Episode 11: Richard, The murderer[1]
ความวินาศสันตะโรเริ่มขึ้นเมื่อเช้าวันใหม่มาถึง ผมได้ยินเสียงโหยหวนของริชาร์ดดังออกมาจากห้องเป็นระยะๆ เชื่อได้เลยว่าไอ้เจ้าชายลามกนั่นคงจะจับริชาร์ดกดเพื่อกินสารอาหารทั้งวันแน่ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องของผม ผมเลยไม่เข้าไปช่วยแต่อย่างใด ขนาดตัวเองยังเอาไม่รอดแล้วจะมีหน้าไปช่วยใครที่ไหน ต่อให้หมอนั่นเป็นเพื่อนสนิทก็เถอะ ยอมรับก็ได้ว่าประเด็นจริงๆ ก็คือผมอยากให้หมอนั่นได้ลิ้มรสความอัปยศเหมือนกับที่มันชอบล้อผมก่อนหน้านั้นบ้าง ทีนี้มันคงจะรู้แล้วล่ะว่าทำไมผมถึงได้ถูกไอ้บักคีธมันจูบบ่อยนัก
แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ผมหงุดหงิดไม่ใช่เรื่องที่ริชาร์ดเคยล้อเลียนผมแต่อย่างใด หากแต่เป็นการหมกตัวอยู่ในห้องกับคีธทั้งวันโดยที่หมอนั่นเอาแต่นั่งจ้องโทรทัศน์ ดูซีรีย์ชื่อดังจากฮอลลีวูดไม่หยุดตั้งแต่เช้านี่แหละ ที่หงุดหงิดนี่ก็ไม่ใช่เพราะมันดูโทรทัศน์จนไม่สนใจผมนะ แต่หงุดหงิดเพราะมันบอกกับผมก่อนมาที่นี่ว่าถ้ามันเจอพรรคพวกเมื่อไหร่ก็จะไปจากผมทันทีต่างหาก นี่อะไรของมัน เจอไอ้เจ้าชายนั่นก็แล้ว ยังหน้าด้านอยู่ต่ออีก แถมยังทำเป็นลืมว่าตัวเองเคยพูดอะไรไว้ด้วย จนผมชักจะทนเห็นมันทำมึนไม่ไหว คว้ารีโมทมากดปิดโทรทัศน์ เรียกความสนใจจากหมอนั่นให้หันมามองผมทันที
“มีอะไรเหรอกวินทร์” พอหันมาเห็นหน้าตาไม่สบอารมณ์ของผมได้ คีธก็ถามขึ้น
“ยังจะมีหน้ามาถาม ไหนบอกว่าพอเจอพวกของนายแล้ว นายจะไปจากฉันไง” ผมพูดออกไปโต้งๆ
คีธทำท่าเหมือนจะนึกขึ้นได้ในตอนนี้ นึกขึ้นได้ของหมอนี่ก็คือการเลิกคิ้วสูงเล็กน้อยแต่หน้ายังนิ่งเหมือนเดิมนั่นแหละ
“ฉันก็อยากจะไปเหมือนกัน แต่องค์ชายติดภารกิจ”
ภารกิจของเจ้าชายที่หมอนี่ว่าก็คือการดูดปากไอ้ริชาร์ดสินะ
ผมไม่ได้สนใจสำนวนการพูดของหมอนี่ที่เปลี่ยนไปเพราะดูซีรีย์เมื่อครู่นี้สักเท่าไหร่นักแม้ว่ามันจะแปลกๆ หูบ้างก็ตามนอกจากย่นหน้าให้มัน
“แต่พวกนายควรจะไสหัวไปได้แล้ว ฉันเบื่อเต็มทนกับการต้องมาเป็นแหล่งอาหารให้นายแล้วนะเว้ย พูดอะไรไว้ก็รักษาสัญญาไว้บ้างสิวะ”
พอถูกผมแหว หัวคิ้วเรียวของคีธก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะสวนออกมาเสียงเรียบ
“ก็ฉันหิว”
“มันใช่ข้ออ้างมั้ยวะ!” ผมถึงกับอุทานกับความหน้าด้านของมัน ก่อนจะยีผมตัวเองรัวๆ ให้คีธได้พูดต่ออีก
“ฉันยังหาโฮสต์ใหม่ไม่ได้ อาจจะต้องพึ่งพานายไปอีกสักหน่อยก่อน ว่าแต่วันนี้ฉันก็ยังไม่ได้กินสารอาหารจากนายเลยนะ”
“พอเลย ไสหัวไปเร็วๆ เลย แม่งโดนดูดปากจนจะกลายเป็นผัวเมียกันอยู่แล้วเนี่ย” ว่าพลางโบกมือไล่มันไปด้วย เอะอะก็ดูดปาก เผลอหน่อยก็วางไข่ ประสาทจะกินตายอยู่แล้วเนี่ย!
ทว่าคีธไม่สะทกสะท้าน มิหนำซ้ำยังยกยิ้มน้อยๆ ขึ้นมาอีก
“หรือนายอยากจะผูกพันกับฉัน?”
กูประชดเว้ย!
ผมตวัดสายตาไปมองอย่างเคืองๆ หากแต่คีธยังคงยกยิ้มอยู่อย่างนั้น แถมยังหัวเราะในลำคอออกมาอีก ทำเอาผมใจเต้นขึ้นมาเบาๆ กับรอยยิ้มมีเลศนัยนั่น
ถ้าไม่เปลี่ยนเรื่องคุย ดูท่าคงจะได้เป็นเมียมันจริงๆ แน่
“เอาเป็นว่าฉันอยากให้พวกนายรีบๆ ไสหัวไปโอเค้? จะไปเมื่อไหร่ก็เอาเถอะ แต่ขอให้ยิ่งเร็วยิ่งดี ฉันไม่พิสมัยนักหรอกนะที่จะต้องมาเป็นโฮสต์รับผิดชอบชีวิตนายเนี่ย เบื่อว่ะ!” ผมทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงกระแทก
คราวนี้รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อนั่นหายไป กลายเป็นการพยักหน้ารับแทน
“ไว้ฉันจะหารือกับองค์ชายไปขอพึ่งพาพวกไบโทป เมื่อองค์ชายเห็นพ้องด้วย เราจะไปจากพวกนายให้เร็วที่สุด”
ผมพยักหน้ารับส่งๆ ไม่ได้ใส่ใจว่าพวกมันจะไปขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ต่างดาวกลุ่มเดิมที่เป็นโฮสต์ให้แอสตีนหรืออะไรยังไงอีก กระทั่งได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง ผมกับคีธหันไปมองพร้อมกัน ไม่ทันจะได้คิดว่าเสียงนั้นมาจากใคร เสียงคุ้นหูของเพื่อนสนิทผมก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“เควิน! เปิดประตู! เปิดประตูเร็วๆ เข้า!” แล้วก็ตามมาด้วยการเคาะประตูประหนึ่งมีเรื่องคอขาดบาดตาย
ผมเดินไปเปิดประตู เพียงแค่แง้มเท่านั้น ริชาร์ดในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ผมเผ้ากระเซิงก็พุ่งพรวดเข้ามาในห้องแล้วจัดการกระชากประตูปิดทันใด
“อะไรของนายวะ” ผมถามเสียงขุ่น แต่แค่เห็นหน้าริชาร์ดที่บัดนี้พร่างพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อ ผมก็พอจะเดาได้แล้วว่ามันหนีตายไอ้เจ้าชายลามกนั่นมา
แล้วมันก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“ริชาร์ด เราขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจทำให้นายตกใจ”
ฟังแล้วเหมือนผัวมาตามง้อเมียมาก ผมถึงกับมองหน้ามันอย่างขอคำตอบ ขณะที่มันส่ายหน้าเป็นพัลวันเป็นเชิงบอกว่าอย่าเปิดประตูเด็ดขาด
หากแต่ไม่เปิดไปก็เท่านั้น เพราะการที่ไม่ยอมเปิดประตูให้แอสตันเนี่ย มันก็พังประตูเข้ามาเองอยู่ดี พอผมเห็นลูกบิดประตูถูกเขย่าอย่างบ้าคลั่งแล้ว ผมก็รีบจัดการปลดล็อคด้วยไม่ต้องการจะเสียค่าซ่อมประตู และพอประตูเปิดออก สีหน้าของริชาร์ดก็พลันซีดเผือดทันตาเห็นเมื่อเห็นแอสตันยืนยิ้มร่าให้อยู่
“ไม่โกรธนะ” พอเห็นหน้าริชาร์ด ก็โพล่งขึ้นมา
ผมถึงกับย่นคิ้วเมื่อเห็นริชาร์ดถอยกรูดไปหลบหลังผม
“มันทำอะไรนายวะ” และเพราะเอะใจ ผมก็เลยถามไปแบบนี้
“สภาพเหมือนถูกหมาบ้าฟัดมาอย่างนี้ นายคิดว่าไอ้เวรนั่นทำอะไรฉันล่ะ” ริชาร์ดว่าเสียงหวาดๆ ผมรู้ทันทีเลยว่ามันผ่านอะไรมา
มึงโดนไอ้แอสตันปล้ำมาสินะ!
ผมถอนหายใจ มองหน้าแอสตันอย่างระอาทันที
“ทำไมพวกนายถึงได้อยากจะผูกพันกับพวกฉันมากนักฮะ เป็นเกย์กันหรือไง” อันนี้ผมว่าเสียงเนือยๆ
แอสตันยิ้มไม่ยี่หระ เดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูพลางตอบ
“ปกติแล้วชาวยูนิกม่าสามารถผูกพันได้ทั้งชายและหญิง แต่ในระยะหลัง หญิงชาวยูนิกม่าถูกสังหารจากพวกรุกรานจนแทบไม่หลงเหลือ ชายชาวยูนิกม่าจึงต้องผูกสัมพันธ์กันเองเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ และเพื่อนของนายน่ารักดี เราเลยอยากให้ริชาร์ดเป็นโฮสต์ให้เราตลอดไป”
อยากได้เป็นเมียก็บอกว่าเมีย ไม่ใช่เป็นโฮสต์!
ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง เข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้พวกนี้ถึงได้ออกอาการโฮโมฯ ในกระแสเลือดกันนัก ก็มึงกินกันแต่ผู้ชายด้วยกันนี่หว่า! สงสารก็แต่ริชาร์ดที่ได้ยินประโยคนั้นก็ส่ายหน้ารัวๆ
ไอ้นี่ก็อีกคน ตอนก่อนจะรู้ว่ามีเอเลี่ยนบุกโลก ยังทำเป็นชมเอเลี่ยนว่าเจ๋งอย่างนั้นอย่างนี้ พอมาเจอจริงๆ ก็หัวหด เพลียกับมันจริงๆ
“จะอะไรก็เอาเถอะ แต่การที่นายมาปล้ำเพื่อนฉันเอาซึ่งๆ หน้าโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอมแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำเว้ย ต้องให้เจ้าตัวยินยอมด้วยถึงจะถูก ไม่ใช่มาบังคับขืนใจกันแบบนี้”
ได้ที ผมก็สั่งสอนแอสตันเป็นการใหญ่ มีเหลือบไปมองไอ้คีธอย่างคาดโทษด้วยเพราะครั้งก่อนผมก็เคยเกือบจะเสร็จมัน ทว่ามันกลับไม่รู้สึกรู้สา พอได้ยินผมพูดอย่างนี้ก็ดันพยักหน้าหงึกหงัก รุมไอ้เจ้าชายด้วยซะอีก
“องค์ชายเป็นถึงผู้สูงศักดิ์ ทำการข่มเหงเช่นนี้จะทำให้ไม่น่าเคารพได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
มึงก็ด้วยบักห่าน! มึงน่ะตัวดีเลย!
“เรารู้ ถึงได้มาขอโทษอยู่นี่ไง นะริชาร์ด ยกโทษให้เรานะ” แอสตันหันมาหาริชาร์ดอีกครั้ง หันมาอย่างเดียวไม่พอ ยังยื่นมือมาให้จับ กะว่าจะเอาไปจูบเป็นการขอโทษตามแบบฉบับของพวกมันด้วย
ริชาร์ดผวาหนัก ไม่ยอมยื่นมือให้ แถมยังดันผมเข้าไปหาแอสตันอีก จนผมต้องหันไปแหวมันเล็กน้อยก่อนจะเดินหนี แอสตันเลยใช้โอกาสนี้เข้ามาฉุดมือริชาร์ดไปจูบ ผมแอบเห็นชัดเจนเลยว่าริชาร์ดขนหัวลุกกับการกระทำนั้นแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก
“กลับห้องกันเถอะ” แอสตันออกปากชวนขณะที่จับริชาร์ดไปไว้ในอ้อมแขนได้แล้ว
สีหน้าริชาร์ดดูเหมือนจะร้องไห้ออกมาให้ได้ บอกเลยว่าผมไม่ช่วย อะไรที่ผมเจอ มันก็ต้องเจอเหมือนกับผม จะได้เข้าใจหัวอกผมสักทีว่าตอนที่ถูกมันล้อนั้น ผมรู้สึกยังไง ทว่าคงจะเป็นโชคดีของมันที่จู่ๆ คีธก็โพล่งขึ้นเสียก่อนที่มันจะถูกเจ้าชายลากกลับไปรวมร่าง
“องค์ชาย หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะทูลปรึกษา”
“อะไรเหรอ”
“เรื่องการตามหาพรรคพวกของเรา”
ได้ยินอย่างนั้น แอสตันก็ยอมปล่อยริชาร์ดที่เอามือยึดกับขอบประตูขืนตัวเองไว้ไม่ยอมไปกับหมอนั่นออกได้ ก่อนเบนความสนใจไปที่คีธ ขณะที่ริชาร์ดวิ่งหนี กลับห้องไปพร้อมล็อคประตูเป็นที่เรียบร้อย
“ว่ามาสิ”
“หม่อมฉันว่าพวกเราสมควรจะตามหาพรรคพวกและปฏิบัติตามเป้าหมายให้บรรลุประสงค์เสียที การมาพึ่งพาโฮสต์ซึ่งเป็นมนุษย์โลกโดยที่พวกเขาไม่เต็มใจอย่างนี้ หม่อมฉันว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำนัก”
จริงๆ มึงก็น่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วเปล่าวะ!
ผมฟังแล้วหัวคิ้วก็กระตุกยิกๆ ขณะที่แอสตันเอียงคอเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด
“ที่นายพูดก็ถูก เราเองก็รู้สึกว่าริชาร์ดไม่ค่อยยินดีกับการเป็นโฮสต์ของเราสักเท่าไหร่นัก”
ก็มึงขืนใจวางไข่มันอย่างนั้น มันจะยินดีกับมึงมั้ยเล่า! ต่อให้ไม่ได้ขืนใจ มันก็ไม่ยินดีเว้ย!
“แล้วนายมีแผนยังไงล่ะถ้าเราต้องไปจากพวกเขา” แอสตันว่าขึ้นอีกครั้ง
พวกเขาที่แอสตันว่าก็คือผมกับริชาร์ดนี่แหละ
“หม่อมฉันว่าจะขอให้องค์ชายไปพึ่งพาพวกไบโทปอีกสักระยะในระหว่างที่เราสืบหาว่าพรรคพวกของเราคนอื่นๆ อยู่ที่ไหน” คีธว่าเสียงเรียบแบบเดียวกับที่บอกผม
ผมลุ้นในใจเลยว่าขอให้แอสตันตอบตกลง หมอนั่นนิ่งคิดไปครู่ ก่อนจะว่าเสียงแผ่วประหนึ่งเสียดาย
“ถ้านายพูดอย่างนั้นก็คงช่วยไม่ได้ ไปพึ่งพาพวกไบโทปก็ได้”
ได้ยินอย่างนั้น ผมก็แทบจะแหกปากร้องอย่างดีใจทันทีที่จะได้เป็นอิสระ แต่ก็ดีใจได้แค่ครู่เดียวเท่านั้นแหละเมื่อแอสตันพูดขึ้นมาอีก
“แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเราไม่รู้ว่าพวกไบโทปอาศัยอยู่ที่ไหนนี่สิ พวกนั้นพักไม่เป็นหลักแหล่งซะด้วย อย่างที่นายรู้นั่นแหละว่าพวกไบโทปเป็นพวกเก็บตัว การตามหาตัวคงต้องใช้เวลาหาที่อยู่ของพวกนั้นสักระยะ”
ฟังแล้วผมถึงกับอ้าปากค้าง พอได้สติ ก็รีบแทรกขึ้นถามขณะที่คีธพยักหน้ารับคำพูดของแอสตัน
“แล้วก่อนหน้านี้นายมาที่ไนต์คลับได้ไงวะถ้าไม่รู้ว่าพวกนั้นอยู่ไหนน่ะ”
“อ๋อ เราออกมาตอนกลางคืนเป็นปกติอยู่แล้ว มาตามหาพรรคพวกนี่แหละ ปกติพวกไบโทปจะมารับมาส่งเรา แต่พอเรามากับพวกนาย พวกนั้นก็คงจะหาเราไม่เจอ”
แล้วมึงจะตามพวกกูมาทำไมวะ!
“เอาเป็นว่าเราจะรีบหาพวกไบโทปให้เจอแล้วไปจากพวกนายแล้วกัน ไม่ต้องเป็นห่วง” แอสตันแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับ
ผมพยักหน้าเออออไปอย่างไม่มีทางเลือก เอาเถอะ อย่างน้อยๆ พวกมันก็คิดจะไปกันสักที ไม่อย่างนั้นการเป็นคนไข้โรงพยาบาลบ้าคงไม่ไกลเกินเอื้อมแน่ๆ
อย่างที่บอกว่าแอสตันกับคีธมีแผนว่าจะไป ผมจึงปล่อยให้พวกมันทำตามใจปรารถนา ...หมายถึงยอมเป็นแหล่งอาหารให้อย่างง่ายดายน่ะ ไม่ใช่เรื่องผูกพันอะไรเทือกนั้น
ที่ยอมง่ายๆ ก็เพราะอีกไม่นานผมก็จะเป็นอิสระแล้ว บอกตรงๆ ว่าผมก็แอบใจหายเหมือนกันที่นึกว่าอีกเดี๋ยว ไอ้หน้าตายที่นั่งหัวโด่อยู่ในห้องผมตลอดสองวันที่ผ่านมาก็จะหายไปจากชีวิตเสมือนไม่เคยรู้จักกันแล้ว ทว่าผมก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา ส่วนหมอนั่นก็เหมือนเดิม ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเช่นกัน นอกจากทำหน้าตายแล้วก็ชวนแอสตันออกไปตามหาพวกไบโทปในตอนกลางคืนหลังจากที่ตกลงกับแอสตันได้ เพราะแอสตันบอกว่ามนุษย์ต่างดาวกลุ่มนี้จะยอมเปิดเผยตัวเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางคืนอย่างเดียวเท่านั้น
ส่วนผมกับริชาร์ดก็เริ่มยุ่งจนหัวปั่นเมื่อเช้าวันใหม่มาถึง ด็อกเตอร์มาร์ตินโทรมาปลุกพวกเราแต่เช้าและกำชับส่งท้ายว่าจะส่งรถมารับในอีกครึ่งชั่วโมง ทำเอาผมกับริชาร์ดแทบจะวิ่งผ่านน้ำแล้วแต่งตัวด้วยความเร็วแสงทันที ผมแอบกังวลเล็กๆ เหมือนกันนะที่จะต้องปล่อยมนุษย์ต่างดาวสองตัวไว้เลยจับพวกมันมารวมกันไว้ในห้องเดียว ห้องที่ว่าก็เป็นห้องของผมนั่นแหละ และในส่วนที่เป็นห่วงน่ะ ไม่ใช่เป็นห่วงว่ามันสองตัวจะอยู่ได้หรือไม่ได้ แต่เป็นห่วงว่าพอผมกับริชาร์ดไม่อยู่ มันจะไปจับเอามนุษย์โลกคนอื่นมาเป็นโฮสต์นั่นแหละ และเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจผสมหลอกล่อให้มันอยู่แต่ในห้อง ผมก็เลยยอมสละโน้ตบุ๊กไว้ให้พวกมันใช้ พร้อมกับเปิดไฟล์หนังสารพัดเรื่องที่โหลดมาไว้ให้พวกมันได้ดูกัน
ลืมบอกไปใช่มั้ยว่ามนุษย์ต่างดาวพวกนี้ชื่นชอบการดูหนังของมนุษย์โลกมาก พวกมันบอกว่าเป็นการเรียนรู้อารยธรรมของมนุษย์โลกได้ง่ายดี
พูดมาอย่างนี้ก็เข้าทางผมเลย ผมเลยหยิบยกเอาคำพูดที่เคยรับปากกับคีธว่าจะหาหนังที่เป็นภาษาไทยให้หมอนี่ดูเพื่อฝึกภาษา หมอนี่ก็เลยเลิกทำหน้าเป็นลูกหมาอยากจะตามผมไปที่กองถ่ายฉับพลัน แล้วเบนความสนใจไปที่หนังพวกนั้นแทน ส่วนแอสตันนี่พูดง่าย แค่บอกว่าริชาร์ดเป็นคนจีน ถ้ามันพูดภาษาของริชาร์ดได้ ไม่แน่ว่าริชาร์ดอาจจะใจดีด้วย มันก็ยอมนั่งนิ่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊กทันใด
ว่านอนสอนง่ายมากๆ สอนง่ายกว่าสอนให้หมาฉี่ให้เป็นที่เป็นทางอีกนะบอกเลย
วันนั้นทั้งวันผมก็เลยได้ไปทำงานอย่างสบายใจ จะมีก็แต่ริชาร์ดนี่แหละที่ยังดูเป็นผีตายซากไม่เลิก เหตุผลหนึ่งก็คงเพราะร่างกายยังปรับตัวไม่ได้กับการถูกดูดสารอาหารล่ะมั้ง แต่เหตุผลสำคัญหลักๆ เลยก็คือ มันผวาแอสตันมากกว่า แต่ก็ช่างเถอะ เดี๋ยวพอไอ้พวกนั้นไปแล้ว ริชาร์ดคงจะโอเคขึ้น
ตอนแรกผมคิดว่างานในวันแรกคงจะไม่หนักหนาสาหัสมาก แต่เอาเข้าจริงคงต้องพูดเลยว่านรกชัดๆ ผมกับริชาร์ดถูกใช้ต้องทำทุกอย่างตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบจนชักไม่แน่ใจว่ามาเป็นลูกมือของผู้ช่วยผู้กำกับ หรือมาเป็นแรงงานทาสกันแน่
ก็อย่างว่าแหละ นี่มันฮอลลีวูดนี่นา งานที่ทำจะมากิ๊กก๊อกอะไรแบบที่เคยทำๆ มาคงเป็นไปไม่ได้
กว่าจะกลับถึงห้องก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน ผมเป็นคนแรกที่เข้าไปในห้องเพราะริชาร์ดขอแวะไปซื้อเครื่องดื่มชูกำลังก่อนด้วยวันนี้หมอนั่นรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียพลังงานไปมากเกินกว่าร่างกายจะรับไหว ผมเลยฝากให้มันซื้อเผื่อแล้วเอามาให้ที่ห้องด้วย ขณะที่ตัวเองกลับมาที่ห้องก่อนด้วยเป็นห่วงคีธกับแอสตันว่าจะก่อปัญหา
และพอผมเข้ามาในห้อง สายตาก็ปะทะเข้ากับมนุษย์ต่างดาวสองตัวนั่งจ้องหน้าจอโน้ตบุ๊กเหมือนเมื่อเช้าตาไม่กะพริบขณะที่หน้าจอมีหนังสัญชาติจีนเรื่องหนึ่งเล่นอยู่ ผมจำได้ว่ามันเป็นหนังอีโรติกอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก นอกจากโล่งใจที่มันสองคนไม่ได้ก่อปัญหาอย่างที่คิด พลางปรายตามองไปที่พวกมันเท่านั้น
“เฮ้” ผมถอดเสื้อแจ็คเก็ตและวางกระเป๋าลงพร้อมกับร้องทักขึ้น
หากแต่ไม่มีใครเหลียวมามอง ยิ่งกำลังถึงฉากเข้าพระเข้านางของหนังเรื่องนั้นด้วยแล้ว พวกมันก็เมินผมราวอากาศธาตุไปโดยปริยาย มิหนำซ้ำยังกอดอกดูอย่างใจจดใจจ่ออีกด้วย
แม่ง พวกมึงจะสมาธิสูงกันไปไหนเนี่ย!
“เฮ้ย เรียกนี่ไม่ได้ยินหรือไง”
พอผมทักขึ้นอีกครั้ง ทั้งคู่เลยละสายตาจากจอโน้ตบุ๊กหันมามองได้ ก่อนที่แอสตันจะร้องทักผมตอบบ้าง
“ไงกวินทร์ กลับมาแล้วเหรอ เหนื่อยมั้ย”
“นิดหน่อย” ผมว่า “แล้วพวกนายล่ะเป็นไง ฝึกภาษาไทยได้เรื่องมั้ย พูดได้ยัง” ผมทักกลับอย่างไม่ใส่ใจนักขณะที่มือก็ถอดเสื้อชุ่มเหงื่อออก กะว่าจะเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่เสียหน่อยด้วยเสื้อตัวนี้เหม็นอับสุดกำลัง
คีธกับแอสตันพยักหน้าตอบรับกันรัวๆ เมื่อผมเข้าเรื่อง ก่อนที่แอสตันจะเป็นฝ่ายเปิดฉาก ยิงภาษาไทยใส่ผมอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ข้าจดจำคำศัพท์ของชนชาติเอ็งได้แล้วอ้ายกวินทร์ ภาษาของเอ็งมิยากนักต่อการเรียนรู้ ใช้เวลาเพียงมินาน ข้าก็พูดได้ประหนึ่งเป็นภาษาตัว ใช่หรือไม่อ้ายคีทาเย”
"ใช่พระพุทธเจ้าข้า”
ผมที่กำลังจะขว้างเสื้อทิ้งลงตะกร้าหันขวับไปมองทันทีที่ได้ยินสำนวนแปลกๆ หลุดออกมาจากปากพวกมัน ก่อนย่นคิ้วถามอย่างเอะใจว่าพวกมันจะพากันไปดูหนังโบราณมา
“พวกนายดูหนังเรื่องอะไรกันมาน่ะ” ถึงจะเอะใจแต่ผมก็ถามออกไปเพื่อความมั่นใจ
“ข้าก็จำมิได้ดีนัก มีนามว่ากระไรนะอ้ายคีทาเย เอ็งจำได้หรือไม่” แอสตันว่าพลางหันไปถามคนข้างๆ
“ข้าพระพุทธเจ้าเองก็จำมิได้ดีนักพระพุทธเจ้าข้า”
จากที่เหนื่อยๆ อยู่แล้ว ผมก็มีอาการปวดหัวหนึบขึ้นมาอีกอย่างด้วยพอได้ยินมนุษย์ต่างดาวสองตัวนี้คุยกันไปมา พลันเดินไปแทรกกลาง ปิดหนังที่กำลังเล่นอยู่บนหน้าจอโน้ตบุ๊กแล้วเปิดไฟล์หนังที่ผมทิ้งไว้ให้พวกมันดูอยู่ทันที
“ไหน ชี้ให้ดูหน่อยซิว่าดูเรื่องไหน”
คีธเป็นคนชี้ ผมมองตามปลายนิ้วเรียวแล้วก็ต้องตบหน้าผากตัวเองดังเพียะ
พวกมึงจะดูพระนเรศวรกันทำไมเนี่ย! กูให้มึงดูหนังร่วมสมัยโว้ย! มิน่าพูดจาอย่างกับหลุดมาจากสมัยพ่อขุนฯ ปวดประสาทกับพวกมันจริง!
“แม้นเรื่องราวจะยาวนานและใช้เวลาในการพินิจไปหลายชั่วยาม กระนั้นพวกข้าก็เข้าใจได้เร็วแม้ได้ยินภาษาของเอ็งเพียงกระผีกเดียว เอ็งมิต้องห่วงไปดอก จากนี้ข้ากับอ้ายคีทาเยจะเจรจากับเอ็งเป็นภาษาของเอ็ง” แอสตันว่าขึ้นมาอีก พอสิ้นเสียง คีธก็พยักหน้ารับน้อยๆ
พวกมึงไม่ต้องเลย กลับไปพูดภาษาอังกฤษเดี๋ยวนี้!
ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร ริชาร์ดที่หิ้วขวดเครื่องดื่มชูกำลังและของกินอีกนิดหน่อยก็เดินเข้ามาในห้อง สายตาของแอสตันจึงละไปยังหมอนั่นทันที ก่อนจะขยับริมฝีปากถามด้วยน้ำเสียงเริงรื่น
“ริชาร์ด หนี่ฮุยไหลเลอม่ะ? เล่ยม่ะ? (ริชาร์ด นายกลับมาแล้วเหรอ? เหนื่อยมั้ย?)
ริชาร์ดชะงักกึกเมื่อได้ยินภาษาบ้านเกิดตัวเองแบบชัดถ้อยชัดคำจากปากของแอสตัน ถุงกระดาษที่ถืออยู่ในมือเกือบจะร่วงลงพื้นถ้าผมไม่รีบเข้าไปประคองเสียก่อน ขณะที่มันหันไปมองยังต้นเสียงอย่างตกตะลึง แล้วครางออกมาเป็นคำหยาบภาษาจีนที่ผมได้ยินมันอุทานบ่อยๆ
“ชะ...เช่าหนี่มา...” (วะ...เวรอะไรวะนั่น...)
แต่แอสตันไม่สะทกสะท้าน ยังพูดออกไปอีกให้ริชาร์ดได้ตาเหลือก
“หว่อเสียงหนี่ หนี่เสียงหว่อม่ะ?” (คิดถึงจัง นายคิดถึงเรามั้ย?)
ผมรู้นะว่าที่แอสตันพูดแปลว่าอะไร ก่อนจะหัวเราะในลำคอ
กูว่าอีกไม่นาน พวกมึงต้องได้กันแน่ๆ ไม่รอดแน่มึงไอ้ริชาร์ด...
ริชาร์ดมองหน้าแอสตันเลิ่กลั่ก ก่อนจะรีบบอกลาผมอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวฉันกลับห้องก่อนนะ”
“เอ้า แล้วของกินนายล่ะ” ผมท้วงเมื่อเห็นมันทำท่าจะผลุบออกจากห้อง
“ไม่เอาแล้ว ไม่กิน จะนอนเลย เหนื่อย” มันว่ารนๆ
ผมรู้ว่าที่มันลุกลี้ลุกลนกลับห้องเนี่ย ไม่ใช่เพราะว่าเหนื่อยหรอก แต่เป็นเพราะมันกลัวว่าจะโดนแอสตันจู่โจมต่างหาก แต่มันคงจะลืมไปว่าหนีไปก็เท่านั้น อย่างไรซะ แอสตันก็ตามไปดูดปากมันอยู่ดี
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อริชาร์ดหายออกจากห้องไป แอสตันก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้
“เราหิวแล้วล่ะคีทาเย ริชาร์ดมาแล้ว เรากลับก่อนนะ”
คีธค้อมตัวให้เล็กน้อยก่อนแอสตันจะโบกมือลาผมแล้วออกจากห้องไป อึดใจเดียว เสียงร้องโหยหวนของริชาร์ดก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน ก่อนจะหายเงียบไปเช่นกัน ผมเดาได้เลยว่าตอนนี้มันนอนแห้งเป็นผักไปเรียบร้อยแล้ว