Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59  (อ่าน 134992 ครั้ง)

ออฟไลน์ anawas

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
เอาไว้มาเล่นจริงที่บ้านก็ได้มั๊ง คีธ   :z1: :hao6:

ออฟไลน์ Youi_chin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 166
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2

ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
ตายแน่กวินทร์เอ๋ย ตายคาอกคีทนะ  :laugh:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ตัวอย่างตอนพิเศษแก๊งเกรียนเอเลี่ยน [5]
ตัวอย่างตอนพิเศษแก๊งเกรียนฯ ตอนใหม่มาแล้วค่า เป็นตอนของแอสตันกับริชาร์ดนะ
อันนี้เป็นตอนย้อนอดีตไปตอนที่ทั้งคู่ได้กันครั้งแรกค่ะ แล้วก็ตอนหนังสดในตำนาน 555
เล่าย้อนอดีตแค่นั้นค่ะ ส่วนครึ่งหลังก็เป็นเนื้อหาใหม่นะ
ใหม่ยังไงไม่บอก ไปตามหนังสือเอานะจ๊ะ XD
--------------------------------------------------


Special Episode 05 [Aston & Richard]: When a prince crushes on me
พอเปิดประตูมาเห็นหน้าแอสตัน ผมก็รู้ทันทีเลยว่าไอ้เวรเควินมันเล่นผมแล้ว
“ไงริชาร์ด”
ไงบ้าไงบออะไร! ฝันแน่ๆ นี่ต้องฝันไปแน่ๆ!
ฝันหรือไม่ฝันก็ไม่รู้ ที่รู้ๆ คือผมปล่อยโทรศัพท์ในมือทิ้ง ผลักประตูปิดด้วยความไวระดับพระกาฬ แต่แอสตันมันเป็นมนุษย์ต่างดาวไง มีพละกำลังมากกว่าด้วย แค่ผมผลักประตูปิด ประตูยังไม่ทันจะล็อค มันก็ผลักคืนมาแล้วก็แทรกตัวเข้ามาในห้องแล้ว
เสียงประตูปิดดังกริ๊กทำเอาผมลอบกลืนน้ำลาย ถอยกรูดไปมองซ้ายขวา หาอะไรมาไว้ป้องกันตัวทันที แต่ที่นี่ไม่ใช่อพาร์ตเม้นต์ที่นิวยอร์กของผมไง เลยไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ที่จะเอาไว้ป้องกันตัวเองได้เลยสักนิด เท่าที่เห็นก็มีแต่กระเป๋าเสื้อผ้าที่วางอยู่บนพื้นเท่านั้น
“คิดถึงจังเลยริชาร์ด” แล้วมันก็โพล่งขึ้นมา ส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจมาให้ด้วย
ถ้าเป็นก่อนที่ผมจะรู้ว่ามันไอ้เด็กเวรนี่เป็นมนุษย์ต่างดาวและจัดการวางไข่ใส่ผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็คงจะคิดว่ารอยยิ้มนี่โคตรจะน่ารักเลย แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ยิ้มมาอย่างนี้ ต้องมีแผนอะไรแน่
“นะ...นายจะเอาอะไร” ในเมื่อหาของมาใช้เป็นอาวุธไม่ได้ ผมก็รีบวิ่งไปหลบหลังเก้าอี้ สองมือจับพนักพิงมั่น กะว่าถ้ามันพุ่งเข้ามา ก็จะฟาดมันด้วยเก้าอี้นี่แหละ
แต่แอสตันไม่หือไม่อือกับท่าทางหวาดกลัวของผม มองแล้วก็ยิ้มไม่เลิก
“ไม่ได้เอาอะไร แค่บอกว่าเราคิดถึงนายเฉยๆ” แล้วก็ตามมาด้วยภาษาจีน “หว่อเสียงหนี่ (คิดถึงจัง)”
ผมไม่บ้าจี้ไปกับมัน ระแวงมันมากกว่าเดิมอีก เท่าที่เห็น มันไปมีโฮสต์ใหม่เป็นไอ้เด็กเปรตที่ชื่อเบนแล้วนี่นา จะมารุงรังกับผมอีกทำไม!
“ถะ...ถอยออกไปเลย ฉันไม่สนุกด้วยนะ” ผมร้องขู่ ทำท่าจะยกเก้าอี้ฟาดมันด้วยจริงๆ ถ้ามันก้าวเข้ามาใกล้
ทว่าแอสตันกลับไม่ยี่หระ เอียงคอมองผม ทำปากยื่นๆ แล้วก็พูดออกมา
“ริชาร์ดใจร้ายจัง เราคิดถึงนายจะตาย ยังใจร้ายกับเราอีก” ตอนนี้มันเริ่มพูดภาษาจีนแล้วล่ะ
บอกตรงๆ เลยว่าผมไม่ได้ดีใจหรือใจอ่อนกับการที่มันพูดภาษาบ้านเกิดกับตัวเองสักนิด ก่อนจะรีบร้องห้ามเมื่อเห็นมันย่างสามขุมเข้ามาหา
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย อย่าเข้ามา!”
แอสตันฟังซะที่ไหนล่ะ ยิ่งห้ามก็ยิ่งก้าวเข้าใกล้ ผมเลยรีบมองหาลู่ทาง ก่อนจะสบโอกาสวิ่งหนีเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ ทว่าวิ่งเข้าไปได้แค่ขาข้างเดียว ขาอีกข้างก็ถูกคว้าเอาไว้จนล้มคว่ำไปกับพื้น แรงกระแทกบนพื้นกระเบื้องทำเอาผมเบ้หน้าเหยเก หันไปมองก็เห็นว่าสาเหตุที่ผมล้มไม่เป็นท่า เป็นเพราะถูกแอสตันสไลด์พุ่งเข้ามาคว้าข้อเท้าไว้
“เราคิดถึงนายจริงๆ”
คิดถึงก็คิดถึงเฉยๆ ไม่ต้องทำร้ายร่างกายกันได้มั้ยเล่า!
อันตรายแล้ว อันตราย ไอ้เจ้าชายต่างดาวนี่มันดูท่าจะออมแรงไม่เป็นด้วยแฮะ ขืนยอมให้มันแตะเนื้อต้องตัวไปมากกว่านี้ รับรองเลยว่ามันจะต้องฆ่าผมทิ้งแน่ๆ แค่โดนมันวางไข่กับสูบสารอาหาร ผมก็รู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นแล้ว!
ยิ่งคิด ความกลัวก็ยิ่งเข้าครอบงำ ผมลืมสิ้นความกลัวทั้งหมด สะบัดขาหนีจากการเกาะกุม ปากก็ร้องโวยวายไปด้วย
“ปล่อยนะเว้ยไอ้มนุษย์ต่างดาว! บอกให้ปล่อย!”
พยายามจะใช้ขาข้างที่ว่างอยู่ถีบมันให้มันปล่อย ทว่าการกระทำนั้นช่างเป็นความโง่เขลา แค่ยกขาถีบโดนอกมันไปที มันก็ใช้มือข้างที่ว่างอยู่คว้าข้อเท้าผมหมับ กลายเป็นว่าตอนนี้ผมโดนมันจับข้อเท้าทั้งสองข้างไปแล้ว
“ยอมให้จับตัวง่ายๆ แบบนี้แต่แรกก็สิ้นเรื่อง”
เดี๋ยว! ไม่ได้ให้จับเว้ย! นี่คือการดิ้นรนเอาตัวรอด เห็นท่าทางแล้วไม่รู้หรือไงวะ!
ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรสักแอะ แอสตันก็โพล่งขึ้นมาซะก่อน
“อย่ามัวมานอนหน้าห้องน้ำเลย ไปนอนบนเตียงเถอะ”
“เดี๋ยว! เหวอ!”
ผมร้องได้เท่านั้นแหละ ก่อนที่ตัวจะลอยหวือขึ้นในอากาศและหล่นกระแทกฟูกเตียงเต็มแรง ที่ลอยหวือเป็นเพราะไอ้บ้าแอสตันจับข้อเท้าผมแล้วออกแรงเหวี่ยงมายังเตียงน่ะ
หะ...ให้ตาย อุ้มก็ได้ ไม่ก็บอกให้เดินก็ได้ อย่าคิดว่าฉันจะถึกเหมือนมนุษย์ต่างดาวอย่างนายนะเว้ย!
ถึงใต้ร่างจะเป็นฟูกนุ่ม แต่โดนกระแทกไปเต็มแรงก็เล่นเอาจุกไปเหมือนกัน กระนั้นผมก็พยายามจะลุกขึ้นหนีตายอีก ทว่าแอสตันไวกว่า พุ่งเข้ามาคร่อมร่างผมเอาไว้ ถือวิสาสะหอมแก้มซ้ายขวาอีกด้วย
“คิดถึงจัง”
ผมเบิกตาโตเลย ส่วนมันก็พร่ำบอกว่าคิดถึงไม่เลิก จนตอนนี้ผมชักจะรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเป็นบ้าละ
“พูดอะไรบ้างสิริชาร์ด อย่าเอาแต่มองเราตาค้างแบบนั้น เราคิดถึงนายนะ”
แล้วจะให้ฉันพูดอะไรเล่า! มาถึงแม่งก็พูดแต่คิดถึงๆ จับกดอีกต่างหาก ตั้งตัวไม่ทันนะเว้ย!
“พูดสิริชาร์ด พูดอะไรกับเราหน่อย”
พอเห็นผมไม่ยอมพูดสักที แอสตันก็คะยั้นคะยออีกครั้ง ดวงตาสีเทาสว่างของมันที่จ้องหน้าผมอยู่ดูเว้าวอนเหลือเกิน ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่ดี ตอนนี้คือกลัวมันจับจิตจับใจมาก และก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมันประทับจูบลงมาบนริมฝีปากผมเบาๆ ทีหนึ่ง ปากก็พึมพำไปด้วย
“ริชาร์ด... รู้มั้ยที่เราคิดถึงนายมากขนาดนี้เป็นเพราะเราชอบนาย”
วะ...เวรแล้ว อะไรวะเนี่ย!
ผมเบิกตาโตยิ่งกว่าเดิม สมองเหมือนได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนไม่ทำงาน
“พูดอะไรบ้างสิริชาร์ด”
เพราะผมเอาแต่เงียบ แอสตันก็เลยใจเสีย ดูได้จากสีหน้ากระอักกระอ่วนของมัน คือเอาตรงๆ นะ ที่ผมนิ่งจนพูดไม่ออกเนี่ย เป็นเพราะไม่เชื่อหูว่ามนุษย์ต่างดาวกำลังสารภาพรักกับผม ที่สำคัญ มันดันเป็นผู้ชาย และเป็นเด็กอายุสิบแปดที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ถ้าผมได้กับมันไปนี่จะไม่โดนข้อหาพรากมนุษย์ต่างดาวผู้เยาว์หรือไงวะ!
“ริชาร์ด... พูดอะไรหน่อย”
ผมเงียบจนแอสตันเริ่มกังวล ยื่นมือมาแตะข้างแก้มผมเบาๆ เป็นการเรียกสติ ผมสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง มองหน้ามันอย่างหวาดหวั่น ก่อนจะตัดสินใจเปล่งเสียงออกมา
“อะ...แอสตัน...”
“หืม?”
“กะ...กัญชา... ขอกัญชา”
แอสตันชะงักไป ทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจ ส่วนผมก็มือไม้สั่นขึ้นมากะทันหัน
มะ...ไม่ได้ลงแดงนะ แต่แค่คิดว่าควรดูดเพื่อให้หลับๆ ไป ฝันร้ายตรงหน้าจะได้หายไปสักที
หากแต่แอสตันไม่ยอมหยิบซองบุหรี่ยัดไส้กัญชาที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงให้ผม แค่เหลือบไปมองแล้วก็ยิ้มเผล่
“เรามีของดีกว่ากัญชาให้นายดูดนะริชาร์ด”
“อะ...อะไร”
โคตรไม่ไว้ใจมันเลย ยิ่งมันพูดมาอย่างนี้ก็ยิ่งระแวง แล้วก็ระแวงหนักขึ้นไปอีกเมื่อมันคว้ามือผมที่ถูกจับอยู่ลงต่ำ ก่อนจะแตะหมับลงบนอะไรบางอย่างที่คิดว่าน่าจะเป็นผ้า... ผ้ายีนส์...
เดี๋ยว… ผ้ายีนส์... มันเป้ากางเกงไอ้เด็กเวรนี่นี่หว่า!
“ทำอะไรของนายเนี่ย!”
ผมรีบชักมือออกทันที แต่แอสตันไม่ยอมปล่อย จ้องหน้าผมแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ก็นายร้องหากัญชา ฉันก็เสนอของดีกว่าให้ไง... บ้องกัญชา”
ฟังแล้วก็ถลึงตาใส่มันเต็มที่ ถลึงตาหนักกว่าเดิมเมื่อบ้องกัญชาของแอสตันเริ่มขยายตัวตามธรรมชาติ
บะ...บ้องกัญชาหรือท่อประปา ทำไมมันมโหฬารอลังการอย่างนี้!
โอย...มะ...ไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ไม่ต้องเอากัญชาแล้ว เอาอะไรก็ได้ที่ดูดฟืดเดียวแล้วหลับยาวๆ ไปเลย ไม่อย่างนั้นดูท่าผมคงจะได้ดูดของดีของมันแน่
แต่ไม่ทันละ แค่คิดไม่ทันจบดี แอสตันก็รูดซิปลง จับมือผมสอดเข้าไปด้านในจนไอร้อนจากผิวเนื้อใต้บ็อกเซอร์สัมผัสอุ้งมืออย่างชัดเจน
“ดูดสิริชาร์ด นี่พิเศษสำหรับนายเลยนะ”
หะ...ให้ดูดท่อประปาแบบนี้ ได้เสียเป็นผัวเมียกับเควินยังจะดีกว่าอีกเว้ย!
------------------------------------
ได้เสียเป็นผัวเมียกับกวินทร์สิหายนะ ไม่รู้ใครจะผัว ใครจะเมีย
กวินทร์เป็นเมียก็แย่ เป็นผัวก็แย่นะ ริชาร์ดโดนข่มตาย 555
รออ่านตัวอย่างตอนพิเศษของริชาร์ดกับแอสตันตอนหน้าอีกตอนนะคะ

ออฟไลน์ PiSCis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
โดนท่อประปาอย่างนี้มิน่าล่ะ...  :z1: :laugh: :hao7:

ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
ต๊ายตาย ท่อประปามีหลายขนาดนะจ๊ะริชาร์ด ของแอสตันนี่ขนาดกี่หุนล่ะตัวเอง :laugh:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ตัวอย่างตอนพิเศษ
แก๊งเกรียนเอเลี่ยน [6]


หายไปปิดต้นฉบับเรื่องอื่นมา ตอนนี้กลับมาแล้วค่า ยังติดปิดต้นฉบับให้ทันงานหนังสืออยู่อีกเรื่องนะ แต่จะพยายามมาอัพเดตตัวอย่างตอนพิเศษเรื่อยๆ ค่ะ ยังไม่หายไปไหนเน้อ
ส่วนตัวอย่างตอนพิเศษตอนหน้าก็เป็นตอนพิเศษของซีเลนกับสองพี่น้องเปรตแล้วน้า จากนั้นก็เจเนซิสกับลาร์คโอป้าตามระเบียบ (คู่หลังสุดนี่คือคู่ที่รอคอย 555)
รอติดตามกันนะคะ
ปล.กระซิบบอกกันหน่อยว่าใครที่สั่งจองแก๊งเกรียนฯ รอบแรก หนูแดงมีเซอร์ไพรส์นะ แต่ขออุบไว้ก่อนเน้อ
-------------------------------------


[Sample] Special Episode 06 [Aston & Richard]: Big surprise with pajamas

ปกติแล้วแอสตันไม่ใช่คนเงียบขรึมแบบนี้ แต่พักนี้ค่อนข้างจะเงียบ
เงียบจริงๆ เงียบผิดปกติ ขนาดผมทัก...
“อรุณสวัสดิ์ที่รัก...”
แค่นั้น... ยังเดินหนีผมเลย
จริงๆ ก็ไม่เรียกว่าเดินหนีหรอก เรียกว่าเมินมากกว่า เมินแบบถามคำตอบคำด้วย เป็นอะไรก็ไม่พูด เอาแต่บอกว่า ‘ช่างมันเถอะ เราไม่ได้เป็นอะไร’ ผมเลยต้องมานั่งคิดหัวแทบแตกว่าก่อนหน้านี้ได้ไปทำอะไรให้แอสตันโกรธหรือเปล่า แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ก็ช่วงนี้ผมกับแอสตันตัวติดกันหนึบเป็นกาวสองหน้าทุกวันเลยนี่นา ผมไปทำงานที่กองถ่าย แอสตันก็ไปด้วยเพราะมีฉากต้องถ่ายทำ จะว่าผมไปกิ๊กกั๊กกับใครหรือทำให้แอสตันเข้าใจผิดก็ไม่มีซะด้วย
ก็แน่ล่ะ ผมไม่ใช่เควินซะหน่อยที่จะได้มั่วไปเรื่อยอย่างนั้นน่ะ ถึงตอนนี้มันจะไม่ได้มั่วเพราะมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้วก็เถอะ
แต่เอ... ตกลงผมทำอะไรให้แอสตันโกรธกันนะ
“ผู้กำกับครับ นักแสดงพร้อมเข้าฉากแล้ว” เสียงของลูกมือในกองถ่ายดังขึ้น เรียกให้ผมที่นั่งขบคิดอยู่หลุดออกจากภวังค์ พยักหน้าให้เป็นสัญญาณว่าเริ่มได้
เท่านั้น บรรดานักแสดงก็มารอเตรียมความพร้อมเข้าฉาก ผมอธิบายนิดหน่อยว่าจะต้องทำอะไรบ้าง จริงๆ ฉากที่กำลังจะถ่ายทำนี่ก็ไม่มีอะไร แค่ฉากเลิฟซีนของพระ-นางธรรมดาๆ แต่ฉากนี้ใช้เวลาถ่ายมาหลายวันแล้ว ปัญหาก็คือนักแสดงที่มารับบทนางเอกยังเป็นหน้าใหม่ ไม่สันทัดกับการเข้าฉากแบบนี้
ผมก็ติวคิวแสดงให้ไปตามเรื่อง สายตาก็เหลือบมองแอสตันที่นั่งรอเข้าฉากต่อไปไปด้วย หมอนั่นทำหน้านิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ จนผมเกือบจะคิดไปแล้วว่าหมอนี่เป็นคนเงียบขรึมแบบคีธ แต่จริงๆ ไม่ใช่ไง แอสตันเป็นคนยิ้มง่าย พอมาเงียบใส่แบบนี้ ผมก็กังวลขึ้นมาไม่ได้
เป็นอะไรของหมอนี่กันนะ
“ทราบแล้วครับผู้กำกับ เดี๋ยวผมจะช่วยเธอบิวท์อารมณ์เอง”
ผมได้สติอีกครั้งก็ตอนนักแสดงนำชายขานรับที่ผมสั่งไปเมื่อครู่ ก่อนหันไปยิ้มกับนักแสดงนำหญิงที่ยิ้มแหยให้ผม
“หวังว่าวันนี้คงจะผ่านฉลุยนะ จะได้ถ่ายฉากอื่นกันต่อซะที” ผมว่า ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่
พอสั่งคัท การแสดงก็เริ่มดำเนินไปทันที เริ่มจากนักแสดงชายเริ่มจูบนักแสดงหญิง พาไปที่เตียงและเริ่มบรรเลงบทเลิฟซีน ผมมองการแสดงผ่านจอมอร์นิเตอร์แล้วก็ต้องย่นคิ้วด้วยความหงุดหงิด ฝ่ายชายน่ะแสดงดีไม่มีพลาดสักจุด ที่หงุดหงิดเลยเป็นเพราะฝ่ายหญิงที่เอาแต่ประหม่าจนภาพออกมาไม่เป็นธรรมชาติ สุดท้ายแล้ว ผมก็ต้องสั่งคัท
“คัทๆ! พอก่อน เล่นแข็งทื่อมากเลยให้ตาย เธอเป็นนางเอกหรือท่อนไม้กันแน่เนี่ย ฉากนี้ถ่ายกันมาหลายวันแล้วนะอลิซ เอาให้ผ่านซะทีเถอะ” ผมว่าอย่างหัวเสีย เดินเข้าไปหานักแสดงทั้งคู่ขณะที่ฝ่ายหญิงทำหน้าจ๋อยขึ้นมา
“ขอโทษค่ะ” แล้วก็ตามมาด้วยทำหน้าจะร้องไห้
ผมเห็นแล้วก็ต้องลอบถอนหายใจ เมื่อวานเธอก็ทำแบบนี้ หนักสุดเลยคือระเบิดร้องไห้กลางกองถ่ายโดยอ้างว่าผมกดดันมากเกินไป จบลงที่การถ่ายทำดำเนินต่อไปไม่ได้ ต้องเก็บข้าวของไปรอถ่ายวันอื่นแทน ทว่าไอ้วันอื่นที่ว่าก็คือวันนี้นี่แหละ ดูท่าทางจะถ่ายต่อไปไม่ได้อีกแล้วด้วยเมื่อผมเห็นว่าเริ่มมีหยดน้ำตาเม็ดใสร่วงเผาะจากดวงตาคู่สวย
“ขอ...ขอโทษจริงๆ ค่ะ” เธอเริ่มสะอึกสะอื้นละ
ผมเห็นแล้วก็ยกมือเป็นเชิงไม่เป็นไร รีบคลายความหัวเสียก่อนที่เธอจะร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังจนงานไม่เดินอีก
“ไม่ต้องร้อง แค่นี้เอง เอางี้ เดี๋ยวฉันสาธิตให้ดู แล้วเธอทำตามโอเคมั้ย มีตัวอย่างให้ดูแล้วจะได้เล่นตามได้ง่ายๆ” ผมเสนอขึ้นมา
อีกฝ่ายหยุดร้องไห้ทันที พยักหน้าหงึกหงักเป็นพัลวันด้วย
“หมายถึงผู้กำกับจะเข้าฉากเลิฟซีนกับผมเหรอครับ” นักแสดงชายเป็นคนถาม ผมเลยพยักหน้า
“อือ ไม่มีทางเลือกแล้วนี่”
“แต่เมื่อวาน เราก็ทำนะ เมื่อวานก่อนก็ด้วย”
ผมนิ่งไป จริงอย่างที่หมอนี่พูด สาธิตให้ดูหลายรอบจนจะได้เสียเป็นผัวเป็นเมียกันแล้ว ยัยนักแสดงนี่ก็ยังเล่นได้ไม่ดีตามที่ผมต้องการเลยเถอะ แต่ช่วยไม่ได้ หลุดปากออกไปแล้วก็ทำๆ ไปให้จบๆ แล้วกัน
“มาทำอีกครั้งแล้วกัน จะได้เสร็จกันซะที” ผมว่าปัดๆ นักแสดงชายก็เลยพยักหน้าโอเค
แค่นั้น ผมก็เรียกให้นักแสดงหญิงลุกขึ้น พลันเป็นฝ่ายทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแทนที่ แล้วก็เรียกให้นักแสดงชายมาคร่อมตัวเอาไว้
“มันก็ไม่ยากนะฉากเลิฟซีนเนี่ย แค่เธอทำให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ตอบสนองกับสัมผัสให้เหมือนกับเวลามีอะไรกันจริงๆ แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว” แล้วผมก็กวักมือเรียกให้นักแสดงชายโผเข้าหา
หมอนั่นกดผมลงบนเตียง ลากไล้จูบลงบนต้นคอ ส่วนผมก็ปล่อยตัวปล่อยใจให้แสดงท่าทางออกมาตามธรรมชาติ เสียงอืออาหลุดจากริมฝีปากผมอย่างเผลอตัว ผมก็ไม่ได้สนใจสายตาของคนอื่นๆ ที่มองมาอย่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นผู้กำกับกระโจนลงมาสาธิตด้วยตัวเองแบบนี้เท่าไหร่หรอก หนำซ้ำนักแสดงที่ประกบคู่ด้วยก็เป็นผู้ชาย ทีมงานที่สนิทกับผมรู้กันดีอยู่แล้วว่าผมมีรสนิยมยังไงเลยไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก จะมีก็แต่ทีมงานหน้าใหม่บางคนเท่านั้นที่ยืนมองตาค้าง
นอกจากทีมงานหน้าใหม่ก็มีแอสตันอีกคนที่มองมาที่ผมอย่างตกใจ ก่อนใบหน้าน่ารักจะกลายเป็นปั้นปึ่งทันตา
อ้อ! ผมนึกออกแล้วล่ะว่าแอสตันเมินผมทำไม สงสัยต้องเป็นเรื่องนี้แน่
หึงล่ะสินะ...
คิดได้อย่างนั้น ผมก็ตั้งท่าบอกให้นักแสดงหยุดสาธิต แต่ก็ไม่ทันเพราะแอสตันลุกพรวดเข้ามาหาแล้ว หน้าตาของหมอนั่นตอนนี้ดูเกรี้ยวกราดจนน่ากลัว ผิดกับแอสตันคนเดิมลิบลับ มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง กระชากคนบนตัวผมออก เหวี่ยงไปอีกทางแล้วดึงผมขึ้นจากเตียงทันใด
“ริชาร์ด!” แผดเสียงใส่ผมด้วย ผมสะดุ้งเล็กน้อยด้วยไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้มาก่อน ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงของแอสตันดังขึ้นมาอีก “กลับบ้านเดี๋ยวนี้!”
ไม่ใช่แค่พูดอย่างเดียว ลากผมออกมาจากกองถ่าย ตรงไปยังลานจอดรถโดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากผมที่ร้องบอกตลอดทางว่าทิ้งงานไม่ได้เลยสักนิด พอเปิดรถได้ก็เหวี่ยงผมขึ้นไป ปิดประตูกระแทกใส่แล้วก็เดินมาขึ้นรถฝั่งคนขับ สตาร์ทเครื่องแล้วห้อตะบึงออกไปอย่างรวดเร็ว
“ใจเย็นๆ ก่อนนะแอสตัน มันก็แค่ถ่ายหนัง” ผมพยายามเกลี้ยกล่อมให้แอสตันหายขุ่นมัว ยอมรับเลยว่ายังตกใจอยู่ที่เห็นแอสตันเป็นแบบนี้ ตั้งแต่รู้จักกันมายันมีลูก ผมไม่เคยเห็นแอสตันโกรธแบบนี้มาก่อนเลย นี่นับว่าเป็นครั้งแรกก็ว่าได้
ทว่าแอสตันก็ยังไม่หยุดเกรี้ยวกราด เหยียบคันเร่งมากขึ้นกว่าเดิม ขับฉวัดเฉวียนตัดหน้าคันโน้นที คันนี้ทีจนผมต้องร้องลั่น
“แอสตัน! บอกแล้วไงว่ามันก็แค่ถ่ายหนัง! อย่าคิดมากได้มั้ย แล้วก็ขับรถดีๆ ด้วย พวกเรามีลูกแล้วนะ เดี๋ยวอาร์ก็เป็นเด็กกำพร้าหรอก!”
แอสตันเหลือบมามองผมเอาตอนนี้ ชะลอรถเข้าข้างทางแล้วก็จอด ทำให้ผมหายใจได้โล่งขึ้น
“เรารู้ว่าเป็นการถ่ายหนัง แต่นายเป็นผู้กำกับไม่ใช่เหรอ จะลงไปแสดงเองทำไม” เป็นประโยคแรกที่แอสตันยอมเอ่ยปากกับผมก่อน
ผมหันไปมองแล้วก็ยกมือเสยปอยผมที่ปรกใบหน้ายุ่งเหยิงจากการถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาในรถเมื่อครู่
“นายก็เห็นนี่ว่าแม่นั่นแสดงไม่ได้เรื่องเลย ฉันเลยต้องลงไปสาธิต มันเป็นเรื่องปกติของผู้กำกับอยู่แล้ว”
“แต่มันหลายครั้งแล้วนะริชาร์ด เมื่อวานก็ทีนึง เมื่อวานก่อนก็เหมือนกัน นายจะให้เราคิดยังไง ลองให้นายเป็นเราดูบ้างมั้ย จะได้รู้ว่าเรารู้สึกยังไงที่ชายาของเรามีกลิ่นชายอื่นติดตัวกลับบ้านทุกวัน” แอสตันว่า ถึงสีหน้าจะคลายความกรุ่นโกรธลงบ้างแล้วแต่ก็ยังดูโกรธอยู่
ผมพูดอะไรไม่ออกในตอนนี้ เข้าใจอยู่ว่าประสาทสัมผัสของแอสตันดี ถ้าเป็นผม ได้กลิ่นคนอื่นบนตัวคนรักของตัวเองก็ไม่โอเคเหมือนกันนั่นแหละ
และเพราะคิดย้อนแล้วว่าถ้าเป็นผม ผมก็ไม่โอเค ผมเลยเดินหน้าง้อทันทีอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
“ฉันขอโทษนะแอสตัน สัญญาว่าครั้งหน้าจะไม่มีอีกแล้ว”
หัวคิ้วย่นยู่ของแอสตันคลายออกจากกันทันตา ดูก็รู้เลยว่าอีกนิดเดียวก็จะกลับมาเป็นแอสตันคนเดิมแล้ว แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นนิ่งอยู่ ผมเลยรีบเดินหน้าง้อต่อทันทีด้วยเห็นว่าคงจะง้อไม่ยากนัก
“นะแอสตัน ขอโทษจริงๆ คราวหน้าฉันจะระวังตัวกว่านี้ อย่าโกรธเลยนะ”
แอสตันชำเลืองดวงตากลมสวยมามองผมเล็กน้อย ผมยิ้มให้ แอสตันก็เลยว่าขึ้น
“แล้วนายจะชดใช้ให้ความรู้สึกเรายังไง”
พูดมาอย่างนี้ ผมก็รู้เลยว่าแอสตันต้องการอะไร ผมก็เลยขยับเข้าไปกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู
“กลับไปบ้านก่อนแล้วจะรู้เอง รับรองว่าจะชดใช้ให้สมกับที่ทำนายรู้สึกไม่ดีแน่”
ริมฝีปากหนาหยักยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาจนได้เพราะแอสตันรู้ดีว่าผมหมายถึงเรื่องบนเตียง
“นายนี่นะ ทำเราใจอ่อนทุกทีเลย”
“ก็นายรักฉันนี่” ผมว่ะพลางเชิดจมูกขึ้น
“อืม นั่นสินะ ถ้าไม่รักจะหวงถึงขนาดนี้เหรอ” คราวนี้แอสตันเป็นฝ่ายหันมาหาผมแล้วคว้าต้นคอผมโน้มเข้าไปใกล้ ประกบจูบเบาๆ พลางพึมพำออกมา “ถึงจะไม่มีอะไรให้น่าหึงน่าหวงเลยก็เถอะ แต่เราก็หึงและหวงนายที่สุดเลยริชาร์ด”
เดี๋ยวนะ... ไอ้ที่ว่าไม่มีอะไรให้น่าหึงน่าหวงนี่หมายความว่าอะไรวะ!?
ผมพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะคลายความหัวเสียเมื่อครู่ได้ทันทีที่แอสตันจรดริมฝีปากลงมาบนหน้าผากผม แล้วไล่ไปยังซีกแก้ม ลามเลียไปยังต้นคอ ดูท่าจะมากขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยเมื่อได้ยินเสียงแหบพร่าดังเบาๆ
“แต่เรารอจนถึงเวลากลับบ้านไม่ไหวแล้วสิ”
นั่นไง เริ่มเรื่องแบบนี้ทีไร มนุษย์ต่างดาวพวกนี้อดใจกันไม่เป็นทุกที
“นี่มันข้างถนนนะ แถมยังตอนกลางวันอีกต่างหาก” ผมรีบร้องท้วงทันทีที่รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือลูบเข้ามาใต้เสื้อ แต่แอสตันก็ไม่หยุด
“แต่เราทนไม่ไหวแล้ว ทนเห็นคนอื่นแตะตัวนาย เราก็อยากจะล้างกลิ่นนั้นออกไปให้หมดเร็วๆ”
ดูท่าจะไม่ไหวจริงๆ เพราะพูดไป มือก็เริ่มจับโน่นจับนี่บนตัวผมสะเปะสะปะ ซ้ำยังพยายามจะจรดริมฝีปากลงมาบนยอดอกผมอีก ผมเลยต้องรีบคว้ามือไว้ก่อนที่มันจะดันผมให้เอนราบพิงกับประตูรถอีกฝั่ง
“เราต้องกลับไปถ่ายหนังกันต่อนะ” ผมว่าเสียงเข้มเล็กน้อย แอสตันเลยผละออกจากการวุ่นวายกับร่างกายผมเล็กน้อย
“ไม่ต้องถ่ายได้มั้ย”
“ไม่ถ่ายก็ตกงานสิ ตกงานขึ้นมาแล้วอาร์จะทำยังไง อาร์ยังต้องกินต้องใช้นะ” ผมอ้าง แต่แอสตันก็ยังไม่หยุด
“ไม่เป็นไร ชาวยูนิกมามีทุนเยอะ เดี๋ยวเราไปเบิกมาใช้ส่วนตัว”
อันนี้ผมไม่เถียงว่าพวกยูนิกมามีทุนสำหรับไว้ใช้จ่ายในโลกมนุษย์เยอะเข้าขั้นเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลกได้จริง แต่จะให้มาทำแบบนี้ข้างถนนที่มีรถผ่านไปมา แถมยังกลางวันแสกๆ นี่ก็ไม่ไหวเหมือนกันเว้ย!
ผมรีบดันหน้าแอสตันที่โน้มเข้ามาใกล้หน้าอกออกอย่างรวดเร็ว แอสตันเหลือบมองผมด้วยสายตาขัดใจเล็กน้อย แล้วเอ่ยปาก
“ริชาร์ด... เราทนไม่ไหว...”
“แต่ถ้าอดใจรอกลับไปทำที่บ้านนี่ ฉันมีเซอร์ไพรส์นะ” ผมโพล่งขึ้นก่อนที่แอสตันจะพูดจบ
แอสตันเลิกคิ้วไปนิด “เซอร์ไพรส์?”
“อื้อ เซอร์ไพรส์”
“เซอร์ไพรส์อะไร”
“ชุดนอนไม่ได้นอน”
หมายถึงชุดนอนจำพวกตาข่าย ไม่ก็ซีทรูน่ะ ผมมีอยู่ติดบ้านหลายชุด เอาไว้ใส่เพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้กันและกันเวลาใช้เวลาร่วมกัน แน่นอนว่ามันไม่ใช่ชุดนอนไม่ได้นอนของผู้หญิง สมัยนี้ของผู้ชายก็มีขายกันให้เกลื่อนบนอินเทอร์เน็ตแล้วเถอะ ผมเคยลองใช้กับแอสตันครั้งนึงตอนเราคบกันแรกๆ หลังจากนั้นก็ใช้มาตลอดเวลาเพราะแอสตันบอกว่ามันเร้าใจดี
และเพราะแอสตันไม่พูดอะไรต่อ ผมก็เลยเสริมขึ้น
“ชุดใหม่ด้วยนะ บันนีบอย เพิ่งส่งมาถึงบ้านเมื่อวานนี้ ว่าจะบอกนายตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่นายมัวโกรธอยู่ก็เลยไม่ได้คุยกัน”
พูดแค่นี้ แอสตันก็ชะงักกึก ไอ้ที่พยายามจะกินหัวกินหางผมให้ได้เมื่อครู่ก็ถอยผละไปทันใด
“ก็ได้ เห็นแก่ชุดบันนีบอยนั่นหรอกนะถึงได้ยอม” แล้วก็กลับไปนั่งประจำที่คนขับเหมือนเดิม
ผมหัวเราะออกมาน้อยๆ นี่แหละแอสตัน ตัวจริงต้องพูดง่ายแบบนี้แหละ
แอสตันสตาร์ทรถอีกครั้ง กลับรถขับกลับไปที่กองถ่ายตามเดิม ปากก็พูดไม่หยุดว่าให้ผมรีบถ่ายทำให้เสร็จไวๆ จะได้รีบกลับบ้าน ผมก็ตอบรับไปตามเรื่อง พอถึงกองถ่าย ก่อนจะลงจากรถ แอสตันก็คว้าแขนผมไว้
“ริชาร์ด”
“หือ?”
“คือว่า... ชุดบันนีบอยน่ะ มีหูกระต่ายด้วยใช่มั้ย” ถามยิ้มๆ พลางทำสายตากะลิ้มกะเหลี่ย ยิ่งพอผมพยักหน้าให้ ก็ยิ่งยิ้มเผล่ไม่หยุดเข้าไปใหญ่
“งั้นรีบไปทำงานกันเถอะ เราอยากล่ากระต่ายจะแย่อยู่แล้ว”
เห็นท่าทางร่าเริงแบบนั้นแล้ว ผมก็รู้เลยว่าสงสัยคืนนี้ผมคงไม่ได้นอนแน่
เอ... นี่ถ้าบอกว่านอกจากชุดบีนนีบอยแล้ว ชุดเหมียวน้อยขนฟู กับชุดนางพยาบาลก็มี สงสัยแอสตันคงจะไม่รอช้าที่จะลากผมกลับบ้านแหง
เอาไว้บอกที่บ้านแล้วกัน เซอร์ไพรส์รอบสอง เอ้อ...อันที่จริงก็มีของเล่นด้วยนะ ถ้าบอกไปต้องตกใจแน่ ก็เราไม่เคยลองใช้ของเล่นกันเลยนี่นา
งั้นคืนนี้จะจัดเซอร์ไพรส์ไถ่โทษชุดใหญ่ให้ลืมไม่ลงเลยแล้วกัน

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ตัวอย่างตอนพิเศษแก๊งเกรียนเอเลี่ยน [7]

ตัวอย่างตอนพิเศษของซีเลนกับสองพี่น้องเปรตมาแล้วจ้า
ไม่รู้ทำไมยิ่งเขียนซีเลน แล้วกลับไปอ่านเนื้อเรื่องหลักที่เขียนจบไว้แล้ว ยิ่งรู้สึกว่าซีเลนนี่ไม่ได้หื่นธรรมดา แถมโรคจิตอีก (เกรียนอีกต่างหาก ตัวเกรียนอันดับสองรองจากกวินทร์เลยนะเนี่ย 555)
ตอนพิเศษของซีเลนคนหื่นรับรองว่าต้องแซ่บค่ะ จริงๆ ตัวอย่างตอนนี้เคยอัพให้อ่านไปแล้ว แต่หนูแดงเอามาอัพใหม่นะ ไปแก้ไขเนื้อหามานิดหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะอัพตัวอย่างตอนพิเศษตอนที่ 2 ของซีเลนให้นะคะ 

---------------------------------------------
Special Episode 07 [Zylen & Brooklyn & Ben]: Half-blood prince & Hulk brothers

ผมเหลือบมองร่างบางของสองพี่น้องบรูคลินและเบนที่นอนคว่ำหน้าหมดเรี่ยวแรงในสภาพเปลือยเปล่าบนเตียงไซส์คิงเบดของผมอย่างพึงใจ ก่อนแสยะยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงครางโอดโอยดังออกมาจากริมฝีปากสีสวยของบรูคลินซึ่งอยู่ห่างเพียงช่วงแขน แล้วตามมาด้วยการครางเรียกน้องชายที่นอนหลับตาอยู่ข้างๆ เสียงแผ่ว
“บะ...เบนลิโอ...” บรูคลินพยายามเอื้อมมือไปแตะยังซีกหน้าเหนื่อยอ่อนของเบน หากแต่ผมไม่ยอมให้หมอนั่นได้ทำง่ายๆ คว้ามือบางนั่นไว้ก่อนที่จะสัมผัสบนพวงแก้มใสนั้น
“ทำไม เป็นห่วงน้องชายเหรอ ไม่ต้องห่วงหรอก น้องของนายได้รับการปรนเปรอจากฉันเป็นอย่างดีไม่แพ้กับนาย รับรองว่าปลื้มปริ่มจนแน่นอกแน่นอน” ผมว่าเสียงเจ้าเล่ห์พลางพูดถึงบทรักชนิดฮาร์ดคอร์ที่เพิ่งจะจบลงไปเมื่อครู่
จริงๆ แล้วก็เป็นบทรักธรรมดานี่แหละ ...ธรรมดาสำหรับผม แต่คงจะไม่ธรรมดาของสองพี่น้องไบโทปคู่นี้
บรูคลินตวัดดวงตาปรือมองผมอย่างกรุ่นโกรธ คงจะไม่ได้โกรธเพราะตระหนักได้ว่าผมทำอะไรกับหมอนี่ แต่โกรธเพราะผมไม่ได้ทำกับหมอนี่คนเดียว ทว่าลงมือกับน้องชายวัยกระเตาะที่ผมหิ้วติดมือขึ้นมาบนห้องด้วยต่างหาก
ก็มันช่วยไม่ได้ ผมอดอยากปากแห้งจากกวินทร์มานี่นา อยากจะกินกวินทร์มาตั้งนานแล้วแต่ดันมีไอ้บ้าผู้พิทักษ์นั่นมาขวางตลอด พอมาเจอสองคนนี้ที่แหล่งกบดานยูนิกมา เลยต้องหาที่ระบายกันหน่อย ถึงจะไม่ได้ดูน่าอร่อยเท่ากวินทร์ แต่ก็นับว่าทั้งคู่ทำผมอิ่มท้องไม่น้อย
ไม่สิ... ยังไม่อิ่ม ผมยังกินได้อยู่นะอันที่จริง
 “ไปตายซะซีเลน” บรูคลินรู้ว่าสู้ผมไม่ได้จึงได้แต่ก่นด่า ไม่เรียกว่าองค์ชายอย่างที่ควรจะเป็นด้วย
ผมหยักยิ้ม ชอบเหลือเกินที่ได้เห็นคนอ่อนแออย่างบรูคลินแข็งขืนแบบนี้ และการที่ถูกดวงตาคู่สวยจ้องมองอย่างเคียดแค้น มันก็ทำให้ความกำหนัดในกายผมคุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง และทำท่าว่าจะปะทุออกมาให้ได้จนผมต้องเขยิบเข้าไปคร่อมร่างหมอนั่นเอาไว้จากด้านหลัง ก้มลงจูบแผ่วเบาที่ใบหูพลันกระซิบเสียงเบา
“ถ้าอยากให้ฉันตาย ก็ไปส่งฉันที่สวรรค์อีกรอบสิ” พูดจบ ผมก็ลากลิ้นไล่ลงมาตามลำคอระหง
บรูคลินเกร็งตัวแข็ง พยายามจะดันผมออก แต่ไม่ทันแล้ว ผมตวัดสองมือพยุงเอวได้รูปให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะโถมร่างลงไปในพริบตา
เสียงครวญครางดังออกจากกลีบปากบางจนน่ารำคาญ ไม่แน่ใจว่าครวญครางเพราะสุขสมหรือเจ็บปวดกันแน่ แต่ผมก็ไม่สนใจ กดท้ายทอยคนใต้ร่างให้ฟุบหน้าไปกับฟูกเพื่อเก็บเสียงพลางเคลื่อนไหวลำตัวไปด้วย หากแต่ก็ต้องรำคาญขึ้นมาอีกเมื่อได้ยินเสียงของเบนที่เริ่มจะได้สติขึ้นมาแล้วดังขึ้นมาบ้าง
“ไอ้สารเลว... ปล่อยพี่ฉันนะ” รายนี้ก็ไม่เรียกผมว่าองค์ชายอย่างที่ควรจะเป็นเช่นกัน พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังดันตัวเองขึ้นมารัวกำปั้นใส่ผมเป็นพัลวันด้วย
ผมย่นคิ้วยู่ ละมือจากท้ายทอยของบรูคลินมาผลักเบนเต็มแรงจนเด็กนั่นล้มหงายไปอีกครั้ง เบนพยายามจะลุกขึ้นอีกครั้ง แต่ผมไวกว่า รั้งเอวบรูคลินไปคร่อมหน้าขาของเบนเอาไว้ขณะที่ผมยังคงฝังตัวอยู่ในร่างของหมอนั่น
เบนเบิกตาโตที่เห็นพี่ชายอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บอกเลยว่าสีหน้าอย่างนั้นทำให้ผมยิ่งอยากจะทำให้พรึงเพริดขึ้นไปอีก ก่อนที่ผมจะใช้มือข้างที่ว่างอยู่คว้าที่ส่วนอ่อนไหวของเบน พลางยกยิ้มขึ้นมา
“ฉันปล่อยแน่...นายทั้งคู่ แต่จะปล่อยก็ตอนที่พวกนายทำให้ฉันพอใจได้แล้ว” ว่าจบ ผมก็ขยับมือเล็กน้อย
เบนขืนตัวแต่ก็ไม่สามารถหนีออกไปได้เพราะผมกดร่างบรูคลินให้แนบลงไปบนหน้าขาเล็กนั้น
“นายมันเลว... ปล่อยฉัน...ปล่อยพี่ชายฉันด้วย” เบนว่าเสียงเครือสลับกับครางกระเส่า ใบหน้าแดงซ่านบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้อยากให้ผมปล่อยอย่างที่พูดเลย
ถึงจะอยากให้ปล่อย ผมก็ไม่ปล่อยหรอก ด้วยตอนนี้สีหน้าและน้ำเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากสองพี่น้องนี่เร้าใจชะมัด และผมก็อยากทำให้เบนดูเร้าใจขึ้นไปอีก เร้าใจให้เทียบเท่ากับบรูคลินที่ครางไม่ได้ศัพท์อยู่
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันจะปล่อยไปตอนที่พวกนายทำให้ฉันพอใจได้แล้ว ไม่ต้องห่วงเด็กน้อย ฉันจะทำให้ทั้งนาย ทั้งบรูคลินกระอักความสุขจนตาย”
สิ้นเสียง ผมก็โน้มหน้าผ่านแผ่นหลังบรูคลินไปจัดการกับช่วงล่างของเบนอย่างแผ่วเบา เบนสะดุ้งสุดตัว พยายามดันหน้าผมออกแต่ก็เท่านั้นแหละ ในตอนนี้ทั้งสองคนต่างไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะขัดขืนผมอีกแล้ว แม้แต่บรูคลินเองที่เห็นน้องชายถูกรังแกจากผมต่อหน้าต่อตาก็ไม่อาจช่วยได้ถึงจะพยายามขืนตัวขึ้นมาดันให้ผมผละออกจากเบนก็ตาม
 “ปะ...ปล่อย...” เบนส่งเสียงกระเส่าออกมา แต่ผมก็ยังไม่ยอมละใบหน้าออก แถมยังใช้มือข้างที่ว่างมาเกาะกุมกับส่วนอ่อนไหวของบรูคลินที่อยู่ใต้ร่างด้วยจนเสียงของสองพี่น้องดังระงมไปทั่วห้อง
นี่แหละความสนุกของการได้รังแกคนอ่อนแอกว่าล่ะ ให้ตาย... สายเลือดเซนไทน์ในร่างกายผมชักเดือดพล่านแล้วสิ
เล่นสนุกับร่างกายสองพี่น้องคู่นี้ได้ไม่นานนัก ทั้งสองคนก็กระตุกเฮือก เป็นสัญญาณให้ผมรู้ว่าทั้งคู่ถูกดูดพลังงานไปอีกระลอกแล้ว
ผมจึงจัดการปลดปล่อยตัวเองบ้าง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาพลางหายใจหอบน้อยๆ ต่างจากสองคนนั่นที่หายใจแรงราวกับขาดอากาศหายใจ
ไม่อยากจะบอกเลยว่าแค่นี้ไม่ได้ทำให้ผมสะดุ้งสะเทือนสักนิด ผมอยากจะเล่นสนุกกับสองคนนี้ต่อด้วยซ้ำ แต่ก็เอาเถอะ เห็นท่าทางอ่อนแรงของทั้งคู่แล้วก็พอจะเดาได้ว่าร่างกายบอบบางนั่นคงจะรับไม่ไหว เดี๋ยวทำตายคามือขึ้นมาในบ้านของพวกมันแบบนี้ มีหวังผมได้ถูกฆ่าในฐานะตัวอันตรายแน่ ถึงจะมีศักดิ์เป็นถึงเจ้าชายอันดับที่สองของยูนิกมาก็เถอะ แต่ยังไงผมก็มีเชื้อสายเซนไทน์ ทำตามใจตัวเองแบบนั้น เดี๋ยวได้ซวยกันพอดี ปล่อยให้พักก่อนก็แล้วกัน ร่างกายฟื้นตัวเมื่อไหร่ ค่อยมาเล่นสนุกใหม่
“พักผ่อนกันตามสบาย เดี๋ยวฉันจะไปอาบน้ำ” ผมว่าส่งๆ ก่อนลุกขึ้นจากเตียง
สายตาของสองพี่น้องมองตามอย่างเคียดแค้น ทว่าผมก็ไม่ได้สนใจอะไร หากแต่พอผมหันหลังให้ทั้งคู่แล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว เสียงเข้มที่ดังมาจากทางด้านหลังก็ทำให้ผมต้องชะงัก หันไปมองยังต้นเสียงอีกรอบ
“ฉันจะไม่ยอมนายอีกต่อไปแล้วซีเลน ไม่มีครั้งต่อไปแล้ว! พอกันที!” มันเป็นเสียงของบรูคลินที่พยายามดันตัวขึ้นนั่ง
ลุกขึ้นนั่งอย่างเดียวไม่พอ ร่างยังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ประเมินจากสายตาก็น่าจะราวๆ สองเมตร ก็ขนาดปกติของพวกไบโทปในร่างจริงนั่นแหละ ส่วนเบนพอเห็นพี่ชายคืนร่างเดิมอย่างนั้นก็ทำตามบ้าง ตอนนี้ทั้งคู่เลยกลายเป็นผู้ชายร่างยักษ์เต็มตัว ตัวใหญ่กว่าผมซะอีก
“ฉันเอานายตายแน่ซีเลน” เบนขู่เสียงเข้ม ขณะที่บรูคลินส่งสายตาแข็งกร้าวมาให้
แต่คิดเหรอว่าผมจะกลัว ไบโทปยังไงก็เป็นไบโทป จะมาสู้อะไรครึ่งยูนิกมา-ครึ่งเซนไทน์อย่างผมได้ สายเลือดชาติพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลไหลเวียนในตัวผมเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เห็นทั้งคู่แล้วก็หลุดยิ้มเผล่ออกมาราวกับเห็นเรื่องสนุก ก่อนจะเลียริมฝีปากแผล่บทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าพวกไบโทปนั้นอึดและถึกขนาดไหน
ก็ต้องอึดและถึกมากอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเซนไทน์จะล่าไปเป็นแรงงานทาสทำไมกัน
“คืนร่างแบบนี้ก็เจ๋งดีนี่ ฉันก็อยากจะลองมานานแล้วว่าพวกไบโทปอึดจริงอย่างที่พูดหรือเปล่า” ผมหยอกล้อ พลันกระดิกนิ้วท้าทายสองพี่น้องนั่น “เข้ามาเลย ไม่ต้องเรียงคิว”
บรูคลินกับเบนกำมือแน่นทันที ตั้งท่าเตรียมพร้อมจู่โจมในขณะที่ผมเดินไปทิ้งตัวนอนบนเตียง รอการโจมตีนั้น
หึ... งานนี้สนุกแน่!

ออฟไลน์ Zurruz

  • สาววายพันธุ์ยัน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
ซีเลน นายจะหื่นเบอร์นี้ไม่ได้นะ ฮือออออออออ

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
นายคงจะกดร่างถึกของพี่น้องไบโทปใช่ไหม คงไม่คิดเปลี่ยนบทบาทของตัวเอง แต่เอาจริง?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PiSCis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ตัวอย่างตอนพิเศษแก๊งเกรียนเอเลี่ยน [8]

ตัวอย่างตอนพิเศษของซีเลนกับสองพี่น้องเปรต ตอนที่ 2 ค่ะ จริงๆ ตอนนี้เน้นไปที่ซีเลนกับสองพี่น้องนั่นนะ แต่รู้สึกว่าอยากเอาโม้เม้นต์พ่อลูกของซีเลน เซซิลกับเบลคมาให้อ่านกันดู บอกเลยว่าสองคนนี้หื่นได้พ่อมันมานี่แหละ คินน์น้อยน่าสงสารมาก โดนลูกไอ้หื่นรุม พ่อกวินทร์รู้เมื่อไหร่นี่ได้ตามมาแหกอกลูกซีเลนแน่นอน 555
พรุ่งนี้เป็นตัวอย่างตอนพิเศษของเจเนซิสกับลาร์คโอป้านะคะ รอกันเน้อ
------------------------------------------------

[Sample] Special Episode 08 [Zylen & Broolyn & Ben]: I will teach you how to eat your cake

“เดี๋ยวพวกแกลงกันตรงนี้แล้วกัน รถมันเยอะ เข้าไปจอดข้างในลำบาก” ผมบอกลูกๆ โดยมองผ่านกระจกมองหลัง
เซซิลกับเบลคพยักหน้ารับราวกับเป็นเรื่องปกติ จริงๆ มันก็เป็นเรื่องปกตินั่นแหละ เพราะถ้าผมมาส่งสองคนนี้ที่โรงเรียนทีไร ผมก็ไม่เคยพาพวกมันเข้าไปส่งถึงหน้าประตูโรงเรียนเลยสักครั้ง อย่างดีก็ใกล้ๆ ทางเข้าโรงเรียนแล้วก็ขับรถวนออกเลย
ดีที่พวกลูกชายผมไม่เป็นพวกเรื่องมาก พอชะลอรถจอดเทียบริมถนน เด็กสองคนนั้นก็จัดการสะพายกระเป๋าเป้ ตั้งท่าจะเปิดประตูลงไป ทว่าระหว่างที่รอลูกๆ ลงจากรถ จมูกผมก็ได้กลิ่นของใครบางคนขึ้นมาซะก่อน
กลิ่นที่คุ้นเคย...
กลิ่นของ...กวินทร์!
ผมสอดส่ายสายตามองหาทันที ก่อนจะเห็นรถแวนคันหนึ่งแล่นผ่านหน้าไป ตรงตำแหน่งคนขับคือผู้ชายที่ผมไม่ได้เจอหน้ามาพักใหญ่แล้ว ที่ไม่ได้เจอหน้าก็เพราะปกติไอ้เวรคีธมันเป็นคนมารับ-ส่งลูกๆ พวกมันน่ะ สงสัยวันนี้มันจะไม่ว่าง กวินทร์ถึงโผล่หน้ามาได้
แหม ไม่ได้เจอซะนาน คงต้องไปทักทายกันหน่อย
“เซซิล เบลค อย่าเพิ่งลง” ผมร้องบอกลูกทันที
เบลคที่เอื้อมมือไปเกือบจะเปิดประตูแล้วหันมามองผมอย่างสงสัย ขณะที่เซซิลกำลังจะอ้าปากถามว่าทำไม แต่ผมก็เหยียบคันเร่งออกไปแล้ว เหยียบเต็มแรงซะด้วยเพราะกลัวว่าจะขับตามไม่ทัน ส่งผลให้ลูกๆ ของผมรีบคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดตัวอย่างรวดเร็ว
“พ่อจะไปไหนเนี่ย!” ไอ้ตัวขี้โวยวายอย่างเบลคส่งเสียงร้องขึ้นมา สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าหงุดหงิดสุดกำลัง แถมยังดูกวนโอ๊ยอีกต่างหาก
เห็นแบบนี้แล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงได้เป็นนักกีฬาตัวเต็งประจำโรงเรียน แล้วถูกเชิญผู้ปกครองมารับทราบพฤติกรรมบ่อยๆ ในโทษฐานชอบแกล้งเพื่อน
แต่ผมก็ยังไม่ตอบอยู่ดี จนเซซิลที่นั่งมองอยู่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“พ่อ... กำลังตามใครอยู่” ว่าพลางดันแว่นบนสันจมูกขึ้นให้เข้าที่
ผมเหลือบมองกระจกมองหลังอีกครั้ง เห็นสีหน้าของไอ้ลูกคนนี้ก็รู้เลยว่ามันรู้ทัน ไม่นาน เบลคที่ทำหน้าหงุดหงิดก็ร้องอ๋อขึ้นมาบ้างราวกับว่ารู้แล้วว่าผมกำลังทำอะไร
“ตามกลิ่นลุงกวินทร์นี่เอง” แล้วเบลคก็ว่าขึ้นมา
ตอนนี้แหละที่เซซิลพ่นลมหายใจออกมา แล้วคว้าโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง
“จะโทรไปฟ้องพ่อบรูคลิน”
“เอ้อ โทรไปฟ้องพ่อเบนด้วย” เบลคคว้าโทรศัพท์ออกมาบ้าง ทำเอาผมเบรกรถดังเอี๊ยดจนลูกสองคนนั้นหัวแทบทิ่ม
หยุดรถได้ก็หันไปมองพวกลูกบ้าด้วยสายตาขุ่นๆ
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว ไม่งั้นอย่าหาว่าพ่อไม่เตือน”
แต่สองคนนั้นไม่ได้มีความเกรงกลัวผมเลยสักนิด เบลคเหยียดยิ้มขึ้นมา ยกโทรศัพท์ในมือขึ้นแล้วว่าด้วยท่าทางยียวน
“ผมว่าผมกลัวพ่อเบนกับพ่อบรูคลินมากกว่าพ่อนะ”
“พ่อก็รู้ว่าเวลาทั้งคู่คืนร่างเดิมมันน่ากลัวแค่ไหน ถ้าพวกผมยอมไปกับพ่อแล้วสองคนนั้นจับได้ พวกผมก็ซวยสิ” คราวนี้เซซิลเป็นคนพูดบ้าง
เบลคพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่มีเงื่อนไขเลย ผมถึงกับเม้มปากแน่น คิดถึงตอนสองพี่น้องนั่นคืนร่างแล้วลงโทษผม แค่นี้ก็เสียวไส้ขึ้นมาแล้ว ขนาดไม่ได้ลงโทษ แค่ร่วมรักกันตามปกติ ผมยังไม่อยากจะให้สองคนนั้นคืนร่างเดิมสักนิด ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบนะพวกคนอึดๆ เนี่ย แต่นี่มันอึดเกิน อึดซะอย่างกับว่าจะสูบผมให้แห้งตายยังไงยังงั้น โชคดีที่พวกลูกๆ ไม่ได้รับกรรมพันธุ์จากพวกไบโทปมามาก ส่วนใหญ่ได้ความสามารถพิเศษของยูนิกมากับเซนไทน์มา ส่วนความสามารถพิเศษของไบโทป อย่างดีก็แค่ร่างกายแข็งแกร่งกว่าพวกลูกครึ่งยูนิกมากับพวกลูกครึ่งเซนไทน์ทั่วๆ ไป ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ผมคงประสาทเสียตายแน่ที่มีทั้งเมียทั้งลูกเป็นพวกยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลอย่างนั้น
และเพราะพวกลูกมีความสามารถพิเศษของยูนิกมากับเซนไทน์ ประสาทสัมผัสก็เลยดีไปด้วย ถึงจะไม่เท่ากับพวกยูนิกมาหรือเซนไทน์แท้ๆ เรียกว่าเป็นเศษเสี้ยว แต่ก็ถือว่าจมูกดีพอตัว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้กลิ่นกวินทร์ที่ขับรถผ่านหน้าไปหรอก
“พ่อมีทางเลือกสองทาง... ตามลุงกวินทร์ไป กับกลับรถไปส่งผมกับเบลคที่โรงเรียนก่อนจะสาย ไม่งั้นผมโทรบอกพ่อบรูคลินแน่” เซซิลว่าขึ้นมาอีก ส่วนเบลคก็กดเบอร์เบนขึ้นมาโชว์หราให้ผมดูเป็นการบอกว่าเอาจริงแล้วเรียบร้อย
ผมจึ๊ปากอย่างขัดใจ ใจอยากจะตามกวินทร์ไปชะมัด แต่ตามไปก็ไม่ได้จะตามไปปล้ำหรืออะไรหรอก แค่อยากไปทักทายเท่านั้น ทว่าพอโดนลูกๆ ขู่มาแบบนี้ ผมก็ยอมเลี้ยวรถกลับแต่โดยดี
“ก็ได้ๆ พวกแกนี่มันตัวขัดลาภปากจริงๆ” ผมบ่นไปเรื่อย คิดไม่ออกเลยว่าคนอย่างผมที่มีศักดิ์เป็นถึงเจ้าชายทั้งของยูนิกมาและเซนไทน์มาตกอยู่ใต้อำนาจลูกเมียอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
พอผมกลับรถได้ ขับกลับไปทางเดิม เซซิลกับเบลคก็เก็บโทรศัพท์เข้าที่เดิมแล้วก็เงียบกันยาว กระทั่งถึงหน้าโรงเรียน ผมจึงออกปากไล่พวกมันอย่างหัวเสีย
“ลงไปได้แล้ว แล้วเรื่องนี้ก็อย่าเอาไปบอกบรูคลินกับเบนเข้าใจมั้ย”
“ค่าปิดปาก” เบลคแบมือมาหาผมทันที พอเหลียวไปมองก็เห็นเด็กนั่นยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ “ไม่มีค่าปิดปากก็ไม่เหยียบให้นะพ่อ”
ไอ้ลูกคนนี้มันเจ้าเล่ห์เหมือนใครกันวะ!
ผมพ่นลมหายใจออกมา ก่อนล้วงเอาเงินให้ไปสิบเหรียญ แต่เบลคก็ยังไม่ดึงมือกลับไป เอ่ยขึ้นมาอีก
“สิบเหรียญต่อการปิดความลับพ่อเบน พ่อบรูคลินไม่เกี่ยว”
ผมเลยต้องหยิบเงินให้มันไปเพิ่มอีกสิบเหรียญ แล้วก็จัดการยื่นให้เซซิลที่นั่งมองอยู่ด้วยก่อนที่มันจะโพล่งขึ้นมาว่าเบลคได้คนเดียว แต่มันไม่ได้ มันจะไปฟ้องสองพี่น้องนั่น
พอจัดการจ่ายค่าปิดปากลูกเจ้าเล่ห์สองคนนั่นเสร็จ ผมก็ออกปากไล่อีกครั้ง
“พวกแกลงไปได้แล้ว เดี๋ยวก็สายหรอก”
แต่พวกมันก็ยังไม่ลง นั่งมองผมอยู่นั่นจนผมต้องถาม
“มีอะไร”
“ทำไมพ่อถึงได้ติดใจลุงกวินทร์นัก คนอย่างนั้นมีอะไรดีเหรอ” เซซิลเป็นคนถาม
“นั่นสิ เห็นพ่อเบนกับพ่อบรูคลินเคยบอกว่าก่อนหน้าที่จะมาอยู่กินกับพ่อทั้งสอง พ่อเคยชอบลุงกวินทร์นี่” เบลคเสริมขึ้นมาบ้าง
ผมไม่แปลกใจนักหรอกว่าทำไมลูกสองคนนี้มันถึงรู้เรื่องผมกับกวินทร์ ก็บรูคลินกับเบนเล่าให้ฟังจนหมดเปลือกเลยน่ะสิ แถมกวินทร์เองก็พูดค่อนแคะเรื่องอดีตทุกครั้งที่เราเจอกัน ผมเลยไม่อธิบายเพิ่ม นอกจากประมวลผลหาข้อดีของกวินทร์แทน
...อืม ไม่มีเลยแฮะ คนอย่างกวินทร์นี่หาข้อดีไม่เจอเลย นอกจากเรื่องน่ากินอย่างเดียวเท่านั้น
เพราะผมเงียบไป เซซิลก็เลยว่าขึ้นมาอีก
“ว่าไงล่ะครับ ตกลงลุงกวินทร์มีอะไรดี”
“น่ากิน” ผมตอบไปตามตรง
เซซิลกับเบลคเลยทำหน้าปูเลี่ยนทันใด
“เหย อย่างนั้นน่ะนะน่ากิน ดุอย่างกับอะไร ปากก็ไม่ดีอีก ล่าสุดที่เจอกันนี่ แค่เล่นพิเรนทร์กับคีตาหน่อยเดียว ด่าจะเปิง” เบลคทำท่าขนลุกขนพอง
“นั่นสิ ไม่อยากจะเชื่อว่าลุงคีธจะเอาคนอย่างนั้นเป็นคู่ชีวิต” เซซิลเสริมทันที
ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน คีธมันมีอะไรดีกว่าที่จะมาคู่กับกวินทร์เยอะ ผมเองก็ไม่คิดจะคู่กับกวินทร์เหมือนกันแหละ แค่ติดใจอยู่เรื่องเดียวคือกวินทร์ดูน่ากินเท่านั้น ถึงเราทั้งคู่จะมีลูกและลูกๆ โตถึงสิบขวบแล้ว กวินทร์ก็ยังดูน่ากินในสายตาผมไม่เปลี่ยนแปลง
โอเค ยอมรับก็ได้ว่าดูน่ากินน้อยลงกว่าเดิมโข ก็เพราะมีลูกแล้วน่ะ ความน่าสนใจเลยหมดไป บรูคลินกับเบนยังดูน่ากินกว่าอีก แต่ที่ผมติดใจก็เพราะกวินทร์เป็นคนแรกที่ผมอยากกินแล้วไม่ได้กินน่ะ มันเลยค้างคาในใจจนถึงตอนนี้
“ถามจริงนะพ่อ” จู่ๆ เซซิลก็ทำลายความเงียบขึ้นมาเมื่อเห็นผมไม่พูดอะไร พอผมหันไปมอง เซซิลก็ว่าต่อ “พ่อไม่รักพ่อบรูคลินกับพ่อเบนเหรอถึงได้ฝังใจกับลุงกวินทร์ขนาดนี้”
คำถามนี้ผมตอบได้เลยแบบไม่ต้องคิด
“รักสิ รักมากด้วย”
“แล้วจะฝังใจกับลุงกวินทร์ทำไม” เบลคถามบ้าง
“พวกแกเคยอยากกินอะไรแล้วไม่ได้กินมั้ย นั่นแหละ  มันเลยฝังใจ”
ไม่ต้องอธิบายมาก ลูกๆ ก็เข้าใจได้ดีว่าผมหมายถึงอะไร ก็ลูกเสี้ยวเซนไทน์นี่นะ รู้อยู่แล้วล่ะว่าบรรพบุรุษกินอาหารกันยังไง ถึงพวกมันจะกินอาหารเหมือนมนุษย์โลกปกติก็เถอะ
“แต่ก็ไม่เห็นจะต้องฝังใจขนาดนั้น” เบลคยังเหมือนไม่เคลียร์เท่าไหร่ พึมพำขึ้นมา ผมเลยถามกลับ
“พวกแกก็ลองคิดดู พวกแกชอบกินเค้กมาก แล้วมีเค้กชิ้นโตวางอยู่ตรงหน้า อยากจะคว้ามากินใจจะขาด แต่ก็ไม่ได้กินเพราะมีคนมาขวาง เป็นแบบนี้พวกแกไม่คิดว่ามันน่าเจ็บใจหรือไง”
“ไม่ ก็ผมไม่ได้ชอบกินเค้ก” เซซิลสวนมาแทบจะในทันใด เบลคก็พยักหน้าหงึกหงัก
“มันเป็นการเปรียบเทียบ” ผมว่าเสียงต่ำ หงุดหงิดเล็กน้อยที่ลูกสองคนนี้เข้าใจอะไรยากเหลือเกิน ก่อนจะคิดหาทางอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น
“งั้นเอาใหม่ สมมติว่าพวกแกไปชอบเด็กน่ารักคนนึง แล้วพวกแกอยากเล่นกับเด็กนั่นมาก แต่แม่ของเด็กนั่นไม่ยอมให้พวกแกเล่นด้วย แถมไล่ตะเพิดอีก พวกแกคิดว่าจะเจ็บใจแล้วฝังใจที่ไม่ได้เล่นด้วยมั้ย”
“เจ็บใจสิ!” เซซิลกับเบลคตะโกนขึ้นมาพร้อมกันทันใด
ผมงงไปครู่ที่จู่ๆ ก็เห็นลูกๆ แสดงท่าทางฉุนเฉียวฉับพลัน แล้วก็พากันพูดอะไรที่ไม่รู้เรื่องขึ้นมา
“เด็กนั่นน่ะน่ารักจะตาย อยากจะฟัดแรงๆ อยากจะทำให้ร้องไห้ชะมัด” เบลคพูดพลางกอดกระเป๋าเป้นักเรียนตัวเองแน่น ทำท่าเหมือนอยากจะกอดเด็กที่ว่านั่นจริงๆ
“ฉันอยากจะหยิกแก้มย้วยๆ นั่นเหมือนกัน อยากจะรู้ว่าเวลาทำหน้าเบ้จะเป็นยังไง แต่พ่อหมอนั่นก็ขัดขวางจริง” เซซิลเองก็ดูหัวเสียไม่แพ้กัน
แล้วสองพี่น้องนั่นก็หันไปพยักเพยิดให้กันเป็นการใหญ่ จนผมชักสงสัยขึ้นมาละว่าพูดถึงใครกัน
“เด็กนั่น... ใคร”
พอผมถามปุ๊บ ทั้งคู่ก็ชะงักปั๊บแล้วก็ตอบเสียงดังพร้อมกัน
“คินน์น้อย!”
ใครวะคินน์น้อย?
ผมนิ่งคิดไปครู่ก่อนที่ใบหน้าของเด็กชายวัยอ่อนกว่าลูกๆ ผมปีนึงจะแวบเข้ามาในหัว
คินน์น้อย... ลูกคนเล็กของกวินทร์กับคีธนี่นา
เท่านั้นผมก็หยักยิ้มออกมาทันที ก่อนจะขัดสองคนนั้นทันใด
“แล้วจะรออะไรล่ะ อยากกินก็กินไปเลยสิ”
เซซิลกับเบลคชะงักกึก มองหน้าผมอย่างไม่เชื่อหู ผมเลยต้องย้ำอีกรอบ
“อยากกินก็กินไปเลย เมื่อกี้พ่อพูดอย่างนี้”
“แต่ว่าลุงกวินทร์เค้าหวง” เซซิลว่าเสียงเบา
“โดนสั่งห้ามว่าห้ามเข้าใกล้ด้วยเพราะพวกผมชอบแกล้ง” แล้วเบลคก็เสริม
ถ้าแค่กวินทร์หวงล่ะก็ ผมมีวิธีรับมืออยู่แล้ว มันจะไปยากอะไร ก็แค่ให้บรูคลินกับเบนไปเคลียร์ในร่างจริงแค่นั้น กวินทร์ก็ไม่กล้าหือแล้ว ผมก็เลยบอกลูกไปว่า...
“เดี๋ยวพ่อจัดการเอง กินไปเลย”
“แต่ว่าพ่อ...”
“เซซิล เบลค... กิน...แรง...แรง” ผมย้ำทีละคำ
เซซิลที่อ้าปากจะให้เหตุผลถึงกับเงียบ ก่อนจะหันไปมองหน้าเบลคที่ทำหน้าอึ้งอยู่ ชั่วขณะเดียวสองคนนั้นก็ยิ้มเผล่ขึ้นมาบ้าง แล้วก็รับปากเสียงเข้มพร้อมกัน
“ทราบแล้วเปลี่ยนครับพ่อ”
นี่สิถึงเรียกว่าลูกผม ผมถึงกับแสยะยิ้มออกมากับความตั้งใจใหม่ทันใด
หึ... ในเมื่อรุ่นพ่อไม่ได้กิน ก็ให้รุ่นลูกกินแล้วกัน ความฝังใจของผมจะได้หมดไปซะที
จากนี้พ่อจะสอนเองว่าถ้าจะกินเค้กนั่นจะต้องทำยังไง รับรองว่าลูกกวินทร์หนีลูกผมไม่รอดแน่

ออฟไลน์ j4c9y

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-7
Zylen  บักห่า จะมาสอนลูกแบบนี้ได้ไง!!!

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ตัวอย่างตอนพิเศษแก๊งเกรียนเอเลี่ยน [9]
ตัวอย่างตอนพิเศษของลาร์คโอป้ากับเจเนซิสตอนแรกค่ะ จริงๆ ตอนนี้เคยอัพให้อ่านตัวอย่างกันไปแล้วนะ แต่มาอัพเดตอีกทีเพื่อความเข้าใจตรงกันว่ามันเป็นตอนพิเศษอยู่ตรงนี้นะๆๆๆ เป็นการเล่าย้อนเหตุการณ์นิดนึงค่ะว่าสองคนนี้มารักกันได้ยังไง
ส่วนตัวอย่างตอนพิเศษของคู่นี้ตอนที่ 2 มาพรุ่งนี้นะคะ ยังรับประกันความ SM ของคู่นี้เช่นเดิม อิอิ
-----------------------------------------------

Special Episode 09 [Larc & Genesis]: Violent couple

อาหารมื้อหรูของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินถูกนำมาเสิร์ฟถึงในห้องที่ถูกเนรมิตเป็นห้องอาหารสุดหรูและส่วนตัวสำหรับผมกับลาร์ซิโอนีย์ กลิ่นหอมฉุยของอาหารหลากหลายชนิดลอยมาแตะจมูกผมตั้งแต่ยังอยู่ในฝาครอบ แต่ผมไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง เอาแต่จ้องหน้าลาร์ซิโอนีย์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขม็ง ขณะที่มันพยักหน้าบอกให้บริกรกับพวกองครักษ์ออกจากห้องไปเพราะต้องการจะใช้เวลาอยู่กับผมสองคน
หมอนั่นหยิบส้อมกับมีดขึ้น หั่นสเต็กแกะในจานตรงหน้าตัวเองแล้วส่งเข้าปากด้วยท่าทางสง่างาม ดูยังไงก็สมกับเป็นชนชั้นสูงของเซนไทน์ ตอนแรกผมคิดว่าพวกเซนไทน์จะกินมูมมามซะอีก ที่คิดแบบนี้ก็เพราะสังเกตจากการที่มันกินพลังงานจากผมเมื่อคืนน่ะนะ แต่ผมคิดผิด ลาร์ซิโอนีย์ดูเป็นเจ้าชายที่เพียบพร้อมมากๆ พูดตรงๆ นะ ถ้ามันไม่ได้เป็นพวกชาติพันธุ์รุกรานที่จ้องจะข่มเหงชาติพันธุ์อื่นตลอดเวลา หมอนี่ก็ดูเหมาะสมกับองค์ชายอยู่ไม่น้อย ทั้งชาติตระกูล ทั้งกิริยามารยาท ดูยังไงก็รู้ว่าผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดีชัดๆ
และเพราะผมเอาแต่จ้องมัน ไม่ยอมแตะอาหารตรงหน้าตัวเอง ลาร์ซิโอนีย์ก็เลยเหลือบตามามองผม แล้วเอ่ยขึ้น
“กินสิองค์ราชินี”
“อย่ามาเรียกฉันว่าราชินี”
“งั้นก็พระชายาของฉัน”
“อย่าเรียกอย่างนั้นด้วย”
“เรียกชื่อมนุษย์โลกของนายแล้วกัน ชื่ออะไรนะ... อ้อ เจเนซิส... เจนิสดีกว่า เจนิสของฉัน” มันไม่สะทกสะท้าน ยิ้มมุมปากแล้วก็วางอุปกรณ์การกินในมือลง เปลี่ยนไปคว้าแก้วไวน์ขึ้นมาแกว่งไปมา
“ตอนที่ฉันเจอกับนายครั้งแรก ฉันจำได้ว่านายเป็นคนอ่อนโยนกว่านี้”
คงจะหมายถึงตอนที่มันพาองครักษ์มาลักพาตัวองค์ชายขณะพระชนมายุยี่สิบปียูนิกม่าแน่ๆ ตอนนั้นมันก็น่าจะสามสิบสองปีเซนไทน์ อายุมนุษย์โลกก็สิบหก ตอนนี้มันก็คงจะอายุยี่สิบสี่แล้วสินะ
“เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน” อันนี้ผมไม่ได้พูดนะ ลาร์ซิโอนีย์เป็นคนพูด ผมก็เลยสวนไป
“แต่ความเกลียดชังนายของฉันไม่เคยเปลี่ยน”
เรียวคิ้วสวยของคนฟังเลิกขึ้นสูงเล็กน้อย สบตาผมที่มองเขม็งอย่างท้าทาย
“เดี๋ยวก็รู้ว่าเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน เมื่อก่อนฉันไม่ได้ชอบนาย ยังเปลี่ยนมาชอบนายได้เลย นายเองก็คงจะเหมือนกัน”
ผมเลยรู้ในตอนนี้ว่าลาร์ซิโอนีย์ชอบองค์ชายมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์แล้ว นี่ถ้ามันรู้ว่าผมเป็นเจ้าชายยูนิกม่าตัวปลอม สงสัยมันคงจะคลั่งน่าดู แต่ก็นะ... มันชอบองค์ชายประสาอะไรของมันวะ ขนาดเป็นตัวปลอม มันยังไม่รู้เลย
“กินซะ” แล้วมันก็ขัดความคิดของผมด้วยการออกคำสั่งอีกครั้ง ปลายคางก็พยักมาเป็นสัญญาณให้ผมจัดการสเต็กตรงหน้าด้วย
ผมก็ปฏิเสธเหมือนเดิมนั่นแหละ
“ไม่”
“บอกให้กิน”
“ก็บอกว่าไม่!”
“ให้เวลาจับมีดกับส้อมแค่สามช่วงลมหายใจ ไม่อย่างนั้น ฉันจะกินนายแทนสเต็กนี่” มันไม่ฟังผมเลยสักนิด ออกคำสั่งเป็นว่าเล่นอีกด้วย สามช่วงลมหายใจก็หมายถึงนับหนึ่งถึงสามนั่นแหละ
ผมยังทำเฉย ลาร์ซิโอนีย์ก็เลยเริ่มนับ
“หนึ่ง...”
“...”
“สอง...”
“ฉันไม่หิว”
“สาม...”
นับจบปุ๊บ ก็วางแก้วไวน์ในมือลงบนโต๊ะดังปึง ผมเห็นแล้วก็รู้เลยว่ามันจะทำอะไรต่อ เลยรีบคว้ามีดหั่นสเต็กขึ้นมาถือ ไม่ได้ถือขึ้นมาจะกินนะ จะเอาไว้ป้องกันตัวเองนี่แหละเพราะตอนนี้จะให้ผมคืนร่างเดิมก็ไม่ไหว เรี่ยวแรงเหลือน้อยเกินไป
ทว่าท่าทางของผมกลับทำให้ลาร์ซิโอนีย์หัวเราะหึในลำคอ พลันออกคำสั่งและคว้าแก้วไวน์ขึ้นมาแกว่งอีกครั้ง
“กินซะ แค่กินอาหาร ต้องให้บังคับ”
ผมจึ๊ปาก ให้ตาย... พลาดท่ามันจนได้ เจ้าเล่ห์ชะมัด ชักจะหงุดหงิดละ
เพราะหงุดหงิดนี่แหละ ผมก็เลยแผดเสียงใส่มันลั่น
“ก็บอกว่าไม่หิว ไม่เข้าใจหรือไง!” แผดเสียงอย่างเดียวไม่พอ ขว้างมีดในมือไปใส่มันด้วย
มีดลอยผ่านตัวมันไปตกบนพื้นดังเคร้ง ทว่าคมมีดเฉียดข้างโหนกแก้มมันไป เลือดสีเขียวอ่อนเหมือนกับเลือดของผมไหลออกจากรอยแผลนั้น ลาร์ซิโอนีย์เหลือบมองผม วางแก้วไวน์ลง ยื่นมือไปแตะเลือดมาดู ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดมือมาซับเล็กน้อย
“ฉันให้เกียรตินายสุดๆ แล้วนะเจนิส แต่นายมันดื้อด้าน ไม่มีความน่ารักเหมือนตอนเด็กสักนิด ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงด้วยว่ามเหสีต้องอยู่ต่ำกว่าสวามี สงสัยจะห่างการอบรมจากราชสำนักไปนาน”
ผมไม่ตอบโต้ มองมันเขม็ง แต่ในใจนี่รู้แล้วล่ะว่ามันคิดจะทำอะไร เห็นสายตานักล่าของมันที่ประกายขึ้นมาก็รู้ เท่านั้นผมก็รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ กะหนีไปตั้งหลักในห้องก่อน
แต่ไม่ทัน แค่ลุกเท่านั้น ลาร์ซิโอนีย์ก็รีบลุกมาดักผมไว้ก่อน จับต้นแขนผมไว้ด้วยสองมือ ดันไปกระแทกกับขอบโต๊ะเต็มแรง ผมข่มเสียงไม่ได้ร้องโอยออกมา ลาร์ซิโอนีย์ดันผมให้ขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ ไม่สนใจความเจ็บปวดของผมสักนิด ผมขัดขืนแต่ก็ถูกกดลงนอนบนนั้นอยู่ดีหลังจากที่มันปล่อยมือข้างหนึ่งไปกวาดอาหารบนนั้นจนจานชามตกกระทบพื้นแตกดังเพล้ง
ผมถูกกดจนกระดิกกระเดี้ยวไม่ได้ ขณะที่ใบหน้าคร้ามของหมอนั่นก็เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มร้าย
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้านายไม่กินสเต็ก ฉันจะกินนายแทนสเต็ก เห็นทีคงจะรอให้แผลบนตัวนายหายไม่ได้แล้วมั้ง”
ผมกลืนน้ำลาย พยายามเบี่ยงหน้าตัวเองที่อยู่ใกล้หน้ามันออกห่าง ข่มความหวาดหวั่นไว้อย่างสุดความสามารถด้วย
“ถะ...ถอยไป”
แต่มันฟังมั้ยล่ะ... ไม่ แถมยังกระชากเสื้อคลุมบนตัวผมขาดสะบั้นอีก ผมเบิกตาโพลง รู้ตัวอีกที ร่างกายเปล่าเปลือยก็อยู่ตรงหน้ามันที่พร้อมจะงาบผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว
“จะทั้งกิน ทั้งอบรมให้สมเป็นพระมเหสีของฉันจนลุกไม่ขึ้นเลย... เจนิสเด็กดื้อ”

ออฟไลน์ anawas

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1

ออฟไลน์ PiSCis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ซีเลน นังพ่อเลว
   เฮียลาร์ค คนเถื่อน

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ตัวอย่างตอนพิเศษแก๊งเกรียนเอเลี่ยน [10]
ตัวอย่างตอนพิเศษของลาร์คโอป้ากับเจเนซิสตอนที่ 2 ค่ะ เป็นตอนพิเศษตอนสุดท้ายแล้วนะ ทั้งหมดอยู่ในเล่มหลักนะคะ ใครอยากอ่านเต็มๆ ตอนก็ไปตามหนังสือเอาเน้อ
ตอนหน้าจะเริ่มอัพตัวอย่างเล่ม Mini novel: Alien's Kids พวกผมเป็นลูกเอเลี่ยน นะคะ จะอัพแค่บทนำ+2ตอนแรกเต็มๆ เท่านั้น เริ่มที่คู่ของคีตากับอาร์ทูโรก่อน แล้วจากนั้นถึงจะอัพคู่ของคินน์กับลูกๆ ซีเลนนะ หลังจากนั้นก็จะอัพ Side story: Alien's Prince เจ้าชายของเอเลี่ยน ที่เป็นเล่มทำแจกฟรีสำหรับคนที่สั่งซื่อนิยายเข้ามา จะอัพลงในเว็บให้อ่านจนจบเช่นกัน (มีประมาณ 3 ตอนได้)
รอกันก่อนเน้อ เดี๋ยวจะทยอยมาอัพให้ค่า
----------------------------------------------
Special Episode 10 [Larc & Genesis]: Hit me hard in the bed

“พระมเหสี! แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงร้องโวยวายของอำมาตย์เรียกให้ผมที่กำลังประดับมงกุฎเล็กๆ ลงบนหัวของจูเลียนในห้องหันไปมองยังต้นเสียงทันที พอเห็นชายร่างใหญ่วิ่งหน้าตื่นเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ผมก็ย่นคิ้วยู่
“อย่ามาเรียกฉันว่าพระมเหสีนะ” นั่นคือประโยคแรกที่ผมพูด
ไม่ชอบให้เรียกแบบนี้เลยให้ตาย ถึงจะรู้ว่าเป็นตำแหน่งของผมก็เถอะ แต่ยังไงผมก็เป็นผู้ชาย เรียกชื่อเฉยๆ ยังจะดีซะกว่าอีก
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” อำมาตย์ผู้นั้นชะงักกึก ยืนตรงแล้วโค้งให้ผมเป็นพัลวัน
ผมโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ก่อนจะถามขึ้น
“แล้วนี่มีอะไรถึงได้วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามา”
พอถามแบบนี้ อำมาตย์คนนั้นก็ทำท่าลุกลี้ลุกลนขึ้นมาอีก ไม่ใช่แค่ท่าทางด้วย น้ำเสียงก็ร้อนรนไม่แพ้กัน
“คือว่าฝ่าบาท...ฝ่าบาททรง...ทรง...นักระบำ...นักระบำทั้งกลุ่ม...”
“นี่... ใจเย็นๆ ก่อนได้มั้ย ค่อยๆ พูด ฟังไม่รู้เรื่องเลยเนี่ย” ผมรีบปรามให้อำมาตย์ตั้งสติ
อำมาตย์เลยสูดหายใจเข้าเต็มปอด ค่อยๆ ผ่อนออกมาแล้วว่าขึ้นอีกครั้ง
“ตั้งใจฟังให้ดีน่ะพ่ะย่ะค่ะ... คือว่าฝ่าบาทลาร์ซิโอนีย์...เอ่อ...” แล้วก็หยุดไป เหมือนกับว่าไม่อยากจะบอก
เห็นแล้วก็ยิ่งรำคาญ ผมเลยต้องกดเสียงต่ำถาม
“ลาร์ซิโอนีย์ทำไม”
ถามแค่นั้น คนตรงหน้าผมก็มีสีหน้าไม่ดียิ่งกว่าเดิมอีก เห็นก็รู้เลยว่าลาร์ซิโอนีย์จะต้องทำเรื่องไม่ดีมาแน่ แต่ผมจับใจความไม่ได้เลยว่ามันไปทำอะไร กระทั่งคนมาบอกข่าวโพล่งขึ้นมา
“ฝ่าบาทลาร์ซิโอนีย์ทรงทำกับนักระบำทั้งกลุ่มรุนแรงมากเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำอะไรรุนแรงนะ!” ผมถึงกับลุกพรวด ทำเอาจูเลียนกับเหล่านางกำนัลตกใจกับท่าทีแข็งกร้าวของผมทันใด แต่ผมไม่ได้สนใจแล้ว ในหัวตอนนี้คิดไปแล้วว่าสิ่งที่ไอ้บ้าลาร์ซิโอนีย์ทำคือเรื่องอย่างว่า อะไรไม่ว่า มาทำกับนักระบำที่จะมาทำการแสดงในวันเกิดลูก แถมยังทำรุนแรงทั้งกลุ่มอีก
มันจะมากไปแล้ว!
ผมเผลอกำมือแน่น หายใจแรงขึ้นมาอย่างหัวเสียทันใด ได้สติอีกทีก็ตอนที่จูเลียนเข้ามาคว้าข้อมือผมไว้
“เสด็จพ่อเจนิส...”
ผมเหลือบไปมองก็เห็นจูเลียนจ้องผมราวกับบอกว่าให้ใจเย็นๆ ผมก็อยากจะใจเย็นนั่นแหละ แต่ตอนนี้ใจเย็นไม่ได้แล้ว
หน็อย... ไอ้พวกเซนไทน์ เผลอหน่อยเป็นไม่ได้ จะต้องกินอาหารด้วยวิธีผูกพันตลอด อุตส่าห์คิดค้นยาที่ทำให้กินอาหารตามปกติได้แล้ว ซ้ำยังตรากฎหมายห้ามกินอาหารด้วยวิธีนี้ไม่ว่าจากชาติพันธุ์ไหนก็ตาม ก็ยังจะมีเรื่องแบบนี้หลุดออกมาอีก ส่วนไอ้ลาร์ซิโอนีย์ ถึงมันจะไม่เคยกินอาหารด้วยวิธีนี้ตั้งแต่แต่งตั้งผมเป็นคู่ชีวิตขึ้นมา แต่จู่ๆ มาทำบบนี้ มันหยามหน้ากันไปหน่อยล้ว ที่สำคัญ ทำไมต้องมาทำแบบนี้ในวันเกิดลูกด้วย!
“จูเลียน ไปเอาแส้มา” ผมระงับความกรุ่นโกรธสุดกำลัง ปากก็ร้องสั่งเด็กชายวัยสิบปีข้างๆ
“แส้?” จูเลียนทำหน้างงไปครู่ ให้ผมได้พูดอีก
“แส้ที่ลูกใช้ฟาดปรสิตอวกาศเวลาฝึกขี่มันน่ะ”
จูเลียนร้องอ๋อนิดหน่อย ก่อนวิ่งไปหยิบแส้หนังซึ่งทำจากผิวหนังของปรสิตอวกาศที่พันกันเป็นม้วนมาส่งให้ผม ผมรับมาแล้วหันไปมองยังอำมาตย์ทันที
“ลาร์ซิโอนีย์อยู่ที่ไหน พาฉันไปหามันเดี๋ยวนี้”
“แต่ว่าพระมเหสี...แส้นั่น...” อำมาตย์ทำหน้าแหยงขึ้นมา
ผมรู้ว่าที่ทำหน้าแบบนั้นเป็นเพราะแส้นี่ค่อนข้างจะเหนียวและมีความรุนแรงเวลาถูกฟาดเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นเส้นเล็กๆ แต่อานุภาพของมันก็สามารถทำให้เกราะของพวกถึกๆ อย่างเซนไทน์แตกได้เหมือนกันหากฟาดด้วยความรุนแรงระดับหนึ่ง
ก็แน่ล่ะ ไม่อย่างนั้นมันจะถูกทำขึ้นมาใช้ฟาดปรสิตอวกาศเหรอ พวกนั้นชั้นผิวหนังหนาและแข็งกว่าพวกเซนไทน์เยอะ เจอฟาดเข้าไปก็ต้องเจ็บกันอยู่แล้ว
แต่ใครจะสนล่ะ ในเมื่อมันมาทำทุเรศแบบนี้ในงานวันเกิดลูก มันก็ต้องเจอผมสักหน่อย
“บอกให้พาไป!” ผมตวาด สะบัดแส้ฟาดลงพื้นดังเปรี๊ยะด้วย
อำมาตยเลยรีบพยักหน้ารนๆ แล้วนำผมไปยังที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว จูเลียนทำท่าจะตามไป ผมเลยหันไปห้ามไว้ได้ก่อน
“ลูกไม่ต้องไป”
“ทำไมล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“พ่อไม่อยากให้ลูกเห็นอะไรที่ไม่สมควรเห็น” ผมว่า
จูเลียนทำหน้าไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ตอแยถามอะไรต่อ ยอมเดินกลับไปหานางกำนัลที่กวักมือเรียกอย่างว่าง่าย ปล่อยให้ผมตามอำมาตย์ไปยังท้องพระโรง
พอถึงยังท้องพระโรง เสียงเอะอะมะเทิ่งก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน เสียงที่ได้ยินก็เป็นเสียงโวยวายของลาร์ซิโอนีย์ที่ดังลั่นอย่างไม่พอใจ ส่วนเสียงที่เหลือก็เป็นเสียงของเหล่านักระบำที่ร้องขอชีวิต ได้ยินแล้วผมก็รีบคืนร่างเดิม อำมาตย์หันมามองผมแล้วก็ทำหน้าตาตกใจเข้าไปใหญ่ด้วยรู้ว่าหากเมื่อไหร่ที่ผมคืนร่างของชาวยูนิกมา นั่นหมายถึงศึกในราชสำนักได้เริ่มขึ้นแล้ว
“หม่อมฉันว่าพระมเหสีทรงพระทัยเย็นๆ ก่อน” แล้วก็รีบมาห้ามผมก่อนที่ผมจะได้เดินเข้าไปข้างใน
ผมตวัดสายตาขุ่นๆ ไปให้ พูดเพียงประโยคเดียวเท่านั้น
“ถอยไป”
แค่นั้น อำมาตย์ก็ยอมถอยร่นไปโดยดี ผมเลยได้เดินเข้ามาด้านในโดยไม่มีใครขวาง
ทันทีที่เข้ามา ซากปรักหักพังของบรรดาข้าวของที่ประดับประดาสำหรับวันเกิดจูเลียนก็ปรากฏสู่สายตา ทำให้ผมหัวเสียขึ้นไปใหญ่ หัวเสียมากกว่าเดิมเมื่อเห็นลาร์ซิโอนีย์ในร่างเดิมของเซนไทน์กำลังกำลำคอของนักระบำซึ่งเป็นชาวยูนิกมาเช่นเดียวกับผม และข่มขู่อยู่ ขณะที่นักระบำคนอื่นๆ ถอยร่นไปหลบมุมในสภาพสะบักสะบอม
“แค่ระบำให้แข็งแรงกว่าที่เป็นอยู่ ลูกฉันเห็นแล้วจะได้ตื่นเต้น ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้ ก็คงไม่ต้องถามกันแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“มะ...หม่อมฉันผิดไปแล้ว อะ...อภัยให้หม่อมฉันด้วย” อีกฝ่ายยกมือจับแขนของลาร์ซิโอนีย์ที่กำลำคออยู่
ผมเห็นแล้วก็เข้าใจได้ว่าที่ลาร์ซิโอนีย์ทำ ไม่ใช่การผูกพันกับนักระบำอย่างรุนแรงในวันเกิดลูกแต่อย่างใด แต่เป็นการไม่พอใจที่นักระบำพวกนี้ทำตามสั่งของตัวเองไม่ได้ต่างหาก เท่านั้นผมก็โล่งใจไปนิด แต่ก็ยังโกรธอยู่ดีที่ไอ้บ้านี่ใช้กำลังข่มขู่คนอ่อนแอกว่าตลอด ยิ่งกว่านั้น คนที่มันกำลังข่มขู่เป็นชาติพันธุ์เดียวกับผม ผมก็เลยรีบเดินรี่เข้าไปหา สะบัดแส้ในมือฟาดใส่หลังมันเต็มแรง
เพียะ!
“อ๊ะ!” ลาร์ซิโอนีย์ถึงกับสะดุ้งสุดตัว มือปล่อยจากลำคอยูนิกมาคนนั้นทันที แต่ก็ยังไม่ปล่อย พอเห็นยูนิกมาคนนั้นหนีก็รีบตะครุบไว้ ก่อนหันมามองผมด้วยสายตาแข็งกร้าว
“เจนิสของฉัน...”
“เจนิสของฉันบ้าอะไร คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่!” ผมแหวใส่แทบจะในทันใด
“สั่งสอนไอ้พวกไร้สมอง” แล้วมันก็ตอบในทันทีเช่นกัน
ผมมองไปยังภาพตรงหน้า ดูยังไงก็ไม่เป็นการสั่งสอนสักนิด นี่มันกำลังจะก่อเหตุฆาตกรรมชัดๆ ยิ่งเห็นสายตาเว้าวอนของนักระบำมองมาที่ผมอย่างขอความช่วยเหลือด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าไอ้บ้าเซนไทน์นี่มันไร้สมองยิ่งกว่าที่มันด่าคนอื่นซะอีก
“แล้วทำไมต้องใช้กำลัง” ผมกลั้นใจถามไปก่อนจะระเบิดอารมณ์
“ก็พวกมันไม่ฟัง บอกกี่ครั้งก็ทำไม่ได้ พวกมันตั้งใจจะทำให้ของขวัญที่ฉันตั้งใจให้จูเลียนเห็นพัง” พูดอย่างกับเด็กถูกขัดใจ เห็นล้วก็หงุดหงิดชะมัด นี่มันใช่กษัตริย์เซนไทน์จริงหรือเปล่าวะเนี่ย ปัญญาอ่อนเหลือเกิน!
ผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนโบกมือเป็นสัญญาณให้นักระบำออกไปจากท้องพระโรงก่อน เท่านั้นทุกคนก็รีบกรูกันออกไป เหลือแต่คนที่ยังอยู่ในเงื้อมมือลาร์ซิโอนีย์นี่แหละที่หนีไปไหนไม่ได้ ผมเลยต้องพูดขึ้น
“ปล่อยได้แล้ว” แล้วก็ตรงไปคว้ามือมันให้ปล่อย แต่มันก็ไม่ปล่อย แถมยังมีหน้าพูดหน้าตาเฉยอีก
“ฉันจะไม่ปล่อยจนกว่าจะได้มีมันคนใดคนหนึ่งทำตามคำสั่งฉันได้”
ฟังแล้วก็หงุดหงิดชะมัด ถ้าอยากให้ได้ดั่งใจก็ไปให้พวกเซนไทน์มาเต้นระบำให้ดูสิวะ มาใช้พวกยูนิกมาทำไม!
“ปล่อย” ผมสั่งอีก ทว่าก็เหมือนเดิม
“ไม่ บอกแล้วว่ามันจะต้องทำตามคำสั่งฉันให้ได้”
“บอกให้ปล่อย!” ตอนนี้เหมือนผมจะขาดสติ ตะคอกแล้วจัดการเอาแส้ฟาดลงไปบนแขนข้างที่มันจับนักระบำอยู่สุดแรง
เสียงแส้ฟาดดังเพียะลั่นไปทั่ว ลาร์ซิโอนีย์ร้องโอยออกมาทีหนึ่ง มือหลุดจากนักระบำทันใด พอเป็นอิสระได้ นักระบำก็รีบวิ่งมาทางผม
“กลับไปได้เลย ไม่ต้องแสดงแล้ว แล้วฉันจะชดเชยทุกอย่างให้ทีหลัง” ผมว่า นักระบำพยักหน้าแล้วก็วิ่งออกไป
เห็นผมทำตามใจตัวเองอย่างนั้น ลาร์ซิโอนีย์ก็โวยวายขึ้นมา
“แล้วของขวัญวันเกิดจูเลียนล่ะ!”
“ของขวัญแบบนี้ ลูกไม่อยากได้หรอก” ว่าแล้ว ผมก็เดินหนี
อุตส่าห์สั่งสอนไม่ให้ลูกเป็นคนบ้าอำนาจ บ้ากำลังแล้ว ไอ้เวรนี่ยังจะมาปลูกฝังลูกแบบนี้อีก
และเพราะผมเดินหนี ลาร์ซิโอนีย์เลยไม่พอใจ เดินเร็วๆ เข้ามาหาผม ปากก็ร้องเรียกไปด้วย
“เดี๋ยวสิเจนิส...”
เพียะ!
ก่อนที่จะคว้าผมได้ ผมก็กระโดดหนีไปอีกทางเสียก่อน แล้วตามมาด้วยการฟาดแส้ใส่มือมัน
“อารมณ์ไม่ดี อย่ามาจับ”
ลาร์ซิโอนีย์ชะงักกึก ยกมือข้างที่ไม่โดนฟาดมาลูบหลังมือตัวเองที่มีเกราะสีดำหุ้มอยู่เบาๆ บริเวณเกราะนั้นมีรอยแตกนิดหน่อย ผมเห็นแล้วก็ตกใจไปเหมือนกัน ไม่คิดว่าการฟาดเบาๆ จะทำให้เกิดรอยร้าวง่ายขนาดนี้ แส้หนังปรสิตอวกาศนี่มันอานุภาพร้ายแรงจริงๆ ด้วย
ผมตั้งท่าจะเดินหนีไปอีก แต่พอเห็นคนตัวใหญ่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ผมก็เกิดเป็นห่วงขึ้นมา
ก็ต้องเป็นห่วงสิ ฟาดไปตั้งหลายที แถมล่าสุดยังฟาดซะเกราะร้าวขนาดนั้น มันจะเป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย
“ลาร์ซิโอนีย์...เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมเลยทิ้งแส้ลง เดินเข้าไปหา คว้ามือมันมาประคองดูบ้าง
มันไม่พูดอะไร มองหน้าผมด้วยสายตานิ่งเรียบ แล้วก็คว้ามือผมที่จับมือมันอยู่ไปแนบข้างแก้ม
“เปลี่ยนแส้ได้มั้ย” จู่ๆ มันก็ว่าขึ้นมา
“ฮะ?”
“ฉันถามว่าเปลี่ยนแส้ได้มั้ย แส้นั่นมันแรงไป เอาแบบพอเจ็บนิดๆ ก็พอ”
“นายหมายความว่าไงเนี่ย” ผมถึงกับเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินมันพูดแปลกๆ แล้วก็ต้องประจักษ์เมื่อมันพูดขึ้นมาอีก
“ก็หมายความว่า... ฉันอยากถูกนายเอาแส้ตีน่ะ แต่ขอเป็นแส้แบบไม่เจ็บมาก แส้เมื่อกี้นี้ถ้าพลั้งมือไปถึงตายได้เลยนะ ถ้าจะทำโทษก็ขอแส้อื่น” ไม่พูดอย่างเดียว ทำสายตากะลิ้มกะเหลี่ยด้วย เป็นสายตาที่มีผมเพียงคนเดียวที่ได้เห็นเท่านั้น
แล้วก็ต้องผมหน้าร้อนวูบขึ้นมาเมื่อมันพูดขึ้นมาอีก “แล้วก็...ไปฟาดบนเตียงเถอะนะ”

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
เฮียแกจะหื่นไปไหน ดูด้วยนั่นแส้อะไร เอาไว้ฟาดปรสิตอวกาศเลยนะเฮีย!   เจนิสคงเพลียใจ(เพลียกาย)

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
ลาร์ซิโอนีย์คะ555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
[ตัวอย่าง] Alien's Honeymoon

มาตามสัญญาค่ะ เป็นตัวอย่างเล่ม 'Special Limited Edition: Alien's Honeymoon คืนน้ำผึ้งพระจันทร์ของเอเลี่ยน' นะคะ
หนูแดงจะอัพเต็มๆ ตอนแค่บทนำกับตอนที่ 1 เท่านั้น เพราะเล่มนี้มี 4+1 ตอน ไว้ให้อ่านเรียกน้ำย่อยกันจ้า ใครสนใจก็ไปจับจองได้นะ เล่มนี้จะจัดพิมพ์แค่รอบจองแรกเท่านั้น รอบสต็อก รอบตำหนิ รอบรีปริ๊นท์ไม่ทำแล้วนะคะ เลื่อนเวลาการจองกับโอนให้ถึงวันที่ 30 มี.ค.แล้ว รายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม เข้าไปอ่านที่นี่นะคะ >> รายละเอียดการจองแก๊งเกรียนเอเลี่ยน
------------------------------------------------

Alien’s Honeymoon คืนน้ำผึ้งพระจันทร์ของเอเลี่ยน: หนูแดงตัวน้อย
 
Prologue

ผมกับคีธใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาได้ระยะนึงแล้ว
ไม่สิ ต้องไม่ใช่ระยะนึง หลายปีเลยล่ะ เพราะตอนนี้เรามีลูกๆ ของเราอย่างคีตากับคินน์ก็อายุได้หลายขวบแล้ว
คีตาสิบขวบ คินน์เก้าขวบ...

อืม... ดูท่าแบบนี้ไม่เรียกว่าระยะนึงแล้วล่ะ เรียกว่าอยู่ด้วยกันมากว่าสิบปีแล้ว แต่ว่าเราเพิ่งจะแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันไปเมื่ออาทิตย์ก่อน เหตุผลที่จัดงานแต่งกับจดทะเบียนช้าก็ไม่มีอะไร ผมแค่อยากให้ลูกๆ โตพอที่จะเข้าร่วมและจดจำการแต่งงานของพ่อๆ ได้เท่านั้น

ซึ่งผลมันก็ออกมาดี คีตากับคินน์ดูตื่นเต้นกับงานแต่งมากกว่าตัวผมกับคีธเองเสียอีก ทุกอย่างจบลงด้วยความเรียบร้อย แต่ปัญหามันเกิดขึ้นหลังจากงานแต่งสิ้นสุดลง และไอ้เจ๊กริชาร์ดมันมากรอกหูผมว่าหลังแต่งงาน ก็ควรจะหาสถานที่โรแมนติกไปฮันนีมูนกัน มันบอกว่าจะได้เป็นความทรงจำดีๆ ระหว่างผมกับคีธ และเป็นการประสานความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้นด้วย เพราะมันเห็นผลมาแล้วหลังจากแต่งงานและไปฮันนีมูนกับแอสตันเมื่อหลายปีก่อน

ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจหรอก แต่พอเห็นคีธที่วันๆ เอาแต่เลี้ยงลูกอยู่บ้าน มีงานเมื่อไหร่ก็ค่อยออกไปทำอย่างนี้ ผมก็อดสงสารมันขึ้นมาไม่ได้ มันอุตส่าห์ทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนมาใช้ชีวิตอยู่กับผมทั้งที เห็นมันอุดอู้อยู่แต่บ้าน ทำงานบ้าน เลี้ยงลูกงกๆ ประหนึ่งขี้ข้ามาเป็นสิบปีแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะวางแผนหาวันเวลาว่างของตัวเอง ชวนมันไปฮันนีมูนกัน

แน่นอนว่าลูกๆ นี่ ผมฝากให้ริชาร์ดช่วยดูแล้ว มันก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะลูกมันจะได้มีเพื่อนเล่นด้วย ทว่าปัญหาใหญ่หลวงกว่าเรื่องฝากลูกนั้นก็คือ...

ผมไม่รู้ว่าจะพามันไปฮันนีมูนที่ไหนมากกว่า

ผมวางบรรดาโบชัวร์แพ็คเกจฮันนีมูนที่ปริ๊นท์ออกมาจากอินเทอร์เน็ตลงบนโต๊ะอย่างเหนื่อยอ่อน ที่ไหนๆ ก็ไม่เห็นว่าจะดูพิเศษสำหรับผมเลยสักที่ ถึงจะเป็นที่ยอดนิยมสำหรับคู่รักก็เถอะ แต่ไม่รู้ทำไมมันช่างธรรมดาสำหรับผมเหลือเกิน

ก็ผมแพลนไว้น่ะว่าสถานที่ที่ผมจะไปกับคีธ มันต้องพิเศษสุดๆ ชนิดที่ว่าไปถึงแล้วต้องร้องว้าว และต้องเป็นที่ที่ไม่ค่อยมีคนไปเยอะ

อย่างว่านะ มีผัวเป็นมนุษย์ต่างดาว จะไปฮันนีมูนทั้งที มาเอาที่ธรรมดาๆ ได้ยังไง

แต่จนแล้วจนรอด ผมก็เลือกไม่ได้ว่าควรจะไปที่ไหนดี สุดท้ายก็จำใจต้องลุกจากโต๊ะทำงาน เดินไปหาคีธที่อยู่ในห้องนั่งเล่นกับลูกๆ ก่อนจะกวักมือเรียกมันออกมาคุยเป็นการส่วนตัวในห้องครัว

คีธทำหน้างุนงงนิดหน่อยที่เห็นผมทำหน้าเครียด ก่อนจะทักออกมาทันทีที่เราทรุดตัวลงนั่งยังโต๊ะอาหารได้
 “มีอะไรหรือเปล่ากวินทร์ สีหน้าดูไม่ค่อยดี”
“คิดไม่ตกนิดหน่อย” ผมว่า
“เรื่อง?”
“ฮันนีมูน”

คีธคลายหัวคิ้วที่ย่นยู่ออกราวกับว่าเบาใจที่รู้ว่าเรื่องที่ผมคิดไม่ตกไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ก่อนจะเปิดโอกาสให้ผมได้พูดต่อ
“ฉันกำลังคิดว่าจะไปฮันนีมูนกับนายที่ไหนดีน่ะ แต่เลือกสถานที่ยังไม่ได้ เลยว่าจะมาถามนายนี่แหละว่านายอยากไปไหน”
“ถ้ามันลำบาก ก็ไม่ต้องไปก็ได้” คีธว่าพลางเอื้อมมือมาจับมือผมแล้วบีบเบาๆ สายตาที่มันมองมาบ่งบอกชัดเจนว่ามันโอเคถ้าไม่ได้ไปฮันนีมูน
แต่ผมไม่โอเคไง คือตัดสินใจไปแล้วว่าจะพามันไปก็คือพาไป ไม่มีมาเปลี่ยนใจทีหลัง
“ฉันจะไป นายจะได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย เราไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันสองต่อสองนานแล้ว ฉันเองก็ทำแต่งาน ยุ่งทุกวัน อยากจะมีเวลาให้นายบ้าง ส่วนลูกๆ ก็ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวไปฝากไว้บ้านไอ้ริชาร์ด” ผมว่าเสียงขุ่น
คีธเหมือนจะตระหนักได้ในตอนนี้ พยักหน้าแล้วคลายมือออกจากผม ทำท่าครุ่นคิดไปครู่หนึ่งแล้วก็พูดขึ้นมา
“งั้นกวินทร์ก็เลือกเถอะว่าอยากไปไหน ฉันไปไหนก็ได้ ขอให้มีกวินทร์อยู่ด้วย”
มันก็ยังน่ารักแบบนี้ตลอดจนผมเผลอยกมุมปากยิ้มออกมานิดหน่อย พลันถอนหายใจออกมา
“ก็เพราะไม่รู้ว่าจะพานายไปไหน ฉันเลยต้องมาถามนายไง”

คีธพยักหน้าอีกครั้งแล้วก็ไม่พูดอะไร ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมเราอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งผมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา
“นายอยากไปฮันนีมูนที่ไหน”
คิดว่าถามคีธน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดเพราะหัวผมในตอนนี้ตันไปหมดแล้ว
“กวินทร์ถามจริงหรือเปล่า” คีธเลิกคิ้วสูงขึ้นมาเล็กน้อย แววตาแพรวพราวราวกับตื่นเต้น
ผมรู้เลยว่ามันเองก็อยากไป เลยย้ำคำอีกครั้ง
“ถามจริง”
“ถามจริงๆ นะ” ยัง... มันยังถามไม่เลิก
“เออ เลือกสิว่าอยากไปฮันนีมูนกับฉันที่ไหน” ผมกระชากเสียงหน่อยๆ ที่มันไม่เชื่อคำพูดผมสักที

ตอนนี้คีธยิ้มออกมาเลย พลันว่าออกมาโดยแทบไม่หยุดคิด
“อยากไปมีอะไรกับกวินทร์ที่... กาแล็กซี่แอนดรอมิดา”

แอนดรอมิดาบ้านมึงสิไอ้คีธ! สติ! ตั้งสติ! กูไม่มีทางไปมีอะไรกับมึงในอวกาศหรอกเว้ย!

ผมแทบจะคว้าขวดเกลือที่วางอยู่บนโต๊ะปาใส่หัวมัน แต่ไม่ทันแล้ว พอมันพูดจบก็ลุกขึ้นพรวด ทำท่าลุกลี้ลุกลน ปากก็พึมพำไปด้วย
“ท่านเจโรว์...ต้องติดต่อท่านเจโรว์ ไม่สิ พระมเหสีเจเนซิสต่างหาก ยานเซนไทน์เร็วกว่า ใช้อันนี้ดีกว่า...”

แล้วก็หายออกจากห้องครัวไป เดาว่ามันคงจะไปโทรหาเจเนซิสด้วยการใช้แผ่นฟิล์มรับประสาทสัมผัสที่ใช้แปะขมับแล้วก็ติดต่อกันได้ด้วยการส่งโทรจิตเพื่อขอยืมยานแน่ ผมเลยรีบลุกตามมันไปก่อนที่มันจะเจรจากับทางนั้นเสร็จสิ้น

เรื่องอะไรจะต้องไปมีอะไรกับมันในอวกาศเล่า! บอกแล้วไงว่ากูชอบแบบธรรมดาสามัญ อยู่แค่บนเตียงก็พอเว้ย ไม่พอก็ไปที่ระเบียง ห้องครัวห้องน้ำก็มี มึงไม่ต้องทะลุออกนอกโลกได้มั้ยไอ้คีธ!

ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
 :m3: อร๊ายยยยย กวินทร์จ๊ะ สามีเธอนี่น่า(ลัก)ซะจริงๆเลย
รอรวมเล่มจ้าคนแต่งจ๋า  :กอด1:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
[ตัวอย่าง] Alien's Honeymoon

ตัวอย่างตอนแรกมาแล้วค่ะ จะอัพตัวอย่างตอนที่ 2 ให้อ่านชิมลางกันอีกครึ่งตอนนะคะ ที่เหลือไปตามหนังสือเอาเน้อเพราะเล่มนี้ค่อนข้างสั้นนิดนึง เล่มนี้คือคีธกับกวินทร์คนเดิม เพิ่มเติมคือความเกรียนและหื่น 555
---------------------------------------------

[Sample]Episode 01: Failed honeymoon[1]

[Kawin’s Part]

ผมว่าผมคิดผิดอย่างแรงเลยที่เสนอหน้าไปถามไอ้คีธมันว่าอยากไปฮันนีมูนที่ไหน ยังไม่ทันได้ตกลงด้วยซ้ำว่าจะไปที่กาแล็กซี่แอนดรอมิดากับมันมั้ย มันก็จัดการติดต่อเจเนซิส ขอยืมยานขนาดเล็ก ยืมชุดบอดี้สูทสำหรับปฏิบัติการในยาน รวมถึงขอร้องให้เจเนซิสผลิตยาสำหรับปรับสภาพร่างกายผมให้เหมาะสมกับการออกนอกโลกไปกับมันด้วย

ตอนแรกผมก็หวังในใจว่าเจเนซิสคงจะทำไม่สำเร็จ เพราะสิ่งที่คีธขอนั้นจำเป็นต้องทำใหม่หมด ทั้งชุดบอดี้สูท ทั้งยาอะไรนั่นที่ไม่มีตั้งแต่แรก ด้วยของพวกนั้นล้วนทำมาเพื่อให้ชาวยูนิกมาใช้เท่านั้น ทว่าผมกลับคิดผิด แค่ใช้เวลาเพียงสองอาทิตย์ ของที่คีธอยากได้ก็ถูกส่งตรงจากเซนไทน์มาที่นาซาเป็นที่เรียบร้อย แถมยังกำชับให้เจโรว์ พ่อของเจเนซิสที่ยังอยู่ที่นี่ช่วยดูแลเตรียมความพร้อมให้ผมอีก กลายเป็นว่าตอนนี้ผมเลยปฏิเสธคีธไม่ได้เลย

พวกมึงไม่ต้องสนับสนุนให้มันไปมีอะไรกับกูที่กาแล็กซี่อื่นกันได้มั้ยเล่า!

ผมล่ะอยากจะด่าพวกมันฉิบ แต่พอได้ยินเจเนซิสมันโทรทางไกลด้วยแผ่นชิปโทรจิต พร้อมอวยพรขอให้มีช่วงเวลาดีๆ ผมก็ด่าไม่ออก ยิ่งได้เห็นสีหน้าคีธซึ่งปกติจะนิ่งเรียบตลอดเวลายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวเป็นบ้าเป็นหลัง นับวันรอคอยที่จะได้ไปฮันนีมูนกับผม ผมก็ยิ่งด่าไม่ลงใหญ่

สุดท้ายก็ต้องไปกับมันล่ะ...

แต่ก่อนถึงวันเดินทางอาทิตย์นึง ผมต้องไปที่นาซาเพื่อฝึกการใช้ชีวิตบนยานขณะเดินทางภายใต้การดูแลของเจโรว์ เหตุผลที่ต้องฝึกก็คือผมเป็นมนุษย์โลกคนแรกที่ได้ขึ้นยานเซนไทน์ที่มีการเคลื่อนที่รวดเร็วพอๆ กับความเร็วแสง จึงมีความเป็นไปได้ที่ร่างกายผมอาจได้รับผลกระทบหากไม่ปรับให้ชินล่วงหน้าเสียก่อน แม้ว่าจะมีชุดบอดี้สูทช่วยปรับสมดุลร่างกายให้เป็นปกติแล้วก็ตาม แต่นั่นก็เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่มีมนุษย์โลกใส่ชุดนี้ ดังนั้นจึงไม่มีการรับรองผลใดๆ ทั้งสิ้นว่าจะไม่มีผลข้างเคียงหรือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผมเลยต้องเอาคีตากับคินน์ไปฝากไว้ที่บ้านริชาร์ดตั้งแต่ก่อนไปฝึก แล้วแทนที่ริชาร์ดกับแอสตันมันจะปฏิเสธ อ้างว่ายุ่งหรืออะไรก็ได้ ผมจะได้เอาไปเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธคีธว่าไม่ไปฮันนีมูนกับมันที่นั่น แล้วหาที่ฮันนีมูนที่อื่นบนโลกแทน ทว่าไอ้เพื่อนเวรกับผัวมันดันไม่ห้ามสักแอะ ส่งเสริมอีกต่างหาก โดยเฉพาะริชาร์ดที่พร่ำบอกผมไม่หยุดว่ากลับมาเมื่อไหร่ ให้มาเล่าประสบการณ์การมีเซ็กส์ในภาวะไร้แรงโน้มถ่วงให้ฟังด้วย

บ้านมึงเถอะ! มึงคิดเหรอว่ากูจะทำอย่างนั้นน่ะ!

...บอกเลยว่ามีความเสี่ยง

ถึงผมจะคิดว่าไม่มีทางทำ แต่แค่ไปฝึกการเคลื่อนไหวร่างกายในภาวะไร้แรงโน้มถ่วงภายในศูนย์ปฏิบัติการการบินพร้อมกับคีธ ไอ้บ้าคีธก็ตั้งท่าจะปล้ำผมทุกทีที่พ้นสายตาคนอื่น ดีนะที่ฝึกกับพวกยูนิกมา ไอ้พวกนี้มันประสาทสัมผัสดี แค่ได้ยินผมโวยวายนิดเดียว เจโรว์ซึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่ก็ปรามคีธไว้แล้วด้วยไม่ต้องการให้การฝึกเสียเรื่อง ผมเลยรอดตัวจากการโดนไอ้เวรคีธทำการหื่นกามในขณะที่ตัวลอยเคว้งอยู่ในอากาศไป

และโชคดียิ่งกว่าที่พอถึงวันเดินทางจริง ผมไม่ต้องลอยเคว้งอยู่ในยานอย่างที่ฝึกมาตลอดอาทิตย์ ไอ้การฝึกนั่นเป็นไปเพื่อหากอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่นบางส่วนของยานไม่ทำงานแล้วมีการเปิดระบบให้ทุกอย่างอยู่ใต้ภาวะไร้แรงโน้มถ่วง ผมจะได้ไม่มีปัญหา แต่ผมก็ไม่ได้กังวลอะไรเพราะตอนเดินทางจริง มันเป็นการนั่งเก้าอี้ประจำการ รัดเข็มขัดล็อคกับเก้าอี้เหมือนกับนั่งรถยนต์เด๊ะๆ ก่อนที่ยานจะออกเดินทางด้วยระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ และแน่นอนว่าผมก็ไม่ได้กลัวเท่าไหร่กับการต้องออกไปนอกโลกอย่างนี้ ด้วยตระหนักดีกว่าชุดบอดี้สูทกับยาที่เจเนซิสคิดค้นมาให้ผมกินช่วยปรับสภาพร่างกายของผมในระดับที่เรียกว่าปลอดภัยไร้ห่วงแล้ว

แม้จะยังไม่รู้ถึงผลข้างเคียงกับประสิทธิภาพการทำงานของมัน แต่ก็นับว่าทำงานได้ดีเพราะตอนที่ยานออกเดินทางด้วยความไวแสง ผมไม่มีอาการอะไรเลย ออกจะปรับตัวได้เร็วกับการเคลื่อนที่ชนิดวาร์ปแบบนี้ด้วยซ้ำ

ทว่าพอผ่านไปสักพักเท่านั้นแหละ ของที่กินเข้าไปก่อนขึ้นยานก็ตีดันกระเพาะขึ้นมาจนเกือบจะอ้วกเกลื่อนยานไปหลายรอบ

ไม่เกือบล่ะ... อ้วกเลยเถอะ โคตรวิกฤตเลยเนี่ย!

รู้เลยว่านี่คือผลจากการทำงานไม่ได้ประสิทธิภาพของยา

ไหนมึงกับพ่อมึงบอกว่าปลอดภัยไร้ห่วงไงวะไอ้เจเนซิส! กูว่าแล้วเชียวว่าเมียเก่าอย่างมึงมันไว้ใจไม่ได้ กะจะขัดขวางการฮันนีมูนของกูกับคีธแบบเนียนๆ ล่ะสินะ!

อาการของผมไม่ค่อยดี คีธเลยต้องคอยดูแลตลอดการเดินทางไปยังกาแล็กซี่แอนโดรมิดา ผมไม่รู้เลยว่าเราใช้เวลาเดินทางกันนานแค่ไหนด้วยเอาแต่หลับตลอดทางเพราะมึนหัว รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถึงยังเอเลี่ยนพอร์ท ดาวซึ่งเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในกาแล็กซี่แอนโดรเมดา

ผมสงสัยเล็กน้อยที่เห็นดาวดวงนี้อึมครึมคล้ายกับช่วงโพล้เพล้บนโลกทั้งที่คีธบอกว่ามันเพิ่งจะเป็นเวลาเที่ยงของที่นี่ มารู้อีกทีก็ตอนคีธอธิบายว่าเพราะดาวดวงนี้อยู่ห่างไกลจากส่วนที่สว่างที่สุดของกาแล็กซี่พอสมควร เลยทำให้ดาวดวงนี้มืดครึ้มตลอดเวลา แต่ถือว่าเป็นดาวที่มีสภาวะทางชั้นบรรยากาศปลอดภัยที่สุดแล้วหากเทียบกับดาวดวงอื่นๆ ในละแวกนี้ ถึงได้ถูกเลือกให้เป็นดาวเมืองท่า

กระนั้นก็ไม่ได้มีความปลอดภัยสำหรับมนุษย์โลกอย่างผม ออกมาสัมผัสอากาศของดาวดวงนี้แล้ว ผมก็ยิ่งมึนหัวเข้าไปใหญ่ คีธบอกว่าอาจเป็นเพราะความกดอากาศของดาวดวงนี้ต่ำ ผมที่ยังไม่หายมึนจากการถูกวาร์ปเลยมีปฏิกิริยาอ่อนแอ แต่ก็ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่นัก ไม่ถึงขั้นน่าเป็นห่วง พักสักหน่อยคงจะดีขึ้น

...ดีขึ้นบ้านมึงเถอะไอ้คีธ กูหันไปอ้วกอีกรอบแล้วเนี่ย!

ทั้งหงุดหงิดไอ้เจเนซิสที่เหมือนจงใจแกล้งให้ผมตกอยู่ในอาการแสนจะทรมาน ทั้งหงุดหงิดไอ้คีธที่นึกบ้าอะไรไม่รู้ถึงได้อยากมาฮันนีมูนที่นี่ ถึงจะรู้ตั้งแต่ก่อนมาแล้วก็เถอะว่ามันต้องการให้ผมได้เปิดหูเปิดตา ได้เห็นอะไรใหม่ๆ และหลากหลายอย่างที่ไม่เคยเห็น ที่สำคัญ มันอยากมีช่วงเวลาดีๆ กับผมในช่วงฝนดาวตกที่กำลังจะมาถึงในวันมะรืนก็ตาม

และใช่... มันเลือกมาที่นี่เพราะได้ยินข่าวมาว่าที่กาแล็กซี่นี้จะมีปรากฏการณ์ฝนดาวตกครั้งใหญ่ในรอบหลายศตวรรษ มันก็เลยอยากให้ผมได้เห็นน่ะ มันบอกว่าโรแมนติกดี

พอตระหนักถึงเหตุผลนี้ ผมก็เลยกลืนคำด่าลงไป ผมเองก็อยากจะมีช่วงเวลาดีๆ กับมันเหมือนกันแม้จะคิดว่าการหลวมตัวมากับมันที่นี่โคตรจะเป็นเรื่องงี่เง่าเลย

เอาเถอะ แค่สามวันเอง อดทนหน่อยก็แล้วกัน

ส่วนไอ้เรื่องชื่อดาวเอเลี่ยนพอร์ทนี่ ตอนแรกที่คีธบอก ผมก็แปลกใจเหมือนกันนะว่าทำไมถึงมีชื่อนี้ พอได้มาเห็นกับตาตัวเองก็ไม่แปลกใจละ แม่งมีมนุษย์ต่างดาวมากหน้าหลายตามาก ถึงจะเป็นสปีชีส์ฮิวมานอยด์ที่มีสองมือสองขาเหมือนกับมนุษย์โลก แต่ขนาดตัว สี และรูปร่างหน้าตาก็แตกต่างกันออกไป จนผมเกือบจะหายมึนหัวฉับพลัน แปรเปลี่ยนเป็นกังวลขึ้นมาแทน

จะไม่ให้กังวลได้ไงวะ เป็นมนุษย์โลกคนเดียวท่ามกลางมวลหมู่มนุษย์ต่างดาวสารพัดสายพันธุ์ แถมยังได้ชื่อว่าเป็นสายพันธุ์ที่ล้าหลังโคตรๆ อีก ถูกพวกมันมองมาแบบแปลกๆ ประหนึ่งอยากจะถามว่ามนุษย์โลกอย่างผมมาโผล่หัวอยู่ที่นี่ได้ยังไง ผมก็ต้องกังวลอยู่แล้ว

“ไม่ต้องกังวลนะกวินทร์ มากับฉัน ไม่มีอะไรต้องให้กังวลทั้งนั้น”

เพราะผมแสดงอาการผ่านสีหน้าออกมาชัดเจน คีธที่เดินขนาบข้างพาผมไปขึ้นยานเคลื่อนที่ทางบกที่ทางโรงแรมซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเรียกเป็นภาษาเอเลี่ยนว่าอะไรส่งมารับก็ว่าขึ้น

ผมพยักหน้าให้มันแล้วเบนความสนใจไปที่ยานนั่นแทน มันก็คล้ายๆ กับรถสปอร์ตเปิดประทุนน่ะนะ เพียงแต่ไม่มีล้อ และขับเคลื่อนไปบนอากาศได้เท่านั้น ได้ยินคีธบอกว่าที่ดาวนี่มีกฎหมายควบคุมการบินห้ามบินสูงเกินกี่เมตรๆ ด้วย แล้วที่มันบอกว่าไม่ต้องกังวลก็เป็นเพราะทั้งผม ทั้งมันได้รับการต้อนรับจากพนักงานโรงแรมเป็นอย่างดีราวกับเป็นคนสำคัญ

เกือบจะลืมไปแล้วว่ามันเป็นผู้พิทักษ์คนดังของจักรวาล แถมยังเป็นชาวยูนิกมาที่มนุษย์ต่างดาวยกย่องให้เป็นชนชาติชั้นสูงและเกรงอกเกรงใจกันถ้วนหน้าอีก จะต้องไปกังวลเรื่องอะไรล่ะ

ผมก็เลยวางตัวตามสบาย หากแต่วางตัวสบายได้ไม่นาน อาการมึนหัวก็ทำให้ผมหมดความตื่นเต้นด้วยมันทำให้ร่างกายผมเหนื่อยล้ามากกว่าเดิม หัวนี่อยากจะเอาลงไปแนบกับหมอนให้ได้ทั้งที่ผมควรจะตื่นเต้นเมื่อเรามาถึงยังห้องพักและพบกับความอลังการของห้องนี้

จะว่ายังไงดีล่ะ มันเป็นห้องพักแบบที่ไม่มีในโลกมนุษย์น่ะ แบบว่าพอเดินเข้ามาในห้องปุ๊บ ปิดประตูปั๊บ ไอ้ห้องทรงกลมคล้ายลูกบอลก็ยื่นออกไปจากตัวอาคารคล้ายกับกิ่งก้านของต้นไม้โดยอัตโนมัติ บานหน้าต่างที่มองเห็นได้จากด้านในเพียงด้านเดียวก็ทำให้มองวิวทิวทัศน์ได้รอบทิศ ส่วนเพดานด้านบนก็เป็นกระจกแบบมองเห็นด้านเดียวเช่นกัน เงยหน้าขึ้นไปก็จะเห็นแสงสีของดวงดาวสารพัดเปล่งประกาย

ทว่าผมมองได้ครู่เดียวก็กระโจนขึ้นเตียงทันที ขณะที่คีธติดต่อหาเจเนซิสเพื่อถามว่าควรทำยังไงกับผมดี เจเนซิสให้คีธป้อนยาปรับสมดุลร่างกายอีกเม็ดแล้วให้นอนพักก่อน ผ่านไปหลายชั่วโมงทีเดียว ผมถึงมีอาการดีขึ้น

“เป็นไงบ้างกวินทร์ หายมึนหัวหรือยัง” คีธที่นอนอยู่ข้างๆ บนเตียงถามขึ้นทันทีที่ผมเปิดเปลือกตาขึ้นหลังจากงีบหลับไปครู่ใหญ่เมื่อกี้
“อืม ดีขึ้นมากแล้ว มึนหัวอยู่นิดหน่อย แต่น่าจะออกไปเดินเที่ยวกับนายได้” ผมพยักหน้ารับ
“นึกว่ากวินทร์จะไม่ไหวซะแล้ว” คีธยิ้มบางๆ สีหน้าดูดีใจที่แผนการฮันนีมูนที่มันเตรียมไว้เป็นอย่างดีไม่ล่มเพราะผม
ผมเห็นมันมีสีหน้าระรื่นทันตาก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ แกล้งถามยียวน
“ถ้าฉันไม่ไหว นายจะทำยังไงฮะ”
“ก็คงต้องพากวินทร์กลับดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ขืนให้กวินทร์อยู่ต่อ มันจะส่งผลกระทบต่อร่างกาย”

ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่าคำตอบของมันจะต้องเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมไม่เป็นอะไรแล้ว ถึงจะยังไม่กลับมาเต็มร้อย ทว่าผมก็ไม่ยอมให้ทุกอย่างล่มเพราะผมหรอก ก็มันตั้งใจเตรียมการทุกอย่างขนาดนี้ ผมจะมาป่วยให้มันใจเสียได้ยังไง

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า” ผมเลยบอกให้มันคลายกังวล
มันทำสีหน้านิ่งเรียบ หากแต่ดูแววตาก็รู้ว่าเป็นห่วงอยู่ ผมเลยดันตัวขึ้นนั่ง โน้มหน้าไปจูบมันเบาๆ
“บอกแล้วไงว่าฉันไม่เป็นไร อย่ามากังวลไม่เข้าเรื่อง เดี๋ยวฉันก็หมดสนุกพอดี นี่ฮันนีมูนนะ ฉันจะมาป่วยให้นายอดทำเรื่องที่อยากทำกับฉันได้ไง” จูบเสร็จก็แกล้งดุมันนิดๆ คีธก็เลยยิ้มออก

แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดที่พูดอย่างนั้น พอสิ้นเสียง ใบหน้ามันก็มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์โผล่ขึ้นมาทันที
“นั่นสินะ ฮันนีมูน...ก็ต้องทำเรื่องที่อยากทำกับกวินทร์สิเนอะ”

เรื่องที่มึงอยากทำก็เรื่องอย่างว่าล่ะสิ กูรู้หรอก!

ไม่ต้องถามก็รู้คำตอบเลย แค่สิ้นเสียงมันเท่านั้น มันก็ลุกขึ้นมาคร่อมตัวผมเอาไว้ ดันผมแนบลงไปบนเตียงด้วยความเร็วแสงชนิดผมตั้งตัวไม่ทัน แถมยังไม่ทันจะได้ร้องห้ามด้วย มันก็ประทับจูบลงมาบนเรียวปากผมแล้ว บดจูบแผ่วเบาก่อนเพิ่มระดับความหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนผมแทบหายใจไม่ทัน มือไม้ก็จัดการกดปุ่มอะไรสักอย่างบนชุดบอดี้สูทที่ผมสวมอยู่ให้คลายตัวออกเพื่อง่ายต่อการถอด

พริบตาเดียว บอดี้สูทช่วงบนก็ถูกแหวกออกจากกัน เผยให้เห็นหน้าอกของผมแล้ว ฝ่ามืออุ่นร้อนวางนาบลงมาบนแผ่นอกก่อนลูบไล้ไปยังตุ่มไตจนกระทั่งมันชูชันขึ้นมา และคีธก็ทำให้มันชูชันยิ่งกว่าเดิมด้วยการบดเบียดปลายนิ้วกระตุ้นจนผมหลุดปากคราง

“อา...คีธ...”
เป็นประโยคเดิมๆ ที่ติดปากผมเวลาเรามีอะไรกัน คีธไม่เคยบ่นว่าเบื่อ มีแต่บอกว่าชอบฟัง และดูท่าทางเสียงของผมเมื่อครู่จะไปกระตุ้นความกำหนัดของมันให้มากขึ้น เพราะมันเริ่มจูบผมอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ผมรู้สึกเลยว่าตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ ดีที่มันถอยออกห่าง ไล่จูบลงไปยังกกหูและลำคอก่อน ไม่งั้นผมคงได้เป็นลมแน่

ปลายลิ้นร้อนไล้โลมลงต่ำไปยังไหปลาร้า และลากยาวไปยังยอดอกทั้งสองข้าง ความซาบซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่างผมให้ได้เกร็งตัวแข็ง สองมือกำเส้นผมนุ่มของคนตัวใหญ่ผมร่างตัวเองแน่น ตามมาด้วยเสียงหายใจหอบหนักราวกับจะตายให้ได้

ทะ...ทำไมวันนี้มันดุเดือดจังวะ หรือว่าเพราะเป็นฮันนีมูน บรรยากาศได้ มันเลยหื่นกว่าปกติ?

คงจะเป็นอย่างนั้นแหละผมว่า ทั้งจูบ ทั้งขบเม้มอย่างหื่นกระหายราวกับไม่เคยได้เสียกันมาก่อนทั้งที่ทำกันจนลูกๆ เรียนประถมหมดแล้ว แต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนดุดันและรุนแรงเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย

ดุดันและรุนแรงจริงๆ ยิ่งตอนมันเลื่อนมือไปสัมผัสยังแก่นกายของผม กระตุ้นเร้าให้น้ำสีใสซึมออกมา ผมก็รู้เลยว่าหลังจากนี้อีกไม่นาน ผมคงได้เอวเดาะ สะโพกครากกันไปข้างแน่

“อื้อ...คีธ...จะ...ใจเย็นๆ” ผมถึงกับต้องร้องบอกมันเมื่อมันจัดการทุกอย่างรวดเร็วเกินไป

เสี้ยววินาทีเดียว จากที่สัมผัสด้วยมืออยู่ ตอนนี้ส่วนกลางลำตัวของผมหายเข้าไปในปากมันแล้ว ทว่าคีธไม่ฟังสักนิด เงยหน้าฉ่ำปรือไปด้วยแรงพิศวาสขึ้นมองผมเล็กน้อย ก่อนจะกดปุ่มบนบอดี้สูทให้คลายตัวแล้วจัดการดึงเสื้อผ้าออกจากตัวบ้าง ผมมองมันได้แป๊บเดียวก็มาอยู่ในท่วงท่าพร้อมจะถูกเผด็จศึกเรียบร้อย

“ฉันว่านายจะรีบร้อนเกินไปแล้วนะ” ผมว่า
ไม่ใช่ว่าผมไม่พร้อม ร่างกายพร้อมสำหรับการเป็นหนึ่งเดียวกับมันแล้วล่ะ แต่กลัวว่ามันจะจัดหนักให้ผมตั้งแต่วันแรกจนผมไม่มีเรี่ยวแรงไปเที่ยวกับมันต่อต่างหากน่ะ ก็ตอนนี้ยังมึนหัวไม่หายเลย เริ่มวิ้งขึ้นมาอีกแล้วด้วยเนี่ย สงสัยคงจะเป็นเพราะหายใจถี่จนขาดออกซิเจนเมื่อกี้นี้

“ฉันรอจะกอดกวินทร์ไม่ไหวแล้ว”

มันดุเดือดเลือดพล่านจริงๆ ด้วยแฮะ ผมก็ไม่อยากจะห้ามมันหรอกนะ เห็นมันส่งสายตาอ้อนวอนเป็นลูกหมาพร้อมเสียงกระเส่ามาแบบนี้ ใจผมก็อ่อนยวบ ยิ่งร่างกายพร้อมจะรวมร่างกับมันแล้ว ยิ่งไม่ต้องถามว่าพร้อมแค่ไหน

มาเลย มึงมา เอวจะเดาะ สะโพกจะครากก็ให้มันเป็นไป!

หากแต่พอคีธโถมตัวเข้ามาในร่างกายผมและเริ่มเคลื่อนไหว ความมึนหัวก็ก่อตัวมากขึ้น กอปรกับการหายใจหอบถี่ที่ทำให้รับออกซิเจนไม่พอก็จู่โจมจนอารมณ์กลัดมันของผมค่อยๆ เลือนหายไป กลายเป็นผมต้องเบ้หน้าเหยเกออกมา ปากก็ไม่พูดให้มันหยุดหรอกด้วยไม่อยากจะขัดใจมัน ทว่ามันดันสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของผมได้เสียก่อน มันก็เลยหยุดเคลื่อนไหวโดยที่ผมไม่ได้ขอ

“เป็นอะไรหรือเปล่ากวินทร์ สีหน้าไม่ค่อยดี” ถามขึ้นมาด้วย
“ไม่...ไม่เป็นไร ทำต่อเถอะ” ผมรีบปั้นหน้าให้เป็นปกติทั้งที่จะเป็นลมให้ได้อยู่รอมร่อ เหงื่อกาฬไหลอาบชุ่มไปทั่วตัว
ทว่าถึงผมจะแสร้งทำสีหน้าให้เป็นปกติได้ แต่ก็ไม่สามารถปรับสีของใบหน้าที่ซีดขาวให้เป็นปกติได้ คีธมองผมอยู่ครู่หนึ่งก็เป็นฝ่ายถอนตัวออก ขณะที่ผมเลิกคิ้วสูง

“เอ้า หยุดทำไม”
“กวินทร์ไม่สบายขนาดนี้ จะให้ฉันฝืนกวินทร์ได้ยังไง” มันว่า ยื่นมือมาดันไหล่ผมที่พยายามจะลุกขึ้นนั่งให้ลงไปนอนเหมือนเดิม ดันอย่างเดียวไม่พอ จัดท่าทางให้ได้นอนสบายๆ อีก ผมนี่มองมันอย่างสำนึกผิดเลย
“คีธ...”
“กวินทร์ พักซะ” คีธตัดบทก่อนที่ผมจะได้พูดจบด้วยซ้ำ ผมเลยต้องพูดขึ้นมาอีก
“คีธ ฉันไม่เป็นอะไร ทำเถอะ เดี๋ยวฮันนีมูนจะกร่อยเอา”
“มันจะกร่อยกว่าถ้าฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้กวินทร์ไม่สบาย พักก่อน ไว้อาการดีขึ้นแล้วค่อยว่ากัน”

พูดมาอย่างนี้ ผมก็จะโวยวายว่ามาแค่สามวัน ถ้าหากผมไม่หาย ก็เท่ากับว่าเสียเวลาไปฟรีๆ หากแต่พอถูกมันโน้มหน้าลงมาจูบหน้าผาก คำโวยวายที่ตั้งใจจะโพล่งไปเมื่อครู่ก็อันตรธานหายไปหมดเมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยของคนตรงหน้า
“นอนซะกวินทร์ ตื่นมาแล้ว ฉันจะพาออกไปเดินเล่น”
เนี่ย! ก็มันเป็นซะแบบนี้ ใจดีกับผมเกินไป ตามใจผมเกินไปด้วย แล้วจะไม่ให้ผมรู้สึกผิดได้ยังไง อุตส่าห์ตั้งใจมาฮันนีมูนเพื่อสร้างช่วงเวลาดีๆ กับมันและตั้งใจให้มันได้พักแท้ๆ ไหงกลายเป็นแบบนี้ได้วะ!
 



ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
[Sample]Episode 01: Failed honeymoon[2]

ถึงจะอยากเถียงแทบตายว่าฮันนีมูนครั้งนี้สำคัญแค่ไหน แต่ร่างกายผมก็ไม่ยอมให้ผมได้อยู่เถียงต่อเลย เพียงถูกคีธลูบหัวกล่อมให้หลับ ผมก็เข้าสู่ห้วงนิทราได้อย่างง่ายดาย ตื่นมาอีกทีก็ตอนหัวค่ำแล้ว คีธก็เลยพาผมลงมาหาอะไรกินที่ล็อบบี้โรงแรม อาหารของพวกมนุษย์ต่างดาวนี่ ผมไม่รู้หรอกว่าทำมาจากอะไร แต่ก็ถือว่ากินได้ แบบว่าเชื่อคีธน่ะ แค่คีธบอกว่าอะไรที่มนุษย์โลกอย่างผมกินได้ ผมก็กินหมด

ส่วนไอ้อาการเวียนหัว ตอนนี้ดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้วล่ะ แต่ยังมีมึนๆ อยู่บ้าง ทว่ารอบนี้ผมไม่บอกมันหรอกตอนที่มันถามว่าอาการเป็นยังไงเพราะอยากจะไปเดินเล่นข้างนอกมากกว่า ได้แต่บอกว่าหายเป็นปลิดทิ้ง ก็ขืนบอกว่ายังมึนอยู่ เดี๋ยวมันได้ลากผมขึ้นห้องทันทีที่กินมื้อเย็นเสร็จแน่ เป็นอย่างนั้นก็หมดสนุกพอดี

แต่ผมจะไปโกหกอะไรมันได้ แค่มันเห็นสีหน้าฝืนๆ ของผม มันก็รู้แล้วว่าผมอยู่ในอาการแบบไหน เท่านั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาจะลากผมกลับขึ้นห้องให้ได้ทั้งที่ผมเพิ่งจะร้องบอกมันไปเมื่อกี้ว่าอยากไปเที่ยว ไม่อยากอุดอู้อยู่ในห้อง แล้วมันฟังมั้ย... ไม่ ช้อนผมขึ้นอุ้มในอ้อมแขนเรียบร้อย

“ฉันอยากเที่ยวนะเว้ย มาตั้งไกล ให้มานอนอยู่แต่ในห้อง ฉันไม่เอา!” สุดท้ายผมก็โวยวายจนได้ ทำเอาแขกโต๊ะอื่นที่อยู่ในล็อบบี้หันมามองเป็นตาเดียว
“แต่กวินทร์ป่วย...”
“ก็นี่มันฮันนีมูน ถึงจะป่วย ฉันก็อยากเที่ยว อย่างน้อยๆ ก็ไปนั่งเล่นที่เลาจน์ก็ได้ ฉันอยากไปดูว่ามนุษย์ต่างดาวอย่างพวกนายเที่ยวกลางคืนกันยังไง!” ผมบุ้ยปากไปยังทางเข้าเลาจน์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากล็อบบี้มากนัก

เป็นเลาจน์หรือเปล่าก็ไม่รู้ ได้ยินเสียงเพลงลอยมากับบรรยากาศมืดๆ ผมก็คิดเอาเองแล้วว่าใช่ คีธปรายตามองไปครู่หนึ่ง ทำท่าเหมือนจะปฏิเสธ ผมก็เลยชิงพูดขึ้นก่อน

“นะ ฉันอยากเที่ยวจริงๆ” ไม่ใช่พูดหรอก อ้อนดีกว่า
คีธเลยยอมจำนนแต่โดยดีด้วยร้อยวันพันปี ผมไม่ทำท่าทางอ้อนมันแบบนี้ แต่ก็ไม่วายกำชับให้ผมได้บุ้ยปาก
“ให้เวลาชั่วโมงเดียว”
“เออ ไอ้เผด็จการ” ผมค่อนขอด ก่อนมันจะปล่อยผมลงยืนบนพื้นแล้วพาเข้าไปข้างในนั้น
 



ด้านในก็คล้ายๆ กับเลาจน์ในโลกมนุษย์ เพียงแต่ดนตรีและบรรยากาศมันค่อนข้างจะแปลกหูแปลกตาสำหรับผม แปลกยิ่งกว่าก็คือเครื่องดื่ม มันไม่ใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ผมเลยปฏิเสธอย่างชัดเจนว่าไม่ดื่ม แค่จะมานั่งชมบรรยากาศเท่านั้น ดูเหมือนคีธจะชอบเสียด้วยที่ผมว่าอย่างนี้

ก็มันน่ะเกลียดการดื่มอย่างกับอะไรดี แบบว่ามันมีความหลังฝังใจตั้งแต่ที่ผมเคยพยายามจะทำแท้งมันสมัยยังไม่ได้รักกันด้วยการดื่มเหล้าเยอะๆ น่ะ

ผมนั่งดูมนุษย์ต่างดาวหน้าตาแปลกๆ เต้นกันสุดเหวี่ยงไปเรื่อย นั่งสักพักก็เริ่มมึนหัวมากขึ้น ผมเลยทำท่าจะบอกคีธว่าไม่ไหว ให้พาผมกลับขึ้นห้อง หากแต่ไม่ทันที่จะได้เรียกมัน เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ท่านผู้พิทักษ์คีทาเย”
“ฟิลลิเอีย” คีธทักกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้หญิงที่มีร่างกายสีฟ้า สวมเสื้อผ้าดูคล้ายกับชุดคลุมสีขาวเดินเข้ามาหา ก่อนที่ยัยนั่นจะเดินเข้ามานั่งข้างคีธอย่างถือวิสาสะ

เฮ้ยๆ จะมากไปแล้ว กูก็นั่งอยู่ตรงนี้เนี่ย ช่วยเกรงใจกูด้วย!

ผมส่งสายตาดุๆ ให้คีธมันรัวๆ เป็นสัญญาณให้มันถอยออกห่างจากยัยนั่น ทว่ายัยหน้าฟ้าก็โพล่งขึ้นมาก่อน

“ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ บังเอิญจังเลยที่ได้เจอท่านที่นี่ เอ...ได้ข่าวว่ามีแม่พันธุ์เป็นชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงิน คงจะเป็นคนนี้ล่ะสิ” พูดแล้วก็ปรายตามองมาทางผม ส่วนคีธก็พยักหน้า
“อืม ชื่อกวินทร์”
“รู้แล้วล่ะ เจเนซิสบอกแล้ว อ๊ะ ไม่สิ องค์ราชินีแห่งเซนไทน์ต่างหาก”

ผมหงุดหงิดนิดหน่อยที่จู่ๆ ยัยคนที่ชื่อฟิลลิเอียอะไรนี่พูดถึงเจเนซิสขึ้นมา หากแต่หงุดหงิดได้ไม่เท่าไหร่ คีธก็ขยับมานั่งข้างผมแล้วแนะนำตัวยัยนั่นขึ้นมาก่อน
“ฟิลลิเอียเป็นชาวดาวโพชัน เป็นดาวที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้รักษาและเป็นแหล่งวิทยาการทางการแพทย์ที่สำคัญของจักรวาล เป็นสหายเก่าของฉัน เคยไปรบด้วยกันตอนสงครามปราบปรสิตอวกาศเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ฟิลลิเอียอยู่กองคลังแพทย์ ฉันอยู่กองรบ”

ฟิลลิเอียยิ้มรับให้กับการแนะนำตัวนั้น ก่อนจะยกมือขึ้นไขว้ที่หน้าอก ก้มหัวให้ผมนิดนึง
“ยินดีที่ได้รู้จักแม่พันธุ์ของท่านผู้พิทักษ์”
ผมเลยเงอะๆ งะๆ ขึ้นมา ก้มหน้าทักทายกลับไปบ้างให้ยัยนั่นได้หัวเราะคิกออกมา
“น่ารักจัง”
โดนผู้หญิงชมแบบนี้หลังจากไม่ได้ถูกผู้หญิงชมมาหลายปีก็เขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกแฮะ ผมเลยยิ้มแก้เขินให้ไป ทว่าคีธกลับทำหน้าเข้มขึ้นมาฉับพลัน หากแต่ฟิลลิเอียไม่ทันสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ ชวนคุยขึ้นมา

“แล้วนี่มาทำอะไรกันที่นี่เหรอท่านผู้พิทักษ์ ได้ยินว่าท่านไปลงหลักปักฐานอยู่ที่ดาวเคราะห์สีน้ำเงินแล้วนี่”
“ฮันนีมูน” คีธว่าเสียงเรียบ แววตาบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์สุดๆ
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่ามันน่าจะมีเรื่องไม่ชอบใจบางอย่างกับฟิลลิเอีย ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้ครุ่นคิด มันก็ตัดบทเอาดื้อๆ
“ฉันคงต้องขอตัวก่อน กวินทร์ไม่ค่อยสบาย จะพาไปพัก”
ผมถูกดึงให้ลุกขึ้นในทันที ส่วนฟิลลิเอียก็รีบแทรกเมื่อเห็นว่าคีธกำลังจะพาผมไป

“ถ้าไม่สบาย ทำไมไม่ถามฉันล่ะ ลืมไปแล้วเหรอท่านผู้พิทักษ์ว่าชาวโพชันเชี่ยวชาญทางการแพทย์แค่ไหน แค่เวียนหัวจากการที่ร่างกายปรับสมดุลให้เข้ากับชั้นบรรยากาศของที่นี่ แค่นี้รักษาได้อยู่แล้ว”

คีธหยุดชะงักทันทีที่ฟิลลิเอียรู้อาการป่วยของผมทั้งที่ไม่ได้บอก ผมเองก็แปลกใจเหมือนกัน ขณะที่คีธโพล่างถามคนที่ยิ้มกริ่มไปแล้ว
“มียา?”
“มี แต่ไม่ใช่สำหรับชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินนะ ไม่รับประกันว่าจะได้ผล ไม่เคยใช้กับชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินมาก่อนเหมือนกัน”

แล้วจะพูดทำไมวะ!

คีธก็คงจะคิดเหมือนผมว่าไร้ประโยชน์เลยลากผมไปอีกครั้ง แต่ก็ต้องชะงักอีกเมื่ออีกฝ่ายว่าไล่หลังมา
“แต่มีตัวยาใหม่ที่ยังไม่เคยลอง ยาตัวนี้เป็นตัวยาปรับสมดุลร่างกายที่มีมวลเหมาะสมกับร่างกายของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ถึงจะไม่ได้คิดค้นมาเพื่อชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงิน แต่ก็คิดว่าน่าจะทำให้ช่วยหายเวียนหัวได้ อาจมีผลข้างเคียงนิดหน่อย ไม่ก็อาจทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพนัก บวกลบคงทำงานได้ไม่เต็มที่ไม่เกินยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

มาอีกละไอ้ผลข้างเคียงกับทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเนี่ย!

“แต่รับประกันว่าประสิทธิภาพดีกว่ายาที่องค์ราชินีให้แม่พันธุ์ของท่านกินแน่นอน”
พูดมาอย่างนี้ คีธก็หูผึ่ง มันคงอยากให้ผมหาย หรือไม่ก็ทำให้ผมมีอาการดีขึ้นกว่านี้ เลยไม่รอช้าที่จะต่อรอง
“ราคาเท่าไหร่”
ฟิลลิเอียหยักยิ้ม ไม่ตอบในทันใด เหลือบมามองผมแล้วยิ้มยิงฟันออกมา
“แลกกับรสจูบของแม่พันธุ์ท่านสักครั้ง ที่เหลือไม่คิดค่าใช้จ่าย”

คีธไม่พูดอะไร แต่มีลอบพ่นลมหายใจแรงๆ แล้วก็ลากผมไปอีกทาง ผมย่นคิ้วด้วยรู้ว่ามันคงจะหึงที่ฟิลลิเอียพูดแบบนี้ แต่ผมก็อยากหายจากอาการเวียนหัวนี่หว่า จะได้เที่ยวกับมันให้คุ้มค่ากับการมาฮันนีมูนตั้งไกลหลายพันปีแสงอย่างนี้

“คีธ” ผมเลยรีบรั้งมือมันที่จูงผมอยู่ไว้ทันทีที่พ้นออกมาจากเลาจน์แล้ว
มันหันมามองผมเล็กน้อย ก่อนจะว่าขึ้นมาอย่างรู้ทัน
“ถ้ากวินทร์จะบอกว่าจะจูบกับฟิลลิเอียเพื่อแลกกับยาล่ะก็ หยุดคิดได้เลย”
“อย่าเพิ่งมาหึงไม่เข้าเรื่องน่า ฉันอยากหายนี่หว่า จะได้ใช้เวลากับนายได้เต็มที่ไง อีกอย่าง ฟิลลิเอียก็เป็นผู้หญิง แค่จูบคงไม่เป็นไรหรอก” ผมพูดตามที่ใจคิด

ทว่ากลับทำให้หัวคิ้วของคีธย่นยู่ยิ่งกว่าเดิมอีก
“กวินทร์... ฟิลลิเอียไม่ใช่ผู้หญิง”
“เอ้า แล้วเป็นผู้ชาย?” ผมทำหน้าเหรอหรา ก็เห็นอยู่โต้งๆ ว่ามีร่างกายเป็นผู้หญิง ทรวดทรงก็ใช่ มีหน้าอกหยุ่นๆ ด้วยเถอะ ไม่ใช่ผู้หญิงตรงไหน
มันเงียบไปครู่ แล้วก็อธิบายออกมา
“ชาวโพชันไม่มีเพศที่ชัดเจน ดังนั้นฟิลลิเอียจึงเป็นทั้งผู้หญิงและผู้ชาย”

ผมเหวอหนัก ชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียวกว่าจะเข้าใจได้ว่าคีธหมายความว่าอะไร
“งั้นก็หมายความว่า...ช่วงบนเป็นผู้หญิง ส่วนช่วงล่าง...”

มีปิกาจูใช่มั้ย?

อยากจะถามแบบนี้ชะมัด แต่พูดยังไม่ทันจบเลย คีธก็พยักหน้าขึ้นมาก่อน

“นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันไม่อยากให้กวินทร์ไปยุ่งเกี่ยวกับฟิลลิเอีย เข้าใจหรือยัง”
ผมพยักหน้ารัวๆ

กะ...เกือบไปแล้วไอ้กวินทร์ เกือบเผลอตัวไปจูบกับสาวดุ้นแลกยาแล้วมั้ยล่ะ!

“แล้วก็อย่าเข้าใกล้ฟิลลิเอียถ้าไม่จำเป็น รู้มั้ย”
“ทำไม” ผมสลัดความคิดเมื่อครู่ทิ้ง ทำหน้าสงสัยขึ้นมา
“ฉันเป็นห่วง” คีธตอบแบบกำปั้นทุบดิน

ผมอยากจะถามต่อว่าเพราะอะไร แต่ความวิงเวียนก็แปรผันเป็นอาการปวดหัวเสียก่อน ผมเลยพยักหน้าเออออไป ก่อนร้องขอให้คีธรีบพากลับห้องด้วยอยากพักเต็มทนจนลืมเรื่องของมนุษย์ต่างดาวสาวดุ้นไปหมดสิ้น

ดูท่าฮันนีมูนครั้งแรกในชีวิตของผมกับคีธคงจะล่มไปเป็นท่าแล้วแฮะถ้าขืนผมยังเป็นแบบนี้ต่อไป

ให้ตาย... ทำไมต้องมาเป็นอะไรอย่างนี้ในช่วงเวลาดีๆ ด้วยนะ!

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชอบ พล๊อตเรื่องแปลกไม่เหมือนใคร สนุก  :katai2-1: ภาษาสละสลวย ไม่เห็นคำผิดเลย :mew1:
ชื่นชมไร้ทมากๆ เขียนเก่งมาก อ่านแล้วมีความสุขจริงๆ  :L1:
อ่านแล้วให้ฟีล เป็นเรื่องมนุษย์ต่างดาวจริงๆ  :katai2-1:
ชอบกวิน คีธ เด็กๆ   :mew1: กวินน่าจะมีลูกเพิ่มนะ
รอ ตอนใหม่  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
พี่หนูแดง เมื่อไหร่จะอัพเดทเรื่องอื่นบ้างค๊าาา รอนานแล้วน้าาาา
 :mew6:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
พี่หนูแดง เมื่อไหร่จะอัพเดทเรื่องอื่นบ้างค๊าาา รอนานแล้วน้าาาา
 :mew6:

เรื่องอื่นพวกเถาวัลย์ อะมีบานี่มาตอนช่วง พ.ค.นะคะ รอก่อนน้า

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
[ตัวอย่าง] Alien's Honeymoon

ตัวอย่างตอนที่ 2 ค่ะ ตอนนี้จะอัพให้แค่ 50% ที่เหลือก็ไปตามในหนังสือเอานะเพราะมันสั้น
แต่รับประกันความกร๊าวใจ ใครที่ว่าบักคีธหื่นๆ นี่ มาเจอกวินทร์ในเล่มสเปเชียลสักหน่อย แล้วจะรู้ว่านางนี่ยิ่งกว่าปั๋วอีก 555
--------------------------------------------

Episode 02: Love potion

แทนที่ได้นอนแล้วอาการจะดีขึ้น ดันมาแย่กว่าเดิมจนลุกขึ้นจากเตียงไม่ไหว มึนหัวมากจนแทบขยับตัวไม่ได้ ข้ามคืนแล้วก็ยังเหมือนเดิม เดือดร้อนให้คีธต้องรีบติดต่อไปยังเจเนซิส หาวิธีแก้ปัญหาอีก แต่เจเนซิสก็ช่วยอะไรได้ไม่มากด้วยไม่เคยมีเคสแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน

ก็แน่ล่ะ ผมเป็นมนุษย์โลกคนแรกที่มันคิดค้นยาปรับสมดุลร่างกายให้นี่หว่า มันรู้ก็แปลกแล้ว

เจเนซิสเลยบอกกับคีธว่าจะช่วยหาวิธีแก้ไขให้เร็วที่สุด โดยการปรับคุณภาพยาแล้วจะรีบติดต่อกลับมา ระหว่างนี้ก็ให้คีธไปหาของที่พอจะเอามาเยียวยาอาการผมได้ก่อน ผมก็ไม่รู้หรอกว่าของที่ว่านั่นคืออะไร แว่วว่าเป็นพวกวัตถุดิบที่มีสรรพคุณในการช่วยปรับสมดุลร่างกายที่ใช้กับพวกมนุษย์ต่างดาว เจเนซิสเลยประมวลข้อมูลของวัตถุดิบพวกนั้นที่พอจะเข้ากับมวลร่างกายผมให้คีธ ผมก็ฟังบ้าง ไม่ได้ฟังบ้าง ไอ้พวกชื่อยากๆ แบบนั้นน่ะ จำไม่ได้หรอก

“เดี๋ยวฉันจะออกไปข้างนอก กวินทร์นอนพักนะ”
สุดท้ายคีธก็จะไปตามที่เจเนซิสแนะนำ ผมเห็นสีหน้าเป็นกังวลของมันแล้วก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่มาป่วยระหว่างฮันนีมูนอย่างนี้ ผมเลยกัดฟันดันตัวขึ้นนั่ง คว้าข้อมือของมันไว้
“ไม่ต้องไปหรอก ฉันไม่เป็นอะไร เดี๋ยวก็หาย”

ร่างกายน่ะตรงกันข้ามกับที่พูดเลย ไม่เป็นอะไรบ้าอะไร ถ้ากลับโลกตอนนี้ได้ ผมก็อยากจะกลับเดี๋ยวนี้เลยเหมือนกัน แต่เพราะเป็นห่วงความรู้สึกไอ้คนข้างหน้าเนี่ยถึงได้กัดฟันทนอยู่ ไม่ยอมพูดว่าอยากกลับโลกน่ะ

โกหกไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า แค่มองหน้าผม คีธก็รู้แล้วว่าผมเป็นยังไง
มันทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ดึงแขนข้างที่ถูกผมจับอยู่ออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นลูบกระหม่อมผมอย่างเบามือแทน
“อย่าฝืนเลยกวินทร์”
“แต่เรามาฮันนีมูนกันนะ” ผมหลุดปากออกไปจนได้ ยิ่งมองหน้ามันแล้วก็ยิ่งสงสาร มันอุตส่าห์เฝ้ารอคอยที่จะมาฮันนีมูนด้วยกัน แต่ผมดันมาเป็นแบบนี้นี่ไม่โอเคเลยแฮะ
หากแต่คีธก็ยังเป็นคีธ มันไม่เคยโทษอะไรผมเลยสักครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน แค่หยักยิ้มให้บางๆ แล้วเลื่อนมือลงมาลูบที่ซีกแก้ม
“ไม่เป็นไรหรอกกวินทร์ ไม่สบายก็คือไม่สบาย พักซะ ใช่ว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันแค่ตอนนี้สักหน่อย ยังอยู่ด้วยกันอีกนาน จะฮันนีมูนอีกเมื่อไหร่ก็ได้”

ไม่โทษน่ะใช่ แต่แม่งทำให้ผมรู้สึกผิดจังๆ เลยเถอะ

ผมคิดจะหาข้ออ้างไม่ให้มันออกไปข้างนอกอีก อยากให้มันอยู่ด้วยแล้วกะจะฝืนทำตัวร่าเริงให้มันสบายใจ ทว่ายังไม่ทันจะได้คิดออก คีธก็ตัดบทเสียแล้ว
“เดี๋ยวฉันออกไปข้างนอกก่อน อาจจะกลับมาช้าหน่อย กวินทร์พักผ่อนเยอะๆ”
พูดจบก็เดินออกจากห้องไปเลย ทิ้งให้ผมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง มือก่ายหน้าผากด้วยคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์ในตอนนี้ดี

ฟิลลิเอีย...

จู่ๆ ชื่อนี้กับใบหน้าสะสวยของมนุษย์ต่างดาวสาวดุ้นก็ปรากฏขึ้นในภวังค์ความคิด

ใช่สิ ยัยนั่นบอกว่ามียาอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมมีอาการดีขึ้นได้อยู่ ถ้าไปขอความช่วยเหลือจากยัยนั่น แลกกับการจูบก็คงจะได้ ถึงจะต้องจูบกับสาวดุ้นก็เถอะ แต่ก็เอาวะ เพื่อคีธ!

ตัดสินใจแล้วก็รออยู่พักใหญ่จนแน่ใจว่าคีธไปไกลจากโรงแรมที่พักอยู่แล้ว ถึงจะรู้ว่ามันประสาทสัมผัสดีและสามารถได้ยินเสียงพูดคุยของผมกับฟิลลิเอียก็เถอะ แต่เวลาที่มันยุ่งๆ แบบนี้ มันคงไม่มีสมาธิจะมาเพ่งกสินฟังหรอก
เท่านั้นผมก็ฝืนลุกขึ้นจากเตียง ค่อยๆ พาตัวเองลงมายังล็อบบี้ชั้นล่าง กะว่าจะสอบถามกับพนักงานโรงแรมว่าฟิลลิเอียพักอยู่ห้องไหน จะได้ไปหา หากแต่ก็เจอกับยัยนั่นเข้าให้ก่อน

ผมตั้งท่าจะร้องทัก ทว่าฟิลลิเอียกลับหันมาสบตาผมพอดี พลางยิ้มให้ ผมก็เลยตัดสินใจจะพูดเรื่องที่ต้องการคุยทันควัน แต่ไม่รู้ทำไมยัยมนุษย์ต่างดาวนี่ถึงได้ดูออกว่าผมอยากจะพูดอะไร ชิงพูดขึ้นมาก่อนอีก
“ถ้าจะคุย ก็ไปคุยที่ห้องฉัน มันเก็บเสียง ท่านผู้พิทักษ์จะได้ไม่ได้ยิน” พูดจบก็ผายมือไปยังลิฟต์
ผมเลยรู้ในตอนนี้ว่าห้องทุกห้องของโรงแรมมันเก็บเสียง ต่อให้เป็นชาวยูนิกมาหรือมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ไหนก็ตามที่มีประสาทสัมผัสดีก็ไม่สามารถแอบลอบฟังได้ แต่ผมก็ไม่สนใจอะไรแล้ว เดินเข้าไปในลิฟต์ ตามมาด้วยยัยนั่น ก่อนที่เราจะมุ่งหน้าไปยังห้องพักของเจ้าหล่อน
 



เสียงประตูอัตโนมัติของห้องพักปิดลง ฟิลลิเอียส่งสัญญาณให้ผมไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ใกล้ๆ ความวิงเวียนทำให้ผมเคลื่อนไหวไม่สะดวกนัก นั่งได้ ยัยนั่นก็โพล่งขึ้นมาเลย

“ลำบากหน่อยนะ ที่นี่ความกดอากาศไม่เหมาะสมกับชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินเท่าไหร่ คงจะทรมานน่าดูสินะ”
“ก็เลยจะมาขอให้ช่วยนี่ไง” ผมว่าเสียงแผ่ว ทำให้อีกฝ่ายยักไหล่
“ก็กะไว้อยู่แล้วว่าจะต้องมา นี่ท่านผู้พิทักษ์คงจะไม่รู้ด้วยล่ะสิ”
ผมพยักหน้า ฟิลลิเอียเลยยิ้มกว้าง
“ดีแล้วล่ะที่ไม่บอก ไม่อย่างนั้น ฉันได้ถูกท่านผู้พิทักษ์เล่นงานตายแน่” รูปประโยคดูเหมือนจะหวั่นเกรงคีธ แต่น้ำเสียงน่ะไม่ใช่เลย เหมือนกำลังจะได้ทำเรื่องสนุกมากกว่า
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ ในตอนนี้แค่อยากจะหายจากอาการบ้าๆ นี่อย่างเดียวเท่านั้น
“เอายามาสักที จะได้จูบๆ แลกกันไป”
“ใจร้อนจังแฮะ” ยัยนั่นว่า ทว่าก็เดินไปหยิบยาที่ว่านั่นจากกล่องบางอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะให้ผมแต่โดยดี

เม็ดยาสีฟ้าทรงกลมบนฝ่ามือบางถูกยื่นมาตรงหน้าผม ผมเตรียมจะเอื้อมมือไปหยิบ ทว่ายัยนั่นก็กำมือแล้วดึงกลับไปก่อน
“อะไรของเธอ” ผมว่าเสียงเขียวขึ้นมาด้วยหงุดหงิด ลางสังหรณ์บอกขึ้นมาเลยว่าไอ้มนุษย์ต่างดาวเวรนี่ต้องเล่นลิ้นแน่ๆ
แล้วก็จริงอย่างที่ผมคิด เมื่อมันพูดออกมา
“แค่จะบอกว่าไม่ต้องแลกยากับจูบก็ได้ แต่ต้องรับปากว่าถ้ามีผลข้างเคียงอะไร ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ก็ห้ามมาเอาเรื่องเพราะนายเป็นคนมาขอยาจากฉันเอง โอเคมั้ย”

ฟังอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากจะตอบว่าโอเคเลย แค่ยาของไอ้เจเนซิสก็ทำให้ผมขยาดกับคำว่าผลข้างเคียงแล้ว ยังจะต้องมาเจอยาของมนุษย์ต่างดาวกระเทยนี่อีกเหรอวะ!?

ผมเลยนั่งคิดไปครู่ว่าควรจะตอบรับมันดีหรือไม่ เพราะถ้าผลที่ออกมาหลังจากกินยาเข้าไปมันไม่ดีอย่างที่คิด แต่ทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิม ผมนี่แหละที่จะได้รับผลกระทบของมันเต็มๆ
ทว่าผมเงียบนานไปหน่อย ฟิลลิเอียจึงว่าขึ้นเรียกความสนใจของผมไป

“ถ้าไม่เอาก็ได้นะ ไม่ได้บังคับ ที่ฉันบอกว่าไม่รับผิดชอบถ้ามีผลข้างเคียงก็เพราะยังไม่เคยทดลองใช้กับใครที่ไหนน่ะ ที่เสนอให้ก็แค่เห็นว่ามันมีมวลเหมาะสมกับร่างกายของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินอย่างที่เคยบอก ดังนั้นฉันจึงไม่รับผิดชอบถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ถ้าหายก็ดีไป แต่ถ้าไม่หาย อย่างร้ายก็คงจะมึนหัวมากกว่าเดิม”
“มึนหัวมากกว่าเดิมคือผลข้างเคียงที่สุดแล้วใช่มั้ย” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ ขณะที่ฟิลลิเอียพยักหน้า
“อืม มันไม่ใช่ยาอันตรายนี่นา ถ้ามีอาการก็รอเวลา เดี๋ยวมันก็หายไปเองตอนยามันเสื่อมฤทธิ์ มันก็แค่ยา...”
“งั้นเอา!” ผมโพล่งขึ้นทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ ข่มความมึนลุกขึ้นไปแย่งยาจากมือมันด้วยเถอะ

ฟิลลิเอียมองผมอย่างอึ้งงันเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วตรงไปรินน้ำใส่แก้วให้ทันทีที่เห็นผมส่งยาเม็ดนั้นเข้าปาก
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ฉันไม่รับผิดชอบนะ” ยังกำชับส่งท้ายมาอีก
แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้วล่ะ รับแก้วน้ำจากยัยนั่นมาได้ก็กระดกอึ้กลงคอไปจนหมดแก้ว แล้วก็เหมือนกับปาฏิหาริย์ เพราะทันทีที่ยาเม็ดนั้นถูกส่งลงท้องไป ความร้อนวูบวาบส่งผ่านไปทั่วร่างกายจนผมต้องกำมือแน่น ทว่าครู่เดียวก็หาย และไม่ถึงห้านาทีดี อาการวิงเวียนของผมที่เหมือนจะเป็นจะตายให้ได้ในตอนแรกก็ค่อยๆ เลือนหายเป็นปลิดทิ้ง

ผมเบิกตาโต มองหน้าฟิลลิเอียอย่างตะลึงงัน ขณะที่อีกฝ่ายยกมือขึ้นกอดอก ยิ้มเผล่พลางพึมพำไปด้วย
“ออกฤทธิ์เร็วกว่าที่คิดแฮะ สงสัยจะแรงไปสำหรับชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงิน”
ผมไม่เข้าใจหรอกว่าที่แรงไปอะไรนั่นหมายความว่ายังไง รู้อย่างเดียวว่าตอนนี้โคตรจะดีใจเลยที่อาการเวรนั่นหายไปได้สักที ผมจะได้ใช้เวลากับคีธอย่างเต็มที่
“สรุปไม่ต้องจูบแลกยา ไม่ต้องจ่ายตังค์ใช่มั้ย” จบเรื่องแล้วผมก็รีบตัดบท ตั้งใจจะรีบกลับไปรอคีธที่ห้อง
ฟิลลิเอียพยักหน้ารับ เท่านั้นผมก็กระเด้งตัวลุกขึ้นผึง บอกลาทันควัน
“งั้นก็ขอบคุณมาก ฉันไปล่ะ”
“อย่าลืมนะท่านแม่พันธุ์ว่าฉันไม่รับผิดชอบ” ฟิลลิเอียว่าไล่หลังมา
ผมพยักหน้าเออออไป ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจยัยนั่นแล้ว คนที่ควรสนใจคือคีธต่างหาก เสียเวลาทำเรื่องสนุกๆ ด้วยกันไปตั้งหนึ่งวัน อย่างนี้มันต้องชดเชย
 



ชดเชยที่ว่าไม่ได้หมายถึงเรื่องบนเตียงนะ ผมหมายถึงการออกไปเที่ยวชมดาวข้างนอกต่างหาก
ผมนั่งๆ นอนๆ รอคีธกลับมาที่ห้องอย่างตื่นเต้นกับแผนการต่างๆ ที่วาดภาพขึ้นในหัว แต่เพียงเวลาผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมง ความตื่นเต้นก็ทวีมากขึ้นจนพานทำให้เหงื่อกาฬทั่วกายผมผุดพรายขึ้นมา เหงื่ออย่างเดียวยังไม่พอ ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนวูบวาบที่แล่นพล่านไปทั่วร่างกายอีก ใจก็เต้นแรงขึ้นราวกับจะระเบิดออกมาข้างนอกให้ได้ อะไรไม่ว่า ไอ้ส่วนนั้นของผมก็ดัน...มะ...มีอารมณ์...

จะว่ายังไงดี มันเกิดรู้สึกหน่วงๆ ขึ้นมาน่ะ แล้วก็มีการตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อยด้วย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงมีอาการแบบนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ ผมคิดถึงการมีอะไรกับคีธใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยฝนดาวตกที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ก็ได้เลยเกิดอารมณ์ขึ้นมา

แต่ก็แค่คิดว่าคีธจะมีอะไรกับผมในวันนั้นเท่านั้นเองนะ ไม่ได้จินตนาการออกมาเป็นภาพเลยสักนิด มันจะไปมีอารมณ์ได้ยังไง!
คิดแล้วก็สับสนตัวเอง หากแต่สับสนได้ไม่เท่าไหร่ ความกำหนัดก็พวยพุ่งขึ้นราวกับภูเขาไฟประทุ ครั่นเนื้อครั่นตัวจนไม่อาจทนกับความรู้สึกนี้ได้อีกต่อไป ครั้นจะรอให้คีธกลับมาก่อนแล้วทำด้วยกัน ผมก็รอไม่ไหว สุดท้ายก็เลยตัดสินใจเลื่อนมือสั่นเทาไปกดปุ่มบนบอดี้สูทเพื่อปลดมันออกจากร่างกาย

ผมเลื่อนมือข้างหนึ่งแหวกสาบเสื้อไปลูบแผงหน้าอกตัวเอง ผิวเนื้อร้อนผะผ่าวกว่าอุณหภูมิร่างกายปกติตอกย้ำให้รู้ว่าตอนนี้ผมอยู่ในขั้นวิกฤตแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น แค่มือตัวเองแตะถูกส่วนอ่อนไหวบนหน้าอก ผมก็ดันสะดุ้งขึ้นมา ซ้ำยังเผลอส่งเสียงครางในลำคอออกมาด้วย

ระ...รู้สึกดีแฮะ

ผมเลยกระตุ้นตัวเองมากขึ้นอีก สอดมือลงต่ำไปยังแก่นกายกลางลำตัว หากแต่พอถูกฝ่ามือสัมผัส ผมก็แอ่นตัวขึ้นมาราวกับไม่สามารถควบคุมได้

อ่อนไหวกว่าปกติไปทุกส่วนเลยตอนนี้ ไม่ว่าจะสัมผัสตรงไหนก็รู้สึกไปหมด รู้สึกอย่างรุนแรงเสียด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การกระตุ้นตัวเองยังทำให้ผมอดใจไม่ไหว ต้องการจะปลดปล่อยให้เร็วที่สุดอีกต่างหาก

ผมเลยจัดการถอดบอดี้สูทส่วนบนออก ดึงร่นไปยังบั้นท้าย มือก็วุ่นวายอยู่กับการสร้างความหฤหรรษ์ให้ตัวเองไป ปากก็ครวญครางไม่หยุด ถึงจะพยายามเก็บเสียงแค่ไหน แต่ในตอนนี้ผมไม่สามารถระงับความต้องการของตัวเองได้อีกแล้ว
ถ้าคีธกลับมาตอนนี้เลยก็ดีสินะ ผมจะได้ไม่ต้องจัดการอะไรๆ เองทั้งหมดแบบนี้...

แม้ในหัวจะคิดอย่างนี้ ทว่าก็ยังไม่หยุดมือ ซ้ำสวรรค์ยังเห็นใจผมชนิดไม่ให้ตั้งตัวด้วยการส่งไอ้คีธกลับมาแบบรวดเร็วทันใจอีกด้วย

ผมหันไปมองยังประตูอัตโนมัติซึ่งส่งเสียงร้องเป็นสัญญาณให้รู้ว่ามีคนปลดล็อคเข้ามาแทบไม่ทัน แล้วก็ต้องทำหน้าไม่ถูกเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาคือคีธ มือไม้ที่อยู่บนกายชะงักพลันทันใด ส่วนคีธเองก็ชะงักเช่นกัน มองมาที่ผมซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหมอนอยู่กับหัวเตียงในสภาพชันเข่าขึ้น เสื้อผ้าหลุดลุ่ยและมืออยู่ในส่วนที่ไม่ควรอยู่ด้วยสายตาตะลึงงัน

แค่นั้นยังตะลึงงันไม่พอ ส่งเสียงเรียกชื่อผมอย่างไม่เชื่อสายตาอีก
“กวินทร์... ทำอะไรอยู่น่ะ”

ฉะ...ฉิบหายแล้ว! ทำไมมึงดันกลับมาตอนที่กูอยู่ในสภาพนี้พอดีเลยวะ! หลุมอุกกาบาตอยู่ไหน กูจะมุดหนีผัวไปหลบอายเดี๋ยวนี้!

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
ค้างงงงงะ :z3:  รอบชอบเรื่องนี้มากทุกอย่างมันดูล้ำฝุดๆ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ค้างงงงงะ :z3:  รอบชอบเรื่องนี้มากทุกอย่างมันดูล้ำฝุดๆ

ตามต่อได้ในฉบับหนังสือนะคะ ^^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด