
ก้าวเร็ว ๆ ไปถึงยังจุดเกิดเหตุได้ ก็รีบกระชากมือของลูกครึ่งคนนั้นออกห่าง ปากก็เตรียมจะอ้า ไล่อีกฝ่ายไป ทว่าอาร์ก็แทรกขึ้นมาโดยไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัว
“นายหมิ่นเกียรติของเรามากเกินไปแล้วพวกสายพันธุ์ชั้นต่ำ ได้! ในเมื่อท้าทายกันถึงขนาดนี้ ก็จะได้รู้กันว่าใครกันแน่ที่ใจเสาะ”
ผมหันขวับไปมองอาร์ทันที ปากจะร้องห้ามไม่ให้อาร์ทำอะไรแบบนั้น แต่อาร์ก็ผลักผมออก ความจริงแรงผลักของเขาไม่มากพอที่จะดันผมออกจากตรงนั้นได้หรอก แต่เพราะผมไม่ยอมขยับเขยื้อน อาร์เลยว่าเสียงแข็งใส่ผม
“ถอยไปคีตา ถ้าไม่อยากให้เราโมโหไปมากกว่านี้จนบ้านนี้อยู่กันไม่เป็นสุขล่ะก็ อย่ามาขวาง”
นั่นแหละ ผมเลยต้องรีบเปิดทางให้ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าอาร์สร้างเรื่องให้คนอื่นปวดหัวกันยกแผง
 
พออาร์เข้ามาในโถงบ้านได้ ทุกคนที่ครื้นเครงอยู่ก็หยุดทุกการเคลื่อนไหวทันที พูดตรง ๆ ว่าแค่โผล่หน้าบูด ๆ มา ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร บรรยากาศก็กร่อยไปทันตาแล้ว ส่วนอาร์ เดินเข้ามาได้ก็ทรุดตัวลงนั่งลงตรงข้ามกับคนท้าคนนั้น ผมเดินไปหยุดข้างหลังอาร์ กะว่าถ้ามีอะไรนอกเหนือจากสถานการณ์ปกติเกิดขึ้นก็จะได้ห้ามทัพได้ทัน
ทุกคนดูงุนงงกันสักหน่อยว่าอาร์กับลูกครึ่งคนนั้นจะทำอะไร ทว่าจูเลียนที่มีความสามารถพิเศษในด้านประสาทสัมผัสเหมือนกันกับผมก็อธิบายให้ทุกคนฟังแล้วว่าอาร์กับลูกครึ่งนั่นจะท้าดวดวอดก้ากัน ผมเลยไม่ต้องพูดอะไร แค่ยืนดูการดวลอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
มิเกลในฐานะประธานบ้านอาสาเข้ามาเป็นกรรมการตัดสิน ก่อนอธิบายกติกาคร่าว ๆ ว่าให้ดวดวอดก้าทีละช็อตพร้อมกัน ใครดื่มได้เยอะที่สุดและไม่หลับไปก่อน คนนั้นก็เป็นผู้ชนะ ไม่กี่อึดใจ การประลองก็เริ่มขึ้น
ตอนแรกบรรยากาศของบ้านก็ดูอึมครึม แต่พออาร์เริ่มดื่มและอีกฝ่ายที่เมาได้ที่อยู่แล้วดื่มไป โวยวายไป การส่งเสียงเชียร์ก็เริ่มดังขึ้นมาเพราะคู่ต่อสู้ของอาร์นั้นได้ชื่อว่าคอแข็งพอสมควร ยิ่งเห็นว่าอาร์ที่ดื่มไป ทำหน้าปูเลี่ยนไปไม่ยอมแพ้ จากความอึมครึมก็กลายเป็นความสนุกสนานขึ้นทันตา ถึงขนาดมีการเดิมพันด้วยว่าใครจะชนะ แต่ไม่รู้ทำไม พอเห็นอาร์ดื่มเข้าเยอะ ๆ อย่างไม่ยอมแพ้แล้ว ผมก็เกิดกังวลขึ้นมา
ก็น่าทำให้ผมกังวลจริง ๆ แหละ เพราะพออาร์เริ่มยกช็อตที่สิบขึ้นดื่มด้วยท่าทางโงนเงนและสายตาปรือเกือบจะหลับให้ได้ เขาก็เริ่มออกอาการโวยวาย หงุดหงิดใส่ทุกคนที่เข้ามาใกล้ แค่นั้นไม่พอ ยังเที่ยวดูถูกค่อนแคะลูกครึ่งมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์อื่นไปทั่วว่าต่ำชั้นกว่า ขนาดจูเลียนยังโดนไม่เหลือ โชคดีที่คู่แข่งของอาร์ล้มฟุบไปเสียก่อน ผมเลยไม่รอช้าที่จะยุติเรื่องราวทั้งหมดก่อนอาร์จะได้ด่าว่าเสียเทเสียคนอื่นไปทั่วมากกว่านี้ด้วยการพุ่งเข้าไปจับอาร์ยกขึ้นพาดบ่า ขณะที่เขาเริ่มหันมาเล่นงานผมแล้ว
“นายก็เหมือนกัน! อึ้ก! ไอ้ผู้พิทักษ์เฮงซวย เราบอกแล้วว่าไม่ต้องการ พ่อ ๆ ก็ยังจะส่งมาอีก น่ารำคาญ!”
เริ่มเสียงดังแล้วด้วย ผมเลยมองไปทางจูเลียนเป็นเชิงว่าขอตัวก่อน ขณะที่จูเลียนโบกมือไล่ให้ผมรีบ ๆ พาอาร์ไป ผมเลยหมุนตัว ขึ้นไปยังชั้นสองทันที
 

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 01: The egg from the prince[2]

เข้ามาในห้องได้ก็จัดการวางอาร์ลงบนเตียง อาร์ยังคงก่นด่าผมไม่หยุด จากที่ว่าผมเป็นผู้พิทักษ์เฮงซวย ตอนนี้เริ่มลามไปค่อนขอดพ่อกวินทร์ละ ก็รู้อยู่แหละว่าอาร์กับพ่อกวินทร์ไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไหร่ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ผมเป็นเด็กแล้ว แต่มาว่าพ่อกวินทร์ไม่หยุดปากแบบนี้ ผมก็ไม่ชอบใจเหมือนกัน สุดท้ายเลยต้องออกปากดุจนได้
“อาร์ พูดแบบนี้ไม่โอเคเลยนะ นั่นพ่อฉัน”
อาร์เหมือนจะยังมีสติอยู่ ตวัดดวงตาเรียวเล็กมามองผม แล้วว่าเสียงแข็ง
“ก็เราพูดเรื่องจริง พ่อกวินทร์ของนาย อะไร ๆ ก็ว่าเรา ยังไม่ได้ทำอะไรให้ก็ว่า พูดความจริงแล้วนายจะทำไม เป็นแค่ผู้พิทักษ์ มีปัญหาอะไรไม่ทราบ!” เริ่มเสียงดังอีกแล้ว
ซึ่ง... ที่อาร์ว่ามามันก็ถูกแหละ พ่อกวินทร์ก็ชอบว่าอาร์โดยไม่มีเหตุผลเท่าไหร่เหมือนกัน แต่ยังไงพ่อกวินทร์ก็อายุมากกว่านี่นา ถึงจะเป็นเจ้าชาย ยังไงก็ต้องให้ความเคารพอยู่ดี
ผมเลยเดินเข้าไปใกล้อาร์ ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงแล้วว่าอย่างใจเย็น
“แต่ถึงอย่างนั้น นายก็ไม่ควรมาพูดอย่างนี้ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นพ่อของฉัน แล้วฉันก็เป็นลูกด้วย ได้ยินแล้วมันก็ไม่โอเคเท่าไหร่ อีกอย่าง นายเป็นถึงเจ้าชาย เจ้าชายเค้าไม่มาพูดว่าใครไปทั่วอย่างที่นายทำหรอก”
ให้เหตุผลไป หวังว่าอาร์คงจะเข้าใจ เอาเรื่องฐานะมาพูดด้วย แต่อาร์กลับไม่หยุด ดันตัวขึ้นนั่ง คว้าคอเสื้อผมเข้ามาใกล้ แล้วว่าเสียงห้วน
“แต่พ่อของนาย...อึ้ก พ่อของนายก็ต้องตระหนักด้วยว่าเราเป็นใคร เราไม่ใช่คนที่พ่อของนายจะมาพูดจาละลาบละล้วงได้ เข้าใจมั้ย”
นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเช้าที่พ่อกวินทร์ค่อนแคะอาร์ทันใด ก็นะ ถึงจะเป็นเจ้าชาย แต่อาร์ก็เป็นลูกชายเพื่อนสนิทของพ่อกวินทร์นี่นา พ่อกวินทร์เลยไม่ได้สนใจอะไร
อย่าว่าแต่ไม่สนใจอาร์เลย กับคนอื่นก็ไม่สนใจเถอะ อย่างลุงแอสตันที่ตอนนี้เป็นถึงกษัตริย์แห่งยูนิกมา พ่อกวินทร์ยังไม่สนเลย กษัตริย์แห่งเซนไทน์ยังไม่สน ไหนจะคนอื่น ๆ ที่เป็นเชื้อพระวงศ์ญาติผู้ใหญ่ของอาร์อีก แล้วประสาอะไรกับอาร์ล่ะ
ผมเลยตั้งท่าจะอธิบายว่าทำไมพ่อกวินทร์ถึงพูดจาแบบนั้น แบบว่า...นิสัยของพ่อกวินทร์เป็นแบบนั้นน่ะ มันแก้ไม่ได้
ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร อาร์ที่ดึงผมเข้าไปใกล้กว่าเดิม จ้องตาผมเขม็งแล้วพึมพำออกมา
“เพราะพ่อกวินทร์ของนาย เราเลยไม่ได้วางไข่นายเลยเห็นมั้ย”
“วางไข่?” ผมเผลอย่นคิ้วทันควัน นึกถึงตอนเด็ก ๆ ที่ผมเลยเล่นวางไข่กับอาร์แล้วถูกพ่อกวินทร์ขวางทันที
อย่าบอกนะว่าที่อาร์เริ่มไม่ถูกกับพ่อกวินทร์เป็นเพราะเรื่องตอนนั้น?
แต่มันก็สมควรที่พ่อกวินทร์จะห้ามแล้วล่ะ ถ้าพลาดขึ้นมา มีหวัง ผมกับอาร์ได้เดือดร้อนแน่ถ้าต้องเป็นคุณพ่อตั้งแต่อายุสิบขวบ
เป็นคุณพ่อวัยใสตั้งแต่อายุเท่านั้น ยังไงมันก็ไม่โอเคอยู่แล้วล่ะ
แม้แต่ตอนนี้ที่อายุสิบแปดแล้ว มันก็ไม่โอเค ยังเรียนอยู่อย่างนี้ ถ้าพลาดเรื่องอย่างนั้น มีหวังพ่อกวินทร์ได้เฉาะหัวผมแน่
ทว่าการที่ผมไม่ได้เอะใจกับคำพูดของอาร์ เอาแต่เงียบ ทำให้อาร์ได้พูดขึ้นมาอีก
“ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เราได้เป็นเจ้าของนายไปตั้งนานแล้ว”
ผมไม่เข้าใจว่าอาร์หมายถึงอะไร และอาร์ก็ไม่ปล่อยให้ผมใช้เวลาทำความเข้าใจด้วย แค่พูดจบ ก็เลื่อนใบหน้ามาจูบผมเสียอย่างนั้น ด้วยความที่ผมตกใจ ผมเลยไม่ได้ตอบรับการจูบของอาร์ ได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างอึ้งงัน ไม่คิดว่าอาร์จะทำแบบนี้ รู้ตัวอีกทีก็ถูกอาร์ขึ้นมานั่งคร่อมบนตัว ประคองใบหน้าผมจูบอย่างดูดดื่มไปเรียบร้อยแล้ว
รสจูบของอาร์ที่เจือไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์กระตุ้นให้ความกำหนัดของผมพวยพุ่งขึ้นมาตามประสาชายหนุ่ม ใบหน้าหล่อเหลาและความมีเสน่ห์ของคนตรงหน้าทำให้ผมยอมอีกฝ่ายโดยไม่ยาก แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมจูบกับผู้ชายด้วยกันก็ตาม แต่ความจริง ผมก็ไม่ได้ซีเรียสว่าต้องจูบกับเพศไหน เพศไหนผมก็จูบได้ทั้งนั้นถ้าหากว่าผมรักหรือชอบ แต่สำหรับอาร์นี่พูดไม่ถูกว่าชอบหรือเปล่า ก็นิสัยอย่างนี้ แถมไม่ได้เจอกันตั้งนาน ความผูกพันมันก็ลดน้อยถอยลงไปตามเวลาอยู่แล้ว ที่รู้ตอนนี้มีอย่างเดียวคือ...
จูบของอาร์ให้ความรู้สึกดีชะมัด
พอเริ่มได้สติ จากฝ่ายที่เป็นยอมให้จูบก็เริ่มตอบสนองอาร์บ้างแล้ว ผมต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการไม่จับอาร์พลิกให้นอนราบบนเตียง แล้วทำอะไรต่อมิอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้ และเพราะผมไม่ทำ อาร์ก็เลยจะการดันผมลงนอนแทน ซ้ำยังเลิกชายเสื้อฮู้ดผมขึ้น สอดมือเข้าไปลูบไล้ยอดอกใต้เสื้ออีกต่างหาก
ผม...ผมว่าผมชักไม่ไหวแล้วแฮะ ถึงจะเป็นผู้พิทักษ์ มีหน้าที่ดูแลเจ้าชาย แต่ถูกเจ้าชายทำแบบนี้ ผมก็มีอารมณ์เหมือนกันนะ
มือที่อยู่เฉย ๆ เลยไปเคล้นคลึงบั้นท้ายของอาร์โดยไม่ได้ตั้งใจ อาร์สะดุ้งเล็กน้อย ลืมตาจ้องผมเขม็งทั้งที่ยังจูบอยู่ ก่อนจะผละริมฝีปากออก แล้วว่าดุ ๆ
“นายไม่มีสิทธิแตะต้องตัวเรา เราเท่านั้นที่มีสิทธิแตะต้องตัวนาย นายต้องเป็นฝ่ายรับรองเราเท่านั้น”
ได้ยินอย่างนี้ คำพูดของพ่อคีธที่ครั้งหนึ่งเคยบอกผมว่า ‘คีตาต้องเป็นฝ่ายรุกเท่านั้น’ ก็แวบเข้ามาในหัวทันที ผมก็ไม่อยากเป็นนักหรอกฝ่ายรับรองอะไรนั่นน่ะ ดูท่าทางไม่สนุกเลย อีกอย่าง ขนาดตัวผมก็ไม่เหมาะให้เป็นฝ่ายรับด้วย ตัวใหญ่กว่าอาร์ขนาดนี้ อาร์จะมากอดผมทั้งตัวได้ยังไง สำคัญกว่านั้นคือ ถ้าผมยอม เราจะต้องมีอะไรเลยเถิดกันแน่ ซึ่งมันก็คือการผูกพัน
กฎของชาวยูนิกมาคือ ผูกพันได้แค่คนเดียวเท่านั้น และจะเป็นคนเดียวตลอดชีวิต!
การตระหนักได้ถึงกฎข้อนั้นทำให้ผมคืนสติ เก็บความต้องการตามธรรมชาติลงไปเป็นพัลวัน
ก็ใครมันจะยอมให้อาร์ผูกพันกับผมล่ะ ถ้าผมยอม มีหวังพ่อกวินทร์ได้ทำราชวงศ์ยูนิกมาล่มสลายแน่ นี่ไม่ได้กลัวว่าอาร์จะต้องผูกพันกับผมเพราะไม่ได้ตั้งใจเลยนะ กลัวพ่อกวินทร์ล้วน ๆ
ผมเลยรีบดึงมือของอาร์ที่วุ่นวายอยู่ใต้เสื้อผมออก ปากจะบอกแล้วว่าเราไม่ควรทำอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้ แต่อาร์ก็ทำให้ผมต้องกลืนคำพูดที่ตั้งใจจะพูดลงไป ก่อนเขาจะว่าออกมา
“นายจะต้องเป็นของเราคีตา เป็นของเรา เราจะไม่ยอมให้พ่อกวินทร์ของนายมาขัดขวางอีกแล้ว”
สิ้นเสียง ก็ประกบปากจูบผมอีกครั้ง ผมยังไม่เข้าใจว่าอาร์ต้องการอะไร แล้วก็คิดไม่ออกหนักไปใหญ่เมื่อจูบของอาร์เริ่มรุนแรงมากขึ้น ชวนให้ผมเคลิ้มไปครู่หนึ่ง ก่อนจะต้องเบิกตาโพลงเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสของวัตถุทรงกลมขนาดเล็กที่ส่งเข้ามาในปาก จิตใต้สำนึกของผมบอกทันทีว่ามันคือไข่
ไข่จากอาร์!
เท่านั้นผมก็รีบผุดลุก จะผลักอาร์แล้วคายไข่ทิ้งทันใด ทว่าอาร์รู้ทัน สวนหมัดเข้ามาที่หน้าท้องผมเสียเต็มแรง แรงปะทะแบบไม่ทันตั้งตัว แม้จะไม่แรงพอทำให้ผมเจ็บ แต่ก็ทำให้ตกใจจนเผลอกลืนไข่ลงไปได้
ผมเบิกตาค้าง ขณะที่อาร์ถอนริมฝีปากออกมา ว่าพึมพำพร้อมด้วยตาปรือ ๆ
“เป็นของเราซะคีตา...เป็นของเรา”
จากนั้นก็ฟุบหลับบนตัวผมไปเลย ทิ้งให้ผมมองอย่างไม่เชื่อสายตาว่าจู่ ๆ จะถูกอาร์ทำแบบนี้
หะ...ให้ตาย อะไรเนี่ย! ทำไมจู่ ๆ มาวางไข่ใส่ผม
ทะ...ทำไมกัน!?!
 

ออฟไลน์ wanderer

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
น่าสนใจตอนต่อไปมาก
คีตาจะทำยังไงต่อไป

ออฟไลน์ akeins

  • ชีวิตเรา Undo ไม่ได้
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8

หายไปนาน เพิ่งเคลียร์เล่มอื่นๆ เสร็จ เคลียร์ไฟนอลเตรียมตัวเอาเข้าโรงพิมพ์แล้วค่ะ ตอนนี้วนกลับมาเร่งรีไรท์เรื่องนี้ เอาตัวอย่างตอนใหม่มาโพสต์ให้อ่านชิมลางกันก่อนค่ะ ยังไม่ไฟนอลเช่นเคยเพราะต้องปรู๊ฟพิสูจน์อักษรกับเช็คอะไรหลายๆ อย่างอีกก่อนส่งเข้าโรงพิมพ์
ส่วนเล่มเจ้าชายที่เป็นเรื่องราวของจูเลียน หนูแดงจะมาโพสต์ให้อ่านกันตอนที่ส่งหนังสือให้คนที่จองหนังสือครบแล้วนะคะ รอกันก่อนเน้อ XD
------------------------------------------

Episode 02: I am pregnant with your baby!


คิดถึงสาเหตุที่อาร์มาวางไข่ใส่ผมทั้งคืนจนไม่ได้นอนเลยแม้แต่งีบเดียว สรุปเอาเองได้ว่าที่อาร์ทำแบบนี้ คงเป็นเพราะเมาและเพราะจิตใต้สำนึกลึก ๆ แล้วอยากเอาชนะพ่อกวินทร์จากปมในวัยเด็กที่ครั้งหนึ่งเคยถูกพ่อกวินทร์สั่งห้ามเล่นวางไข่ เลยเผลอทำแบบนี้กับผม แต่นั่นไม่สำคัญแล้ว สำคัญที่สุดในตอนนี้คือผมจะทำยังไงกับไข่ของอาร์ที่อยู่ในตัวมากกว่า
และผมจะไม่มานั่งกลุ้มแบบนี้เลยถ้าหากว่าไข่นั่นเป็นไข่สำหรับการสร้างร่างใหม่ตามที่ชาวยูนิกมารุ่นพ่อคีธทำกันเมื่อสมัยที่ยังไม่มียาปรับสมดุลร่างกาย แต่ตอนนี้มันมีแล้วไง แค่กินยา ต่อให้อยู่ในชั้นบรรยากาศของดาวไหน มันก็ไม่จำเป็นต้องวางไข่เพื่อการสร้างร่างใหม่ ยืดอายุชีวิตให้ยาวนานขึ้นอีกแล้ว ดังนั้นไข่ของชาวยูนิกมาที่จะวางใส่อีกฝ่ายจะมีแค่อย่างเดียวเท่านั้น ก็คือ...
ไข่สำหรับการสร้างทายาท
คิดไปอย่างนั้นเรียบร้อยแล้วทั้งที่จริง ไข่ที่อาร์วางมามันอาจจะเป็นไข่สำหรับการสร้างร่างใหม่ก็ได้ เพราะไม่ว่ายังไง ชาวยูนิกมาก็ยังสร้างไข่ประเภทนั้นได้อยู่แม้ว่าจะเป็นลูกครึ่งก็ตาม แต่ผมก็อดกังวลไม่ได้เลยด้วยไม่รู้แน่ว่าไข่นั่นมันผสมน้ำเชื้อหรือไม่ ถ้าผสม ก็เท่ากับว่าไข่ที่อยู่ในตัวผมตอนนี้คือลูกของผมกับอาร์ ยังไงก็ทำลายทิ้งไม่ได้
และยิ่งกังวลหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นคนตัวการนอนหลับอุตุ ส่งเสียงกรนคร่อกโดยไม่สนใจผมที่นั่งมองเขาอย่างเป็นกังวลจนฟ้าสางเลยแม้แต่น้อย จนในที่สุด ผมก็ทนความวิตกกังวลนี้ไม่ไหว ลุกขึ้นไปค้นเอาแผ่นฟิล์มสื่อสารที่อยู่ในกระเป๋าสัมภาระมาแปะที่ขมับ หมายจะติดต่อหาพ่อคีธเพื่อขอคำปรึกษา หากแต่พอแปะแผ่นฟิล์มปุ๊บ พ่อกวินทร์ก็ดันโทรวิดีโอคอลมาเข้าโทรศัพท์ผมเสียก่อน ทำให้ผมรีบแกะแผ่นฟิล์มออก แล้วเปลี่ยนไปรับสายพ่อกวินทร์อย่างรวดเร็ว
[อรุณสวัสดิ์คีตา ชีวิตหนุ่มมหา’ลัยวันแรกเป็นไงบ้าวง]
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเลย น้ำเสียงสดใสของพ่อกวินทร์ก็ดังขึ้นก่อนแล้ว ผมเลยรีบคว้าเอาหูฟังมาเสียบเพื่อไม่ให้เสียงนั้นรบกวนอาร์ ก่อนตอบรับไป
“ดีครับ สนุกดี”
[พูดอย่างนี้แสดงว่าเมื่อคืนมีปาร์ตีรับน้องใหม่ใช่มั้ย]
ผมพยักหน้ารับ พ่อกวินทร์เลยถามต่อ
[แล้วลูกพ่อเมาหัวทิ่มไม่เป็นท่าหรือเปล่า มีสาว ๆ มาจีบมั้ย อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนสอยสาวมหา’ลัยไปแล้ว?]
ตอนถาม พ่อกวินทร์ก็ทำหน้าดุไปด้วย ผมเลยรีบปฏิเสธด้วยไม่อยากให้เขากังวลอะไรไปเรื่อยเปื่อย
“ไม่เมาครับ ไม่มีสาว ๆ มายุ่งด้วย”
แต่ปฏิเสธไปก็เท่านั้นแหละ ผมสนิทกับพ่อกวินทร์ แค่มองสีหน้าผม เขาก็ดูรู้แล้วว่าผมผิดปกติไป ก่อนจะเงียบ จ้องหน้าผมเขม็งแล้วถามขึ้นมาใหม่
[ถ้าไม่ได้เมา ไม่ได้หิ้วสาวไปสนุกจนหมดแรง แล้วนี่ทำไมหน้าตาดูเหนื่อย ๆ ]
ถามมาแค่นี้ก็เล่นเอาผมเสียวสันหลังวาบ ไม่กล้าพูดเลยว่าที่ดูอิดโรยอย่างนี้เป็นเพราะไม่ได้นอนทั้งคืนด้วยเอาแต่คิดมากเรื่องถูกอาร์วางไข่ หากแต่การไม่ตอบรับในทันที ทำให้พ่อกวินทร์จับผิดผมมากขึ้น ก่อนจะว่าเสียงต่ำ
[คีตา มีอะไรปิดบังพ่ออยู่]
เท่านั้น ผมก็รีบส่ายหน้าทันที พลันรีบเบี่ยงประเด็นอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีครับ ผมก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”
[เรื่อยเปื่อยที่ว่าน่ะคืออะไร]
นั่นไง เผยพิรุธให้พ่อกวินทร์เห็นแล้วแหง ๆ เขาถึงได้คาดคั้นจับผิดผมอย่างนี้ ผมรีบมองหาพ่อคีธบนหน้าจอโทรศัพท์ทันควัน กะว่าจะส่งสายตาเป็นเชิงขอให้เขาช่วย ทว่าพ่อกวินทร์ก็รู้ทันว่าผมมองหน้าใคร เลยโพล่งขึ้นมาอีก
[ถ้ามองหาพ่อคีธล่ะก็ ตอนนี้ไม่อยู่หรอก เมื่อเช้าเพิ่งจะออกกองไปเอง]
นึกขึ้นมาได้ฉับพลันว่าเมื่ออาทิตย์ก่อน เห็นพ่อ ๆ พูดกันอยู่ว่าพ่อคีธรับงานสตั๊นแมนให้กองถ่ายของหนังฮอลลีวูดเรื่องหนึ่งไป ป่านนี้คงจะกำลังยุ่งอยู่ งั้นเอาไว้หาจังหวะเหมาะ ๆ แล้วค่อยหาทางติดต่อพ่อคีธไปอีกครั้งก็แล้วกัน เขาน่าจะพกแผ่นฟิล์มสื่อสารติดไปด้วย
หากแต่การที่ผมเงียบคิดแผนการติดต่อพ่อคีธอยู่นาน ทำให้พ่อกวินทร์เอียงคอมองผมอย่างจับผิดอีกครั้ง ก่อนจะว่าด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
[แล้วตกลงจะบอกพ่อได้หรือยังว่าเรื่องที่คีตาคิดเรื่อยเปื่อยคืออะไร]
ผมอยากจะตอบปฏิเสธไปเหลือเกินว่าไม่มีอะไร ทว่าพ่อกวินทร์ก็แทรกขึ้นมาก่อน
[ทำหน้าตาอมทุกข์แบบนี้ พ่อเป็นห่วงนะ]
คำว่า ‘เป็นห่วง’ คำเดียว กับสายตาที่มองผมด้วยความรัก ทำให้ผมไม่อาจจะเลี่ยงเขาได้ ยอมปริปากออกไปแต่โดยดี
“ผมแค่กำลังสงสัยว่าตอนพ่อท้องผม พ่อมีอาการบ้างก็แค่นั้นน่ะครับ”
ถามไป พ่อกวินทร์ก็ทำหน้ายุ่งขึ้นมาทันตา
[อาการที่ว่า หมายถึงอาการอะไร]
“ก็...แพ้ท้องอะไรพวกนั้น”
ผมว่าเสียงเบา พ่อกวินทร์ก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก
[ถามทำไมน่ะคีตา]
ผมเงียบ ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไร และที่ถามไปอย่างนั้นก็เพราะคิดว่าถ้ามีอาการอะไรแปลก ๆ ที่บ่งบอกไปในทางแพ้ท้องเกิดขึ้นกับผม ผมจะได้ทันสังเกตตัวเอง
ความเงียบของผมทำให้หัวคิ้วพ่อกวินทร์ก็ยิ่งย่นอยู่ไปใหญ่ เห็นสีหน้าไม่สบายใจของพ่อกวินทร์แล้ว ผมก็อยากจะบอกความจริงให้รู้แล้วรู้รอดว่าผมโดนอาร์ทำอะไรมา แต่ก็ยั้งปากไว้ด้วยรู้ว่าถ้าพ่อกวินทร์รู้ เรื่องราวมันจะบานปลายใหญ่โตขนาดไหน
ก็นะ ลูกชายเพิ่งจะออกจากบ้านมาใช้ชีวิตเองแค่วันเดียวก็โดนวางไข่แล้ว ยังไงพ่อกวินทร์ก็ต้องตามมาแหกอกอาร์แน่ อะไรไม่ว่า ผมล่ะกลัวพ่อกวินทร์จะสร้างความเดือดร้อนให้ราชวงศ์ยูนิกมาด้วยถ้าหากเขาพลั้งมือฆ่าอาร์ตายคามือน่ะ
ผมกะว่าจะตัดสาย อ้างว่ามีเรียนเพื่อยุติสายตาจ้องจับผิดนั้น ทว่าจู่ ๆ พ่อกวินทร์ก็ทำหน้าตกใจขึ้นมากะทันหัน ตามมาด้วยแหกปากโวยวายแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
[ยะ...อย่าบอกนะว่าคีตาไปทำลูกไอ้เจ๊กมันท้อง!? คีตา! ไปอยู่ที่อื่นวันเดียวเองนะเว้ย! จะไปทำคนอื่นท้องไม่ได้ โดยเฉพาะลูกไอ้เจ๊ก อย่าไปดึงเอามันมาเป็นทองแผ่นเดียวกันสิเว้ย!]
มะ...ไม่ใช่! ลูกไอ้เจ๊กมันทำผมท้องต่างหาก!
[มึงตายแน่ไอ้ลูกเจ๊ก!]
พ่อกวินทร์ขู่สำทับมาอีก อันนี้ไม่ได้พูดกับผมหรอก เหมือนบ่นอยู่คนเดียว แต่ก็ทำให้ผมเบิกตาโพลง เสียวสันหลังวาบขึ้นมาฉับพลัน
นี่ขนาดเขาเข้าใจว่าผมไปวางไข่ใส่อาร์นะ ยังโหดได้ขนาดนี้ ถ้ารู้ความจริงว่าอาร์เป็นคนวางไข่ใส่ผม ก็เตรียมเกิดสงครามอวกาศได้เลย
“พะ...พ่อ ตั้งสติก่อนนะครับ ผมกับอาร์ไม่ได้มีอะไรกัน ไม่ต้องห่วง”
ผมรีบร้องบอกเมื่อเห็นว่าพ่อกวินทร์โวยวายมาให้ได้ยินแว่ว ๆ ว่าจะบุกมามหาวิทยาลัย แล้วทำท่าจะตัดสาย เสียงของผมทำให้พ่อกวินทร์พอจะตั้งสติขึ้นมาได้ ก่อนถามผมเสียงเครียด
[คีตาแน่ใจนะว่าไม่ได้ไปทำอะไรลูกไอ้เจ๊กมัน]
“แน่ใจครับ”
[แล้วมันก็ไม่ได้มาทำอะไรหนูใช่มั้ย]
“คะ...ครับ” รอบนี้ผมตอบได้ไม่เต็มเสียงแหละ
แต่ก็สบสายตาพ่อกวินทร์ตรง ๆ เป็นเชิงว่า ‘ผมพูดจริง’ พ่อกวินทร์เลยจ้องผมได้ครู่เดียว พลันล้มเลิกความตั้งใจไป
[งั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย พ่อก็นึกว่าที่ถามเรื่องอาการแพ้ท้องเป็นเพราะคีตาไปวางไข่ใส่ไอ้เด็กบ้านั่น]
“ที่ถามก็เพราะผมแค่อยากรู้เฉย ๆ น่ะ พอดีเมื่อคืนมีเพื่อนถามน่ะครับ” ผมโกหกหน้าตายเมื่อนึกข้ออ้างขึ้นมาได้ฉับพลัน
พ่อกวินทร์ก็ทำท่าไม่เชื่อไปตามประสา ทว่าพอเห็นผมยิ้มให้น้อย ๆ เขาก็ถอนหายใจ แล้วเปิดปากเล่าทุกอย่างที่ผมสงสัยออกมาเป็นฉาก ๆ
 
กว่าจะวางสายจากพ่อกวินทร์ได้ก็ปาไปเป็นชั่วโมง เขาเล่าเรื่องอาการแพ้ท้องตอนท้องผมให้ฟังคร่าว ๆ ที่เหลือก็บ่นโน่นนี่ไปเรื่อย มีสั่งห้ามผมอีกชุดใหญ่ว่าอยู่ที่บ้านพักนักศึกษา ห้ามผมก็ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง เอาแต่จับใจความเรื่องอาการแพ้ท้องที่พอจะสรุปได้ว่า ตอนเขาท้องผม เขามีอาการอยากกินของหวานตลอดเวลา อารมณ์แปรปรวน และที่สำคัญคือเหม็นกลิ่นตัวพ่อคีธ
ฟังดูเหมือนจะไม่หนักหนา และอาการนี้ก็ไม่ได้เกิดกับทุกคนเพราะพ่อกวินทร์บอกว่าลุงริชาร์ดไม่มีอาการอะไรตอนท้องอาร์ และพ่อกวินทร์เองก็ไม่มีอาการแพ้ท้องใด ๆ ด้วยตอนท้องคินน์ ซึ่งก็หมายความว่าถ้าหากผมท้องลูกของผมกับอาร์จริง ก็เป็นไปได้ว่าผมอาจจะไม่มีอาการใด ๆ คงต้องสังเกตจากหน้าท้องที่ขยายตัวอย่างเดียวแทน
แต่ชาวยูนิกมาก็ตั้งท้องตั้งเก้าเดือนเหมือนกับชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินนี่นา กว่าจะเห็นว่าหน้าท้องเริ่มขยาย ก็คงจะต้องรอให้ผ่านไปก่อนสามสี่เดือนล่ะมั้ง
จะอะไรก็ช่าง ตอนนี้ผมควรปรึกษากับพ่อคีธต่างหาก
เท่านั้น ผมก็ไม่รอช้า รีบคว้าแผ่นฟิล์มมาแปะขมับ ติดต่อหาพ่อคีธทันที แต่อย่างที่รู้กันว่าพ่อคีธไปทำงาน เขาจึงไม่ตอบรับสัญญาณของผมเลยแม้แต่น้อย ติดต่ออยู่หลายครั้งจนชักหัวเสีย หงุดหงิดกับความเป็นลูกครึ่งยูนิกมาของตัวเองที่ความสามารถพิเศษในการฟังมีเพียงครึ่งหากเทียบกับยูนิกมาแท้ ๆ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ผมคงจะคุยกับพ่อคีธผ่านการฟังในระยะไกลไปนานแล้ว
พยายามติดต่อพ่อคีธจนกระทั่งอาร์ซึ่งนอนอยู่เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา เห็นอย่างนั้น ผมเลยเก็บแผ่นฟิล์มลงใต้หมอน สายตาจับจ้องไปยังอาร์ที่ยกมือขึ้นคลึงศีรษะ ปรือตาขึ้นมองผมด้วยสายตางัวเงีย
“อา... ปวดหัวจังเลยให้ตายเถอะ” เขาพึมพำตามลำพัง
ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เมื่อคืนเล่นกระดกดื่มแบบไม่ยั้งเลยนี่นา ไม่เมาค้างก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
ผมมองอาร์นิ่ง ๆ ก่อนฉุกคิดขึ้นมาว่าในเมื่อติดต่อพ่อคีธยังไม่ได้ ผมก็น่าจะลองคุยกับอาร์ก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน เราจะได้หาทางออกด้วยกัน ทว่าอาร์ไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดเลยสักนิด จู่ ๆ ก็ยกมือขึ้นในอากาศเป็นเชิงห้ามขึ้นมา
“ถ้านายคิดจะมาบ่นอะไรเราตอนนี้ในฐานะผู้พิทักษ์ล่ะก็ ลืมไปได้เลย เราไม่พร้อมจะฟังอะไรทั้งนั้น”
ผมเลยได้แต่อ้าปากค้าง
ไม่ได้จะบ่นสักหน่อย แค่จะบอกว่าเมื่อคืนถูกนายวางไข่ แล้วฉันก็ตั้งท้องลูกของเราเฉย ๆ
แต่อาร์ฟังมั้ยล่ะ ...ไม่เลย พยายามดันตัวลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินโงนเงนไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ กลับเข้ามาในห้องได้ ก็เปลี่ยนเสื้อผ้า คว้ากระเป๋าสะพาย เดินออกไปนอกห้องหน้าตาเฉย
ผมมองเขาแล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ ทว่าก็ได้ยินเสียงเขาลอยแว่วมาให้ได้ยินแม้จะออกนอกห้องไปแล้วก็ตาม
“วันนี้มีปฐมนิเทศที่ตึกคณะ อย่าไปสายจะดีที่สุด นายเองก็รีบตามมาซะ”
ผมพ่นลมหายใจออกมายาว พอจะเข้าใจว่าทำไมอาร์ถึงได้ฝืนสังขารตัวเองไปเรียนอย่างนั้น
ก็เป็นเจ้าชายนี่ เป็นอาร์ก็เป็นเจ้าชายที่เนี้ยบเสียขนาดนั้น เรื่องเวลาหรือกำหนดการอะไรที่นัดหมายไว้แล้วถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีอะไรคอขาดบาดตาย ก็ไม่มีทางที่จะยกเลิกกำหนดการง่าย ๆ หรอก
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการไปเรียนก็คือ เขาควรจะรู้ว่าเมื่อคืนเขาวางไข่ผมต่างหากเล่า!
ให้ตาย ดูจากท่าทางแล้ว อาร์น่าจะจำไม่ได้แหงเลย งั้นไว้ไปหาโอกาสบอกทีหลังก็แล้วกัน
ผมลุกจากเตียงไปจัดการตัวเองบ้าง คว้าเสื้อฮู้ดแขนยาวตัวเก่งมาสวม ถือกระเป๋าเป้ออกจากห้องไป ทว่าในจังหวะที่ผมออกจากห้องนั้น จูเลียนซึ่งพักอยู่ห้องติดกันก็โผล่หน้าออกมาพอดี เขายิ้มทักผมกว้าง ผมเลยยกมือเป็นเชิงทักทายตอบ
เกือบจะเดินผ่านจูเลียนไปเฉย ๆ แล้วด้วยไม่รู้จะคุยอะไร หากแต่จูเลียนที่กำลังปิดประตูห้องก็โพล่งขึ้นมาก่อนโดยไม่มองหน้าผม
“กลิ่นของอาร์หึ่งเลยนะ เมื่อคืนทำอะไรกันมาเหรอ”
ผมหันมองหน้าเขาทันที
จริงสิ ผมก็ลืมไปว่าจูเลียนมีความสามารถพิเศษของยูนิกมาครบทุกประการ ซ้ำยังมีความสามารถพิเศษของเซนไทน์อีก จะประสาทสัมผัสดีจนได้กลิ่นของอาร์ในตัวผมก็ไม่แปลก
ผมเงียบ ไม่ได้ให้คำตอบ ส่วนจูเลียนก็ยิ้มให้ผมอย่างกะลิ้มกะเหลี่ย ดูท่าทางคงจะคิดไปแล้วว่าผมกับอาร์ผูกพันกันแน่ ก่อนเขาจะเดินเข้ามาหาผม แล้วทำจมูกฟุดฟิด
“แต่ไม่ได้มีแค่กลิ่นของอาร์อย่างเดียวแฮะ มีกลิ่นอย่างอื่นด้วย กลิ่นแปลก ๆ ไม่คุ้นเลย”
ผมว่าเขาคงหมายถึงกลิ่นของไข่ลูกผมที่อยู่ในตัว แต่ผมก็ไม่พูดอยู่ดี กระทั่งใบหน้าของจูเลียนที่ยกยิ้มอยู่แปรเปลี่ยนเป็นตกใจขึ้นมาทันทีที่เขาตระหนักได้ว่ามันคือกลิ่นอะไร
“ดะ...เดี๋ยว! นี่มันมีกลิ่นของเยื่อหุ้มไข่ด้วย ยะ...อย่าบอกนะว่า...” พูดแล้วหยุดไปแค่นั้น
ผมไม่เคยได้กลิ่นแบบนั้นมาก่อนหรอกถึงจะจมูกดีก็เถอะเพราะไม่เคยเห็นใครถูกวางไข่เลยนี่ แต่จูเลียนคงจะคุ้นชินกับกลิ่นอย่างนี้เพราะอยู่ในดาวเซนไทน์ที่มีการสืบพันธุ์ไม่ต่างจากชาวยูนิกมามานาน
พอเห็นว่าปิดบังคงจะไม่ได้แล้ว ผมเลยพยักหน้ารับให้จูเลียนได้เบิกตาโตขึ้นไปอีก
“เฮ้ย จริงดิ นี่นายท้องลูกของอาร์เหรอ!? ได้ยังไง ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?”
จูเลียนตกใจจนถลาเข้ามาเกาะไหล่ผมเขย่า ไม่แม้แต่จะฉุกใจคิดด้วยว่าไข่ที่อาร์วางใส่ผมอาจจะเป็นไข่สำหรับการสร้างร่างใหม่ก็ได้
แต่ก็นะ... เขาคงรู้แหละว่าสมัยนี้ไม่มีชาวยูนิกมาคนไหนวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่กันแล้ว มีแต่วางไข่เพื่อสร้างทายาทเท่านั้นถึงได้พูดออกมาแบบนี้
ผมมองเขานิ่งอยู่ครู่เป็นเชิงให้สงบสติอารมณ์ก่อน ครู่หนึ่ง เขาก็ปล่อยมือออกจากผมราวกับตั้งสติได้
“ขอโทษที สติแตกไปหน่อย ตกใจน่ะ ไม่คิดว่านายกับอาร์จะมีความสัมพันธ์มากกว่าเจ้าชายกับผู้พิทักษ์แบบนี้”
ผมว่าเขาเข้าใจผิดไปไกลแล้วล่ะ ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรแบบนั้นสักหน่อย แก้ตัวก่อนดีกว่า
“เปล่า ก็ยังเป็นเจ้าชายกับผู้พิทักษ์เหมือนเดิม”
“เอ้า แล้วอาร์วางไข่ใส่นายทำไม”
“เมาน่ะ” ผมว่าสั้น ๆ
จูเลียนทำหน้าแปลกใจขึ้นมาอีก ผมเลยอธิบายไปตามเรื่อง
“ก็หลังจากที่เล่นเกมจนเมา ฉันก็พาอาร์กลับมาที่ห้อง จากนั้นอาร์ก็จูบฉัน แล้วก็วางไข่อย่างที่เห็น”
ฟังแล้ว จูเลียนก็ทำท่าไม่อยากจะเชื่อหู แต่เพราะเห็นผมนิ่ง เขาเลยสงบลง
“นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยนะ นายยังทำท่าสบายใจอยู่ได้ แล้วนี่บอกอาร์หรือยังว่านายท้อง?”
ผมส่ายหน้า จูเลียนถามขึ้นมาอีก
“แล้วพ่อ ๆ ของนายล่ะ รู้หรือยัง”
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงของจูเลียนสั่นไปเล็กน้อยตอนพูดประโยคนี้
สงสัยจะกลัวพ่อกวินทร์แหง
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อผมส่ายหน้า เขาก็ถอนหายใจออกมายาวอย่างโล่งอก
“งั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่อย่างนั้นล่ะก็ อาร์โดนลุงกวินทร์กินหัวแน่”
นั่นไง บอกแล้วว่ากลัวพ่อกวินทร์ คิดผิดเสียที่ไหน จะว่าไป พ่อกวินทร์นี่ก็เจ๋งเหมือนกันนะ เป็นคนธรรมดาที่แม้แต่บรรดามนุษย์ต่างดาวสูงศักดิ์ยังเกรงกลัวเนี่ย
และเพราะจู่ ๆ จูเลียนก็มารู้เรื่องระหว่างผมกับอาร์ เขาก็เลยช่วยผมหาทางออกเสียอย่างนั้น
“เอาเป็นว่าตอนนี้นายไปบอกอาร์ก่อนแล้วกันว่านายท้อง เดี๋ยวที่เหลือค่อยมาหาทางคิดกัน”
ผมพยักหน้าเออออไป ใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยที่อย่างน้อยก็มีจูเลียนรู้เรื่องอีกคน เพราะดูท่าทางแล้ว เขาน่าจะให้คำปรึกษาที่ดีได้ ถึงแม้ว่าผมอยากจะได้คำปรึกษาจากพ่อคีธมากกว่าก็ตาม
 
หากแต่การหาโอกาสบอกอาร์เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ทันทีที่ผมมาเข้าร่วมปฐมนิเทศ รอบข้างก็เต็มไปด้วยนักศึกษาชั้นปีหนึ่งคนอื่น ๆ ของคณะนิเทศศาสตร์ ทำให้ผมไม่สามารถเข้าถึงอาร์ได้ในทันทีด้วยเขานำมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น การปฐมนิเทศก็ยาวนานต่อเนื่องจนถึงเที่ยง ผมซึ่งไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนก็เผลอสัปหงกไปอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่การปฐมนิเทศสิ้นสุดลง
เสียงพูดคุยจอแจของบรรดานักศึกษารุ่นเดียวกับผมที่ทำความรู้จักกันปลุกให้ผมตื่นจากนิทรา รีบสอดส่ายสายตามองหาอาร์ทันใด แต่เหมือนผมจะช้าไปเพราะตอนนี้ นักศึกษากว่าครึ่งได้ทยอยออกจากห้องไปเกือบหมดแล้ว แน่นอนว่ารวมถึงอาร์ด้วย
เท่านั้น ผมก็ไม่รอช้า รีบผุดจากที่นั่ง แล้วรีบดมกลิ่นตามหาอาร์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะค้นพบว่าเขามุ่งหน้าไปยังโรงอาหาร
ผมรีบสาวเท้าก้าวตามมา เจอกับจูเลียนระหว่างทางเดินไปโรงอาหารด้วย รายนั้นก็เพิ่งจะปฐมนิเทศคณะเสร็จเหมือนกัน เพิ่งรู้ตอนนี้ว่าเขาเรียนคณะรัฐศาสตร์ แต่ผมไม่สนใจนักนอกจากตอบคำถามเขาที่ถามว่าผมว่าได้บอกอาร์เรื่องถูกวางไข่หรือยัง พอผมส่ายหน้า จูเลียนก็รีบเร่งผมให้ไปหาอาร์อย่างรวดเร็ว
เข้ามาในโรงอาหารได้ ผมก็รีบดมกลิ่นหาอาร์ท่ามกลางผู้คนคลาคล่ำอย่างรวดเร็ว ก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับร่างของอาร์ซึ่งกำลังร่วมโต๊ะอาหารกับเพื่อนในคณะที่เพิ่งทำความรู้จักกันในงานปฐมนิเทศเมื่อครู่อยู่
น่าดีใจนะที่ได้เห็นอาร์ผูกมิตรกับชาวบ้านทั้งที่ไม่ใช่นิสัยของเขาเลย แต่ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่านั้นเยอะ
ยังไงก็ต้องรีบบอกอาร์ให้ได้ว่าผมท้องลูกของเขา จะได้รีบมาช่วยกันแก้ปัญหา
“ไปสิ เดี๋ยวฉันจะตามไปคุยด้วยทีหลัง พวกนายไปคุยกันเองก่อน” จูเลียนเร่งเร้า
ผมพยักหน้า ก่อนจะแยกกับจูเลียนที่เดินไปเลือกชุดอาหาร เดินตรงเข้าไปหาอาร์ทันที มาหยุดยืนที่หน้าโต๊ะได้ ผมก็ไม่รอช้า เรียกชื่อคนตรงหน้าที่กำลังตักอาหารเข้าปากทันควัน
“อาร์”
คนถูกเรียกชะงักช้อนที่กำลังจะส่งเข้าปาก เหลือบมองมายังผมด้วยสายตาขุ่นมัว
“ไม่เห็นหรือไงว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เสียมารยาท”
เสียมารยาทจริงอย่างที่เขาบอก การขัดจังหวะเวลาส่วนตัวของเจ้าชายไม่ใช่สิ่งที่ผู้พิทักษ์ควรกระทำเลยสักนิด แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่ ก็บอกแล้วว่าผมมีเรื่องสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดจะมาบอกเขาน่ะ
พอเห็นเขาเมินผม ทำท่าจะตักอาหารเข้าปากอีกครั้ง ผมก็เรียกขึ้นมาอีก
“อาร์”
“อะไร” คราวนี้ อาร์ว่าเสียงเขียวตามมาด้วย บ่งบอกชัดเจนว่าไม่พอใจสุด ๆ
ส่วนผมเองก็ยังไม่หยุด ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ขอคุยอะไรด้วยหน่อย”
“คุยอะไร” เขาว่าโดยไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ
“ไปที่อื่นได้มั้ย เรื่องสำคัญ” ที่ว่าอย่างนั้นเป็นเพราะผมเห็นว่าที่โต๊ะนั่นมีเพื่อนร่วมคณะคนอื่น ๆ นั่งอยู่
ผมไม่อยากให้เขาเสียหน้าน่ะ ถึงจะไม่ต้องเรียกอย่างถือยศศักดิ์แล้ว แต่ยังไง เขาก็ยังเป็นเจ้าชาย ผมยังต้องให้เกียรติอยู่วันยังค่ำ
หากแต่อาร์ไม่ฟัง กลับตวัดดวงตาเรียวมามองอย่างรำคาญ ก่อนจะทำท่าไม่สนใจ หันไปจดจ่อกับอาหารตรงหน้า แล้วว่าเสียงเรียบ
“มีอะไรก็พูดตรงนี้ ฉันไม่ว่าง”
เอาล่ะ เขาทำให้ผมไม่มีทางเลือกแหละ อุตส่าห์คิดว่าจะไม่ทำให้เขาอับอายแล้วนะ แต่ก็ช่วยไม่ได้ พูดเลยก็แล้วกัน
“ฉันท้อง”
“!?”
“นายทำฉันท้อง” ว่าย้ำอีกทีเมื่อเห็นว่าอาร์ไม่ตอบอะไรกลับมา
เคร้ง!
ตอนนี้ช้อนและส้อมที่อยู่ในมืออาร์ร่วงกระแทกจานทันที เขาหันมามองผมตรง ๆ ด้วยดวงตาเบิกโพลง พลันว่าอย่างไม่เชื่อหู
“เมื่อกี้นาย...ว่าไงนะ”
“ฉันบอกว่าฉันท้อง นายทำฉันท้อง” ผมย้ำคำ
คนอื่น ๆ ที่ร่วมโต๊ะอาหารที่อึ้งไปก่อนหน้าพากันหัวเราะร่วนยกใหญ่เมื่อตั้งสติได้ด้วยคิดว่าผมเล่นมุขตลกโง่ ๆ
ก็นะ คนพวกนั้นเป็นชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินนี่ ยังไงเพศชายก็ตั้งท้องไม่ได้ ไม่เหมือนกับพวกมนุษย์ต่างดาวหรือลูกครึ่งอย่างพวกผม เว้นก็แต่อาร์ที่เริ่มได้สติขึ้นมา พลันสีหน้าก็ดูเคร่งเครียด
“นี่นายกำลังจะบอกว่าฉันวางไข่ใส่นายอย่างนั้นเหรอ!”
ทำหน้าเครียดไม่พอ น้ำเสียงก็ดังขึ้นด้วยจนฟังดูกึ่งตะคอก พอเห็นผมพยักหน้า เขาก็ลุกขึ้นยืนประจันหน้าผม แผดเสียงใส่อย่างหัวเสีย
“ไม่ตลกเลยนะคีตา! เป็นแค่ผู้พิทักษ์ อย่ามาบังอาจล้อเล่นกับเราแบบนี้!”
ตอนนี้ไม่มีใครเข้าใจเราแล้วล่ะว่ากำลังคุยเรื่องอะไรกัน แต่ดูท่าอาร์ก็ไม่สนใจแล้ว ผมเองก็ไม่สนใจเหมือนกัน ผมอยากรู้ว่าอาร์จะเอายังไงกับลูกในท้องผมมากกว่า ผมก็อยากจะบอกเขานะว่าไม่ได้ล้อเล่น อยากจะให้เขาพิสูจน์ด้วยการดมกลิ่นด้วยว่าในตัวผมด้วยซ้ำ ตัวผมยังมีกลิ่นของเขาซึ่งเกิดจากการจูบของเขาอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นของเยื่อหุ้มไข่ที่มีกลิ่นของเขาด้วยก็อยู่ในตัวผม ทว่าอาร์ไม่ได้มีความสามารถพิเศษในด้านประสาทสัมผัส เท่าที่ได้ยินมา เห็นว่ามีก็แต่ความสามารถพิเศษทางด้านภาษา ผมเลยจนปัญญาที่จะให้เขาพิสูจน์ได้ว่าผมพูดเรื่องจริง
หากแต่พระเจ้าคงจะเข้าข้างผม เพราะพอสิ้นเสียงอาร์เท่านั้น จูเลียนที่เดินถือจานอาหารผ่านมาพอดีก็พูดขึ้นมาลอย ๆ ให้ได้ยินราวกับไม่ได้ตั้งใจ
“คีตาพูดเรื่องจริง หมอนี่ท้องลูกของนาย กลิ่นของนายในตัวคีตานี่ฉุนกึ้กเชียว”
พูดจบ ก็เดินจากไป ทิ้งให้อาร์อ้าปากค้าง
ส่วนผม... ยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าดูอ่อนโยนที่สุดเป็นการปลอบให้อาร์ใจเย็น
ยิ้มอย่างเดียวคงจะไม่พอ งั้นพูดเรื่องที่ทำให้ผ่อนคลายไปด้วยก็แล้วกัน
“แล้ว...เราจะตั้งชื่อลูกของเราว่าอะไรดี”
“มันใช่เรื่องจะมาถามตอนนี้มั้ยวะ ตั้งชื่อลูกอะไรนี่เอาไว้ทีหลังก็ได้เว้ย!”
อาร์โวยวายใส่ผมกะทันหัน หยาบคายด้วย เป็นคำพูดที่ไม่ควรจะหลุดออกมาจากปากเจ้าชายเลย
แต่เอ... คำพูดของผมเมื่อครู่สงสัยจะไม่ผ่อนคลายแฮะ ถึงอย่างนั้น ยังไงลูกก็ต้องมีชื่อนะ จะตั้งก่อนคลอดมันจะเป็นอะไรไป ไม่เห็นต้องตะคอกเลย ผมถามอะไรผิดไปตรงไหนกัน?

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ตัวอย่างตอนใหม่มาแล้วค่ะ เห็นหลายคนยังงงๆ กันอยู่ว่าตกลงคีตาเป็นเมะหรือเป็นเคะกันแน่ ย้ำกันอีกทีนะคะว่า "คีตาเป็นเมะ" เน้อ แค่ถูกลูกไอ้เจ๊กมันวางไข่เฉยๆ เดี๋ยวตอนหน้าคีตาจะเริ่มตีตื้นขึ้นมาละ อิอิ
ตอนหน้าจะเป็นตัวอย่างพาร์ทคีตาตอนสุดท้ายที่หนูแดงอัพให้อ่านนะคะ ที่เหลือต้องไปอ่านเอาในหนังสือเพราะเล่มนี้หนูแดงไม่ได้เขียนตอนพิเศษ เลยไม่ได้ลงให้จนจบ ต้องขออภัยในความไม่สะดวกด้วยจ้า
------------------------------------------
Episode 03: Father or mother?

แต่คิด ๆ ดูแล้ว ที่อาร์พูดก็ถูก ผมไม่ควรมากังวลเรื่องยังไม่ได้ตั้งชื่อลูก ตอนนี้ที่น่ากังวลควรเป็นเรื่องที่ว่าผมกับอาร์จะทำยังไงกับไข่ในตัวผมมากกว่า
ผมนิ่ง รอดูว่าอาร์ที่กำลังกระสับกระส่ายจะทำยังไงต่อไป แต่ครู่เดียวเขาก็ตั้งสติได้ ก่อนจะถามผมเสียงเครียด
“นี่พูดจริงใช่มั้ย? ไม่ได้ล้อเราเล่นนะ?”
ผมพยักหน้า คราวนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ อาจเป็นเพราะเขารู้ว่าผมไม่ใช่คนที่จะมาพูดเล่นอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยเป็นผู้พิทักษ์ และมีจูเลียนมายืนยันเมื่อครู่ด้วยก็ได้ อาร์เลยยื่นมือมาคว้าแขนผม แล้วลากออกจากโรงอาหารอย่างรวดเร็ว
ลากผมอย่างเดียวไม่พอ ยังลากจูเลียนที่กำลังจัดการอาหารกลางวันของตัวเองกลับมายังบ้านพักด้วย จูเลียนบ่นกระปอดกระแปดนิดหน่อยที่ยังไม่ทันจะได้กินอาหารสักคำก็โดนลากมาช่วยแก้ปัญหาแล้ว หากแต่อาร์ไม่สน ดันผมกับจูเลียนเข้ามาในห้องได้ ก็ล็อคประตู กอดอก ถามเสียงเครียด
“อธิบายมาซิคีตาว่าเมื่อไหร่ ยังไง”
“อะไรคือเมื่อไหร่ ยังไง”
“เราหมายถึงเราไปวางไข่ใส่นายเมื่อไหร่ แล้วก็วางไข่ได้ยังไง ทำไมถึงมาเข้าใจอะไรยากตอนนี้ฮะ” ปลายประโยคกระชากเล็กน้อยคล้ายหงุดหงิดที่ผมแสร้งโง่
ความจริงผมไม่ได้แกล้งโง่นะ ผมแค่อยากให้อาร์ใจเย็นลงก่อนจะคุยกันเฉย ๆ แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ควรจะมาใจเย็นแล้วก็เถอะ แต่ใจร้อนไปมันจะได้อะไรล่ะ ค่อย ๆ คุยกันแหละดีแล้ว พ่อคีธก็สอนผมมาอย่างนี้เพราะเวลามีเรื่องอะไร เขาก็เงียบสงบสยบความเคลื่อนไหวก่อนตลอด
ถ้าไม่ใจเย็น แล้วจะอยู่กับพ่อกวินทร์ที่ใจร้อนขนาดนั้นได้หรือไง
จูเลียนหัวเราะนิดหน่อย พลันกระทุ้งข้อศอกใส่ผมเป็นเชิงให้เปิดปากเล่าเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่มองหน้าอาร์
“ก็เมื่อคืนนี้นายท้าดวลดื่มวอดก้าจนเมา ฉันเลยพานายขึ้นมานอน จากนั้นนายก็ดึงฉันเข้าไปจูบ แล้วก็วางไข่”
อาร์ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อที่ผมพูดฉับพลัน
“จู่ ๆ ก็ดึงไปจูบเนี่ยนะ”
ผมพยักหน้า เขายิ่งทำหน้าไม่เชื่อเข้าไปใหญ่
“ไม่มีเหตุผลเลย ทำไมจู่ ๆ เราจะต้องดึงนายเข้าไปจูบด้วย”
ผมคิดว่าเขาคงจะจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่ได้ใส่ใจนักหรอก จะไปเอาอะไรมากกับคนเมาล่ะ ก็เลยพูดลอย ๆ
“ฉันก็ไม่รู้ ก่อนจูบ นายบอกว่าเพราะพ่อกวินทร์ นายเลยไม่ได้วางไข่ใส่ฉัน แล้วที่เหลือก็เป็นอย่างที่เห็น”
พูดไปอย่างนั้น จูเลียนก็ทำหน้าสงสัยขึ้นมาทันใด ขณะที่อาร์เริ่มหน้าแดงรื้นขึ้นมา
“หมายความว่ายังไงที่ว่าเป็นเพราะลุงกวินทร์เลยไม่ได้วางไข่น่ะ”
ผมกำลังจะบอกให้จูเลียนหันไปถามอาร์ แต่อาร์ก็โพล่งขึ้นมาก่อนแล้ว
“จะ...จะอะไรก็ช่าง! เอาเป็นว่าพวกเรารีบมาช่วยกันคิดกันก่อนว่าจะเอาไงต่อไปก่อน เรื่องอื่นช่างมัน!”
ไม่รู้ทำไมอาร์จะต้องโวยวายด้วย แต่ก็เอาเถอะ เขาคงไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้นสักเท่าไหร่ ดีนะที่ผมไม่เล่าว่านอกจากจูบแล้ว เขาก็พยายามจะปล้ำผมด้วย ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คงได้โวยวายมากกว่านี้แน่
“งั้นอันดับแรกเลย นายต้องคิดให้ออกว่าไข่ที่นายวางใส่คีตาไป เป็นไข่สำหรับการสร้างร่างใหม่หรือไข่ผสมน้ำเชื้อ ถ้าเป็นไข่เปล่า ๆ นั่นก็ไม่น่ามีปัญหา แต่ถ้าเป็นไข่ผสมน้ำเชื้อล่ะก็ เรื่องใหญ่แน่” จูเลียนเสนอขึ้นมา
อาร์นิ่งคิดไป อย่างที่บอกว่าผมคิดว่าเขาจำไม่ได้ เขาเลยไม่ตอบในทันที ให้จูเลียนได้ถามย้ำอีกครั้ง
“ว่าไง ตกลงได้ผสมน้ำเชื้อหรือเปล่า”
“ระ...เราจำไม่ได้” อาร์ว่าออกมาตามตรง ใบหน้าเรื่อแดงก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
จูเลียนถอนหายใจจนไหล่ยกน้อย ๆ
“งั้นก็ช่วยไม่ได้ คงต้องรอดูอาการของคีตาต่อไป เพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากลิ่นของไข่สำหรับการสร้างร่างใหม่ของพวกยูนิกมาต่างหรือเหมือนกับไข่สำหรับการสร้างทายาทยังไง จากนี้ก็คงต้องเสี่ยงดวงกันละ”
อาร์หน้าซีดไปทันตาเมื่อได้ยินอย่างนั้น ผมเองก็จนปัญญาจะช่วย ขนาดผมยังเอาตัวเองไม่รอด
บรรยากาศภายในห้องตกอยู่ใต้แรงกดดันมหาศาลอย่างไร้เหตุผลเพราะไม่มีใครพูดอะไร ทำเอาจูเลียนซึ่งเป็นคนกลางทำลายความเงียบขึ้นมาราวกับอดทนไม่ได้
“อย่าเพิ่งเครียดกันน่า มันอาจจะเป็นไข่เปล่า ๆ ก็ได้ แต่เตรียมตัวรับมือไว้ก่อนก็ดี เผื่อว่าจะเป็นลูกของพวกนายจริง ๆ แล้วนี่พวกนายตกลงกันหรือยังว่าใครจะเป็นพ่อเป็นแม่?”
ผมสัมผัสได้เลยว่าจูเลียนพยายามจะทำให้สถานการณ์มันดีขึ้น และผมก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พอสิ้นเสียง ผมก็ยกมือทันใด
“เป็นพ่อ”
อาร์ตวัดดวงตาเรียวมาทางผมฉับพลัน ก่อนจะตรงมาคว้ามือผมลง
“เป็นพ่ออะไร เราต่างหาก”
“แต่ฉันยกมือก่อน”
“นายเป็นคนตั้งท้องก็เป็นแม่สิ!”
อุตส่าห์ให้เหตุผลแล้ว แต่อาร์ก็ไม่ยินยอมจะรับตำแหน่งแม่ ซึ่งที่เขาพูดก็ถูก ผมเป็นคนตั้งท้องก็มีแนวโน้มที่จะเป็นฝ่ายแม่
ก็นะ ถ้าผมยอมรับบทบาทนั้น ก็เท่ากับว่าถ้าผมกับอาร์ต้องผูกพันกันขึ้นมาสักวัน ผมต้องเป็นฝ่ายรับรองความต้องการ แต่พ่อคีธเคยพูดไว้นี่ว่าผมจะต้องเป็นฝ่ายกดเท่านั้น แล้วมันเรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปยอมล่ะ ถึงอีกฝ่ายจะเป็นเจ้าชายก็เถอะ ครั้งก่อนผมก็ยอมไปทีหนึ่งแล้วถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ คราวนี้ ผมไม่ยอมหรอก
ผมก็เลยหันไปมองหน้าอาร์ด้วยสายตาจริงจัง ทำให้อาร์ถามผมเสียงแข็ง
“อะไร ไม่พอใจหรือไง”
ผมพยักหน้า อาร์ถอนหายใจ แล้วยกมือขึ้นกอดอก
“แล้วนายจะเอายังไง”
ผมยกกำปั้นข้างหนึ่งขึ้นสูง อาร์เลิกคิ้วมองผมอย่างสงสัย พลันเปลี่ยนเป็นย่นคิ้วฉับพลันเมื่อผมว่าออกมา
“เป่ายิงฉุบ ใครชนะได้เป็นพ่อ”
“นี่นายอายุสิบขวบหรือไง เราไม่เป่าอะไรทั้งนั้น!”
โวยวายมางี้ ผมก็ชักขัดใจ ยิ่งอาร์พูดขึ้นมาอีก ผมก็เผลอถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว
“เราจะเป็นพ่อ”
โอเค อยากเป็นก็เป็น แต่พิจารณาจากรูปร่างที่ตัวสูงแค่ระดับสายตาผมแล้ว ผมก็อดคิดไม่ได้เลยว่าเขาจะเอาอะไรมาปกป้องลูกของเราถ้าเกิดมีเรื่องคอขาดบาดตายขึ้นมา
“แต่เราจะรับเป็นพ่อก็ต่อเมื่อนายมีลูกของเราในตัวนายจริง ๆ ตราบใดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าไข่ของเราที่อยู่ในตัวนายเป็นไข่ผสมน้ำเชื้อ เราก็ยังไม่รับเป็นพ่อหรอกนะ”
อาร์สำทับปิดท้าย ทำเอาทั้งผม ทั้งจูเลียนหันไปมองขวับ ขณะที่อาร์เบือนหน้าหนีไปทางอื่นพร้อมกับทำสีหน้ารำคาญ
เออ ช่างเถอะ ไม่รับตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ผมเองก็ไม่อยากให้อาร์มายอมรับเป็นพ่อหรอก ผมอยากเป็นฝั่งพ่อเองมากกว่า ที่สำคัญ พวกเราก็ยังไม่รู้ชัดเจนว่าไข่ในตัวผมเป็นไข่ทายาทจริงหรือเปล่า เรื่องอื่นก็ยังไม่ต้องไปกังวลหรอก
อะไรไม่ว่า จู่ ๆ อาร์ก็พูดขึ้นมาอีกให้ผมได้ขมวดคิ้วด้วย
“แต่ถ้าในตัวนายมีลูกของเราจริง บอกไว้ก่อนนะว่าเราจะยอมรับลูกของเรามาดูแลเท่านั้น สำหรับนาย เป็นผู้พิทักษ์ยังไงก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น เราไม่รับมาเป็นพระชายาหรอกนะ เรากับนายมันคนละชนชั้นกัน”
ตามใจเถอะ ไม่ได้ผูกพันกันนี่ และผมก็ไม่อยากเป็นทั้งแม่พันธุ์ ทั้งพระชายาด้วย
อา... ผมเริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมพ่อกวินทร์ถึงไม่อยากให้ผมมารับหน้าที่ดูแลอาร์ในฐานะผู้พิทักษ์ กลัวถูกข่มอย่างนี้นี่เองสินะ
 
เพราะไม่รู้ว่าเป็นไข่สำหรับสร้างทายาทจริงหรือเปล่า จูเลียนเลยอาสาติดต่อไปยังลุงเจเนซิสให้เพื่อถามหาข้อมูล แต่ก็ไม่รู้ว่าสวรรค์แกล้งหรือยังไง ลุงเจเนซิสมีกิจธุระให้เดินทางไปยังดาวอื่นอีก เลยทำให้ติดต่อไม่ได้ ครั้นจะติดต่อไปยังลุงแอสตัน อาร์ก็ไม่อนุญาตด้วยเกรงว่าเรื่องที่เขาทำกับผมจะทำให้เกียรติของลุงแอสตันในฐานะกษัตริย์เสื่อมเสีย ส่วนพ่อกวินทร์...
ไม่ต้องให้อาร์สั่งห้าม ผมก็ไม่มีวันบอกเขาหรอก ไม่งั้นได้มีระเบิดลงมหาวิทยาลัยแน่
หลังจากที่แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ได้แต่รอดูอาการของผมเท่านั้น จูเลียนก็ขอตัวกลับไปพักผ่อนที่ห้อง ผมกับอาร์ก็ไม่คุยอะไรกันต่อจากนี้ ไม่ใช่ว่าผมไม่คุย ผมทำตัวตามปกติแหละ จะมีก็แต่อาร์เท่านั้นที่ไม่ยอมเปิดปากคุยกับผม
ไม่คุยไม่พอ ยังจะเป็นฝ่ายรู้สึกกดดันเองด้วยทั้งที่มีแต่เขาที่ทำให้บรรยากาศมันแย่ สุดท้ายเขาก็ย้ายไปนอนห้องจูเลียน ทิ้งให้ผมนอนอยู่ที่ห้องคนเดียว
ความจริงผมกะว่าจะหาจังหวะถามเขาสักหน่อยว่าที่เขาพูดก่อนจะวางไข่ใส่ผมว่า เป็นเพราะพ่อกวินทร์ เขาเลยไม่ได้วางไข่ใส่ผมอะไรนั่น มันหมายความว่ายังไง แต่ในเมื่อลงเอยอย่างนี้ ก็เอาไว้ก่อนแล้วกัน ไว้หาโอกาสถามคราวอื่นก็ได้
และแน่นอนว่าคืนนี้ผมก็นอนไม่หลับอีกเช่นกัน จากที่คิดว่าอ่อนเพลียแล้วน่าจะหลับได้ง่าย ๆ แต่เอาเข้าจริง ลึก ๆ ในใจผมก็เป็นกังวลจนข่มตาไม่ลง รุ่งเช้าผมเลยไปเรียนวันแรกด้วยท่าทางสะโหลสะเหล จูเลียนซึ่งออกจากห้องมาพร้อมอาร์ เห็นผมแล้วก็ร้องถามอย่างเป็นห่วงด้วยเขาเห็นว่าสีหน้าผมดูไม่ดี ผมก็ปฏิเสธไปตามเรื่องว่าไม่เป็นอะไร ส่วนอาร์ก็ไม่ต้องถามถึง ไม่แม้แต่ละแลตามองผมเลยเถอะ เดินพรวด ๆ ไปที่ตึกเรียนโดยไม่รอผมสักนิด
เห็นท่าทางอย่างนั้น ถึงจะเป็นผู้พิทักษ์ แต่ผมก็ไม่ได้มีจิตวิญญาณเสียสละอะไรขนาดนั้นเพราะไม่ได้เกิดและเติบโตที่ยูนิกมา การสั่งสอนเพื่อรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ก็ล้วนผ่านทางพ่อคีธทั้งนั้น ไม่ได้รับการอบรมอย่างจริงจังเหมือนผู้พิทักษ์คนอื่น ๆ เลยทำให้ผมไม่อยากจะตามอาร์ไปสักเท่าไหร่นัก แต่มันเลี่ยงได้มั้ยล่ะ...ไม่
ก็ตอนที่ลงทะเบียนเรียน นอกจากจะเรียนคณะเดียวกันแล้ว พ่อคีธยังจัดการจับผมยัดลงวิชาเรียนเหมือนกับอาร์ทุกวิชาอีก เท่ากับว่าไม่ว่าจะตื่น จะนอน จะไปเรียน หรือจะทำอะไร ล้วนแล้วผมต้องตามติดอาร์ทั้งสิ้น
ถ้ารู้อย่างนี้นะ ผมคงไม่เออออไปกับพ่อคีธแต่แรกหรอก คิดผิดชะมัด
เดินเข้ามาในห้องเรียน ก็เห็นอาร์ไปยืนรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ร่วมชั้น ผมที่ตามเข้าไปทีหลังประหลาดใจนิดหน่อยที่เห็นว่าห้องเรียนนี้ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง ก่อนจะฉุกใจคิดขึ้นมาได้ว่ามันเป็นคลาสเรียนการแสดงละครเวที เลยกระเถิบไปยืนหลบมุมด้วยเกรงว่ารูปร่างสูงใหญ่ของผมจะบดบังคนอื่น
ไม่นาน อาจารย์ประจำวิชาก็เข้ามาอธิบายวิธีการเรียนวิชานี้ รวมถึงสอนทักษะพื้นฐานการแสดงต่าง ๆ อย่างคร่าว ๆ ผมก็ฟังบ้าง ไม่ได้ฟังบ้างด้วยรู้สึกอ่อนเพลียขึ้นมา
ไม่ได้นอนมาสองคืนติดกันก็ต้องอ่อนเพลียอยู่แล้ว แต่ไม่ควรจะอ่อนเพลียถึงขนาดตาจะปิดขนาดนี้ ผมรู้ลิมิตร่างกายตัวเองดีว่าการไม่ได้นอนหลายคืนติดกัน ไม่ได้ทำให้ลูกครึ่งยูนิกมาที่ได้รับความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายมาสะทกสะท้านได้หรอก
แต่คราวนี้มันแปลก...
หรือจะเป็นเพราะผมท้อง?
เดี๋ยว... อาจจะไม่ใช่ ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นไข่อะไรนี่ มันอาจจะเป็นเพราะความเครียดระคนความกังวลก็ได้ที่ทำให้ผมอ่อนเพลียมากกว่าปกติ ก็ผมแทบไม่เคยเครียดเลยนี่ มาเจอเรื่องใหญ่แบบนี้ อาจคิดมากจนร่างกายปรับสภาพรับความเครียดไม่ทันก็ได้
จากตอนแรกที่คิดว่าทนได้ ตอนนี้ผมเริ่มวิงเวียนขึ้นมาน้อย ๆ แล้ว ดีที่อาจารย์จบคลาสเร็วเพราะเป็นคาบแรก ผมเลยตั้งใจว่าจะรีบกลับไปพักผ่อน ทว่าผมก็กัดฟันทนต่อด้วยจู่ ๆ อาจารย์ก็ให้นักศึกษารุ่นพี่ที่เรียนวิชานี้ด้วยเข้ามาคัดเลือกตัวนักแสดงที่เป็นโครงการให้พวกปีหนึ่งทำร่วมกันเสียอย่างนั้น
ผมหลบไปยืนที่มุมห้อง ปล่อยให้บรรดารุ่นพี่เลือกนักแสดงไป เห็นแวบ ๆ ว่าอาร์ก็ถูกรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งทาบทามให้ไปรับบทเป็นตัวร้ายอย่างทิบอลท์ในเรื่อง ‘โรมิโอกับจูเลียต’ ด้วย
เหลือบไปมองก็เห็นสีหน้าของเรียบเฉย หากแต่แววตาส่อชัดเจนว่ารำคาญ ผมว่าเขาต้องไม่ตกปากรับคำแน่ แต่เอาจริง ๆ ผมว่าเขาก็เหมาะกับบทนี้ดีนะ หน้าตาดูร้ายกาจ ชวนให้น่าหมั่นไส้ใช่เล่น
นึกขำทั้งที่สังขารตัวเองก็ไม่ค่อยจะดี ผมเลยยกมือขึ้นคลึงขมับไปมาเพื่อบรรเทาอาการมึนหัว หากแต่ผมเองก็ไม่รอดจากสายตารุ่นที่เดินเข้ามาหาผม พร้อมกับพ่นคำถามเป็นการใหญ่
“นายชื่ออะไร” น้ำเสียงทุ้มดังขึ้น
ผมเหลือบมองก็เห็นว่าเป็นผู้ชายรูปร่างสันทัดพอกันกับอาร์ตรงหน้า หน้าตาเขาก็น่ารักดี ดูสำอาง แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะมาสนใจอะไรแล้ว ได้แต่ตอบส่ง ๆ
“คีตา”
“โอเคคีตา ฉันว่ารูปร่างนายดีมากเลยนะ บุคลิกก็ได้ หน้าตาก็ดี สนใจมาออดิชันรับบทเป็นโรมิโอมั้ย”
“ไม่”
ผมตอบโดยไม่หยุดคิด ทำเอาคนถามชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเขาจะหัวเราะแล้วตีแขนผมเบา ๆ
“ไม่เอาน่า อย่าปฏิเสธไร้เยื่อใยแบบนี้สิ ลองดูหน่อยมั้ย ฉันว่านายน่าจะผ่านได้ง่าย ๆ เลยนะ หล่อขนาดนี้”
“ไม่เอา”
ผมปฏิเสธอีก แล้วเขาก็คะยั้นคะยออีก อ้างเหตุผลนี่นั่นมาพูดให้ผมรำคาญขึ้นมาตงิด ๆ พูดคนเดียวไม่พอ ลากเพื่อนมาช่วยกันเกลี้ยกล่อมผมด้วย
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รำคาญคนพวกนี้จนเกือบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ พลันรีบตอบรับไปส่ง ๆ ก่อนที่ผมจะทนไม่ไหว
“ก็ได้ แล้วก็เงียบกันหน่อย ฉันปวดหัว”
เท่านั้น เสียงจอแจเมื่อครู่ก็เงียบลง รุ่นพี่คนอื่น ๆ พากันแยกย้ายไปคุยกับรุ่นน้องที่ทาบทามไว้ต่อ จะมีก็แต่ผู้ชายคนนั้นที่หัวเราะน้อย ๆ ในลำคอ
“มนุษยสัมพันธ์ไม่ค่อยดีเลยนะคีตา โดนรุมแล้วเกร็งหรือไง”
ผมไม่ตอบ เอาแต่มองหน้าเขา เขาเลยพูดขึ้นมาอีก
“งั้นสุดสัปดาห์นี้เจอกันที่ห้องชมรมละครเวทีนะ เวลาก็ตามที่ระบุในกำหนดการ ถ้ามีอะไรสงสัยก็โทรหาฉันได้ ฉันเขียนเบอร์ลงไปให้แล้ว” ว่าแล้วก็ยัดแผ่นกระดาษขนาดเอสี่ลงมาในมือผม
ผมยกขึ้นปรายตาดูก็เลยรู้ว่าเขาชื่อโทนี่ ก่อนเขาจะยื่นมือมาให้ผมจับทักทาย
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคีตา”
“อืม”
ผมไม่จับมือ ขานรับแค่นั้น โทนี่ก็เลยดึงมือกลับไปอย่างเก้อ ๆ แล้วตัดบท
“งั้นฉันขอตัวก่อนแล้วกัน หวังว่านายจะมาตามนัดนะ”
ผมพยักหน้าน้อย ๆ พอรอดพ้นจากการถูกรุมแล้ว ผมก็ตัดสินใจจะกลับไปพักที่ห้องโดยไม่สนใจจะเข้าเรียนในคาบบ่ายแต่อย่างใด ไม่สนใจแม้แต่อาร์ที่ยังถูกรุ่นพี่รุมเหมือนกับผมก่อนหน้าด้วย เดินออกจากห้องไปทันที
 
ระหว่างทางที่เดินกลับ ผมไม่อาจเดินทรงตัวให้ตรงได้เลย เดินไปก็เซไปจนต้องหยุดพักเป็นระยะ ๆ ในใจคิดจะเรียกให้จูเลียนมาช่วยแล้ว แต่ก็เกรงใจด้วยจูเลียนเป็นถึงเจ้าชาย แม้จะเป็นเพื่อนกันแต่ผมก็ไม่อยากจะรบกวนเขาเท่าไหร่นัก แต่ร่างกายผมมันไม่ไหวจริง ๆ ผมเลยค่อย ๆ พาตัวเองเดินไปยังม้านั่งตัวหนึ่ง กะว่าจะพักก่อนแล้วค่อยออกเดินต่อ ตอนนี้มึนหัวมากจนทำอะไรไม่ไหวแล้ว
ทว่าในจังหวะที่ผมกำลังจะเดินไป จู่ ๆ ร่างของใครบางคนก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า ทำให้ผมต้องทอดสายตาไปมอง พอเห็นว่าเป็นอาร์ที่มองผมด้วยสีหน้านิ่งเฉย ผมก็กัดฟันเดินตรงไปเกาะเสาป้ายบอกทางที่อยู่ใกล้ ๆ แทน
“ไม่เข้าเรียนคาบบ่ายหรือไง” เขาเป็นฝ่ายชิงถามผมก่อน
ผมพยักหน้า ก่อนเขาจะว่าเสียงต่ำ
“ไร้ความรับผิดชอบ”
ครับ... จะว่าอะไรก็เอาเถอะ ผมไม่สนใจแล้ว อยากกลับไปพักจะแย่แล้วล่ะ
“ถ้าจะบ่นตอนนี้ล่ะก็ เอาไว้คราวหลังนะพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” ผมแสร้งว่าด้วยรำคาญ
แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ขี้รำคาญง่ายขนาดนี้ทั้งที่ปกติไม่เคยเป็นเลย ซ้ำยังแสร้งเรียกอาร์ด้วยสรรพนามเป็นทางการราวกับประชดประชันอีก
อาร์ทำหน้าไม่พอใจ คงคิดอยากจะต่อว่าผมเหมือนกัน แต่เพราะจู่ ๆ ผมที่ยันตัวเองไว้ก็เกิดหน้ามืดขึ้นมาฉับพลัน ทำให้แข้งขาอ่อนขึ้นมาจนเกือบล้ม อาร์เลยร้องถามผมด้วยน้ำเสียงกึ่งตกใจขึ้นมาทันที
“เป็นอะไรน่ะคีตา หน้าซีดมากเลยนะ ไหวหรือเปล่า”
สัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเขาแฝงความเป็นห่วง เพียงแต่เขายังยืนมองผมอยู่ที่เดิมเท่านั้น
ผมส่ายหน้า ว่าเสียงเบาไปตามตรง
“ไม่เป็นไร นายกลับไปเรียนเถอะ ฉันไม่ได้นอนมาสองคืนแล้ว อยากจะกลับไปนอนหน่อย”
อาร์ไม่ซักถามใด ๆ ต่อ เหมือนเรื่องจะจบแค่นี้ด้วยเพราะพอสิ้นเสียง ผมก็ตั้งสติ ออกเดินต่อ อาร์มองตามหลังผม ไม่พูดหรือตามมาแต่อย่างใด
หากแต่ก้าวไปข้างหน้าได้ไม่กี่ก้าว ความมึนงงก็ประดังประเดขึ้นมาฉับพลัน มากกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัวอีก ผมรู้ตัวแล้วว่าฝืนร่างกายตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป รีบอ้าปากจะร้องเรียกจูเลียน แต่ก็ไม่ทันเพราะเสี้ยววินาทีเดียว ความหนักอึ้งก็หล่นมาปะทะร่างผม ทำให้ผมทรุดตัวลงกับพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว มีเพียงเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก่อนสติจะดับวูบไปเท่านั้น
“คีตา!”
...เสียงเรียกของอาร์
 
เปลือกตาหนักมาก...
แต่ผมก็ฝืนลืมตาตื่นด้วยรู้สึกว่าตลอดเวลาที่ผมหลับไม่ได้สตินั้น มีสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่ และพอผมลืมตาขึ้น ก็เห็นว่าข้างกายผมมีอาร์นั่งมองอยู่ไม่ห่าง สีหน้าเคร่งเครียดของเขาในตอนแรกดูผ่อนคลายไปถนัดตาทันทีที่เห็นว่าผมรู้สึกตัวแล้ว
“ตื่นสักที นึกว่านายจะตายซะแล้ว”
แล้วสีหน้าผ่อนคลายกลายเป็นสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมานิด ๆ  ผมไม่ได้สนใจ กวาดตามองไปรอบห้อง พอเห็นบรรยากาศคุ้นเคยก็ว่าเบา ๆ
“ที่นี่มัน...”
“ห้องพัก” อาร์ตอบแทนทั้งที่ผมยังถามไม่จบ
สังเกตบรรดาข้าวของและเฟอร์นิเจอร์แล้วก็เป็นห้องพักของผมกับอาร์จริง ๆ ด้วย แต่นั่นไม่น่าแปลกใจเท่าผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงมากกว่า ก็ตอนผมไม่ได้สติ ตอนนั้นผมยังอยู่ข้างนอกอยู่เลยนี่
อย่าบอกนะว่าอาร์พามา?
ผมหันไปมองอาร์อย่างขอคำตอบทันที หากแต่อาร์พูดเรื่องอื่นเสียอย่างนั้น
“นายอดนอนจนร่างกายรับไม่ไหวล่ะมั้ง จู่ ๆ ถึงได้เป็นลมอย่างนั้น ฉันเห็นสีหน้านายดูไม่ดีตั้งแต่ในคลาสแล้ว รู้ตัวว่าร่างกาอ่อนแอแล้วจะฝืนทำไม แต่ฟื้นก็ดี ฉันจะได้ไปทำอย่างอื่นได้สักที ไม่งั้นก็ต้องมานั่งกังวลว่าลุงกวินทร์จะรู้แล้วมาโทษว่าฉันเป้นต้นเหตุที่ทำให้นายไม่สบายไม่เลิก แถมนี่ต้องโดดเรียนคาบบ่ายมาดูแลนาย มันไม่ใช่หน้าที่ของฉันเลยนะ”
ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากรู้
“นายเป็นคนพาฉันกลับมาเหรอ”
อาร์ชำเลืองมามอง ก่อนจะรีบลุกจากเก้าอี้ข้างเตียง
“จะใครพามาก็ไม่เห็นจะสำคัญ”
พูดไป จู่ ๆ ซีกหน้าเขาก็แดงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ผมมองก็รู้เลยว่าฝีมือเขานั่นแหละ ก็ตัวของผมตอนนี้มีกลิ่นเหงื่อของเขาติดมาด้วยนี่นา แถมตอนนั้นก็มีเขาอยู่ในเหตุการณ์แค่คนเดียวด้วย ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร
การไม่ยอมรับอะไรง่าย ๆ ก็เป็นสไตล์ของอาร์แหละนะ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีเหมือนกันที่รู้ว่าอย่างน้อยเขาก็เป็นห่วงผม
พูดว่าเห็นสีหน้าผมไม่ดีตั้งแต่ในคลาสเรียนอย่างนี้ ก็เท่ากับว่าเขาสนใจผมน่ะ เพียงแต่ไม่แสดงออกก็เท่านั้น สำคัญกว่านั้นคือ ผมตัวใหญ่กว่าเขาตั้งเยอะ ทว่าเขาอุตส่าห์พยายามลากร่างไร้สติของผมกลับมาถึงที่ได้นี่ แสดงว่าต้องเป็นห่วงมากแน่ ๆ
ผมก็เลยออกปากไปตามอย่างที่ควรจะทำ
“ขอบคุณนะที่เป็นห่วง”
อาร์หันกลับมามอง พลางว่าเนิบ ๆ
“หน้าที่ของเจ้าชายนี่ จะห่วงข้าราชบริพาร มันแปลกตรงไหน”
“หน้าที่ของพ่อด้วย ห่วงลูกกับแม่ก็ไม่แปลกเหมือนกันเนอะ”
อันนี้ผมพูดไม่ทันคิด หากแต่เรียกสีแดงระเรื่อบนใบหน้าของอาร์ที่หายไปแล้วกลับคืนมาได้อีกระลอก ก่อนเขาจะเม้มริมฝีปากแน่น แล้วว่าออกมา
“พะ...พ่ออะไร! ก็เราบอกแล้วนี่ว่าจะรับเป็นพ่อถ้าหากนายท้องลูกของเราจริง ตอนนี้ยังไม่รู้สักหน่อยว่าท้องจริงมั้ย อย่าพูดไปเรื่อย!”
ผมยักคิ้วให้ อาร์ทำท่าอึกอัก แล้วก็รีบพุ่งไปที่ประตู คงจะรีบหนีไปที่ห้องจูเลียนเหมือนเคย ผมไม่ห้าม ไม่มีแรงจะห้ามด้วยร่างกายยังอ่อนเพลียอยู่อีกนิดหน่อย
ทว่าในจังหวะที่อาร์เปิดประตูห้อง เขาก็พูดขึ้นมาเบา ๆ พอให้ผมได้ยิน
“ตะ...แต่ถ้านายท้องลูกของฉันจริง ๆ ก็ดูแลตัวเองดี ๆ ด้วย ฉันเป็นห่วง... คะ...คือ...เป็นห่วงลูกของเรานะ ไม่ได้เป็นห่วงนาย”
สิ้นเสียงก็ผลุบหายออกไปด้วยความเร็วแสง
ผมมองเพดานเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หัวเราะออกมาที่จู่ ๆ ผมก็รู้สึกว่าเขาน่ารักแปลก ๆ
วันนี้อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ทั้งวันเลยแฮะ เมื่อเช้ายังรู้สึกว่าอาร์น่ารำคาญอยู่เลย ตอนนี้กลับคิดว่าเขาน่ารักขึ้นมาเสียแล้ว
ทำตัวแบบนี้ค่อยเหมาะสมกับบทบาทพ่อหน่อย...

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ตัวอย่างตอนสุดท้ายของพาร์ทคีตาที่เอาลงให้อ่านนะคะ ที่เหลืออีก 4 ตอนต้องไปตามในหนังสือเอานะ บอกเลยว่าคู่นี้มุ้งมิ้งน่ารัก อาร์ที่เห็นหยิ่ง ๆ นิสัยไม่ค่อยดี แต่จริง ๆ แล้วนางน่ารักนะ โดนคีตาปราบซะเชื่อง อิอิ
------------------------------------------
Episode 04: Our deep kiss


ตอนแรกผมคิดว่าที่มึนหัว มันเป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่หลังจากที่ผมนอนหลับติดต่อกันสิบกว่าชั่วโมง อาการนั่นก็ยังไม่หายไป ซ้ำยังจะมากขึ้นไปอีกเมื่อผ่านมาเกือบสุดสัปดาห์ จนผมชักมั่นใจแล้วล่ะว่ามันไม่ได้เป็นผลมาจากการอดนอนสองคืนติดต่อกัน มันน่าจะมาจากเหตุผลอื่น
ผมกับจูเลียนเลยต้องมานั่งพินิจพิเคราะห์ว่าอาการที่เกิดขึ้นกับตัวผมใช่อาการแพ้ท้องจริงหรือเปล่า แต่จากที่คุยกันแล้ว จูเลียนก็มีความเห็นว่าไม่น่าจะใช่ ด้วยอาร์เพิ่งวางไข่ใส่ผมไปเมื่อวานซืน อาการแพ้ท้องไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้
“ไว้ฉันจะพยายามติดต่อเสด็จพ่อเจนิสให้ได้ไวที่สุดก็แล้วกัน ตอนนี้นายก็ทำใจให้สบายก่อน อาจจะไม่มีอะไรก็ได้” จูเลียนปลอบผมในที่สุดหลังจากพวกเราจนปัญญากับการคิดหาต้นเหตุแล้วว่ามันมาจากอะไรกันแน่
ผมพยักหน้า ลุกขึ้นจากเตียงของรูมเมทจูเลียน กะจะกลับห้องตัวเองไปพัก วันนี้ผมกะจะไม่คัดตัวนักแสดงละครเวทีอะไรนั่นที่รุ่นพี่เคยมาทาบทามไว้ล่ะ รู้สึกว่ามันไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับชีวิตเท่าไหร่ ทว่าจูเลียนก็พูดขึ้นมาก่อน
“แล้วนายไม่ไปคัดเลือกตัวนักแสดงเหรอ”
“อืม” ผมครางรับ ทำเอาจูเลียนเลิกคิ้วสูงมองผม
“ไม่ไปจริง ๆ เหรอ อาร์มารออยู่ข้างล่างแล้วนะ”
พูดมาอย่างนี้ เลยกลายเป็นผมที่ขมวดคิ้ว จูเลียนเลยแสร้งมองไปทางหน้าต่าง ให้ผมได้เดินไปชะโงกดู พอเดินเข้าไปใกล้ กลิ่นของอาร์กับเสียงฝีเท้าก็ดังลอยขึ้นมาให้ได้ยิน
อืม... อาการวิงเวียนนี่ทำให้ประสาทสัมผัสผมแย่ลงไปหลายเท่าเลยแฮะ
มองจากตรงหน้าต่างนี่ไม่เห็นอาร์หรอก แต่ก็รับรู้ได้ว่าเป็นเขา ก่อนที่จูเลียนจะเอนตัวลงนอนบนเตียงแล้วพูดลอย ๆ
“ลงไปได้แล้ว เดี๋ยวหมอนั่นก็ขึ้นมาโวยวายโทษฐานที่แม่พันธุ์ปล่อยให้รอหรอก”
ผมไม่ค่อยชอบคำว่า ‘แม่พันธุ์’ ที่หลุดออกจากปากจูเลียนสักเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร พยักหน้ารับ เดินตรงไปยังประตู หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายว่าขึ้นมาอีก
“ว่าแต่นายน่ะ จะยอมเป็นแม่พันธุ์ให้อาร์จริง ๆ เหรอ”
“แล้วนายคิดว่าอาร์จะยอมเป็นแม่พันธุ์หรือไง ตอนนี้ฉันก็ท้องลูกของหมอนั่นแล้วนี่ มีทางเลือกอีกมั้ยล่ะ”
คำพูดของผมทำเอาจูเลียนหัวเราะร่วน ดันตัวขึ้นมานั่งทันควัน
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ไอ้ที่โดนวางไข่ไปแล้วก็แล้วไป ที่ฉันหมายถึงน่ะ คือเรื่องผูกพันกันต่างหาก ฉันหมายความว่านายจะยอมเป็นฝ่ายรองรับอารมณ์ให้อาร์เหรอ”
ผมนิ่งงัน ไม่รู้จะตอบว่ายังไง ก็อย่างที่บอกว่าพ่อคีธบอกให้ผมเป็นฝ่ายกด แต่ถึงพ่อคีธจะไม่พูด ผมก็ไม่อยากจะเป็นฝ่ายรองรับอารมณ์หรอก ผมอยากจะเป็นฝ่ายกระทำมากกว่า ก็อย่างว่า ผมมีสัญชาตญาณดิบมากกว่าอาร์เยอะ ถ้าเทียบเรื่องขนาดตัวด้วย ตัวผมก็ใหญ่กว่าอาร์ตั้งเยอะอยู่ดี จะให้ถูกกระทำ มันก็เหมือนหมาชิวาว่าพยายามผสมพันธุ์กับหมาร็อตไวเลอร์นั่นแหละ นึกภาพแล้วชวนให้ขมวดคิ้วชะมัด
เอ... จะว่าไปแล้ว ตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต เพศเมียมักตัวใหญ่กว่าเพศผู้นี่นา ยอมไปก็คงไม่เสียหายมั้งถ้าเกิดจะต้องผูกพันกันขึ้นมาจริง ๆ
แต่ผมว่าคงไม่ได้ผูกพันกันหรอก ก็อาร์ไม่ชอบขี้หน้าผมอย่างกับอะไรดี แล้วผมก็ไม่ได้ชื่นชอบอะไรอาร์เป็นพิเศษเหมือนตอนเด็ก ๆ แล้วด้วย ถ้าเป็นตอนเด็ก ผมคงไม่รีรอให้อาร์ได้ทำตามใจถ้าเกิดอาร์เลือกผมขึ้นมา ก็ตอนนั้นยังไร้เดียงสานี่นา ยิ่งถูกพ่อคีธกรอกหูด้วยว่าการเป็นผู้พิทักษ์ให้องค์ชายถือเป็นเกียรติอันสูงสุดของการเป็นชาวยูนิกมา ผมก็คล้อยตามไปโดยปริยาย ทว่าไม่ใช่ในตอนที่ผมรู้แล้วว่าการยอมให้อาร์นั้น ผมจะถูกกดขี่เพียงใด
ถึงอย่างนั้น ผมก็พยักหน้ารับให้กับคำถามของจูเลียนไปด้วยไม่อยากคิดอะไรให้วุ่นวาย ทำให้จูเลียนร้องเฮ้ยเสียงดัง
“นี่พูดจริง? นายจะยอมให้อาร์ทำเนี่ยนะ”
“คิดว่าฉันเลือกได้หรือไง เป็นแค่ผู้พิทักษ์ ถ้าอาร์สั่งแล้วพ่อ ๆ ของฉันรู้ พ่อคีธคงจะเห็นดีด้วย”
พูดไปอย่างนี้ จูเลียนก็ยกมือขึ้นเสยปอยผมที่ตกลงมาปรกใบหน้า
“ไม่รู้สินะ ฉันว่านายเหมาะจะเป็นฝ่ายพ่อมากกว่า ร่างกายก็แข็งแรงกว่า อีคิวก็สูงกว่า มาดก็ให้ ส่วนอาร์... อย่าให้พูดเลย”
“นึกว่าฉันไม่อยากเป็นหรือไง” ผมพึมพำ
จูเลียนได้ยินก็หัวเราะ ว่าขำ ๆ ทันที
“อยากเป็นก็เป็นสิ จะรออะไร”
ผมเลิกคิ้ว จูเลียนเลยขยายความออกมา
“ก็ถ้าสมมติว่าสักวันพวกนายต้องผูกพันขึ้นมาจริง ๆ นายก็พลิกบทบาทเลย ไม่มีใครรู้หรอกนอกจากพวกนายสองคน ถ้าอาร์อยากจะให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายพ่อก็ให้คนอื่นเข้าใจอย่างนั้นไป ส่วนหลังฉาก พวกนายก็สลับบทบาทกันเอง ง่ายจะตาย”
ผมว่าจูเลียนกำลังปลุกปั่นผมอยู่ล่ะ ดูท่าทางจะสนุกกับการยุให้ผมทำตามอย่างที่เขาว่าด้วย คงจะวางแผนแกล้งอาร์เพราะหมั่นไส้ล่ะสินะ ยอมรับว่าแผนของเขาน่าสนใจ แต่ผมไม่เอนอ่อนไปตามด้วยหรอก ไร้สาระน่ะ
ผมพยักหน้าไปตามเรื่องอีกเช่นเคย แล้วตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง จูเลียนก็พูดทิ้งท้ายไว้ให้ผมได้คิดใคร่ครวญไม่หยุดอีก
“ความจริงแล้วที่อาร์พยายามทำตัวอยู่เหนือนายน่ะมันก็มีเหตุผล อาร์ไม่ได้อยากจะเป็นพ่ออะไรจนตัวสั่นหรอก เชื่อฉันสิ อาร์แค่อยากให้พ่อกวินทร์ของนายยอมรับก็เท่านั้น”
“ยอมรับเรื่องอะไร” ผมหันไปถาม
“ไม่รู้สิ ไว้รออาร์บอกเองแล้วกัน” จูเลียนยักไหล่ราวกับไม่รู้เรื่อง
ผมรู้ว่าเขารู้ ทว่าไม่อยากบอกผมด้วยกลัวจะผิดใจกับลูกพี่ลูกน้องตัวเองล่ะมั้ง ผมเลยไม่ใส่ใจ เบือนหน้ากลับมายังประตู เดินออกจากห้องลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว
 
อาร์ที่ยืนรอผมอยู่นานทำหน้าบูดใส่คนรอบข้างไปเรียบร้อย ยิ่งเห็นหน้าผมที่เพิ่งโผล่มา ใบหน้าหล่อเหลานั่นก็ยิ่งดูไม่รับแขกเข้าไปใหญ่ ซ้ำริมฝีปากบางยังเผยอขึ้นบ่นผมด้วย
“มัวทำอะไรอยู่ ให้เรารอตั้งนาน มันใช่เรื่องที่เจ้าชายอย่างเราจะต้องมายืนรอผู้พิทักษ์มั้ย”
“แล้วใครให้นายมารอล่ะ” ผมย้อนกลับไปตามจริง ก็นะ อาร์ไม่ได้สั่งผมก่อนออกจากห้องไปเมื่อเช้านี่ว่าจะกลับมาที่บ้านพัก แล้วให้ผมมารอ จะมีก็แต่เตือนผมให้รู้ว่าวันนี้มีนัดคัดเลือกนักแสดงละครเวทีก็เท่านั้น
ถูกย้อนไปอย่างนั้น อาร์ก็หน้าม้าน รีบกลบเกลื่อนด้วยการทำหงุดหงิดใส่
“จะใครให้มารอก็ไม่ใช่เรื่องของนายที่ต้องรู้ ไปได้แล้ว เสียเวลากันไปมากแล้วเนี่ย!”
ผมกลอกตา ส่วนอาร์ก็ก้าวพรวด ๆ เดินไปเลย ผมแอบสงสัยนิดหน่อยว่าเขาจะกลับมาที่บ้านพักทำไมเมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ตอนที่อาร์ออกไปเมื่อเช้า เขาก็ไปที่ชมรมแล้ว
จะกลับมาอีกให้เสียเวลาเพื่อ?
ไม่ทันจะได้เอ่ยปากถาม อาร์ที่เดินนำไปก่อนก็หันมาทันทีที่รู้สึกตัวว่าผมยังไม่ยอมออกเดิน
“นี่ ตามมาได้แล้ว เราอุตส่าห์กลับมารับแล้วยังจะลีลาท่ามากอีก”
“มารับฉัน? ทำไม?”
คราวนี้อาร์ถึงกับสาวเท้าเร็ว ๆ กลับมาหาผม คว้าแขนหมับแล้วดึงให้โน้มตัวลงไปเล็กน้อย พลางกระซิบเสียงเข้ม
“แล้วจะให้เราปล่อยให้ลูกอยู่กับคนเงอะ ๆ งะ ๆ ที่วัน ๆ เอาแต่มึนหัวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงได้ยังไง บอกแล้วไงว่าฉันเป็นห่วง”
“หืม?”
ส่งเสียงไปแค่นั้นพร้อมสีหน้าสงสัย อาร์ก็ลุกลี้ลุกลนทันที
“ปะ...เป็นห่วงลูก ไม่ได้เป็นห่วงนาย อย่าเข้าใจผิด” พูดไป ซีกหน้าขาวนวลก็แดงเรื่อขึ้นมา
เห็นแล้วผมก็นึกขำที่เขากระดากอายกับเรื่องแค่นี้ ก็นะ เป็นพวกปากแข็งนี่นา เวลาแสดงออกอะไรก็คงจะรู้สึกแปลก ๆ ไม่น้อยแหละ แล้วก็น่าจะเป็นห่วงผมด้วย ไม่ใช่แค่ห่วงลูกอย่างเดียว แค่ไม่ยอมรับก็เท่านั้น
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าอาร์น่ารักขึ้นมา ยกมือขึ้นวางบนกระหม่อมอย่างลืมตัว พูดเบา ๆ
“ขอบใจ”
อาร์ดูตะลึงไปนิด ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วออกสียิ่งกว่าเดิม ก่อนจะรีบสลัดมือผมออก
“บังอาจเกินไปแล้ว! นี่เจ้าชายนะ!”
ก็บอกแล้วไงว่าลืมตัว แต่ไม่ได้พูดหรอก ยิ้มให้บาง ๆ เท่านั้น อาร์เลยรีบเก็บสีหน้าเขินอาย คว้าแขนผมแล้วออกเดิน
“ไปได้แล้ว มัวทำเสียเวลาอยู่ได้!”
 
ลากผมมาถึงห้องชมรมก็บ่นกระปอดกระแปดใส่ผมตลอดทาง ความจริงก็ไม่ใช่บ่นหรอก ออกแนวต่อว่ามากกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ผมทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ไม่ได้เรื่อง ทั้งที่ต้องคอยดูแลเขา กลายเป็นว่าเขาต้องมาดูแล ซ้ำยังทำให้เขาเป็นห่วงไข่ของลูกเราที่อยู่ในท้องผมอีกเพราะผมมึนหัวตลอดเวลา
ก็นะ ใครมันจะไปควบคุมได้กันไอ้อาการแบบนี้น่ะ ถ้าเป็นไปได้ ผมก็ไม่อยากจะมึนหัวเหมือนกันนั่นแหละ
เข้ามาอยู่ในห้องชมรมได้ ผมก็ถูกรุ่นพี่ที่ชื่อโทนี่ลากไปลงทะเบียนว่ามาเข้ารับการคัดเลือก ส่วนอาร์ก็ถูกลากไปอีกฝั่งที่รวมว่าที่นักแสดงบทของทิบอลท์
การคัดเลือกดำเนินไปเรื่อย ๆ ผมก็แสดงไปตามบทบาที่ได้รับมาก่อนหน้า พูดก็ไม่ได้ตรงตามสคริปต์อะไรหรอก เพียงแต่บทที่ผมออดิชันนั้นเป็นบทที่ต่อสู้กับทิบอลท์ในตลาด จำเป็นต้องใช้ดาบ สำหรับคนที่ถูกฝึกการต่อสู้มาตั้งแต่เด็กอย่างผม การแอคติ้งอะไรแบบนี้ไม่เหนือบ่ากว่าแรงอยู่แล้ว ผมเลยได้รับบทโรมิโอมาโดยไม่ยุ่งยากอะไรมากมายทั้งที่ผมเองก็ไม่ได้อยากจะแสดงเท่าไหร่ ส่วนบททิบอลท์นั้น อาร์ก็เหมือนจะได้รับเช่นกัน รายนั้นก็ไม่ได้พูดตามบท เพียงแต่สำนวนการยั่วโมโหและน้ำเสียง ผสมสีหน้าโดยรวม ดูแล้วน่าหมั่นไส้ตามคาแร็คเตอร์ตัวละคร เขาก็เลยได้รับบทนี้ไป
และแทนที่คัดเลือกตัวนักแสดงเสร็แล้วแทนที่จะได้กลับ พวกนักแสดงที่ได้รับการคัดเลือกยังต้องอยู่ต่อเพื่อนัดหมายวันซ้อมตามกำหนดการอีก ซ้ำยังมีการทำกิจกรรมเพื่อกระชับมิตรอะไรด้วยก็ไม่รู้ ผมที่เริ่มมีอาการวิงเวียนขึ้นมาก็ชักจะเริ่มไม่สบอารมณ์ ถลาไปนั่งพิงกำแพง หลบมุมก็แล้ว ยังไม่พ้นถูกรุ่นพี่มารุมล้อม เรียกให้ไปทำกิจกรรมโน่นนี่ร่วมกับคนอื่น ๆ พอปฏิเสธ พวกรุ่นพี่ก็จะส่งโทนี่มากระแซะจนผมอดรำคาญไม่ได้
ให้ตายเถอะ ผมเริ่มชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ ขนาดปล่อยให้พักเบรกกันห้านาที โทนี่ก็ยังตามติดผมไม่เลิกจนผมต้องออกปาก
“โทนี่ ขอฉันอยู่คนเดียวสักพักได้มั้ย”
“ทำไมล่ะ รำคาญฉันเหรอ”
ผมไม่รีรอที่จะพยักหน้าให้กับคำถามทีเล่นทีจริงของเขาเลย เขาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาราวกับคำตอบของผมเป็นเรื่องล้อเล่น
“นายนี่แหย่ซะจนฉันเกือบเสียหลักเลยนะ ไม่เอาน่า อย่าเย็นชานักเลย เดี๋ยวเราก็ต้องเจอกันบ่อย ๆ ผูกมิตรกันไว้ก่อนน่ะดีแล้ว ฉันได้รับหน้าที่ดูแลการฝึกซ้อมบทโรมิโอให้นายนะ จำไม่ได้เหรอ”
จำได้ แต่ใครมันจะไปสนกัน โลกหมุนคว้างขนาดนี้ ผมอยากกลับไปนอนมากกว่า แต่ในเมื่อหนีไม่ได้ ผมเลยแสร้งทำหูทวนลม ปล่อยให้สิ่งที่โทนี่พูดลอยผ่านเข้ามาในหูแล้วก็ผ่านไป ทว่าการได้ยินเสียงเขา ก็เหมือนจะทำให้ผมปวดหัวมากขึ้นยังไงก็ไม่รู้
พูดมากเสียจนเส้นประสาทของผมจะขาดออกจากกันเป็นเสี่ยง ๆ แล้ว
“โทนี่...ฉันไม่...” ผมตัดสินใจจะบอกเขาว่าผมทนฟังเสียงเขาต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
หากแต่พูดยังไม่ทันจบประโยค เขาก็ร้องอ๊ะขึ้นมา พลันขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ผมเสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน ยกมือขึ้นปัดปอยผมของผมขึ้นอย่างถือวิสาสะ
“ผมหน้านายยาวแล้วนะ บังหน้าบังตาหมดแล้ว ก่อนแสดงจริง ฉันคงต้องไล่ให้นายไปตัดผมแล้วล่ะ”
ถ้าเป็นเวลาปกติที่ผมมีสติสัมปชัญญะเต็มร้อย เขาไม่มีวันได้เข้าใกล้ผมถึงขนาดนี้แน่ ผมคงจะปัดป้องออกก่อน แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว ถูกจับอย่างนั้น ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย ทว่าดูเหมือนจะทำให้โทนี่ได้ใจ เขาเลยเลื่อนฝ่ามือมาลูบข้างแก้มผมด้วย
“ผิวเนียนดีนะ”
สัญชาตญาณบอกผมว่าเขาคิดอะไรกับผมเกินรุ่นน้องแน่ ฟังน้ำเสียง เห็นสีหน้ากับแววตาก็รู้ ก็ไม่อยากจะอะไรหรอก ไม่ใช่ครั้งแรกตั้งแต่มาเรียนที่มหาวิทยาลัยที่มีคนส่งสายตาอย่างนี้ให้ผม รู้ตัวอยู่เหมือนกันว่าตัวเองค่อนข้างเป็นที่นิยมจากคำพูดของจูเลียนที่พูดขึ้นหลังจากเพื่อนของเขาในคณะพยายามทำความรู้จักผมผ่านเขา
จะว่าไปจูเลียนเองก็ฮ็อตไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน อาร์ก็เช่นกัน แต่ดูเหมือนอาร์จะไม่ค่อยมีใครกล้ายุ่งด้วยสักเท่าไหร่ ชื่อเสียงเลยไปในทางไม่ค่อยดี ค่อนออกไปเป็นการถูกปรามาสว่าหยิ่ง ส่วนผม...ก็อย่างที่รู้กันว่าผมสนใจใครที่ไหน
และเป็นเพราะผมยอมปล่อยให้โทนี่ลูบใบหน้า เขาก็เลยลากปลายนิ้วลงมาแตะบนริมฝีปาก ไล้ไปมาอย่างแผ่วเบา ผมเหลือบสายตามองก็รู้เลยว่าอีกไม่กี่อึดใจ เขาจะต้องจูบผมแน่
“อย่าแม้แต่จะคิด” ผมรีบดักคอทันทีด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หากแต่โทนี่ไม่สนแล้วมั้ง แค่หัวเราะในลำคอเท่านั้น
“นิดหน่อยน่า ไม่เสียหายหรอก”
พูดแค่นั้นก็เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ผมมากกว่าเดิม ผมยกมือขึ้นทำท่าจะผลัก แต่เรี่ยวแรงที่มีก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย ซ้ำยังวิงเวียนมากกว่าเดิมจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่
อา...สงสัยคงต้องปล่อยเลยตามเลยไปยาว ๆ
ชั่วขณะหนึ่งที่ผมไม่ได้สนใจริมฝีปากบางของโทนี่ที่เกือบจะแตะริมฝีปากผมนั้น จู่ ๆ ก็มีใครบางคนมากระชากคนที่พยายามจะขโมยจูบผมออกห่างเต็มแรง เสียงร้องดังโอยของโทนี่ที่โดนเหวี่ยงไปอีกมุมดังขึ้น ทำให้ผมต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการเพ่งสายตาพร่ามัวมองคนตัวการ ทว่าเสียงคุ้นหูก็ดังมาให้ได้ยินก่อนแล้ว
“คีตาเป็นของเรา อย่ามายุ่ง!”
อาร์นั่นเอง...
เสียงมาก่อน กลิ่นค่อยตามมาทีหลังเมื่อเขาถลาเข้ามาคว้าแขนผมขึ้นพาดบ่า พยุงให้ลุกขึ้นแล้วรีบพาตัวออกไปจากตรงนั้นท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกของคนในชมรม
 
อาร์ใช้ความอดทนและพยายามเป็นอย่างมากในการลากผมกลับบ้านพัก ถึงห้องได้ จัดการจับผมนอนลงบนเตียงเรียบร้อย เขาก็หายใจหอบจนตัวโยน ผมชำเลืองมองคนตัวเล็กกว่าที่สวมเสื้อผ้าเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อทั้งตัวนิ่ง ๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะแหวใส่ผมเสียงดัง
“นายนี่สร้างเรื่องให้เราตลอดเลยนะ!”
ผมว่าผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แค่จะถูกจูบ แล้วเขาก็มาขวาง จนสุดท้ายก็ลากผมกลับบ้านเท่านั้นเอง อยากจะแก้ต่างเหมือนกัน แต่ช่างเถอะ ขอนอนก่อนดีกว่า ตอนนี้มึนหัวมากจนแทบจะปริปากพูดไม่ไหวแล้ว
แต่อาร์ก็ไม่ยอมให้ผมได้พัก ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ถามผมเสียงแข็ง
“เมื่อกี้ถูกทำหรือเปล่า?”
“หือ?”
“เราหมายถึงว่านายถูกไอ้บ้านั่นจูบหรือเปล่า อย่ามาทำเป็นไม่เข้าใจเรื่องง่าย ๆ ได้มั้ย!”
ขึ้นเสียงใส่ผมอีกแล้ว จะโกรธอะไรเนี่ย คนจะถูกจูบไม่ใช่เขาสักหน่อย
ผมส่ายหน้าน้อย ๆ เป็นคำตอบ ทำท่าจะปิดเปลือกตา หลับหนีไปดื้อ ๆ ทว่าอาร์ก็รั้งใบหน้าผมให้หันไปสบตาเขา
“พูดจริงใช่มั้ย”
“ถ้าไม่เชื่อ นายก็ลองดมดูสิว่ามีกลิ่นของหมอนั่นหรือเปล่า”
ดมไปก็ไม่ได้กลิ่นหรอก อาร์ไม่มีประสาทสัมผัสดีขนาดจะได้กลิ่นใครต่อใครนี่
เรียวปากบางเม้มเข้าหากันแน่นอย่างหงุดหงิดที่ผมพูดไปอย่างนั้น ผมก็ไม่ได้สนใจว่าทำให้เขาหัวเสียเท่าไหร่ หลับตาลงอีกครั้ง หากแต่เงาทะมึนที่ทาบทับลงมาให้สัมผัสได้ก็ทำให้ผมรีบเด้งตัวขึ้นตามสัญชาตญาณป้องกันตัวเอง ก่อนจะผงะไปเล็กน้อยทันทีที่ลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นว่าเงานั้นเป็นเงาของอาร์ที่ชะโงกหน้าลงมาใกล้ผมพอดี
แต่ผงะไปก็เท่านั้น หลบไปทันแล้ว ริมฝีปากของผมกับอาร์ประทับเข้าหากันอย่างเหมาะเจาะ อาร์ดูตะลึงงัน พลันรีบถอยห่างออกมาอย่างรวดเร็ว
“นะ...นาย!”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย นายชะโงกหน้าเข้ามาเอง” ผมรีบว่าเสียงเนือย รู้ว่าเดี๋ยวอาร์จะต้องโทษว่าเป็นเพราะผมแน่ เราถึงได้จูบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
อาร์รู้ตัวว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดเลยหุบปากเงียบ พ่นลมหายใจแรง ๆ แล้วหันหนีผมอย่างรวดเร็ว โดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นการเปิดโอกาสให้ผมได้ออกปากถาม
“แล้วนายจะเอาหน้ามาใกล้ฉันทำไม คิดจะทำอะไร”
ไอ้ใบหน้าที่เบือนหนีอยู่เปลี่ยนสีทันควัน ก่อนเจ้าตัวจะว่าเสียงแข็ง
“ไม่ได้จะทำอะไร”
“ถ้าไม่ได้จะทำอะไร จะเอาหน้ามาใกล้ทำไม”
“เราก็แค่จะลองดมดูว่านายมีกลิ่นของไอ้บ้านั่นติดมาหรือเปล่าเฉย ๆ ก็เท่านั้น!”
คราวนี้หันมาแว้ดใส่ผมตรง ๆ หน้าก็แดงเรื่อไปหมด ผมว่าเขาพูดจริง แต่ลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเองไม่ได้จมูกดีขนาดนั้น
การกระทำของเขาทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาทั้งที่ยังวิงเวียนอยู่
ให้ตาย... ดันเผลอมองว่าอาร์น่ารักไปเสียได้ ท่าทางก้าวร้าวเอาแต่ใจอย่างนี้ ดูน่ารักไปได้ยังไงกันนะ
“ได้กลิ่นมั้ยล่ะ” ถึงจะเวียนหัว ก็ดันนึกอย่างแกล้งขึ้นมา
แน่นอนว่าต้องไม่ได้กลิ่นอยู่แล้ว แต่อาร์ไม่ตอบอะไร เอาแต่ทำหน้าปั้นปึ่งใส่ผม ดูเหมือนจะเผลอทำแก้มป่องขึ้นมาด้วย
เป็นผมคนเดียวหรือเปล่านะที่จู่ ๆ ก็เห็นมุมน่ารักของอาร์ขึ้นมา ว่าแต่...ทำไมอาร์ถึงได้มาทำตัวน่ารักให้ผมเห็นอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุอย่างนี้ด้วย?
ไม่คิดอะไรให้วุ่นวายแล้วล่ะเมื่ออาร์ทำลายความเงียบขึ้นมาหลังจากถูกผมจับจ้องอยู่นาน
“เราจะกลับไปที่ชมรม นายนอนพักไปก็แล้วกัน”
ไม่รู้ทำไมผมถึงเอื้อมมือไปคว้าแขนเขาให้หยุด อาร์หันมามองผมด้วยสีหน้าสงสัย ไม่ทันจะได้ถามอะไร ผมก็ดึงเขานั่งลงเหมือนเดิม กลั้นใจพูดทั้งที่หัวสมองมึนงงจนแทบจะดับวูบให้ได้อยู่รอมร่อ
“ถ้าเมื่อกี้ดมแล้วไม่ได้กลิ่น ก็ลองดมใหม่ดูสิ”
“จะล้อเราเล่นหรือไง ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเราประสาทสัมผัสไม่ได้ดีเท่านาย”
แหวออกมาอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้รำคาญเสียงเขาหรอก นอกจากเปลี่ยนตำแหน่งมือที่จับแขนเขาอยู่มาช้อนใต้ลำคอด้านหลัง พลันออกแรงดึงให้เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้
“ลองดมดู” ว่าสั้น ๆ แล้วออกแรงมากกว่าเดิม
อาร์แข็งขืน แต่ก็สู้แรงผมไม่ได้ กระทั่งในที่สุด ริมฝีปากของเราสองคนก็สัมผัสกันอีกครั้ง ไม่เพียงแต่สัมผัสเฉย ๆ ผมยังเผยอริมฝีปากออกเล็กน้อย ลองลิ้มรสจากคนตรงหน้าแผ่วเบา อาร์เกร็งตัวแข็ง ทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธ เอาแต่จ้องผมตาค้างอย่างอึ้งงัน
ในเมื่อไม่ปฏิเสธ ผมก็ถือว่าตอบรับก็แล้วกัน...
เท่านั้น จากลิ้มรสทีละน้อย ผมก็กดท้ายทอยอีกฝ่ายให้แนบชิดมากขึ้น บดจูบหนักหน่วงราวกับกลัวว่าอาร์จะหนีไป สองมือของอาร์พยายามดันอกผมออกห่าง แต่ยิ่งผลักไส ผมก็ยิ่งบดจูบมากขึ้น ได้จังหวะก็แทรกลิ้นเข้าไปตวัดชิมรสหวานจากโพรงปากของคนตรงหน้า นาทีนี้เหมือนอาร์จะตัวร้อนรุ่นขึ้นมาราวกับจะละลาย แต่ผมไม่สนแล้ว ต่อให้ต้องทำเจ้าชายรัชทายาทแห่งยูนิกมาละลายคามือ ผมก็ไม่ยอมเสียโอกาสที่จะได้ชิมรสหวานล้ำนี้แน่
เนิ่นนานทีเดียวที่ผมมอบจุมพิตให้เขาอยู่อย่างนั้น กระทั่งเริ่มรู้สึกตัวว่าอีกไม่นานจะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ ถึงได้ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ หลุดจากเงื้อมมือผมได้ อาร์ก็หายใจหอบ สีหน้าดูตระหนก หากแต่ก็แดงแปร๊ดลามไปถึงคอ ดูท่าทางจะสับสนว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ผมเองก็สับสนเช่นกันที่นึกยังไงก็ไม่รู้ ไปจูบอาร์เสียอย่างนั้น แต่ด้วยความที่ได้สติก่อน ผมเลยรีบออกปากไล่เขา
“จะกลับไปที่ชมรมไม่ใช่เหรอ รีบไปสิ”
อาร์เม้มปากแน่น มองผมราวกับอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูด หันหลังให้แล้วรีบเดินออกจากห้องไป ทิ้งเสียงดังตึกตักจากก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายที่เต้นระรัวเร็วไว้ให้ผมได้ยินเพียงเท่านั้น
ความจริงแล้วไม่ใช่แค่เขาหรอกที่ใจเต้นแรงขนาดนั้น... ผมเองก็เช่นกัน
อา... จูบเมื่อกี้นี้รู้สึกดีชะมัดเลย

ออฟไลน์ eddiam

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ตกลง หนังสือส่งเมื่อไหร่หรอคะ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ตกลง หนังสือส่งเมื่อไหร่หรอคะ

รบกวนเข้าไปอ่านรายละเอียดที่นี่นะคะ ส่วนใหญ่หนูแดงจะอัพเดตทางหน้าเพจค่ะ ไม่ค่อยได้เข้ามาที่นี่น้า https://www.facebook.com/NooDangzzz/posts/1026926854029834

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Kisa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ยังสนุกมากกกกกก เหมือนเดิมเลยค่าาา  o13 สัมผัสได้ว่า อาร์เป็นเคะน้อยหอยสังฆ์อย่างแน่นอน  :z1:

แต่! แต่!!!

ก็ชอบที่คีตาเป็นเคะมากกกกกกก  :hao6: เช่นกัน 55555555555 ลุ้นๆต่อไป  :katai1:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
เปิดขายหนังสือซีรีส์ 'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน' รอบปกติแล้วค่ะ
รายละเอียดอื่นๆ อ่านเพิ่มเติมที่นี่นะคะ
https://www.facebook.com/NooDangzzz/photos/a.162822727106922.46922.122468307809031/1111796852209500/?type=3&theater

ออนไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดีใจ ไร้ท มาต่อ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
คีตา ค่อนข้างช้า
อาจเพราะใจยอมรับว่าเป็นผู้พิทักษ์อาร์
ผลเลยถูกวางไข่ไปซะแล้ว
แม้อาร์ จะเอาแต่ใจ แต่ก็แคร์ตีตาเหมือนกัน
ไม่ยอมให้โทนี่จูบคีตา
ส่วนคีตา ก็เห็นความน่ารักของอาร์ แล้ว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ pogpax

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

ออฟไลน์ MOLI

  • ทำวันนี้ ได้วันนี้
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
สนุกดี  o13

แต่ก็จะงงหน่อย ๆ  :hao3:

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
เป็นเรื่องที่ดี แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ลงที่เล้าทั้งหมด

สนุกมากจริงๆ ขอบคุณเรื่องดีๆ

ออฟไลน์ Freezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สนุกมากครับเรื่องนี้ เกรียนดี 555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด