-11-
พันธมิตรซ่อนเร้นใต้กลุ่มเงาจันทร์
“คุณว่าไงนะ เทพกระต่าย...ถูกลักพาตัวไป?”
สมองผมมึนเบลอเหมือนประมวลผลไม่ทันอยู่สองวิ ปากพูดทวนคำคล้ายกับไม่เชื่อหู ก่อนหลับเพิ่งจะเจอเรื่องเลือดสาดสะเทือนไตไป ตื่นมาไม่ทันไรก็ดันมีข่าวที่ไม่ส่งผลดีอันใดต่อหัวใจดวงน้อยๆ นี่อีก
การใช้ชีวิตบนดวงจันทร์ของผมดูท่าจะยากและเยอะกว่าที่คิดเสียแล้ว!
“ขอรับ ทางเราเพิ่งได้รับรายงานเมื่อสองชั่วยามก่อนที่ท่านวีจะตื่น กลุ่มผู้บุกรุกได้แบ่งกำลังออกเป็นสองฝ่าย หนึ่งลอบโจมตีหวังจะชิงตัวท่าน อีกหนึ่งบุกเข้าเรือนเทพกระต่ายเพื่อจับตัวท่านเทพเป็นตัวประกันไว้ต่อรองกับทางเราขอรับ”
ทิชา องครักษ์ผมแดงของเชอเชสเอ่ยรายงานที่ทำให้ผมอยากกลับไปนอนต่ออีกสักหนึ่งตื่น ข้างกายเขามีจาเรลองครักษ์คู่หูยืนนิ่งเป็นน้ำแข็งสลักประดับห้องให้บรรยากาศในห้องแลดูติดลบขึ้นไปอีกสามเท่า
“แล้วตอนนี้เชอเชสอยู่ไหนครับ?”
ผมถามถึงคนที่น่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ เขาคงสั่งให้ทิชากับจาเรลคอยเฝ้าผมไว้ในห้องนอนใหม่ที่ตกแต่งได้หรูหราไม่แพ้ห้องเก่าขององค์รัชทายาท ส่วนตัวเองก็พาฟาฮากับเซริมแล่นไปไหนสักที่ เพราะตั้งแต่ตื่นมาผมไม่เห็นเงาของเจ้าดำกับเจ้าสีเงินเลย
“ท่านเชอเชสเสด็จไปเข้าเฝ้าพระราชาน่ะขอรับ ท่านมีบอกไว้ด้วยว่าให้ท่านวีพักผ่อนให้มากๆ อย่าได้ทรงกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้น อย่างไรทางเราก็ต้องชิงตัวเทพกระต่ายกลับมาได้อย่างปลอดภัย” ทิชาที่พูดด้วยง่ายกว่าเป็นฝ่ายโต้ตอบบทสนทนากับผมแต่เพียงผู้เดียว ส่วนจาเรลที่ประหยัดคำพูดและไร้มนุษยสัมพันธ์ยิ่งกว่าฟาฮาเพียงหลับตาฟังอยู่ข้างๆ ไม่กล่าวสิ่งใดเลยนับตั้งแต่ผมลืมตาตื่นขึ้นมา
“ผมเข้าใจแล้ว ถ้ายังไงให้ยาอุล...”
ผมยังพูดไม่ทันจบว่าจะให้เจ้าสีเทาช่วยเตรียมอะไรร้อนๆ มากลั้วคอเสียหน่อย ก่อนสลบ แค่กๆๆ ก่อนที่ผมจะผลอยหลับไปดันเผลอแหกปากซะลั่นอาจดังไปถึงหน้าประตูวัง ตอนนี้ในคอเลยเหมือนถูกถมด้วยเม็ดทรายจากทะเลทรายซาฮาร่า ถ้าให้ผมเค้นเสียงพูดมากไปกว่านี้มีหวังวันรุ่งขึ้นคงได้เสียงเซ็กซี่ไม่แพ้หญิงใดในโลก แค่คิดก็น้ำตาจะไหล ผมเกลียดอาการเจ็บคอแบบนั้นที่สุด แต่ดูเหมือนสวรรค์จะยังไม่อยากให้ผมได้พักผ่อนอย่างที่ใจปรารถนา จึงได้ส่งมารพจญกระแทกประตูเข้ามาพร้อมกับตะโกนเรียกชื่อผมด้วยเสียงที่บอกได้เลยว่าโคตรดัง
“ไอ้วี!”
เสียงมาก่อนตัว ผมเบิกตากว้างมองร่างในชุดขาวที่ก้าวไวๆ มาทางนี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ไอ้ธา!!!!”
ผมชี้หน้าไอ้ที่วิ่งถลาเข้ามาหา ข้างหลังมีเจ้าชายลำดับสองแห่งอาณาจักรแสงจันทร์เดินหล่อๆ ตามมาด้วย “ทำไมมึงมาอยู่นี่ได้วะ ไม่ใช่ว่าโดนจับตัวไปแล้วเรอะ!?”
ฝ่ามืออรหันต์ตบหัวผมดังป้าบเล่นเอาสององครักษ์สะดุ้งโหยงอย่างไม่รู้จะทำยังไงกับคนที่เพิ่งทำร้ายพระชายาของพวกเขาไปซะเต็มไม้เต็มมือ เจ็บจี๊ดจนผมต้องยกมือขึ้นกุมหัว วันไหนไม่ใช้แรงทำร้ายกันสงสัยหมาบ้าที่ชื่อไอ้ธาคนนี้คงนอนหลับฝันไม่ดีไปทั้งคืน เฮอะ
“ไอ้เวรนี่! ปากไม่ดีแช่งกูอีกนะ มึงไม่ได้ฟังที่เขารายงานรึไงวะ เขาบอกว่า ‘เทพกระต่าย’ ต่างหากที่ถูกลักพาตัวไป ตำแหน่งกูมันใช่ที่ไหนล่ะ กูยังเป็นแค่ 'ว่าที่' เว้ย!”
ผมลูบหัวป้อยๆ ร้องอ้าวเสียงยาว รู้สึกหน้าม้านขึ้นมานิดหน่อย
แล้วที่กูดราม่าไปตั้งหลายนาทีก่อนหน้านี้นี่คืออะไร...?
“แปลว่าเป็นคุณเชษฐ์ที่ถูกลักพาตัวไป?” ไอ้ธากอดอกผงกหัวแล้วบอกว่าเออ ผมเลยถามต่อ “แล้วมึงรอดมาได้ไงวะ ตอนนั้นไม่ได้อยู่กับคุณเชษฐ์เขารึ?”
เจ้าเพื่อนหัวดำแค่นเสียงหึในลำคอออกมาก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียง “นาเทลเขาช่วยกูไว้”
“หืมมมม” ผมปรายตาไปทางเจ้าม่วงคนพี่ที่ระบายรอยยิ้มนุ่มนวลอยู่บนใบหน้าได้ตลอดเวลา “ยังไงครับยังไง ไม่ใช่ว่าตอนนั้นนายนั่งทำงานอยู่กับเชอเชสหรอกเหรอ?” คำถามนี้ผมไม่ได้ถามเพื่อนผม แต่เป็นเจ้าม่วงคนพี่ที่เอาแต่ยืนยิ้มแบบสุภาพชนอยู่ข้างเตียง
“เวลานั้นข้าเอาขนมยามบ่ายไปให้ท่านธาน่ะครับ ประจวบเหมาะกับเวลาที่คนร้ายลงมือพอดี ข้าเลยช่วยท่านธาไว้ได้ทัน”
แห... ตัวผมก็เพิ่งจะรู้นะนี่ว่าเจ้าชายอาณาจักรนี้เขามีบริการส่งน้ำส่งขนมให้แขกกิตติมศักดิ์กันด้วย ปิดเงียบเลยนะครับเพื่อนธา
“แล้วมึงบาดเจ็บตรงไหนป่ะ” ผมเก็บความคิดที่จะแซวเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้ขอสำรวจตัวเจ้าเพื่อนสุดเกรียนคนนี้ก่อนว่ามันยังไม่มีส่วนใดเดี้ยง เป็นอัมพาต หรือเป็นง่อย จนต้องมีใครคอยอยู่ดูแลไปชั่วชีวิต แต่ดูจากที่มันวิ่งปรู้ดเข้ามาหาผมได้ในรวดเดียวก็น่าจะปลอดภัยไร้ห่วงได้อยู่มั้ง
“กูโอเคดีทุกอย่างครับ กระดูกทุกท่อนยังอยู่ครบ ฟันไม่หักไม่ตกหล่น หัวไม่แตก มือเท้าไม่ขาด แถมยังไม่เป็นลมหมดสติไปเหมือนคนแถวนี้ด้วย” ได้ทีไม่มีปล่อยโอกาสกัดผมให้หลุดมือ มันหัวเราะเยาะเย้ยผมอยู่ในลำคอ โดยมีนาเทลยืนยิ้มเป็นแบ็คอัพอยู่ข้างหลัง ผมเลยโบกหัวมันไปที เอาคืนเมื่อกี้ที่มันฟาดกระบาลผมมาซะเต็มแรง
“ฟาย กูไม่ได้เป็นลม เค้าเรียกว่านอนหลับพักผ่อนยามบ่ายเหอะ”
“หราาา มึงเห็นกูมีเขางอกอยู่บนหัวรึไง ฟาย” ไอ้ธาแลบลิ้นปลิ้นตาได้น่าถีบมาก ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ยังมีคนนอกอยู่อีกสาม ผมคงได้ถลาเข้าไปซัดกับมันซักตั้ง
พวกเราพูดคุยเล่นหัวกันอีกไม่กี่ประโยค เชอเชสที่หายไปปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นกับพระราชาก็เดินเฉิดฉายเข้ามาในห้อง เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบสีกรมเต็มยศ ผิดกับนาเทลที่สวมชุดสบายๆ เน้นเคลื่อนไหวได้สะดวก เมื่อเห็นเชอเชสเดินเข้ามาใกล้ ผมกับไอ้ธาจึงรีบหยุดการโต้วาทีที่เหมือนเด็กประถมกำลังทะเลาะแย่งของเล่นกันแต่เพียงเท่านั้น ทั้งห้องจึงกลับมาสงบเงียบอย่างที่มันควรจะเป็นตั้งแต่แรก ไม่ใช่เหมือนกรงเหล็กที่ใช้ขังลิงป่าสองตัวที่กำลังร่ำๆ จะฟัดกันเอาไว้
“เสด็จพี่อยู่ที่นี่นี่เอง” เชอเชสเดินเข้ามาทักนาเทลก่อน ค่อยหันมายิ้มให้ผมที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ได้เรื่องว่าอย่างไรบ้าง?” นาเทลหยุดยิ้มเรี่ยราด เขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังจนบรรยากาศในห้องถูกขึงจนเครียดในชั่วพริบตา
“เสด็จพ่อทรงตรัสว่าจะลองติดต่อกับพันธมิตรของเราที่อยู่ฝั่งนู้นดูก่อน ได้ความยังไงจะถ่ายทอดคำสั่งลงมาอีกที เสด็จแม่เองก็ทรงมีรับสั่งให้พวกเราเตรียมตัวกันให้พร้อม ตอนนี้ทรงเรียกหาน้องสี่ให้เข้าเฝ้าแล้ว”
นาเทลผงกหัวรับฟังทุกคำอย่างใจเย็น เชอเชสสั่งการกับทิชาและจาเรลอีกไม่กี่คำ ฟาฮากับเซริมก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับชุดคลุมและสัมภาระพร้อมออกเดินทาง
“ของที่ท่านสั่งเตรียมพร้อมหมดเรียบร้อยแล้วขอรับ” ฟาฮาเป็นคนรายงาน ส่วนเซริมกลายร่างเป็นกรรมกรชั่วคราว แบกข้าวของทั้งหมดนั้นไปกองไว้อีกมุมห้องโดยไม่ปริปากบ่น
“เดี๋ยวๆๆ นี่จะไม่มีใครบอกผมหน่อยเหรอ ว่าเราจะไปไหนอะไรยังไงกัน?”
เจ้าม่วงหันมาคลี่ยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนเหมือนเก่า แต่ทำไมผมสัมผัสได้ถึงช่องว่างบางอย่างที่แทรกขึ้นระหว่างเราสองคนก็ไม่รู้
“ไม่ใช่เรา แต่เป็นข้ากับเสด็จพี่ต่างหากครับ”
คำพูดของเชอเชสทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนค้อนทุบกลางหัว
อะไรนะ...
ไม่ใช่ ‘เรา’ ?
ทำไมหัวใจของผมต้องรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ตอนที่ได้ยินคำนี้ด้วยนะ...
“ท่านวี อย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิดสิครับ” คนอ่านใจผมได้นั่งลงบนขอบเตียง มืออุ่นร้อนของเขาบีบมือผมที่วางอยู่บนผ้าห่มสีขาวผืนหนาเอาไว้เบาๆ “เรื่องคราวนี้มันอันตรายเกินไป อีกฝ่ายมีเป้าหมายคือต้องการชิงตัวท่าน การจะให้ท่านเดินทางไปด้วยนั้นเห็นทีจะมิเหมาะ เสด็จแม่จึงมีรับสั่งให้ข้ากับเสด็จพี่ออกเดินทางไปพร้อมกับผู้ติดตามเพียงไม่กี่คน หาใช่ข้าต้องการกันท่านออกห่างแต่อย่างใดนะครับ”
ผมนิ่งเงียบรับฟัง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ยกมือขึ้นเกาะกุมแขนเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่นเหมือนไม่อยากให้เขาทิ้งผมไว้ที่นี่ตามลำพัง
'ทำไมถึงเป็นนายกับนาเทลล่ะ คนอื่นมีตั้งเยอะแยะไม่ใช่เหรอ'
ผมพูดผ่านความคิด รู้ดีว่านี่อาจเป็นคำพูดที่ฟังดูเห็นแก่ตัว แต่การบุกเข้าไปชิงตัวเทพกระต่ายคืนนั้นหมายความว่าต้องก้าวเข้าไปเหยียบถึงถิ่นศัตรู การให้เจ้าชายถึงสองคนลักลอบเข้าไปทำภารกิจนี้... ทั้งคนหนึ่งยังเป็นถึงรัชทายาทของอาณาจักร ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงซะยิ่งกว่าการปล่อยผมเอาไว้ที่นี่คนเดียวอีกเหรอ
'เพราะเรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับความปลอดภัยของเทพกระต่าย เสด็จแม่ถึงได้เอ่ยปากขอร้องด้วยตนเอง ให้ข้ากับเสด็จพี่ช่วยรับหน้าที่นี้อย่างไรเล่า'
“ผมไม่เห็นจะเข้าใจ” ความคิดของผู้ใหญ่ เด็กที่กำลังจะย่างเข้าอายุสิบแปดอย่างผมจะไปทำความเข้าใจได้ยังไง
เจ้าสีม่วงยิ้มจนตาเหลือเพียงเส้นเดียว ท่าทางดีใจมากที่เห็นผมเป็นห่วง
“ในอาณาจักรเงาจันทร์ยังมีคนของเราแฝงตัวอยู่ได้ ใช่ว่าในอาณาจักรของเราจะไร้ซึ่งผู้แฝงกายมา หากใช้คนอื่นทำหน้าที่นี้ อาจทำให้ข่าวการเคลื่อนไหวของฝั่งเราเล็ดลอดไปถึงคนฝั่งนั้นได้ การที่เสด็จแม่ทรงตัดสินพระทัยเลือกใช้ข้ากับเสด็จพี่นับว่าคิดไตร่ตรองรอบคอบดีแล้ว ท่านวีอย่าได้กังวลไปเลย ข้าหาได้มีฝีมือเหมือนเด็กที่เพิ่งหัดจับดาบ ท่านก็เห็นแล้วมิใช่หรือ?”
ใช่ ผมเห็น และรับรู้ด้วยสองตาของตัวเองมาแล้วว่าเชอเชสนั้นเก่งมาก ถึงจะมีเพลี่ยงพล้ำไปบ้างแต่ข้างกายเขาก็ยังมียอดฝีมืออยู่ตั้งสี่คน แถมหนึ่งในนั้นยังสามารถใช้เวทย์ฟื้นฟูรักษาบาดแผลได้อีก เท่ากับหายห่วงได้เลยว่าเจ้าม่วงจะบาดเจ็บจนเสียเลือดตาย
แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ...
“นี่ นาเทลเก่งมากมั้ยมึง?” ผมเบียดเชอเชสออกจนอีกฝ่ายเกือบหน้าทิ่มตกเตียงแล้วพุ่งไปกระซิบกระซาบถามไอ้ธาแทน เจ้าเพื่อนบ้านี่น่าจะได้เห็นฝีมือของเจ้าม่วงคนพี่มาบ้างแล้ว
ไอ้ธารีบพยักหน้าหงึกๆ ยกนิ้วโป้งให้ทั้งสองข้าง ตอบกลับมาว่าฝีมือของนาเทลร้ายกาจสุดยอดมากกกกก
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเก่งโคตรเลยล่ะมึง! พริบตาเดียวนะ หมอนี่กวาดเจ้าพวกชุดดำหกเจ็ดคนราบในครั้งเดียว กูเห็นแล้วยังขนลุกเลย!”
เพื่อนผมที่ดูเหมือนจะผันตัวกลายเป็นแฟนคลับ No.1 ของเจ้าชายลำดับสองแห่งอาณาจักรแสงจันทร์ไปแล้วเล่าเรื่องย่อให้ฟังอย่างตื่นเต้น สงสัยจะได้ไปเห็นฉากต่อสู้ที่ลุ้นระทึกสุดๆ มาแบบชิดติดขอบสนาม ปากมันขยับขึ้นลงเหมือนจะเล่าทุกฉากทุกตอนออกมาให้ครบแบบไม่มีตกหล่นให้ฟัง ผมเลยรีบปิดปากมันไว้ ไม่ใช่ไม่อยากสอใส่เกือกอยากสอดรู้เรื่องวีรกรรมของคนอื่น แต่คือตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาป่ะวะ?
ผมเลื่อนสายตาไปมองคนที่ยืนยิ้มๆ เหมือนกระต่ายไม่มีพิษมีภัยแล้วทำใจเชื่อไม่ค่อยลง...
‘ถึงภายนอกเสด็จพี่จะดูเป็นเช่นนั้น แต่ได้โปรดเชื่อเถอะครับว่าเขาเป็นจอมเวทย์ที่ฝีมือมิได้ด้อยไปกว่าใครเลย’
เจ้าเด็กติดพี่ช่วยยืนยันอีกแรงเพื่อให้ผมวางใจ แต่ผมมันเป็นคนขี้ห่วงนี่ ต่อให้รู้ว่าคณะเดินทางชุดนี้แต่ละคนมีฝีมือเก่งเทพขนาดไหน แต่ยังไงนั่นก็ถิ่นศัตรู ไม่เคยได้ยินเหรอว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ หากเจอพวกนั้นปิดวงล้อมจนไร้ทางหนี คิดว่าไม่กี่ชีวิตที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันจะยังรับมือไหวอีกไหม
‘แค่รู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า...เท่านี้ก็เกินพอแล้ว’
เดี๋ยวนะ... มันเกี่ยวอะไรด้วย?
‘กำลังใจไงล่ะครับ ไม่เคยได้ยินหรือ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ทหารทุกกองเดินหน้าได้ด้วยกำลังใจ’
เพิ่งจะเคยได้ยินก็วันนี้นี่ล่ะ...
ผมขมวดคิ้วเข้าหากันจนแทบจะมัดเป็นปมได้ ตามองเชอเชสที นาเทลที ก่อนมองตรงไปที่ไอ้ธาที่ยักไหล่แสยะยิ้มละเหี่ยใจ
“คิดมากอีกและ บอกไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่าสมองอย่างมึงคิดเยอะไปมันก็เท่านั้น อยากทำอะไรก็ทำเลยดิวะ เอาที่มึงสบายใจ และไม่คิดเสียใจที่ได้ทำมัน” คนที่อยู่เคียงข้างผมมาตั้งแต่เด็กดีดหน้าผากผมดังเพียะ ความเจ็บเรียกสติผมให้กระพริบตาปริบๆ มองมันที่นั่งเก๊กท่าว่าหล่อมากอยู่กลางเตียง (เพราะข้างเตียงเจอเชอเชสยึดที่ไปแล้ว...)
พอได้รับคำแนะนำจากมันผมเลยยิ้มออก เชอเชสที่แอบรู้ล่วงหน้าว่าผมจะพูดอะไรรีบลุกขึ้นจากเตียงเตรียมพุ่งออกจากห้อง แต่ไม่ไวเท่ามือผมที่คว้าผ้าคลุมผืนยาวของเขาเอาไว้แล้วดึงให้กลับมานั่งลงตรงตำแหน่งเดิม
“ผมไปด้วย และนายห้ามปฏิเสธ!” มันคือประโยคคำสั่งที่ทำให้เชอเชสถึงกับครางฮือ
“ท่านวี...”
“ถ้าวีไป ฉันก็ไปด้วย!” ส่วนรายนี้เพียงแค่อยากเอี่ยวด้วย ดูก็รู้ว่าอยากออกไปเที่ยวนอกวัง ทั้งยังได้ออกเดินทางไกลไปถึงต่างแดน เรื่องน่าตื่นเต้นแบบนี้มีหรือที่คนรักสนุกอย่างไอ้ธาจะยอมพลาด
“ท่านธา...” นาเทลร้องครางเหมือนอยากปราม แต่พอเจอเจ้าเพื่อนตัวดีของผมย้ำชัดเจนอีกครั้งว่าจะไป เจ้าม่วงตัวพี่ก็ได้แต่งับปากยอมรับชะตากรรมว่างานนี้คงไม่พ้นตัวเองนั่นแหละที่ต้องคอยดูแลเพื่อนซี้ของผมอีกแล้ว
“มันอันตรายนะครับ” เชอเชสย้ำคำนี้อีกครั้งที่ผมเริ่มเบื่อจะฟังมันแล้ว
“คุณเชษฐ์เคยบอกไว้ ว่าถ้ามีผมอยู่ใกล้ๆ นายจะใช้พลังได้มากกว่าเดิม เพราะงั้นเอาผมไปด้วยนั่นแหละดีแล้ว”
“แต่มันอันตราย...”
“ผมดูแลตัวเองได้” ผมยิ้มเผล่ “อีกอย่าง ผมมีดีกว่าที่คุณคิดเยอะ รับรองไม่ไปถ่วงแข้งถ่วงขาพวกนายหรอกน่า”
“หึหึหึ ฉันก็เหมือนกัน” ไอ้ธาควงอาวุธสีขาวปลอดที่ไม่รู้ไปได้มาจากไหนอย่างคล่องแคล่ว ผมกับมันคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้แบบรู้กัน มีแต่คนนอกเท่านั้นที่มองหน้ากันอย่างจนใจ
“ถ้าท่านวียืนกรานเช่นนั้น...ข้าจะนำเรื่องนี้ไปทูลขอกับเสด็จแม่เอง”
คุยกันรู้เรื่องอย่างนี้สิถึงจะน่ารัก!
“ไม่ต้องมายิ้มเลยครับ...”
เชอเชสกับนาเทลหน้าบูดหนักกว่าเก่าอีกเมื่อเสด็จแม่ของพวกเขายอมให้พวกผมร่วมเดินทางไปด้วย
พอรู้อย่างนั้น ผมเลยรีบให้ยาอุลเตรียมชุดที่เคลื่อนไหวสะดวกให้สองสามชุด ขอเป็นสีดำไม่ก็สีโทนเข้มทั้งหมด เจ้าสีเทาอ้าปากแย้งอยู่หลายครั้งว่ามันไม่เหมาะสม แต่ก็เจอผมตีกลับไปด้วยคำพูดที่ว่างานนี้พวกเราต้องลักลอบเข้าต่างแดนกัน บางทีอาจต้องมีหลบซ่อนตัวในป่า การแต่งสีสว่างเกินไปจะกลายเป็นจุดเด่นและนำพาอันตรายมาได้ นั่นแล เจ้ายาอุลตัวน้อยถึงได้ยอมจัดชุดสีดำให้ผมสามชุด ไม่ลืมจัดเก็บข้าวของจำเป็นที่จะต้องใช้ไว้ให้ในถุงย่ามอีกด้วย
มนุษย์กระต่ายนี่น่ารักกันจริงๆ เลยน้า~
ขณะที่ผมกำลังตรวจทานว่าลืมอะไรไปบ้างหรือเปล่า เจ้าม่วงที่ดูเหมือนจะทำใจเรื่องผมได้แล้วก็มาโผล่อยู่ตรงหน้า ในมือยื่นดาบสั้นเล่มหนึ่งไว้ให้ใช้ป้องกันตัว แต่ผมกลับปฏิเสธที่จะรับมันไว้
“ทำไมล่ะครับ” ถ้าหูโผล่ ผมคงเห็นใบหูเรียวยาวสีม่วงของคนตรงหน้าลู่ลงเป็นกระต่ายหงอยที่โดนผมปฏิเสธความหวังดีไป
“ไม่ใช่รังเกียจที่จะรับของที่นายให้มาหรอกนะ แต่ผมมีมีดสั้นเหลือเฟือแล้ว” ผมชูมือข้างขวาให้เขาดู บนนิ้วชี้กับนิ้วกลางมีแหวนสวมอยู่นิ้วละวง วงหนึ่งเป็นสีขาวสะอาดเหมือนหลอมแหวนวงนี้ขึ้นมาจากหิมะ ส่วนอีกวงเป็นสีน้ำเงินเข้มที่ฝังพลอยสีฟ้าใสเอาไว้รอบวง นับรวมกันได้ทั้งหมดสิบสองเม็ด
“ของพวกนี้...” เชอเชสที่เพ่งแล้วเพ่งอีกช้อนตาคมขึ้นมองผมคล้ายกับต้องการคำยืนยัน
“ใช่ แม่นายให้ฉันตั้งแต่วันแรกๆ ที่มาเหยียบที่นี่แล้ว”
มันคืออาวุธเวทย์ที่เทพกระต่ายสร้างขึ้น ในแต่ละรุ่นเทพกระต่ายจะต้องใช้แรงกายและแรงใจหล่อหลอมอาวุธเหล่านี้ขึ้นมาสองชิ้นเพื่อมอบให้แก่ชายาแห่งดวงจันทร์รุ่นต่อไป หนึ่งอาวุธ หนึ่งเครื่องป้องกัน อยู่ในรูปแบบของเครื่องประดับที่แตกต่างกันไปตามความชอบของผู้ผลิต
“เทพกระต่ายสร้างมีดสั้นให้ท่านหรือ?”
เชอเชสลองคาดเดาจากสิ่งที่ผมเกริ่นทิ้งไว้ เขาไม่เคยรู้เรื่องแหวนพวกนี้มาก่อนเพราะคุณเชษฐ์อยากเก็บเอาไว้เซอร์ไพรส์หลานชายคนนี้เป็นพิเศษ น่าเสียดายที่เจ้าตัวดันไม่อยู่ในเวลาแบบนี้ ไว้ผมจะเก็บสีหน้าของเจ้าม่วงตอนนี้ไปใส่สีตีไข่เล่าให้อีกฝ่ายเจ็บใจเล่นละกัน
“ใช่ มีถึงสิบสองเล่มแน่ะ ถ้านายเอามาให้พกอีกอันมันก็จะกลายเป็นเลขสิบสาม ไม่มงคลเลย” ว่าแล้วก็ดันมีดสั้นคุณภาพคับฟ้าส่งคืนเจ้าของที่พยักหน้าเข้าใจ เราคุยกันอีกนิดหน่อยเรื่องแผนการเดินทาง ไม่นานนักฟาฮากับเซริมก็เข้ามารายงานว่าเพื่อนผมกับนาเทลเตรียมตัวพร้อมแล้ว ผมกับนาเทลเลยเดินไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ เพื่อคุยเรื่องรายละเอียดกันอีกที
“คณะเดินทางในครั้งนี้นอกจากองครักษ์ของข้ากับเสด็จพี่แล้ว ยังมีอีกสามคนที่ข้าอยากให้ท่านวีทำความรู้จักเอาไว้ เอ่อ...อันที่จริงท่านก็เคยเจอพวกเขาแล้ว... จะว่าอย่างไรดีล่ะ...ท่านพ่อเรียกพวกเขาว่า ‘พันธมิตรซ่อนเร้นใต้กลุ่มเงาจันทร์’ พวกเขาจะช่วยนำทางให้เราไปถึงที่ที่เทพกระต่ายถูกกักคุมตัวอยู่ และช่วยหาทางหนีทีไล่ให้หลังจากที่เราช่วยท่านเทพออกมาได้แล้ว”
ผมย่นคิ้วมองเชอเชสที่พูดตะกุกตะกักเหมือนลังเลที่จะบอกเล่าอะไรบางอย่าง แล้วมันอะไรน่ะ กลุ่มพันธมิตรใต้เงาจันทร์อะไรนั่น ผมเคยเจอพวกเขาด้วยเหรอ?
เชอเชสยิ้มแห้ง เหมือนเจ้าตัวก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้ผมเข้าใจ เลยผลักบานประตูตรงหน้าออกให้ผมเข้าไปหาคำตอบด้วยตัวเอง
“ข้าว่าให้ท่านวีเห็นกับตาน่าจะเข้าใจเรื่องราวได้เร็วกว่านะครับ”
------------------------------------------------------------------
ตอบคำถามจากดวงจันทร์ถึงทางโลก(?)
Q : คุณตาณไม่ได้รักพระราชา แล้วทำไมถึงมีลูกด้วยกันถึงสี่คนล่ะคะ?
ตาณ : ใครว่าไม่ได้รักล่ะครับ (ยิ้ม) พวกคุณก็อย่าไปเชื่อในสิ่งที่เชษฐ์พูดนักเลย ถ้ารู้จักมันดีเหมือนที่ผมรู้จัก คุณจะรู้ว่าคำพูดมันต้องหารเกินครึ่งตลอดครับ ส่วนเรื่องลูก อืม...(ทำท่าคิด) ผมว่ารอลุ้นต่อไปดีกว่าครับ เดี๋ยวคนเขียนก็เฉลยนะ (ยิ้ม)
ปล. ขอยื่นใบลาไปเที่ยวต่างจังหวัด 5 วันนะค้า กลับมาอีกทีหลังวันปีใหม่เลย
H a p p y N e w Y e a r ล่วงหน้าก๊าาา