The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (บอกกล่าวการกลับมาของจุ้ย 02/08/16)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (บอกกล่าวการกลับมาของจุ้ย 02/08/16)  (อ่าน 13245 ครั้ง)

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
บอกกล่าว..
จริงเรื่องนี้ผมเคยเอาไปลงที่เด็กดี และธัญวลัย ก็ได้รับการตอบรับในระดับหนึ่งไม่มากนัก ก็เลยอยากจะเอามาฝากให้เพื่อนๆอ่านเล่นกัน เผื่อใครจะไม่ค่อยได้ไปอ่านที่บอร์ดอื่นจะได้มาอ่านกัน

นำเรื่อง

เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวของนายจุ๊ย(ถ้าเป็นจีนแต้จิ๋วจะเป็นจุ้ย.. แต่ผมสะกดผิดเอาไว้ ขี้เกียจแก้ที่หลังเลยปล่อยเลยตามเลย)  เขาเป็นนักดนตรีที่มากไปด้วยพรสวรรค์ แต่ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธที่จะเรียนต่างประเทศเพราะต้องการอยู่ช่วยเหลือครอบครัวที่มี พ่อ พี่ชาย น้องชาย และน้องสาว
โป้งเป็นคนร่าเริง และตลก จึงเป็นที่ถูกใจของทั้งหญิงและชายมากมายที่อยู่รอบตัวเขา แต่เขากลับรักคนแค่สองคนเท่านั้น  คือคนที่จากไปแล้ว และคนที่กำลังจะเข้ามา.. จุ๊ยจะทิ้งอดีตได้หรือไม่ หรือจะจมปลักกับอดีตมาติดตามกันนะครับ

โดยเรื่องจะไม่เน้นเซ็กซ์ ดันนั้นถ้าใครคาดหวังว่าจะเห็นฉากหวือหวาจากเรื่องนี้อาจผิดหวังได้นะครับ..  และเรื่องนี้แต่งจบไปแล้วครับ  ดังนั้นมันจะยาวมาก เอาเป็นว่าผมจะลงให้ทีละยี่สิบตอนไปเลยแล้วกันนะครับ..

คำติชมคือกำลังใจครับ ไม่ว่าจะติหรือจะชม เป็นสิ่งที่ทำให้ผมทราบว่าท่านติดตามอ่าน  ผมหวังว่าจะได้รับจากทุกท่านด้วยความยินดี

ขอใหสนุกกับเรื่องราวนี้นะครับ.. The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ

Mr. Valentin
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2016 10:04:16 โดย Andylover »

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 1 จุ๊ยแปลว่าน้ำ เด็กผู้ชายชื่อนายจุ๊ย

พัดลมเพดานส่งเสียงครางต่ำๆราวกับอุทธรณ์ถึงอายุของมัน  จนเด็กหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับสมุดบัญชีและเอกสารวางบิลมากมายต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“ชิบหาย... บางที ไอ้หูเรานี่แมร่งก็ดีเกิน” เด็กหนุ่มบ่น  มองพัดลมที่หมุนเอื่อยๆ
“ลุงพัดลมคร๊าบ ผมรู้ว่าลุงเหนื่อยมาทั้งวัน  แต่ผมต้องทำให้เสร็จครับ  ผมสัญญาว่าจะเช็ดลุงจนสะอาดวันเสาร์นี้แน่นอนครับ  อย่าบ่นนักเลย  ผมมันหูดีเกิน ได้ยินลุงบ่นทุกคำเลย”
เหมือนจะคุยกันรู้เรื่อง  พัดลมก็หยุดส่งเสียงครางไปเฉยๆ  เด็กหนุ่มทำท่าสะดุ้ง  แล้วก็โคลงหัวเบาๆก่อนจะก้มหน้าทำงานต่อ
“ขอบคุณคร๊าบผม”
นานเท่าไหร่ไม่รู้  แต่รู้ตัวอีกทีก็คือเมื่อเสียงวางขาร่มดังสะท้อนของอาแปะขายน้ำเต้าหู้ดังมาบอกเวลาประจำวัน
“อ้าว...” เด็กหนุ่มหันมองนาฬิกาเรือนเก่าที่แขวนไว้บนผนังหลังหัวของเขา
“เช้าซะละไม่ได้ต้องนอนกันพอดี  ดีนะเสร็จแล้ว”
แล้วเด็กหนุ่มก็เก็บข้าวบนโต๊ะใส่ลิ้นชัก  จากนั้นก็ลุกขี้นบิดไล่ขี้เกียจก่อนจะเดินฮัมเพลงบรรเลงคลาสิคของ Joseph Haydn The Finale of the symphony no. 82 เดินเข้าไปในครัว
“จุ๊ย” เสียงเรียกดังมาจากชั้นลอย
“ครับป๊า”  เขาขาน
“ซาอี้(น้าสาวคนที่สาม)ของลื้อเอาบะจ่างมา  เอาออกมาอุ่นนะ”
เด็กหนุ่มมองลงมาเห็นถุงบะจ่างที่ว่าในชั้นล่างสุด
“ครับ ผมเห็นแล้วครับ” เด็กหนุ่มตอบออกไป


อุ่นเสร็จก็ต้องเอามาแกะใส่จาน จากนั้นก็ยกออกมาด้านนอก  เขาวางจานแล้ววิ่งไปแย่งไม้สอยจากมือบิดา
“เดี่ยวจุ๊ยทำเอง ป๊าไปกินบะจ่างนะครับ  ผมอุ่นวางไว้บนโต๊ะแล้ว”
บิดามองหน้าบุตรชายก่อนจะเดินเข้าไป
นี่คือกิจวัตรของจุ๊ย  ตอนเช้าเขาต้องมีหน้าที่เอาสินค้าภายในร้านขายเครื่องเหล็กและอะไหล่ออกมาเรียงหน้าร้าน  แม้จะหนักแต่ก็ไม่มีจำนวนมากเท่าไหร่ที่ต้องเอาออกมา ก็แค่เอาของพวกตัวอย่างท่อและข้าวของอีกหลายชิ้นออกมาแขวนด้านนอกเพื่อให้ ลูกค้ามองเห็น  เข็นลังของออกมาอีกสองสามลัง อุปกรณ์ก่อสร้างชิ้นใหญ่ๆอีกนิดหน่อย แล้วก็เสร็จ  จากนั้นก็กวาดหน้าร้าน และทำความสะอาดขี้แมว
“ห่าเอ้ยเห็นหน้าบ้านกูเป็นส้วมหรือไง” จุ๊ยบ่นขณะเอากระดาษหนังสือพิมพ์มาหยิบแล้วห่อ
“เหม็นฉิบหาย... แมวบ้านี่ อย่าให้เจอตัวนะ  จับเอาลวดร้อยตูด ให้ไม่ต้องขี้ไปตลอดชาติเลย”
เดินเข้ามาภายในบ้าน  บิดากำลังนั่งตรวจสมุดบัญชีที่จุ๊ยพึ่งทำเสร็จเมื่อคืน
“ป๊าครับ  วันนี้ผมต้องซ้อมถึงดึกนะครับ  เพราะอาทิตย์หน้าเราจะไปประกวดชิงแชมป์ประเทศไทยแล้ว”
บิดาเหลือบมองหน้าลูกชาย  แล้วก็ตอบว่าอืมแค่คำเดียว
จุ๊ยก็เลยเดินต่อเข้าไปกำลังจะเลี้ยวขึ้นบันได หนุ่มร่างสูงก็วิ่งสวนลงมา
“ขอโทษจุ๊ย” แล้วก็หันไปคว้ารองเท้าบนชั้นตรงหน้าครัว
“ผมอุ่นบะจ่างให้แล้วเฮียตี้กินก่อนไหมครับ” จุ๊ยถาม
ตี้หันมาทำหน้าเซ็งเบื่อ
“ไม่เอาล่ะจุ๊ย  มันเลี่ยนจะตาย เฮียไปกินที่ ม.ดีกว่า”
แล้วเขาก็เดินฉับๆออกไป
“ผมไปแล้วนะป๊า”
“เออ.. แล้วตอนเย็นจะกลับมากินข้าวไหม  อั๊วจ้างแปะซาตุ๋นซุปไก่โสมมาให้  ดื่มบำรุงสมอง ใกล้จะสอบแล้วไม่ใช่เหรอ” บิดากล่าวแก่ลูกชายคนโต
“โอ๊ย ป๊า  ซุปไก่มันมีประโยชน์จริงๆที่ไหนเล่า  ผมมีLab ตอนเย็น  คงกลับมากินข้าวเย็นไม่ทันนะครับ”
จุ๊ยมองเห็นแต่พี่ชายคว้ากุญแจรถจากบนโต๊ะแล้วเดินออกไป
เขาก็เลยเดินต่อขึ้นบันได
“อาซัวล่ะจุ๊ย” เสียงป๋าตามไล่หลังมา
“เดี่ยวผมไปปลุกครับ” จุ๊ยตอบ
 
 ครอบครัวของเขาในตอนนี้มีสมาชิกอยู่ห้าคน  บิดา พี่ชายคนโตเฮียตี้ นักศึกษาแพทย์ปีสี่ ตัวเขาเองนักเรียนมัธยมหก  และน้องชายน้องสาวฝาแฝดอีกสองคน  ซัวกับฮัว แต่ฮัวถูกส่งไปอยู่กับยี่อี้(น้าสาวคนรอง) ที่ระยองตั้งแต่เด็กๆ เพราะคำทำนายของหมอดูว่าซัวกับฮัวแม้เป็นฝาแฝดแต่ดวงขัดกัน  ถ้าหากอยู่ด้วยกันจะมีใครคนหนึ่งต้องตาย  แม้ป๊าจะไม่ใช่คนเชื่อเรื่องพวกนี้อย่างฝังหัว  แต่ก็ทำตามคำแนะนำนั้น  ส่วนซัว...น้องชายที่อายุห่างกับจุ๊ยแค่สองปีนั้น...
“ไอ้ซัว มึงนอนกินบ้านกินเมืองแข่งกับนักการเมืองหรือไงวะ  นี่มันกี่โมงแล้วไม่ไปโรงเรียนเหรอ”  จุ๊ยร้องพร้อมเคาะประตู
เงียบ
เงียบสำหรับคนอื่น... แต่หูดีเกินขีดมาตรฐานของจุ๊ยได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายใน  และได้ยินเสียงสนทนากัน เป็นเสียงของซัว กับ...
“ไอ้ซัวเปิดประตู” จุ๊ยส่งเสียงเข้มเด็ดขาด
ซัวเรียนโรงเรียนอาชีวะ เพราะเขาไม่ชอบสนใจการเรียนตามแผนของมัธยม  แล้วก็เป็นเด็กที่หัวแข็งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็เลยรู้สึกขบถกับความคิดของป๊าที่อยากจะให้เรียนต่อสายสามัญ
แต่ตั้งแต่ซัวเข้าโรงเรียนอาชีวะ ก็มักจะกลับบ้านดึกๆ  เริ่มสูบบุหรี่และกินเหล้า
ประตูเปิดออกตามคำสั่ง
“เฮียจุ๊ย” ซัวยิ้มอ้อนๆในแบบที่จุ๊ยอ่านออกว่าต้องมีอะไรร้องขอ
เขาค่อยๆเปิดประตูให้จุ๊ยเห็นภายใน
บนเตียงมีเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มนั่งอยู่ ยกมือไหว้เขาอย่างเก้งๆกังๆเพราะเขิน
“ไอ้ซัวนี่มัน” จุ๊ยหลุดปากออกไปเสียงดัง
“เฮียเบาๆดี๊  เดี่ยวป๊าได้ยิน” ซัวปิดปากจุ๊ยแล้วลากเข้ามาภายในห้อง
“เฮียต้องช่วยผมนะ  ก็เฮียนั้นหล่ะผิด”
จุ๊ยทำตาโต
“อ้าวไอ้ห่า กูผิดยังไง... นี่มึงพาลูกสาวบ้านไหนก็ไม่รู้มาบ้าน เสือกมาบอกว่ากูผิด กูเป็นคนฉุดเขามาหรือไง” จุ๊ยเอ็ด
“ก็เมื่อคืนผมกะว่าจะแอบพาออกไปตอนตีสอง แต่เฮียดันตื่นมาตอนนั้น  ผมก็เลยกลัวเฮียจะโวยจนป๊ารู้ก็เลย... ไม่กล้าออก” ซัวพูดทั้งทำหน้าจ๋อยๆ
ดวงหน้าของซัวคมคายแบบหล่อเหลา  เป็นตี๋หล่อที่เนื้อหอมพอสมควร...
เขาถอนหายใจ
“เฮียช่วยผมนะ” ซัวเกาะแขนจุ๊ยออดอ้อนในแบบที่ทำเสมอกับจุ๊ยเวลาจะขอความช่วยเหลือจากจุ๊ย
จุ๊ยมองหน้าเด็กสาวก่อนทีนึง  นึกอยากจะถีบน้องชายสักทีแต่ก็เกรงใจเด็กสาว
“ครั้งเดียวนะ... อย่าให้มีครั้งที่สอง “จุ๊ยชี้หน้าน้องชาย
“แล้วเราน่ะ อย่าคิดว่าไอ้ซัวมันจะจริงจัง เรียนหนังสือหนังหาดีกว่า อายุเท่าไหร่แล้วนี่  ดูเหมือนยังม.ต้น  เรียนหนังสือหนังหาดีกว่านะน้อง  อย่ามาหลงหน้าหล่อๆของไอ้นี่มาก ไอ้นี่มันเมียเยอะ”  จุ๊ยเผาน้องชายซึ่งหน้า  แล้วก็เดินออกมา


บนรถเมล์ที่มีผู้โดยสารแน่นขนัด  จุ๊ยยืนชิดกับเด็กสาวผิวขาวเนียน ผมยาวสลวยรวบมัดอย่างเรียบร้อย  ชุดนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังเรียบกริบ และถูกระเบียบแป๊ะ
“ซัวนี่ร้ายกาจจริงๆ นี่ถ้าแปะจุ๊งเห็นมีหวังบ้านแตก” เด็กสาวกล่าว
“ก็ไม่หรอก” จุ๊ยตอบ
“ป๊าไม่ใช่คนชอบโวยวาย แต่ไอ้ซัวอาจโดนเรียกไปฟาดซักโหล แต่ขอบใจหลิวมากเลยนะ  ถ้าไม่ได้หลิวพาไปทางบ้านหลิว จุ๊ยคงต้องจับใส่ตระกล้าชักรอกลงจากดาดฟ้า”
หมิวมองจุ๊ยส่ายหัวพลางยิ้มในลักษณะของเขา
จุ๊ยไม่ใช่คนหล่อประเภทสะดุดตา  เขาหน้าตาธรรมดาแต่มีรอยยิ้มที่ทำให้โลกของหลิวงดงามขึ้น
เธอกับจุ๊ยเป็นเพื่อนกันแต่เล็กๆ เพราะบ้านอยู่ติดกัน  จุ๊ยเป็นคนร่าเริง ใครอยู่ใกล้มักจะอารมณ์ดี  ทีสำคัญคือความจิตใจดี และเป็นคนขยันขันแข็งซึ่งเป็นจุดที่แม้แต่พ่อแม่ของหลิวยังชมบ่อยๆ และรักเอ็นดูเขามาก  ซึ่งที่จริงผู้ใหญ่แถวนั้นที่เห็นจุ๊ยมาแต่เด็กก็มักเอ็นดูจุ๊ยอยู่แล้วทุกคน
“หลิวถ้าจะมีแฟน ถ้าไม่ได้อย่างจุ๊ย หนูไม่ต้องพามาให้ป๊าดูหน้านะ ป๊าอยากได้อย่างจุ๊ย” บิดากล่าวในเชิงเล่นในโต๊ะอาหาร เล่นเอาเด็กสาวหน้าร้อนฉ่า
“ป๊าก็อย่าไปแซวลูกสิ ดูสิหน้าแดงเป็นลูกพลับแล้ว” มารดาปราม  แต่กลับเป็นฝ่ายแซวเสียเอง
“แต่ม๊าก็อยากได้นะ ขยันๆแบบนี้รับรองหนูไม่อด”
“เป็นอะไร.. มีไข้หรือร้อน  หน้าแดงเชียว” จุ๊ยทัก
หลิวหันขวับ
“เปล่า”
จังหวะนั้นมีคนเบียดออกมา  เป็นผู้ชาย
จุ๊ยดึงหลิวเข้ามา แล้วเอาตัวบัง
“เออไอ้นี่...กูรู้ทันหรอก.. “จุ๊ยกล่าว แล้วส่งสายตาไม่เป็นมิตรไล่หลังชายคนนั้น
“หลิวระวังนะ  ไอ้นี่มันโรคจิต  วันก่อนจุ๊ยแอบเห็นมันเอาเป้าถูกก้นเด็กผู้หญิง  ไอ้ตั้ม ไอ้ปอเกือบจะเข้าไปต่อยแล้ว”
จุ๊ยกล่าวจบก็หันกลับมา
“อ้าวทำไมหน้าแดงกว่าเดิมอะ  เป็นไข้เหรอ”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 2 เสียงSaxยามเข้า

ในสนามฟุตบอลของโรงเรียนชายล้วนแห่งนี้วุ่นวายเหมือนทุกวัน ด้วยทีมฟุตบอลมากกว่าสิบทีมที่แบ่งปันพื้นที่สนามขนาดมาตรฐานสนามเดียวกัน ด้วยสมานฉันท์อย่างน่าอัศจรรย์
เด็กหนุ่มผิวขาวเรือนร่างสูงเดินในลักษณะลากเท้า  เขาวางกระเป๋าหนังสือดังตุ๊บ เล่นเอาเพื่อนๆที่นั้งเพลินๆสะดุ้ง
“อะไรของมึงเนี่ย  ตกใจ” เพื่อนร้อง
 “กูง่วง กูเพลีย” เขาบอกแล้วทิ้งกายลงกับม้านั่งยาว จากนั่งก็นอนลงบนตักของเด็กหนุ่มหน้าจีนที่กำลังอ่านนิตยสารเกี่ยวกับดนตรี
“ไปทำอะไรมาล่ะไอ้อ๊อด  ดูหนังโป๊แล้วว่าวจนดึกจนเพลีย?” คนโดนนอนตักถาม
“เปล่า... “ อ๊อดพลิกตัวแล้วพลิกตัวหันเข้าหาตัวคนถูกหนุน จนแก้มมาชนเป้ากางเกง  เล่นเอาเด็กหนุ่มหน้าจีนสะดุ้ง
“ไอ้ห่า” เขาผลักจนเพื่อนร่วงลงไปบนพื้น
“มึงนี่ลามก... “
อ็อดตะกายขี้นมานั่ง  หัวเราะ
“เป้ามีงหอมวะจุ๊ย”
“ไอ้สัตว์” จุ๊ยตบกระบาลอ็อดด้วยหนังสือ
“กูล้างดี.. เปลี่ยนกางเกงในทุกวัน  ไม่ได้ซกมกเหมือนมึงจะได้เหม็น”
เพื่อนคนอื่นก็หัวเราะกันครืนเครง
“พี่จุ๊ยครับ” เด็กม.สี่คนหนึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา
“ครูอติเรียกครับ”
 ห้องพักครูที่อยู่ติดกับห้องดนตรี เป็นห้องพักของครูผุ้สอนวิชาดนตรี  ปกติจะมีครูอยู่สี่คน  แต่ตอนนี้ยังเช้าจึงมีแค่อติคนเดียว
เขาติดรูปของเด็กหนุ่มที่กำลังเป๋าแซกโซโฟนบนเวทีประกวดระดับประเทศลงบนบอร์ดแสดงผลงานของนักเรียน
บนบอร์ดมีรูปของเด็กนักเรียนที่สร้างชื่อเสียงด้านคนตรี  มีทั้งประเภทเดี่ยวและวงโยธาวาทิต  แต่เกือบทุกรูปความสำเร็จของนักเรียนในช่วงห้าปีนี้ ต้องมีเด็กหนุ่มมือแซกโซโฟนคนนี้อยู่ด้วย 
เขาชื่อนทีธาร หรือจุ๊ย 
“สวัสดีครับครู”
อติหันมา  จุ๊ยพึ่งเงยจากอาการไหว้
 
เอกสารที่ยื่นมาคือเอกสารตามคำบอกเล่าของอติ
“จุ๊ยไปลองทบทวนดูนะ โอกาสแบบนี้หาไม่ได้แล้ว  สถาบันที่ยื่นข้อเสนอมาเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษ  เขาส่งคนมาซุ่มดูจุ๊ยหลายเดือนแล้ว แต่ครูก็กลัวจุ๊ยกดดันเลยไม่ได้บอก   แล้วเขาติดต่อครูมาเมื่อวานนี้  ให้สถานทูตเอาเอกสารนี้มาให้  เขาต้องการแค่ให้จุ๊ยยอมรับเงื่อนไข แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยหมด  จุ๊ยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสักบาท”
เด็กหนุ่มปกติแล้วจะมีรอยยิ้มเสมอ เหมือนกับโลกไม่มีอะไรน่ากังวล  รอยยิ้มที่เป็นกำลังใจให้วงโยธาวาทิตในทุกๆเวลา ไม่ว่าแพ้หรือชนะ  เป็นเหตุให้ทุกคนรักหัวหน้าวงจุ๊ย  และเป็นแรงบันดาลใจเด็กอีกหลายคน
“แต่ผม... “ จุ๊ยมีสีหน้ากังวลอย่างชัดเจน  แต่ก็ยังยิ้ม
“ผมยังเรียนไม่จบเลยนะครับ”
“ก็ไม่ต้องให้จบนี่จุ๊ย  การเรียนดนตรีเขาไม่ได้ใช้วุฒินะจุ๊ย  เขาวัดกันที่ฝีมือ ฝีมือคือสิ่งสำคัญ  โอกาสอย่างนี้แม้แต่ครูเองยังอยากได้  แต่ครูไม่มีสิ่งที่เธอมี..” อติลุกมาบีบไหล่ของจุ๊ยด้วยมือข้างหนึ่ง
“มันเป็นเรื่องดีที่จุ๊ยเป็นคนกตัญญู และความรับผิดชอบสูง  แล้วจุ๊ยก็ทำได้ดีมาโดยตลอด   แต่นี่ไม่ใช่การละทิ้งความรับผิดชอบนะ  จุ๊ย คิดดูสิถ้าจุ๊ยเรียนจบเป็นนักดนตรีมีชื่อเสียง  จุ๊ยก็จะสามารถจุนเจือครอบครัวได้  พ่อของจุ๊ยก็ต้องภูมิใจแน่นอน  ถ้าท่านยังมีข้อสงสัยอะไร ครูยินดีจะไปคุยกับท่านให้”
จุ๊ยหรี่ตาลงชั่วครู่ แล้วถอนหายใจ
“ผมจะคิดดูครับ”
 
จุ๊ยเดินผ่านตามทางเดิน   เขาได้ยินเสียงเป่าเครื่องดนตรี จึงหยุดฟัง  เดินเข้าไปในห้องเรียนก็เห็นเด็กหนุ่มดวงหน้าสะอาดสะอ้านกำลังเขม่นเป่าไคลิเนต
เขายืนกอดอกยิ้มจางๆ
วาทิตเป็นเด็กชั้นมัธยมปีที่สี่  เขามีรูปร่างเล็ก  แต่กลับใฝ่ฝันจะเล่นแซกโซโฟน  จุ๊ยจึงแนะนำว่าให้วาทิตเริ่มจากไคลิเนตก่อน
จุ๊ยเห็นเม็ดเหงื่อก็เลยหยิบล้วงหยิบกระดาษทิชชูในกระเป๋าออกมาซับให้
“เป่าต่อสิ” เขาบอกเสียงเบาๆ เพราะเด็กหนุ่มมีอาการคล้ายชะงักจะหยุด
“เล่นต่อให้จบท่อน  อย่าเล่นครึ่งๆกลางๆ  คนอื่นจะรำคราญ แล้วเราก็ไม่ได้อะไรด้วย”
วาทิตมองตาจุ๊ยที่ดูแสนอ่อนโยน  เขาเป่าต่อจนจบท่อนโดยสามารถไม่ถอนสายตาได้
แต่พอเป่าจบก็ก้มหน้า
จุ๊ยเอียงคอ ยืดตัวตรงกอดอก
“ลมเรามันยังไม่พอนะ  พี่แนะนำให้เราไปว่ายน้ำหรือวิ่งทุกเข้า  ไม่อย่างนั้นเวลาเป่าจะเป็นลมตายเอา  แถมลมหมดด้วย”
วาทิตทำหน้าเศร้า จุ๊ยจึงโอบไหล่
“เอาน่า สู้ๆพี่เป็นกำลังใจให้”
แล้วจุ๊ยก็เดินออกไป เพราะเพลงมาร์ชโรงเรียนสัญญาณเรียกเข้าแถวดังขึ้น  วาทิตมองตามไป
ท่อนแขนของพี่จุ๊ยอบอุ่นเหลือเกิน...
 
วรรณาเดินตรวจแถวเด็กนักเรียนที่เธอประจำชั้นแล้วก็เดินออกมาท้ายแถวเพื่อรวมยืนร่วมกับอาจารย์ท่านอื่น
“แฟชั่นมาใหม่อีกแล้วนะ” อาจารย์สอนวิชาภาษาญี่ปุ่นกล่าวแก่เธอ
“นี่ดูสิ  กางเกงมันดูแปลกๆเห็นไหม  เดี่ยวจะปรึกษาผอ.ว่าผิดระเบียบรึเปล่า”
วรรณายิ้ม
“ปล่อยๆบ้างเถอะค่ะ  ตึงเกินไปเดี่ยวก็พาลจะประท้วงเอา” คนออกความเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ จริงๆคนสอนวิชานี้น่าจะเป็นคนเข้มข้นระเบียบ  แต่เธอกลับไม่ได้มีบุคลิกแบบนักคณิตศาสตร์เลย  เธอเป็นคนทันสมัย  พูดจาฉะฉานน่าฟัง  เด็กๆจึงชอบกันมาก
คนสอนญี่ปุ่นก็จะแย้ง
แต่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นผ่านลำโพง เป็นเสียงเป่าของแซกโซโฟนที่กังวานทว่านุ่มนวลแม้เครื่องเสียงจะไม่ได้ดีดั่งในโรงมหรสพ  แต่มันก็ไม่สามารถกลบความงามในเส้นเสียงของเพลงที่ได้รับการถ่ายทอดโดยนักดนตรีมือเอกของโรงเรียน
ปีที่แล้วตอนที่เธอเข้ามาสอนใหม่ๆ ได้ยินการบรรเลงนี้ครั้งแรก ถึงกับลืมร้องเพลงชาติแถมยังเผลอปรบมือให้ด้วย
มองไปก็เห็นเด็กหนุ่มยืนตัวตรงบรรเลงเครื่องเป่าอย่างตั้งใจ  นทีธาร  เด็กในห้องที่เธอประจำชั้นนั่นเอง
“เมื่อก่อนเคยเป็นการเล่นคู่...” มีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยบอกไว้
“แต่พอคนที่เป่าคู่กับนายจุ๊ยเสียไป  ก็ไม่มีใครเป๋าคู่กับเขาได้อีก  คือยอมแพ้ถอนตัวไปทุกราย  ที่สุดก็ต้องเป่าคนเดียว”
เด็กคนนี้มีพรสวรรค์อย่างมาก..
แต่.. เธอต้องลอบถอนหายใจเมื่อนึกถึงสิ่งที่อติ อาจารย์หนุ่มผุ้สอนดนตรีและเป็นที่ปรึกษาของวงโยธวาทิต มาร้องขอให้เธอช่วย
“เด็กที่กตัญญู... มันพูดยากนะคะ  ให้ดิฉันคุยกับเด็กเกเรยังจะง่ายเสียกว่า  เด็กคนนี้ดูผิวเผินเป็นเด็กเชื่อฟัง  แต่เขาก็มีจุดยืนในตัวเข้มแข็งมาก  ดิฉันว่าคงยาก  จุดนี้อาจารย์ก็รู้นี่ค่ะ” เธอตอบออกไปอย่างนั้น
“ครับผมทราบ... แต่ถ้าเราช่วยกัน  ผมว่าเขาอาจจะใจอ่อน  ผมไม่อยากจะเรียกจุ๊ยมาคุยบ่อยๆตอนฝึกซ้อม  กลัวเขาจะเสียสมาธิ  ก็คงต้องรบกวนอาจารย์ที่เป็นที่ปรึกษานั้นล่ะครับ” อติตอบมา
“แต่อาจารย์ใส่ใจเด็กมากเลยนะครับ  รู้จักเขาแค่ปีเดียวก็อ่านออกแล้วจุ๊ยเป็นคนอย่างไร”
อาจารย์สาวหันไปทางแถวอาจารย์ผุ้ชายที่อยู่ห่างออกไป
 
อ๊อดสัปหงกโงกเงกไปมาตั้งแต่ต้นชั่วโมงเรียน  แล้วที่สุดเขาก็เกือบฟุบกระแทกกับโต๊ะแต่จุ๊ยก็รับไว้ได้ทัน
“ห่าเอ้ย ไปอดหลับอดนอนมาจากไหนวะ” จุ๊ยเอี่ยวหน้ามากระซิบ
“นี่มันชั่วโมงอาจารย์พัฒน์ ประเดียวมึงก็ได้โดนทำโทษ”
“ก็มันง่วงนี่หว่า  เมื่อคืนก็เข้านอนตามเวลานั้นล่ะแต่นอนไม่ค่อยหลับ” อ็อดตอบ  แล้วตาของเขาก็หรี่ลงอีกรอบ
“เหรอ... ง่วงมากเลยใช่ไหม”
“ก็ใช่สิ... เนี่ยตาจะปิดให้ได้เลย”
“อยากหายง่วงไหมล่ะ”
อ๊อดเลยลืมตาหันมาหาจุ๊ย
“เอาลูกอมมาสิ  ขอหน่อยจะได้หายง่วง”
แต่จุ๊ยเม้นปากแน่น  เบิกตาโตและพยับเผยิบให้รู้
อ๊อดบ่นพึมพำแล้วหันไปตามสัญญาณ
“ซวยแล้วกรู”
อาจารย์พัฒน์วัยราวสามต้นๆ ขยี้หัวอ๊อด
“ไปหน้าชั้น”
“คร๊าบผม” อ๊อดยิ้มแหย่ๆแล้วลุกไป
จุ๊ยมองตามไปหัวเราะเบาๆคิกๆคักๆ
“เธอด้วยนทีธาร”
จุ๊ยสะดุ้ง
“แต่ผมไม่ได้...”
“ไป” อาจารย์พัฒน์ย้ำเสียงหนักแน่น
“มัวแต่นั่งมองเพื่อนสัปหงก  แทนที่จะตั่งใจเรียน”
จุ๊ยเอามือมาตะเบะแบบกลับข้าง
“กับป๋ม”
ที่จริงอาจารย์พัฒน์ไม่ใช่คนดุหรือระเบียบจัดอะไร  เป็นอาจารย์ที่ค่อนข้างเฮฮา  แม้จะสอนวิชาเกี่ยวกับสังคม ประวัติศาสตร์ และศาสนา  แต่อาจารย์พัฒน์กลับมีวิธีการสอนที่ทำให้นักเรียนชอบ และหัวเราะกันครืนเครงในบางคาบเรียนที่ไม่ได้มีความเข้มข้นของเนื้อหาไม่มากนัก
แต่ใครก็รู้  อย่าได้เผลอไม่ตั้งใจฟังแกสอนให้เห็นอาจโดนลงโทษแปลกๆได้
“เอ้าเมื่อกี้เล่าถึงไหน” อาจารย์ถาม  แต่ตอบเอง
“อ้อหนุมาน.. หนุมานเนี่ยแกเป็นลูกพระพายใช่ไหม  แต่ถ้าอาจารย์จะบอกว่าจริงๆแล้วแกเป็นลูกพระศิวะต่างหาก  โดยแกใช้พระพายเป็นสื่อ แล้วนางสวาหะเป็นแม่อุ้มบุญ จะเชื่อไหม”อาจารย์พัฒน์มองไปทั่วๆ เห็นเด็กทำหน้างง
“พวกเธอสงสัยกันหล่ะสิ.. ทำไมหล่ะก็อาจารย์สมัยประถมกับบอกว่าหนุมานเป็นลูกพระพาย  ทำม๊ายตาอาจารย์นี่ถึงมาบอกอย่างนี้  อยากรู้ไหม...ว่าทำไม”
จุ๊ยหันไปมองหน้ากับอ๊อด  ที่จริงเขาชอบอาจารย์พัฒน์อยู่ไม่น้อยนะ  ถึงจะออกเพี้ยนๆเพราะเรียนมาก  แต่เพราะอาจารย์พัฒน์มักจะท้าทายเด็ก ด้วยการสร้างข้อสงสัยเสมอในสิ่งที่สอน  และมักจะแสดงให้เห็นเลยว่าสิ่งที่สอนพวกเขาตอนนี้ยังสอนไม่หมด  ยังมีอีกมากให้ค้นคว้า 
“ไม่บอก” อาจารย์พัฒน์ก็ลงเอยด้วยการอมพะนำ
“ถ้าใครอยากรู้ก็ต้องหาคำตอบเอง  แล้วถ้าใครได้คำตอบ  เอาโพสในแฟนเพจของอาจารย์นะ  จะมีคะแนนพิเศษให้”
มีเสียงบ่นว่าอีกละ  บางคนก็บอกว่ายั่วแล้วไม่ทำให้เสร็จ  ค้างคามากๆ
“เอ้าๆ แต่วันนี้อาจารย์จะจำลองเหตุการณ์ของกำเนิดหนุมานตามรามเกียรติไทยให้ดู  มานี่สินางสวาหะ”
อ๊อดเดินหน้าเซ็งไปหา
“นางสวาหะนี่ แกถูกสาบนะ  ให้ยืนขาเดียว เหนี่ยวกินลม” อาจารย์พัฒน์บอก
“เอ้ายืนขาเดียว”
อ๊อดก็ยกข้าขึ้นข้างหนึ่ง
“ไม่ใช่ไม่แมนขนาดนี้ เราเป็นผู้หญิง  ต้องยืนแบบนางแบบเพลย์บอยสิ  ยกขาหนึ่งกระดกไปข้างหลัง อีกข้างย่อๆหน่อย แล้วค่อมตัวแอ่นอกมาข้างหน้า”
พูดไม่พูดเปล่าทำให้ดู เรียกเสียงหัวเราะลั่นห้อง
อ๊อดเลยนึกสนุกทำตาม ยืนย่อค่อมตัว ขากระดก อกแอ่น
อาจารย์ยืดตัวตรง
“เอ้าอ้าปาก”
อ๊อดก็อ้าปาตามคำสั่ง
“ไม่ใช่ๆ  หรี่ตาข้างหนึ่งทำปากเจ่อๆแล้วพูดว่าคิมมูจี่ แล้วไม่ต้องหุบปากอ้างค้างไว้”
ตอนนั้นก็เริ่มมีเสียงหัวเราะกันแล้ว
แต่พออ๊อดทำตาม หรี่ตาลงข้างหนึ่ง ทำปากเจ่อ
“คิมูจี่”
เสียงหัวเราะประสานกันดังลั่น  โดยเฉพาะหัวหน้าห้องนายก้องภพ  ซึ่งนั่งหน้าห้อง    จุ๊ยต้องเข้าไปช่วยรั้งตัวเพราะหัวเราะจนเกือบตกเก้าอี้
“อ้าวๆใจเย็นๆ  ยังมีพระพาย”
แล้วอาจารย์ก็หันซ้ายหันขวา หันไปหยิบเอาไม้บรรทัดของนักเรียนคนที่นั่งใกล้มือที่สุด
“มานี่ มาตรงนี้”
จุ๊ยรู้ชะตาว่าคงจะทุเรศไม่แม้กันแน่นอน
เดินส่ายหัวดุกดิกมา
“ถือไว้สองมือตรงระหว่างเป้า”
จุ๊ยรับไม้บรรทัดมาแล้วก็เอามากำไว้ด้วยสองมือตรงตำแหน่งเป้ากางเกง
“แยกขาย่อเข่า แล้วทำตาโตๆหื่นมองหน้านางสวาหะ”
จุ๊ยย่อเข่าแล้วตำตาโตๆหื่นๆอย่างที่ว่า
“กระดกค... เอ้ยไม่ใช่ไม้บันทัดตั้งตรงแล้วกระโดดไปข้าง แล้วพูดเสียงสั่นๆห้าวๆว่า  โอ๊ยยยย สุโขยเน่”
พอจุ๊ยทำตามเท่านั้นล่ะ ไม่ใช่แค่เสียงหัวเราะ  แต่ยังมีเสียงโครมของนายก้องภพที่ล้มลงหงายลงไปเพราะไม่มีจุ๊ยช่วยรับ
จุ๊ยยกกองรายงานที่เพื่อนส่งให้อาจารย์เดินตามอาจารย์พัฒน์ไปที่รถโตโยต้ากลางเก่ากลางใหม่ของอาจารย์  ที่จริงอาจารย์พัฒน์ไม่ใช่อาจารย์ประจำ  แต่เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยที่มาช่วยสอนตามนโยบายใหม่ของกระทรวงศึกษาในรายวิชาที่เสริมเข้ามาในแต่ละแผนการเรียน
“วางตรงนี้เลยนะ”  อาจารย์พัฒน์บอก
พอวางลงที่ที่นั่งเบาะหลัง แล้วก็หันมา
อาจารย์พัฒน์ยืนกอดอกอยู่
“ได้ยินว่าเราจะไม่เรียนต่อ”
จุ๊ยทำหน้าปั้นยากแล้วตอบ
“ยังไม่แน่ครับ  ผมแค่คิดว่าจะไม่เรียนต่อเท่านั้นเอง”
อาจารย์พัฒน์เป็นอาจารย์พิเศษก็จริง  และพึ่งมาสอนที่นี่แค่สองปี แล้วยังสอนแค่สัปดาห์ละครั้ง แต่ก็สอนห้องของจุ๊ยตลอด  แล้วก็ยังเป็นลูกชายคนเล็กของน้าสาวรองของเขาด้วย
“เพราะเรื่องของฐานะของพ่อเธอใช่ไหม  ได้ยินว่าขายตกมากเลยไม่ใช่เหรอ” อาจารย์พัฒน์หรือจริงๆคือเฮียพัฒน์ของจุ๊ย วางมือบนบ่าของจุ๊ย
จุ๊ยยังไม่ได้หน้าจ๋อยซะทีเดียว ยังมีรอยยิ้มอ่อยๆให้เห็น
“ก็ส่วนหนึ่งครับ”
พัฒน์ถอนหายใจแล้วหันไปมองพระพุทธรูปประจำโรงเรียน
“กตัญญูเป็นเรื่องที่ดีนะจุ๊ย  อย่าหาว่าเฮียสอด  แต่จุ๊ยต้องคิดถึงตัวเองบ้าง  ไอ้เฮียตี้ของจุ๊ยล่ะ  เรียนหนักยังไงก็มันก็ช่วยอาเตี๋ยว(น้าเขย) ได้บ้างไม่ใช่เหรอวะ  อย่าให้มันมัวแต่เที่ยว”
“ไม่ได้เที่ยวนะ เฮียเขาเรียนหนัก” จุ๊ยแก้แทนให้
พัฒน์ถอนหายใจ
“ไอ้เรามันก็เป็นซะอย่างนี้ล่ะจุ๊ย  โลกสวยเหลือเกิน โดยเฉพาะกับเรื่องครอบครัวแกนี่ล่ะ”
จุ๊ยเกาหัวปอยๆ
“มันมีแฟนแล้ว ป๊าแกรู้รีเปล่า”
จุ๊ยตกใจนิดหน่อย แต่ก็ส่ายหน้า
พัฒน์ถอนหายใจอีกรอบ 
“เอาเหอะ  ก็เป็นเรื่องของมันหล่ะนะ  เฮียก็ไม่อยากพูดมาก  แต่เรื่องของเราเฮียไม่ไหวนะ  แต่ก็ยอมรับการตัดสินใจของแก แต่ ถ้าแกคิดว่านี่คือการทำตามสั่งเสียของอี้เหม่ย  ฉันว่าแกคิดผิด  อี้เหม่ยอยากให้เรียนสูงๆไม่แพ้ไอ้ตี้หรอก”
พัฒน์เห็นรอยยิ้มของจุ๊ยจางหายไปสนิท  เขาจี้ถูกส่วนเปราะบางของน้องชายลูกพี่ลูกน้องโดยตรง
“เอาเหอะ  คิดดูดีๆแล้วกัน “

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 3 สายน้ำที่รักของเดฟ
จุ๊ยรีบไปที่โรงอาหาร เพราะไปช้าร้านข้าวมันไก่เจ้าอร่อยก็เลยคิวยาว  แต่กระนั้นเขาก็ยังตัดสินใจต่อคิว  แล้วต้องชะเง้อคอมองเป็นระยะว่าไก่จะเหลือพอถึงเขาหรือไม่
ตอนนั้นเองที่จุ๊ยรู้สึกโดนประชิดจากด้านหลัง
“ทำไมผมจุ๊ยหอมจัง ใช้ยาสระผมอะไร” พูดแล้วดมบนหัวของเขาเพราะคนพูดที่อยู่ด้านหลังตัวสูงกว่าเขา
จุ๊ยตอบแต่เป็นชื่อยาล้างห้องน้ำแทน
อีกฝ่ายหัวเราะหึๆ
“สำหรับจุ๊ยใช้อะไรผมก็หอมทั้งนั้น” ว่าแล้วก็โอบเอวแถมแนบสนิทจนเป้ากางเกงถูกับของหลังจุ๊ยบริเวณบั่นเอว
“หื่นจริงนะมึงเนี่ย” จุ๊ยว่าแล้วสะบัดตัวหนี
“เอาอะไรมาถูหลังกูอีกแล้ว”
นายคนนี้เป็นลูกครึ่งไทยอเมริกันหน้าตาผสมตะวันออกผสมตะวันตกอย่างลงตัว  ชื่อจริงคือเดวิด แต่ให้เพื่อนๆเรียกว่าเดฟ
“ก็จุ๊ยทำให้ผมอดใจไม่ได้สักที “ เดฟส่งสายตาเต็มที่
เดฟเป็นเกย์แบบเปิดเผย  เป็นเกย์รุกที่ไม่ออกสาว  แถมหน้าตาดี จึงเป็นขวัญใจชาวเกย์ของโรงเรียน  แม้เรียนกันคนละห้องกับจุ๊ย  แต่ก็เรียนที่นี่มาตั้งแต่มัธยมต้นจึงรู้จักจุ๊ยเป็นอย่างดี  แถมยังแสดงออกชัดเจนว่าสนใจในตัวเขา
“ผมเลี้ยงจุ๊ยเองมื้อนี้  แต่เดี่ยวกินเสร็จจุ๊ยไปนั่งเล่นกับผมตรงบันไดดาดฟ้าหน่อยสิผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
ไม่พูดเปล่ายังเอามือมาจับแก้มจุ๊ยด้วย
จุ๊ยถอนหายใจ เอามือออก
“ไม่กินแม่งล่ะ เชิญมึงกินไปตามสบายเลยนะ”
“เฮ้ยจุ๊ยผมมีเรื่องจะคุยด้วยจริงๆนะ”
“เอออ กูรู้  คุยไปแดกกูไปน่ะสิ” เขาตอบแล้วก็เดินออกจากแถว
“ไม่นะ  ผม..” เดฟทำท่าจะตาม
จุ๊ยทำท่าตั้งการ์ดสูงแบบนักมวย
“อย่านะเฟ้ย นักดนตรีก็ต่อยเจ็บนะมึง”
จุ๊ยทำท่าย่างสามขุมแต่ถอยหลัง แล้วกลับหลังหันเดินไป
เดฟมองตามไป  มีแวดตาเศร้าลงเล็กน้อย แต่ก็กลับมาร่าเริงอย่างเก่า
“ตัวหอมชิบหาย” เขาดมมือตัวเอง 
“ชื่นใจ”
 
จุ๊ยมารวมกลุ่มกับเพื่อนร่วมห้องที่นั่งกันอยู่ทีแถวโต๊ะประจำ
“มึงก็ยอมๆมันไป  มันเผื่อมันจะหายเงี่ยนมึงซะที” คนพูดคือปอ  เพราะทั้งกลุ่มสังเกตเห็นเหตุการณ์จากระยะไกล
“กูเห็นมันเข้าหามึงแต่ละที สิงได้ สิงมึงไปละ”
จุ๊ยคลุกข้าวในจานเพื่อให้น้ำแกงผสมกับข้าวจะได้กินในแบบที่เขาชอบ
“ไม่ไหวล่ะ  ตัวสูงใหญ่ขนาดนั้น ของของมันไม่เท่า’นี่’หรือไงวะ” ว่าแล้วจุ๊ยก็ยกแขกขึ้นกำหมัดประกอบ
“ตายห่า  โดนไปที  กูมิขี้ไม่ต้องเบ่งไปตลอดชาติ”
แล้วก็หยิบช้อนช้อมมากินตักข้าวกิน
“อ้าวไม่ดีเหรอ จะได้ขี้คล่อง” เจ้าของประโยคนี้คือตั้ม หนุ่มใต้ผิวเข้ม  นักเรียนทุนจากพัทลุง  พูดติดสำเนียงใต้
“ไม่อะ... กูยังชอบอารมณ์ตอนเบ่ง” จุ๊ยส่ายหัว  ตักขาหมูเข้าปาก แล้วตามด้วยข้าว เคี้ยวแล้วกลืน
“ยิ่งเวลาไม่ได้ขี้สักสองวันนะ  เบ่งแล้วมันหลุดออกมา...โหยแม่ง...สุดยอด”
เสียงวางช้อนจากข้างหนึ่ง
“ไอ้จุ๊ยมึง กูกินผัดฝักทองอยู่ไอ้สัตว์” ไอ้ฮ้อยเพื่อนร่วมห้องและร่วมวงดนตรีของจุ๊ยอุทธรณ์
“ทำไมกินไม่ลง มากูแดกเอง” จุ๊ยมองหน้า แล้วเอื้อมไปตักฟักทองจากจานเพื่อนมาใส่ปาก เคี้ยวให้แบบไม่ปิดปากจงใจให้เห็นเหลืองเละในปาก
มองจุ๊ยแล้วก็ส่ายหัว แต่อัศวะก็อมยิ้ม
เขารู้จักจุ๊ยมาตั่งแต่มัธยมต้นเช่นกัน  แต่รู้จักจริงจังตอนม.2  จากการไปเป็นตัวแทนโรงเรียนไปกิจกรรมเข้าค่ายที่ต่างจังหวัด
จุ๊ยเป็นคนที่เหมือนไม่มีสาระ  เขาพูดเล่นพูดหัวได้ตลอดไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น  แถมยังเป็นคนตลกลามกหยาบคายแบบเด็กหนุ่มคะนองทั่วๆไป  แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงจังจุ๊ยจะเป็นคนละแบบ  เขาตั้งใจกับทุกอย่าง  และเวลาจุ๊ยตั้งใจทำงานนั้นดุราวกับเป็นคนละคนกับจุ๊ยในยามปกติ 
แล้วที่สำคัญคือเขาเป็นคนอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ..
นี่กระมังที่ทำให้ใครๆก็รักจุ๊ย ไม่ว่าในแบบไหนแง่ไหน  เพราะ หากต้องการเพื่อนเล่น เพื่อนคุยจุ๊ยก็จะเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วครื้นเครง ถ้าหากต้องการคนที่จะวางใจพึงพาได้ จุ๊ยก็จะทำหน้าได้อย่างดี  และถ้าต้องการกำลังใจ...
“เฮ้ยกูก็ปลอบใจคนไม่เก่งนะ” นั้นคือประโยคติดปากจุ๊ยเวลาเข้าหาเพื่อนที่กำลังมีปัญหา... แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด
 “แล้วนี่ไอ้อ๊อดไปไหน” จุ๊ยถามขี้นโดยมุ่งไปที่ฮ้อย
“ไม่รู้ว่ะ” ฮ้อยตอบ
 
 “ต๊ายตาย.. แกดู แกดู... ใครว่านักดนตรีขี้ก้าง  แกดู”  เจ้าของเสียงเป็นเกย์สาวทำท่าบิดไปบิดมาด้วยความเขิน
ทั้งกลุ่มที่นั่งอยู่ จีงหันมาสนใจ 
เด็กหนุ่มพับเสื้ออย่างเรียบร้อยก่อนจะวิ่งลงไปในสนาม  เขารับลูกบอลที่เพื่อนเขี่ยส่งมาให้ด้วยเท้า แล้วเตะไปข้างหน้า
ผิวใต้ร่มผ้าจะขาวกว่าปกติ  มันเลยสะท้อนแดด  พอวิ่งไปสักพักก็อาบเหงื่อจนมัน  พลิกตัวกล้ามเนื้อก็บิดไปตาม 
“ซิกแพค ซิกแพค..  โอ้ยฉันจะตาย” นางหนึ่งกล่าวแล้วเอาผ้าเช็ดหน้ามาบิดเป็นเกลียว
“โอ้ยยยย พี่จุ๊ยขา... ขอน้องสักคืนจะไม่ลืมพระคุณเลย”
“ก็มีความหวังอยู่นะ” คนหนึ่งกล่าว  นางคืออิม เพื่อนเรียกอิม  นางเรียกตัวเองอิมเมจิ้น  นางเคยอยู่วงโยธวาทิตตอนม.ต้น
“ถ้าที่เขาเม้าท์เรื่องนั้นเป็นจริง พวกแกอาจมีความหวัง”
“เรื่อง...” เพื่อนอีกคนหันมา
“อ้าวก็เรื่องแซกคู่ไง  พี่ไตรรุ่นพี่เราสองปีไง ถ้าพี่เขายังอยู่จะอยู่มหาลัยแล้ว” อิมตอบ
“อ้ออ” คนลากเสียงคือคนบิดผ้าเช็ดหน้า
“แต่พี่ไตรแกมีแฟนไม่ใช่เหรอ  ชะนีหน้าสวยนั้นไง ที่ไปงานศพ ฉันเป็นตัวแทนนักเรียนไป จำได้”
“อ้าวก็ไม่แน่...” อิมกอดอก
“อะไรมันก็เกิดขึ้นได้นี่...”
ไม่ได้ดีดดิ้นเหมือนคนอื่น  เมืองฟ้าเด็กหนุ่มผิวขาวแบบคนเหนือนั่งฟังการสนทนาเฉยๆ  แม้จะสนใจฟังเรื่องจุ๊ยอยู่บ้าง  แต่หันกลับไปในสนามเขามองใครอีกคน...
ผิวขาวแบบคนเหนือเหมือนกัน  เรือนร่างสูงโปร่ง  ใบหน้าทะเล้นนั้นยิ้มแย้ม...  แล้วเมืองฟ้าก็ยิ้มออกมา
“แต่แกอย่าไปพูดเรื่องพี่ไตรมั่วๆเชียวนะ  จุ๊ยมันรู้แกตาย... เห็นอย่างนี้เอาเรื่องนะแก  ถ้าเป็นเรื่องพี่ไตร” อิมกล่าวออกมา
 
แม้จุ๊ยเล่นแซกโซโฟนเป็นหลัก  แต่จริงๆแล้วจุ๊ยสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ทุกชนิดในวง  ดังนั้นในยามที่ความจำเป็นมุ่งไปที่เครื่องสาย จุ๊ยก็โยกตัวเองไปช่วยอ็อดที่เป็นมือหนึ่งไวโอลินติวเครื่องสายให้กับน้องๆ
ดังนั้นที่วาทิตพบคือจุ๊ยกำลังยืนสีไวโอลินส่งเสียงแว่วหวานให้กับน้องสองคนฟังเป็นตัวอย่าง
วาทิตจีงถือโอกาสนั่งฟังอย่างเพลิดเพลิน
“อย่างนี้นะ  ลองดู  ลองสีทั้งท่อนพร้อมๆกัน” จุ๊ยกล่าวแล้วลดไวโอลินลง  แล้วก็นั่งลง
นักไวโอลินที้งสองจึงลุกยืนสีตามคำบอกเล่า จุ๊ยก็ใช้นิ้วโบกเหมือนไวทยากร  แต่พอหันมาเห็นวาทิตก็กวักมือเรียก
วาทิตก็เดินมานั่งลงข้างๆ
จุ๊ยมองที่นักไวโอลิน ปากก็ฮัมทำนอง  จากนั้นเขาก็หลับตา...
ใบหน้าของจุ๊ยต้องแสงเป็นมันเพราะทำโน่นทำนี่มาทั้งวัน  วาทิตคิดอยากจะเอาผ้าเช็ดหน้าซับให้แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่เอาผ้ามากำไว้แน่น
เพลงจบ
“อืมม ใช่ได้ แต่” จุ๊ยชี้ไปที่ไวโอลินของนักดนตรีคนหนึ่ง
“สายมันหย่อนไปนิดๆ  ลองปรับใหม่ดู  ส่วนของอาร์ท  เวลาลงปลายเสียง เผื่อด้วยว่าเพื่อนจะทิ้งจังหวะไม่พร้อมเรา  เวลาเล่นวงสำคัญต้องพร้อมเพรียง  อย่าโชว์ออฟมาก”
แล้วจุ๊ยก็ลุกขึ้น
“เอ้าซ้อมกันไป  เอาท่อนนี้ท่อนเดียวเลย เพราะจะเป็นคิวที่เป็นเสียงไวโอลินเด่นอย่างเดียว  เอาให้เนียน”
แล้วเขาก็หันมาหาวาทิต
“ไปเครื่องเป่าของเราซ้อมอยู่ข้างล่าง”
 
เดินตามจุ๊ยลงมาที่ลานหลังตึกก็เห็นต้นเสียงเครื่องเป่าที่ดังไม่เป็นจังหวะและไม่เป็นเพลงเพราะต่างคนต่างเป่า
“ไหนเล่นเพลงที่เล่นเมื่อเช้าให้ฟังหน่อย เอาท่อนเมื่อเช้าเลยนะ”
วาทิตตอบว่าครับ  แล้วก็วางกระเป่าเพื่อหยิบอุปกรณ์
ระหว่างนั้นจุ๊ยหันไปฟังคนที่เป่าฮอนอยู่ไม่ไกล  เขาเดินเข้าไปขมวดคิ้วแต่ฟังจนจบท่อน
“ไอ้อู๊ดนี่มึงใช้ลมเยอะไปปะ  แล้วมึงจะเป่าจบเพลงไหม ตายก่อนพอดี”
“โอ้ยไม่มีพี่  ผมลมเยอะ” อู๊ดหันมาพูดอวด
“โถไอ้ควาย  เดี่ยวกูแนะนำน้องเขาเสร็จถึงตามึง  เอาทั้งเพลง  เอาด้วยลมที่มึงเป่าเมื่อกี้ด้วยนะ ถ้ามึงหมดลมกูจะให้เขาเตะมึงรอบวง”
อู๊ดทำหน้าแปลกๆ
“เหม่ทีเรียกวาเรียกวาน้อง ที่ผมเรียกไอ้... ลำเอียงเปล่าวะเนี่ย”
วาทิตชะงักมือที่กำลังเหน็บReed เข้าที่ปลายปากเป่าของไคลิเนต


“ก็น้องเขาน่ารัก  แต่มึงมันน่าถีบ” พูดแล้วก็ยกขาถีบที่ขาอู๊ดเบาๆ
“เออๆ จำไว้เลย  ผมมันไม่ขาว ไม่น่ารัก  ไม่มุ๊งมิ๊งนี่  พี่เลยไม่สนใจจะดูแล” อู๊ดทิ้งประโยคประชดตอนท้ายแล้วถืออุปกรณ์วิ่งไปเสียก่อนที่จุ๊ยจะถีบมันทัน
ตอนนี้หน้าวาทิตร้อนฉ่า

 “อืมม.. วาใช้ลมผิดน่ะ”  แล้วจุ๊ยก็แบมือ
วาทิตรู้ว่าหมายถึงไคลิเนต จึงส่งให้
พอจุ๊ยเป่า  มันเป็นคนละเรื่องเลย... เสียงหวานหูของไคลิเนตมันยิ่งหวานไปกันใหญ่เมื่อจุ๊ยเป่า...
“เสียงดนตรีของไอ้จุ๊ยมันแปลกมาก... ไม่ว่าจะเป็นอะไร  ลองเป็นมันเล่น  มันจะฟังดูดีขี้นกว่าคนอื่นแทบทุกอย่า  อย่างกับเทพอะพอลโลมาเอง” นั้นเป็นสิ่งที่พี่อ็อคเคยพูดให้คนอื่นฟัง
วาทิตฟังเพลินจนจบท่อน
“เข้าใจไหม” จุ๊ยถาม
วาทิตสะดุ้ง  ตัดสินใจส่ายหน้า
จุ๊ยก็ไม่ได้ว่าอะไร  แต่อยู่ๆก็จับมือของวาทิต  แล้วเอามาทาบที่อกของเขา
“เดี่ยวพี่จะเป่าใหม่นะ แล้วเธอสังเกตุการเคลือนไหวของอกพี่”
วาทิตได้สัมผัสถึงความอบอุ่น  และเสียงต่ำๆของหัวใจ  เด็กหนุ่มเกือบจะพลุ่งพล่าน  ทว่าเสียงของไคลินเนตของจุ๊ยตรึงเขาไว้อยู่กับที่
“เข้าใจไหม หรือจะลองอีกที” จุ๊ยถาม
แต่คนตอบไม่ใช่วาทิต
“เอา... “  แล้วก็ขยับเข้ามาด้านหลังจุ๊ย
“น้องเอามือจับอกไว้  ผมจะเอามือกุมเป้าจุ๊ยให้เอง”
จุ๊ยถอนหายใจแล้วจะถองศอกใส่ แต่เดฟโดนบ่อยจึงรู้ทัน ถอยหลบได้ทัน
“นี่มึงบุกถึงถิ่นกูเลยนะ  ชมรมมึงเขาไม่มีอะไรทำหรือไงวะ”
จุ๊ยส่งไคลิเนตให้วาทิต
“มี... แต่ต้องมีจุ๊ยอยู่ด้วย เพราะเราต้องการจุ๊ยพรุ่งนี้” เดฟตอบแสดงอาการจริงจังด้วยการไม่เข้ามาลวนลามต่อ
“ทำอะไร... จะให้กูไปเล่นงานอะไรให้อีก ละครเวที?” จุ๊ยกอดอกถาม
“ใช่เล่น... แต่ไม่ใช่ดนตรี.. เป็นละคร” เดฟตอบ
จุ๊ยทำหน้างง
“มึงบ้า... กูเล่นละครเป็นที่ไหน” จุ๊ยตอบออกไปด้วยความเคยชิน

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 4 โยชิ การกลับมาเจอกันอีกครั้ง
“เทคคค” เสียงสั่งดังลั่น  จากผู้กำกับ
อย่างไม่อาวรณ์แม้จะเป็นซีนที่เข้าพระเข้านางจูบกัน   เด็กหนุ่มร่างสูงก็พละจากเด็กสาวเดินออกจากพื้นที่ถ่ายทำออกไปนั่ง 
“โยชิ พรุ่งนี้เราจะถ่ายที่นี่นะ รู้จักไหม” ผู้จัดละครสาวเอากระดาษที่เขียนรายละเอียดกับแผนที่มาให้
“ครับ  น่าจะไปถูก” โยชิตอบ  แล้วเขาก็นั่งนิ่งให้ช่างแต่งหน้ามาเช็ดเครื่องสำอางออก
“เหมือนหงุดหงิดนะ เป็นอะไรทะเลาะกับคุณแม่อีกแล้วเหรอ” ผู้จัดสาวคงเป็นคนเดียวที่กล้าถาม  เพราะโยชิแม้จะไม่ใช่คนขี้วีนเหมือนพระเอกที่กำลังดังบางคน  แต่ก็ไม่ค่อยจะพูดจาจนแม้นักแสดงรุ่นเดียวกันก็ไม่ค่อยกล้าสุงสิงด้วยมากนัก  ซี่งอาจเพราะเขาในวัยยี่สิบพอดี  อายุมากกว่าเพื่อน  แต่ เพราะหน้าอ่อนตามแบบคนมีสายเลือดชาวญี่ปุ่นทำให้โยชิได้บทเป็นพระเอกกางเกง ขาสั้น ก็เลยอาจไม่ค่อยสนิทใจกับการเล่นหัวกับนักแสดงที่วัยต่างกัน เพราะส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นเด็กกว่า
จริงๆผู้จัดการกองเป็นเพื่อนสนิทของแม่ของเขา
“เปล่าครับ น้าทิพย์ ผมยังไม่เจอกันเลย” โยชิตอบ
น้าทิพย์กอดแฟ้มเอกสาร  เขารู้จักเด็กคนนี้ก่อนหน้านี้นานปีดีดัก  ตั่ง แต่ยังอยู่กับคุณพ่อที่เป็นชาวญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่นเลยด้วยซ้ำ แถมก็ยังรู้จักแม่ของเขาอย่างดีที่สุด เพราะเป็นรูมเมตของเธอในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย  สไบทอง ฉัตรอัคร  อดีตนางเอกชื่อดัง ซึ่งแม้ปัจจุบันก็ยังเป็นนักแสดงนำในระดับแถวหน้าแม้จะไม่ค่อยรับงานแสดงมากนัก  เธอไม่จำเป็นต้องง้อเงินจากวงการบันเทิง  เพราะเธอคือน้องสาวของนามมินทร์ ฉัตรอัครประธานกลุ่มบริษัทฉัตรอัคร ที่ร่ำรวยเกือบที่สุดในเอเชีย
“แล้วก่อนไม่ได้เจอกันล่ะ  ทะเลาะกันใช่ไหม” น้าทิพย์ดักทางได้
โยชิหันมองหน้าของน้าทิพย์
“อย่าไปเอาคำพูดแม่มาคิดมาก  ก็รู้ว่าแม่ของเธอชอบเหวี่ยง  ถ้าเราไม่ใส่ใจก็จะเห็นว่าเธอไม่ได้คิดอะไรตามที่พูด”
 
รถสปอร์ตราคาแพงวิ่งมาตามถนนของเขตบริเวณกว้างใหญ่ซึ่งเป็นบ้านของตระกูลฉัตรอัคร  เขาเลี้ยวตรงแยกก่อนจะเทียบรถจอดไว้ข้างทาง
คนขับรถวิ่งมารับกุญแจ แล้วเด็กหนุ่มก็เดินเข้าบ้านไป
พอเข้ามาถึงเขาก็เดินเลยชุดรับแขกที่แม้จะมีหญิงสาวใบหน้าสวยงามนั่งอยู่
“นี่ใจคอจะไม่ทักทายแม่เลยเหรอ อาราอิ” หญิงสาวกล่าว
โยชิหยุดเท้าหันมาโค้งให้ทีหนึ่ง
“สวัสดีตอนค่ำครับคุณนาย  ผมขอตัวก่อน” เขากล่าวเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วเดินต่อไป
“แกจะโกรธหรืออะไรก็ช่าง ยังไงเรื่องของพ่อของแกกับฉันก็จะจบลงแบบนี้” มารดากล่าวแล้วไขว้ห้าง
“แกเป็นเด็ก เป็นลูกไม่มีสิทธิมาร่วมตัดสินใจ”
โยชิหยุดกึก
แล้วกล่าวตอบโดยไม่หัน
“ครับ  ตามนั้น  ผมเข้าใจ  แต่ถ้าแต่แรกผมมีสิทธิผมก็ไม่อยากจะมาเกิดเป็นลูกของบ้านนี้เหมือนกัน”
จากนั้นก็เขาก็เดินขึ้นชั้นสองไป  แม่ไม่ได้ตอบ มันไม่ใข่นิสัยของเธอที่จะมาต่อปากต่อคำกับใคร  เช่นกันกับโยชิ  พูดไปแค่นั้นก็คือจบเพียงพอแล้ว
โยชิทิ้งกายลงบนเตียง  เขาหันไปคว้ารีโมทเอามากดเปิดเพลง  เปิดเพลง Kenny G…
แม้จะเป็นเสียงแว่วหวานของนักแซกโฟโฟนระดับโลก  แต่สิ่งที่โยชิหลับตาลงและเห็นจากภาพแห่งความทรงจำคือ
หนุ่มน้อยคนหนึ่งที่เป่าแซกโซโฟนใต้แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์...
“สามปีแล้วสินะ... ฉันคิดถึงนายจัง”
 
 
วันนี้ มีเรียนวิชารักษาดินแดน ทำให้โรงเรียนของจุ๊ยที่เป็นโรงเรียนชายล้วนจะมีว่างไปครึ่งหนึ่งเพราะนัก เรียนม,ปลายเกือบทั้งหมดจะเรียนครึ่งวัน แล้วเดินทางไปเรียนที่สถานที่ฝึก
จุ๊ยเองก็เรียน แต่วันนี้เขาได้รับอนุญาตพิเศษให้ลาได้
เขานั่งนิ่งๆให้ช่างแต่งหน้าลงเครื่องสำอางบนใบหน้า
“อันนี้พี่เลือกพิเศษเลย  เห็นน้องเดฟบอกว่าน้องจุ๊ยไม่เคยแต่งหน้า นี่ก็ขนาดเอาเครื่องสำอางแบบอ่อนโยนมาให้พี่แต่งเลยนะ”
จุ๊ยทำหน้าเหร่อๆ
“เห็นไหมว่าแฟนเราน่ะใส่ใจเรามาก”
จุ๊ยสะอึก หันขวับไปมองหน้าเดฟที่แต่งหน้าอยู่ไม่ห่างไป  ส่งสายตาให้ในแบบว่า มึงตายแน่ๆ  แต่เดฟยิ้มหวานให้
“หันมาๆ อย่าพึ่งสวีตกัน น่ารักกันจริงๆเลยน๊า” ช่างแต่งหน้าดึงหน้าจุ๊ยหันมา
เมื่อวานจุ๊ยได้รับคำอธิบายว่าจะมีกองถ่ายละครมาถ่ายทำที่โรงเรียน  ซึ่งเดฟเองก็แสดงในเรื่องนี้ด้วยในบทรองแต่ก็ค่อนข้างเด่น  และกองถ่ายต้องการนักแสดงเพิ่มเพื่อบทประกอบดังนั้นจึงให้ขอให้เดฟหานักแสดงให้
“ในชมรมมึงไง เยอะแยะ” จุ๊ยแย้งความคิด
“หมดแล้ว  คนที่พอจะเข้าเค้าผมก็จับยัดๆไปหมด  แต่พอดีบทหนึ่งเขาต้องการคนที่แมนๆ แรงๆ ผมเลยนึกถึงจุ๊ยไง” เดฟกล่าว
ตอนแรกก็ฟังดูดี
“พอบอกว่าเป็นพวกกักขฬะ สถุณนิดๆ  แบบกากเดนสังคม  ผมก็ว่าเหมาะมาก”
จุ๊ยฟังไปฟังมา
“เฮ้ยมึงด่ากูเหรอวะ”
“นี่ไงกักขฬะ”
“ไม่ได้กักขฬะ แต่มึงด่ากู”
“ก็เห็นไหม ผมยังไม่ได้ด่าสักคำ ผมก็แค่พูดเฉยๆ”
“ไอ้สัตว์แต่มึงหลอกด่ากู”
“ก็นี่หล่ะกักขฬะ  เอะอะก็จะใช้กำลัง”
“กูเป็นกับมึงคนเดียวนี่ล่ะ ไอ้ลามก”
“ไม่เป็นไร ผมชอบ ตบจูบ ตบจูบ  ได้รสชาติอีกแบบ”
“ประเดี่ยวกูก็ต่อยจริงๆ”
 
บทเป็นบทเล็กๆอย่างที่ว่า ซึ่งจุ๊ยจะต้องเข้าฉากสองตอน  โดยเขาจะต้องเป็นคนที่มาจีบนางเอก  แต่นางเอกไม่เล่นด้วย
แล้วก็ตามตื้อนางเอกจนพระเอกเข้ามาช่วย
“กักขฬะตรงไหน  ก็แค่แย่งหญิงกัน มันก็ต้องมีบ้างวะ ถ้าไอ้พระเอกมันหน้าตากวนตีนมาก” จุ๊ยกล่าวขณะอยู่กับเดฟที่ทางเดินระหว่างตึกเพื่อรอคิวแสดง
“ไม่นะ พระเอกเขาก็หน้าตาเรียบร้อย  แบบลูกครึ่งญี่ปุ่น  โยชิไง นี่จุ๊ยไม่รู้จักโยชิเหรอ”
จุ๊ยส่ายหัว
“อะไรเขาออกจะดัง” เดฟมองหน้าด้วยความแปลกใจ
แต่ถ้าคิดว่าจุ๊ยมีอะไรต้องทำตลอด ไม่ว่าจะดนตรี การเรียน แล้วยังช่วยทำงานที่บ้านอีกต่างหาก  มันก็ไม่แปลกหรอก  และนี่ไม่ใช่เหรอที่ให้เขาประทับใจในตัวจุ๊ย  คนเหมือนจะโดนรุมด้วยอะไรสารพัดแต่ก็ยังแจ่มใสได้เหมือนดวงตะวันเหนือท้องฟ้า
“น่าเสียดายนะ ผมอยากให้ผู้กำกับเพิ่มบทให้จุ๊ยจัง” เดฟกล่าว
จุ๊ยหันมองหน้า
“อะไรของมึง”
“ก็ฉากที่ผมแก้แค้นให้พระเอก แล้วกลายเป็นเราสปาร์กกันจูบกับจุ๊ยอะไรอย่างนี่ไง” เดฟพูดแล้วยื่นหน้ามาใกล้ๆ
จุ๊ยได้แค่ทำปากขมุบขมิบด่า เพราะกองถ่ายกำลังถ่ายทำฉากอื่นอยู่ใกล้ๆ
 
ตอนที่โยชิมาถึง ก็ยังไม่ถึงคิวถ่ายของเขา  เพราะต้องมีฉากอื่นของตัวรองๆอีกหลายฉากที่ต้องถ่าย  พอแต่งหน้าเสร็จเขาก็เลยเดินมาดูการถ่ายทำ
“ฉากนี้นางเอกจะต้องโดนตามจีบ น้องตัวขาวนั้นคือคนที่ต้องต่อยกับโยชินะ  ดูสิว่าหน่วยก้านพอจะฟัดเหวี่ยงกันไหม”  ผู้จัดสาวกล่าว
แต่พอหันมา  ก็เห็นว่าตาของโยชิจ้องเขม็ง 
 
“คัท...”ผู้กำกับสั่ง  เริ่มจะอ่อนใจ  เขาลุกไป
ฉากนั้นไม่ได้ซับซ้อนอะไร  ก็แค่พระเอกก็คือโยชิมาเห็นนางเอกถูกคนมาตามตื้อจีบ  นางเอกจะหนี  แต่ก็โดนจับเนื้อต้องตัว พระเอกก็เข้ามาช่วย...
แต่พระเอกของเข้าก็เข้ามาได้เกือบสมบูรณ์  แล้วมาตกม้าตายตอนที่เข้าขวางแล้วจะเงื้อต่อย.. กลายเป็นว่าพระเอกของเขาหยุดไปดื้อๆ  กระชากคอเงื้อหมัดค้างอย่างนั้น  ที่จริงก็เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ตอนซ้อมแล้ว  เขาต้องย้ำให้ต่อยเขาถึงจะต่อย
“สมาธิไปไหนหมดโยชิ..” ผู้กำกับถาม
โยชิโค้งให้ตามความเคยชินของคนที่เติบโตในประเทศญี่ปุ่น
“ขอโทษครับ”
แล้วผู้กำกับก็หันไปหาตัวประกอบ เห็นคอของเขาแดงเป็นปื้นเพราะโดนโยชิขย้ำไปหลายรอบ
“ไหวนะน้อง”
เด็กหนุ่มพยักหน้า  ตอนนั้นโยชิก็หันมามอง  แล้วอยู่ดีๆเขาก็เดินมาประชิด
“นายจำฉันได้ไหม”
เด็กหนุ่มเอียงคอทำหน้างง
“ไม่นะ  เราไม่เคยเจอกันไม่ใช่เหรอ” เขาตอบ
รอบที่เท่าไหร่แล้ววะ จุ๊ยคิดในใจตอนที่ทำท่าเดินร่วมกับตัวประกอบคนอื่นอีกสองคนเดินตามไปจับแขนนางเอกลูกครึ่งหน้าสวย  เล่นซะจะเขาชักเริ่มจะคล่องแล้ว  รู้สึกตัวเองเล่นดีกว่าฉากเมื่อกี้ตอนที่ตามจีบนางเอกครั้งแรกเยอะมากๆ
“ปล่อยนะ” นางเอกแอ็คติ้งเต็ม ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แล้วพยายามสะบัดมือ
“เฮ้ยเล่นตัวว่ะ  อะไรแค่ขอเบอร์เอง ไม่ได้ขอไปนอนบ้านสักหน่อย” จุ๊ยตอบเสียงทั้งคุกคามและยียวน
แล้วต่อจากนี้พระเอกก็ต้องเข้ามา
มาแล้วเร็วและแรงผลักเขาออกไป
เฮ้ยแรงไปปะ  อินเนอร์มาเต็มไปเปล่า จุ๊ยนึกตอนผงะถอย
“เสือก” จุ๊ยกล่าวออกไป
พระเอกคว้าคอเสื้อของเขา  เมื่อกี้จะหยุดไปแค่นี้ เพราะพระเอกจะหยุดไปเฉยๆแล้วจ้องตาเขานิ่งค้าง
แต่คราวนี้
ผลัก

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 5 สิ่งของไว้เชื่อมใจ
จุ๊ยเหมือนโดนค้อนฟาดหน้า
เขาสะบัดล้มกลิ้งไปโดยไม่ต้องเซแสร้ง
“เทค” ผู้กำกับตะโกน
อ้าวผ่านสักที... แต่ตอนนี้จุ๊ยลุกไม่ขึ้นเสียแล้ว แถมรู้สึกหมือนมีอะไรไหลในปาก
“จุ๊ย จุ๊ย” เดฟที่เข้าฉากด้วยเพราะเป็นเพื่อนพระเอกรีบเข้ามา
“โอเคไหมจุ๊ย”
“โอเค” เขาตอบแล้วจะพยายามยิ้ม  ปรากฏว่าสิ่งที่ไหลออกมาในปากมันก็ย้อยมาข้างแก้ม
“เฮ้ยเลือดเต็มเลย” เดฟร้องเสียงหลง
โยชิที่หันหนีไป พอได้ยินก็หันมากลับมาทันที
 
โยชิต้องมีอีกสองสามฉากที่ต้องถ่ายคู่กับนางเอก  เขาพยายามควบคุมสมาธิโชคดีที่ไม่ใช่ซีนอารมณ์ยากเย็นเพราะตอนนี้พระเอกยังต้องงอนกับนางเอกอยู่
“แล้วเพื่อนนายไปไหนแล้ว” โยชิเข้าไปถามกับเดฟที่นั้งให้ช่างแต่งหน้าลบหน้าอยู่
เดฟเงยหน้ามอง
“จุ๊ยเหรอ” เดฟถามก่อนจะตอบ
“กลับไปแล้ว..พี่งไปเมื่อกี้ ปฐมพยาบาลแล้วให้นั่งพักเขาก็บอกว่าไม่เป็นไรแล้วก็กลับ  ก็นายต่อยเขาซะเลือดกลบ  สมจริงไปเปล่าโยชิ”
โยชิถอนหายใจ
“ยังไม่ได้ขอโทษเขาเลย” โยชิกล่าว
“ไม่เป็นไรหรอก  จุ๊ยเขาเป็นคนไม่ถือสาอะไรใคร  พี่ ทิพย์ก็ให้เงินพิเศษแล้วก็ขอโทษแทนนายไปแล้วด้วย จุ๊ยเขาไม่ได้ติดใจอะไร” เดฟตอบแล้วหลับตา เพราะช่างแต่งหน้ากำลังทำท่าจะเช็ดที่ตาของเขา
“ไม่ต้องคิดมาก ฉันจะบอกให้ว่า..” เดฟกล่าวแล้วลืมตา เมือช่างเช็ดที่ตาเขาเรียบร้อย
แต่ปรากฏว่า โยชิเดินไปแล้ว
 ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่จุ๊ยก็ปากเจ่อมาเรียนในวันรุ่งขึ้น
อ๊อดดูแผลจุ๊ยแล้วก็ส่ายหัว
“นี่มันจงใจเปล่าวะ”
ฮ้อยก็กอดอกส่ายหน้า
“กูว่าแมร่งจงใจ อิจฉาที่มึงหล่อสู้มันไม่ได้”
ทุกคนหันมามองหน้า
“อะไรของมีง”
“อ้าว... ก็เพราะไม่หล่อไง เราก็เคยมีอิสรเสรี  อยากทำอะไรก็ทำได้ ไม่ต้องอายสายตาใคร” ฮ้อยทำท่ากอดฟ้า
จุ๊ยมองหน้า ส่ายหัวแล้วพูดแบบปากเจ่อ
“ไม่ล่ะ กูอาย เพราะกูหล่อ  ไม่ได้เป็นปลาจวดว่ายบวกประตุเขื่อนเหมือนมึง”
“อ้าว..ปากแตกยังปากดี  เอาอีกแผลไหมวะ” ฮ้อยคว้าคอจุ๊ยมากอดทำจะต่อย แต่ยิ้มแย้ม


“นายนทีธาร นักเรียนชั้นม.หกห้องสิบเอ็ด ติดต่อที่แผนกประชาสัมพันธ์ตอนนี้ด้วยครับ” เสียงประกาศดังขึ้น
“อะไรวะ” จุ๊ยบ่นแต่ก็ลุกขึ้น  เขามักจะโดนเรียกตัวบ่อยๆอยู่แล้วก็เลยไม่แปลกใจ
“เฮ้ยกูไปด้วย กูจะไปฝ่ายห้องการเงิน” อัศวะลุกขึ้น
 
ตอนที่ทั้งสองหนุ่มไปถึงตึกอำนายการ  อาจารย์ที่ทำหน้าทีประชาสัมพันธ์ประจำวันก็ออกมาจากห้องพอดี
“อ้าวมาเร็วดีนี่” อาจารย์หนุ่มกล่าว
“มีอะไรให้ผมรับใช้คร๊าบผม” จุ๊ยยืนตรงตะเบะ
อาจารย์ส่ายหน้า
“ไม่ใช่ครู  มีคนมาหาเธออยู่ทางโน่น”
มองตามที่อาจารย์ชี้ไป  แล้วจุ๊ยก็ยืนนิ่ง
แล้วอาจารย์ก็เดินไป 
“เฮ้ยจุ๊ยกูไปห้องการเงินก่อนนะ” อัศวะบอกแล้วทำท่าจะเดินไป
“เฮ้ยเดี่ยว” จุ๊ยคว้าคอไว้
“อะไร” อัศวะถาม
“ไปเป็นเพื่อนกูก่อน”
“ทำไม.. ก็มีคนมาหามีง ไม่ใช่กู” อัสวะตอบ
“เฮ้ย... แต่มัน...” จุ๊ยกลืนน้ำลายดังอึก
“มันคือคนที่ต่อยกู”
 
เพราะกลัวจะมีคนจดจำได้  โยชิจึงมาในชุดนักศึกษาของสถาบันการศึกษาที่เรียน  ทว่าใส่แว่นตากรอบหนามาด้วยเพื่ออำพราง กระนั้นกลับเป็นอีกมุมมองที่ดูดี  จนแม้อาจารย์สาวที่จะเดินขึ้นตึกก็ยังหันมามอง

“นาย... มาหาเราเหรอ”
โยชิหันมาเห็นจุ๊ยยืนอยู่คู่กับอีกคนที่เขาไม่รู้จัก
“เราโยชินะ” เขาเลื่อนแว่นตาขี้น
“เออจำได้.. “จุ๊ยตอบ
“มีธุระอะไรรีเปล่า หรือว่าจะมาหาเดฟ เดฟมันชื่อจริงชื่อเดวิด วูลดิ้งเบอร์ก  เดี่ยวฉันเรียกให้ใหม่นะ”
“เปล่า” โยชิปฏิเสธ
“เรามาหานาย”
จุ๊ยมองหน้าอัศวะแบบไม่ไม่แน่ใจ
“คือเราอยากจะ” แล้วเขาก็ยืนตัวตรง แล้วโค้งให้สุดตัวแบบญี่ปุ่น
“ขอโทษที่ผมทำร้ายคุณ”
จุ๊ยอึ้งนิ่งทำอะไรไม่ถูก
รู้สึกตัวก็รีบดึงเขาขี้นมา
“อะไรเล่า ไม่เป็นไร  มันเป็นอุบัติเหตุจากการแสดงฉันเข้าใจ”
ระหว่างนั้นก็เหลือบตามองอัศวะ
“ขอบคุณนะ” โยชิยิ้ม  แต่ก็มองปากของจุ๊ย
“เป็นอะไรมากไหม”
“โอ๊ยสบาย  โดนบอลอัดหน้ายังเจ็บกว่านี้” จุ๊ยหัวเราะ แต่ต้องผืนความเจ็บปากไว้นิดๆ
โยชินิ่งไปตอนมองอาการหัวเราะของจุ๊ย
“คือ... ฉันขอถามอีกครั้ง” โยชิกล่าว
จุ๊ยเลยหยุด
“ฉันถามอีกรอบนะ  นายจำฉันไม่ได้จริงๆเหรอ”
จุ๊ยอึ้ง..  เมื่อวานเขาถามว่าจำเขาได้ไหม  ตอนนั้นจุ๊ยจำได้ว่าคำตอบทำให้เขาดูไม่พอใจ  แล้วโยชิก็ต่อยเขา... ถ้าให้คำตอบเดิม... จะโดนต่อยอีกรอบไหม
“เออออ” เขาลากเสียง ก็ก่อนจะกล่าวต่อไป
“คือเราจำไม่ได้จริงๆว่าเราเคยเจอกันที่ไหน  เราความจำสั้นน่ะ เป็นญาติกับปลาทอง”
โยชิไม่ได้มีอาการเหมือนเมื่อวาน
“มีอะไรช่วยเตือนความจำได้ไหม ว่าที่ไหนอะไรยังไง ที่เราเจอกันก่อนหน้านี้” จุ๊ยกล่าวต่อไป


โยชินิ่งไปก่อนจะหันไปมองทางอื่น แต่กล่าวออกมา

“รถประจำทาง  ระยองกรุงเทพ”
จุ๊ยนิ่งคิด...
แล้วเขาก็คิดออก
“อ๋ออออ” เขาร้อง
“อย่าบอกนะว่านายคือเด็กญี่ปุ่นคนนั้น ”
โยชิหันมา  รอยยิ้มยินดีปรากฏขี้นเต็มใบหน้าทำให้ดวงหน้าของเขาสว่างโรจน์
“ใช่ๆ ฉันเอง” โยชิกล่าวอย่างดีใจ
แต่เพลงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น  โยชิไม่รับก็รู้เพราะเสียงเรียกเข้านี้เป็นเสียงเรียกเข้าเฉพาะของเลขหมายหนึ่งที่บันทึกไว้
“เราต้องไปแล้ว  นายมีเบอร์ไหม เราจะได้โทรคุยกับนาย” โยชิถาม
“เราไม่มีโทรศัพท์มือถือ มีแต่เบอร์บ้าน” จุ๊ยตอบแบบไม่ลังเล
โยชินิ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์อีกเครื่องออกมาจากกระเป๋า จริงแล้วนี่คือโทรศัพท์ส่วนตัวที่เขาใช้กับเพื่อนสนิทเท่านั้น  แต่เครื่องที่ดังคือเครื่องที่ใช้เรื่องงาน
“เอาโทรศัพท์เราไว้”
“เฮ้ย บ้าเหรอ...มันแพงไม่ใช่เหรอ” จุ๊ยปฏิเสธ
แต่โยชิจับมือจุ๊ยขี้นมาแล้วเอามันโทรศัพท์ราคาแพงยัดใส่มือ
“เอาไว้  เราจะได้คุยกันได้”
แล้วโยชิก็อำลาด้วยการโบกมือก่อนจะเดินกึ่งวิ่งไปเรียกรถแท็กซี่ที่ผ่านมาหน้าโรงเรียนพอดี
“อะไรวะ” จุ๊ยหันมาถามกับอัศวะ
อัศวะก็ยังงง
 
“ให้มือถือ” ก้องภพเอาสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดที่จุ๊ยได้รับมาจากโยขิมาดู
มันเป็นยี่ห้อญี่ปุ่นชื่อดัง  แถมรุ่นใหม่ล่าสุดด้วย
“ถึงไม่ใช่ยี่ห้อผลไม้ก็แพงอยู่นะเนี่ย  นี่มันพึ่งออกเลย”
“ยี่ห้ออะไรวะยี่ห้อผลไม้” จุ๊ยเอาโทรศัพท์กลับมา
“ก็...” ก้องภพตอบชื่อยี่ห้อออกมา  แล้วหยิบของเขาขึ้นมา
ฮ้อยมองหน้าจุ๊ย
“มันคิดอะไรกับมึงรึเปล่า  หรือว่าจะคิดแดกมึงอย่างไอ้เดฟ”
จุ๊ยเอียงคอ
“ไม่รู้สิ... แต่เขาก็ดูไม่ใช่อย่างเดียวกับไอ้เดฟนะ”
“แล้วไอ้เดฟมันพันธุ์ไหน...”ตั้มกล่าวพลางเกาหลังคอเบาๆ
“มันเหมือนเราม๊าย  มันก็ดูแมนๆเหมือนเรานี่ล่ะ  แต่มันชอบมึง ชอบผู้ชายด้วยกัน”
อัศวะจ้องหน้า จุ๊ยตอนนี้เงียบไป และพิจารณาโทรศัพท์
“ไม่หรอกมั้ง... อาจแค่อยากให้กูเป็นเพื่อนมัน” จุ๊ยตอบ
“เออ” อัศวะนึกอะไรได้อย่างหนึ่ง
“มันพูดเหมือนเคยเจอมึงมาก่อน”
จุ๊ยดันริมฝีปากล่างขึ้นบนแล้วพยักหน้า
“ก็ใช่ว่ะ  คือมันสามหรือสองปีนี่ล่ะ ข้าไปหาน้องสาวตอนปิดเทอม  กลับมาเจอมันนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆบนรถทัวร์  กูก็ไม่รู้จะทำยังไง  เพราะมันก็ดูเหมือนไม่ใช่คนไทย เพราะแม่งพิมพ์โทรศัพท์เป็นภาษาญี่ปุ่น  ก็เลยชวนมันคุยเพราะคิดว่ามันเป็นเด็กหลง  คุยไปคุยมาก็แค่นั้น”
“ไม่แค่นั้นม๊าง  มันไม่ใช่แค่พูดไทยได้  ตอนนี้แม่งเป็นดาราดัง  แถมมันยังชกมึง แต่ดันเอาโทรศัพท์ให้มึง...”ก้องภพวิเคราะห์
“แบบนี้กูว่า...”
เพื่อนตั้งใจฟังกันหมด
“ไม่รู้สิ” ก้องภพกล่าวออกมา
“ไอ้หอก” จุ๊ยเอาสันโทรศัพท์เคาะกระบาล
แล้วจุ๊ยก็พลิกโทรศัพท์ไปมา ขมวดคิ้วเครียด
“แต่กูมีปัญหาใหญ่กว่านั้น”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 6 รหัสปลดล็อก
“อะไร...” ฮ้อยถาม
จุ๊ยถอนหายใจเฮือก
“อย่าพูดเลยแม่งเศร้า”
เพื่อนมองหน้ากัน เพราะตอนนี้จุ๊ยจ้องโทรศัพท์นิ่ง ดวงตาที่เคยแจ่มใสเป็นนิตย์หม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นอะไรจุ๊ย  บอกกูสิกูช่วยได้” อัศวะบีบไหล่จุ๊ย
“ไม่.. มึงก็ช่วยกูไม่ได้ ใครก็ช่วยกูไม่ได้” จุ๊ยเอาโทรศัพท์มากอดแนบอก
“เฮ้ยอะไรวะมึง นี่กูเป็นเพื่อนมึง ตั้งแต่หมอยยังขึ้นไม่เต็ม จนตอนนี้สังคังกินจนไข่ดำไปหมดแล้ว  มึงไม่บอกกูแล้วมาว่ากูช่วยมึงไม่ได้” ฮ้อยเอามือไสหัวจุ๊ยแรงๆ
แต่จุ๊ยก็ยังส่ายหน้านัยน์ตาเศร้า
เพื่อนมองหน้ากัน
“คือ..ว่า” จุ๊ยมองโทรศัพท์ เพื่อนขยับเข้ามาโดยเฉพาะอัศวะกอดคอเอี่ยวหน้ามาจนชิด
“มันไม่ได้บอกรหัสปลดล็อกโทรศัพท์  แล้วกูจะใช้ยังไง”
เงียบกริบไปชั่วขณะ  อัศวะคนแรกที่ถอนหายใจดังเฮือก
ก่อนฮ้อยจะตบหัวจุ๊ยดังป๊าบ
“ไอ้สัตว์กูก็นึกว่าอะไร”
จุ๊ยคลำหัวป่อยๆแต่หัวเราะคิกคัก
 
ตอนเที่ยงเดฟกำลังนั่งกินข่าวกับเพื่อนร่วมห้อง  เงยหน้ามาเห็นจุ๊ยกำลังเดินมา  ถึงกับวางช้อนแล้วปรี่มาหาก่อนจุ๊ยจะมาถึงโต๊ะด้วยซ้ำ
ว่าแล้วก็โอบเอว
“จุ๊ยมาหาผมหรือครับ”
จุ๊ยมองหน้า  เขากำลังจะออกปากด่า แต่เปลี่ยนใจตอบ
“ครับเดฟ”
เดฟเป็นฝ่ายนิ่งไปเอง
ถอยห่างออกไปนิดหน่อย เพื่อพินิจจุ๊ยให้เต็มตา  ก่อนจะเอามือมาอังหน้าผาก
“จุ๊ยโดนต่อยจนไข้ขี้นรีเปล่าครับ เดี่ยวผมจะพาไปห้องพยาบาล”
แล้วก็ทำท่าจะโอบประคองจุ๊ยไป
“เฮ้ยไม่ต้อง  กูปกติดี” จุ๊ยแกะมือของเดฟออก
มองหน้าตาขวาง
แต่เดฟกลับยิ้มชอบใจ
“เออ...ค่อยเหมือนจุ๊ยที่รักของผมหน่อย” แล้วก็เข้ามากอดเอวเหมือนเดิม
จุ๊ยกรอกตาขึ้นบน ถอนหายใจแต่ก็ยอมให้กอด
“คือกูอยากให้มึงช่วยหน่อย”
 
“เอาเบอร์โยชิ” ทวนคำแล้วทำหน้างง
จุ๊ยเอากิ่งไม้แห้งที่ตกอยุ่ในสวนหย่อมหน้ามาหัก
“จะเอาไปทำไมครับ” เดฟจ้องหน้า
จุ๊ยเอาเศษไม้โปรยบนหัวของเดฟ เดฟก็ปัดออกทำหน้าจริงจัง
“จุ๊ยจะเอาเบอร์ไปทำไมครับ  บอกก่อนไม่งั้นผมจะไม่ให้”
จุ๊ยหักไม้อีกแล้วโปรยอีก
“มีธุระจะถามเขานิดหน่อย”
เดฟก็ปัดอีก
“ธุระอะไรครับ  หรือว่าจุ๊ยจะโทรไปด่ามัน หรือจะไปนัดมันมาต่อยหลังโรงเรียน”
“โหไม่ไหวมั้ง” จุ๊ยส่ายหัว
“มันตัวสูงกว่ากูตั้งครึ่งหัว แถมโตกว่าด้วย”
แล้วก็หักไม้อีก  แต่คราวนี้เดฟไม่ให้โปรย คว้ามือจุ๊ยมาได้ก่อน
กุมมือไว้แล้วจ้องตา
“บอกมาก่อน ไม่งั้นไม่ให้”
จุ๊ยถอนหายใจ
“คือ.. กูได้ไอ้นี่มาจากมัน”
แล้วก็ล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“โทรศัพท์” เดฟทำหน้างง
“ก็โทรศัพท์สิ  เหลี่ยมๆอันบางๆ เป็นที่ทับกระดาษมั้ง” จุ๊ยตอบประชด
“แต่มันไม่ได้ให้รหัสปลดล็อกกู แล้วกูจะใช้ยังไง กูก็เลยจะไปโทรถามมัน”
เดฟทำหน้าฉุกคิด
“ทำไมมันให้โทรศัพท์จุ๊ย”
“ก็ไม่รู้  เอาไว้ให้มันโทรมาหากูได้มั้ง” จุ๊ยตอบ
“จุ๊ยรู้จักมันตอนไหน” เดฟซักอีก
“ก็นานแล้วหล่ะ เคยเจอกันโดยบังเอิญ คุยกัน อะไรอย่างนี้ล่ะ แต่เจอแค่หนเดียวนะ  จุ๊ยเองก็จำมันไม่ได้ในตอนแรกจนเมื่อเช้ามันมาขอโทษแล้วก็เล่าถึงความหลัง ถึงได้นึกออก” จุ๊ยเล่าไปตามท้องเรื่อง
“แน่นะ” เดฟยังทำหน้าไม่ไว้ใจ
“ไม่ใช่จุ๊ยนอกใจผมนะ”
“เฮ้ยบ้า กูจะนอกใจมึงได้ไง “ จุ๊ยทำท่าเขิน เอามือเอื้อมไปเหมือนจะแตะแก้ม  แต่กลายเป็นตบหัน
“กูไม่ได้เป็นอะไรกับมึง”
แต่เดฟหันกลับมายิ้มแป้น
“โอเค  ผมเชื่อจุ๊ย”
แล้วก็หยิบโทรศัพท์ตัวเองมากดหาหมายเลขของโยชิ
จุ๊ยลอบถอนหายใจมองกิริยาดี๊ด้าของเดฟ  ทำปากอ่านได้ว่า
แม่งท่าจะบ้า...

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

เขาออกจากห้องของผู้จัดละครซึ่งอยู่ภายในอาคารของสถานีโทรทัศน์
พี่ก้องผู้จัดการส่วนตัวหนุ่มก็ถาม
“ใครโทรมาน่ะโยชิ โทรมาตั้งหลายครั้ง”
“เป็นพวกผู้จัดหรือตัวแทนบริษัทหรือเปล่าถึงได้มีหมายเลขนี้ของโยชิ”
โยชิเอาโทรศัพท์มาดู
ก็เห็นว่ามีมีสคอลอยู่เกือบสิบสาย เป็นหมายเลขเดิม
“ไม่รู้สิตื้อน่าดูเลย แต่ผมไม่รู้จักนะ” โยชิตอบ
หมายเลขนั้นโทรเข้ามาอีก โยชิก็วางสายอีก
ก้องชะเง้อมองหน้าจอ
แล้วเขาก็ขมวดคิ้ว..
“นี่มันเบอร์เดฟใช่ไหมน่ะ  สเตฟานไง” ผู้จัดการกล่าวพร้อมบอกชื่อตามบทบาทที่เล่นด้วยกัน
 
 
“ไม่รับ” เดฟส่ายหัว
จุ๊ยเอาโทรศัพท์ที่ได้มา มาดู  กดให้เห็นรูปล็อกหน้าจอที่เป็นรูปของโยชิเอง
“เอาโทรศัพท์ให้กูหาพ่อมึงหรอ ไม่ให้รหัสปลดล็อกแล้วกูใช้ได้ไหมไอ้ควาย”
เดฟรู้สึกบางอย่างที่โทรศัพท์ เขาขยับนิ้วบนหน้าจอ
“โถ... ไอ้หอกนี่กูจะโทรหาเพื่อถามรหัสปลดโทรศัพท์หรอก ไม่ได้จะโทรไปจีบมึง  ควายเอ้ย  นึกว่าหล่อตายห่าล่ะ” จุ๊ยยังด่าต่อเนื่อง
“เราขอโทษ... คือเราไม่เมมเบอร์ของเดฟไว้เครื่องนี้  ก็เลยจำไม่ได้”
เสียงนั้นผ่านลำโพงมา
จุ๊ยหันขวับมา
 
เดฟยืนเอาเอวพิงกับขอบผนังกันตกของช่องบันไดมองจุ๊ยเอาโทรศัพท์มากดนั่นกดนี่พลางคุยกับโยชิด้วยโทรศัพท์ของเขา
อะไรหนอทำให้เดฟชอบจุ๊ยอย่างจริงจัง  แดดยามสายที่ต้องบนผิวค่อนข้างขาว  ใบหน้าที่ไม่ได้หล่อเหลาจนสะดุด มีแค่ดวงตาที่สดใสเป็นประกายที่พอจะโดดเด่นบ้าง และประดับรอยยิ้มไว้เสมอแทบไม่เคยจางหายไป  แต่แค่นั้นก็ทำให้หัวใจของเดฟพองโตทุกครั้งที่มองเห็น  จุ๊ยจะรู้ไหมว่าเขาไม่ได้ล้อเล่นกับการที่เข้าหาจุ๊ย  เขาจริงจัง... ทุกการกอด ทุกการสัมผัส.. เขาทำไปตามหัวใจ
“ทำไมมึงไม่รู้จักแอ๊ปหน่อย  ไอ้จุ๊ยมันก็กลัวมึงสิวะ  มึงก็แมนๆ  ถ้าจะทำเข้าไปหามันอย่างปกติ ผู้ชาย ก็ไม่โดนมันถีบ มันด่าแล้ว” นั้นคือการแนะนำของอ๊อดเพื่อนสนิทของจุ๊ย
“ไม่เป็นไรผมชอบ”
เดฟไม่ต้องการปฏิเสธตัวเอง  เขาไม่ต้องการหลอกลวงเพื่อเข้าใกล้จุ๊ย  แถมสุดท้ายเมื่อเผยความในใจจุ๊ยอาจเกลียดเขาไปเลยก็ได้
“อีกอย่างมึงไม่อายเหรอวะ  มึงเปิดเผยตัวเป็นเกย์แบบนี้  มีผลกับงานแสดงของมึงด้วยไหม  เพราะมึงออกจะหล่อแต่ได้รับบทรองตลอด”
“ก็ไม่แคร์หรอก... ขอแค่ผมได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำ  ผมชอบผู้ชายผมก็แสดงความชอบออกมาเลย  ทำไมต้องปิดบัง  ก็ผมเป็นของผมอย่างนี้  จะให้ผมไปทำเป็นผู้ชายแท้ชอบผู้หญิง  แต่แอบอยากกินผู้ชายด้วยกัน  อันนั้นมันโกหกตัวเองรึเปล่า” เขาตอบไปอย่างนั้น
 
จุ๊ยเดินกลับมาแล้วยื่นสงโทรศัพท์ให้  เดฟรับเครื่องกลับ
“เรียบร้อย”
“อืม” จุ๊ยตอบ
“ทำไมนานจังครับ”
“ก็มันสอนกูให้ลบข้อมูล สอนให้สมัครไลน์ สมัครเฟสบุ๊ค ก็เลยนาน” จุ๊ยตอบ แล้วหยิบโทรศัพท์มาเลื่อนหน้าจอดู
“ผมขอแอตจุ๊ยนะ” ว่าแล้วก็ชะโงกดูชื่อแอคเคาร์ของจุ๊ย
“Water Purelove เหรอ ทำไมล่ะ”
“ก็ชื่อกูแปลว่าน้ำ ทั้งชื่อจริงและชื่อเล่นเลย” จุ๊ยตอบ  แล้วก็เอาโทรศัพท์เก็บ
“ขอบใจนะ” แล้วจุ๊ยก็ตบบ่าของเดฟ แล้วหันหลังจะเดินลงบันได
ทันใด
เดฟดึงตัวจุ๊ยให้หันกลับ 
จุ๊ยไม่รู้ตัวจึงไม่ได้ขัดขืน  เขาตกในอ้อมกอดของเดฟ
แล้วเดฟก็ประกบริมฝีปากกับเขาอย่างรวดเร็ว
“ปากจุ๊ยหวานมากเลย ไม่เหมือนกับเวลาจุ๊ยด่าเลย” เดฟบอกตอนที่ผละออกแล้ว

จุ๊ยยืนตัวแข็งทื่อ
เดฟก็เลยหอมอีกฟอดแล้วเดินลงบันไดไป
พอสติคืนมา
“ไอ้เดฟ มึงขโมยจูบกู” เขาวิ่งตามลงบันไดไป
“ยอมแพ้ยอมแพ้  ให้จูบคืนก็ได้”
“พ่อมึง ใครอยากจะจูบ  มาให้กูเตะซะดีๆ”
“โอ้ยเบาๆสิจุ๊ยอย่าทำแรง เดี่ยวก้นช้ำ โอ๊ย... เสียว”
“เสียวพ่อมึง  นี่ถีบสักอีกที”
 
 
 
 
“สะอาดแล้วน๊าลุง” จุ๊ยยิ้มแป้นให้พัดลมตัวเก่าแก่
แล้วเขาก็ปีนลงมา พอลงมาจึงได้เห็นว่าหลิวยืนอยู่
“จุ๊ยคุยกับพัดลมรู้เรื่องด้วยเหรอ”
“ก็... ไม่รู้เหมือนกันนะ  อาจรู้ก็ได้ วันก่อนกำลังทำบัญชี  พัดลมมันคราง แล้วจุ๊ยรำคราญเลยสัญญาว่าจะเช็ดให้  เท่านั้นหล่ะเงียบเลย” จุ๊ยตอบแล้วก้มลงเอาผ้าซักน้ำในถัง
หลิวมองพัดลม
“ถ้าอย่างนั้นก็สั่งให้เปิดเองให้ดูหน่อยสิ”
จุ๊ยเงยหน้ามองหลิว  ก่อนจะมองพัดลม
“ลุงจ้า ร้อนจัง ติดหน่อยสิ” เขากล่าวเสียงหวาน
แล้วพัดลมก็ค่อยๆหมุนช้าๆ
ทั้งจุ๊ยและหลิวตกใจมองหน้ากัน
“เช็ดเสร็จแล้วก็เปิดสิ  อากาศมันร้อน” ป๊าเดินออกมาพร้อมหนังสือพิมพ์แล้วนั่งลงที่โต๊ะบัญชี
จุ๊ยถอนหายใจโล่งอก 
“นึกว่าผีพัดลมหลอกซะแล้ว”
จุ๊ยเอาผ้าห่มนวมที่เปียกพาดกับราวโดยมีหลิวช่วย
“นี่ของใคร” หลิวถาม
“ของจุ๊ยเหรอ”
“ของเฮีย” จุ๊ยตอบแล้วหันไปเอาปลอกหมอนมาหนีบใกล้กัน
“นี่จุ๊ยต้องซักผ้าพวกนี้ให้ด้วยเหรอ  โตๆกันแล้วนี่นะ” หลิวทำหน้าหงุดหงิด
“ก็ถ้าจุ๊ยไม่ทำ ป๊าก็ทำ  จุ๊ยก็เห็นว่ามันไม่มีอะไร  แค่เอาใส่เครื่องซักผ้า  ยังไงจุ๊ยก็ต้องซักของจุ๊ยอยู่แล้ว” จุ๊ยตอบแล้วก็ก้มลงไปหยิบปลอกหมอนมาหนีบ
“จุ๊ยนี่ อภิชาตบุตร อภิชาตนุชา เลยนะ”  หลิวกล่าว
จุ๊ยแปลกหูหันมา
“ไอ้อภิชาตบุตรเคยได้ยิน แต่อภิชาตนุชานี่มันอะไร”
“ก็อภิชาต อนุชาไง แปลว่าน้องที่ดี” หลิวเฉลย
“แล้วยังเป็นอภิชาตเชษฐาด้วย”
จุ๊ยหนีบปลอกหมอนอีกใบแล้วมองหน้าหลิว
“แปลว่า... “
หลิวยิ้มเหมือนท้าทาย
“รู้น่า” แล้วจุ๊ยก็สาดน้ำในกระป๋องไปบนต้นโบ๊ยเซียนที่ปลูกไว้
“แปลว่าหลานชายที่ดี”
หลิวถอนหายใจ
“นี่ภาษาไทยนะจุ๊ย... แล้วอย่างนี้จะเอาอะไรไปสอบ”
“โถเค้าแกล้งหรอก  รู้หรอกน่าว่าแปลว่าอะไร”
หลิวส่ายหน้าไม่เชื่อ
“แปลว่าพี่ชายที่ดี” แล้วจุ๊ยก็เดินมาใกล้ๆ
“แต่จุ๊ยอยากเป็นอภิชาตภัสดามากกว่า”
หลิวหน้าแดงก่ำ  ถึงขนาดต้องเดินหนี
“บ้า... ไม่เอาล่ะหลิวมีงานต้องทำอีก” แล้วเธอก็ปีนข้ามกำแพงกั่นไป  หันมามองจุ๊ย
แต่จุ๊ยยืนเกาหัว...
“อะไร  แค่บอกว่าจะเป็นเพื่อนที่ดี  เขินทำไม”
หลิวนิ่ง
“บ้าเหรอ... แปลผิดอีกแล้ว”
“ผิดอะไร... “จุ๊ยแสดงความมั่นใจ
“บิดาแปลว่าพ่อ มารดาแปลว่าแม่  บุตรแปลว่าลูก อนุชาก็น้อง” จุ๊ยนับนิ้ว
“เชษฐาแปลว่าน้อง เพื่อนก็... “ แล้วจุ๊ยก็นิ่งไปเอง
“เออออวะ  เพื่อน มิตร... โอยจำผิดโทษๆ”
หลิวทำหน้าเซ็ง
“ตกภาษาไทยแหง่”
“เออ แล้วภัสดาแปลว่าอะไร” จุ๊ยนึก
“โอย” หลิวทนไม่ไหว
“ยืนคิดไปเถอะ ไปรีดผ้าดีกว่า”
“อ้าว..” จุ๊ยจะเรียกรั้ง เพราะเขากะจะบอกหลิวเรื่องโทรศัพท์มือถือ  แต่หลิวเดินเข้าประตูที่เปิดทิ้งไว้ไปเสียก่อน

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่แปด ทำความความรู้จัก
เพราะเป็นวันเสาร์ ร้านของจุ๊ยก็เลยเปิดแค่ครึ่งวัน  ปกติหลิวจะมาชวนจุ๊ยไปซื้อของหรือไม่ก็ไปเดินเล่นที่ห้าง แต่วันนี้หลังจากแยกกันแล้วเธอก็ปวดท้องประจำเดือน  แต่จุ๊ยต้องไปหาซื้อของเพื่อทำรายงานเขาก็มาเดินอยู่ที่ศูนย์การค้าใจขนาดใหญ่ชานเมืองเพียงลำพัง
ระหว่างเขาเดินดูกระเป๋าสะพายเพื่อทดทนของเดิมที่ใช้เกือบจะใช้การไม่ได้  ป๊าคือคนที่เป็นคนสังเกตว่ามันขาดเพิ่มจากที่จุ๊ยเคยเย็บซ่อมไว้เลยเอาเงินให้มาซื้อ
“ถืออยู่ได้ขาดๆ ประเดี่ยวกระเป๋าสตางค์ก็หล่นมาตามรู แล้วจะคุ้มกันไหม เดี่ยวนี้มีมือถือด้วย ก็ยิ่งต้องระวัง”
เรื่องมือถือ จุ๊ยแปลกใจไม่น้อยที่ป๊ารับฟังเรื่องของเขาโดยไม่แย้ง  นอกจากถามคำสองคำ แล้วก็กำชับให้ใช้อย่างระวังตัว ไม่หยิบมาเล่นพร่ำเพรื่อเวลาเดินริมถนน  ไม่ รู้เพราะอะไร หรืออาจเพราะป๊าพึ่งอนุญาตให้เฮียตี้ซื้อไปเมื่อวันก่อน เป็นโทรศัพท์ราคาแพงยี่ห้อผลไม้เหมือนของไอ้ก้องภพ แต่ผ่อนรายเดือนเป็นงวดๆด้วยบัตรเครดิตของพ่อของหลิว
แล้วจู่ๆโทรศัพท์ก็ดัง  ตอนแรกก็ไม่รู้ตัว  เพราะเขาไม่เคยมีโทรศัพท์มือถือ  กระทั้งที่อยู่ในร้านหันมามองหน้าเขากันหมด
“ขอโทษครับ” จุ๊ยกล่าวพร้อมผงกหัว แล้วหยิบมันออกมารับสาย
“ฉันเองจุ๊ย” เสียงนี้คือโยชิ
“จุ๊ยอยู่ไหนล่ะ  วันนี้ฉันว่างเดี่ยวไปหา”
 
จุ๊ยนั่งตัวเกร็ง เพราะร้านที่โยชินัดให้จุ๊ยมาเจอเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นราคาแพง  แถมอนุญาตให้จุ๊ยสั่งอาหารรอได้เลย  จุ๊ยก็สั่งมาแค่เกี๊ยวซ่ากับน้ำเปล่า เพราะคิดว่าต่อให้โยชิไม่มาเขาก็ยังพอจะมีเงินจ่าย
“รอนานไหม”
จุ๊ยถึงกับสะดุ้งเพราะมัวแต่กังวล
“อ้ออ ไม่นาน” จุ๊ยตอบมองโยชินั่งลง 
โยชิแต่งตัวธรรมดาๆก็เหมือนเด็กหนุ่มทั่วๆไป  แต่เพราะเขาเป็นคนดูดี แค่เสื้อยืดกางเกงยืนก็ยังดูดีว่าคนแต่งเต็มยศเสียอีก
“กินอะไร... เกี๊ยวซ่า...  ทำไมไม่สั่งอย่างอื่น เราเลี้ยงนะจุ๊ย” แล้วเขาก็ยกมือเรียกพนักงาน
พนักงานเดินมามีอาการเหมือนตกใจนิดหน่อย  คงเพราะเห็นโยชิที่กำลังดังมากตอนนี้
“ขอชุดปลาดิบพิเศษนะครับ” โยชิสั่งโดยไม่มองเมนู
แล้วหันมาหาจุ๊ย
“กินเป็นไหมปลาดิบ”
จุ๊ยพยักหน้า เพราะเขาเคยชนะเลิศแข่งขันดนตรีงานใหญ่ อาจารย์อติที่สัญญาว่าจะพามาเลี้ยงก็เคยพามาร้านอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน
“งั้นเอาเป็นสองเลยครับ  แล้วก็ชาร้อนหนึ่งกา”
 
“ทำไมจุ๊ยดูเกร็ง”
“ก็เกร็งเพราะกลัวนายไม่มานั้นล่ะ  เกิดนายไม่มาฉันไม่ตายเหรอ... ในกระเป๋ามีเงินอยู่แค่ไม่กี่ร้อย” จุ๊ยตอบตามตรง
“ไม่ใช่  จุ๊ยดูไม่ร่าเริงเหมือนที่เราเจอกันครั้งแรกเลยนะ  ตอนนั้นจุ๊ยร่าเริงมากจนเรานึกอิจฉาเลย” โยชิแย้ง
“ก็ตอนนั้นเราไม่รู้จะทำยังไงให้นายหยุดร้องไห้  ก็เลยต้องทำฮาๆให้นายตลกไง” จุ๊ยตอบ มองพนักงานเอาชาวางลงบนโต๊ะแล้วถอยไป
“แปลว่าจุ๊ยจำได้หมดแล้ว” โยชิรินชา แต่ตาอยู่ที่จุ๊ย
“ใช่ ก็พอนายพูดเราก็เลยนึกออก” แล้วจุ๊ยก็เงียบไป
“แต่นิดหนึ่งเถอะนายพูดไทยพึ่งได้ หรือว่าพูดได้นานแล้ว”
โยชิจิบชา
“ฉันเกิดเมืองไทย  อยู่ที่นี่จนอายุเจ็ดขวบแล้วถึงตามพ่อกลับญี่ปุ่น”
“อ้าว  แล้วก็หลอกให้เรางมงูงมปลาอยู่ตั้งนาน  เราก็นึกว่าพูดไทยไม่ได้” จุ๊ยเอนหลังหลบ เพราะตอนนี้พนักงานเอาชุดปลาดิบพิเศษออกมาเสริพ
“ก็เราเห็นจุ๊ยพยายาม  เราก็เลยไม่อยากให้เสียกำลังใจเลยปล่อยให้พูดไป  ตอนนั้นฉํนเองก็ไม่ได้ถนัดภาษาอังกฤษ ก็งูปลาแข่งเหมือนกันนั้นล่ะ”
 “มิน่าไอ้คนเบาะหลังเรามันทำหน้าแปลกๆ  มันคงตลกที่เราคุยกันมั่วๆ” จุ๊ยยิ้ม
“มันคงลุ้นว่าไอ้ห่าแม่งจะคุยกันรู้เรื่องไหม”
โยชิหัวเราะ
แต่จุ๊ยนึกได้ว่าพูดคำหยาบเลยขอโทษ
“เฮ้ยไม่เป็นไร  เต็มที่ ฉันอยากให้จุ๊ยเป็นกันเองมากกว่า  ตอนนั้นจุ๊ยก็แจกเรามาหลายตัว ทั้งเห้ ทั้งอะไร” โยชิโบกมือ
“ก็เกือบหมดสวนสัตว์นั้นล่ะ ก็นึกไม่ออกนี่หว่าว่าจะพูดอะไร พอมันนึกไม่ออกก็หลุดด่าออกมา  แบบมันไปเองตามความเคยชิน  แล้วก็ไม่คิดว่านายจะฟังรู้เรื่อง” จุ๊ยตอบ
“มีงกูก็ได้นะจุ๊ยถ้าจะสะดวก” โยชิกล่าวพลางแยกตะเกียบ
“ยังๆ  เอาไว้ก่อน  ขอสุภาพบ้างเหอะ  อยู่กับพวกเพื่อนๆก็พูดไปด่าไปจนจะเคยปากอยู่ละ  อีกอย่างฉันพูดกู นายก็พูดมึง คนอื่นจะมองนายไม่ดีนา” จุ๊ยตอบพลางแยกตะเกียบบ้าง
“เฮ้ยไอ้นี่มันอะไร” จุ๊ยถาม  แล้วเอาตะเกียบเขี่ย 
“อ้อไข่หอยเม่น  อร่อยนะ” โยชิพูดแล้วคีบใส่ปาก
จุ๊ยก็ลองคีบมานิดเดียวลองกินแล้วก็พูด
“เออมันๆหวานอร่อยดี”
แล้วเขาก็เอียงคอคิด
“เหมือนจะมีคนบอกว่าเป็นอสุจิหอยเม่นรีเปล่าวะ หรือเราเข้าใจผิด”
โยชิกลืนลงคอก่อนจะพยักหน้า
แต่ตอนนั้นจุ๊ยก็เอาใส่ปากกลืนลงคอไปแล้วเหมือนกัน  ทำหน้าตื่นเอามือกุมท้อง
“อ้าวเหี้ยละ  นี่กินอสุจิหอยไปแล้วหรอวะ แล้วจะท้องกับหอยไหมเนี่ย”
โยชิหัวเราะจนหัวโยก
“ขำ..ขำ” จุ๊ยเอาน้ำมาดูด
แล้วจุ๊ยก็ชี้อีกอัน
“หอยโอตาเตะ” โยชิตอบ

“งั้นต้องเก็บไว้ก่อน” จุ๊ยว่าแล้วหันไปคีบปลาแซลม่อนกิน
“ทำไมล่ะอร่อยนะ” โยชิถาม
“อ้าว ก็กินที่หลังรอให้ไอ้อสุจิมันตายก่อน  กินหอยเหมือนกันตามกันไป เดี่ยวมันไปสปาร์กแพร่พันธุ์ในท้องทำไงเล่า” จุ๊ยตอบหน้าตาเฉย
โยชิที่พึ่งเอาคีบเอาอาหารเข้าปากหลุดหัวเราะจนเกือบสำลักต้องเอาชามาจิบกินไล่อาการ แล้วก็นั่งยิ้มหูตาแดง
จุ๊ยมองหน้าแล้วส่ายหัว
“เส้นตื้นนะเนี่ย”
 
ทิพย์กำลังเลือกเสื้อผ้าจากราวที่ลดราคา
“อันนี้ราคาพิเศษเลยนะค่ะคุณทิพย์  ถ้าคุณทิพย์จะซื้อเดี่ยวดิฉันจะเอาของใหม่ให้เลย”
ทิพย์แม้จะมีรายได้สูง  แต่เพราะถูกเลี้ยงมาโดยครอบครัวคนจีนที่ประหยัดจนรวยก็เลยถูกสอนเรื่องความประหยัด เธอไม่อายที่จะบอกว่าเธอซื้อแต่ของลดราคาเท่านั้น
“งั้นพี่เอาสองตัวนะ  สีนี้” เธอตอบ
พนักงานก็เอาเดินเข้าไป  เธอหมุนไปหมุนมาสักครู่ ก่อนจะสังเกตุเห็นคนเด็กหนุ่มสองคนเดินเข้าร้านมาในส่วนของเสื้อผ้าผู้ชาย
“ช่วยเลือกหน่อย” คนหนึ่งว่า
“โอยใครจะไปรู้รสนิยมนาย  ไอ้เสื้อผ้าแพงๆแบบนี้เราก็ไม่รู้จักด้วย” อีกคนตอบ เดินไปชี้หุ่น
“ไม่รู้จักได้ไง นี่ก็เสื้อนั้นกางเกง”
คนหน้าตี๋ตัวเตี้ยกว่าเชิดริมผีปากขึ้น มองหน้า
“อ้อเหรอ”  แล้วเขาหันไปหยิบกางเกงในบ็อกเซอร์มา
“เอ้านี่หมวก นายเอาไปใส่ซะ  ลองดูเข้ากับนายมาก”
คนตัวสูงหัวเราะอย่างสดใส
“เฮ้ยฉันไม่ใช่ซุปเปอร์แมน” เขาตอบ
เด็กหนุ่มตัวเล็กกว่า ยิ้มทะเล้นเอาบ็อกเซอร์อีกยกขึ้นเสมอหน้า
“ซุปเปอร์แมนอะไร  เฮนไต คาเมน” แล้วก็ทำเสียงเหมือนในหนัง 
คนตัวสูงหัวเราะเสียงดัง จนคนตัวเล็กกว่าต้องอุดปาก
“รักษาภาพพจน์ ภาพพจน์” เขากระซิบ
แล้วเด็กหนุ่มร่างสูงก็ยืดตัวขึ้นตรง ทำท่าหล่อ
“เอออม... เหลวไหลนะเราน่ะ” เขาเก็กเสียงหล่อ
ทิพย์ยิ้มออกมา
นานเท่าไหร่แล้วที่เธอไม่ได้เห็นโยชิยิ้มอย่างสดใสเช่นนี้
เด็กคนนี้เป็นใครกันหนอทำให้โยชิหัวเราะได้นอกฉากการแสดง
หน้าตาคุ้นๆ
อ้อ... เด็กที่เป็นเอ็กช์ตร้าที่โดนโยชิต่อยนั้นเอง
“อ้าวนี่เป็นเพื่อนกัน หรอกเรอะ”
ระหว่างนั้นนั่นเอง  ที่หน้าร้านมีเด็กสาวหลายคนวิ่งมา
“เอาแล้วไง” โยชิเห็นท่าไม่ดี วางกางเกงใน
จุ๊ยถอยมาเอาศอกกระตุ้น
“ยิ้มสิยิ้ม “
ตอนนี้จุ๊ยเข้าใกล้เขามากจนเขาได้กลิ่นจากโคโลนญน์อ่อนๆ
เขาก็ยิ้มออกไป เหล่าสาวๆก็กรูกันเข้ามา
“ใจเย็นๆค้า” ก่อนจะถึงตัว  ทิพย์ก็ปราดเข้าทัน
ทิพย์หันไปหาโยชิ
“ออกไปนอกร้านก่อน รปภ.มาพอดี”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 9 ปรัชญาเต้าหู้ยี้   
ลงจากรถรับส่งของโรงเรียน ซัวก็เดินตรงเข้าบ้าน  เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องเจอกับนักเรียนโรงเรียนอื่น  เพราะสถาบันที่เขาเรียน  กำลังมีกรณีกับอีกโรงเรียน   
ถ้าเช้าบ้านไปตอนนี้อาจไม่มีข้าวกิน เขาก็เลยแวะที่ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้าอร่อย
“เส้นเล็กครับเจ๊ก” เขาสั่งแล้วเดินมานั่ง
สักครู่เด็กสาวเรือนร่างท้วนเล็กน้อยก็เดินอกมาจากหลังร้าน พอเห็นซัวเธอก็ชะงัก
“เฮียไปโรงเรียนเหรอ”
ซัวเงยหน้ามอง
“อืม  หมวยเล็กก็ไปโรงเรียนมาเหมือนกันเหรอ”
หมวยเล็กยิ้มอายๆ
“ก็มีติว  ก็เลยต้องไป”

“หมวยเล็กมาเอาก๋วยเตี๋ยว” เจ้าของร้านและบิดาของเด็กสาวเรียก
เด็กสาวก็เดินไปยกก๋วยเตี๋ยวมาเสริฟ
แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามเลย
“คือ..” หมวยเล็กลากเสียงหลังจากซัวกินไปได้สักระยะ
“วันก่อนหมวยเห็นเฮียเดินจูงมือผู้หญิงคนหนึ่ง  แฟนใหม่เฮียเหรอ”
ซัวขมวดคิ้ว  กำลังนึกว่าคนไหนตอนไหน
“เออม ใช่  แต่อย่าเอาไปบอกเฮียจุ๊ยนะ เดี่ยวเฮียจุ๊ยเล่นงานเฮียตายเลย”  ซัวตอบไป
เด็กสาวนิ่งไปนิดหนึ่ง
“เฮียนี่แฟนเยอะจัง”
ซัวกำลังจะตอบอะไรออกไป  แต่เหลือบไปเห็นรถสปอร์ตคันเสียแดงมาจอด  แล้วคนที่ลงมาคือพื่ชายของเขา
“ใครเป็นคนขับวะ  เพื่อนเฮียคนไหนวะขับรถสปอร์ตด้วย”
หมวยเล็กก็หันไปบ้าง
จังหวะนั้นจุ๊ยเดินไปแล้ว แต่เพราะคนขับเปิดประตูรถลงมาพร้อมถุงพลาสติก
“ใครวะไม่เคยเห็น” ซัวเคยเห็นเพื่อนจุ๊ยเกือบทุกคน เพราะเมื่อก่อนเคยเรียนที่เดียวกับจุ๊ย 
“ดารา...” หมวยเล็กกว่าขึ้นอย่างตื่นเต้นถึงขนาดลุกขึ้นก็เลยบังซัว
ซัวก็เลยวางตะเกียบ แล้วชะโงกออกมามอง
สองคนนั้นคุยอะไรบางอย่าง  ซึ่งใครคุยกับจุ๊ยก็ต้องยิ้มแย้ม  เพราะเฮียของเขาช่างสรรหาวิธีพูดให้ตลก
“ดารา” ซัวหันมามองหน้าหมวยเล็กที่เอามือประสานกันไว้ใต้คาง
“ดาราพี่ โยชิ  พระเอกซีรี่กำลังดังเลย”
ซัวทำหน้ามุ้ย
“ซีรี่อะไร”
 
จุ๊ยเอาของมาวางเรียงต่อหน้าป๊า เป็นขนมปังหลายชนิดน่ากิน
“เพื่อนจุ๊ยคนที่เอาโทรศัพท์ให้ซื้อให้ครับ ป๊าอยากกินอันไหน” จุ๊ยถาม
บิดามองข้าวของแล้วมองหน้าลูกชาย
“นี่เขารวยมากเลยงั้นสิ”
“ก็เป็นดาราน่ะป๊า” เจ้าของเสียงคือซัว 
เดินผ่านช่องประตูเหล็กที่เปิดอ้าไว้นิดหนึ่งเข้ามา
“ชื่ออะไรนะ โยชิ”
“อ้าวนี่แกรู้จักด้วยเหรอ”
จุ๊ยถาม
“ก็เห็นเลยล่ะ  รวยไม่รวยก็ขับรถสปร์อตก็แล้วกัน  ดันละสิบล้านเลยนะป๊ารถอย่างนั้น”  แล้วเขาก็มาร่วมดูขนมที่จุ๊ยว่า
“โอ้โหนี่แพงๆทั้งนั้นเลย  ผมเอาอันนี้นะ” ซัวทำท่าจะเอื้อมมาหยิบ
“เฮ้ย ให้ป๊าเลือกก่อน” จุ๊ยรั้งมือมันไว้
บิดามองหน้าลูกชายคนรอง
“พวกแกเอาไปกินกันเถอะ  อย่าลืมแบ่งให้เฮียด้วยแล้วกัน”
“ครับป๊า” จุ๊ยรับคำ จังหวะนั้นซัวก็คว้ากล่องเค้กที่หมายตาแล้ววิ่งไป
“ขอบคุณครับเฮีย”
“เฮ้ยอันนั้นของกู กูจะกิน” จุ๊ยร้องเสียงหลง
ซัวชะโงกหน้ามาจากช่องเปิดของชั้นลอย
“ไม่เอาซัวจะกินอันนี้  เฮียมีตั้งหลายอันก็เลือกเอา”
“ไอ้ซัว” จุ๊ยทำท่าจะเอาเรื่อง
“จุ๊ย” บิดาเรียก
จุ๊ยจึงหยุด
“เราต้องรู้จักฐานะเราเองนะ  ไม่ใช่ว่าเห็นเพื่อนใช้ชีวิตหรูหราแล้วจะเอาอย่างเขา  แล้วก็ไม่ใช่ว่าเห็นเขาเป็นถังเงินถังทองจะไปกอบโกยจากเขา  เราต้องรู้จักประมาณตนเอง แล้วก็มีความเกรงใจ  เข้าใจไหม” บิดามองหน้า
“ครับ ผมรู้แล้วครับ” จุ๊ยตอบบนรอยยิ้ม
แล้วเหมือนบิดาจะนิ่งไป แต่ก็แค่แว่บเดียวก็ก้มลงอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ
“ไปอาบน้ำ ป๊าหุงข้าวต้มหมู แต่เฮียลื้อบ่นว่าเค็ม  เดี่ยวลื้อลงมาแก้ไข แล้วเรียกมันลงมากิน”
“ครับป๊า” แล้วจุ๊ยก็เดินวางของในครัวก่อนจะเดินขี้นชั้นสองไป
ไท้จุ๊งลดหนังสือพิมพ์ลง
“เหม่ย  ลื้อกลัวอั๊วเหงาหรือไง  เวลาไอ้จุ๊ยมันยิ้ม  เหมือนลื้อเหลือเกิน”
 
จุ๊ยชิมรสชาติอีกครั้ง ความเค็มที่ว่าหายไปแล้ว เขาจึงปิดไฟในเตา
“จุ๊ย ป๊าหล่ะ” 
ตี้ถามตอนเลี้ยวเข้าครัว
นั่งลง
“อ้าวเมื่อกี้ยังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่”
“ไม่มี ก็เฮียชะโงกลงมาจากชั้นลอย ก็ไม่เห็นแล้ว  ประตูก็ปิดแล้วด้วย”
จุ๊ยตักข้าวต้มใส่ชามแล้ววางให้พี่ชาย  ไม่ลืมเอาขิงซอยโรยให้ในปริมาณที่เจ้าตัวชอบ
“ผมก็ไม่รู้นะ  มัวแต่ตั้งใจทำข้าวต้ม  สงสัยไปคุยกับเจ๊กปิงที่หน้าโรงหนังมั๊ง”
ตี้ยักไหล่แล้วคนข้าวต้มก่อนจะชิม
“เออ เอ็งทำอร่อยกว่าป๊าเยอะเลย”
จุ๊ยส่งเสียงหึ
ก็แน่อยู่แล้ว เพราะตั่งแต่แม่ของเขาตายไปเมื่อตอนที่พวกเขาอายุได้ราวสิบสามปี ก็เป็นเขานี่หล่ะเตรียมอาหาร  แม้ส่วนใหญ่จะเป็นของที่ซื้อ แต่ก็บ่อยๆที่เขาจะนึกสนุกลงมือทำเมนูที่มารดาเคยสอนเอาไว้
จุ๊ยหันไปหยิบชามมาตักของตัวเอง  ระหว่างนั้นเห็นตี้กดโทรศัพท์อยู่ตลอด
“เฮียมีแฟนแล้วหรอ”
ตี้สะดุ้ง  หันไปมองประตูก่อนจะตอบ
“เอ้ยใครบอกแกนี่”
จุ๊ยเลิกคิ้ว
“ก็มีล่ะ  ผมก็ไม่ได้แยกร่างได้จะได้ตามไปรู้เรื่องของเฮียที่มหาลัย”
ตี้คนข้าวต้มช้าๆ
“เออ.. “
“สวยไหม” จุ๊ยถามต่อมีรอยยิ้มอย่างสนใจ
“ก็ต้องสวยสิวะ  ก็เฮียหล่อ” ตี้ตอบ ทั้งเก็กหน้า

จุ๊ยเบือนหน้าหนี
“โอยหลงตัวเองว่ะ”
หันกลับมาปรุงข้าวต้มแล้วก็ตักมาคำหนึ่ง
“พามาบ้านบ้างดิ  ผมอยากเห็น ป๊าก็คงอยากเห็น ป๊าคงไม่ว่าหรอก เพราะก็บอกบ่อยๆว่ามีได้แต่ไม่เสียการเรียน”
ตี้นิ่งไป
“เออๆ เอาไว้พามา เอาไว้แน่นอนก่อนตอนนี้ยังแค่ดูใจ”
ในบรรดาสามพี่น้อง คนหล่อสุดคือซัว เพราะมีหน้าตาคมคาย แต่ซัวก็มีรูปร่างค่อยข้างเล็กเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมรุ่น  ส่วนเฮียตี้รองลงมาในเรื่องความคมคาย  แต่พอเจอกับเรือนร่างสูงโปร่งที่ได้จากป๊า  ก็ต้องยอมรับเฮียตี้ดูดีที่สุดในพี่น้อง  บวกกับความเรียนเก่ง ฉลาด  ทำให้สมัยเรียนเฮียดังขนาดมีสาวโรงเรียนอื่นมารอดูที่หน้าโรงเรียน  แต่ก่อนหน้าเฮียก็ไม่เคยมีแฟนมาก่อน เพราะมัวแต่มุ่งมั่นเรียนหนังสือ 
“จุ๊ย” ตี้เรียก
“ครับ”จุ๊ยเงยมามองหน้า
“เอ็งว่าคนรวยนี่เขาจะรังเกียจคนจนไหมวะ”
จุ๊ยมองหน้าเฮีย
“ก็ไม่รู้สิ  บางคนก็เป็นบ้าง  บางคนก็ไม่เป็นนะ” จุ๊ยตอบ เขาดูจากเพื่อนของเขา
ก้องภพเป็นลูกเจ้าของโรงงานน้ำปลาชื่อดัง  มันก็ไม่เห็นจะรังเกียจจุ๊ย  อีกคนที่รวยๆก็คือเดฟ  ถึงมันจะน่ารังเกียจเพราะความหื่น  แต่จุ๊ยก็ต้องยอมรับว่ามันดีกับเขาไม่น้อย
ตี้ทำหน้าคิด
“แล้วส่วนใหญ่ล่ะ คนรวยเขาจะเลือกคนรวยด้วยกันหรือคนจนๆ”
คำถามของเฮียตี้ทำให้จุ๊ยสงสัย 
ตี้เป็นเด็กที่อยู่ในกรอบของป๊ามาโดยตลอด  หมดชีวิตมัธยมไปกับการเรียนพิเศษ
จะว่าไปเพราะจุ๊ยไม่เคยถูกคาดหวัง เขาก็เลยมีชีวิตที่โลดโผนกว่าเฮียตี้  อย่างน้อยเขาก็มีเพื่อนมากกว่าและไปไหนต่อไหนได้มากกว่าเฮียตี้
“ก็ไม่หรอก  แต่ก็ไม่แน่ใจนะ  แต่คนเรามันต้องมองหลายๆอย่างรีเปล่าเฮีย ถ้าจะตัดสินใจคบกับใครหรือไปกับใคร”จุ๊ยตอบ
“ถ้าเป็นผม ผมจะไม่กังวลนะ  ผมก็แค่เป็นตัวของผมแค่นั้นเอง ถ้าเค้าจะไม่รักเรา  มันก็ช่วยไม่ได้นี่”
ตี้พยักหน้าช้าๆ  มองในชามข้าวต้ม
“แต่มันยากไม่ใช่เหรอ  กับการจะตัดใจ หรือทำใจถ้าเค้าไม่เลือกเรา เพราะเราด้อยกว่า มันรู้สึกแย่ใช่ไหม  แล้วแบบนี้เราควรจะเลิกกับเขา ไม่ดีกว่าเหรอ”
จุ๊ยมองหน้าตี้  แล้วเขาก็หันไปหยิบอะไรมาอย่างหนึ่ง  หยอดลงไปชามของตี้
“เฮ้ย นี่มัน”
จุ๊ยยิ้ม
“เต้าหู้ยี้”
“ก็รู้ว่าเฮียไม่กิน แล้วหยอดลงมาทำไม”
ตี้ทำท่าเซ็ง
“ตักชามใหม่ให้เลยนะ  อยู่ดีๆเอ็งแกล้งเฮียทำไมเนี่ย”
จุ๊ยส่ายหัว  แถมหันไปเอาเต้าหู้ยี้หยอดลงในหม้อข้าวต้มด้วย
“เฮ้ยจุ๊ย” ตี้ชักโกรธ
แต่จุ๊ยจ้องตาพี่ชาย
“เฮียจะเลือกเอาแต่สิ่งที่เฮียชอบกินไม่ได้หรอกนะ  เพราะบางทีเราก็ควบคุมทุกอย่างไม่ได้  เราอาจต้องเจอกับสถานการณ์มัดมือชก  โดยเฉพาะเวลาที่คนที่ตัดสินใจคั่นสุดท้ายไม่ใช่เรา  บางที่เราอาจต้องลองชิมมันดู  เผื่อว่าเราอาจชอบรสชาติมัน  หรือถ้าเราไม่ชอบ  เราก็จะได้รู้ว่ารสชาติมันแย่จริงๆ หรือเปล่า แต่ถ้าเฮียเททิ้ง  เฮียก็คือทิ้งโอกาสไปหมด  ทิ้งแม้แต่รสชาติในส่วนที่อร่อยไปด้วย  เฮียลองคิดดูเอาเองนะ”
ตี้มองหน้าน้องชาย 
“ลองดูก่อนผมจะเอาใจช่วยตรงนี้เสมอ  ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น  ผมจะอยู่กับเฮีย”
ตี้ยิ้มกับคำพูดของน้องชาย

แล้วจุ๊ยก็หยอดเต้าหู้ยี้ในชามตัวเอง
“แต่ผมชอบนะเต้าหู้ยี้เนี่ย” จุ๊ยกล่าว
“มันรสชาตกระดึกกระดึ่ยดีออก”
ตี้ทำหน้าบอกว่าแปลกหูกับคำพูดของจุ๊ย
“อะไรของแกกระดึกกระดึ๋ย”
“ก็บอกไม่ถูกไงเฮีย  มันแบบว่ากระดึก กระดึกในคอ  กระดึ๋ยกระดึ๋ยด้วย” จุ๊ยกล่าวก็กินเต้าหู้เข้าไปทั้งชิ้น แล้วทำท่าตัวสั่น  ก่อนจะทำตาเยิ้ม
“อาสุดยอด...”
ตี้หัวเราะแล้วโคลงหัว
“ไหนลองดูสิ”
พอกินเข้าไป ตี้ก็ทำหน้าหยีไปทั้งหน้า
“รู้ละว่าทำไมถึงชื่อเต้าหู้ยี้” แล้วตี้ก็จิบน้ำที่จุ๊ยรินไว้เผื่อตอนที่เขาตักเข้าเต้าหู้ยี้เข้าปาก
“แต่ก็...” ตี้มองในชาม
“อร่อยเหมือนกันเนอะ ไอ้กระดึกกระดึ๋ยของแกเนี่ย”
แล้วสองพี่น้องก็ประสานเสียงหัวเราะกัน
 
สองพี่น้องเดินขึ้นชั้นบนมาพร้อมกัน  แล้วก็แยกตรงชั้นสอง เพราะชั้นสองเป็นชั้นที่ตี้นอนคนเดียวทั้งชั้นโดยมีการกั่นสัดส่วนอย่างดี
“เข้าไปเล่นคอมก่อนไหม” ตี้ถาม
“ไม่ล่ะเฮีย  ผมง่วง  แล้วต้องไปตอบไลน์ด้วย ไอ้เดฟมันอะไรก็ไม่รู้มาตลอดเลย ไม่ได้ยินเหรอเมื่อกี้”
“แกลงมานอนข้างล่างกับเฮียบ้างก็ได้  จะได้ไม่ต้องเปิดแอร์หลายเครื่อง” ตี้กล่าว

จุ๊ยส่ายหน้า
ตี้มองหน้าน้องชาย  แล้วเขาก็ลูบหัวเบาๆ
“ขอบใจนะจุ๊ย  เอ็งทำให้เฮียสบายใจได้ตลอดเลย”
จุ๊ยยิ้มแล้วยกมือบอกว่า
“ราตรีสวัสด์นะเฮีย”
จุ๊ยเดินต่อขึ้นไป  ตี้มองตามหลังไป
ในสามพี่น้อง  จุ๊ยเหมือนแม่มากที่สุด ทั้งหน้าตาและก็นิสัย
 
“ม๊าจะทิ้งผมไม่ได้นะ แล้วใครจะทำกับข้าวให้ผมกิน”
มารดามองหน้าเขาอย่างอ่อนโยน  แม้กำลังข่มความเจ็บปวดที่เผชิญ
“ไม่ต้องกลัวนะ  อาม๊าฝากทุกอย่างไว้ในตัวจุ๊ยหมดแล้ว  ต่อไปน้องก็จะดูแลตี้ต่อ ตี้ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี  ทำให้สำเร็จจากนั้นก็กลับมาดูแลน้องคืนบ้างไง”
แล้วจุ๊ยก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ  จะว่าไปเขาก็รู้ว่า เขาเป็นพี่ชายคนโต หน้าที่ซึ่งจุ๊ยรับผิดชอบอยู่ในทุกวันนี้เป็นของเขา  แต่ตัวเขาเองก็ต้องแบกความคาดหวังของป๊าเอาไว้จนเต็มบ่า  ตั้งแต่มัธยมเขาก็อยากจะช่วยจุ๊ยบ้าง 
แต่วันๆนอกจากเรียนที่โรงเรียนเขาก็ต้องไปเรียนพิเศษ ไปติวพิเศษ  ไปเช้าค่ายติววิชานั้นวิชานี้  จนชีวิตช่วงวัยรุ่นของเขาหมดไปกับตัวหนังสือ   
พอเข้ามหาวิทยาลัยในคณะแพทย์ทุกอย่างไม่ได้คลายไปเลย  เขายังเรียนหนักกว่าคนอื่นเป็นสองเท่า  เพราะเขารู้ดีว่าเขาไม่ได้หัวดี  แม้หลายคนจะบอกว่าเขาเรียนเก่ง  แต่นั้นเพราะการทำงานหนักเป็นสองเท่าของเขาต่างหาก 
เขายังจำได้ดีถึงสีหน้ากังวลต่อผลการเรียนบางวิชาในตอนมัธยมของป๊า  ดังนั้นเพื่อให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์เขาจึงทุ่มสุดตัว
แต่นอกจากจุ๊ยจะทำหน้าที่แทนเขาแล้ว  ยังทำตัวเป็นกองหนุนที่ดี  ทำให้เขาสบายใจในเวลาที่เขาเคร่งเครียด   รอยยิ้มอันสดใสของจุ๊ยสร้างความสบายใจให้เขาเสมอ
ก็รู้นะว่าคนอื่นอาจว่าเขาเห็นแก่ตัว  แต่ถ้าเขาทำทุกอย่างสำเร็จ  เขาตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าจะชดเชยทุกอย่างให้จุ๊ย  และจะให้ทุกคนได้เห็นว่าเขารักน้องชายคนนี้เพียงไร
ตี้หันไปทางหิ้งที่วางภาพชองมารดาเอาไว้
“ผมสัญญาครับม๊า  ผมจะทำให้สำเร็จแล้วจะดูแลเขาให้ดีเลย”



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 10 ห้องนอนนักดนตรี
จุ๊ยเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง  เป็นห้องที่อยู่บนชั้นสามที่แบ่งเป็นส่วนห้องโกดังเก็บของเก่าที่ไม่ได้ใช้และห้องนอนของเขา
มันก็เลยกว้างแค่ประมาณกว้างห้าเมตรยาวห้าเมตร  ซึ่งเล็กที่สุดในบรรดาห้องนอนของสามพี่น้อง  แถมยังแคบไปอีกนิดด้วยผนังที่บุด้วยวัสดุซึมซับเสียง พื้นก็หนาขึ้นจนต่างระดับกับพื้นนอกห้องนิดหน่อย 
อันนี้เพราะป๊าคงรำคราญเวลาเขาซ้อมดนตรี และกลัวข้างบ้านด่าก็เลยทำห้องแบบนี้ให้จุ๊ย 
ต่อให้เขาเป่าเครื่องดนตรีเสียงก้องสะท้อนแค่ไหนมันก็ได้ยินจากภายนอกแค่เสียงเบาๆ  แต่ก็ไม่ดีขนาดห้องซ้อมดนตรีดีๆ
ภายในนอกจากเตียงนอนชนาดสามฟุต  โต๊ะเขียนหนังสือ  ตู้เสือ้ผ้าแล้วยังมีตู้ถ้วยรางวัลของเขาที่ตั้งเรียงรายจนไม่มีที่จะวาง  ใบประกาศก็มีมากจนติดแล้วดูไม่สวยจึงต้องเก็บไปบ้าง 
ซึ่งแต่ก่อนมีเครื่องดนตรีนานาชนิดที่เขาได้จากการชนะการประกวดด้วย  แต่จุ๊ยชายทิ้งหมด 
แม้แต่ไคลิเนตที่วาทิตใช้อยู่ก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น เขาขายให้วาทิตไปในราคาไม่แพง   
ส่วนที่เก็บไว้จริงๆคือที่อยู่ในเสื้อผ้าที่แบ่งส่วนไว้วางของด้วย เพราะเขาก็ไม่ได้มีเสื้อผ้ามากอะไร 
นั่นคือแซกโซโฟนสามตัว เสียงเทรนเนอร์ เอาโต้ และโซบราโน่  จะขาดไปก็คือบาริโทน  ซึ่งแม้จะเป็นชิ้นที่เขาเล่นบ่อยในตอนนี้ เพื่อประคองวงในการซ้อม  แต่ก็ไม่มีเป็นของตัวเพราะมันใหญ่และหนัก  จึงใช้ของโรงเรียนคิดไม่เคยซื้อ
อัลโตตัวนี้เป็นแซกโซโฟนตัวสำคัญที่สุดของเขา เพราะเป็นตัวที่แม่ชองเชาซื้อให้ก่อนเสีย  ราคาของมันแพงระยับ  แถมมีลายเซ็นชองนักแซกโซโฟนระดับโลก Ornette Coleman อยู่ด้วย  จุ๊ยเอามันออกมาทำความสะอาดบ่อยๆ และจะว่าไปก็ใช้บ่อยมากที่สุดในเวลาประกวด 
ส่วนเข้าโทนเนอร์นี่ได้มาจากการประกวดแล้วก็ใช้บ้างในตอนประกวด  แล้วก็ที่วางไว้ในสุดคือ... โซบราโน่ ตั้งพิงฝาตู้เอาไว้โดยมีหมวกแก็ปทีมเบสบอลญี่ปุ่นสวมไว้ตรงด้านบน
เขาไม่ค่อยทำความสะอาดมัน  แม้จะหยิบออกมาบ่อยๆ เพราะเขาไม่ได้เป่ามัน  เจ้าของคนก่อนหน้า คือคนที่เคยเป่าเพลงชาติคู่กับเขาในทุกเช้านั้นเอง  พี่ไตร...
เด็กหนุ่มอายุมากกว่าเขาสองปี  ผิวสองสีดวงหน้าเข้ม  มีรอยยิ้มที่บางและน้อยครั้งที่จะยิ้มกับคนอื่น  แต่จะแผดเสียงหัวเราะจนตัวโยน แถมยังยิ้มกว้าง ให้กับเขา
ภาพในใจคนอื่นจะเป็นอย่างไรจุ๊ยไม่รู้  แต่จุ๊ยจำภาพหนึ่งได้ คือภาพที่เขาเป่าแซกโซบราโน่  แต่แอบเหลือบมองมาและยิ้มให้  โดยใส่หมวกแก็ปกลับหลัง
“ไม่ใช่พี่ไม่ชอบยิ้มนะจุ๊ย  แต่พี่ไม่เห็นว่าน่ายิ้มอะไร  นอกเสียจากเวลามีจุ๊ยอยู่ใกล้ๆ  ตอนนั้นพี่อยากจะยิ้ม อยากหัวเราะ ตลอดเลย”
 
เสียงเรียกเข้าทำให้จุ๊ยสะดุ้ง 
ตอนแรกนึกว่าเป็นหมายเลขของโยชิ  แต่กลายเป็นเดฟ
“จุ๊ยนอกใจผม” เสียงกรอกมาเหมือนจะร้องไห้
“จุ๊ยไปเที่ยวกับคนอื่นได้ยังไง  ผมเสียใจนะจุ๊ย ที่จุ๊ยนอกใจผม”
“อะไรของมึง  กูเข้าไปอยู่ในใจมึงตอนไหน ถึงมาว่ากูนอกใจ” จุ๊ยตอบแล้วปิดประตูฝั่งเก็บของ เปิดฝั่งเสื้อผ้า
“ก็ผมเอาจุ๊ยมาไว้กลางใจเสมอ”
จุ๊ยทำหน้าเลี่ยน
“มึงถามกูไม๊ว่ากูอยากไปนั่งไหมในนั้นน่ะ”
“ไม่รู้หล่ะ  ตอนนี้จุ๊ยนอกใจผม  จุ๊ยไปเที่ยวกับคนอื่น”  เดฟตอบมา
“ใครอะไรที่ไหนตอนไหน” จุ๊ยถามเป็นชุด
“แสดงว่ายังไม่ได้ดูภาพในไลน์ “ เดฟว่า
“เดี่ยวนะ” แล้วจุ๊ยก็เอาโทรศัพท์มาเรียกแอพพริเคชั่นไลน์
เป็นรูปเขากับโยชิในอิริยาบถแนบชิด  คงเป็นตอนที่เขาเอาศอกถองให้โยชิยิ้ม
“เฮ้ยๆ เดี่ยวเข้าใจผิดแล้วมั๊ง  กูแค่ไปกินข้าวแล้วไปซื้อของกับมันนิดหน่อย  แล้วตอนนั้นแฟนคลับของมันมา  กูก็เลยเช้ากระซิบเตือนให้มันยิ้ม”
“กินข้าว ซื้อของ โอยนี่ยังไม่เรียกนอกใจ  จุ๊ยเคยไปกินข้าวกับซื้อของกับผมไหม”  เดฟโอดครวญ
“ทำไมจะไม่เคย” จุ๊ยย้อน
“ตอนไหน”
“ก็ทุกวัน”
อีกฝ่ายเงียบ
“อะไรของจุ๊ย”
จุ๊ยนั่งลงบนเตียง
“อ้าวก็เที่ยงไง  กูกับมีงกินข้าวโรงอาหารเดียวกันเวลาเดียวกัน  มึงซื้อข้าวกูก็ซื้อ  มึงกินกูก็กิน” จุ๊ยกล่าว แล้วเขาก็กล่าวประโยคต่อไป โดยไม่รู้ว่าตัวเองพูดไปอย่างนั้นทำไม
“เราใช้เวลาร่วมกันมาตั้งแต่ม.หนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอวะ”
เดฟนิ่งเงียบไป  ก่อนจะถอนหายใจให้ได้ยิน แล้วตอบมา
“เฮ้ยไม่เหมือนกัน อันนั้นมันต่างคนต่างกิน” เดฟแย้ง
จุ๊ยถอนหายใจก่อนจะตอบออกไป โดยไม่รู้ว่าตัวเองพูดไปอย่างนั้นทำไมอีกเช่นกัน
“ถึงยังไงนะ เราก็ได้เห็นกันทุกวันไม่ใช่เหรอ แค่นั้นมึงยังไม่พอใจอีกเหรอ มึงจะให้กูนั่งจ้องตามึง นั่งเบียดมึงหรือไง แบบนั้นมึงก็รู้กูทำไมเป็นหรอก กูไม่ใช่คนโรแมนติกขนาดนั้น”
คราวนี้เดฟเงียบไปนานพอสมควร  ก่อนะจะแผดเสียงครวญออกมา
“ไม่รู้หล่ะ ผมเสียใจมากเลย เสียใจเสียใจ เสียใจ เสียใจ...เสีย..”
จุ๊ยกดโทรศัพท์ทิ้งด้วยความรำคราญ
“เหี้ย... นี่ท่าจะบ้าแล้วนะเนี่ย ไอ้เดฟ”
 
เดฟนั่งมองโทรศัพท์ยี่ห้อผลไม้ของเขาอยู่นาน  ก่อนจะเรียกโปรแกรมเฟสบุ๊คขึ้น  เขาเลือกเข้าไปส่วนหน้าโปรไฟล์ของจุ๊ย  ยังไม่มีอะไรเลยในนั้น  นอกเสียจากรูปของจุ๊ยเองที่คงถ่ายตัวเอง 
“ถึง ยังไงนะ เราก็ได้เห็นกันทุกวันไม่ใช่เหรอ แค่นั้นมึงยังไม่พอใจอีกเหรอ มึงจะให้กูนั่งจ้องตามึง นั่งเบียดมึงหรือไง แบบนั้นมึงก็รู้กูทำไมเป็นหรอก กูไม่ใช่คนโรแมนติกขนาดนั้น”
แค่นั้น.. เขาไม่พอใจอย่างนั้นเหรอ  ไม่เลย  เขาพอใจ  แม้ปากจะบอกว่าไม่พอใจ  แค่นั้นก็มีความสุขมากพอแล้ว
แม้จุ๊ยจะแสดงอาการรังเกียจเวลาเขาแตะเนื้อต้องตัวจุ๊ย  ซึ่งจะว่าไปถ้าใครมาทำอย่างนี้กับเขา  เขาก็คงรู้สึกรังเกียจเหมือนกัน  แต่จุ๊ยกลับไม่เคยหลีกเลี่ยงจะไม่เจอเขา  จุ๊ยเหมือนพร้อมจะเผชิญหน้ากับเขาไม่ว่าเขาจะเข้ามาในลักษณะไหนก็ตาม
แล้วจะถามว่าอะไรทำให้เขาประทับใจในตัวจุ๊ยมาก  คงจะเป็นเพราะเหตุการณ์ในวันนั้น  เมื่อตอนที่เขาอยู่ม.สาม
มันเป็นวันที่ทุกข์ใจที่สุดในชีวิต  เมื่อพบว่าชีวิตครอบครัวที่เหมือนจะเพียบพร้อมทุกอย่างของเขามันกำลังจะแตกสลายลง  แม่จับได้ว่าพ่อมีผู้หญิงอื่น และกำลังทะเลาะกันหนัก  ส่วนเขาก็ไปรับรู้ว่าในยามที่พ่อไม่อยู่แม่เองก็แอบมีความสัมพันธ์แบบสามเส้ากับคนสวนที่มีเมียเป็นคนรับใช้ในบ้าน
เดฟรู้สึกช็อกและผิดหวังในพ่อแม่มาก  เพราะเขาเคยคิดว่าพ่อแม่รักกันมากแม้จะค่อยไม่ได้อยู่ด้วยกัน  วันนั้นเขาเดินทิ้งเสียงทะเลาะของพ่อกับแม่ไว้ข้างหลัง เดินไปอย่างไรจุดหมาย 
แล้วไปนั่งอยู่ที่สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้บ้าน  และจะกระโดดลงไปอย่างไม่ทันยังคิด  แต่กลับถูกรั้งรวบไว้ด้วยท่อนแขนของจุ๊ย
คืนนั้นเขานั่งคุยปรับทุกข์กับจุ๊ยทั้งคืนตรงข้างราวสะพาน  แล้วก็เผลอหลับไปทั้งคู่ในลักษณะหัวพิงกันและกัน
ตลอดเวลาที่จุ๊ยคุยกับเขา จุ๊ยรับฟังจนจบ ก่อนจะตอบในมุมมองของเขา  ซึ่งเป็นมุมมองง่ายๆ แต่เขากลับลืมมองไป  แล้วก็ทำให้สบายใจเมื่อคิดไปตามนั้น
“กูก็ปลอบใจคนไม่เก่งนะ” นั้นคือคำพูดติดปากของจุ๊ย
แต่ไม่เลย  จุ๊ยคือคนที่ใครมีทุกข์ควรจะเข้าไปคุยกับมากที่สุด..
ตั้งแต่นั้นเขาก็พบกว่าตัวเองหลงรักจุ๊ยไปแล้ว
ผู้ชายหน้าตาธรรมดาๆ มีแค่ดวงตาที่เป็นประกายเป็นจุดเด่น  ทำไมเขาถึงได้มีความสุขนัก  เมื่อยามได้เห็น  แม้จากระยะไกลลิบก็ตาม

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 11 แซกเสียงหวาน/สามเสือแห่งวงโย
“มาแล้วมาแล้ว” ปอร้องเมื่อเห็นจุ๊ยเดินมา
เขาวางกระเป๋าลงข้าง หันมา
ปรากฏว่าเพื่อนกำลังรวมตัวเป็นกระจุกมองหน้าเขาด้วยอาการแปลกประหลาด
“เป็นเหี้ยอะไร “
เพื่อนๆมองหน้ากัน ก่อนจะส่งอ๊อดเป็นตัวแทน เขากอดคอจุ๊ยแล้วพาหันไปหาโต๊ะของกลุ่มเกย์สาว พวกนั้นแสดงอาการคล้ายกัน
“เฮ้ยจุ๊ย  มึงไม่สังเกตหรือวะว่าคนทั้งโรงเรียนมองมึงเหมือนพวกกูทั้งนั้น”
จุ๊ย ไม่ได้สนใจอะไรตอนเดินมา เพราะเมื่อกี้เดินมาเขาก็มัวแต่คิดเรื่องการประกวดวงโยธวาทิตวันพรุ่งนี้  แต่พอมองไปรอบๆ ก็เห็นสายตาหลายคู่มองมาจริงๆ

“เออ มองทำไม” แล้วจุ๊ยก็เริ่มสำรวจตัวเอง  โดยเฉพาซิบกางเกงว่ารูดรึเปล่า
“ไม่ใช่ๆ” ก้องภพเอาโทรศัพท์ของเขามากดให้จุ๊ยดู
“จงอธิบายภาพนี้อย่างถูกต้องและเหมาะสม.. สิบคะแนน”
ก็คือภาพเดียวกับที่เดฟส่งให้จุ๊ยดูเมื่อคืน
“เฮ้ยไอ้เดฟมันแชร์ไปทั่วเลยเหรอวะ” จุ๊ยร้อง
“ไอ้เดฟมึงตาย” เขาทำท่าจะเดินไป
“เดี่ยวๆ ไม่ต้องๆ ใครๆเขาก็มีรูปนี้จุ๊ย ตอนนี้เผลอๆไม่ใช่แค่โรงเรียน  กูว่าแฟนคลับของไอ้โยชิทั่วประเทศก็อยากจะถามแบบนี้กับมึง” ก้องภพเข้ามาขวางเขาด้วยการดันอก
แล้วทั้งอ็อดและก้องภพก็ดันเขาให้นั่งลง  ก่อนทุกคนจะล้อมกรอบมา
“จุ๊ยมึงสารภาพมา  มึงไปสนิทกับเขาตอนไหน” อ๊อดถามเสียงเข้ม
“แล้วมึงไปทำอะไรกันมา” ก้องภพคำราม
“นี่กระเป๋าใหม่  เขาซื้อให้มึงใช่ไหม” ปอเอากระเป๋าจุ๊ยมาแสดงด้วย
“มึงกับมันเป็นอะไรกันแน่” อัศวะจ้องตาเขา
“คุณต้องการอะไรจากสังคม”ตั้มเค้นเสียงถาม
เงียบกริบ..
“ไอ้เหี้ยไม่เข้าพวก” อ๊อตตบหัวตั้มทีนึง
“มึงเป็นเฮียสรหรือไงวะ” 
แล้วรุมกันเหมือนเดิม
จุ๊ยมองหน้าเพื่อนที่ละคน  ก่อนจะลุกพรวด
“ไอ้หอก... เป็นเพื่อนกัน  มึงจะบ้าเหรอ กูกับมันเจอกันแค่สามสี่ครั้ง พวกมึงจะให้กูมันเป็นอะไรกันเล่า”
เสียงจุ๊ยค่อนข้างดัง จึงได้ยินไปถึงแก็งค์เกย์สาว พวกนั้นเริ่มสุมหัวกัน
“พวกมึงนี่ท่าจะบ้า  ถ้ามันไม่ใช่ดารามึงจะสนใจกันอย่างนี้ไหม  ทีกูกับไอ้อ๊อดนอนด้วยกัน  ไอ้ฮ้อยอาบน้ำห้องเดียวกับกู  ไอ้อัสไปเที่ยวเชียงใหม่กับกูสองคน  ไอ้ปอกระโดดจูบกูกลางสนามบอลพวกมึงไม่เห็นสนใจกันบ้างวะ”
“เออวะ” ก้องภพถอยออกมานั่ง
“แม่งก็ไม่เห็นจะมีอะไร  ก็แค่ยืนใกล้กันรีเปล่าวะ”
อ๊อดก็นั่งลงข้างๆ
“เปล่ากูก็ไม่ได้สงสัยอะไร  แค่ทำตามกระแส กูโดนถามตั้งแต่เมื่อคืน”
“ใครถามมึง” จุ๊ยย้อน
อ๊อดถึงกับสะอึก
“ก็เพื่อนไง เพื่อนที่อยู่หอเดียวกับกู เขาถามกันหมดหล่ะ”
“เฮ้ยมึงจะหงุดหงิดไม่ได้นะ  ถ้าเป็นกูกับคนอื่นต่อให้มีรูปไปกระโดดกอดคอมันก็คงไม่มีใครสงสัย  แต่มึงป็อปไอ้จุ๊ย  ใครๆก็อยากจะรู้เรื่องของมึง” ปอกอดคอแล้วพานั่งลง
“ป๊อปตรงไหน” จุ๊ยส่ายหัว
อัศวะมองหน้า
“นี่มึงไม่รู้ตัว  ตอนนี้ใครก็สนใจมึง  โดยเฉพาะสาวๆแก็งค์โน้น  ว่างๆมีงไปไลค์เพจนี้นะ  แซคเสียงหวาน  มึงจะได้รู้ว่าวันๆมีคนคอยแอบถ่ายรูปมึงอยู่ทุกวัน อัพทุกวัน มีคนไปไลค์จะหมื่นแล้ว  ทั้งโรงเรียนเรา ทั้งโรงเรียนแฟนมึง แล้วยังจะโรงเรียนที่มึงเคยไปแสดง ไปแข่ง” อัศวะเอาโทรศัพท์ของตัวเองมากดให้ดู
“ห่า... นี่มันอะไรวะ  กูไม่รู้เรื่องเลยนะเนี่ย” จุ๊ยเอามาดู  ก็จริงอย่างว่า  เป็นภาพเขาตอนเล่นเพลงชาติ  ตอนเดินตรงระเบียง  แม้แต่ตอนกำลังเอ็ดรุ่นน้องในวงที่มีแค็ปชั่นว่า  ดุมากเลยวันนี้  แต่ก็ยังน่ารัก
“ก็มึงพี่งจะมีเฟสไม่ใช่เหรอ ดีนะมึงตั้งไพรเวทไว้สูง  ไม่อย่างนั้นมึงเชื่อกูไหม  คนมาขอแอดเฟรนมีงเป็นพัน” ก้องภพว่า เขาก็อยู่หน้าเพจเดียวกัน
“นี่ล่าสุดเลย... เมื่อกี้นี้เลย”
จุ๊ยเลื่อนขึ้นไปดู
เป็นภาพเขายืนอยู่กับพวกเพื่อนๆ
“กูว่ามึงมีสโตรกเกอร์วะ  ใครสักคนนี่หล่ะรอบตัวเรา”  ปอว่า
“หรือว่าไอ้เดฟ” ก้องภพเสนอทฤษฏี
“ไม่น่านะ  เพราะไอ้เดฟมันไม่เห็นต้องแอบถ่ายรูป มันมาแนวลวนลามมากกว่า” ปอส่ายหน้าไม่เห็นด้วยกับก้องภพ
“อีกอย่าง  มันไม่อยู่ไปดูละครเวที กับพวกชมรมละครกับชมรมดนตรีไทย” อ๊อตกล่าวสนับสนุน
แต่จุ๊ยหันมามองหน้า
“มึงรู้ได้ไง”
“ก็กู..” อ๊อดเหมือนจะพูดไม่ออก 
“ก็เห็นป้ายประกาศหน้าห้องอำนายการ”
จุ๊ยยังสงสัย
“อ๊อดพักนี้มึงแปลกๆรีเปล่าวะ  กูว่ามึงชอบหายไปเวลาเช้าๆ กับเที่ยง  ไม่ค่อยไปกินข้าวกับพวกกู”
อ๊อดอึ้ง  กำลังหาคำตอบแก้ตัว
“จุ๊ย อ๊อด” ฮ้อยเดินหน้าเครียดเข้ามา
“มึงสองคนมานี่หน่อย  มีเรื่องด่วน”

จุ๊ยเดาไว้ว่าเป็นเรื่องของวงโยธวาทิตแน่นอน เพราะมีแค่สิ่งนี้ที่จุ๊ย ฮอยและอ็อดต้องรับผิดชอบร่วมกัน
“สปอร์นเซอร์เขาส่งหนังสือมาขอโทษ  ว่าเขาจะต้องถอนตัว เพราะเขาล้มละลาย” อาจารย์อติบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีไม่แพ้ลูกศิษย์
“แปลว่าถึงพรุ่งนี้เราจะชนะ เราก็อาจไม่ได้ไปแข่งที่ต่างประเทศ” อ๊อตกล่าวแบบสรุป
ทุกคนหันมามอง
“ใช่ เพราะเงินทุนมันจะไม่พอ โรงเรียนก็เอางบไปสนับสนุนชมรมอื่นหมดแล้ว เพราะตอนนี้ชมรมละครก็มีผลงานดี จากหนังสั้นที่ได้รางวัล แล้วกำลังจะได้ไปฉายที่ต่างประเทศ  ชมรมวิทย์ก็พึ่งชนะประกวดโครงการจะได้ไปญี่ปุ่น  ยังจะพวกชมรมกีฬาที่ได้เขารอบลึกๆ  คือตอนนี้เหมือนทุกชมรมของโรงเรียนจะมีผลงานกันหมดเลย” อาจารย์อติเคาะนิ้วพลางกล่าว
“ส่วนเรามีสปอร์นเซอร์รายนี้สนับสนุนมาหลายปี  เขาก็ไม่เคยมีปัญหาการเงิน  ไม่นึกว่ามีทีเดียวจะถึงขนาดล้ม “
“แถมล้มตอนที่เราก็คงหามาแทนยากด้วย เพราะเวลาจำกัด” ฮ้อยกอดอก
“แล้วเราจะเอาไงกันดี”
“ครูจะไปบอกพวกน้องๆให้ทำใจล่วงหน้า  แต่ก็ยังพอมีทาง  เพราะยังไงก็ยังพอมีเวลานะ” อาจารย์อติเสนอตัวในสิ่งที่ยากลำบากที่สุด
ทุกคนหันมาหาจุ๊ย  เพราะจุ๊ยยังไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่แรก
“ไม่ครับ” จุ๊ยตอบออกมา
ดวงตามักจะแจ่มใสขี้เล่นกลับฉายแววมุ่งมั่นออกมาอย่างแรงกล้า  เป็นสายตาเดียวกับเวลาที่จุ๊ยมองขึ้นไปบนสแตนเวลาเป็นผู้นำในการแสดง
“ผมจะทำทุกอย่างให้น้องๆได้ไป  ผมต้องการให้เขาได้สัมผัสกับประสบการณ์นั้น  ผมอยากเห็นเขาเติบโตในเส้นทางดนตรีที่พวกเขาใฝ่ฝัน “
จุ๊ยมองหน้าอาจารย์
“ผมไม่อยากเสียใครสักคนไปเพราะความผิดหวัง เพราะนี่อาจหมายถึงการที่เขาอาจเลิกเล่นไปเลย  ผมไม่อยากให้ดนตรีที่ทำให้ทุกคนรวมตัวกันกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนผิดหวัง”
“แต่” อติประสานมือแล้วโน้มตัวมาข้างหน้า
“จุ๊ยก็เคยพูดบ่อยๆเวลารอผลตัดสิน ว่าคนเราหลีกเลี่ยงจากความผิดหวังไม่ได้  โดยเฉพาะเวลาที่การตัดสินใจอยู่กับคนอื่น”
“ครับผมเข้าใจ”  จุ๊ยตอบกลับ  แล้วเขาก็ยิ้มออกมา
“แต่เรายังไม่ได้พยายามกันถึงที่สุดนี่ครับ  เรายังพอมีทาง  ครูก็พูดเองเมื่อครู่”
“แม้ทางที่ว่าจะยากหรือแคบ  แต่ผมจะต้องทำให้สำเร็จ ผมขออย่างเดียวอย่าให้พวกน้องรู้ พวกเขายังต้องซ้อม ยังต้องฝึกอีกมาก  ไม่ใช่แค่พรุ่งนี้  แต่จนกว่าจะได้แสดงที่ต่างประเทศ”
อติรู้สึกสองอย่างใจตอนนี้ คือ รู้สึกทึ่งในความตั้งใจและกำลังใจของลูกศิษย์คนโปรด  แต่เขาก็อายตัวเองที่ไม่สามารถคิดบวกได้อย่างจุ๊ย
อ็อดเอื้อมมือมากอดคอจุ๊ย
“ผมก็เหมือนกัน  ผมจะสู้จนกว่าจะนาทีสุดท้าย”
ฮ้อยก็โอบก็เช่นกัน
“ครับเราจะทำให้น้องๆไปอย่างที่เราเคยมีโอกาส และทำให้เราเติบโตในเส้นทางสายนี้”
อติอยากจะลุกขึ้นไปร่วมกอดคอกับสามสหายแห่งวงโยธวาทิต ก็สมแล้วที่เขาฝากความไว้วางใจทั้งหมดให้สามคนนี้ดูแล  นี่คือสิ่งที่บอกว่าเขาคิดไม่ผิด
“ตกลง  ครูเชื่อใจพวกเธอ”
ที่นอกห้องวาทิตยืนกำหมัดแน่น  เขาต้องใช้มือข้างหนึ่งปาดน้ำตาที่เกิดจากความซาบซึ้งใจออก  แล้วเขาก็เดินไป
“ผมก็จะช่วยพี่ๆเหมือนกัน”
 
“ว่าแต่เราจะทำยังไง” สามคนมาสุมหัวกันหลังในช่วงเที่ยง พวกเขาไม่บอกคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเพราะกลัวช่าวจะรั่วไปถึงหูน้องๆ
“พูดไปอย่างนั้น  แต่คิดไม่ออกว่าจะเอาเงินสองสามล้านมาจากไหนได้” อ็อดกอดเขามองลงไปในบ่อน้ำเล็กของสวนหย่อม
ปลานิลตัวโตก็มองกลับขึ้นมาด้วยความหวังจะได้อะไรกิน
“ถ้ากูบอกอีพ่อกู  ก็อาจได้มาสักสองแสน  แต่มากกว่านั้นคงไม่ได้” ฮ้อยกล่าว  เขาเป็นลูกอดีตตระกูลนายฮ้อยที่ต้อนวัวควายไปขายตามถิ่นต่างๆ  ปัจจุบันประกอบธุรกิจค้าเนื้อสัตว์
“กูจะแดกยังต้องคิด  เงินที่ใช้อยู่ทุกวันก็เบี้ยเลี้ยงวงโย  คงไม่มีปัญญา” อ๊อดกล่าว
จุ๊ยตบบ่าอ๊อตเบาเชิงบอกว่าเข้าใจ
“คงต้องแสดงเปิดหมวกหล่ะวะ” จุ๊ยตอบหนทางสุดท้าย 
“เราสามคนก็คงต้องไปแสดงเปิดหมวก  แต่ต้องเลือกที่เลือกเวลา เพราะไม่อย่างนั้นไอ้น้องเรามันไปเจอมันจะสงสัย”
“ก็เอาวันที่พวกมันต้องซ้อมกันไง  กูหรือไม่ก็ไอ้อ็อดอยู่คุมวง  ส่วนมึงแน่นอนต้องเป็นคนไปเล่น  เพราะคงต้องอาศัยความสามารถมึงแล้วล่ะ  ไม่อย่างนั้นคงจะทำให้คนเขาเชื่อไม่ได้ว่าวงเราฝีมือดี” ฮอยเสนอ
“ก็ตามนั้น”  จุ๊ยผงกหัว แล้วก้มหน้าลงมองเป้ากางเกงตัวเอง
“ถ้าไม่พอกูจะไปยืนแอ่นแถววังสราญรมภ์  ขายน้ำขายตูดแม่งเลย”
ฮ้อยหัวเราะหึๆ
“ก็คงได้หรอก  ตูดขาวๆ ไข่ขาวๆ คงพอได้ราคา”
“กูขาวพอใช้ เดี่ยวกูไปด้วย” อ็อดว่าแล้วนอนลงบนตักจุ๊ยเงยมองหน้าเพื่อน
“สองคนคนละหลายๆน้ำคงได้หลายอยู่”
จุ๊ยมองหน้าอ๊อดก่อนไสหัวมันออก
“มึงจะทดสอบสินค้าก่อนหรือไง  นอนหนุนของกูเนี่ย  ประเดี่ยวก็ถอดให้อมเลย”
“เอออ ก็ดีนะ สร้างความคุ้นเคยก่อนไง” อ็อดที่ร่วงไปบนพื้นลุกมาคุกเข่าท่าหมาจ่อหน้าตรงเป้าจุ๊ย
“ดีงั้นตอนนี้เลย  ของกำลังขึ้นพอดี” แล้วจุ๊ยก็กดหน้าอ๊อดใส่เป้าตัวเอง แต่กดแบบเต็มแรงกะให้ตายคามือ
อ็อดดิ้นขลุกขลักก่อนจะหลุดไปได้  ลงไปนั้งพับเพียบส่งสายตาหวานเยิ้ม
“โอยๆ เบาสิค่ะเฮีย หนูหายใจไม่ออก”
ฮอยหัวเราะจนเกือบตกบ่อปลา 
วรรณารู้สึกอายแทนกับการเล่นกันลามกของลูกศิษย์  แต่เธอก็รู้สึกดีที่ได้เห็นสามคนยังมีกำลังใจเต็มเปี่ยม
เธอรู้เรื่องจากอาจารย์อติเมื่อตอนสายๆ  คิดจะมาคุยกับเด็กๆเพื่อให้กำลังใจ
เห็นอย่างนี้แล้วคงไม่ต้อง  ดังนั้นเธอจึงบอกตัวเองว่าสิ่งที่ต้องทำยังมีอีกมากเพื่อช่วยเหลือพวกเขาจึงเดินจากออกมาเงียบๆ แต่กำหมัดเรียกกำลังใจตัวเอง
อติยืนอยู่ในอีกด้านเห็นวรรณาเดินไป เขาก็กอดอกมองตาม  แล้วก็กลับหลังหัน
“เราก็เหมือนกันอติ” เขาบอกกับตัวเอง


ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 12 ด้วยพลังแห่งดนตรี และร่วมแรงร่วมใจ
บรรยากาศ การประกวดวงโยธวาทิตสนามนี้ เหมือนเป็นการตัดสินวงที่ดีที่สุดในประเทศไทย เพราะเป็นการปะทะกันของวงโยธวาทิตทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย  และมีรางวัลเป็นถ้วยทรงเกียรติ กับสิทธิที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไปแข่งขันต่างประเทศซึ่งเป็นเดิมพันใหญ่
“ปีนี้วงจาก...” แล้วก็ออกชื่อโรงเรียนชายล้วนใหญ่ที่ชนะเลิศปีที่แล้ว
“เด็กคนนั้นไม่ได้เล่นเองแล้วนี่  ก็อยากจะรู้ว่าจะเอาอะไรมาสะกดจิตกรรมการ”
ที่พูดนี้คือกรรมการคนหนึ่งสนทนากันหมู่
“นทีธารน่ะเหรอ แต่เด็กคนนั้นก็สะกดจิตเราจริงๆนะ  เสียงแซกของเขา  ปลายๆเสียงมันวิ่งจี๊ดเข้านี่เลย... ผมเกือบหัวใจวายตาย” อีกกรรมการอีกท่านพูดทำท่าจับหัวใจ
“เห็น ครูอติบอกว่าเปลี่ยนมาขายความพร้อมเพรียง เอาระบบเก่าๆมาสู้ แต่เน้นมากๆ อันนี้เป็นไอเดียของนายนทีธารเองเลยนะ” กรรมการอีกคนที่สนิทสนมกับครูผู้ฝีกสอนกล่าว
“ก็จะรอดู”
 
จุ๊ยกวาดตามองทุกคนที่อยู่ตรงหน้า หันสอบตากับอ็อดและฮอย
“ขอบใจที่ทุกฝ่าฟันกันเข้ามาได้  ถึงเราจะมาได้ถึงรอบชิงแต่เรายังมาได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น  และต่อให้เราจะชนะวันนี้ก็ยังแค่ครึ่งทาง  แม้แต่พี่เองก็แค่ครึ่งทาง  เพราะความฝันของพวกเราคือการยืนอยู่บนสายทางของดนตรีที่เรารัก” จุ๊ยกล่าว แววตาฉาบไปด้วยความมุ่งมั่น
“แต่ถึงจะเป็นครึ่งทาง  พวกเราก็ต้องทำให้มันดีที่สุด เพราะทุกย่างก้าวของเราสำคัญ  ตอนที่พี่เรียนดนตรีใหม่ๆ อาจารย์ของพี่คนแรก  เคยบอกเขาว่า  เส้นทางสายดนตรีไม่เคยมีจุดสูงสุด แต่มันจะสูงไปเรื่อยๆตราบเท่าที่เรายังเดินไปกับมัน  ดังนั้น...”
จุ๊ยมองไปทั่วๆ แล้วหยุดที่วาทิต
“แม้เราจะอ่อนแอ แต่เราจะไม่ท้อ”
จากนั้นก็มองมาที่อู๊ด
“แม้เราจะเข้มแข็งเราก็ต้องไม่ประมาท”
แล้วมองไปตรงไป
“เราจะสร้างทุกย่างก้าวด้วยความมั่นคง มั่นใจ  และทำทุกก้าวของเราให้ดีที่สุด”
วาทิตมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่เต้นระรัว... พี่จุ๊ยของเขา
 
วรรณามองลงไปในสนามการแสดงของลูกศิษย์ของเธอกำลังจะเริ่ม
จุ๊ยอยู่ที่ข้างสนามยืนเอามือไขว้หลังอย่างมาดมั่น โดยมีสองสหายสนิทยืนอยู่ใกล้ๆ
แล้วก็เริ่มต้น  เสียงรัวกลองที่ดังพร้อมเพรียง กึกก้องสะท้อนและราวจะสั่นสนามให้ไหวได้  เครื่องเป่าพร้อมประโคมอย่างมั่นคงมั่นใจ  เครื่องสายเครื่องเคาะทุกอย่างประสานกันอย่างลงตัว
แม้ จะเคลื่อนที่ แปรขบวน ความพร้อมเพรียงและแม่นยำก็ไม่ลดไป ทุกคนก้าวไปจุดที่ตัวเองซ้อมมาเป็นพันๆครั้ง ทุกคนรักษาพื้นที่ตัวเองอย่างดีที่สุด
ทุกคนตระหนักดีว่าพวกเขาคือส่วนหนึ่งของวง...
ไม่มีดรัมเมเยอร์หรือแม้แต่การแสดงอื่นประกอบ เป็นการแสดงของวงโยธวาทิตล้วนๆ 
แสดงออกถึงพลังอย่างเต็มที  แม้เหงื่อจะโทรมกาย และแม้จะเหนื่อยล้า  วาทิตก็ตั้งใจแสดง  เขาจะให้ทุกคนรู้ว่าเขาไม่อ่อนแอ และเขาได้รับการฝึกสอนมาจากใคร
“นี่มัน” กรรมการท่านหนึ่งพึมพำ
“วงโยธวาทิตจริงๆนั้นหล่ะ  นี่หล่ะวงโยธวาทิต”

จุ๊ยยืนมองน้องๆในชุดเครื่องแต่งกายเรียบๆ เดินและเล่นดนตรีกันอย่างเป็นแบบแผน 
เขาก็อยากจะรู้ว่าเขาคิดถูกหรือคิดผิดที่ออกแบบการแสดงออกมาแบบนี้  ไม่ใช่ว่าเขาจะดูหมิ่นการแสดงประกอบ  แต่เขาต้องการบอกให้รู้ว่าพลังของวงโยธวาทิตไม่ใช่มีแค่การเต้นการลีลาศ หรือสีสันสวยงาม  แต่มันคือพลังของเสียงดนตรี และความพร้อมเพรียงของนักดนตรีด้วย
เขาพิสูจน์มันมาเกือบทุกเวที  และนี่คือเวทีที่สำคัญที่สุด 
“น้องมันตั้งใจผิดปกติหรือเปล่าวะจุ๊ย”  ฮอยกระซิบ
“จะว่าไปตั้งแต่รอบแรกกูยังไม่ได้ยินพวกมันบ่นเลยสักคำนะเนี่ย”  อ็อตสนับสนุน
จุ๊ยมองไปตรงๆ 
ชอบใจ.. นะทุกคน  ไม่ชนะก็ไม่เป็นไร ขอบใจมาก
 
ทุกวงจากทุกโรงเรียนเดินพาเรดกลับเข้าสนามมาอีกครั้ง  แล้วมายืนรอการประกาศผล
ซึ่งก็ประกาศไปแล้วสองรางวัล  มาถึงรางวัลสุดท้ายซึ่งก็คือรางวัลชนะเลิศ จุ๊ยที่ตอนนี้ลงมายืนในสนามด้วยถึงกับมือเย็น
เขามองนิ่งที่สแตนท์  นึกไปถึงเมื่อปีที่แล้ว  เขาก็ยืนอยู่ในสนามแบบนี้  แต่ไม่ใช่แค่ผู้ควบคุมวง  แต่เป็นผู้แสดงเอง
“ก่อนที่เราจะประกาศรางวัลชนะเลิศ  ประธานคณะกรรมการตัดสินมีเรื่องจะกล่าวค่ะ” พิธีกรบอก
แล้วประธานผู้ตัดสินก็ก้าวเข้ามา  โด้งให้ประธานในพิธี
“กราบเรียนท่านประธาน ผมในฐานะประธานการตัดสิน ขออนุญาตกราบเรียนว่า  ตลอดหลายปีที่เราได้จัดให้มีการประกวดวงโยธวาทิต  การประกวดมีการพัฒนาไปมาก มีการแสดงสวยงาม และน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง  แสดงออกถึงความตั้งใจจริงของบรรดาผู้เขาประกวด และทีมงานผู้อยู่เบื้องหลัง” แล้วท่านก็วรรค
“แต่นี่คือการประกวดวงดนตรี  เราลืมไม่ได้ว่าดนตรีคือหัวใจหลักของการแสดง  ดังนั้นในปีนี้  ผมขออนุญาตใช้ดนตรีเป็นเครื่องตัดสินหลัก”
อ็อดหันมองหน้าจุ๊ย
“แต่แม้ผลการตัดสินเป็นเช่นไร  ก็ขอให้ทุกคนรักษาความตั้งใจอย่าให้เลือนหาย  พวกคุณได้ใช้ความสามารถทุกด้านอย่างดีแล้ว เพียงแต่ว่า  วันนี้ คณะกรรมการ โดยเฉพาะตัวกระผมเองที่เกี่ยวข้องกับการดนตรีโดยตรงต้องตัดสินใจออกมาอย่าง เป็นเอกฉันท์ ด้วยพลังและความสามารถที่วงที่ได้รับรางวัลแสดงออก  พวกเราจึงขอตัดสินใจเลือกให้พวกเขาเป็นผู้ชนะเช่นนี้ ขอบคุณครับ”
แล้วพิธีกรสองหญิงชายก็ก้าวขี้นมา
“รางวัลชนะเลิศการประกวดวงโยธวาทิตชิงถ้วยประเทศไทยได้แก่ ได้แก่”
สนามเงียบ
พิธีกรประกาศชื่อออกมา  แต่จุ๊ยหูชาไปเสียแล้ว  เขาหันหลังไปมองเห็นน้องกระโดดขี้นสุดตัว  อ๊อดกับฮอยก็กระโดดกอดและเขย่าตัวเขาอย่างแรง
ที่น่าประทับใจคือแม้คู่แข่งก็หันมาปรบมือให้พวกเขาอย่างพร้อมเพรียง
จุ๊ยกำกับน้องๆให้เก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย เพราะถ้าปล่อยไปเดี่ยวจะดีใจเกินไปจนข้าวของหาย
“เฮ้ยจุ๊ย” ฮ้อยหยุดมือที่ช่วยน้องแยกส่วนฮอนเพื่อเก็บ
“ไอ้ไก่”
จุ๊ยหันไป
 “นี่ไม่ว่ากูจะอยู่ที่ไหน ก็แพ้มึงทุกทีสินะ” ไก่ในชุดนักดนตรีกล่าว  เข้าท้าวแขนกับราวของอัฒจันทร์
“บ้าน่า กูเคยคิดจะแข่งกับมึงที่ไหน” จุ๊ยตอบ แล้วตบบ่ามัน
“เราฝึกด้วยกัน เล่นเครื่องดนตรีอย่างเดียวกัน  เราคือทีมเดียวกันมาโดยตลอดต่างหาก”
ไก่เหลือบตามองจุ๊ย
“ยังโกรธกูหรือเปล่าวะเรื่องนั้น”
จุ๊ยนิ่ง
“ไม่แล้วล่ะ  ไม่อย่างนั้นกูจะมายืนคุยกับมึงอยู่นี่หรอ”
“แต่กูยังโกรธตัวเอง” ไก่บอกออกไป
“กูก็ไม่ควรพูดรึเปล่าวะ  ถ้ากูไม่พูด ไม่เอาเล่าเป็นมุขตลกในโต๊ะอาหาร  ทุกอย่างก็ไม่เป็นอย่างนี้”
“กูถึงได้ลาออกจากโรงเรียน  แต่มีงรู้ไหม  ต่อให้กูไปไหน  เหมือนผีพี่ไตรก็ยังตามไปหลอกกูอยู่  กูไม่เล่นแซกแล้วจุ๊ย  เพราะเวลากูเล่นกูนึกถึงพี่เขา”
ไก่หันมามองจุ๊ย  นึกอยากจะมีโทรจิตเขาจะได้อ่านออกว่าสายตาที่มองตรงไปของจุ๊ยมันหมายถึงอะไร
“แล้วตอนนี้มึงเล่นอะไร”
“กูกลับไปเป่าไคลิเนต บางทีก็โอโป” ไก่ตอบ
จุ๊ยหัวเราะหึๆ
“มึงก็ทิ้งแซกไม่ลงอยู่ดี  ไม่อย่างนั้นมึงคงไปเล่นเครื่องสายหรือเครื่องเคาะแล้วหล่ะ”
ไก่อึ้งนิ่ง
ไก่เคยเรียนที่เดียวกับจุ๊ย  แต่เพราะเหตุการณ์หนึ่งที่ไก่คิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ ไก่จึงลาออกไปตอนจบม.สี่  สมัยก่อนเขากับจุ๊ยถือเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนกับจุ๊ยกับอ๊อตตอนนี้ เพราะจริงแล้วอ๊อดคือเด็กที่เข้ามาใหม่ตอนม.ปลาย  แต่จุ๊ยกับไก่เป็นคู่หูกันมาโดยตลอดตั้งแต่ม.หนึ่ง
“กูว่า” จุ๊ยโอบไหล่ไก่อย่างสนิท
“มึงเลิกฝืนตัวเองเถอะ  นอกจากพี่ไตร ก็มีมึงนี่ล่ะที่เล่นเข้าขากับกู  ถ้าคนอื่นเขาชมกูอย่างนั้นอย่างนี้  มึงก็ถือว่าควรเป็นคนที่ถูกชมเหมือนกันไม่ใช่เหรอ  อีกอย่างถ้ามึงคิดว่านี่คือการไว้อาลัย หรือการแสดงความเสียใจ  กูว่ามึงผิดละ  มึงลืมไปแล้วมั๊งว่าคนที่คอยเคี่ยวพวกเราคือพี่ไตร  พี่ไตรคงอยากให้มึงกลับมาเล่นมากกว่า  เลิกเล่น” 
แล้วจุ๊ยก็ปล่อยมือ หันมาเผชิญหน้ากับไก่
“มึงจำไว้  กูรู้จักพี่ไตรดี  พี่ไตรไม่มีทางอยากให้เด็กที่เขาเคี่ยวเข็ญทิ้งสิ่งที่เขาสอนเด็ดขาด  มึงเชื่อกูสิ”
ไก่ประสานตากับจุ๊ยโดยไม่อาจหลบได้ จนกระทั้งจุ๊ยเป็นฝ่ายหันไปเอง
“มึงก็เล่นดีนี่” จุ๊ยกล่าว
“กูแอบดูอยู่”
“หึ แต่ก็แพ้พลังของน้องๆมึง  โคตรตะลึงเลยว่ะ  ใครคิดตีมนี้ มึงรึว่าครูอติ” ไก่ส่ายหน้ากล่าว แล้วก็ถาม
“ตอนน้องมึงรัวกลอง  แมร่งยังกับกลองสงคราม  กูนี่รู้สึกอย่างกับยืนบนกำแพงเมือง แล้วข้าศึกมาล้อม เครื่องเป่าแมร่งก็ชัดเจนสุดๆ เหมือนมาเป่าข้างหู เครื่องสายก็เปะสุดๆ  เดินก็อย่างกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำ เป๊ะซะจนกูหาคนผิดตำแหน่งไม่เจอ  พวกมันเล่นกันตั้งใจจริงๆ  พวกกูใส่ไปร้อย  น้องมึงใส่ไปร้อยห้าสิบ ก็แพ้อยู่แล้วล่ะ”
จุ๊ยยิ้มแล้วเอี่ยวหน้าเข้ามา
“มึงอยากรู้เคล็ดลับไหม”
ไก่มองหน้าจุ๊ย
“อะไรของมึง”
“กูแอบหยอดยาบ้าลงไปในน้ำที่พวกมันกินกัน”
“ไอ้สัตว์” ไก่ผลักหัวจุ๊ย
“ถ้าพร้อมขนาดนั้นกูว่ามึงเอายาสั่งลงไปมากกว่ามั้ง  สั่งหันซ้ายแม่งก็หัน หันขวาแม่งก็หันซะอย่างนั้น”
“ใครบอกกูแอบฝั่งชิพใส่สมองพวกมัน  แล้วเอารีโมทกดเอา”
“อ้าว กูก็นีกว่ามึงเอาปราสิตแพร่เข้าสมองพวกมันแล้วสั่ง”
“เฮ้ยไม่ใช่ รีโมทธรรมดานี่หล่ะ”
“อ้าวนึกว่าจอยเกมส์”
“ใช่ที่ไหนรีโมททีวีนี่หล่ะ”
“เฮ้ยเดียวนี้เขา เซตอับบ๊อกซ์ ทีวีดิจิตอลมีงหลังเขาเปล่าวะจุ๊ย”
“อ้าวก็อยู่หน้าบ้านมึงนิดนึงนั้นล่ะ แหม่ทำเป็นพูด”
ฮอยมองภาพนั้นจากจุดที่ห่างไปพอสมควร  เขาอดอมยิ้มไม่ได้
 
ผ่านช่วงเวลาที่หวานชื่น  สามหนุ่มก็ต้องกลับมาเผชิญกับความจริง  วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันซ้อมใหญ่ประจำสัปดาห์  แต่จุ๊ยมอบหมายให้ฮ้อยเป็นคนดูแลน้องๆซ้อม  ส่วนเขาอ็อดก็หิ้วเครื่องดนตรีส่วนตัวมาที่หน้าหอศิลป์กรุงเทพมหานคร 
“อายเหมือนกันนะเนี่ย” ฮ๊อดบ่นแล้วมองไปบนทางเดินสกายยวอร์คของสถานีรถไฟฟ้า
“เฮ้ยเพื่อน้อง ท่องไว้เพื่อน้อง เพื่อน้อง เพื่อน้อง”
อีอดก็ท่องตาม
“เพื่อ น้อง เพื่อน้อง เพื่อน้อง...เอาเว้ยเพื่อน้อง” เขาตะโกนแล้วชูกำปั้นหันมานึกว่าจะเจอจุ๊ยยืนอยู่ด้วย แต่กลายเป็นว่าจุ๊ยเดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
เขาก็เลยกลายเป็นเป้าเดี่ยวให้คนที่ผ่านไปผ่านมอง
“ไอ้เหี้ยจุ๊ย” เขาพึมพำตอนซ่อนหน้าหลังกล่องไวโอลิน
 
ฮอยเดินควงไม้กลองตามตึก พลางฮัมเพลงเบาๆ 
“ป่านนี้ไอ้สองคนนั้นจะเป็นยังไงบ้างว๊า” เขาบ่นก่อนจะหยุด  สูดลมหายใจลึกๆ  ระหว่างนึกว่าจะบอกน้องๆยังไงที่จุ๊ยคนที่ไม่เคยขาดซ้อมเลยสักครั้งหายไป
แต่พอเข้ามา  ห้องคนตรีว่างเปล่า  ว่างเปล่าจริงๆ  ไม่ใช่ไม่มีแค่น้องๆ  แต่เครื่องดนตรีมูลค่ารวมกันหลายล้านก็หายไปด้วย
“เฮ้ย...เราโดนยกเค้ารีเปล่าวะเนี่ย”
แล้วเขาก็วิ่งไป
“ช่วยด้วยยามหมูวงโยโคนยกเค้า”
 
ตกลงเพลงกันได้สองสหายก็เตรียมเครื่องดนตรีให้พร้อม
“อ้าวจุ๊ย” เสียงเรียกทำให้หยุด
“มาทำไรกันวะ” ก้องภพมากอดคอ  เขาไม่ได้มาคนเดียวแต่มากับเพื่อนในชมรมศิลปะอีกหลายคนเดินมาล้อมพวกเขาไว้
จุ๊ยกับอ๊อดมองหน้ากัน
“มาเล่นเปิดหมวก” จุ๊ยตอบตามตรง แต่บิดวัตถุประสงค์นิดหน่อย
“กูกับไอ้อ็อดจะมาเล่นเปิดหมวกหาเงินพาน้องไปเลี้ยง เพราะพวกกูยังไม่ได้เลี้ยงพวกมันเลย”
“อ้อเหรอ พวกกูมาขายเสื้อหวะ” ก้องภพดึงเสื้อที่ใส่ให้ดู เป็นลายสกรีนเขียนว่า
“Victory is the goal, but enjoying the game is the prize”
“เหม่เก๋ดีวะ ชัยชนะคือเป้าหมาย แต่การสนุกกับเกมคือรางวัล  ลึกนะเนี่ยใครคิดวะ” จุ๊ยถาม
“มึง” ก้องภพตอบคำเดียว
จุ๊ยขมวดคิ้ว
“กู... คิดตอนไหน”
“เออมึงคิด”  ก้องภพตอบ
“เอ้าเล่นสิ กูจะขายเสื้อตรงนี้  เอาให้เต็มที่  เอาเสียงแซกสะกดโลกของมึงเรียกคนให้กูหน่อย”
จุ๊ยกับอ็อดมองหน้ากัน
“เอ้าเล่นก็เล่น  แต่มึงขายเสื้อไป อย่ามายุ่งกับกล่องรับบริจาคกูนะเว้ย” จุ๊ยพูดแล้ววางกล่องลงตรงพื้นข้างหน้า
“เฮ้ยจุ๊ย” เสียงเรียกจากด้านบน

จุ๊ยเงยหน้า  บนสกายวอร์กตั้มกับปอที่เป็นนักฟุตบอลโรงเรียนก็ยืนอยุ่ด้านบนโบกมือมา  ไม่ได้มาแค่สองคนแต่มากันยกทีม อยู่ในชุดแช่งแต่ถือลูกบอลมาคนละลูก
“แล้วพวกมันมาทำไมกัน” จุ๊ยหันมาถามกับก้องภพ
“ก็มาเดาะบอล โชว์เปิดหมวก คล้ายกับมึง”
“เพื่ออะไรวะ” อ๊อดเกาหัว
“ชมรมฟุตบอลได้งบเต็มอยู่แล้ว”
ก้องภพโบกมือ
“ก็มันไม่พอ  ต้องหาเพิ่ม พวกมึงเล่นไปเหอะ  ดีเลยจะได้ช่วยๆกันเรียกคน  คนมามุงเยอะกูจะได้ขายเสื้อดีๆ”
จุ๊ยกับอ็อดมองหน้ากันอีกรอบ  แต่ก็ตัดสินใจเริ่มต้น
จุ๊ยเริ่มเป่าก่อน เพราะเป็นเพลงที่แซกโซโฟนเป็นเสียงนำ  เสียงแซกโซโฟนของจุ๊ยหยุดคนได้เหมือนเดิม  คนเป็นจำนวนมากเดินมามุงกันตั้งที่จุ๊ยเล่นไปได้แค่ไม่ถึงนาที
แล้วก็ถึงตาอ็อด ซึ่งจริงๆถ้าเป็นวงดนครีก็คือดนตรีทั้งหมดบรรเลง
อ็อดหลับตาแล้วสีโน้ตแรกออกไป
แต่เสียงที่ดังกระหึ่มกลายเป็นเครื่องดนตรีนานาชนิด
จุ๊ยกับอ็อดไม่ได้หยุดเล่น ด้วยความที่ฝึกฝนมาอย่างดี  แต่หันกลับมา
เด็กชมรมศิลปะที่บังอยู่ก็ถอยออกไป
ที่เห็นคือวงโยธวาทิตทั้งวงของกำลังบรรเลงเพลงอย่างเต็มที่และตั้งใจ
พอหมดท่อนแซกโซโฟน หากเป็นการเล่นคู่จะเป็นไวโอลีนที่เล่นเดียว  แต่นี่ทั้งวงก็เลยกลายเป็นบรรดาเครื่องสายทั้งหมด
จุ๊ยกวาดตาไปรอบสถานที่ เขาจึงได้เห็นเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกำลัง ถือป้ายที่มีคำจั่วหัวว่า
“Victory is the goal, but enjoying the game is the prize” และเชิญชวนให้คนบริจาคเงิน  บ้างขายเสื้อบ้าง ขายขนมบ้างให้กับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาในบริเวณนั้น
ไม่ห่างไปเดฟยืนโพสท่าเซลฟี่กับเด็กสาวๆหลายคน เสร็จแล้วก็ยกกล่องให้บริจาค  สมาชิกชมรมฟุตบอลก็เดาะบอลกันอย่างขมันขมีเพื่อเรียกให้คนบริจาคเงิน
ครูวรรณากับครูอติก็ยังมาช่วยขายเสื้อด้วย..
จุ๊ยไม่รู้ว่าน้ำตามันร่วงลงตอนไหน  แต่รู้ตัวตอนที่เดฟเดินมาซับให้
“อย่าร้องไห้สิ  ทุกคนมาข่วยจุ๊ยแล้วไง”
จุ๊ยยิ้มแล้วตะโกนออกไป
“ขอบคุณมากทุกคน”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 13 ความในใจของจุ๊ย   
โยชิถูกเรียกออกมาจากงานงานอีเว้นเพราะความครึกครื้นอย่างฉับพลันที่เกิดขึ้นซึ่งดึงคนที่มางานให้ไปหาแทนจะมาสนใจดูเขาเปิดตัวสินค้า
“รู้สึกเขาระดมทุนช่วยวงโยธวาทิตที่ชนะเลิศให้ได้ไปแข่งที่ต่างประเทศนะ” ผู้จัดการบอกแก่เขา
โยชิพยักหน้าช้าๆ
เขาเหลือบไปเห็นนักข่าวที่มาทำข่าวเขาเมื่อครู่ทยอยกันเดินออกมาจากงาน
มองอีกทางเห็นเด็กนักเรียนสองคนกับป้ายเดินมา
เขาก็เกิดความคิด
“น้องๆพี่ขอยืมหน่อย” เขาเดินไปขอป้ายจากเด็กนักเรียนสองคน
แล้วเดินไปหากลุ่มนักข่าว
“พี่ๆครับ”
 
หลังปล่อยให้น้องๆกลับบ้านไปแล้วก็เหลือแต่พวกประธานชมรมและหัวหน้าทีมมารวมตัวกันนับเงินอยู่ภายในร้านอาหารฟาตฟู๊ดชื่อดัง
แม้ตัวเลขไม่ได้สูงมากพอจะน่าทำให้จุ๊ยยิ้มออกได้  ทว่าเขาก็ยังยิ้มได้เพราะพวกเพื่อนๆ
“ก็ได้แค่นี้หล่ะ หรือว่าเราจะจัดอีกรอบ”  ก้องภพกล่าวแก่ทุกคน
“ยังขาดอีกเป็นล้านนี่น่า” เดฟกอดอก แต่เอนไปซบไหล่จุ๊ย
“เราเต็มที่แล้วนะจุ๊ย  ได้แค่นี้เอง”
จุ๊ยไม่ได้ว่าอะไรปล่อยให้ซบอย่างนั้น
“เฮ้ยแค่นี่กูก็ซึ้งใจพวกนายแล้ว ก็ทำเต็มที่แล้วนี่หว่า  ขอบใจพวกนายมาก” จุ๊ยแจกคำขอบคุณให้ทั่ว
เดฟลุกนั่งตรง
“อันนี้จุ๊ยต้องขอบคุณน้องวา เมียน้อยของจุ๊ยนะครับ  เพราะน้องวาเขามาบอกผม ผมก็เลยไปรวมกำลังพวกนี้ๆๆๆๆ” เดฟชี้หน้าประธานและหัวหน้าทีมที่ละคน
“มาช่วย”
จุ๊ยหันมองวาทิตที่นั้งอยู่เกือบปลายโต๊ะที่ต่อออกไปจนยาวเหยียด
“วา” เขาลากเสียงเข้ม เปลี่ยนท่าทีไปในทันที
ทุกคนเงียบ งงกับท่าที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
“คือผมได้ยินที่พวกพี่คุยกับอาจารย์ก็เลยไปบอกเพื่อนๆในวง” วาทิตก้มหน้าตอบ เพราะคิดว่าอาจมีความผิดเนื่องจากจุ๊ยมีเจตนาไม่บอกพวกเขา
“พี่จุ๊ยอย่าดุผมนะครับ ผมแค่อยากจะช่วยบ้าง”
“เฮ้ยพี่จุ๊ย”  อู๊ดออกมาปกป้อง
“พวกเราก็อยากจะช่วยพวกพี่นะครับ  แล้วตอนแข่ง ที่พวกเราตั้งใจเป็นพิเศษก็เพราะเรื่องนี้ล่ะ  เราก็เลยชนะ”
“เออมึงดุน้องไม่ได้เว้ย  ถ้าพวกกูไม่รู้เรื่อง พวกกูก็ไม่ได้มา” ก้องภพสนับสนุนบ้าง
“ถ้ากลายเป็นว่ากูมารู้ทีหลังว่ามึงปิดเรื่องนี้กับพวกกู  กูเลิกคบจริงๆ  เพื่อนต้องช่วยกันยามยากสิวะ  จริงไหม”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
จุ๊ยโบกมือ
“พวกมึงนี่พอเลย  พวกมึงคิดรีเปล่าว่าถ้าหากผลเป็นด้านตรงข้าม  วงโยเสียกำลังใจ  แล้วตกรอบ  อย่าว่าแต่ไปต่างประเทศเลย  อะไรสักอย่างก็ไม่ได้”
ทุกคนมองหน้ากัน  ลืมคิดถึงข้อนี้กันทุกคน
“ก็จริงอยู่  แต่จุ๊ยก็เห็นเด็กพวกนี้มันรักจุ๊ย รักไอ้อ็อด รักไอ้ฮ้อย พวกมันก็เลยเล่นกันได้ดีขนาดนี้” เดฟแย้ง
อ็อดมองหน้าเดฟแล้วบ่นเบาๆ
“ทีไอ้จุ๊ยเรียกจุ๊ยๆซะหวาน ทีกูเรียกไอ้”
“ใช่จุ๊ย..” เจ้าของเสียคือประธานชมรมวิทยาศาสตร์
“เอาเหอะวะ  น้องมันหวังดี”
“ใช่จุ๊ย” คนออกเสียงคือประธานชมรมคหกรรม ดีดเสียงสูง
“ที่ฉันรากร่างลุกมาทำขนมตั้งแต่ตีสี่ก็เพราะเห็นแก่ความตั้งใจจริงของน้องๆนะยะ แล้วก็เห็นแก่ซิกแพค เอ้ยความดีของแกด้วย”
“ซิคแพครีความดี อีเหมียว” กัปตันทีมบาสแซวเพราะอยู่ใกล้ๆ
“ความดีสิ” ประธานคหกรรมตีไหล่
จุ๊ยโบกมืออีกรอบ
“เอาเป็นว่ากูขอบใจพวกมึง  พวกมึงดีกับกูกับชมรมกูมาก” จุ๊ยกล่าว
“แต่นี่มันเรื่องในชมรม  วามานี่”
วาทิตมองหน้าอู๊ดก่อนจะลุกมา
“อย่ารุนแรงนะพี่” อู๊ดกล่าวดักเสียก่อน
วาทิตเผชิญหน้ากับจุ๊ย 
เวลาจุ๊ยเอาจริงอ๊อดก็ไม่กล้าขัด เขาได้แต่นั่งก้มหน้า
“เราผิดรู้ไหม” จุ๊ยถาม
“ครับ” วาทิตตอบน้ำตาเริ่มซึมๆ
“อีจุ๊ยมึงก็” เหมียวกล่าวด้วยความสงสารน้อง
“เฮ้ยจุ๊ย” เดฟก็ห้ามแต่ไม่กล้าจะแตะตัวจุ๊ยเวลานี้
“ถ้าหากเราบอกแล้วเพื่อนเสียกำลังใจ ผลมันจะเลวร้ายมากเลย  พวกพี่กลัวตรงนี้กัน  พวกพี่ก็เลยไม่บอกพวกเรา  ไม่ใช่เพราะพวกพี่อยากทำเท่ห์หรอกอะไรนะ  ถ้าหากเราไม่ได้ถ้วยใหญ่ใบนี้ก็ไม่ควอลิไฟล์จะไปร่วมแข่ง  ต่อให้ไม่มีปัญหาเรื่องการเงินก็เถอะ” จุ๊ยกล่าวเสียงจริงจัง

ประธานและหัวหน้าทีมหันไปมองฮ้อยเหมือนจะถามว่าจริงไหม
ฮ้อยก็พยักหน้า
วาทิตน้ำตาร่วงแหมะ
“พรุ่งนี้วาต้องวิ่งรอบสนามสามรอบ เย็นสามรอบ ติดต่อกันจนกว่าจะไปแข่ง  เข้าใจไหม”
“ผมทำด้วย”อู๊ดลุกขึ้น เพราะผมก็ต้องรับผิดชอบกับวา เพราะ”
จุ๊ยหันมามองหน้า  อู๊ดถึงกับฟ่อนั่งลง
“อีกอย่างหนึ่ง” จุ๊ยหันหาวาทิตที่ก้มหน้าอยู่
“ต่อไปนี้วันเสาร์ วาต้องมาซ้อมกับพี่วันละสองชั่วโมงเป็นอย่างน้อย พี่จะสอนให้เราเล่นแซกโซโฟนสักที”
วาทิตเงยหน้าแต่น้ำตายังอาบอยู่
จุ๊ยยิ้มแล้วขยี้หัวเบาๆ ก่อนจะเช็ดน้ำตาให้
“พี่บอกแล้วไง  คนจะเล่นเครื่องเป่าต้องมีกำลังลม  ไม่วิ่งเข้าเย็นจะเอาลมมาจากไหน”
“โถไอ้จุ๊ย” เพื่อนประสานเสียงกัน แล้วระดมขว้างเฟรนฟรายใส่
จุ๊ยโอบวาทิตเข้ามาในลักษณะปกป้องจากกระสุนเฟรนฟราย
“กูก็นึกว่ามึงโกรธน้อง”
“ใช่ๆ”
“เนียนเลยนะไอ้จุ๊ย”

ก้องภพให้จุ๊ยกับอ็อดติดรถกลับบ้านด้วย เพราะยังไงก็ต้องผ่านทั้งบ้านของจุ๊ย และหอของอ๊อตอยู่แล้ว
“นี่มึงมีใบขับขี่ไหม” จุ๊ยถามมือก็ลื้อซีดีเพลง
“มีสิ... กูอายุสิบแปดแล้วจุ๊ย”
“อ้าวแก่” จุ๊ยว่าซี่งหน้า
“ไอ้เหี้ยกูแก่เดือน  กูเกิดวันที่สามมกรา  ก็ที่เลี้ยงวันนั้นไง” ก้องภพตอบ
มองไปเบาะหลังเห็นอ๊อดที่บอกจะเอนหลังหลับไปแล้ว
“มึงรู้รีเปล่าว่าทำไมกูถึงบอกว่าคำพูดนั้นเป็นของมึง  คำพูดบนเสื้อที่กูออกแบบน่ะ”
 “เออ.. ทำไมวะ” จุ๊ยถาม
“ก็คือคำพูดของมึงสองปีที่แล้วไงหน้าเสาธง” ก้องภพตอบ
“ตอนนั้นมึงเป็นตัวแทนไปแข่งแซกโซโฟน แล้วชนะเลิศมากล่าวรายงานความสำเร็จ”
ก้องภพกดไฟเลี้ยวเพื่อเลี้ยวตรงสี่แยก
“มึงบอกว่า  เคล็ดลับความสำเร็จของมึงคือมีเป้าหมาย  แต่มึงไม่ได้มองแต่เป้าหมายอย่างเดียว  มีงก็เลยไม่ผิดหวังหรือถอดใจ” ก้องภพกล่าว
“แล้วมึงก็บอกว่า”
“ชัยชนะคือเป้าหมาย แต่ความสนุกที่ได้ทำสิ่งที่รักคือรางวัล”
จุ๊ยคิด..
“เออใช่เนอะกูพูดอย่างนั้นจริงๆ”
ก้องภพท้าวแขนกับขอบกระจกข้างหนึ่งในจังหวะที่รถติดไฟแดง
“กูจำคำนี้ได้แม่นเลย  แล้วกูก็เอาคำนี้มาปรับใช้กับชมรมกู  จนกูกับชมรมกล้าส่งผลงานเข้าประกวดกัน  จนได้รางวัล”
จุ๊ยนิ่งเพราะเขิน  เหมือนโดนชมซึ่งหน้า
“ปรากฏว่าตอนไอ้เดฟเรียกประชุมพวกเราปรึกษาเรื่องชมรมมึง  กูก็เลยบอกว่ากูจะทำเสื้อขาย โดยใช้คำพูดของมึงเนี่ยละใส่ไปบนเสื้อ รู้ไหมพวกมันบอกว่ายังไง” ก้องภพเล่าต่อก่อนจะถาม
จุ๊ยหยิบได้ซีดีแผ่นหนึ่งพลิกไปพลิกมา
“จะไปรู้ได้ไง”
“พวกมันบอกว่าก็เพราะคำนี้ล่ะที่พวกมันออกไปประกวดนั้นประกวดนี่โดยไม่กังวลผล  แล้วปรากฏว่าผลออกมาดี  พวกมันยังบอกอีกว่า  พอรู้ว่าวาระของเดฟเกี่ยวข้องกับชมรมมึง  พวกมันก็คิดแผนจะมาช่วยกันเต็มที่ เพราะอยากขอบใจมึงที่เป็นแรงบันดาลใจให้” ก้องภพหันมามองหน้าจุ๊ย
จุ๊ยก็หยุดหมุนซีดี
“บ้าน่า  กูก็แค่พูดสวยๆ พวกมึงพยายามกันเองต่างหาก”
แต่ก้องภพเอามือมาวางบนบ่าของเขา
“มึงคงไม่รู้  ว่ามึงไม่ได้แค่เล่นแซกโซโฟนเพื่อนำเราร้องเพลงชาติ  แต่มึงทำให้กูและพวกมันระลึกถึงคำพูดของมีง...”
จุ๊ยหันมามองหน้าก้องภพ แล้วก็เงียบทั้งคู่ นานพอสมควร
“ขอบคุณนะเว้ยเพื่อน”ก้องภพกล่าวจากความจริงใจ
จุ๊ยเงียบอยู่สักพัก
แล้วก็ถอนหายใจออกมา
“เฮ้อโล่งอก”
“อะไร” ก้องภพถามโดยไม่หันมาเพราะได้จังหวะไฟเขียว
“ก็มึงมองตากู แถมพรรณนาขนาดนั้น” จุ๊ยตอบพลางสอดแผ่นซีดีใส่เครื่องเล่น
“กูนึกว่ามึงจะบอกว่า”
แล้วก็ดัดเสียง
“เฮ้ยเพื่อน กูรักมึงว่ะ”
ก้องภพหัวเราะ
“ไอ้สัดว์นี่มึงจะเว้นความฮาของมึงสักนาทีให้พอซึ้ง นิด...นึงได้ไหมวะ”
จุ๊ยหันมายิ้มทะเล้น
“ไม่ได้เพราะกูเป็นคนตลก”
 
“แน่ใจนะว่าไม่หิว” จุ๊ยถามก่อนที่ลงจากรถ
“เออไม่  เมื่อกี้เล่นไปไก่เป็นสองชิ้น  อิ่มโคตร” ก้องภพตอบ
“ร้านก๋วยเตี่ยวไก่ร้านนี้อร่อย  ลูกสาวคนโตสวยโคตร” จุ๊ยชี้ไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่
“กูไม่หิว” ก้องภพปฏิเสธ
จุ๊ยทำหน้าน้อยใจ
“มึงปฏิเสธน้ำใจเพื่อน  กูก็คิดว่ามึงมาส่งเลยจะตอบแทน”
ก้องภพถอนหายใจ แล้วทำท่าจะดับเครื่อง
“เอาวะนานๆมึงจะเลี้ยงกูสักที”
“ใครว่าเลี้ยง” จุ๊ยถาม
“อ้าว” ก้องภพชะงัก
“นี่มึงชวนนี่ไม่ใช่ว่ามึงจะเลี้ยงกูหรอกเหรอวะ”
“โห... ดูๆๆ นี่มึงมีรถราคาเป็นล้านขับ  นี่มึงกะจะให้กูเลี้ยง  มึงนี่เห็นแก่ตัวฉิบหาย  มึงต่างหากที่ต้องเลี้ยงกู” จุ๊ยว่าแล้วส่ายหน้า
ก้องภพขำก็ขำหมั่นไส้ก็หมั่นไส้  ดันตัวจุ๊ยจนติดประตู
“ไปๆลงไปเลย คุยกับมึงตัวๆนี่ สู้มึงไม่ไหวจริงๆ  ไม่มีไอ้ปอไอ้ตั้มช่วยกูตาย  ไม่ทันมุกมึงจริงๆ”
“แล้วมีงอย่าไปลักหลับไอ้อ๊อดนา... พรุ่งนี้มามันบ่นเจ็บตูกูจะให้มึงแต่งงานกับมันเพื่อแสดงความรับผิดชอบ”
ก้องภพชำเรืองมองไปเบาะหลัง
“เออ... “
จุ๊ยยกนิ้วชี้กำกับแล้วทำท่าจะลงจากรถ
“เออจุ๊ย” ก้องภพนึกได้
จุ๊ยหยุด
“อะไรเปลี่ยนใจจะเลี้ยงกูแล้วสิ”
ก้องภพเคาะพวงมาลัยเหมือนช่างใจจะพูด ก่อนจะกล่าว
“คือมึง  กูก็เข้าใจนะว่ามึงอาจจะรังเกียจไอ้เดฟ  ก็เข้าใจก็มันเล่นเข้าหามึงแบบสุดๆจริงๆนั้นหล่ะ” ก้องภพเกริน
“แต่มึงรู้ไหมว่า  เรื่องนี้มันเป็นตัวตั้งตัวตีในการประสานงานชมรมต่างๆ  ค่าเสื้อที่ทำเสื้อที่กูออกแบบ มันก็ออกไปก่อน  แถมบอกว่าไม่ต้องเอามาคืนมัน  แล้วมึงก็เห็นมันเอาตัวเข้าแลกขนาดนั้น  ถึงมันจะเป็นแค่พระรอง แต่มันก็เป็นดาราคนหนึ่งนะเว้ย  มันยอมให้คนนั้นถ่ายรูปหอมแก้ม สารพัดก็เพื่องานนี้”
ก้องภพไม่กล้ามองตาจุ๊ยตรงๆจึงมองผ่านกระจกมองหลัง
“คือกูก็ไม่ขออะไรมาก  ก็แค่อยากให้มึงรุนแรงกับมันน้อยๆหน่อย  กูว่ามันไม่แค่เงี่ยนหื่นกับมึง  แต่มัน... ชอบมึงจริงๆเลยนะเว้ย”
จุ๊ยนิ่งไป
“มึงคิดว่ากูไม่รู้เหรอ”
ก้องภพต้องหันมามองหน้าจุ๊ย
“ไอ้เดฟมันชอบกูมาก กูรู้  กูถึงไม่เคยหลบหน้ามัน  แล้วก็ปล่อยให้มันลวนลามอยู่ได้ทุกวันไง” จุ๊ยมองไปข้างหน้า
“กูก็ไม่ได้รังเกียจมันหรอก แต่มันน่ะแสดงออกเกินไปแล้วลามกกับกู กูก็เลยต้องตอบโต้บ้าง  ไม่งั้นมันได้ปล้ำกูกลางโรงเรียนแน่ๆ”
ก้องภพพยักหน้า แต่ก็ถามกลับ
“แล้วถ้ามันไม่หื่นกับมึง  แสดงออกอย่างพอดี มึงจะเล่นด้วยรึไง”
จุ๊ยถอนหายใจ
“มันไม่ควรเป็นแบบนั้นรีเปล่าวะเพื่อน  กูกับมันไม่ควรจะเป็นอะไรมากกว่าที่เป็นใช่ไหมเพื่อน  เพราะเราคือเพื่อนกัน”
แล้วจุ๊ยก็เปิดประตูรถ  แต่ไม่ลืมหันไปคว้ากล่องแซกโซโฟนคู่ชีพ
“เอาเป็นว่าก่อนจะจากกันกูจะเคลียร์กับมันแน่นอนมึงไม่ต้องห่วง”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 14 ดรัมเมเยอร์ทีหายไป
จุ๊ยเปิดประตูบ้านเข้าไปก็เห็นป้ากำลังจุดยากันยุง
“กลับมาแล้วครับป๊า”                     
“ไปหาทุนไปต่างประเทศให้วงดนตรีมาเรอะ” ป๊าถาม
จุ๊ยเอียงคอ
เขาก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับป๊านี่น่า ตอนเขาออกไปก็แค่บอกเหมือนทุกๆทีที่ออกไปในวันอาทิตย์
“ป้ารู้ได้ยังไงครับ”
“ข่าวออก” ป๊าตอบแล้วกดรีโมทโทรทัศน์เปลี่ยนช่อง
“เพื่อนลื้อที่เป็นดารานั้นหล่ะ  เขาบอกออกทีวี  พึ่งออกข่าวช่วงบันเทิงตอนหัวค่ำนี่เอง”
“จุ๊ย” เสียงเฮียดังจากชั้นลอย
“มาสิ เฮียจะเปิดข่าวย้อนหลังให้ดูในเนต”
 
“น้องกลุ่มนี้เขาฝึกซ้อมกันหนักมากเลยครับ  ผมเลยอยากให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุน  วันนี้พวกเขาก็มาจัดกิจกรรมขายเสื้อ เปิดหมวกเล่นดนตรีครับ”
“แล้วโยชิรู้จักพวกเขาเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า”
“อ้อครับ ผมรู้จักกับหัวหน้าวง  เขาเป็นคนมีความสามารถมาก เขากับน้องๆของเขาฝึกกันหนักมาจนได้รางวัล  ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าถ้าเขาเป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดต้องสร้างชื่อเสียงให้ได้แน่นอน”
“ช่วยกันหน่อยนะครับ”
แล้วก็เป็นภาพโยชิถ่ายรูปคู่กับน้องชมรมหนึ่งชมรมใดชมรมหนึ่ง  ซื้อเสื้อมาใส่เอง  แล้วยังแจกลายเซ็นให้คนที่ซื้อเสื้อคนอื่นด้วย
“ทาง รายการตรวจสอบไปทางโรงเรียนและได้คุยกับผู้บริหารโรงเรียน ทำให้ได้ทราบว่าน้องกลุ่มนี้เป็นกลุ่มวงโยธวาทิตที่ชนะเลิศถ้วยเกียรติยศ ประเทศไทย  แต่เนื่องจากสปอร์นเซอร์หลักที่เคยให้การสนับสนุนประสบปัญหาการเงิน  ก็ เลยอาจกระทบกับการที่น้องๆจะเป็นตัวแทนประเทศไทยเราไปแข่งขันวงโยธวาทิตโลก เนื่องจากงบประมาณของทางโรงเรียนก็มีจำกัด และงบจากราชการก็อาจไม่พอ  ซึ่งทางทีมข่าวของเราก็จะประสานกับทางสถานีเพื่อจะเข้าสัมภาษณ์กับผู้เกี่ยวข้องโดยตรง  และอาจมีการสนับสนุนช่วยเหลือกันไปตามกำลังของเรา  ถ้าท่านผู้ชมท่านไหนสนใจร่วมส่งเสริมกิจกรรมของเด็กไทยเรา ก็สามารถติดต่อได้ที่โรงเรียนโดยตรงเลยนะค่ะ”
แล้วก็เป็นการกล่าวปิดรายการ
“ดังใหญ่แล้วแก เฮียว่าพรุ่งนี้ต้องมีนักข่าวแห่กันไปโรงเรียนไปสัมภาษณ์แกแน่ๆเตรียมตัวไว้เถอะ”
จุ๊ยยิ้มเจือนๆ
 
โยชิพยายามโทรหาจุ๊ยตั่งแต่เย็นเขาก็ไม่รับสาย  คิดในแง่บวกว่าอาจกำลังประชุมหรือทำอะไรที่จำเป็นอยู่
พอรู้สึกหิวก็เลยเดินลงมาด้านล่างพอดีกับที่คนรับใช้จะชึ้นไป
“อ้าวคุณโยชิลงมาพอดีเลยค่ะ คุณเพลงให้ไปพบที่ตึกใหญ่นะค่ะ”
 
โยชิเข้ามาที่บ้านหลังกลางของฉัตรอัครแทบนับครั้งได้  แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่อยากมา แต่ไม่ได้มีธุระจะมา

ตอนทีเข้าไปถึงก็ได้รับการบอกเล่าจากคนรับใช้ว่า คุณเพลงพิณ หรือป้าเพลงของเขารออยู่ในห้องนั่งเล่น พอเข้าไปก็ได้พบสตรีวัยสูงกว่าแม่ของเขาแต่ยังมีดวงหน้างดงาม  แล้วเธอยังตอบรับการทำความเคารพของเขาด้วยรอยยิ้มก่อนสั่งให้เด็กไปหยิบขนมมาเสริพ
“เป็นยังไงบ้างอยู่เมืองไทยมาจะสองปีแล้วปรับตัวได้แล้วใช่ไหม” เพลงพิณถามอย่างใจดี
เธอคือภรรยาของลุงนามมินทร์ของเขา  แต่สำหรับบริษัทแล้วเธอเป็นเหมือนเสาหลักของการสนับสนุนและช่วยเหลือลุงนามมินทร์ของเขา  ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงที่ดูใจดี ใจเย็นคนนี้จะเป็นนักธุรกิจหญิงที่มีคนยกย่องและเกรงบารมีเกือบจะมากที่สุดในประเทศไทยในตอนนี้
“ครับผม  แต่ยังติดเรื่องอากาศร้อนมาก”  โยชิตอบตามตรง
“อืม..เข้าใจ” เธอพยักหน้า
“แล้วงานล่ะ ซีรี่ที่แสดงก็ใกล้จะจบแล้วนี่ มีรับงานอื่นอีกไหม”
“ก็มีครับ  เป็นหนังหนึ่งเรื่อง ซีรีย์อีกเรื่องหนึ่ง” โยชิตอบแล้วกินขนม
“อร่อยครับ” เขาออกปากทันที
เพลงพิณยิ้ม
“เดี่ยวป้าให้เด็กเอาไปให้ที่บ้านนะ  ป้าทำเองหล่ะ  ทำไว้เยอะเลย”
โยชิกล่าวขอบคุณ
“อืมพอดีป้าดูข่าวเห็นว่าโยชิกำลังช่วยเพื่อนหาทุนอยู่ใช่ไหม” เพลงพิณเข้าเรื่องที่จะคุย
โยชิพยักหน้าช้าๆ
“ครับ”
 
“ที่พวกเราได้มาเมื่อวานสองแสน  ก็ถือว่าเยอะมากเลยนะจากการกิจกรรมแค่วันเดียว” อตินั้งเป็นประธานหัวโต๊ะโดยมีหัวหน้าทีมกีฬาและชมรมนั่งอยู่โดยพร้อมเพรียง ในการประชุมตอนบ่าย
“แล้วก็เมื่อเช้านี้มีผู้ปกครองนักเรียนปัจจุบัน กับสมาคมศิษย์เก่าให้มาอีกหกแสน “คนที่กล่าวคือประธานนักเรียน
“ผมก็ประสานงานออกหนังสือไปหลายบริษัท  แต่ก็คงต้องใช้เวลา เพราะเราขอสนับสนุนไปเป็นจำนวนเยอะมาก”
“ที่จริงในหน้าเพจของโรงเรียนก็มีคนเข้าโพสต์เยอะมากว่าอยากช่วยเหลือ แต่ผอ.ท่านเห็นว่าเป็นการวุ่นวายเกินไป และกลัวการแอบอ้างก็เลยงดไว้  ตอนนี้จะนำเรื่องเข้าที่ประชุมผู้บริหารระดับกระทรวง  เผื่อจะได้งบประมาณเพิ่มเติม  แต่ก็อาจช้า และไม่ทันการก็ได้”
เดฟกอดอกขมวดคิ้วดูหน้าเครียดเสียยิ่งกว่าจุ๊ยที่หันมามองหน้าเขาเสียอีก
“แล้วเราจะทำยังไง”
“ก็ต้องรอใจเย็นๆ  เพราะตอนนี้เหมือนทุกฝ่ายจะตื่นตัวกันมาก ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านอาจมีมาตรการช่วยเหลือลงมา” อาจารย์อติกอดอก
เดฟรู้สึกขัดใจเพราะเขาเป็นคนใจร้อน  พอมองกลับไปที่จุ๊ยทีอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะยาว ก็รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา   ก็สมเป็นนักดนตรีหรอก ใจเย็นแถมยังยิ้มได้
แต่พอมองไปที่โทรศัพท์ของจุ๊ยที่วางไว้บนโต๊ะ  เขาก็เห็นเป็นภาพของโยชิ เป็นภาพแสดงสายเรียกเข้า
“จุ๊ย  โยชิโทรมา”
“อ้าวเหรอ” จุ๊ยยกโทรศัพท์ขึ้นดู
แล้วเขาก็หันไปบอกอาจารย์อติ
“ขอตัวสักครู่นะครับ”
จุ๊ยออกไปแล้ว
เหมียวมองตามจุ๊ยไป
“โยชิ ดารา ที่มีรูปแชร์กันสนั่นว่าไปเที่ยวด้วยกันน่ะเหรอ”
เดฟยักคิ้ว
“ก็มีอยู่คนเดียวหล่ะ  โยชิฮิสะ อาราอิ”

จริงๆแล้ววงโยธวาทิตของจุ๊ยก็มีดรัมเมเยอร์เหมือนวงอื่นๆ  แต่เพราะการประกวดปีนี้จุ๊ยออกมาแบบการแสดงโดยไม่มีดรัมเมเยอร์ ดรัมเมเยอร์เลยว่างงานไม่ต้องไปประกวด  ซึ่งจริงๆแล้วดรัมเมเยอร์ตัวเอกของโรงเรียนก็คือเดฟนั้นเอง 
ซึ่งถ้าไม่ใช่เดฟ  จุ๊ยยังคิดว่าคงมีเรื่องทะเลากันไปแล้ว เพราะเล่นตัดออกไปอย่างเด็ดขาด แต่เดฟก็แค่ย้ายไปอยู่ชมรมละคร แต่ก็ยังไปมาหาสู่เหมือนเดิม

งานวันนี้เมื่อบอกเท่านั้น  เดฟก็ยินดีจะทำหน้าที่ให้
พอสวมชุดดรัมเมเยอร์ดาดสายสะพายของโรงเรียนเต็มยศ เดฟที่ยืนอยู่หน้าแถวของวงโยธวาทิตก็ดูโดดเด่นชวนมองไม่น้อย
“น้องคนนั้นก็เป็นดาราใช่ไหม  ที่เล่นเรื่องเดียวกับหลานท่านประธาน”  พนักงานสาวบอกแก่กันบนอัฒจันทร์
“หล่อจังเลยเนอะ  ที่จริงหล่อไม่แพ้พระเอกเลยนะนั้น  แต่หล่อคนละแบบ”
“แต่เขาว่าเป็นเกย์นะ  ดูแมนออกไม่น่าจะเป็น”
“เหม่หล่อนเดี่ยวนี้เกย์มีหลายแบบ  ไม่ได้ดูสาวเหมือนกันเหมือนในหนังหรอก  แบบน้องเขาเรียกว่าคิง เป็นรุก ถ้าชอบผู้หญิงได้ด้วยเรียกว่าไบ” คนที่บอกเป็นเกย์สาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“แต่ว่าแต่น้องเขากล้าเนอะ  นี่เขาบอกกับนักข่าวเองเลยนะว่าเขาชอบผู้ชายตอนที่มีคนไปจับคู่จิ้นเขากับนักแสดงผู้หญิงที่เล่นด้วยกัน  นักข่าวที่ไปสัมภาษณ์หงายเงิบ”
พนักงานสาวพยักหน้าช้า
“ที่จริงก็ไม่เห็นต้องปกปิดเลยเนอะ  อยากจะเป็นอะไรก็เป็นไป  ยังดีกว่าแอ๊บแมนมาหลอกพวกเรา  ไม่คิดบ้างเหรอว่าถ้าผู้หญิงอย่างพวกเรารู้ที่หลังจะเป็นยังไง” พนักงานสาวกล่าว
“รู้ว่าผัวมีเมียน้อย ยังเจ็บน้อยกว่าผัวมีผัวน้อยนะแก”
 
พอได้สัญญาณจากจุ๊ย  เดฟก็ยกคฑาชี้ขี้นฟ้า
กลองก็รัวกันสนั่นอย่างพร้อมเพรียง
เดฟโยนคฑาขึ้นฟ้าแล้วก้าวออกไปรับ แล้วก็ควงมันอย่างคล่องแคล่วเดินนำวงโยธวาทิตออกสู่สนาม  ท่ามกล่างเสียงปรบมือจากบรรดาพนักงานของฉัตรอัครกรุ๊ปที่อยู่เต็มสนามราชมังคลากีฬาสถาน
 
“ถ้าไม่บอกว่ามันวางมือไปนาน แล้วพึ่งมาซ้อมได้สามวันนี่ กูนึกว่ามันฟิตอยู่ทุกวันนะเนี่ย” อ็อดกล่าวแก่ฮ้อย
“ก็มันเป็นดรัมเอกของโรงเรียน  สมัยก่อนมันก็มีส่วนนะกับความสำเร็จของวง จำไม่ได้เหรอ เวลาไปแสดงที่ไหน มันโยนคฑาทีก็มีเสียงกรีดสนั่นจากหมู่สาวๆทุกที”
“สมัยนี้หล่ะ” อ๊อดถาม
“ก็มีหนุ่มๆกรี๊ดเพิ่มมาด้วยไง” ฮอยตอบ แล้วถองศอกกันไปมากับอ็อด
“ตัวเองอะ”
จุ๊ยหันมามอง
“แล้วจะมีท่าไม้ตายของมันไหม” อ็อดถาม
“ไอ้ลังกาหน้าสองตลบแล้วตามลังกาเกรียวปิดด้วยม้วนหน้าของมันน่ะเหรอ... ไม่รู้เหมือนกัน  ต้องถามไอ้จุ๊ย เพราะ ถ้าจะมีคงต้องแอบไปซ้อมกันสองคน” ฮ้อยตอบ แล้วหันไปมองหน้าจุ๊ย
“ซ้อมแล้วไง” จุ๊ยตอบก่อนจะก้มหัวมา
“มึงดูนี่  คฑาลงหัวกูนี่ ยังดีกูให้หุ้มผ้าไว้ก่อน  ยังมึนไม่หายเลย”
สามหนุ่มมองหน้ากันหัวเราะกิ๊กกัก
แต่พอมองกลับมาในสนาม
เดฟยืนนิ่งอย่างตั้งใจ
“เฮ้ยมัน” จุ๊ยรีบวิ่งเข้าไป
เดฟโยนคฑาขึ้นฟ้าสูงกว่าทุกครั้ง  สปีดไปเต็มเหนี่ยวแล้วก็ตีลังกาหน้าสองตลบจากนั้นก็ตามด้วยลังกาเกรียว ก่อนย่อตัวลงม้วนหน้าแล้วรับคฑาได้อย่างแม่นยำ
จุ๊ยหยุดเท้าเมื่อเห็นว่าทุกอย่างจบลงด้วยดี
เดฟลุกขึ้นควงคฑาแล้วหันกลับ  ทิ้งสายตามาทางจุ๊ย
“เหี้ยแม่งทุ่มสุดตัว” ฮอยปรบมือด้างอยู่อย่างนั้นเหมือนๆกับคนในสนาม
“ไม่รักมากไม่ทุ่มให้ขนาดนี้นะเนี่ย”
อ๊อดคลอนหัวเบาๆ
วาทิตที่ยังไม่เคยเห็นมาก่อนถึงขนาดลืมเป่าไคริเนตไปชั่วขณะ
แต่พอรู้ตัวก็รีบจับจังหวะโน้ตเพื่อเป่าตามเพื่อนให้ทันพร้อมกับเดินแปรขบวนไปพร้อมกัน
“เมื่อก่อนพี่เดฟก็อยู่กับเรานี่ล่ะ” เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกเอาไว้
“แต่พอพี่จุ๊ยแกประกาศคอนเซ็บใหม่ พี่เขาก็เลยออกไปอยู่กับชมรมละคร  ตอนนั้นดราม่ากับพี่จุ๊ยอยู่นานเลย  แต่ที่สุดก็เป็นฝ่ายมาดีกับพี่จุ๊ยเหมือนเดิม” อู๊ดเล่าเพราะเขาเป็นเด็กเก่าตั้งแต่ม.หนึ่ง
“พี่แกน่ะ  เก่งมากนะ  แกแสดงไม่เคยพลาดเลย เพราะแกซ้อมหนักมาก”
“พี่แกดีทุกอย่าง  หน้าตาดี เรียนเก่ง แต่เสียตรงเป็นเกย์ แล้วก็ชอบพี่จุ๊ยมากๆจนไม่เก็บอาการนั้นหล่ะ  พี่จุ๊ยแกก็เลยรำคราญไล่เตะแกบ่อยๆ  แกก็ไม่เคยว่า  ก็เลยกลายเป็นตัวตลกสำหรับคนอื่นไป”
“แต่ว่านะ  แกคงรักของแกมากนั้นล่ะ เพราะต่อให้พี่จุ๊ยด่าแกตี ไล่ยังไง  พี่เดฟก็ยังเหมือนเดิม  เป็นกูนะโกรธตาย  แล้วคงเลิกยุ่งไปแล้ว”
อู๊ดเล่าเรื่องนี้ให้ฟังตอนกลับบ้านพร้อมกันเมื่อวาน
“แล้วพี่จุ๊ยหล่ะ ชอบพี่เดฟไหม”  วาทิตถามทั้งที่กลัวคำตอบ
อู๊ดเงียบอยู่นานมาก  ก่อนจะพูด
“เอ็งรู้เรื่องนี้แล้วเหยียบตรงนี้เลยนะ  แต่ข้าอยากจะให้เอ็งรู้ไว้“
“จริงๆแล้วเมื่อก่อนวงเรามีพี่คนหนึ่งชื่อไตร... เป็นมือเอกเครื่องเป่าคู่กับพี่จุ๊ยนี่หล่ะ  สองคนสนิทกันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกัน ถึงจะอายุต่างกันสองปีก็เถอะ แต่ยังกับปาท่องโก๋เลย  แล้วเขาก็ลือกันว่าพี่เขากับพี่จุ๊ยน่ะเป็นคู่เกย์”
“แต่ก็แค่ลือไหมอ่ะพี่อู๊ด”
“ก็ใช่... แต่.. ข้าเห็นกับตาเลย  วันนั้นข้าลืมกระเป๋าเงินในห้องซ้อม ก็เลยกลับมาเอา เห็นพี่เดฟแก่ยืนอยู่หน้าประตูแล้วจู่ๆก็เดินหนีไป  แต่พอข้าเดินเข้าไป ก็เจอจังๆเลย  พี่ไตรกับพี่จุ๊ยจูบกันอยู่”
“อุบัติเหตุรีเปล่า อย่างในหนังไง”
“ไม่ใช่หล่ะ  นั่งถือแซกกันคนละตัว นั่งตัวหันไปข้างหน้าทั้งคู่  แต่หน้าเอี่ยวลงมาจูบกัน  ไม่ใช่จูบกันธรรมดานะ  ต้องเรียกว่าดูดปากกันเลยดีกว่า ข้าเลยไม่กล้าเข้าไป  ถอยออกมา  ดีนะบ้านอยู่ใกล้เลยเดินกลับบ้านได้”
“ข้าว่าพี่เดฟก็คงเห็นนั้นหล่ะเลยเดินหนีไป  แต่พี่เดฟแกก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องนะ  แต่ข้าว่าแกต้องเห็นนั้นหล่ะ ข้ามาที่หลังยังเห็นแล้วแกอยู่ตรงนั้นมาก่อนจะไม่เห็นได้ไง”
 
เดฟวางคฑาแล้วทิ้งกายลงถอนหายใจเอนหลังพิงพนังของห้องแต่งตัวอย่างอ่อนล้า
“ไม่ ฟิตเลยหนอเรา” แล้วเขาก็หลับตาฟังเสียงกลองที่ยังสนั่นไปหมด เพราะยังวงโยธวาทิตทำแสดงในชุดการแสดงเดียวกันกับที่ชนะเลิศอยู่ข้างนอก
แต่ก็ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงสีหน้าของจุ๊ยตอนนั้น
“ขอแค่แววตาเป็นห่วงจากจุ๊ยผมก็สุขใจแล้ว”
แล้วเขาก็ลุกขึ้นเพื่อไปถอดชุดออกตากเพราะยังต้องเดินพิธีปิดอีกรอบ
จุ๊ยมองแผ่นหลังที่แกร่งไปด้วยมัดกล้ามเพราะการออกกำลังกายของเดฟ  ตอนแรกเขาจะเข้าไปแต่พอได้ยินเดฟพูดประโยคนั้นเขาก็ยืนตัวชาอยู่กับที่ เขาตัดสินใจเดินกลับหลังออกไปเมื่อตั้งหลักได้

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 15 Saxophone Solo บทเพลงของสายน้ำ
พอบ่ายคล้อย กีฬาและเกมส์ก็เล่นไปหลายอย่างแล้ว  พนักงานก็ดูจะอ่อนล้า  เพลงพิณจึงหันไปบอกกับเลขานุการของเธอที่อยู่ใกล้ๆบริเวณ
“คุณเนมค่ะ” เธอเรียกเมื่อเห็นสามีคุยกับแขกที่มาร่วมงานซึ่งเป็นบริษัทที่จะมาร่วมทุนในธุรกิจใหม่ จบไปส่วนหนึ่งแล้ว
สำหรับฉัตรอัคร ทุกอย่างทำไปอย่างมีความหมายที่สุด
“เดี่ยวมีทีเด็ด” เธอกล่าว
สามีของเธอวัยจะเข้าห้าสิบแล้วแต่ยังดูเด็ก มองหน้าเธอแล้วยิ้ม
“อะไร  เพลงจะลงไปเต้นเป็นปอมปอมเกริลเหรอ  เอาแบบสมัยเรียนมหาวิทยาลัย”
“พูดเป็นเล่น  เพลงเคยเป็นปอมปอมเกริลที่ไหนล่ะ “ เธอปฏิเสธ
“แต่เด็ดกว่าปอมปอมเกริลแน่นอน  เพลงได้ดูจากยูทูปเมื่อคืนแล้ว”
คุณนามมินทร์พยักหน้า  เขาเชื่อตามภรรยา เพราะเธอเป็นคนมีสายตาและวิสัยทัศน์กว้างไกลมากกว่าผุ้หญิงคนไหนที่เขารู้จัก  เป็นมือขวาของเขาอย่างเต็มตัว 
เอ... หรือเขาเป็นมือขวาของเธอกันแน่...
ฮ้อยจัดการกับอิเลคโทนของตัวเองเรียบร้อยก็หันไปมองหน้าจุ๊ยเชิงบอกว่าพร้อม
จุ๊ยก็หันไปมองหน้าอ็อด อ็อดก็พยักหน้า
บนลู่วิ่งด้านที่ร่ม สามหนุ่มยืนอยู่บนแทนยกหันหน้าเข้าสู่ส่วนที่ผู้บริหารนั่งอยู่
“ลำดับ ต่อไปขอเชิญพบกับ นักดนตรีที่เคยชนะการประกวดรางวัลถ้วยเกียรติยศประเทศไทยประเภทเครื่องเป่าที่อายุน้อยที่สุด เขาและเพื่อนจะมาขับกล่อมบทเพลงให้เราหายเหนื่อยกัน  เชิญรับชมครับ”
พิธีกรกล่าวจบ
เสียงขลุ่ยแว่วหวานก็ขึ้นเป็นต้นเพลงมายฮาร์ทวิลโกออน
“คนนี้เหรอ...เก่งนี่” นามมินทร์หันมาถาม
แต่เพลงพิณส่ายหน้า
ท่อนขลุ่ยจบลง พลันเก็ดเสียงแซกโซโฟนที่หวานหยดย้อยและเสนาะหูแม้ปลายเสียง
ครั้นท่อนกังวานก็กังวานใสจนเหมือนจะได้เห็นแสงสว่างส่องลงจากท้องฟ้ามาจับกายของเด็กหนุ่มที่กำลังเคลื่อนกายไปอย่างสอดคล้องกับการเป่าของตัวเอง
ไพเราะ..
แต่ทว่าใจของเดฟกลับกำลังรวดร้าว
เพราะแซกโซโฟนที่จุ๊ยกำลังเป่านั้นไม่ใช่อัลโตแซคโซโฟนที่หวงแหน  แต่เป็นโซบราโน่ที่เดฟไม่ได้เห็นมันมานานนับจากงานศพของพี่ไตร
เพลงพิณหันไปมองหน้าสามี เห็นเขาหลับตาลง แล้วเอนหลังอย่างสบายอารมณ์
 
จบไปสามเพลงอ็อดก็เปลี่ยนไปสามอุปกรณ์  แต่เขากลับไม่รู้สึกเหนื่อยกับการเล่นกับจุ๊ย  เพราะเขาชอบมัน  พอจบเพลงเขาก็ทำท่าจะไปช่วยฮ้อยเก็บอุปกรณ์
“เดี่ยวครับน้อง” เสียงดังจากบนอัฒจันทน์
“ท่านผู้บริหารสูงสุด คุณนามมินทร์อยากจะให้น้องเล่นเพลงหนึ่งให้” พิธีกรที่เป็นพิธีกรมืออาชีพหันมาหานามมินทร์
นามมินทร์ก็ลุกขึ้นรับไมค์มา
“ถ้าเล่นได้ ผมจะให้เงินพิเศษน้องไปเลยสามหมื่น เอาไปแบ่งกัน “
เพลงพิณดึงแขนสามีให้ย่อลงมาเพื่อกระซิบ
“แล้วก็จะเป็นสปอร์นเซอร์ให้วงของโรงเรียนเป็นเวลาสามปี”
สามหนุ่มหันมองหน้ากัน ยิ้มอย่างตื่นเต้น
แต่จุ๊ยก็หวั่นๆใจ 
“ผมขอเพลง Out Of Nowhere”
“เอา..” ฮ้อยร้องออกมา เพราะเป็นเพลงJazz ชื่อดังเพลงหนึ่ง  แต่ถ้าเป็นเวอร์ชั่น แซกโฟโฟนจะเล่นยากมาก เพราะมีเสียงเล็กเสียงน้อยเต็มไปหมด
อ็อดก็หันมามองหน้าจุ๊ยที่ยังยืนนิ่งกับโซบราโน แซ็คตัวนั้น
พิธีกรหญิงเดินลงมาพร้อมไมค์  เอาไมค์จ่อปากจุ๊ย
เขามองขึ้นไปบนอัฒจันทน์
“ยากไปรึเปล่า” นามมินทร์ถาม
จุ๊ยหันมองหน้าไปทางน้องๆวงโยธวาทิตที่ออกมาดูเขาอยู่ข้างสนาม
“ครับ Out Of Nowhere” เขาตอบออกไป
“แต่ผมต้องเปลี่ยนอุปกรณ์นะครับ”
 
พร้อมอีกครั้ง  คราวนี้อ็อดก็เอาดับเบิ้ลเบสออกมา  เคราะห์ดีที่เมื่อเช้าอยู่ดีๆเขาก็นึกอยากเอามาด้วย ทั้งที่คิดว่าไม่น่าจะได้ใช้หรอก  แถมทั้งใหญ่ทั้งหนัก  น้องๆที่แบกยังถามว่าเอามาทำไม
ส่วนฮอยปรับอีเลคโทนให้เล่นเสียงเปียโนแบบเต็มๆ
และจุ๊ยถืออัลโตแซกโซโฟนคู่ชีพยืนเผชิญหน้ากับอัฒจันทน์ด้วยแววตามาดมั่น
นามมินทร์เรียกหาไมค์
“ไม่ต้องดีขนาดต้นฉบับ  ฉันเข้าใจ”
แล้วบทเพลงในช่วงปี 40 ก็ดังขึ้นเริ่มจากเสียงเปียโนจากเครื่องอิเลคโทน ตามด้วยดับเบิลเบส 
จากนั้นแซกโซโฟนก็เปล่งเสียงของมันออกมา  มนตราของมันแพร่กระจายในกระแสอากาศ ลูกเล่นในหางเสียง การเอื้อน ราวกับคนขับร้องออกมา  แต่เป็นการขับร้องด้วยเครื่องดนตรี..  การขึ้นเสียงสูงต่ำทำได้อย่างราบรื่น  การเปล่งเสียงต่อเนื่องก็ไม่มีวี่แววว่าเสียงจะขาดหาย หรือลมหมด..

นามมินทร์ได้ฟังก็นิ่งเงียบ  แล้วเขาก็หลับตาลง
เพลงพิณอยากจะรู้จริงว่าเขาคิดอะไร
“เพลงอะไรอะ ไม่เห็นเพราะ” พนักงานสาวบ่นขี้น
“หล่อนจะไปรู้อะไร... Johnny Green แต่งไว้ เวอร์ชั่นนี้เป็น Ballard ของCharlie Parker” พนักงานเกย์สาวกล่าว
“น้องเขาไม่ได้เล่นได้ดีขนาด Charlie Parkerหรอกนะ  แต่ก็สุดยอดกว่านักดนตรีอาชีพตามคลับแจสที่ฉันไปนั่งอีก นี่คุณเพลงพิณไปหามาจากไหนเนี่ยเด็กคนนี้  Charlie Parker กลับชาติมาเกิด รึเปล่า หน้าตาก็ดูดี ความสามารถก็ยอด  มีคนส่งเสียรียังค่ะน้อง”
พนักงานสาวกรอกตา
 
เล่นจบจุ๊ยถึงกับปาดเหงื่อที่ออกโทรมใบหน้า
“หมดแรงเลยดิมึง” ฮ้อยกล่าวแล้วหันไปขอความเห็นจากอ๊อด
“แหง่ดิ... เจอเพลงระดับนี้เข้า”
คุณนามมินทร์ลุกขึ้น
“น้องครับน้องอายุเท่าไหร่”
พิธิกรสาวเดินลงมาเตรียมพร้อมอยู่แล้วส่งไมค์ให้
“สิบเจ็ดย่างสิบแปดครับ”
ทั้งสนามเกิดเสียงฮือฮา
“นี่เรานั่งฟังเด็กม.ปลายเล่นจริงๆหรือนี่”
นามมินทร์นิ่งพยักหน้าช้ารับรู้
“เก่งนะ เก่งมาก” ผู้บริหารสูงสุดของฉัตรอัครกล่าว
“เอ้าตกลง  เอาไปเลยตามสัญญาไว้”
เด็กวงโยที่ออกมานั้งลุ้นร้องชัยโยเสียงดัง
 

โยชิที่นั่งแฝงอยู่ในกลุ่มพนักงานก็ยิ้มออกมา
“นายมันเยี่ยมอยู่แล้วจุ๊ย”
อติที่มาในฐานะเพื่อดูแลลูกศิษย์ตามหน้าที่ ถอนหายใจออกมา
เขานึกถึงเด็กชายอายุสิบสองคนนั้น  ที่ถือแซกโซโฟนมาสมัครวงโยธวาทิต  เด็กคนนี้เติบโตแล้ว  แถมไปไกลเกินกว่าที่อติจะคาดคิดถึง   
ตอนนี้อติรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจอุทกดาบถตอนที่ให้เจ้าชายสิทธัตทะ ออกจากอาศรมเพราะไม่มีอะไรจะสอนแล้ว
เขาคงไม่มีความสามารถไปสอนเด็กคนนี้ได้อีก  เด็กคนนี้เกินกว่าระดับของอาจารย์โรงเรียนมัธยมธรรมดาจะให้คำแนะนำ  แล้วก็ไม่แน่ว่าอาจารย์ในระดับสูงกว่าจะสามารถแนะนำได้
ระบบการศึกษาในประเทศนี้ ก็คงไม่เพียงพอจะรองรับเด็กคนนี้เสียแล้ว
เด็กคนนี้จำเป็นต้องโบยบินไปสู่โลกที่กว้างไกล  แต่เขาจะยอมบินไปหรือจะตัดสินใจเกาะแค่กรอบประตูกรงที่เปิดอ้าไว้เพียงเพราะอาวรณ์ในภาระและพันธสัญญาของตัวเอง



ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 16 ความในใจของหลิว
ดอกชมพูพันทิพย์บานแล้วเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นและสิ้นสุดของการสอบปลายภาค
ในตอนย่ำเย็นของวันสุดท้าย  จุ๊ย อ็อด ฮอย ก้องภพ ปอ ตั้มและอัศวะเดินกอดคอกันเป็นแผงออกพ้นประตูโรงเรียน  แล้วทั้งหมดก็หันกลับมา  แต่ละคนเสื้อผ้าลายจนไม่มีที่เขียน  โดยเฉพาะจุ๊ยที่มีแม้แต่บนแก้มและแขน
จุ๊ยยังจำวันแรกที่มาโรงเรียนไม่ได้แล้ว  แต่ยังจำช่วงเวลาต่างๆได้ดี  ยังจำเสียงหัวเราะเพื่อนๆได้ ยังจำได้ว่าเขาซ้อมดนตรีหนักหนาและผ่านเวลาสุขร่วมกับสมาชิกวงโยธวาทิต  ยังจำช่วงเวลาโดนทำโทษเพราะความคะนอง  ยังจำตอนที่วิ่งไล่เตะไอ้เดฟไปตามระเบียง 
และยังจำรอยยิ้มของคนที่ไม่เคยได้มีวันนี้เหมือนเขา  พี่ไตร...
 
จุ๊ยเดินกลับมาตามทางซอยเข้าบ้าน  ก็โดนล้อเรื่องลวดลายบนใบหน้าและร่างกายมาโดยตลอด 
“อ้าว... นึกว่าเสือโคร่งที่ไหน  จุ๊ยนี่เอง  ไปตกกระป๋องสีที่ไหนมา” หลิวแซว
จุ๊ยยิ้มอายๆ
“ก็เพื่อนมันแกล้ง  มันบอกเสื้อไม่มีที่ ก็มีตัว แล้วมันละเลงเลยแถมล็อกจุ๊ยไว้ด้วย”
หลิวยิ้ม  แล้วเดินมาใกล้ใช้นิ้วปาดสีที่ย้อยลงมาใกล้ตา
“จะเข้าตาอยู่แล้ว”
รอยยิ้มหลิวสว่างได้จนน่าแปลกใจ
“ยิ้มอะไร” เธอถาม
“เปล่า” จุ๊ยตอบ
“เข้าบ้านก่อนนะ  ไปอาบน้ำ”
“เออจุ๊ย เดี่ยวขึ้นไปบนดาดฟ้าหน่อยสิ” หลิวเรียกรั้ง
จุ๊ยหยุด  เขาสังเกตเห็นกิริยาที่แปลกไปนิดหน่อย  แต่ก็เลิกคิ้วแล้วตอบ
“โอเค”
 
จุ๊ยอาบน้ำแล้วอยู่ในชุดเตรียมจะเข้านอน เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น
ขึ้นดาดมาเห็นหลิวนั่งกับกำแพงระหว่างบ้านเขากับหลิว
“มีอะไรรีเปล่า”
“ไม่สบายใจเหรอ”
เขานั่งลงข้างๆ
“เปล่าหรอก จริงๆหลิวกำลังดีใจต่างหาก” เธอตอบแล้วยิ้ม
“หลิวได้ทุนไปเรียนที่ออสเตเรียน่ะจุ๊ย”
จุ๊ยทำตาโตยินดี เผลอเอามือจับแขนของเธอ
“จริงเหรอ  ดีจังเลย ยินดีด้วยนะ”
หลิวมองมือของจุ๊ย แล้วหันไปทางอื่น
“แต่เราจะไม่เจอกันนานเลยนะจุ๊ย”
จุ๊ยเอามือออกแล้วหันไปอีกทาง
“ก็ไม่เป็นไรนี่  เดี่ยวหลิวปิดเทอมก็ได้เจอกันแล้ว  เรียนจบกลับมาก็ต้องเจอกันอยู่ดี  จุ๊ยไม่ได้หนีไปไหนซะหน่อย”
หลิวนิ่งก่อนจะลุก เดินมาตรงหน้าจุ๊ย
“หลิวถามตรงๆ จุ๊ยรู้สึกยังไงกับหลิว”
จุ๊ยอึ้งเพราะไม่คิดว่าจะโดนจู่โจม
“เออคือ” จุ๊ยออกปาก
แต่หลิวกลับหอมแก้มจุ๊ย
จุ๊ยตะลึง
“หลิวชอบจุ๊ยมาเลยนะ  จุ๊ยเป็นคนเดียวในโลกทีหลิวอยากจะอยุ่ด้วยไปตลอดชีวิต”
จุ๊ยมองตาหลิว  เขาเห็นเกล็ดน้ำตา  นี่เธอคงรวบรวมความกล้าอย่างมากที่ทำและพูดออกมาอย่างนั้น  ที่จริงที่ผ่านมากก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าหลิวคิดอะไรกับเขา  เขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น
จุ๊ยเม้มปากก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ขอบกั่นฝั่งที่หันออกไปหน้าบ้าน
“ทำไมหลิวถึงอยากรวบรัดอะไรตอนนี้ล่ะ  เราก็รุ้จักกันมานานมากแล้ว  ทำไมหลิวถึงต้องการจะรู้ตอนนี้  ไม่คิดว่ามันเร็วไปเหรอ”
หลิวนั่งลงในที่ที่จุ๊ยลุกไป
“ก็หลิวกลัวว่าถ้าเราไม่เจอกัน  จุ๊ยจะเปลี่ยนไป  จุ๊ยกำลังจะเรียนมหาวิทยาลัย  แต่ไหนแต่ไรจุ๊ยเรียนโรงเรียนชายล้วน  หลิวก็เลยกลัวว่าถ้าจุ๊ยไปเจอผู้หญิงคนอื่นที่สวยกว่าหลิวที่มหาวิทยาลัย จุ๊ยจะลืมหลิว”
จุ๊ยหันกลับมามองเธอ  แล้วเดินกลับมายืนตรงหน้า
“หลิว  สำหรับจุ๊ยหลิวเป็นผู้หญิงที่พิเศษที่สุดเท่าที่จุ๊ยมีในชิวิตเลยนะ  แต่เราเป็นเพื่อนกันแบบนี้ไปก่อนไม่ดีกว่าเหรอ  เพราะคนที่ไปเจอโลกกว้างกว่าไม่ใช่จุ๊ยแต่เป็นหลิว  ดังนั้นทำไมหลิวไม่คิดว่าคนที่อาจเปลี่ยนเป็นหลิว  หลิวอาจเจอคนที่ดีกว่าจุ๊ยก็ได้”
หลิวน้ำตาร่วง
“ไม่หรอก  หลิวชอบจุ๊ยคนเดียว”
จุ๊ยสูดลมหายใจลึก หลับตาลงชั่วครู่
“ฟังนะหลิว” เขาเช็ดน้ำตาออกให้หลิว
“สำหรับจุ๊ยหลิวจะพิเศษเสมอ  ไม่ว่าเจอผู้หญิงกี่คน หลิวก็มีความสำคัญกับจุ๊ยมากเหมือนเดิม  ตรงนี้จุ๊ยสัญญากับหลิว”
เธอเงยมองหน้าจุ๊ย  ดวงตาของจุ๊ยแสนจะอบอุ่น
“แต่เราจะเป็นเพื่อนกันก่อนไม่ได้เหรอ  เราจะเป็นเหมือนเคยกันไปก่อน  จนกว่าหลิวและจุ๊ยแน่ใจว่าตัวเองคิดอะไรแล้วเราค่อยคุยกันอีกทีว่าเราควรจะเป็นอะไรกัน  เพราะถ้าเร่งรีบไปแล้วความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นไปตามที่คิด  มันอาจไปทำลายความทรงจำดีๆของเราก็ได้นะหลิว  หลิวไม่เสียดายเหรอที่เราใช้เวลาร่วมกันมาตั้งสิบกว่าปี”
หลิวถอนหายในแล้วหลับตา
“จุ๊ยก็เป็นแบบนี้ล่ะ  เวลาจุ๊ยพูดอะไรซึ้งๆก็กลายเป็นว่าใครก็หาเหตุผลมาแย้งไม่ได้ทุกที”
แล้วทั้งคู่ก็นิ่งไป
หลิวเป็นฝ่ายลุกขึ้นเอง 
“หลิวจะมีจุ๊ยในใจไปตลอด  จุ๊ยก็อย่าลืมว่าหลิวสำคัญกับจุ๊ย  เพราะจุ๊ยสัญญาแล้ว”
จุ๊ยมองตาเธอ
“อืม จุ๊ยไม่ลืมหลอก  จะลืมได้ยังไง”  แล้วเขาก็เผยรอยยิ้มที่สดใสออกมา
หลิวเดินกลับไปบ้านตัวเองแล้ว  แต่จุ๊ยยังยืนอยู่  เขาเดินกอดอกมองไปอย่างไร้จุดหมาย  สุดจะคาดเดาได้ว่าเขาคิดอะไรตอนนี้
 
งานปัจฉินนิเทศจัดขึ้นหลังจากการสอบสุดท้ายของทุกชั้นปีการศึกษาจบลงได้ราวหนึ่งอาทิตย์
งานนี้เพราะทุกคนลงความเห็นว่าจุ๊ยควรจะได้พักบ้าง  เพราะทุกๆปีในงานสำหรับรุ่นพี่  จะต้องมีจุ๊ยมาเล่นดนตรีบนเวทีทุกครั้งไป  งานบนเวทีจึงเป็นวงจากข้างนอกที่จ้างมา  และจุ๊ยก็ได้ไปนั่งสบายกับเพื่อนๆชมการแสดง
วันนี้แม้จุ๊ยจะแต่งตัวหล่อขึ้นมานิดนึงด้วยรองเท้าผ้าใบ และกางเกงยีนต์ใหม่ที่ป๊าอนุญาตให้ไปซื้อได้  แต่ก็ยังดูเรียบๆอยู่ดีถ้าเทียบเคียงกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่แต่งกันมาเต็มยศเหมือนจะมาปลดปล่อย  แม้แต่อ๊อดยังแต่งมาซะหล่อด้วยกางเกงยีนต์สีครีมพับขา เสื้อสีฟ้าอ่อน มีหมวกทรงไบเล่ย์ติดตัวมาด้วย
“เอ็งไปเอาเสื้อผ้าแบบนี้มาจากไหน” จุ๊ยถามแล้วพิจารณาอ๊อดจากหัวถึงเท้า
“แต่งซะอย่างกับจะไปเดินแบบที่ไหน”
“แน่นอนคนมันหล่อ” อ็อดวางที่นายแบบ
จุ๊ยทำปากแบะ
“เปล่ากูกำลังจะบอกว่าเดินแบบชุดแรงงานประมงน่ะ  ที่ซอยหอมึงน้ำท่วมหรือวะถึงต้องพับขากางเกงหนีน้ำมา  แล้วนี่หัวค่ำ  มึงกลัวพระอาทิตย์บ้านพ่อมึงส่องกระบาลรึไงถึงได้ใส่หมวก  แล้วนี่ห่าอะไร... แว่นตา  กูจำได้ว่าสายตาไม่สั้นนี่  แล้วเอามาทำไม  ไปตีหัวเด็กนักเรียนแถวบ้านแย่งมารีเปล่า”
ก้องภพที่ฟังอยู่หัวเราะ
“โดนไอ้อ็อดโดน”
“ไอ้สัตว์ด่าซะเสียเซล  กูไปฆ่าพ่อมึงเหรอจุ๊ยจองเวรกูจริง  นี่มันวันปัจฉิม  มึงจะฝากหมาในปากอยู่บ้านให้พี่น้องมึงดูแลไม่ได้เหรอไอ้หอก”อ๊อดว่า
จุ๊ยทำหน้าไม่หยีหละ
“ก็กูรู้ไงว่ามึงจะแต่งตัวแบบนี้มา กูเลยเตรียมหมามาเห่าไล่  กลับไปวิดน้ำท่วมหน้าบ้านเหอะมึงอย่ามาเก๊กแถวนี้”
ปอกับตั้มเดินกลับมาจากโต๊ะของเพื่อนนักกีฬาฟุตบอลได้ยินพอดี
“มึงก็รู้หมาไอ้จุ๊ยมันดุ  ก็เสือกแต่งมายั่วหมา  ไม่โดนแม่งกัดก็บุญละ” ปอว่าแล้วนั้งลงกอดคอจุ๊ย
แต่จุ๊ยแกะมือมันออก
“โถไอ้ปอ  พ่อคุณปากเป็นสิริมงคล  ใครจะพูดจาเข้ารูแตดเหมือนมึง  ถ้าหมากูดุ หมามึงหมาหอบแดดล่ะวะ  มึนถึงได้ห้อย...” พูดไม่พูดเปล่าดึงปากไอ้ปอด้วย 
“จะยานติดพื้นอยู่แล้วไอ้หอก.. เก็บๆซะบ้าง ลากพื้นเป็นทาง กูเดินตามนี่นึกว่าลายแทง”
เพื่อนหัวเราะกันหัวคลอน
ปอนึกอยากจะตอบแต่ยังเจ็บปากเพราะโดนดึงเลยลูบปากทำเสียงอู้ๆอี้ๆ
“อะไรนะเอี้ย” จุ๊ยทำท่าป้องหูฟัง ก่อนใช้โอกาสที่เพื่อนยังตอบโต้ไม่ได้
“เอี้ยทำไมกูไม่ได้สั่งมึงโดดหอ  มึงนี่ท่าจะขอบเรียนรด.นะ  ชอบดิรอ...ดอเนี่ย  เอากี่ดอดีหล่ะ เดี่ยวกูไปเรียกไอ้เดฟมาช่วยสนอง”

“ดอของผมเก็บไว้ให้จุ๊ยคนเดียวครับ”
ประโยคนี้ทำเอาจุ๊ยสะดุ้ง
“อีเหี้ยนี่มึงเป็นญาติอะไรกับผีจูอนรีเปล่าวะ พูดถึงก็โผล่มาเงียบๆ  กูตกใจ”
เพื่อนหัวเราะ เดฟนั่งลงข้างจุ๊ย
อัศวะเดินหัวคลอนมานั่ง
“แม่งเยอะ” 
“อะไร เยอะ” อ็อดถามอัสวะที่นั่งลงข้างๆ เนื่องจากเขาเป็นผุ้ประสานงานเสียงและแสง เพราะทั้งหมดเช่ามาจากบ้านของอัศวะที่เป็นบริษัทจัดการเกี่ยวกับงานอีเว้นท์
“ก็แก็งอีเหมียวไง  แม่งจะแสดงระบำเหี้ยอะไรไม่รู้ บอกเวทีมืดเดี่ยวไม่สวย” อัศวะถอนหายใจ
“ไอ้ควาย มึงก็ส่งไฟฉายกระบอกนี้ให้” แล้วก็เอื้อมไปตบที่เป้าของอัศวะจนเขาสะดุ้ง
“เอาให้มัน มันจะดูด เอ้ยส่องเงียบๆ”
“เอาของมึงไปให้ไป๊ ไอ้จุ๊ย..” อัศวะตอบ
“ไม่ได้นะครับ  อันนี้ของผม” ไม่พูดเปล่ากุมหมับลงไปเล่นเอาจุ๊ยสะดุ้งโหย่ง
“ไอ้ห่า”เอามือออกแล้วตบหัวไปที
“ไข่กู ของสงวนไม่ได้มีไว้จับเล่น  ไปเลยไปนั่งโต๊ะห้องมึง เดียวกูก็ให้ไอ้พวกนี้รุมเอาตูด”
เดฟลุกขึ้นแล้วส่ายหน้า
“ไม่เอาหล่ะครับ  ตูดผมเก็บไว้จุ๊ยคนเดียวเท่านั้น”
แล้วก็หยิกแก้มจุ๊ย
“ไอวิวคัมแบ๊กนะดาห์ลิงค์”
“Fuck UUUU” จุ๊ยแหกปากไล่หลังไป

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 17 ความในใจของวาทิต
แต่เดฟที่เดินพ้นไปได้สักระยะแล้วก็หันมาส่งยิ้มให้อย่างเท่ห์ก่อนจะชูมือบอกไอเลิฟยูเป็นภาษามือ
ตั้มมองตามหลังเดฟไป
“กูว่าทั้งโรงเรียนนิ  ถ้าจะมีใครที่ไม่ค่อยหมาไอ้จุ๊ยกัดก็คงเป็นไอ้เดฟนี่หล่ะ คือไม่ได้โดนมันแขวะมันแซว แต่โอนอัดอย่างเดียว... น่วมเป็นกระสอบซ้อมมือ”
“ไหนมึงว่ามึงจะเคลียร์กับมัน” ก้องภพทวงคำพุดของจุ๊ยเอง
จุ๊ยกอดอก
“ก็มันหาเวลาไม่ได้เลยนี่หว่า... มึงก็รู้ว่ามัน...” แล้วจุ๊ยขยี้หัวที่ผมเริ่มจะยาวกว่าเดิมแรงๆจนยุ่งขี้โบ้ชี้เบ้
“โอยย... แม่งก็ดีกับกูเหลือเกิน... บางทีกูก็หวั่นไหวนะเว้ยบอกตามตรง”
อ็อดส่ายหัว
ก่อนจะหันไปเห็นอะไรบางอย่าง
“มีอีกคนที่มึงต้องเคลียร์ โน่นเดินมาโน่นแล้ว”
วาทิตกำลังเดินตามอาจารย์ไปยังหน้าเวที
จุ๊ยสงบท่าทีลง 
กับวาทิตเขารู้สึกอยากทะนุถนอม  เพราะความที่มีเรือนร่างบอกบางและนิสัยน่ารัก
“น้องเขาก็เป็นเหรอวะ” ก้องภพถาม
“เปล่า..”จุ๊ยปฏิเสธ
“มึงรู้ได้ไง” ฮ้อยโผล่มาข้างหลัง  แล้วนั่งลง ฮ้อยออกไปรับน้องม.สี่กับม.ห้าที่มาร่วมงานในฐานะตัวแทนตามคำสั่งอาจารย์
“กูดูออกจุ๊ย น้องเขาชอบมึงแน่นอน... ว่าแต่มึงเถอะเวลามึงสอนน้องเขานี่หน้าแทบจะติดกัน  ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ  แล้วไม่คิดจะร่ำลากันเป็นกิจลักษณะหน่อยเหรอ”
“ก็ลาไปแล้วไง เมื่อสองวันก่อน”
จุ๊ยหมายถึงตอนเข้ามาซ้อมวันอาทิตย์ครั้งสุดท้ายของเขา อ็อดและฮ้อย
ซึ่งทั้งสามสหายและเพื่อนสมาชิกวงโยธวาทิตม.หกที่ถอยออกไปจากชมรมเพื่อทุ่มเทให้กับการเรียนก็มาพร้อมกันและกล่าวอำลา
สามสหายตัดสินใจเลือกอู๊ดเป็นหัวหน้าวงคนต่อไป และมอบหมายตำแหน่งคนดูแลฝึกสอนน้องใหม่ในแต่ละเครื่องดนตรีต่อไปด้วย
“พวกกูลากันเรียบร้อยแล้ว”
จุ๊ยหันไปมองหน้าวาทิตอีกครั้ง
 
“พี่จุ๊ยครับ” วาทิตกล่าวหลังจากเก็บแซกโซโฟนตัวใหม่เอี่ยมลงกล่อง
“หือ” จุ๊ยขาน
“วันนี้เราผมเรียนกับพี่จุ๊ยเป็นวันสุดท้ายใช่ไหมครับ” วาทิตกล่าวเสียงค่อยๆเบาลง
“เฮ้ยบ้า  พี่ยังมีชีวิตอยู่ยังไม่ตาย  วาก็เหมือนกัน  วันไหนติดขัดตรงไหน อยากได้คำแนะนำก็ไปหาพี่ก็ได้  พี่ยินดีจะสอน  หรือไม่พี่ก็อาจจะมาบ่อยๆ เผื่อเราหรือน้องคนอื่นอยากจะถาม” จุ๊ยตอบแต่ยังไม่ได้หันไปมองหน้าวาทิตก็เลยไม่รู้ว่าวาทิตทำอะไรตอนนั้น
พอหันไปก็เห็นวาทิตถือซีดีที่มีปกเป็นรูปศิลปินแจ๊สหลายคน
“ผมอยากจะให้พี่ครับ  ขอบคุณที่สอนผมครับ”
จุ๊ยรับซีดีมา
“ขอบใจ  ที่จริงพี่ก็แค่สอนไปตามหน้าที่  พี่จะไปแล้วก็ส่งทอดตัวแทนไว้บ้าง  เอาไว้ช่วยไอ้อู๊ดมัน”
วาทิตนิ่งไปอีกเหมือนมีอะไรจะพูด
“มีอะไรเหรอ  หน้าตาอึดอัดอยากจะพูดอะไรกับพี่รึเปล่า”
แล้ววาทิตก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ผมชอบพี่ครับ”
จุ๊ยรู้สึกเหมือนถูกแรงปะทะจากเสียงนั้น  จริงๆแล้วตอนที่จุ๊ยตัดสินใจเลือกวาทิตจากกลุ่มเด็กม.สี่ ทั้งที่ตัวเล็กบอบบาง  เพราะวาทิตมีวิธีการเปล่งลมที่แปลกกว่าคนอื่น
พอวาทิตพูดออกมาแบบนี้  เขาก็ใช้การหายใจแบบนั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว  เสียงจึงก้องไปทั่วบริเวณ
“พี่ ก็ชอบเรานะ เราเป็นเด็กดี” จุ๊ยตอบออกไปเพราะไม่รู้จะตอบอะไรดีกว่านั้นเพื่อทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดที่ เกิดจากความเงียบหลังวาทิตบอกออกมาแล้ว
“ไม่ใช่ครับ” วาทิตก้มหน้า  มีเกล็ดน้ำตาอีก
“ผมชอบพี่แบบผู้ชายชอบผู้หญิง  ผมรู้ครับว่าผมไม่ควรชอบพี่ แต่ผมก็ชอบพี่ไปแล้ว  ผมไม่ได้คาดหวังอะไร แค่หวังให้พี่รู้เอาไว้ก็พอ”
จุ๊ยมองหน้าเด็กที่ตัวเองใช้เวลาด้วยมาร่วมปีเต็มๆ
“วา” เขากล่าวออกมาแล้วดึงร่างเล็กๆเข้ามา
“พี่เป็นผุ้ชาย  เราเป็นผู้ชาย  วาจะชอบพี่แบบผุ้ชายชอบผู้หญิง ได้ยังไง  วาจะให้พี่เป็นผู้ชาย วาเป็นผู้หญิงก็ไม่ได้หรือกลับกันก็ไม่ได้  เพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่”
วาทิตเริ่มสะอื้น
“แต่ผมชอบพี่จริงๆ  เวลาพี่อยุ่ใกล้ๆหัวใจผมมันจะเต้นแรงมาก  เวลาพี่ยิ้มให้ผม ผมจะรู้สึกว่าตัวมันจะลอย ผมรู้สึกจริงๆ”
จุ๊ยเอื้อมมือดึงตัววาทิตเข้ามา  แล้วเขาก็ทำในสิ่งที่ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองทำไปอย่างนั้น  คือจูบลงที่หน้าผากของวาทิต
“วา..โลกนี้มีความรักอยู่แบบหนึ่งที่มันน่าประทับใจและยั่งยืนมาก  คือความรักระหว่างพี่กับน้อง  เราจะเป็นแบบนั้นได้ไหม  วากอดพี่ได้ หอมแก้มพี่ก็ได้  แต่เป็นในแบบพี่กับน้อง  แบบนั้นไม่ดีกว่าเหรอ  เราก็รักกันแบบนั้นดีกว่า  เพราะพี่อยากได้น้องน่ารักๆอย่างวามากกว่าแฟนผู้ชายตัวเล็กๆ”
วาทิตน้ำตาร่วงเหมะ แต่แล้วเขาก็ปาดน้ำตาออก
“ที่จริงผมก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้  แต่ถ้าไม่พูดออกไปผมต้องอกแตกตายแน่ๆ”
จุ๊ยยิ้มแล้วขยี้หัวก่อนจะดึงวาทิตมากอด
“ขอกอดหน่อยสิน้องของพี่”
แล้วเขากับวาทิตก็เดินคู่กันออกจากโรงเรียน ไปกินข้าว แถมไปดูหนัง แล้วเขายังไปส่งวาทิตถึงหน้าบ้านก่อนจะแยกจากกันด้วยรอยยิ้ม
“ผมเรียกพี่ว่าเฮียได้ไหม” วาทิตถามก่อนจะเข้าบ้าน
“ทำไมหล่ะเราคนจีนเหรอ”
วาทิตพยักหน้า
“เอาสิตี๋วา” จุ๊ยจับหัววาทิตอีก
“ครับเฮียจุ๊ย” วาทิตตอบ
แล้วเหมือนวาทิตจะรู้ตัว  เขาหันมาเห็นจุ๊ยก็ยิ้มแล้วโบกมือ  เรียกเขาด้วยการขยับริมฝีปากว่าเฮีย
จุ๊ยยิ้มและยกมือตอบ  ก่อนจะส่งสัญญาณว่าให้มานั่งนี่
แต่วาทิตชี้ไปทางอาจารย์แล้วเดินตามไป
“อ้าวนั้นน้องมันด่ามึงทำไมวะ” ไอ้อ๊อดถาม
“มันด่ามึงว่าเหี้ยรึเปล่าวะ”
จุ๊ยหันมอง 
“เปล่ามันเรียกกูว่าเฮีย  แต่ถ้ามึงน่ะ” แล้วเขาก็ขยับไปใกล้ๆหน้าอ๊อด
“ไอ้เหี้ย”
อ๊อดต้องหลับตาเพราะเหี้ยนั้นมาพร้อมน้ำลาย
อ็อดถลันลุกปลุกปล้ำทั้งจับมือจุ๊ยที่พยายามปัดป้อง
“มึงสิเหี้ยๆๆไอ้สัตว์เหี้ยของมึงนี่น้ำลายเต็มหน้ากู เหี้ยๆๆ”
อัศวะส่ายหัวขณะตัวเขาก็โดนสองคนเบียดดันจนโอนไปเอนมา

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 18 สายน้ำที่ไม่ยอมร้องเพลง และความลับของจุ๊ย   
จุ๊ยรู้อยู่แล้วเรื่องรางวันนักเรียนดีเด่นสาขาดนตรี เขาจึงมายืนรออยู่ข้างเวที  พอถูกเรียกก็เดินขั้นเวทีมารับรางวัลจากผู้อำนวยการ
“นายนทีธารขอบใจนะ  ที่ช่วยสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนมาหลายปี”
จุ๊ยตอบว่าครับ  แต่พอจะเดินลงจากเวที 
“ขอบคุณท่านผู้อำนวยการครับ  แต่นายจุ๊ย อยู่ก่อน”
จุ๊ยหันมามองหน้า
ประธานนักเรียนที่เป็นพิธีกรก็หันไปมองวงดนตรีที่อยู่ข้างหลัง ก่อนจะหันเดินมาดึงตัวจุ๊ย
“คือพวกเราก็ได้เห็นจุ๊ยบนนี้บ่อยมากๆ  ทั้งมารับรางวัล มารายงานความสำเร็จ  มาเล่นดนตรี  แต่อย่างหนึ่งที่เราไม่เคยเห็นนายทำคือ..”


จุ๊ยทำตาโตมองหน้าประธาน
“ร้องเพลง ร้องเพลง ร้องเพลง” บรรดาเพื่อนๆตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน
“ล้อเล่นน่า” จุ๊ยส่ายหน้าแล้วทำท่าจะวิ่งลงเวที
“เจ๊เหมียวสกัดไว้” ประธานรีบบอก
แก๊งค์เหมียวที่แต่งตัวมาแนวคาบาเร่ห์จัดเต็ม  ก็ปรีมาขวางทางลงจากเวทีไว้
“อุ๊ย... ตกใจเลย“ จุ๊ยทำท่าสะดุ้ง แล้วเดินถอยกลับขึ้นมา
ประธานเดินมายัดไมค์ใส่มือ
“เอาเพลงอะไรก็ได้ ที่จุ๊ยถนัด...”
จุ๊ยยืนคิด ก่อนจะบอกชื่อเพลง
คนตรีก็เริ่มเล่น
แต่เดี่ยวเขาก็ทำท่าวิงเวียน
“อุ๊ยๆ เวียนหัวจะเป็นลม ขอตัวไปนั่งก่อนนะ”
แล้วทำท่าจะเดินลงเวที
 “ไม่ต้องไม่ต้อง” ประธานดีงเขากลับขึ้นเวที 
“เจ๊เหมียวเตรียมซีพีอาร์”
แล้วเหมียวแอนด์เดอร์แก็งค์ก็วิ่งขึ้นมา
จุ๊ยวิ่งหนีไปอีกทางก็เจอรองประธานตามมาขวางไว้
“ร้องก็ได้วะ” เขาว่าเพราะโดนดักทั้งหน้าและหลัง เดินหน้าจ๋อยกลับมากลางเวที
เพื่อนหัวเราะกันครืนเครง
เขาเอาไมค์ไขว้หลังแล้วทำบางอย่าง
พอเอาไมค์ออกมาทำท่าจะร้อง ถ่านข้างในก็ร่วงกราว
“ว้า..พังซะละ”  เขาทำเสียงเล็กเสียงน้อย แล้วหันมาส่งไมค์ให้ประธานที่ยืนกำกับอยู่ไม่ห่างไป
“ซ่อมไมค์เสร็จค่อยเรียกนะ” ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินลง
“เดี่ยวๆ อัสขอไมค์” ประธานขวางทาง แล้วสั่ง
อัศวะก็ขึ้นมาบนเวทีโดยมีไมโครโฟนเหน็บเอวมาห้าหกอัน
“เอาไป” ส่งให้ตัวหนึ่ง
จุ๊ยรับไมค์มาทำปากเผยอ มองไมโครโฟนรอบเอวอัศวะ ก่อนจะกล่าว
“โห... พกมาเป็นโหล  นึกว่าพวงปลัดขิก  กลัวผีหลอกเหรอครับพี่”
“เปล่า” อัศวะ เอี่ยวเข้ามาที่ไมค์
“ก็กลัวนายจะพังไมค์ เลยเตรียมมาเยอะๆ  เขารู้ทันนายกันหมดแล้วจุ๊ย”
จุ๊ยทำหน้าปุเลี่ยน แล้วก็บ่น
“โหย... ดักทางหมดเลยนะ”
แต่แล้วเขาก็ผงาดขึ้นอย่างมาดมั่น
“กลัวอะไร ร้องก็ร้องดิ”  แล้วเขาก็ขยับมาหน้าเวทีจนชิดขอบ
“เอ้ามิวสิค” เขาชี้นิ้วขึ้นฟ้าสั่ง อย่างกับร๊อกสตาร์
นักดนตรีก็เริ่มต้นอีก  แต่จุ๊ยกลับปีนหนีลงจากเวที
แต่ปรากฏว่าอ็อด ฮ้อย ปอ และตั้มที่รออยู่แล้วก็กรูกันเข้ามาจับ
“ช่วยด้วยช่วยด้วย” จุ๊ยโวยวายดิ้นรนแต่ก็สู้แรงนักฟุตบอลสองคนกับนักดนตรีอีกสองไม่ได้
“ช่วยด้วยผมถูกข่มขืน”
แม้แต่ผู้อำนวยการยังหัวเราะจนตัวโยน
วรรณาป้องปากหัวเราะ  แล้วก็หันมาถามอติที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะ
“จุ๊ยเขาร้องเพลงแย่ขนาดนั้นเลยเหรอค่ะ ถึงไม่ยอมร้อง”
“อ้อก็เปล่าหรอก แค่มันผิดคีย์  คือจุ๊ยเขาอาจเก่งเรื่องเล่นดนตรี  แต่ร้องเพลงเหมือนเขาจะคุมเสียงตัวเองไม่ได้ก็เลยร้องผิด ขนาดเพลงชาติยังเพี้ยนก็แล้วกัน”
อติกล่าวกลั้วหัวเราะ
“แต่เพื่อนรักเขามากเลยนะค่ะ” เธอยิ้มมองเพื่อนรุมปล้ำจับจุ๊ยที่ดิ้นหลุดในนาทีสุดท้ายแล้ววิ่งลงเวทีมาอีก
อติก็ยิ้มมองไปในภาพโกลาหล
แล้วอาจารย์ก็มองไปในความหลังที่พ้นผ่าน
“เราคุ้นเคยกับการได้เห็นหน้าจุ๊ยบนเวทีกับหน้าเสาธง  แล้วเขาก็เป็นคนยิ้มง่ายและเป็นมิตร ที่สำคัญคือไม่เคยมองใครในแง่ลบ  อย่างนี้ล่ะมั๊งเพื่อนร่วมรุ่นก็เลยชอบเขา”
“ผมคงเหงาไม่น้อยที่ไม่ได้เห็นเขาในห้องชมรม  และคงเหงาไม่น้อยที่ไม่ได้ยินเสียงแซ็กโซโฟนของเขาในตอนเช้า”
 
“ใครจับไอ้จุ๊ยได้เอาไปเลยห้าร้อย” ประธานประกาศ เมื่อจุ๊ยหนีลงไปจากเวทีได้อีกรอบ
คราวนี้ทั้งหมดที่อยู่โต๊ะด้านหน้าก็เลยลุกขี้นมาขวางทางจุ๊ย
จุ๊ยหันรีหันขวาง ปรากฏว่าโดนล้อมทุกด้าน
เลยล้มตัวลงนอนบนพื้นสนามหญ้า แขนขากาง
“กูยอมแพ้  จะฆ่าจะแกง เชิญ”
“เอามันขึ้นมามัดกับเสา  เอาเข็มขัดโบยมันจนกว่ามันจะร้อง” ประธานบัญชา
เพื่อนๆก็กรูเข้ามา
“เฮ้ยเบาๆ  โอยๆ อย่าข่มขืนกู...” จุ๊ยร้องเสียงหลง
วาทิตยิ้มกับภาพรุ่นพี่พร้อมใจกันหามพี่จุ๊ยขึ้นไปบนเวที  แล้วก็ให้เดฟเอาเข็มขัดโบยเบาๆแบบเรื่องนางทาส
พี่จุ๊ยก็ดีดดิ้นไปอย่างสมจริง
“กูว่าพี่จุ๊ยของมึงน่ะ  เลิกเล่นดนตรีเหอะ” เพื่อนรุ่นเดียวกันคนหนึ่งที่มาด้วยกล่าวกับวาทิตหลังจากหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาเล็ด
“ไปเล่นตลกเหอะว่ะ ท่าจะรุ่ง”
วาทิตยิ้มตอบแต่ไม่ตอบเป็นคำพูด
ผมคงคิดถึงพี่มากเลย พี่จุ๊ย.. เขาบอกกับตัวเองในใจ

งานในโรงเรียนจบลงตามพิธีการ แม้จะมีช่วงที่โกลาหลวุ่นวายกับความพยายามจะจับจุ๊ยร้องเพลง  แต่ก็ดำเนินต่อไปอย่างเรียบร้อย  จนกระทั้งงานเลิก
แต่งานปาร์ตี้ของจริงคือหลังจากนี้  เดฟบอกว่าเนรมิตบ้านของเขาให้กลายเป็นผับขนาดย่อมๆและชวนเพื่อนๆไปอย่างไม่จำกัดกลุ่มห้อง
แต่ไปจริงๆก็จะมีแต่พวกที่สามารถไปค้างอ้างแรมบ้านเพื่อนได้ แล้วก็คนที่สนิทสนมกันอย่างจริงจัง
จริงๆแล้วจุ๊ยไม่ได้บอกว่าบิดาว่าจะไม่กลับบ้าน เขาก็เลยพยายามเลี่ยง  แต่กลับถูกแก็งค์เกย์สาวจับล็อกแล้วมัด ให้พวกหนุ่มๆแบกไปโยนใส่เบาะหลังรถของเดฟ
“กูไม่ไป  พรุ่งนี้ กูมีนัด กูจะกลับบ้าน” จุ๊ยดิ้นแต่ไม่อาจปลดพันธนาการชองเชือกที่รัดได้
“ไม่มีแกจะสนุกเหรอจุ๊ย” เดฟว่า
“ไม่เอา กูจากลับบ้าน” จุ๊ยโวยวาย เดฟรำคราญเลยปิดประตูรถซะเลยแล้วหันไปหาก้องภพกับเพื่อนที่มีรถ
“พวกนายไม่เคยไปกันใช่ไหม  ขับตามกันมานะไม่ไกลหรอก อยู่แถวตลิ่งชันนี่เอง”
ระหว่างอธิบายทาง ก็มีซาวประกอบเป็นเสียงอุทธรณ์และเอาหัวโขกกระจกเรียกร้องของความสนใจชองจุ๊ย
 
แม้จะบอกว่าเป็นผับย่อมๆแต่พอไปถึงก็ต้องตะลึงเพราะมีการจัดบรรยากาศบ้านทั้งหลังให้เป็นเหมือนคลับหรู
“ทำอย่างนี้พ่อไม่ว่าเหรอ” จุ๊ยตอนนี้สงบได้แล้วปีนมานั้งเบาะข้างเดฟ
“เขาไม่ได้อยู่หลังนี้นี่ หลังนี้เป็นของเดฟ  โน่นเขาอยู่กับภรรยาใหม่ของ” เดฟตอบ
จุ๊ยก็ไม่ได้พูดต่อ เพราะเขารู้ดีเรื่องความระหองระแหงของเดฟกับพ่อที่เป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ใหญ่
 
“ตอนแรก กูก็ว่า...เหี้ยเพื่อนกูโดนเสือคาบไปแดกรีเปล่าวะ ก็เลยมุดเต็นท์ออกมาหาเดินไป  เห็นพุ่มไม้สั่น... เฮ้ย หมี หรือเสือวะแดกเพื่อนกูอยู่  แต่พอเข้าไปเท่านั้นชัดเจนเลย ป๊าบ ป๊าบ โอ๊ยเบาๆ ป๊าบ ป๊าย “
เพื่อนหัวเราะกับเสียงของจุ๊ยตอนบรรยายภาพ
“กูเลยยืนตรง” จุ๊ยทำท่าให้ดู
“ทำความเคารพครูฝึก”
“เท่านั้นแม่งพรวดขึ้นมา  ตัวยังติดกันอยู่เลยอย่างกับหมาติดเป้ง”
เพื่อนที่ล้อมวงฟังอยู่หัวเราะกันครื้น
“ไอ้จุ๊ยนี่มันสรรหาอะไรมาเล่าให้ฮาได้ตลอดว่าไหม” ก้องภพที่ยืนพิงเสากล่าวแก่เดฟที่กำลังเดินผ่านมา
“ด้วยการเอาเรื่องของผมมาเผานี่เนี่ยนะ  เอาปืนลงมายิงทิ้งซะดีไหม” เดฟหยุดเท้า แล้วกล่าวทั้งจิบเครื่องดื่ม
“อ้าวเหรอ ฟังอยู่ตั้งนาน ก็นึกอยู่ว่าใครวะ” ก้องภพหัวเราะเขินเพราะจุดได้ตำตอ
แต่เดฟกลับเดินตรงเข้าไป
“เหม่ผมก็นึกว่าจุ๊ยเพราะมันมืด  พอเห็นจุ๊ยก็เลยรู้ว่า อ้าว..ผิดตัวนี่หว่า”
ฮากันครืนยกกำลังสอง
“แล้วตกลงใคร” เหมียวสนใจจะรู้
“ไม่ต้องรู้เขาเอากันแบบไหน  ไม่ต้องหาว่าใครไหนโดยไอ้เดฟสอยตูดบาน” จุ๊ยตอบเป็นเพลงแบบผิดคีย์
“บอกหน่อยสิ ใบ้ก็ได้อยู่ในนี้ไหม”
จุ๊ยหันมองรอบตัว  แล้วส่ายหน้า
“ไม่มา  สงสัยกลัวกูขุดเอามาเล่า”
“ใคร” เหมียวหันมาหาเดฟ
เดฟทำหน้าโปรยเสน่ห์
“ความลับครับ”
แต่เหมียวยังค้างคาใจ จะแย้ง
“เปลี่ยนเรื่องเปลี่ยนเรื่อง  เอาเรื่องนี้ดีกว่า  เพื่อนๆรู้ไหมว่าพี่จุ๊ยของเรากลัวอะไร”เดฟโบกมือก่อนจะกล่าวเรียกความสนใจ
“เฮ้ยๆเดฟสัญญากันแล้วนะ” จุ๊ยท้วง
“เอาเรื่องผมมาเผาได้ ผมก็จะเผาจุ๊ยบ้าง” เดฟลอยหน้าตอบ
“เฮ้ยกูยอมแพ้ ขอโทษ อย่าเล่าเลยนะนะ” จุ๊ยยกมือไหว้
“ไม่เอา ผมจะเล่าทีจุ๊ยยังเล่าเรืองเขาได้ พอเรื่องตัวมาทำขอร้อง”
“กลัว..ก...”
เดฟออกเสียงได้แค่นั้นเพราะจุ๊ยพุ่งช้ามโต๊ะมาอุดปากจนล้มกลิ้งไปทั้งคู่
“กลัว” เดฟดึงมือออกได้ก็จะพูดอีก
“หุบปากเลย” จุ๊ยรีบอุดปากมันอีกรอบ แล้วกล้าเป็นปล้ำกันไปปล้ำกันมาอยู่บนพื้น
“กลัว”
“เฮ้ยหุบปาก”
“กลัว”
“เงียบเลยไอ้เดฟ”
เพื่อนๆหัวเราะร่วนกันอีก
 
“ต่อ ไปเราจะได้มีโอกาสสนุกกันแบบนี้อีกไหมนะ” ปอที่เดินมาพร้อมตั้มและอัศวะ แล้วเเดินมาข้างหลังยืนข้างก้องภพ เขาถามแล้วเกาะไหล่ก้องภพ
“ก็ไม่รู้สิ”  ก้องภพยิ้ม
“เราคงคิดถึงมันมากแน่ๆเลยว่าไหม”
“หูกูคงโล่งไปเลยล่ะ  ประสาทก็ไม่ต้องเสีย ลุกนั่งก็ไม่ต้องกังวลว่าไอ้จุ๊ยจะคอยแกล้ง” ตั้มหัวเราะเบาๆ
 
“กลัวกระต่ายนะเหรอ” เจ้าของเสียงคืออ็อด ที่พึ่งเดินมาจากทางห้องน้ำ
ทุกคนเงียบหันมามองหน้าอ็อด  รวมทั้งจุ๊ย
“กลัวทำไมออกจะน่ารัก” เหมียวสงสัย
“ก็...” จุ๊ยตอบเสียงอ่อยๆ แล้วลุกจากร่างของเดฟ
“ตอนเด็กเคยวิ่งเล่นกับมันแล้วล้มทับมันตาย”
เพื่อนฮากันลั่น
“เฮ้ยไม่ตลกนะเว้ย กระต่ายน้องสาวกู กูทับแม่งตาย  ป๊าเอากูฟาดตั้งสิบกว่าที  ตั้งแต่นั้นมาเห็นมันแล้วก็” จุ๊ยทำท่าขนลุก
“แบบว่ากลัวไปเหยียบมันอีกอะไรอย่างเนี่ย”
ระหว่างที่จุ๊ยเล่าไป  ฮ้อยก็โผล่มาข้างหลัง
“กระต่ายแบบนี้ใช่ไหม”
จุ๊ยหันมาเห็นกระต่ายตัวขาวมองเขาตาวาว
“เหี้ย” เขาร้องลั่น แล้วกระโจนหนี
“จับมันไว้” ฮ้อยสั่ง เพื่อนก็รุมกันมาล๊อกไว้
“ไม่เอา ไม่เอา พวกมึงแกล้งกู” จุ๊ยตะโกนลั่น ดิ้นรนทว่าไร้ผล
“ไม่เอา กูบอกว่าไม่เอา...ไม่เอา..ไอ้เพื่อนชั่ว ไอ้เพื่อนเลว เพื่อนทรยศ”
 
“คนเหี้ยอะไรกลัวกระต่าย” ปอส่ายหัว
“ก็คนอย่างไอ้เหี้ยนี่ไง” ตั้มกล่าวแล้วมุ่งเข้าไปร่วมวง
“มึงตายไอ้จุ๊ย แกล้งกูไว้เยอะตั้งแต่ม.ต้น ขอเอาคืนบ้างหล่ะ”
อัศวะส่ายหัวดุกดิกกับเพื่อนๆที่เล่นเป็นเด็กไม่รู้จักโต แต่เขาก็หัวเราะชอบใจ

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 19 : ขอเป็นเพื่อนอย่างเดิมได้ไหม
พอถึงเวลาใกล้จะเช้า  ก็เหลือแค่เพลงคลอเบาๆเท่านั้นที่ยังเล่นอยู่  แล้วจากเกือบร้อยคนก็ลากลับไปบ้าง เมาจนต้องขอตัวไปนอนที่ห้องซึ่งเดฟเตรียมไว้บ้าง  นอนกลิ้งอยู่กลางบ้านบ้าง  จนแอลอีดีทีวีที่เปิดทิ้งไว้เป็นฝ่ายดูคนหลับกันหมด
แม้จุ๊ยจะกินเหล้าอย่างระวังตัวแต่เพราะอาการง่วงจึงผล็อยหลับไป  ตื่นมาพบว่าเขาโดนทั้งอ๊อดและฮ้อยกอดก่ายเขาอยู่
ดันพวกมันออกไป แล้วหันมองนาฬิกาบนฝาก็เห็นเป็นเวลาตีสี่แล้ว
“ตายๆ กลับบ้าน กลับบ้าน” เขาบอกกับตัวเอง
แต่พอล้างหน้าล้างตา แล้วออกมาจากตัวบ้าน  เขาก็เห็นเดฟนั่งกอดเข่าตามองดาวอยู่คนเดียวริบสระว่ายน้ำ
จุ๊ยมองอยู่เขานาน ก่อนจะเดินเข้าไป
“ไม่ง่วงเหรอ  กินไปตั้งเยอะ”
เดฟรู้ตัวอยู่ตั่งแต่ตอนจุ๊ยออกจากบ้านแล้วจึงตอบ
“พวกนั้นมันคออ่อน ผมปาร์ตี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แค่นี้ไม่มีปัญหาหรอกครับ”
จุ๊ยนั่งลงข้างๆ
“ทำไมมึงชอบดูดาวจัง”
“ก็มันสวย” เดฟตอบ
“ดูดาวแล้วก็จินตนาการเป็นรูปนั้นรูปนี้สนุกดีออก”
ในแสงเงาแบบนี้เดฟยังคงดูดี  ด้วยตาน้ำตาลอ่อนเป็นประกาย  สันจมูกโด่ง ริมฝีปากบางได้รูป
“คิดถึงเนอะ” เดฟกล่าวออกมา
“จำได้รึเปล่าว่าเราคุยกันครั้งแรกในท้องฟ้าจำลอง”
จุ๊ยพยักหน้า
“ตอนนั้นนายยังเป็นผุ้ชายอยู่เลย”
เดฟยิ้ม
“ตอนนี้ผมก็ยังเป็นผู้ชาย  แต่เป็นผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกันก็เท่านั้นเอง”
เดฟเปิดเผยความเป็นเกย์ หลังจากมีเรื่องลือกันสนั่นกองร้อยลูกเสือเรื่องที่เดฟสุดหล่อมีความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมหมู่ในเต้นท์  แทนที่เดฟจะโกรธ  เขากลับแสดงตัว และยักไหล่ต่อเสียงครหาอย่างไม่ยี่หระ
แต่ปัญหาของจุ๊ย คือปีต่อมา  เขาก็ประกาศไปทั่วโรงเรียนว่าหมายตาจุ๊ย  แถมแสดงอาการให้เห็นอย่างเปิดเผยว่าชอบจุ๊ย
“ทำไมมึงถึงชอบกูวะ  กูถามจริงๆ อย่ากวนตีนนะ” จุ๊ยตัดสินใจถามออกไป
เดฟหัวเราะดังหึ หันไปหยิบแก้วที่เหลือแค่น้ำที่ละลายมาจากน้ำแข็ง มาไกวดู
“คำตอบนี้จุ๊ยต้องถามตัวเอง  เพราะตัวจุ๊ยเองทำให้ผมชอบจุ๊ย”
 
จากในบ้านก้องภพมองกำลังมองออกไปข้างนอก
“แอบดูมันทำไม” ฮ้อยกล่าวแล้วดึงก้องภพให้นอนลง
“ให้กูกอดหน่อยกูหนาว”
“เฮ้ยเดี่ยวไอ้จุ๊ยก็โดนไอ้เดฟปล้ำหรอก ปล่อยมันไว้สองคนอย่างนั้น”
“ไม่มีทาง” ฮ้อยกล่าวเสียงหนักแน่น
“ให้กูปล้ำมึงยังมีโอกาสมากกว่าเลย”
ก้องภพทานแรงดึงไม่ไหว
“กอดอย่างเดียวนา ห้ามไซร้ห้ามสี”
“เออ”
 
จุ๊ยนิ่งไป ถอนหายใจแล้วมองไปทางอื่น
“กูขอโทษถ้าสิ่งที่กูทำมันทำให้มึงคิดเลยเถิด กูก็แค่”
“อย่าครับอย่าพูดอย่างนั้น  มันเจ็บ” เดฟตัดบท
แล้วก็มองลงไปในสระน้ำ
“ผมขอมโนไปว่าจุ๊ยทำไปเพราะมีใจให้ผม แค่นั้นผมก็พอใจ”
 “แล้วมึงรู้ได้ไงว่ามันเดฟมันไม่มีทางปล้ำไอ้จุ๊ย” ก้องภพถาม
“พวกกูเคยลองมาแล้ว” อ็อดตอบแทน
“อ้าวยังไม่หลับเหรอ”
“ไอ้จุ๊ยมันลุกเลยตื่น” อ๊อดตอบ
“ลองอะไร ที่ว่าลอง” ก้องภพถามเข้าเรื่อง
“คือปีที่แล้ว” ฮ้อยเล่า
“เราก็ไปกินฉลองกันที่วงชนะ  ตอนนั้นไอ้จุ๊ยมันเจอของแสลงของมัน คือน้ำแดงกระทิง  มันเลยเมาแอ๋ไปเลย พวกเราเห็นไอ้เดฟมันคอยพยาบาลมัน ก็เลยแกล้งทิ้งมันไว้สองต่อสอง  แล้วกะจะเข้ามาทำให้เดฟตกใจตอนจะลักหลับไอ้จุ๊ย”
อัศวะที่นอนอยู่ใกล้ๆก็พลิกตัวมาฟัง
 
“ทำไมมึงต้องทำอย่างนี้  มึงมีบ้านใหญ่โต มีคนชื่นชอบ เป็นดารา  มึงมีทุกอย่างที่เด็กวัยรุ่นทั่วประเทศอยากมี  ทำไมมึงต้องชอบคนธรรมดาอย่างกู  มึงดู  กูนี่ กูมีอะไร  นอกจากวิชาดนตรีกับหำ กูก็ไม่มีอะไร  มึงชอบอะไรกู  ถ้าจะบอกว่ามึงชอบเสียงแซคของกู  มึงก็ไม่ต้องทำขนาดนี้  ถ้าจะบอกว่ามึงชอบหำ ...” จุ๊ยร่ายยาวเหยียด แล้วก็เงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ
“มึงก็มีโอกาสตั้งหลายที แต่มึงก็ไม่ทำ”
 
“มันไม่แค่ไม่ทำอะไรจุ๊ย  พอไอ้จุ๊ยอ้วกราดมันก็พาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อย่างดี  ไอ้จุ๊ยจะอุบาทว์ยังไงเวลานั้นมันก็ไม่รังเกียจเลยสักนิด” อ็อดกล่าวต่อจากฮ้อย
“เขาอาจรู้ก็ได้ว่าพวกมึงแกล้ง ก็เลยแอ๊บ” ก้องภพแย้ง
“มึงพูดเหมือนไอ้จุ๊ย” ฮ้อยว่า
“หลังจากนั้นมันยังมีอีก เพราะไอ้จุ๊ยมันลองใจเองเลย  แกล้งชวนไปกินเหล้า  แล้วก็แกล้งเมาหลับคาร้าน  แล้วก็แกล้งขอไปนอนบ้านมัน  แกล้งอ้วก แกล้งกระทั่งฉี่ราด ปรากฏว่ามันก็ยังดูแลไอ้จุ๊ยอย่างดี เหมือนเป็นแม่ไอ้จุ๊ย ไม่ใช่คนที่แอบมาชอบ”
ก้องภพถึงกับอึ้ง อัศวะก็รู้สึกอย่างนั้น

“พวกเราถึงได้รู้ว่า แม่งไอ้เดฟมันโคตรจะรักไอ้จุ๊ย  แถมความรักของมันนี่โคตรจะบริสุทธิ์ “ อ็อดว่าแล้วหงายมองเพดาน  แล้วตาของเขาก็ลอย
“ถ้ามึงเจอใครที่รักมึงได้เท่านี้ มึงจะทำยังไง”
 
“ใครว่า ผมก็ทำอยู่ทุกวัน  ผมก็ปล้ำจุ๊ย แล้วก็บีบช้างน้อยจุ๊ยทุกวัน” เดฟตอบแต่ไม่มองมา

ทว่าจุ๊ยจ้องเขาเขม็ง โดยเดฟที่ยังมองลงไปในสระน้ำ  โมโหก็เลยฉุนเฉียวดึงเดฟมาเผชิญหน้า
“พอทีเถอะเดฟ  มันทำให้กูลำบากใจ  มึงช่วยเลิกดีกับกู เลิกทำเหมือนกับกูเป็นสิ่งมีค่ากับมึงได้ไหม”
เสียงของจุ๊ยดังพอสมควรเลยในยามดึก
ทั้งคู่เงียบจ้องตากันนาน
จุ๊ยเป็นฝ่ายหลบตาก่อน  นั่งลงข้างๆเดฟ
“กูอาจมีเพื่อนหลายคน  แต่สำหรับคนที่กูแคร์มากมีกันแค่ไอ้อ็อด ไอ้ฮ้อย ไอ้ปอ ไอ้ตั้ม ไอ้อัส แล้วก็มึง”
จุ๊ยมองพื้นที่ว่างเปล่า
“กูแคร์ความสัมพันธ์ของพวกเรามาก  กูบอกตามตรง  แม้มึงจะยังไงกับกู  กูก็ไม่เคยคิดจะรังเกียจมึงเลย  แต่กู...”
แล้วเขาก็หันมามองหน้าเดฟ
“สิ่งที่กูลำบากใจไม่ใช่การที่มึงลวนลามกู  แต่เป็นความรักของมึงต่างหากไอ้เดฟ  กูรู้ว่ามึงรักกูมากแค่ไหน  นั้นหล่ะที่ทำให้กูลำบากใจ”
เดฟก้มหน้า
“ผมเข้าใจ  จุ๊ย”
“มึงเข้าใจอะไร” แล้วจุ๊ยก็จับหน้าของเดฟเงยขึ้นมาเผชิญหน้า
“มึงเข้าใจอะไรกูเดฟ  มึงไม่เข้าใจหรอก...  มึงไม่เข้าใจว่า ถ้ากูต้องเสียพวกมึงไปอีกสักคนเดียว  กูจะเจ็บปวดมาก  กูกลัวเดฟกูกลัวที่สูญเสียความรู้สึกดีๆของเรา และความเป็นเพื่อนของเรา”
แล้วจุ๊ยก็ดึงเดฟเข้ามากอด
“อย่าเลยนะ  เราอย่าล้ำเส้นของความเป็นเพื่อนเลยนะ  เพราะกูกลัว  กูกลัวว่าพอเราล้ำไปแล้ว เราจะไม่สามารถกลับมายืนที่เดิมได้อีก  ไม่ต้องการเสียมึงไปอีกคน”
กอดไว้อย่างนั้นนานพอสมควร
เดฟหลับตาลง
“จุ๊ยครับ ถ้าอย่างนั้นเรายิ่งต้องเป็นเหมือนเดิม  ผมจะเป็นคนเดิมที่คอยไล่จับจุ๊ยต่อไป  ผมจะเป็นคนเดิมที่คอยตามตื้อจุ๊ยต่อไป  เพราะทำอย่างนั้นแล้วผมกับจุ๊ยถึงจะเป็นคนเดิม และเหมือนเดิม เพราะถ้าผมเลิกทำอย่างนั้น  ก็แปลว่าเราไม่เหมือนเดิม  จุ๊ยก็ช่วยทำให้เหมือนเดิม  ไล่เตะไล่ต่อยผมเหมือนเดิม  ทุกอย่างให้เป็นเหมือนเดิม เพราะเราเท่าอย่างนั้นแล้วเราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม  ไม่เปลี่ยนไป  ดังนั้นเราต้องทำตัวให้เหมือนเดิม”
 “ผม จะไม่ทิ้งจุ๊ยไปไหน จนกว่าจุ๊ยจะทิ้งผมไปเอง ผมสัญญา แต่ถึงจุ๊ยจะทิ้งผมไป ผมก็ยังจะเป็นเพื่อนของจุ๊ยตลอดไป ผมสัญญาครับเพื่อนรักของผม”
พอได้ฟังจุ๊ยก็ไม่อาจลืมตาได้อีก  เขาหลับตาลง และยิ่งกอดเดฟแน่นมากขึ้น  กอดเอาไว้อย่างนั้นเนิ่มนาน
 
แม้จะรีบแคไหน แต่จุ๊ยคิดว่าคงก็ไม่มีทางจะไปทันเที่ยวบินที่เดินทางในเวลาหกโมงครึ่งได้เลย  ดังนั้นเขาจึงนั่งเงียบตลอดทางที่เดฟขับรถด้วยความเร็วไปสนามบิน
“เฮ้ยผมขอโทษ  ผมทำให้จุ๊ยเสียเวลา” เดฟกล่าวแต่ทั้งมือและตาจับอยู่กับถนน
จุ๊ยถอนหายใจรับชะตากรรมของตัวเอง
“ก็คงโดนหลิวเฉ่งเอาแหง่ๆตอนที่เขากลับมาตอนปิดเทอม”
เดฟเงียบ
“ตกลงจุ๊ยชัวร์กับคนนี้แล้วเหรอ”
จุ๊ยหันมามองหน้าเดฟ
“หมายถึงอะไร”
เดฟเหลือบมองจุ๊ยนิดนึง
“ก็เลือกผู้หญิงคนนี้แน่นอนแล้วใช่ไหม”
จุ๊ยเงียบไป แล้วก็ถอนหายใจ
“เราเป็นเพื่อนกันนานมากเลยเดฟ  กูรู้จักเขาตั่งแต่เด็กๆ  ถ้าลำดับความสำคัญ ผุ้หญิงในชีวิตกู นอกจากแม่กับน้องสาว  ก็มีเขานี่ล่ะสำคัญมาก”
“ถ้าอย่างนั้น ยังไงล่ะ  บอกรักแล้วคบกันเป็นทางการแล้วหรือยัง” เดฟถามต่อ
“ยัง”
“อ้าว” เดฟถึงกับหันมามองหน้าตรงๆ  แต่รีบกลับไปมองถนน
“เอาน่า... เรายังเด็กไม่ใช่เหรอเดฟ  เรายังต้องเจอกันอีกคนอีกมาก  หลิวเขาไปต่างประเทศอาจเจอคนที่ใช่กว่ากู  หรือกูเองก็อาจดักดานอยุ่ในประเทศแล้วเจอคนที่ใช่ก่อนเขา  หรือเราอาจพบว่าความจริงแล้วเราเป็นเพื่อนกันอย่างเดิมดีทีสุด... “
จุ๊ยมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ให้เวลาบอกเราเองดีกว่า  ส่วนเราก็แค่รอให้มันถึงเวลาที่เหมาะสมและเราเองก็เหมาะสมดีกว่าไหม”
เดฟเงียบก่อนจะถอนหายใจแรงๆ
“ผมไม่เข้าใจจุ๊ย” เขากล่าว
“ผมไม่รู้ว่าทำไมจุ๊ยไม่ชัดเจนลงไป... ทำแบบนี้แล้วได้อะไร  หรือว่าจริงๆแล้วจุ๊ยมีอะไรอยู่ในใจกันแน่”
จุ๊ยหันมองหน้าเดฟ กำลังจะตอบแต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
พอมองหมายเลขก็ต้องขมวดคิ้ว
“ใครวะ” แต่ก็รับสาย
“ไงค่ะคุณขี้เมา  เมาอยู่ไหนล่ะ ดิฉันเข้ามาข้างในแล้วนะคะ  ไม่ต้องมาแล้วค่ะสนามบิน” เสียงหลิวดังมาในสาย
“โอยหลิวจุ๊ยขอโทษ ก็พวกมันอ่ะลากจุ๊ยไปต่อ จุ๊ยไม่ได้อยากไปเลยนะ  กะจะกลับบ้านไปเตรียมตัวมาส่งหลิว  แต่พวกมันน่ะ” จุ๊ยกรอกเสียงอ๋อยๆ เหลือบมองหน้าเดฟ
พอดีเดฟหันมา เขาเลยส่งสัญญาณให้ชะลอรถ
ฝ่ายโน้นเหมือนจะไม่ได้โกรธอะไรมาก
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร  หลิวก็คิดอยู่แล้วว่าจุ๊ยอาจมาไม่ทัน  เพราะจริงๆหลิวก็เปลี่ยนวันเดินทางขึ้นมาด้วยหล่ะ แล้วดันตรงปัจฉิมนิเทศของจุ๊ย  หลิวก็คิดอยู่แล้วหล่ะว่าจุ๊ยไม่มีทางกลับมาเร็วอย่างที่ว่าได้แน่นอน  ก็จุ๊ยป็อบในหมู่เพื่อนซะขนาดนั้น”
“ขอโทษด้วยน้า... “ จุ๊ยอ้อน
“แล้วยังไงก็ขอให้หลิวเดินทางโดยสวัสดิภาพนะ  ดูแลสุขภาพให้ดีด้วย  เขาว่ารัฐที่ไปหนาวมาก  รักษาสุขภาพดีๆนะอย่าให้เป็นหวัด จุ๊ยเป็นห่วงหลิวนะ”
หลิวเงียบไป น้ำเสียงตอบกลับมาแจ่มใสอย่างเด่นชัด  จนจุ๊ยเห็นรอยยิ้มของเธอในหัว
“อืม.. จะรักษาตัวอย่างดีเลยหล่ะ  เพราะหลิวจะกลับมาทวงสัญญากับจุ๊ยตอนเรียนจบ  หลิวไม่ยอมเป็นอะไรไปก่อนอยู่แล้ว”
จุ๊ยยิ้มกับน้ำเสียงของเธอ
“จุ๊ย.. ก็รักษาตัวแล้วก็รักษาใจให้ดี  รักษาสัญญาของเราด้วยหล่ะ”
จุ๊ยเม้นปากก่อนจะตอบ
“อืม.. จุ๊ยสัญญา”
เดฟมองไปข้างหน้า  เขาอยากจะหลับตาลงมากกว่าเพื่อข่มความรู้สึก  แต่ก็ไม่อาจหลับตาได้
เหลือบไปก็เห็นจุ๊ยสนทนากับเธออยู่ด้วยรอยยิ้ม เป็นการแก้ตัวเรื่องเมา
ตอนนี้หัวใจของเดฟจวนจะแหลกสลาย...
เขาจู่ๆน้ำตาก็ไหลลงมา  แต่เขากลัวจุ๊ยจะเห็นก็เลยรีบปาดออกอย่างรวดเร็ว
แสงตะวันที่ปลายขอบฟ้าทิศตะวันออกแตะดวงตาที่ยังเปียกชื้น 
เดฟสูดลมสะกดหัวใจเอาไว้ เพลงอกหักเหงาๆดังขึ้นในใจอย่างเงียบๆ
 
จุ๊ยยังคุยโทรศัพท์ต่อไป โดยมองที่หน้าต่างประตูข้าง..
เงาสะท้อนของเดฟเห็นได้ชัดจากตรงนี้  และตั้งแต่เมื่อกี้เขาก็กำหมัดไว้แน่น  แน่นจนเล็บจิกลงไปบนเนื้อ...


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
แค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ  เพราะถ้าแบ่งเป็นช่วง นี่คือช่วงจบภาคมัธยมพอดีเลย...

คำติชมเป็นยอดปรารถนาครับ ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ evanescence_69

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 193
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
ลงกฎด้วยครับ เดวกระทู้ปลิว

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 20 : ร้านเครื่องดนตรี
จุ๊ยปีนขึ้นไปหลังตู้เพื่อทำความสะอาด  โดยมีป๊ายืนดูอยู่
“ตรงนั้นด้วยจุ๊ย”
“ครับ”จุ๊ยขานแล้วก็ทำตาม
“ผมไปข้างนอกนะครับ” ซัวบอกกล่าว แล้วก็เดินออกไปโดยไม่รอให้บิดาตอบ  เพราะบิดาไม่เคยตอบเขาอยุ่แล้ว
“เฮ้ยไปไหนวะ”  กลายเป็นจุ๊ยที่เรียกรั้ง
ซัวหันมา
“ไปกับเพื่อน  เดี่ยวบ่ายๆก็กลับแล้ว”
“เออๆ” จุ๊ยตอบออกไป เพราะไม่อยากจะทำให้เกิดการต่อปากต่อคำไปมากกว่านี้
 
จุ๊ยก็ไปทำโน่นทำนี่ต่อจากนั้นอีกหลายอย่างจนคิดว่าไม่มีอะไรจะทำแล้วก็ไปอาบน้ำ  แต่พอเดินกลับเข้าห้องมาก็เห็นว่าโทรศัพท์มีทั้งแจ้งเตือนจากFacebook และสายไม่ได้รับ
เปิดFacebook ก่อนเป็นรูปของหลิวในชุดแต่งกายของฤดูใบไม้พลิในอิริยาบถต่างๆภายในมหาวิทยาลัยชื่อดังของอเมริกา  เขาอมยิ้ม  จะว่าไปหลิวในชุดแบบนี้ก็ดูเหมือนนางเอกในซีรี่เกาหลีอยู่มากเหมือนกัน  จุ๊ยยิ้มตอนเลื่อนรูปไปเรื่อยๆ
พอดูเสร็จครบอัลบัม  เขาก็เรียกดูสายไม่ได้รับ
“โยชิ”
 
โยชิลบหน้าเสร็จแล้ว กำลังจะเตรียมตัวเขากลับบ้าน  แต่เขาเหลือบไปเห็นเดฟเดินเข้ามายกมือไหว้ช่างแต่งหน้าและทีมงานคนอื่นอย่างไม่นอบน้อม 
เขาก็เลยเดินเข้าไปทัก
“เฮ้ยได้เจอกันอีกแล้วนะเรื่องนี้”
เดฟนั่งลงให้เพื่อให้ช่างแต่งหน้า
“เออดิ... เค้าคงติดภาพซีรี่เรื่องเก่าที่เราเล่นด้วยกันมั้ง ผมเลยได้งานนี้”
โยชิพยักหน้า
“เออ.. ได้เจอจุ๊ยบ้างไหม”
เดฟมองจะมองหน้าโยชิแต่จังหวะนั้นช่างแต่งหน้าก็เข้ามา เขาเลยได้แต่ตอบไม่ได้เห็นหน้ากัน
“ไม่เลย ทำไมเหรอ”
“ก็ฉันโทรไปตั้งหลายครั้งเขาไม่รับ  กะจะชวนไปเที่ยวกันหน่อย มีคิวว่างหลายวัน  แถมไม่ได้เจอกันนานแล้ว”
เดฟไม่ได้ตอบในทันที  แต่พอช่างแต่งหน้าหลบพ้นไป  โยชิก็ได้เห็นหน้าเขาจากกระจก
“มันคงไม่ว่างมั้ง  จุ๊ยมันชอบปิดเสียง  พอโทรศัพท์ดังก็เลยไม่ค่อยรู้” เดฟตอบ
โยชิกำลังจะพูดอะไร  แต่เพราะโทรศัพท์สั่นก็เลยยกมารับก่อน
“ครับจุ๊ย” โยชิตอบสาย ก่อนหันมายกมือบอกโยชิในเชิงขอตัว
เดฟมองโยชิเดินออกไปผ่านกระจก
พักนี้เป็นอะไรหนอ... นึกอยากจะปิดระบบโทรศัพท์ทั้งโลกไปเลยทีเดียว
 
วันนี้จุ๊ยคิดจะไปซื้อReed ของแซกโฟโฟนของใหม่เนื่องจากของเก่าของเขาพังไปหมดแล้ว  แต่พอโยชิโทรมาก็เลยชวนไปด้วย
โยชิต้องใส่แว่นดำพลางแถมใส่หมวก เพราะตอนนี้กำลังมีงานหลายงานจน เป็นที่สนใจของสังคมตอนนี้
เขาเดินตามจุ๊ยลัดเลาะย่านวรจักร จนมาถึงร้านเล็กๆพอเขาพลักประตูเข้าไป ชายผิวขาววัยประมาณยี่สิบกว่าก็เงยหน้า
“เฮียอาร์ท สวัสดีครับ” จุ๊ยกล่าวแล้วยกมือไหว้
“อ้าวไม่ได้มานานเลยจะจุ๊ย  นี่โตขึ้นอีกรึเปล่าเนี่ย” พูดแล้วก็ออกมาโอบบ่าเขย่าด้วยความเมตตา
แล้วก็หันไปมองโยชิ
“นี่เพื่อนของผม  โยชิ” จุ๊ยแนะนำ
อาร์ทถอยหลังนิดหนึ่งตอนที่โยชิถอดแว่นตาดำออก
“เฮ้ยดารานี่หว่า” อาร์กร้องแล้วหันมองหน้าจุ๊ย
โยชิทำท่าจะยกมือไหว้  แต่เขาห้ามเสียก่อน
“ไม่ต้องๆ เราอายุใกล้ๆกัน  ผมพึ่งจบจากที่เดียวกับคุณ ก่อนคุณแค่ห้าหกปี”
 
โยชิเดินดูอุปกรณ์ที่อยู่ในร้านอย่างสนใจ ระหว่างที่รออาร์ทขึ้นไปหยิบของที่สต็อกชั้นสอง
“พวกนี้มือสองหมดเลยเหรอ”
“อืม.. ร้านนี้เขารับซื้อรับแลกเปลี่ยน แล้วก็ขายมือสอง  จุ๊ยเองก็ได้แซกจากร้านนี้  แล้วก็ได้วิชาจากที่นี่ด้วย”
“ได้วิชา” โยชิทวนคำ
จุ๊ยก็ชี้ให้ดูรูปถ่ายที่แขวนอยู่บนผนัง
“อาจารย์ถนอม  เขาเป็นเพื่อนแม่ของเรา แล้วก็เป็นอาจารย์ของฉันด้วย เราก็มาร้านนี้ตั้งแต่เด็กๆ เพราะแม่อยากให้ฉันเรียนดนตรี  เฉันก็เลยเรียนทุกอย่างอย่างจากที่นี่”  แล้วก็เดินมาที่เปียโนที่ตั้งอยู่ด้านในสุดชิดข้างฝา
เขาเปิดฝาครอบคีย์แล้วนั่งลงบรรเลงเป็นเพลง Old Time Rock and Roll ของ Bob Seger
อาร์ทเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกล่องReed ที่จุ๊ยต้องการ
ภาพของบิดาซ้อนเข้ามา  บิดากำลังสอนเด็กชายตัวน้อยวัยประมาณ ห้าขวบให้เล่นเปียโนตัวนี้
จุ๊ยเป็นเด็กหัวไวมาก  เขาเรียนเปียโนอยู่แค่ครึ่งวันก็เล่นได้หนึ่งเพลงแล้ว  ด้วยความหัวไว ทำให้บิดาของเขาชอบใจมาก  จนกระทั้งสอนวิชาเอกของท่านให้คือเครื่องเป่า
ถนอม จิตรวรรณาพงษ์ นักดนตรีไทยคนหนึ่งที่เคยเล่นร่วมวงกับวงดนตรีชื่อดังของโลกเมื่อหลายสิบปีก่อน  คือบิดาของเขา
พอจบเพลง  โยชิก็ปรบมือ
“ยังๆๆ นี่มันวิชาที่ไอ้จุ๊ยไม่ค่อยถนัด  ต้องแซกสิของจริง เคยฟังหรือยังหล่ะ” อาร์ทกล่าวกับโยชิ  แล้วเดินผ่านไปหาจุ๊ย
“นี่... ของดีสุดเลย ”
จุ๊ยลังเล
“ผมมีเงินไม่เยอะนะพี่” จุ๊ยบอก
“เฮ้ยเอาไว้ค่อยมาให้วันหลังก็ได้  วันนี้เอาของไปก่อน” อาร์ทตอบ
จุ๊ยทำหน้าบอกชัดว่าเกรงใจมาก
แต่อาร์ทเอาใส่ถุงให้
“เอาไปสิ... เธอกับไตรเป็นศิษย์แค่สองคนของพ่อ  ตอนนี้ไตรก็ไม่อยู่แล้ว  เธอก็ต้องทำหน้าที่ต่อไปในฐานะศิษย์  อย่าทำให้ชื่อของพ่อหายไปนะจุ๊ย  แม้คนไทยจะลืมท่านไปแล้ว  แต่นายต้องทำให้ท่านกลับมา  โดยการกลับมาในตัวจุ๊ยเข้าใจไหม”
จุ๊ยมองหน้าอาร์ท  ก่อนเขาจะพยักหน้าช้าๆแล้วยกมือไหว้ขอบคุณด้วยความซึ้งใจ
โยชิถึงกับต้องอมยิ้มเพราะภาพนั้น
 
สองหนุ่มออกไปแล้วแต่อาร์ทก็มองส่งออกไปก่อนจะหันมามองรูปของบิดา
บิดาเคยบอกเขาว่า ความสุขใจของครูไม่ใช่การสอนให้ลูกศิษย์เหมือนตน  แต่การทำให้ลูกศิษย์ก้าวไกลไปกว่าตนเอง
“พ่อเชื่อว่าเด็กคนนี้จะไปได้ไกล  อาจไกลกว่าพ่อมาก ถ้าเขายังเดินบนเส้นทางดนตรีไม่ทิ้งลงกลางคัน”
 
โยชิยังไม่เคยมาเดินเที่ยวเยาวราชมาก่อนเลย  พอจุ๊ยเดินพาลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยก็รู้สึกตื่นตาไม่น้อย  แม้จะร้อนเหงื่อไหลย้อยจนเสื้อเปียก  ยังดีที่เขาใส่เสื้อยืดตัวบางๆเท่านั้น
“หอยทอดเจ้านี้อร่อยมาก” จุ๊ยบอก
“กินได้ไหม”
โยชิมองหน้าจุ๊ย
“ทำไมคิดว่าเรากินไม่ได้”
“อ้าวก็โยชิเป็นคุณหนูนี่  ก็กลัวว่าจะกินไม่ได้”
“เฮ้ยตอนเราอยู่ญี่ปุ่นเราก็กินอย่างนี้ล่ะ” โยชิตอบแล้วกอดคอจุ๊ยเดินเข้าร้าน
พอสั่งเสร็จจุ๊ยก็ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยตามนิสัย
ตอนกินก็กินไปเงียบๆ นอกจากจะถามว่าอร่อยไหม แล้วก็กินกันต่อไป
แต่สักครู่
“ขออ่อส่วนนะคะ” เสียงหนึ่งดังขึ้น
โยชิที่นั่งหันหลังให้หน้าร้านก็เลยหันกลับไปมอง
“ไปไหนมาค่ะคุณสไบทอง”
“ไปร้านทองหัวมุมมาค่ะ เอาสร้อยมาให้ต่อให้มันขาดตอนไปถ่ายรายการ”
พอได้ยินชื่อว่าสไบทองจุ๊ยก็หันไปบ้าง
“แม่ของนายนี่”
โยชิหันกลับ
“อย่ามอง  หันไปแกล้งทำไปเป็นไม่เห็น”
แต่จุ๊ยยิ้มแหย่ๆ
“ไม่ทันแล้วล่ะ”
“ไม่ คิดว่าจะเจอที่นี่นะ อาราอิ” หญิงสาวดวงหน้าสวยงามแม้จะสูงวัยพอสมควรกล่าว แล้ววิสาสะนั่งลง เพราะรู้ว่ายังไงลูกชายก็ไม่เชิญแน่นอน
จุ๊ยจึงยกมือไหว้เธอ
สไบทองรับไหว้ แล้วก็ทำท่านึก
“อ้อนี่น้องที่ไปเล่นดนตรีที่งานของฉัตรอัครใช่ไหม  ฉันก็ไปนะ  ไปตอนที่เธอแสดงพอดี”
จุ๊ยตอบว่าครับ  แต่โยชิเมินไปอีกทาง
จุ๊ยเห็นแล้วก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที
“ดีแล้วล่ะที่มีหนูเป็นเพื่อนแบบนี้  อาราอิ เอ้ย โยชิสินะ  เขาไม่ค่อยได้ไปไหนหรอกนะ  ว่างก็มาเที่ยวที่บ้านบ้างก็ได้” สไบทองกล่าวกับจุ๊ย
“ว่าแต่หนูเก่งมากเลย  แล้วนี่จบม.หกแล้วสินะ  จะเรียนต่อที่ไหนล่ะ คะแนน.. อืมเรียกว่าAdmission ใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง”
“ผมไม่ได้สอบครับ” จุ๊ยตอบ
“อ้าว” สไบทองทำท่าแปลกใจ
แม้แต่โยชิยังหันมา
“ก็ผมคิดว่าจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเปิดครับ  ของรามคำแหงเขาก็มีวิชาเกี่ยวกับคนตรี” จุ๊ยอธิบาย
“อืม.. ถ้าติดขัดเรื่องทุนฉันช่วยได้นะ” สไบทองกล่าวทั้งเสนอตัว
จุ๊ยเคยได้ยินว่าพวกดาราจะเสแสร้งได้เก่งมาก  จุ๊ยเลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วสไบทองกำลังเล่นละครเป็นคุณแม่ของเพื่อนที่แสนดีหรือว่าเป็นคนอัธยาศัยดีอย่างนั้นจริงๆ
“คงไม่ต้องลำบากแม่หรอกครับ  เพราะลุงเนมเสนอให้จุ๊ยไปแล้ว แต่จุ๊ยเขาปฏิเสธ”  โยชิกล่าวตามที่รู้มาจากเพลงพิณ
“ผมขอตัวนะครับ”
แล้วโยชิก็ลุกขึ้นโค้งอย่างเป็นทางการมาก ก่อนจะหันหลัง
“อ้อก่อนฉันจะลืม” สไบทองกล่าวขึ้น
“ถ้ามีคิวว่างๆ ไปญี่ปุ่นไปจัดการเรื่องบ้านกับทรัพย์สินด้วยนะ  เพราะสินสมรสของพ่อแกกับฉันน่ะ ฉันไม่ได้อยากได้  ยกให้แกทั้งหมด”
โยชิยืนนิ่ง  จุ๊ยเห็นเขาขบกรามจนเป็นสัน
“ครับคุณนาย” เขาหันมาโค้งให้อีกทีแล้วเดินออกไป
 
จุ๊ยเดินตามโยชิอยู่นานพอสมควรโดยไม่ได้พูดอะไร
กระทั้งโยชิกล่าวขึ้นขณะทั้งคู่เดินมาหยุดตรงบริเวณใกล้กับสถานที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน
“ขอโทษนะเลยทำให้นายหมดอารมณ์เลย”
จุ๊ยมองรอบตัวแล้วก็ตอบ
“ไม่เป็นไร  ฉันก็ไม่ได้เสียอารมณ์อะไรนี่ ว่าแต่..”
“ความสัมพันธ์ของฉันกับแม่ไม่ได้ดีอย่างที่คนอื่นเข้าใจหรอก  แม่น่ะเล่นละครเก่ง  เขาทำให้ทุกคนรู้สึกอย่างนั้น  แต่ฉันกับแม่แทบไม่ได้คุยกัน”
“อืมเข้าใจหรอก  ว่าแต่..”จุ๊ยกล่าวอีก
“แม่กับพ่อฉันแยกกันอยู่น่ะ  ฉันก็เลยตามพ่อกลับญี่ปุ่นไปแต่เล็ก  แต่พ่อกับแม่พึ่งจะหย่าขาดจากกันก็เมื่อปลายเดือนก่อนนี่เอง”
จุ๊ยเดินมาตบบ่าเพื่อน
“เราเข้าใจนาย  อย่าคิดมาก ว่าแต่...”
“เราก็อยากทำดีกับแม่นะ  แต่มันทำไม่ได้จริงๆ  นายยังจำเรื่องที่พัทยาได้ใช่ไหมหล่ะ”
จุ๊ยคิด  ตอนนั้น อ้อ.. ตอนที่พวกเขาสองคนลงรถทีพัทยาก็เพื่อจะไปตามหาแม่ของโยชิที่เข้าพักที่โรงแรมในพัทยา
“อื่ม... ฉันก็เข้าใจ  แต่ที่สุดเราก็ต้องยอมรับนะ  ในเมื่อเขาสองคนเดินทางไปด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว  ก็ต้องแยกกันเป็นธรรมดา” จุ๊ยกล่าว
“ว่าแต่”
“ฉันไม่น่าเล่าเรื่องพวกนี้เลยเน้อ ทำให้นายไม่สบายใจไปด้วย” โยชิหันมามองหน้าจุ๊ย
ตอนนี้ใบหน้าของโยชิมีมันเคลือบจางๆ  ทำให้รู้สึกถึงความเป็นปุถุชนของเขามากขึ้นกว่าก่อน
“ขอบใจนะที่อุตส่าห์เข้าใจเราโดยตลอด”
จุ๊ยเงียบเพราะตอนนี้โยชิมองตาจุ๊ยอย่างลึกซึ้งเหมือนจะจ้องเข้าไปภายใน
“เอออ ไม่เป็นไร” เชาหลบตาก่อน
โยชิก็เหมือนจะเขิน หันไปอีกทาง
“แล้วนี่เราอยู่ไหนกัน” เขาเริ่มสังเกตว่ารอบตัวไม่คุ้นเคย
“ก็นี่หล่ะที่จะถาม” จุ๊ยกล่าวแล้วกอดอก
“นายจะไปไหนเดินเอา เดินเอาอย่างกับรู้ทาง”
“อ้าว.. เหรอ” โยชิยิ้มเขินๆ หัวเราะออกมาแก้เก้อ
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
 
 
 ระหว่างเดินกลับไปที่จุดซึ่งโยชินำรถไปฝากจอดไว้  โทรศัพท์ของจุ๊ยก็ดังขึ้น
“จุ๊ยเหรอ  เฮียพัฒน์นะ” ฝ่ายโน่นตอบมา
“ครับ” จุ๊ยตอบ
โยชิหันมามองแล้วก็เดินคู่กันต่อไป
 
ในรถที่ค่อนข้างติดขัด
จุ๊ยเงียบลงไปอย่างเห็นได้ชัด 
โยชิก็เลยถาม
“เป็นอะไรเหรอ  มีอะไรรึเปล่า”
จุ๊ยที่เอาแขนท้าวกับขอบประตูมองออกไปนอกหน้าต่างก็หันมา
“อ้อ.. คิดอะไรเพลินๆน่ะโทษที”
โยชิกดปุ่มเพื่อเปลี่ยนแผ่นซีดี
“พรุ่งนี้ฉันก็ว่างนะ  อยากจะไปเที่ยวไหนกันไหม  ฉันว่างตั้งสามวัน”
จุ๊ยนิ่งอยู่นิดหนึ่ง
“ไประยองไหม” จุ๊ยถามออกไป
โยชิหันมามองหน้า
จุ๊ยก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองชวนออกไปอย่างนั้น  แต่ก็ชวนไปแล้ว
“เรามีน้องสาวอีกคนอยู่ระยอง  เราไปเยี่ยมทุกปี ปีนี้ยังไม่ได้ไปเลย  ไปด้วยกันไหมล่ะ”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 20 : ร้านเครื่องดนตรี
จุ๊ยปีนขึ้นไปหลังตู้เพื่อทำความสะอาด  โดยมีป๊ายืนดูอยู่
“ตรงนั้นด้วยจุ๊ย”
“ครับ”จุ๊ยขานแล้วก็ทำตาม
“ผมไปข้างนอกนะครับ” ซัวบอกกล่าว แล้วก็เดินออกไปโดยไม่รอให้บิดาตอบ  เพราะบิดาไม่เคยตอบเขาอยุ่แล้ว
“เฮ้ยไปไหนวะ”  กลายเป็นจุ๊ยที่เรียกรั้ง
ซัวหันมา
“ไปกับเพื่อน  เดี่ยวบ่ายๆก็กลับแล้ว”
“เออๆ” จุ๊ยตอบออกไป เพราะไม่อยากจะทำให้เกิดการต่อปากต่อคำไปมากกว่านี้
 
จุ๊ยก็ไปทำโน่นทำนี่ต่อจากนั้นอีกหลายอย่างจนคิดว่าไม่มีอะไรจะทำแล้วก็ไปอาบน้ำ  แต่พอเดินกลับเข้าห้องมาก็เห็นว่าโทรศัพท์มีทั้งแจ้งเตือนจากFacebook และสายไม่ได้รับ
เปิดFacebook ก่อนเป็นรูปของหลิวในชุดแต่งกายของฤดูใบไม้พลิในอิริยาบถต่างๆภายในมหาวิทยาลัยชื่อดังของอเมริกา  เขาอมยิ้ม  จะว่าไปหลิวในชุดแบบนี้ก็ดูเหมือนนางเอกในซีรี่เกาหลีอยู่มากเหมือนกัน  จุ๊ยยิ้มตอนเลื่อนรูปไปเรื่อยๆ
พอดูเสร็จครบอัลบัม  เขาก็เรียกดูสายไม่ได้รับ
“โยชิ”
 
โยชิลบหน้าเสร็จแล้ว กำลังจะเตรียมตัวเขากลับบ้าน  แต่เขาเหลือบไปเห็นเดฟเดินเข้ามายกมือไหว้ช่างแต่งหน้าและทีมงานคนอื่นอย่างไม่นอบน้อม 
เขาก็เลยเดินเข้าไปทัก
“เฮ้ยได้เจอกันอีกแล้วนะเรื่องนี้”
เดฟนั่งลงให้เพื่อให้ช่างแต่งหน้า
“เออดิ... เค้าคงติดภาพซีรี่เรื่องเก่าที่เราเล่นด้วยกันมั้ง ผมเลยได้งานนี้”
โยชิพยักหน้า
“เออ.. ได้เจอจุ๊ยบ้างไหม”
เดฟมองจะมองหน้าโยชิแต่จังหวะนั้นช่างแต่งหน้าก็เข้ามา เขาเลยได้แต่ตอบไม่ได้เห็นหน้ากัน
“ไม่เลย ทำไมเหรอ”
“ก็ฉันโทรไปตั้งหลายครั้งเขาไม่รับ  กะจะชวนไปเที่ยวกันหน่อย มีคิวว่างหลายวัน  แถมไม่ได้เจอกันนานแล้ว”
เดฟไม่ได้ตอบในทันที  แต่พอช่างแต่งหน้าหลบพ้นไป  โยชิก็ได้เห็นหน้าเขาจากกระจก
“มันคงไม่ว่างมั้ง  จุ๊ยมันชอบปิดเสียง  พอโทรศัพท์ดังก็เลยไม่ค่อยรู้” เดฟตอบ
โยชิกำลังจะพูดอะไร  แต่เพราะโทรศัพท์สั่นก็เลยยกมารับก่อน
“ครับจุ๊ย” โยชิตอบสาย ก่อนหันมายกมือบอกโยชิในเชิงขอตัว
เดฟมองโยชิเดินออกไปผ่านกระจก
พักนี้เป็นอะไรหนอ... นึกอยากจะปิดระบบโทรศัพท์ทั้งโลกไปเลยทีเดียว
 
วันนี้จุ๊ยคิดจะไปซื้อReed ของแซกโฟโฟนของใหม่เนื่องจากของเก่าของเขาพังไปหมดแล้ว  แต่พอโยชิโทรมาก็เลยชวนไปด้วย
โยชิต้องใส่แว่นดำพลางแถมใส่หมวก เพราะตอนนี้กำลังมีงานหลายงานจน เป็นที่สนใจของสังคมตอนนี้
เขาเดินตามจุ๊ยลัดเลาะย่านวรจักร จนมาถึงร้านเล็กๆพอเขาพลักประตูเข้าไป ชายผิวขาววัยประมาณยี่สิบกว่าก็เงยหน้า
“เฮียอาร์ท สวัสดีครับ” จุ๊ยกล่าวแล้วยกมือไหว้
“อ้าวไม่ได้มานานเลยจะจุ๊ย  นี่โตขึ้นอีกรึเปล่าเนี่ย” พูดแล้วก็ออกมาโอบบ่าเขย่าด้วยความเมตตา
แล้วก็หันไปมองโยชิ
“นี่เพื่อนของผม  โยชิ” จุ๊ยแนะนำ
อาร์ทถอยหลังนิดหนึ่งตอนที่โยชิถอดแว่นตาดำออก
“เฮ้ยดารานี่หว่า” อาร์กร้องแล้วหันมองหน้าจุ๊ย
โยชิทำท่าจะยกมือไหว้  แต่เขาห้ามเสียก่อน
“ไม่ต้องๆ เราอายุใกล้ๆกัน  ผมพึ่งจบจากที่เดียวกับคุณ ก่อนคุณแค่ห้าหกปี”
 
โยชิเดินดูอุปกรณ์ที่อยู่ในร้านอย่างสนใจ ระหว่างที่รออาร์ทขึ้นไปหยิบของที่สต็อกชั้นสอง
“พวกนี้มือสองหมดเลยเหรอ”
“อืม.. ร้านนี้เขารับซื้อรับแลกเปลี่ยน แล้วก็ขายมือสอง  จุ๊ยเองก็ได้แซกจากร้านนี้  แล้วก็ได้วิชาจากที่นี่ด้วย”
“ได้วิชา” โยชิทวนคำ
จุ๊ยก็ชี้ให้ดูรูปถ่ายที่แขวนอยู่บนผนัง
“อาจารย์ถนอม  เขาเป็นเพื่อนแม่ของเรา แล้วก็เป็นอาจารย์ของฉันด้วย เราก็มาร้านนี้ตั้งแต่เด็กๆ เพราะแม่อยากให้ฉันเรียนดนตรี  เฉันก็เลยเรียนทุกอย่างอย่างจากที่นี่”  แล้วก็เดินมาที่เปียโนที่ตั้งอยู่ด้านในสุดชิดข้างฝา
เขาเปิดฝาครอบคีย์แล้วนั่งลงบรรเลงเป็นเพลง Old Time Rock and Roll ของ Bob Seger
อาร์ทเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกล่องReed ที่จุ๊ยต้องการ
ภาพของบิดาซ้อนเข้ามา  บิดากำลังสอนเด็กชายตัวน้อยวัยประมาณ ห้าขวบให้เล่นเปียโนตัวนี้
จุ๊ยเป็นเด็กหัวไวมาก  เขาเรียนเปียโนอยู่แค่ครึ่งวันก็เล่นได้หนึ่งเพลงแล้ว  ด้วยความหัวไว ทำให้บิดาของเขาชอบใจมาก  จนกระทั้งสอนวิชาเอกของท่านให้คือเครื่องเป่า
ถนอม จิตรวรรณาพงษ์ นักดนตรีไทยคนหนึ่งที่เคยเล่นร่วมวงกับวงดนตรีชื่อดังของโลกเมื่อหลายสิบปีก่อน  คือบิดาของเขา
พอจบเพลง  โยชิก็ปรบมือ
“ยังๆๆ นี่มันวิชาที่ไอ้จุ๊ยไม่ค่อยถนัด  ต้องแซกสิของจริง เคยฟังหรือยังหล่ะ” อาร์ทกล่าวกับโยชิ  แล้วเดินผ่านไปหาจุ๊ย
“นี่... ของดีสุดเลย ”
จุ๊ยลังเล
“ผมมีเงินไม่เยอะนะพี่” จุ๊ยบอก
“เฮ้ยเอาไว้ค่อยมาให้วันหลังก็ได้  วันนี้เอาของไปก่อน” อาร์ทตอบ
จุ๊ยทำหน้าบอกชัดว่าเกรงใจมาก
แต่อาร์ทเอาใส่ถุงให้
“เอาไปสิ... เธอกับไตรเป็นศิษย์แค่สองคนของพ่อ  ตอนนี้ไตรก็ไม่อยู่แล้ว  เธอก็ต้องทำหน้าที่ต่อไปในฐานะศิษย์  อย่าทำให้ชื่อของพ่อหายไปนะจุ๊ย  แม้คนไทยจะลืมท่านไปแล้ว  แต่นายต้องทำให้ท่านกลับมา  โดยการกลับมาในตัวจุ๊ยเข้าใจไหม”
จุ๊ยมองหน้าอาร์ท  ก่อนเขาจะพยักหน้าช้าๆแล้วยกมือไหว้ขอบคุณด้วยความซึ้งใจ
โยชิถึงกับต้องอมยิ้มเพราะภาพนั้น
 
สองหนุ่มออกไปแล้วแต่อาร์ทก็มองส่งออกไปก่อนจะหันมามองรูปของบิดา
บิดาเคยบอกเขาว่า ความสุขใจของครูไม่ใช่การสอนให้ลูกศิษย์เหมือนตน  แต่การทำให้ลูกศิษย์ก้าวไกลไปกว่าตนเอง
“พ่อเชื่อว่าเด็กคนนี้จะไปได้ไกล  อาจไกลกว่าพ่อมาก ถ้าเขายังเดินบนเส้นทางดนตรีไม่ทิ้งลงกลางคัน”
 
โยชิยังไม่เคยมาเดินเที่ยวเยาวราชมาก่อนเลย  พอจุ๊ยเดินพาลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยก็รู้สึกตื่นตาไม่น้อย  แม้จะร้อนเหงื่อไหลย้อยจนเสื้อเปียก  ยังดีที่เขาใส่เสื้อยืดตัวบางๆเท่านั้น
“หอยทอดเจ้านี้อร่อยมาก” จุ๊ยบอก
“กินได้ไหม”
โยชิมองหน้าจุ๊ย
“ทำไมคิดว่าเรากินไม่ได้”
“อ้าวก็โยชิเป็นคุณหนูนี่  ก็กลัวว่าจะกินไม่ได้”
“เฮ้ยตอนเราอยู่ญี่ปุ่นเราก็กินอย่างนี้ล่ะ” โยชิตอบแล้วกอดคอจุ๊ยเดินเข้าร้าน
พอสั่งเสร็จจุ๊ยก็ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยตามนิสัย
ตอนกินก็กินไปเงียบๆ นอกจากจะถามว่าอร่อยไหม แล้วก็กินกันต่อไป
แต่สักครู่
“ขออ่อส่วนนะคะ” เสียงหนึ่งดังขึ้น
โยชิที่นั่งหันหลังให้หน้าร้านก็เลยหันกลับไปมอง
“ไปไหนมาค่ะคุณสไบทอง”
“ไปร้านทองหัวมุมมาค่ะ เอาสร้อยมาให้ต่อให้มันขาดตอนไปถ่ายรายการ”
พอได้ยินชื่อว่าสไบทองจุ๊ยก็หันไปบ้าง
“แม่ของนายนี่”
โยชิหันกลับ
“อย่ามอง  หันไปแกล้งทำไปเป็นไม่เห็น”
แต่จุ๊ยยิ้มแหย่ๆ
“ไม่ทันแล้วล่ะ”
“ไม่ คิดว่าจะเจอที่นี่นะ อาราอิ” หญิงสาวดวงหน้าสวยงามแม้จะสูงวัยพอสมควรกล่าว แล้ววิสาสะนั่งลง เพราะรู้ว่ายังไงลูกชายก็ไม่เชิญแน่นอน
จุ๊ยจึงยกมือไหว้เธอ
สไบทองรับไหว้ แล้วก็ทำท่านึก
“อ้อนี่น้องที่ไปเล่นดนตรีที่งานของฉัตรอัครใช่ไหม  ฉันก็ไปนะ  ไปตอนที่เธอแสดงพอดี”
จุ๊ยตอบว่าครับ  แต่โยชิเมินไปอีกทาง
จุ๊ยเห็นแล้วก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที
“ดีแล้วล่ะที่มีหนูเป็นเพื่อนแบบนี้  อาราอิ เอ้ย โยชิสินะ  เขาไม่ค่อยได้ไปไหนหรอกนะ  ว่างก็มาเที่ยวที่บ้านบ้างก็ได้” สไบทองกล่าวกับจุ๊ย
“ว่าแต่หนูเก่งมากเลย  แล้วนี่จบม.หกแล้วสินะ  จะเรียนต่อที่ไหนล่ะ คะแนน.. อืมเรียกว่าAdmission ใช่ไหม เป็นยังไงบ้าง”
“ผมไม่ได้สอบครับ” จุ๊ยตอบ
“อ้าว” สไบทองทำท่าแปลกใจ
แม้แต่โยชิยังหันมา
“ก็ผมคิดว่าจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเปิดครับ  ของรามคำแหงเขาก็มีวิชาเกี่ยวกับคนตรี” จุ๊ยอธิบาย
“อืม.. ถ้าติดขัดเรื่องทุนฉันช่วยได้นะ” สไบทองกล่าวทั้งเสนอตัว
จุ๊ยเคยได้ยินว่าพวกดาราจะเสแสร้งได้เก่งมาก  จุ๊ยเลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วสไบทองกำลังเล่นละครเป็นคุณแม่ของเพื่อนที่แสนดีหรือว่าเป็นคนอัธยาศัยดีอย่างนั้นจริงๆ
“คงไม่ต้องลำบากแม่หรอกครับ  เพราะลุงเนมเสนอให้จุ๊ยไปแล้ว แต่จุ๊ยเขาปฏิเสธ”  โยชิกล่าวตามที่รู้มาจากเพลงพิณ
“ผมขอตัวนะครับ”
แล้วโยชิก็ลุกขึ้นโค้งอย่างเป็นทางการมาก ก่อนจะหันหลัง
“อ้อก่อนฉันจะลืม” สไบทองกล่าวขึ้น
“ถ้ามีคิวว่างๆ ไปญี่ปุ่นไปจัดการเรื่องบ้านกับทรัพย์สินด้วยนะ  เพราะสินสมรสของพ่อแกกับฉันน่ะ ฉันไม่ได้อยากได้  ยกให้แกทั้งหมด”
โยชิยืนนิ่ง  จุ๊ยเห็นเขาขบกรามจนเป็นสัน
“ครับคุณนาย” เขาหันมาโค้งให้อีกทีแล้วเดินออกไป
 
จุ๊ยเดินตามโยชิอยู่นานพอสมควรโดยไม่ได้พูดอะไร
กระทั้งโยชิกล่าวขึ้นขณะทั้งคู่เดินมาหยุดตรงบริเวณใกล้กับสถานที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน
“ขอโทษนะเลยทำให้นายหมดอารมณ์เลย”
จุ๊ยมองรอบตัวแล้วก็ตอบ
“ไม่เป็นไร  ฉันก็ไม่ได้เสียอารมณ์อะไรนี่ ว่าแต่..”
“ความสัมพันธ์ของฉันกับแม่ไม่ได้ดีอย่างที่คนอื่นเข้าใจหรอก  แม่น่ะเล่นละครเก่ง  เขาทำให้ทุกคนรู้สึกอย่างนั้น  แต่ฉันกับแม่แทบไม่ได้คุยกัน”
“อืมเข้าใจหรอก  ว่าแต่..”จุ๊ยกล่าวอีก
“แม่กับพ่อฉันแยกกันอยู่น่ะ  ฉันก็เลยตามพ่อกลับญี่ปุ่นไปแต่เล็ก  แต่พ่อกับแม่พึ่งจะหย่าขาดจากกันก็เมื่อปลายเดือนก่อนนี่เอง”
จุ๊ยเดินมาตบบ่าเพื่อน
“เราเข้าใจนาย  อย่าคิดมาก ว่าแต่...”
“เราก็อยากทำดีกับแม่นะ  แต่มันทำไม่ได้จริงๆ  นายยังจำเรื่องที่พัทยาได้ใช่ไหมหล่ะ”
จุ๊ยคิด  ตอนนั้น อ้อ.. ตอนที่พวกเขาสองคนลงรถทีพัทยาก็เพื่อจะไปตามหาแม่ของโยชิที่เข้าพักที่โรงแรมในพัทยา
“อื่ม... ฉันก็เข้าใจ  แต่ที่สุดเราก็ต้องยอมรับนะ  ในเมื่อเขาสองคนเดินทางไปด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว  ก็ต้องแยกกันเป็นธรรมดา” จุ๊ยกล่าว
“ว่าแต่”
“ฉันไม่น่าเล่าเรื่องพวกนี้เลยเน้อ ทำให้นายไม่สบายใจไปด้วย” โยชิหันมามองหน้าจุ๊ย
ตอนนี้ใบหน้าของโยชิมีมันเคลือบจางๆ  ทำให้รู้สึกถึงความเป็นปุถุชนของเขามากขึ้นกว่าก่อน
“ขอบใจนะที่อุตส่าห์เข้าใจเราโดยตลอด”
จุ๊ยเงียบเพราะตอนนี้โยชิมองตาจุ๊ยอย่างลึกซึ้งเหมือนจะจ้องเข้าไปภายใน
“เอออ ไม่เป็นไร” เชาหลบตาก่อน
โยชิก็เหมือนจะเขิน หันไปอีกทาง
“แล้วนี่เราอยู่ไหนกัน” เขาเริ่มสังเกตว่ารอบตัวไม่คุ้นเคย
“ก็นี่หล่ะที่จะถาม” จุ๊ยกล่าวแล้วกอดอก
“นายจะไปไหนเดินเอา เดินเอาอย่างกับรู้ทาง”
“อ้าว.. เหรอ” โยชิยิ้มเขินๆ หัวเราะออกมาแก้เก้อ
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
 
 
 ระหว่างเดินกลับไปที่จุดซึ่งโยชินำรถไปฝากจอดไว้  โทรศัพท์ของจุ๊ยก็ดังขึ้น
“จุ๊ยเหรอ  เฮียพัฒน์นะ” ฝ่ายโน่นตอบมา
“ครับ” จุ๊ยตอบ
โยชิหันมามองแล้วก็เดินคู่กันต่อไป
 
ในรถที่ค่อนข้างติดขัด
จุ๊ยเงียบลงไปอย่างเห็นได้ชัด 
โยชิก็เลยถาม
“เป็นอะไรเหรอ  มีอะไรรึเปล่า”
จุ๊ยที่เอาแขนท้าวกับขอบประตูมองออกไปนอกหน้าต่างก็หันมา
“อ้อ.. คิดอะไรเพลินๆน่ะโทษที”
โยชิกดปุ่มเพื่อเปลี่ยนแผ่นซีดี
“พรุ่งนี้ฉันก็ว่างนะ  อยากจะไปเที่ยวไหนกันไหม  ฉันว่างตั้งสามวัน”
จุ๊ยนิ่งอยู่นิดหนึ่ง
“ไประยองไหม” จุ๊ยถามออกไป
โยชิหันมามองหน้า
จุ๊ยก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองชวนออกไปอย่างนั้น  แต่ก็ชวนไปแล้ว
“เรามีน้องสาวอีกคนอยู่ระยอง  เราไปเยี่ยมทุกปี ปีนี้ยังไม่ได้ไปเลย  ไปด้วยกันไหมล่ะ”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 22 : ดอกไม้ร่วงก่อนเวลา
“ที่จริงนายก็ไม่ต้องก็ได้อาราอิ  นายเข้าไปในงานเดี่ยวจะมีคนจำได้” จุ๊ยกล่าวแก่อาราอิ ตอนที่เขาจอดรถภายในโรงแรมระดับหรูของระยอง
“แล้วจะให้ฉันรอนายที่บ้านน้าของนายได้ยัง  ไม่รู้จักใครสักคน แถมน้องนายก็ไม่ยอมออกมาด้วย”
จุ๊ยถอนหายใจกับคำตอบของอาราอิ
เพราะแม้ตอนที่ถูกขอร้องให้มาเล่นแซกโซโฟนในงานแต่งงานของเพื่อนของฮัวคนหนึ่ง ที่ได้รับคำอธิบายว่าเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทกัน  แต่เพื่อนเขาต้องแต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่งเพราะไม่ต้องการขัดใจพ่อ  เธอก็เลยอยากให้จุ๊ยมาเล่นเพลงนิ้เพื่อเป็นกำลังใจจากเธอ
“พ่อของพี่กายเขาเป็นคนใหญ่คนโต  มีบารมีมาก  แต่ก็ต้องพึ่งพาครอบครัวฝ่ายผุ้หญิงให้ช่วยเหลือด้านคดีที่พ่อของพี่กายเขาโดนเล่นงานอยู่  ก็เลยจำเป็นต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น  ฮัวสงสารเขาน่ะ  รักก็ไม่รัก  นะแต่ต้องแต่งงานกัน  ถ้าฮัวสบายดีฮัวก็อยากไปนะ  แต่ตอนนี้ฮัวไม่อยากออกไปไหนทั้งนั้น  ฮัวอยากให้เฮียไปแทนหน่อย”
แล้วเธอก็ยืนกระดาษที่พับไว้ออกมาผ่านร่องประตู
“เพลงอะไร”จุ๊ยถามแล้วจะแกะดู
“ไม่สิเฮีย  อย่าอ่านก่อน  ไม่งั้นจะเซอร์ไพร์สได้ยังไง”
“อ้าวแล้วถ้าเป็นเพลงที่เฮียเล่นไม่ได้ไม่แย่เหรอ”
“เฮียเล่นได้อยู่แล้วหล่ะ เฮียเก่งจะตายไป”
 
จุ๊ยเข้าไปในงานโดยไม่มีการ์ดเชิญ  โดยอาศัยความเป็นดาราของอาราอิเป็นใบเบิกทาง
“เห็นไหม ดีนะที่ฉันมาด้วย” อาราอิกล่าวขณะเดินเข้างานมา
แล้วจุ๊ยก็เดินไปหาเจ้าบ่าวตอนได้จังหวะ
ชายหนุ่มได้ฟังเรื่องของจุ๊ยจบเขาก็เงียบไปนาน  ก่อนจะตอบ
“ครับ เดี่ยวผมบอกพ่อให้”
จุ๊ยรู้สึกแปลกๆกับแววตาของเจ้าบ่าว
แต่เข้าใจว่าเจ้าบ่าวคงเหนื่อย เพราะเขาก็เคยไปช่วยงานญาติที่แต่งงานแล้วได้รู้ว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะเหนื่อยมากในวันแต่งงาน
“ถ้าไม่สะดวกไม่ต้องก็ได้นะครับ  เดี่ยวจะเป็นการเสียพิธีการ”
กายยิ้มแบบแห้งแล้งเหลือเกิน
“เห็นฮัวบอกว่าจุ๊ยเก่งมากเลย  ได้รางวัลระดับประเทศด้วย  ผมก็อยากฟังจุ๊ยเล่นสดๆเหมือนกัน”
แล้วเขาก็มองหน้าอาราอิ
“แล้วก็ดีใจจังที่มีดาราดังมางานผมด้วย”
 
จุ๊ยรออยู่ข้างเวที  เขาตัดสินใจจะคลี่กระดาษดู
“ต่อ ไปเราจะมีนักดนตรีพิเศษที่ นายนทีธาร แซ่จาง นักดนตรียอดเยียมประเภทเครื่องเป่า แซกโซโฟน รางวัลเกียรติยศประเทศไทยเมื่อปีที่แล้ว จะมาแลดงดนตรีให้กับแขกผุ้มีเกียรติรับชมและรับฟังนะครับ”
ตอนนั้นผู้ประสานงานมาถาม จุ๊ยก็คลี่กระดาษดู แล้วก็ขมวดคิ้วนิดหน่อย
“เพลงของ Rascal Flatts…” เขาอ่าน 
แน่นอนต้องเล่นได้ เพราะเขาเคยฟังและเลยเล่นมาแล้วในงานปีใหม่ของโรงเรียน  แต่จุ๊ยก็ไม่ได้ลึกซึ้งในเนื้อหาเพราะเขาฟังจากเวอร์ชั่นที่มีคนมาเป่าเป็นCover ด้วยแซกโซโฟน เพื่อฟังอารมณ์เพลง
“เพลงนี้มันเศร้าออกนี่น่า” จุ๊ยพึมพำแต่ไม่มีเวลาคิดแล้ว
“เชิญครับ”
พิธิกรกล่าว
จุ๊ยก็ได้รับสัญญาณจากคนที่ดูแลคิวเวที  จึงต้องเดินขึ้นไป
พอขึ้นไปเขาก็กล่าว
นักดนตรีเริ่มต้นเล่นเพลง  จุ๊ยก็รอจนถึงจังหวะ  แล้วเขาก็จรดปากเป่าบทเพลงออกไปอย่างสุดความสามารถของเขา
เสียงดนตรีสะกดคนมางานแต่งงานใหญ่โตระดับจังหวัดได้อย่างหมดสิ้น  ไม่มีสักคนจะพูดคุยกัน แม้จะไม่ใช่คนชอบฟังเพลงก็ยังหลงไปมนต์เสียงเพลงของจุ๊ย
แต่อาราอิกลับค่อยๆตื่นตัวเมื่อตระหนักได้ว่าเพลงนี้คือเพลงอะไร...
จุ๊ยก็เล่นไปตามเนื้อเพลง  และในตอนที่เขากำลังจะเล่นจบ เขาก็เห็นเจ้าบ่าวร้องไห้ออกมา
“What hurt the most” อาราอิพึมพำชื่อเพลงนั้นออกมา
แล้วเขาก็วิ่งไปหน้าเวที
“จุ๊ย กลับบ้าน ฮัวแย่แน่แล้ว”
จุ๊ยหยุดเล่นในทันที  ทั้งที่ปกติเขาเป็นคนไม่ชอบหยุดเล่นกลางคัน
เขาเริ่มตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น
ทั้งงานแตกตื่นที่อยู่ดีๆ นักดนตรีก็กระโดดลงจากเวทีแล้ววิ่งออกไป
ไม่เท่านั้นไม่นาน เจ้าบ่าวก็ลุกขึ้นวิ่งตามออกไป
 
รถของอาราอิวิ่งไปราวกับเหาะเหินได้  เขามาถึงบ้านยี่อี้ของจุ๊ยในเวลาแค่สิบกว่านาที
“อ้าวจุ๊ยมาเมื่อไหร่” พัฒน์พึ่งกลับมาไม่นาน กำลังเอาข้าวของออกจากเบาะหลัง
แต่จุ๊ยไม่ตอบวิ่งเข้าตัวบ้านไปพร้อมกับผู้ชายที่เขาไม่รู้จักแต่คุ้นหน้า
“ฮัว ฮัวเปิดประตู” จุ๊ยทุบประตูโครมๆ
อาราอิดึงเขาให้หลบแล้วก็ตั้งท่าคาราเต้ ก่อนออกแรงถีบประตูเต็มแรงจนกลอนทีขัดขวางอยู่หักสะบันออกไป
ร่างของฮัวที่ประตูเปิดเผยให้เห็น  เธอนอนอยุ่บนพื้นที่โซกไปด้วยเลือดสดๆ เธอกรีดข้อมือตัวเองทั้งสองข้าง
จุ๊ย จะถลาเข้าไปแต่ทว่าคนที่เข้ามาที่หลังวิ่งพรวดพลักจนเขาเซล้มไปพ้นทาง แล้ววิ่งไปช้อนร่างของเด็กสาวขึ้นมาเขาตรวจสอบชีพจรที่คอและก้มดูลมหายใจ ก่อนจะวางร่างของเธอลง
“ฮัวอย่าทิ้งพี่ไป  อย่าไปสิฮัว” เขาพึมพำออกมาขณะปลดชุดสูทแล้วก็เริ่มต้นทำซีพีอาร์  เอา หน้าแนบฟังแล้วก็เปลี่ยนเป็นใช้นิ้วบีบจมูกฮัวอีกมือเชยหน้าเธอขึ้นแล้ว ประกบปากเป่าลม จากนั้นก็ขยับอย่างรวดเร็วมานั่งกระชับวางมือไปที่กลางอกแล้วกดลงเป็นจังหวะ
เขาทำซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง สลับกับการหยุดตรวจสัญญาณชีพ
ตอนนั้นเองแม้จุ๊ยจะตกใจแค่ไหน ก็เริ่มได้สติ  เขาเดินเข้าไปจับบ่าชองชายรุ่นพี่
“พอแล้วครับ เธอจากไปแล้วครับ พี่กาย เธอจากเราไปแล้ว”
กายหยุดทั้งเพราะความเหนื่อยและการเตือนสติของจุ๊ย  แล้วเขาก็เอาร่างที่อาบไปด้วยเลือดมากอดแน่น แน่นมาก...
แล้วก็แผดเสียงร้องอย่างสิ้นความอาย
คร่ำคราญจนจุ๊ยเองกลัวว่าเขาจะขาดใจตายไปตามเธอ
ตอนนั้นเองที่อาราอิเดินเข้ามาโอบเขาไว้อย่างอ่อนโยนเช่นกัน



ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 23 : จับเข้าเรียนแบบมัดมือชก
ทั้งป๊า เฮียตี้ และซัวก็มาพร้อมหน้ากันหมดในวันรุ่งขึ้น  พวกเขาตัดสินใจว่าจะเผาร่างของฮัวในทันที่ได้ร่างของเธอกลับจากการชันสูติพลิกศพ 
จุ๊ยเป่าเพลง Autumn Leaves อีกครั้งเพื่อส่งวิญญาณของเธอ  เขาเป่าเพลงนั้นจนกระทั้งควันไฟพลุ่งขึ้นจากปล่องเมรุ
เมือจบอีกรอบหนึ่งเขาก็หยุดเป่าและมองส่งควันเหล่านั้นเสมือนด้วยการส่งดวงวิญญาณของเธอ
“จุ๊ย.. แปลว่าน้ำ  ดังนั้นแม่อยากให้จุ๊ยเป็นน้ำที่ประคองเรือ ให้แล่นไปได้อย่างสงบ  และคอยหล่อเลี้ยงแผ่นดินให้เกิดผล  คอยประสานทรายให้ควบแน่น  และทำให้ดอกไม่ผลิบาน  จุ๊ยทำได้ใช่ไหมครับ” เสียงของอาม๊าดังมาจากอดีต
จุ๊ยหลับตาลง  แล้วพูดออกไป
“ผมพยายามแล้วครับม๊า แต่ผมทำไม่สำเร็จ”
“ใครว่าหล่ะ” เฮียตี้ก้าวมายืนข้างๆกอดคอจุ๊ย  ซัวก็เช่นกัน
“อย่างน้อยที่สุดก็มีตอนที่จุ๊ยทำให้ฮัวแย้มยิ้มได้อย่างงดงาม แม้จะต้องจากกันไปไกล  แต่อย่างที่จุ๊ยเคยบอก  บางที่เราก็ทำใจ กับสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้  นี่คือการติดสินใจของตัวเธอเอง  เราคงไปทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า ระลึกถึงเธอ”
ไฮ้จุ๊งผู้บิดามองสามพี่น้องกอดคอกันด้วยแววตาที่อยากจะคาดเดา  แล้วเขาก็หันไปหลังกลับเดินไปอย่างเงียบๆ
อาราอิมองภาพทั้งหมดแล้วก็หันไปอีกทางที่มีชายหนุ่มที่นั้งอยู่คนเดียวมองไปที่เมรุจับนิ่งอยู่อย่างนั้น กายผู้สูญเสียดวงใจของเขาไป

 
บิดาและซัวกลับรถของเฮียตี้  และออกรถไปแล้ว
พัฒน์วางมือบนไหล่ของจุ๊ย
“ก็รักษาตัวให้ดีนะ  คอยดูเตี๋ยวด้วย  ถึงจะดูไม่ค่อยออกอาการแต่ก็คงเสียใจอยู่ไม่น้อยหล่ะ” เฮียพัฒน์กล่าว
จุ๊ยถอนหายใจแล้วตอบไปว่าครับ
“ส่วนเฮียคงต้องอยู่เป็นเพื่อนม๊าสักระยะ  เพราะนี่ก็ร้องไห้ตลอด  ร้องๆหยุดๆไม่เลิกสักที  อย่างว่าหล่ะ  ท่านก็รักของท่าน  อยู่ดีๆมาจากไปกะทันหันก็ต้องเสียใจมากอยู่แล้ว”
จุ๊ยมองไปในตัวบ้าน
พูดถึงความเสียใจ  แม้เขาจะเสียใจมาก  แต่พอได้เห็นว่ามีคนที่ร้องไห้ฟูมฟายยิ่งกว่าเขาก็ระงับความเสียใจและตั้งสติได้  อายี่อี้ก็คนหนึ่ง  เพื่อนๆของฮัวที่มางานก็เหมือนกัน  แต่ไม่มีใครเทียบได้กับกายที่เหมือนดวงใจจะขาดตามไปด้วย  นี่ก็ได้ยินว่าเมื่อคืนก็นั่งอยู่ทีวัดจนถึงเวลาเก็บกระดูก ตอนไปลอยอังคารก็มองส่งเธอจนเรือพ้นระยะจะมองเห็น
“ผมฝากเฮียไปดูพี่กายด้วยนะครับ” จุ๊ยกล่าว
พัฒน์พยักหน้า แต่ก็แสดงสีหน้าลำบากใจ
“ไม่รู้พ่อของเขายอมให้เฮียไปดูไหมนะ  นี่งานแต่งก็ล้มไปเลย เพราะเจ้าบ่าวหนีออกจากงานมาแบบนี้”
กลาย เป็นว่าพัฒน์รับรู้เรื่องของกายมาโดยตลอด เพราะเขาเองเป็นคนติดต่อให้กายมาเป็นคนติวพิเศษให้ฮัวเพราะกายเป็นลูกศิษย์ คนหนึ่งของพัฒน์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก
ที่จริงจุ๊ยก็เคยได้ยินชื่อกายบ่อยๆจากปากของฮัว  แต่คิดว่าเป็นเพื่อนกันเฉยๆ ไม่คิดว่าทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งจนเกินเลยไปขนาดนี้ 
 กายบอกกับจุ๊ยเองว่าเขาเป็นพ่อของเด็กที่ฮัวทำแท้งตัวเองไป  และขอโทษกับจุ๊ย 
ทว่าจุ๊ยกลับไม่สามารถโทษเขาเรื่องนี้ได้เลย  ถ้าดูจากความเสียอกเสียใจของเขา 
ภาพที่กายในชุดเจ้าบ่าวสีขาวซึ่งชุ่มไปด้วยเลือดของฮัวนั้นคงติดตาของจุ๊ยไปอีกหลายปีแน่นอน 
ภาพนั้นบรรยายอื่นใดได้นอกดวงใจที่แหลกรานจากความเจ็บปวดอย่างที่สุด และความเสียใจที่ท่วมท้นออกมา
 
จุ๊ยนั่งมองหน้าอาราอิมานานตั้งแค่ออกจากระยอง
“ขอโทษนะ  แทนที่นายจะได้สนุกกับการมาเที่ยว  ที่ไหนได้กลายเป็นแบบนี้”
อาราอิเหลือบมามอง
“แต่เรากลับดีใจนะ”
จุ๊ยทำหน้าบอกได้ว่าแปลกหูกับคำพูดของเขา
“เฮ้ยไม่ใช่ หมายถึงฉันดีใจที่ได้ร่วมทุกข์กับจุ๊ยนะ  ก็อย่างที่บอกจุ๊ยเคยร่วมทุกข์กับฉันมาแล้วไง  ตอนนี้ฉันก็ร่วมทุกข์กับจุ๊ยบ้าง  แถมยังได้รู้จักกับครอบครัวจุ๊ยด้วย”
จุ๊ยก็ยังมองหน้าเขาอยู่
“ทำไมอะ ฉันพูดอะไรผิดเหรอ”
“เปล่า” จุ๊ยยักไหล่ในที่สุด
“ก็... แค่คิดว่านายนี่แปลกดี”
“แปลกยังไง” อาราอิถาม
“ก็แปลกแล้วกันน่า” จุ๊ยไม่ตอบแล้วก็มองออกไปข้างหน้า
“แต่ก็ดีนะ  ขอบใจนายด้วย  ถ้าไม่ได้นาย ฉันก็แย่เหมือนกัน”
 
เวลาที่ผ่านไปทุกวันเป็นไปอย่างเร็วบ้างช้าบ้างในความรู้สึกของแต่ละคน  แต่สำหรับจุ๊ยมันผ่านไปอย่างรวดเร็วมากๆ
เพราะเขานอกจากงานบ้านในแต่ละวัน  เขา ยังต้องไปช่วยครูอติคุมการซ้อมของน้องวงโยธวาทิต ซึ่งแม้จะได้หัวหน้าวงคนใหม่แล้ว แต่อู๊ดก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังทำหน้าที่ไม่ได้ดีพอ  แล้วเขายังไปรับงานเล่นดนตรีตามงานอีเว้นท์ที่เดฟและอาราอิผลัดกันหามาให้เขาตลอด
ต่อมาก็นั่งลุ้นผลวงโยธวาทิต ปรากฏว่าได้รางวัลกลับมา  นั้นทำให้เขารู้สึกภูมิใจกับน้องๆของเขามาก ฉลองกันไปหลายยกเลยที่เดียว

รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กลับจากงานอีเว้นท์แล้วได้ยินเด็กรุ่นเดียวกันสองคนคุยกัน อย่างออกรสเรื่องที่พวกเขาเข้าสถาบันที่ใฝ่ฝันได้ในรถไฟฟ้า
จุ๊ยมองกล่องแซกโซโฟน แม้จะบอกว่าไม่ได้คิดจะเรียนต่อ  แต่นึกเสียดายเหมือนกันที่จะไม่ได้ใช้ชีวิตเด็กมหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่น  แต่ก็ปลอบใจตนเองว่า มหาวิทยาลัยเปิดก็น่าจะเหมือนกัน  ว่าแล้วพรุ่งนี้เขาก็ต้องไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
 วันรุ่งขึ้นจุ๊ยก็เลยแต่งตัวด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนต์สีเข้มสวมรองเท้าผ้าใบ
“จะไปไหน” อาป๊าถาม
“ไปสมัครเรียนรามครับ” จุ๊ยตอบ
“รู้สึกเฮียแกก็จะพาแกไปเหมือนกัน”
“ไม่ต้องหรอกครับ เขาไม่ต้องใช้ผู้ปกครอง” จุ๊ยตอบ
แต่เฮียตี้เดินลงมาพร้อมจากชั้นสองพร้อมถุงใบหนึ่ง
“เอานี่ไปเปลี่ยนซะ”
จุ๊ยเปิดถุงแล้วเห็นเป็นเสื้อนักศึกษาสีขาว กางเกงผ้าสีดำ เนคไท และเข็มขัดของมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง
“อะไรครับนี่” จุ๊ยมองหน้า
“ก็ชุดนักศึกษาของแกไง  ฉันจัดการแทนแกไปแล้วภายใต้การยินยอมของอาป๊า  วันนี้แกต้องไปรายงานตัวกับตรวจสุขภาพกับฉัน”
“แต่” จุ๊ยจะปฏิเสธ
“แต่อะไร” ป๊าเสียงเข้ม
“ไปแต่งตัวเดี่ยวก็สายหรอก”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 24 : ความลับของอ๊อด
พอเลิกจากกิจกรรมสามหนุ่มก็พอกันกลับบ้าน โดยเดินมาตามทางอันร่มรื่นด้วยเงาไม้ของมหาวิทยาลัย แทนจะขึ้นรถรับส่งของมหาวิทยาลัยเพราะเห็นว่ามันค่อนข้างแน่น
“คนอื่นๆ เป็นยังไงบ้างวะ  กูไม่ได้ข่าวใครเลย”
ฮ้อยถาม
“อ้อมึงมัวแต่กลับไปเลี้ยงควายนี่หว่า  ใครจะไปส่งข่าวให้มึง” จุ๊ยเค้นเสียงตรงว่าควาย
“กูไม่ได้เลี้ยงควายเว้ย  เลี้ยงวัว  โคเนื้อขุนอย่างดีด้วย  ไม่ใช่ควายบ้านๆอย่างมึง” ฮ้อยตอบโต้
“อ้าวไอ้เด็กเลี้ยงควาย.. กูไม่ใช่ควาย  ควายที่ไหนจะหล่ออย่างกู” ว่าแล้วก็เสยผม
ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่เด็กนักเรียนหัวเกรียนอีกต่อไปแล้ว  ฮ้อยไว้ผมด้านบนแต่ไถเตียนที่ขอบหูไปทั้งสองข้าง โกรกเป็นสีทองอ่อนๆ ส่วนอ๊อดไว้ทรงบ๊อบปัดไปข้างหนึ่งทำไฮไลท์เป็นสีออกแดง ส่วนจุ๊ยตัดทรงรองทรงมาตราฐานแต่ค่อนข้างสั้นและเสยขึ้นไปให้พอดูเท่ห์  ซึ่งทรงนี้อาราอิเป็นคนแนะนำ
“ไอ้ก้องติดที่มศว. ส่วนไอ้ปอก็ได้โควตาของที่ของแก่น  ไอ้ตั้มได้ที่ม.อ. ภูเก็ต  ส่วนไอ้อัศ เขาเรียนหลักสูตรนานาชาติที่นี่  แต่ก็ยังไม่เห็นมันเลย” อ๊อดตอบ เพราะเขากำลังเห่อเล่นมือถือใหม่ของเขาก็เลยคุยกับเพื่อนทางโซเชียลมีเดียแทบทุกวัน
“แตกกระสานซานเซนไปหมด  ก็มีแต่เรานั่นหละยังเกาะกันอยู่อย่างเหนียวแน่น” ฮ้อยพูดแล้วถอนหายใจ
“ใครอยากเกาะกับมึง  กูเนี่ยนะ  มึงบร้า... กูไม่อยากจะเจอมึงเลยยย ให้ตายชัก” จุ๊ยตอบเสียงยียวน
ฮ้อยเลยหมั่นไส้ขยี้หัวจนผมยุ่ง แต่จุ๊ยก็แค่เสยๆปัดๆ ก็เข้าทรง
“แล้วมีใครเข้าที่นี่อีกวะ  กูจะได้ไปเยี่ยม” ฮ้อยถาม
“ก็มี... ก็เยอะอยู่นะราวสี่สิบห้าสิบคนเลยหล่ะ  ที่สนิทๆก็ไอ้สังดัง ประธานชมรมวิทย์” จุ๊ยตอบ
“มันชื่อสังข์เฉยๆ” ฮ้อยแย้ง
“ทำไมคันหล่ะสิ  พูดถึงไม่ได้เลยนะมึง” จุ๊ยย้อนกลับ
ฮัอยเลยจับมันล็อกคอแล้วลากเดิน  จุ๊ยก็ดิ้นหนีออกมาได้
“มีใครอีก”
“ก็อีเหมียวเข้าคหกรรม  ไอ้ประธานชมรมบาสเข้าวิทยาศาสตร์  ไอ้โม่งที่เล่นกลอง ก็เข้าที่นี่แต่ไปเรียนอักษร” อ๊อดไล่เรียง  แล้วเขาก็วรรค
“ส่วนเมียไอ้จุ๊ย... ก็โน่นไงมาแล้ว... อยู่อินเตอร์”
จุ๊ยลอบถอนหายใจดังเฮือก
“จุ๊ยคร๊าบ คิดถึงจังเลย”  แล้วเดฟก็โผเข้ากอดจุ๊ยแนบแน่นแถมซบลงมาบนหัวของจุ๊ยด้วยความสูงที่เหนือกว่า
เป็นจังหวะพอดีกับรถรับส่งของมหาวิทยาลัยวิ่งผ่านมาพอดี  คนในรถก็เลยหันมามองกันหมด จุ๊ยได้แต่ส่งยิ้มจืดๆให้อย่างไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านั้น
“เฮ้ยมึง... อะไรวะเนี่ย  อายคนมั่งไม่ได้อยู่เหมือนกันเมื่อก่อนมีแต่ผู้ชาย  เดี่ยวนี้ผู้หญิงก็มี ไม่รักษาภาพพจน์กูก็รักษาของตัวเองบ้าง  มึงเป็นดารา” จุ๊ยติงเมื่อปลดจากการกอดมาได้  แต่เดฟก็ยังเอาแขนจุ๊ยมาควงแล้วเดิน
“จุ๊ยแคร์เหรอครับ  ผมไม่แคร์”
“หนังสดก็ยังตามมาให้ดูถึงรั้วมหาลัย...” อ็อดบอกกับฮ้อย
แล้วก็เดินตามทั้งคู่ไป
“แล้วเราจะไปไหนกันดีครับ  กินข้าวไหม  ผมไม่ได้กินข้าวกับจุ๊ยนานแล้ว”
“ไม่ต้องซบ”
“หน่อยน่าคิดถึง”
“บอกว่าไม่ต้องงง เว้ย... นี่มึงไซร้หูกูเลยเหรอ”
“ก็จุ๊ยหอมน่าไซร้”
“ไอ้เหี้ยเดฟ”
“โอยอย่าทำผัวสิครับ ผัวเจ็บ”
“ใครเมียมึงงง”
“งั้นเอาใหม่  อย่าทำเมียสิครับที่รัก  เมียเจ็บ”
ห่างออกไปพอสมควร  อาราอิเดินลงมาจากตึกเห็นพวกของจุ๊ยผ่านไปแต่ไกล คิดจะวิ่งตามไปเรียก  แต่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อน
เลขหมายที่แสดงเป็นเลขหมายของประเทศญี่ปุ่น
นามิจัง..
“ไฮ นามิจัง” เขาตอบสายเป็นภาษาญี่ปุ่น
 
“เออใช่กว่าจะถามจุ๊ย” เดฟกล่าวตอนที่อยู่ในศูนย์อาหารของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้กับสถาบัน
“เพจแซกเสียงหวานนี่ ตกลงรู้ไหมใครเป็นแอตมิน”
“หือ...” จุ๊ยขมวดคิ้ว
“อ้าวกูก็นึกว่ามึง  ก็กูเห็นมึงออกอยากจะได้กูทำผัว นี่ไม่ใช่เหรอ”
“เฮ้ย แล้วผมจะทำไปทำไม  ผมมีรูปจุ๊ยเยอะแยะในเครื่องก็จริง  แต่ผมเก็บไว้ส่วนตัว”
“เก็บทำไม” จุ๊ยจ้องตา
“อย่าบอกนะว่ามึงเก็บรูปกูไว้ว่าว”
เดฟทำลอยหน้าลอยตา
“เอาโทรศัพท์มาเลย” จุ๊ยทำท่าจะล้วงโทรศัพท์จากกางเกง
“ไม่ให้ จุ๊ยจะเอาไปทำอะไร”
“ก็เอามาลบรูปกูน่ะสิ  อุบาทว์มากเลยไอ้เดฟ” จุ๊ยว่าแล้วก็ยังพยายามจะล้วงแต่เดฟหมุนไปหมุนมา
“อย่าครับ เดี่ยวโดนเดฟน้อย” เดฟร้องออกมาค่อนข้างดัง  คนในศูนย์อาหารก็เลยหันมามองกันหลายคน
จุ๊ยจึงรีบผละออกมา
“ผัดไทสองจานได้แล้วจ้า” แม่ค้าสาวบอก 
“ครับ” จุ๊ยขานแล้วก็เดินมารับ เดฟก็ตามเข้ามา
แม่ค้ามองหน้าจุ๊ย แล้วก็มองหน้าเดฟ ก่อนจะยิ้มกรุ่มกริม
“หยอกกันน่ารักจัง” เธอว่า
เดฟยิ้มหวาน แต่จุ๊ยคว้าจานแล้วรีบเดินไป

“คือเพจมันอัพเมื่อเช้าน่ะ  เป็นรูปจุ๊ยใส่ชุดนักศึกษา” เดฟเปิดFacebook ในโทรศัพท์ให้ดู
“ตอน แรกเดฟสงสัยว่าจะเป็นนังเมียน้อย ก็เลยไม่คิดว่าเพจมันอัพอีก เพราะเขาก็ไม่ได้อยู่กับพวกเรา แล้วภาพมันก็หยุดอัพไปตั้งแต่ปิดเทอม”
“ใครวะนังเมียน้อย” ฮ้อยสะดุดหู
“ก็น้องวาไง” อ๊อดตอบ
“อ้อเหรอ” ฮ้อยพยักหน้า
“นี่มันพฤติกรรมสโตกเกอร์ไหมเนี่ย  น่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย” อ๊อดเลื่อนหน้าจอไปเรื่อยๆ
“โอ้โห้พยายามถ่ายมากเลยนะเนี่ย  มีกระทั้งไอ้จุ๊ยตอนเป่าแซกให้พวกพี่ปีสองปีสามฟัง”
จุ๊ยมีอาการเครียดเล็กน้อย
“แล้วจะทำยังไงหล่ะ  เกิดเป็นพวกโรคจิตอะไรอย่างนี้มิแย่เหรอ” เดฟเอนหลังพิงพนักเก้าอี้  หน้าตากังวลกว่าจุ๊ย
“มึงจะทำหน้าอย่างนั้นทำไม” จุ๊ยว่าแล้วเอื้อมมาตบบ่าเดฟ
“กูยังไม่เครียดเลย  กูเจอไอ้โรคจิตอยู่บ่อยๆอยู่แล้วนี่หว่า จะมีสโตรกเกอร์เพิ่มมาอีกสักคนก็ไม่มีปัญหา”
“ใคร โรคจิตไหน  นี่จุ๊ยมีโรคจิตอื่นรบกวนด้วยเหรอ” เดฟสปริงตัวมานั่งตรง
สามหนุ่มนักดนตรีมองหน้ากัน ก่อนจะรุมกันเข้ามา
“ก็มึงไง”
เดฟมองหน้าที่ละคน
“ผมไม่โรคจิตนะ” เขากล่าวเสียงอ่อยๆ
ก่อนจะหันไปคว้าคอจุ๊ยมากอด
“ผมแค่รักจุ๊ยเฉยๆ”
“ปล่อย เดี่ยวกูจิ้มด้วยซ้อม”
“ไม่เอาอะ จิ้มด้วยอย่างอื่นได้ไหม”
“ไอ้โรคจิต”
“ไม่นะแค่รักจุ๊ยเฉยๆ”
“ปล่อยนะไอ้เดฟ”
ฮ้อยถอนหายใจแล้วสบตาอ๊อดที่มองกลับมาด้วยสีหน้าเดียวกัน
 
เพราะฮ้อยย้ายมาอยู่คอนโดมิเนี่ยมริมแม่น้ำใกล้กับบ้านจุ๊ย ก็เลยได้ร่วมทางกลับบ้านด้วยกัน ตอนแรกก็มีอ๊อดมาด้วยกัน
แต่อยู่ๆอ๊อดที่แม้จะย้ายมาอยู่อพาร์ทเม้นท์ใหม่ก็ยังอยู่ใกล้ของเดิม จึงยังต้องร่วมทางกับจุ๊ยเหมือนเดิม  แต่พอเดินทางไปไม่ถึงไหนอยู่ๆอ๊อดก็บอกว่าจะลงก่อนเพราะมีธุระจะไปทำ
สองคนเลยคุยกันเรื่องต่างๆ จุ๊ยก็เลยเล่าถึงเรื่องความตายของน้องสาวด้วย  ฮ้อยได้ฟังถึงกับสลด
“นี่เขาคงรักกันมากจริงๆนั้นหล่ะ  ไม่น่าเชื่อว่าสมัยนี้ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเนอะ” ฮ้อยถอนหายใจ 
“ดีนะกูลูกเมียน้อย  พ่อกูคงไม่มายุ่งกับกู”
จุ๊ยเผยรอยยิ้มมุมปาก แต่ตายังเศร้าอยู่
ฮ้อยจะพูดอะไรต่อ แต่โทรศัพท์ดังขึ้นก่อน
“เออ” เขาขานไปเลยแบบนั้นเพราะหมายเลขที่แสดงเป็นของอ๊อด
“เออได้ๆ  เอากี่อัน”
“เออๆ”
แล้วฮ้อยทำท่าจะวางหู แต่เห็นอ๊อดยังไม่วางก็เลยเอามาฟังอีกทีเผื่อเพื่อนจะมีอะไรพูด  แต่ฟังแล้วเขาก็ขมวดคิ้ว
“เฮ้ยจุ๊ย”
จุ๊ยเงยหน้า จากการสนทนากับหลิวทางไลน์
“อะไร” เขาถามเพราะอยู่ๆฮ้อยก็เอาโทรศัพท์มาแนบหู
“มึงช่วยเอาเพอร์เฟคพีชของมึงฟังสิ”
จุ๊ยฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว
“เสียงไอ้อ๊อด กับใครวะ เหมือนคุยอะไรกัน “
“ได้ยินไหมคุยอะไร”
“กินข้าว.. ไอ้อ๊อดบอกว่ากินแล้ว  ฝ่ายโน้นบอกไม่เป็นไร  เดี่ยวไปช่วยเลือกกางเกงหน่อย อยากได้กางเกงเพิ่ม” จุ๊ยตอบ แต่แล้วเขาก็ทำท่าจุ๊ปาก
ฮ้อยที่กำลังจะถามก็เลยเงียบ
“มันวางสายแล้ว” จุ๊ยกล่าว ฮ้อยก็เลยเอาโทรศัพท์เก็บ
“เสียงใครวะ สาวที่ไหน”
“ไม่ใช่สาว  ก็บอกอยู่ว่าไปซื้อกางเกง  ผู้ชายเว้ย” จุ๊ยตอบ  กดพิมพ์ต่อไปเพราะหลิวยิงข้อความมารัวยิบ
“เสียงใครหล่ะ” ฮ้อยอยากรู้
“มึงว่ามันมีใครที่ไม่อยากให้เรารู้อยู่ด้วยรีเปล่าวะ”
จุ๊ยนิ่งไป  แต่ไม่นานเพราะถ้านานกว่านี้ฮ้อยจะจับอาการเขาได้
“ก็ไม่รู้หรอก  ช่างมันเหอะ เดี่ยวมันอยากจะบอก มันก็บอกเอง”
อ๊อดยังมองหน้าจอโทรศัพท์ที่แม้จะไม่มีภาพใดๆแสดงแล้วเพราะหน้าจอดับไปอัตโนมัติ
เขาลืมกดโทรศัพท์ทิ้ง  ซึ่งที่จริงปกติก็ไม่น่ากังวลอะไรเพราะเขาหยอดมันใส่กระเป๋าสะพาย ก็ไม่น่าจะได้ยินเสียงอะไร
แต่ถ้ามีไอ้จุ๊ยอยู่ด้วย   ด้วยหูที่มีความสามารถ Absolute Pitch หรือ Perfect Pitch ที่เป็นความสามารถหายากของมนุษย์ในด้านการได้ยิน  ก็อาจได้ยินสิ่งที่เขาสนทนาเมื่อกี้
เขามองไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังเลือกกางเกงจากราว  เด็กหนุ่มผิวค่อนข้างขาว ดวงหน้าเนียนตามแบบคนที่มาจากภาคเหนือเหมือนกับเขา
“ไม่เอาเหรอ  เมืองออกให้นะ  อ๊อดมีแค่สองตัว สลับใส่เดี่ยวก็สังคังกินพอดี”
อ๊อดส่ายหัว
“ไม่กินหรอก  เพราะเมืองก็ซักให้อ๊อดก่อนจะกางเกงจะเน่าอยู่แล้ว”
เมืองฟ้าเผยอมุมปากนิดหนึ่ง แล้วออกปากว่า
“สกปรก”
อ๊อดถอนหายใจแล้วก็ตัดสินใจว่าเป็นไงเป็นกัน  ถ้าหากโดนคาดคั้น  เขาก็คงยอมรับไปโดยดี ว่าเขากับเมืองฟ้าคบหากันมาได้เกินหนึ่งปีแล้ว...

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 25 : ต้นเหตุแห่งความชิดใกล้
กลับถึงห้องเมืองฟ้าก็เอากับข้าวที่ซื้อมาไปใส่จาน  อ็อดวางกระเป๋าแล้วมองเมืองฟ้าทำอะไรของเขาไปเรื่อย
ถ้าจะลำดับความของความสัมพันธ์ของเขากับเมืองฟ้า 

ความสัมพันธ์ที่เวียนมาครบรอบปีเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา  ทั้งหมดเริ่มจากวันนั้น
วันหนึ่งกลางเดือนเมษายน  หลังสงกรานต์  ในช่วงปิดเทอมใหญ่ก่อนขึ้นม.หก
วันนั้นอ็อดกำลังเซ๊งสุดขีดกับการประกวดดนตรีที่พึ่งจบลงด้วยชัยชนะของจุ๊ยอย่างงดงามในประเภทเครื่องเป่า  แต่เขากลับพลาดในประเภทเครื่องสาย  เพราะความตื่นเต้นในรอบชิงชนะเลิศ
ก็ไม่ใช่ว่าจะอิจฉาจุ๊ยหรอก เพราะเขารู้ดีว่าจุ๊ยกับเขาต่างกันมากๆ  ต่อให้เขาจะนับเป็นมือหนึ่งเรื่องเครื่องสายของโรงเรียน  แต่ถ้าเทียบกับความสามารถที่อ๊อดอยากบอกว่าเหนือคนของจุ๊ยแล้ว  เขาก็เทียบไม่ได้จริงๆ  เพราะแม้แต่เครื่องสายที่ไม่ใช่เครื่องดนตรีถนัด  จุ๊ยก็ขาดแค่ทักษะการเล่นบางอย่างเท่านั้น  แต่ก็เกือบเทียบได้กับเขาเลยทีเดียว
แต่ที่ทำให้เขาต้องมานั่งเหงาอยู่นี่เพราะเซ็งความตื่นเต้นของตัวเอง
ตอนนั้นนึกๆ ก็เลยเอาไวโอลินมาสีแก้เบื่อ
เขาเล่นเพลง Sad Romance ให้กับเขากับอารมณ์ของตัวเอง
เขาเล่นไปตามอารมณ์  ในส่วนหย่อมเล็กๆข้างหอพักที่แทบจะร้างเพราะผู้เข้าพักส่วนใหญ่จะเป็นเด็กนักเรียน ซึ่งก็กลับบ้านหมด เพราะเป็นช่วงปิดเทอม  แต่อ๊อดไม่มีบ้านให้กลับ... อย่างน้อยที่สุดนั้นก็ไม่ใช่บ้านเขา
อ๊อดปล่อยอารมณ์ไปกับบทเพลง  หลับตาลง 
กระทั้งเพลงจบ  กลับมีเสียงปรบมือดังขึ้น
พอเขาหันมาก็เห็นร่างกะทัดรัดของเด็กหนุ่มยืนอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตดำกางเกงขาสั้นแดง  ยิ้มให้เขาและปรบมืออย่างตั้งใจ  ในแสงอาทิตย์ยามเย็น  เขารู้สึกราวได้เห็นเทวดาตัวน้อย
 
“เราพึ่งย้ายมาน่ะ” เมืองฟ้ากล่าวขณะนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกันในร้านอาหารตามสั่ง
“พอดีหอที่เราอยู่ก่อนหน้ามันแพงเกิน  เราก็เลยย้ายมานี่  เพราะเขาว่าถูกมาก  โรงเรียนก็ชอบมาเช่าให้เด็กทุนอยู่”
“ตอนนี้ย้ายไปหมดแล้วหล่ะ  เพราะอ๊อดเป็นรุ่นสุดท้ายแล้วที่โรงเรียนจะมาเช่าที่นี่  เพราะ เขามีหอใหม่ใกล้ๆโรงเรียน แล้วอาจารย์คนหนึ่งก็เป็นเจ้าของหอด้วย ก็เลยได้ราคาดีกว่า ส่วนอ๊อดนไม่ได้ไป เพราะห้องที่นั้นมันเต็ม” อ๊อดตอบ
เมืองฟ้าเงียบอยู่นิดหนึ่งเหมือนช่างใจก่อนจะถาม
“ทำไมอ๊อดเศร้าจังเลย คือเมืองอาจเล่นดนตรีสากลไม่เป็นนะ แต่ชอบฟังมากๆ  โดยเฉพาะไวโอลิน  แต่เสียงไวโอลินของอ๊อด เมืองว่ามันเศร้าจัง มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
อ๊อดมองจานกระเพราะหมูที่กินอยู่
“วันนี้อ๊อดไปแข่งดนตรีรอบชิงมา  แล้วแพ้น่ะ” เขาตอบ แล้วตักข้าวขึ้นกิน  เคี้ยวจนหมดคำ
“อ๊อดตื่นน่ะ เล่นผิดหลายครั้งเลย  ก็เลยโดนตัดคะแนน  เลยแพ้”
เมืองฟ้าได้ฟังก็ถอนหายใจ
“น่าเสียดายเนอะ  อุตส่าห์มาถึงรอบชิงแท้ๆ”
“อืม... อ๊อดหวังไว้เยอะเลยหล่ะ  กะว่าถ้าชนะเลิศจะเอาเงินรางวัลไปซื้อไวโอลินใหม่  แต่นี่ก็อดไป”
แล้วก็หันมองกล่องไวโอลินข้างตัว
“อันนี้มันเก่ามากแล้ว แต่มันไม่ใช่ของดีอะไร  ก็เลยจะพังอยู่แล้ว  วันนี้ก็เอามันไปเหมือนกันนะ  แต่ครูอติบอกให้ใช้ตัวที่ครูเขาเอามาแทน”
เมืองฟ้าพยักหน้า
“เพราะไม่ถนัดหรือเปล่า แบบว่าใช้ไวโอลินที่ไม่ถนัดมืออะไรอย่างนี้ไง”
อ๊อดหัวเราะดังหึ
“แต่ไวโอลินตัวนั้นเป็นไวโอลินที่อ๊อดซ้อมประจำเลยนะตอนอยู่โรงเรียน”
“อ้าว” เมืองฟ้านิ่งทำหน้าเจื่อน
“ไปไม่เป็นเลยแฮะเรา  กะจะปลอบใจอ๊อดซะหน่อย”
อ๊อดยิ้มกับเสียงหัวเราะแหะๆของเมืองฟ้า
“ไม่ต้องแล้วหล่ะ  อ๊อดสบายใจแล้ว”
เขากล่าวแล้วก็ก้มหน้ากินต่อไป
“ก็ยังดีได้ที่สอง”
เมืองฟ้าสะดุด
“อ้าว... ได้ทีสอง... เมืองก็คิดว่าไม่ได้อะไรเลย”
“โอโห้ ได้ที่สองก็แย่แล้ว”
“อ้าวก็นึกว่าตกรอบ”
“จะตกได้ยังไง ก็บอกว่าเข้าชิง”
“เข้าขิงกันกี่คน”
“ก็สิบคน  แต่ถ้ารวมของรอบแรกก็ราวๆ ร้อยกว่าคนได้”
“โอ๊ยแล้วจะเสียใจทำไมเนี่ย... ได้ที่สองจากคนเป็นร้อยก็เก่งจะแย่แล้ว”
“แต่ไอ้จุ๊ยได้ที่หนึ่ง”
“นั้นมันจุ๊ย...เขาเป็น Exceptional person ครูอติก็บอกอย่างนั้นนี่”
“ก็รู้  แต่ที่พูดไม่ได้อิจฉานะ  แต่ว่าแค่รู้สึกแย่เพราะเล่นพลาด  อยากจะเป็นเหมือนมันบ้าง เล่นไม่พลาดเลย”
“ก็ไม่เหมือนกัน  เราคือคนธรรมดา  แต่นั้นมันยอดมนุษย์  ได้ข่าวว่าเขาหูดีมากเลยนี่  แถมฟังเพลงที่เดียวก็เขียนโน้ตได้แล้ว เรามันคนธรรมดา  แค่นี่ก็เก่งมากแล้วอ๊อด...”
เมืองฟ้ากับอ๊อดเคยเห็นหน้ากันบ่อยๆอยุ่แล้ว เพราะเมืองฟ้าอยู่ชมรมดนตรีไทย  มักซ้อมถึงตอนเย็นๆเหมือนกัน  อย่างนี้กระมังทั้งสองจึงรู้คุยกันได้ถูกคออย่างรวดเร็ว
เมืองฟ้าแม้จะอยู่กลุ่มพวกอิมและเจ๊เหมียว  แต่บุคลิกของเมืองฟ้าไม่ได้ออกสาวเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ  เขาแค่ดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย  ไม่แต่งหน้าแต่งตา  แถมเวลาคุยกันนานๆจะพบว่าเมืองฟ้าเป็นคนพูดตลกได้ดีไม่แพ้ใคร  เพียงแต่ไม่ค่อยคุยกับใครก่อนก็เลยเหมือนเป็นคนไม่ค่อยพูด
 
เมืองฟ้าแกะห่ออาหารแล้วก็ยกมาวางที่โต๊ะญี่ปุ่นที่อ๊อดลากออกมากาง
ระหว่างกินกันไปเงียบๆ  เมืองฟ้าก็ตักไก่ชิ้นใหญ่ให้
“อ้าว... เมืองชอบไก่นี่” อ๊อดท้วง
“ไม่เป็นไร  นี่อ๊อดกินเยอะๆ เถอะ จะได้อ้วนๆ”
“อ้าว...ถ้าอ๊อดอ้วนเมืองก็เบืออ๊อดดิ”
เมืองฟ้ายิ้มละไม
“ไม่หรอก... ไม่แน่นอน”
อ๊อดยิ้มตอบ
“ไม่ทิ้งกันใช่ไหม”
“เปล่า... ไม่อยู่แน่นอน” เมืองฟ้าตอบแล้วหัวเราะเสียงใส
“งั้นนี่... มาแบ่งกันจะได้อ้วนคู่กันไปเลย” แล้วอ๊อดก็แบ่งไก่ออกเป็นสองส่วนตักใส่จานของเมืองฟ้า
“เป็นหมูเหมือนๆกันไง  หมูสองตัว”
แล้วก็ประสานหัวเราะกัน
 
แล้วพวกเขากลายจากเพื่อนเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร  ก็คงต้องย้อนไปถึงฝนหลงฤดูที่ตกมาหลายวัน และตกหนักมากๆวันนั้น
อ๊อดผิวปากสบายอารมณ์แข่งกับเสียงฟ้าร้องสนั่น  แม้จะเปียกไปครึ่งตัวแต่ก็ยังดีที่ท่อนบนไม่เปียกด้วยร่มที่แย่งมาจากไอ้จุ๊ย
ป่านนี้จุ๊ยคงเปียกฝนเป็นลูกหมา  นึกแล้วสะใจได้แก้แค้นที่มันแกล้งเอาร่มของเขาไปซ่อนแถมทำหายจริงๆอีกต่างหาก
แต่พอเปิดประตูห้องเท่านั้น  เข่าอ่อนแทบทรุด
“เหี้ย... ทำไมกรรมมันตามทันแต่กู...  กูลืมปิดประตูระเบียงงงง”
 ตอนนี่เมืองฟ้าขึ้นมาเห็นอ๊อดก็คือเห็นอ๊อดนุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียวทำความสะอาดห้องที่เปียกและกระจุยกระจายไปหมดด้วยเดชพายุฝน
“เกิดอะไรขึ้น... มีใครร่ายเวทย์พายุในห้องนี้เหรอ”
เมืองฟ้าไม่เปียกมากนัก  คงเพราะรอให้ฝนหยุดก่อนแล้วค่อยเดินเข้าซอยมา
“เวทย์อะไรเล่า... ลืมปิดประตูระเบียง” อ๊อดบอกก็ใช้ผ้าซับน้ำบิดลงถัง
“ฝั่งอ๊อดฝนสาดเต็มๆ  ถ้าลืมปิดประตูก็เรียบร้อย  ทั้งลมทั้งฝน”
เมืองฟ้าเดินเข้ามาดู
“หมดเลยเนอะ ทั้งเสื้อผ้าทั้งที่นอน” เขากล่าวอย่างไม่ทันคิด
พอหันมาเห็นอ๊อดทำตาขวางก็ยิ้มแห้งๆ
“ขอโทษ”
แล้วเมืองฟ้าก็มาช่วยอ๊อดเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายจนเสร็จ  แต่กระนั้นที่นอนก็ยังเปียก
“แล้วจะนอนยังไง” อ๊อดเกาหัวแกรก
เมืองฟ้ามองหน้าอ๊อดก่อนจะกล่าว
“ไปนอนห้องเมืองไหมหล่ะ”
แล้วทั้งสองก็สบตากันใน  แม้เสียงฟ้าที่ร้องสนั่นอยู่ข้างนอกก็เรียกให้ทั้งคู่หันเหไม่ได้
 
“เรานอนบนพื้นก็ได้นะ” อ๊อดบอก
“จะนอนยังไง  พื้นเย็นจะตาย”  เมืองฟ้าตอบพลางใช้ผ้าเช็ดผมแรงๆ
“ก็... เอาอะไรมาปูนอนเอา”
“เอาอะไรหล่ะ  ห้องนี้มีผ้าห่มผืนเดียว  คือเมืองยังไม่ได้ซื้อเพิ่มนะ ตอนย้ายเห็นมันหนักเลยไม่เอามาด้วย”
แล้วทั้งคู่ก็เงียบอีก
“นอนเบียดกันก็ได้มั้ง อุ่นดี” อ๊อดว่าแล้วนั่งลงข้างๆตัว
เมืองฟ้าไม่รู้หรอกว่าตัวเองหน้าแดงจนเป็นลูกตำลึง
“เอางี้สิ” เมืองฟ้าเสนอ
“เมืองจะเอาผ้าปูเตียงห่มตัว  ส่วนอ๊อดก็เอาผ้าห่มนี่ลงไปปูนอน”
“ไม่ต้องหรอก” อ๊อดตอบ
“ก็นอนด้วยกันนี่ล่ะ  ทีเวลานอนในค่ายรด.ยังนอนกันได้  หรือเมืองคิดอะไรกับอ๊อด”
เมืองฟ้าถึงกับอึกอัก
“ไม่ได้คิด... เหม่ก็เพื่อนกันนั้นหละ เอาถ้าอ๊อดไม่เป็นฝ่ายกลัวเอง  เมืองก็ไม่เห็นต้องกลัวนี่”
 
อ๊อดเป็นคนขี้เซาอยู่แล้ว  ตอนแรกก็แปลกๆ แต่พอคุ้นเคยก็หลับไป  คงเพราะความเหนื่อยจากการทำความสะอาดห้อง
กระนั้นเพราะไม่ได้นอนร่วมห้องกับใครมานานมาก นับตั้งแต่ไอ้ไก่ลาออกไป  อ๊อดก็เลยรู้สึกตัวขึ้นกลางดึก
เขาหันไป เห็นเมืองฟ้าก็หลับสนิท  คงเหนื่อยเหมือนกัน
จะว่าไปเมืองฟ้าก็มีโอกาสลักหลับเขาได้ง่ายๆ
แต่สำรวจแล้วกางกุงกางเกงก็ยังปกติ ไม่ร่องรอยล่วงละเมิด  อวัยวะสำคัญก็ปกติดีไม่ได้โดนทำอะไรแน่นอน
เขาก็เลยล้มตัวลงนอนต่อ

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 25 : ต้นเหตุแห่งความชิดใกล้
กลับถึงห้องเมืองฟ้าก็เอากับข้าวที่ซื้อมาไปใส่จาน  อ็อดวางกระเป๋าแล้วมองเมืองฟ้าทำอะไรของเขาไปเรื่อย
ถ้าจะลำดับความของความสัมพันธ์ของเขากับเมืองฟ้า 

ความสัมพันธ์ที่เวียนมาครบรอบปีเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา  ทั้งหมดเริ่มจากวันนั้น
วันหนึ่งกลางเดือนเมษายน  หลังสงกรานต์  ในช่วงปิดเทอมใหญ่ก่อนขึ้นม.หก
วันนั้นอ็อดกำลังเซ๊งสุดขีดกับการประกวดดนตรีที่พึ่งจบลงด้วยชัยชนะของจุ๊ยอย่างงดงามในประเภทเครื่องเป่า  แต่เขากลับพลาดในประเภทเครื่องสาย  เพราะความตื่นเต้นในรอบชิงชนะเลิศ
ก็ไม่ใช่ว่าจะอิจฉาจุ๊ยหรอก เพราะเขารู้ดีว่าจุ๊ยกับเขาต่างกันมากๆ  ต่อให้เขาจะนับเป็นมือหนึ่งเรื่องเครื่องสายของโรงเรียน  แต่ถ้าเทียบกับความสามารถที่อ๊อดอยากบอกว่าเหนือคนของจุ๊ยแล้ว  เขาก็เทียบไม่ได้จริงๆ  เพราะแม้แต่เครื่องสายที่ไม่ใช่เครื่องดนตรีถนัด  จุ๊ยก็ขาดแค่ทักษะการเล่นบางอย่างเท่านั้น  แต่ก็เกือบเทียบได้กับเขาเลยทีเดียว
แต่ที่ทำให้เขาต้องมานั่งเหงาอยู่นี่เพราะเซ็งความตื่นเต้นของตัวเอง
ตอนนั้นนึกๆ ก็เลยเอาไวโอลินมาสีแก้เบื่อ
เขาเล่นเพลง Sad Romance ให้กับเขากับอารมณ์ของตัวเอง
เขาเล่นไปตามอารมณ์  ในส่วนหย่อมเล็กๆข้างหอพักที่แทบจะร้างเพราะผู้เข้าพักส่วนใหญ่จะเป็นเด็กนักเรียน ซึ่งก็กลับบ้านหมด เพราะเป็นช่วงปิดเทอม  แต่อ๊อดไม่มีบ้านให้กลับ... อย่างน้อยที่สุดนั้นก็ไม่ใช่บ้านเขา
อ๊อดปล่อยอารมณ์ไปกับบทเพลง  หลับตาลง 
กระทั้งเพลงจบ  กลับมีเสียงปรบมือดังขึ้น
พอเขาหันมาก็เห็นร่างกะทัดรัดของเด็กหนุ่มยืนอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตดำกางเกงขาสั้นแดง  ยิ้มให้เขาและปรบมืออย่างตั้งใจ  ในแสงอาทิตย์ยามเย็น  เขารู้สึกราวได้เห็นเทวดาตัวน้อย
 
“เราพึ่งย้ายมาน่ะ” เมืองฟ้ากล่าวขณะนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกันในร้านอาหารตามสั่ง
“พอดีหอที่เราอยู่ก่อนหน้ามันแพงเกิน  เราก็เลยย้ายมานี่  เพราะเขาว่าถูกมาก  โรงเรียนก็ชอบมาเช่าให้เด็กทุนอยู่”
“ตอนนี้ย้ายไปหมดแล้วหล่ะ  เพราะอ๊อดเป็นรุ่นสุดท้ายแล้วที่โรงเรียนจะมาเช่าที่นี่  เพราะ เขามีหอใหม่ใกล้ๆโรงเรียน แล้วอาจารย์คนหนึ่งก็เป็นเจ้าของหอด้วย ก็เลยได้ราคาดีกว่า ส่วนอ๊อดนไม่ได้ไป เพราะห้องที่นั้นมันเต็ม” อ๊อดตอบ
เมืองฟ้าเงียบอยู่นิดหนึ่งเหมือนช่างใจก่อนจะถาม
“ทำไมอ๊อดเศร้าจังเลย คือเมืองอาจเล่นดนตรีสากลไม่เป็นนะ แต่ชอบฟังมากๆ  โดยเฉพาะไวโอลิน  แต่เสียงไวโอลินของอ๊อด เมืองว่ามันเศร้าจัง มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
อ๊อดมองจานกระเพราะหมูที่กินอยู่
“วันนี้อ๊อดไปแข่งดนตรีรอบชิงมา  แล้วแพ้น่ะ” เขาตอบ แล้วตักข้าวขึ้นกิน  เคี้ยวจนหมดคำ
“อ๊อดตื่นน่ะ เล่นผิดหลายครั้งเลย  ก็เลยโดนตัดคะแนน  เลยแพ้”
เมืองฟ้าได้ฟังก็ถอนหายใจ
“น่าเสียดายเนอะ  อุตส่าห์มาถึงรอบชิงแท้ๆ”
“อืม... อ๊อดหวังไว้เยอะเลยหล่ะ  กะว่าถ้าชนะเลิศจะเอาเงินรางวัลไปซื้อไวโอลินใหม่  แต่นี่ก็อดไป”
แล้วก็หันมองกล่องไวโอลินข้างตัว
“อันนี้มันเก่ามากแล้ว แต่มันไม่ใช่ของดีอะไร  ก็เลยจะพังอยู่แล้ว  วันนี้ก็เอามันไปเหมือนกันนะ  แต่ครูอติบอกให้ใช้ตัวที่ครูเขาเอามาแทน”
เมืองฟ้าพยักหน้า
“เพราะไม่ถนัดหรือเปล่า แบบว่าใช้ไวโอลินที่ไม่ถนัดมืออะไรอย่างนี้ไง”
อ๊อดหัวเราะดังหึ
“แต่ไวโอลินตัวนั้นเป็นไวโอลินที่อ๊อดซ้อมประจำเลยนะตอนอยู่โรงเรียน”
“อ้าว” เมืองฟ้านิ่งทำหน้าเจื่อน
“ไปไม่เป็นเลยแฮะเรา  กะจะปลอบใจอ๊อดซะหน่อย”
อ๊อดยิ้มกับเสียงหัวเราะแหะๆของเมืองฟ้า
“ไม่ต้องแล้วหล่ะ  อ๊อดสบายใจแล้ว”
เขากล่าวแล้วก็ก้มหน้ากินต่อไป
“ก็ยังดีได้ที่สอง”
เมืองฟ้าสะดุด
“อ้าว... ได้ทีสอง... เมืองก็คิดว่าไม่ได้อะไรเลย”
“โอโห้ ได้ที่สองก็แย่แล้ว”
“อ้าวก็นึกว่าตกรอบ”
“จะตกได้ยังไง ก็บอกว่าเข้าชิง”
“เข้าขิงกันกี่คน”
“ก็สิบคน  แต่ถ้ารวมของรอบแรกก็ราวๆ ร้อยกว่าคนได้”
“โอ๊ยแล้วจะเสียใจทำไมเนี่ย... ได้ที่สองจากคนเป็นร้อยก็เก่งจะแย่แล้ว”
“แต่ไอ้จุ๊ยได้ที่หนึ่ง”
“นั้นมันจุ๊ย...เขาเป็น Exceptional person ครูอติก็บอกอย่างนั้นนี่”
“ก็รู้  แต่ที่พูดไม่ได้อิจฉานะ  แต่ว่าแค่รู้สึกแย่เพราะเล่นพลาด  อยากจะเป็นเหมือนมันบ้าง เล่นไม่พลาดเลย”
“ก็ไม่เหมือนกัน  เราคือคนธรรมดา  แต่นั้นมันยอดมนุษย์  ได้ข่าวว่าเขาหูดีมากเลยนี่  แถมฟังเพลงที่เดียวก็เขียนโน้ตได้แล้ว เรามันคนธรรมดา  แค่นี่ก็เก่งมากแล้วอ๊อด...”
เมืองฟ้ากับอ๊อดเคยเห็นหน้ากันบ่อยๆอยุ่แล้ว เพราะเมืองฟ้าอยู่ชมรมดนตรีไทย  มักซ้อมถึงตอนเย็นๆเหมือนกัน  อย่างนี้กระมังทั้งสองจึงรู้คุยกันได้ถูกคออย่างรวดเร็ว
เมืองฟ้าแม้จะอยู่กลุ่มพวกอิมและเจ๊เหมียว  แต่บุคลิกของเมืองฟ้าไม่ได้ออกสาวเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ  เขาแค่ดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย  ไม่แต่งหน้าแต่งตา  แถมเวลาคุยกันนานๆจะพบว่าเมืองฟ้าเป็นคนพูดตลกได้ดีไม่แพ้ใคร  เพียงแต่ไม่ค่อยคุยกับใครก่อนก็เลยเหมือนเป็นคนไม่ค่อยพูด
 
เมืองฟ้าแกะห่ออาหารแล้วก็ยกมาวางที่โต๊ะญี่ปุ่นที่อ๊อดลากออกมากาง
ระหว่างกินกันไปเงียบๆ  เมืองฟ้าก็ตักไก่ชิ้นใหญ่ให้
“อ้าว... เมืองชอบไก่นี่” อ๊อดท้วง
“ไม่เป็นไร  นี่อ๊อดกินเยอะๆ เถอะ จะได้อ้วนๆ”
“อ้าว...ถ้าอ๊อดอ้วนเมืองก็เบืออ๊อดดิ”
เมืองฟ้ายิ้มละไม
“ไม่หรอก... ไม่แน่นอน”
อ๊อดยิ้มตอบ
“ไม่ทิ้งกันใช่ไหม”
“เปล่า... ไม่อยู่แน่นอน” เมืองฟ้าตอบแล้วหัวเราะเสียงใส
“งั้นนี่... มาแบ่งกันจะได้อ้วนคู่กันไปเลย” แล้วอ๊อดก็แบ่งไก่ออกเป็นสองส่วนตักใส่จานของเมืองฟ้า
“เป็นหมูเหมือนๆกันไง  หมูสองตัว”
แล้วก็ประสานหัวเราะกัน
 
แล้วพวกเขากลายจากเพื่อนเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร  ก็คงต้องย้อนไปถึงฝนหลงฤดูที่ตกมาหลายวัน และตกหนักมากๆวันนั้น
อ๊อดผิวปากสบายอารมณ์แข่งกับเสียงฟ้าร้องสนั่น  แม้จะเปียกไปครึ่งตัวแต่ก็ยังดีที่ท่อนบนไม่เปียกด้วยร่มที่แย่งมาจากไอ้จุ๊ย
ป่านนี้จุ๊ยคงเปียกฝนเป็นลูกหมา  นึกแล้วสะใจได้แก้แค้นที่มันแกล้งเอาร่มของเขาไปซ่อนแถมทำหายจริงๆอีกต่างหาก
แต่พอเปิดประตูห้องเท่านั้น  เข่าอ่อนแทบทรุด
“เหี้ย... ทำไมกรรมมันตามทันแต่กู...  กูลืมปิดประตูระเบียงงงง”
 ตอนนี่เมืองฟ้าขึ้นมาเห็นอ๊อดก็คือเห็นอ๊อดนุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียวทำความสะอาดห้องที่เปียกและกระจุยกระจายไปหมดด้วยเดชพายุฝน
“เกิดอะไรขึ้น... มีใครร่ายเวทย์พายุในห้องนี้เหรอ”
เมืองฟ้าไม่เปียกมากนัก  คงเพราะรอให้ฝนหยุดก่อนแล้วค่อยเดินเข้าซอยมา
“เวทย์อะไรเล่า... ลืมปิดประตูระเบียง” อ๊อดบอกก็ใช้ผ้าซับน้ำบิดลงถัง
“ฝั่งอ๊อดฝนสาดเต็มๆ  ถ้าลืมปิดประตูก็เรียบร้อย  ทั้งลมทั้งฝน”
เมืองฟ้าเดินเข้ามาดู
“หมดเลยเนอะ ทั้งเสื้อผ้าทั้งที่นอน” เขากล่าวอย่างไม่ทันคิด
พอหันมาเห็นอ๊อดทำตาขวางก็ยิ้มแห้งๆ
“ขอโทษ”
แล้วเมืองฟ้าก็มาช่วยอ๊อดเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายจนเสร็จ  แต่กระนั้นที่นอนก็ยังเปียก
“แล้วจะนอนยังไง” อ๊อดเกาหัวแกรก
เมืองฟ้ามองหน้าอ๊อดก่อนจะกล่าว
“ไปนอนห้องเมืองไหมหล่ะ”
แล้วทั้งสองก็สบตากันใน  แม้เสียงฟ้าที่ร้องสนั่นอยู่ข้างนอกก็เรียกให้ทั้งคู่หันเหไม่ได้
 
“เรานอนบนพื้นก็ได้นะ” อ๊อดบอก
“จะนอนยังไง  พื้นเย็นจะตาย”  เมืองฟ้าตอบพลางใช้ผ้าเช็ดผมแรงๆ
“ก็... เอาอะไรมาปูนอนเอา”
“เอาอะไรหล่ะ  ห้องนี้มีผ้าห่มผืนเดียว  คือเมืองยังไม่ได้ซื้อเพิ่มนะ ตอนย้ายเห็นมันหนักเลยไม่เอามาด้วย”
แล้วทั้งคู่ก็เงียบอีก
“นอนเบียดกันก็ได้มั้ง อุ่นดี” อ๊อดว่าแล้วนั่งลงข้างๆตัว
เมืองฟ้าไม่รู้หรอกว่าตัวเองหน้าแดงจนเป็นลูกตำลึง
“เอางี้สิ” เมืองฟ้าเสนอ
“เมืองจะเอาผ้าปูเตียงห่มตัว  ส่วนอ๊อดก็เอาผ้าห่มนี่ลงไปปูนอน”
“ไม่ต้องหรอก” อ๊อดตอบ
“ก็นอนด้วยกันนี่ล่ะ  ทีเวลานอนในค่ายรด.ยังนอนกันได้  หรือเมืองคิดอะไรกับอ๊อด”
เมืองฟ้าถึงกับอึกอัก
“ไม่ได้คิด... เหม่ก็เพื่อนกันนั้นหละ เอาถ้าอ๊อดไม่เป็นฝ่ายกลัวเอง  เมืองก็ไม่เห็นต้องกลัวนี่”
 
อ๊อดเป็นคนขี้เซาอยู่แล้ว  ตอนแรกก็แปลกๆ แต่พอคุ้นเคยก็หลับไป  คงเพราะความเหนื่อยจากการทำความสะอาดห้อง
กระนั้นเพราะไม่ได้นอนร่วมห้องกับใครมานานมาก นับตั้งแต่ไอ้ไก่ลาออกไป  อ๊อดก็เลยรู้สึกตัวขึ้นกลางดึก
เขาหันไป เห็นเมืองฟ้าก็หลับสนิท  คงเหนื่อยเหมือนกัน
จะว่าไปเมืองฟ้าก็มีโอกาสลักหลับเขาได้ง่ายๆ
แต่สำรวจแล้วกางกุงกางเกงก็ยังปกติ ไม่ร่องรอยล่วงละเมิด  อวัยวะสำคัญก็ปกติดีไม่ได้โดนทำอะไรแน่นอน
เขาก็เลยล้มตัวลงนอนต่อ

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 27 : ดนตรีคืออะไร คำตอบของสายน้ำ
อาจารย์ปกรณ์คือหนึ่งในบุคลากรทางดนตรีชั้นยอดของมหาวิทยาลัยและประเทศ  เขาผลิดลูกศิษย์ไปแล้วเป็นหมื่น เวียนว่ายในวงการดนตรีบ้าง  หลุดวงโครจรไปบ้าง  บางคนประสบความสำเร็จในระดับประเทศก็มี
แต่เด็กคนที่นั้งมองหน้าเขาอยู่นี้แตกต่างออกไป  เขาเหมือนจะโดดเด่นออกมาจากหมู่เพื่อนที่นั่งอยู่ในห้อง  ไม่สิ  โดดเด่นมาจากคนอื่นๆโดยทั่วไป
เมื่อปีที่แล้วเขาได้รับเชิญให้ไปเป็นกรรมการตัดสินการประกวดดนตรี  ซึ่งแน่นอนเขาต้องเป็นตัววางหลักในการตัดสินประเภทเครื่องเป่า
เด็กหนุ่มคนนี้ปรากฏตัวในชุดนักเรียนมัธยม  กับแซกโซโฟนที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าแพงระยับแน่นอน
แต่ให้ใช้แซกโซโฟนเทพเจ้า  แต่ถ้าเล่นไปไม่ได้สติก็ไร้ค่า
“นายนทีธาร แซ่จาง  กับบทเพลง My One and Only Love”
นทีธารโค้งแล้วยืนนิ่ง  เขาสูดลมหายใจแล้วผ่อนออกอย่างช้าๆยาวๆ
การหายใจแบบนี้คล้ายใครคนหนึ่งที่เขารู้จัก 
รุ่นพี่ของเขา ถนอม
“หรือจะเป็นลูกศิษย์ของพี่ถนอม”
แล้ว เขาก็เริ่มต้นเป่า  เสียงที่เปล่งออกมาจากฮอนสีเงินรมดำเป็นเสียงต่ำในช่วงแรกจะที่สร้างกระแส อากาศที่สั่นไหว  จากนั้นก็ค่อยๆสูงไปตามโน๊ตของบทเพลง  ปลายเสียงสูงแผ่ซ่านและมีการไหวระรัวอย่างอ่อนโยน
ตอนนั้นไม่มีใครสักคนที่ขยับ  หลายคนคงเหมือนกับปกรณ์ที่รู้สึกว่าเสียงนั้นโอบล้อมเอาไว้เหมือนความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ 
และเสียงนั้นก็เลื่อนไหลไปตามตัวโน๊ตอย่างกลมกลึง...
จน แม้เพลงจบแล้วไปชั่วขณะ  ก็ยังไม่มีเสียงปรบมือ  กระทั้งต้นเสียงคือปกรณ์เอง  เขาลุกขึ้นยืนและปรบมือโดยไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรดีกว่านั้น
จากนั้นก็เป็นเสียงปรบมือจนกึกก้องสถานที่ประกวด
 
“นายนทีธาร  ดนตรีคืออะไรสำหรับคุณ” ปกรณ์ถาม
นทีธารหันไปมองหน้าสหายสนิทที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“ไม่รู้เหมือนกันครับ” เขาลุกขึ้นตอบ 
เพื่อนๆหัวเราะกันคิกคักเบาๆ  เพราะเกรงใจอาจารย์
“แล้วทำไมเธอถึงเล่นดนตรี” ปกรณ์กอดอกอย่างใจเย็น
“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” เขาตอบด้วยเสียงอ่อยๆ  แต่ประโยคต่อมานั้น
“ผม ก็แค่อยากจะเล่น  คือผมก็ไม่รู้ว่าทำไม  เพราะเวลาเล่นแล้วมันจะมีความสุข  ผมว่าทุกคนที่มาเรียนที่นี่ก็คงไม่รู้ว่าทำไม  แต่เรามาเรียนเพราะเรามีความสุขในการเรียน ในการฝึก”
ปกรณ์หันมองหน้าลูกศิษย์คนอื่น ที่เปลี่ยนท่าทีไปจากความขบขัน
“แล้วถ้าวันหนึ่งเธอไม่มีความสุขกับมัน  เธอจะเลิกเล่นดนตรีไหม” ปกรณ์ถามต่อ
เด็กหนุ่มยิ้ม
“ก็เล่นครับ  เพราะถ้าผมไม่มีความสุขดนตรีก็จะทำให้ผมมีความสุขอยู่ดีนี่ครับ”
ปกรณ์เงียบไป
เพื่อนๆก็เหมือนกัน
“โอเค... ถ้าอย่างนั้นก็จำคำพูดนี้เอาไว้  ผมจะคอยดูคุณว่าคุณจะเล่นสนุกไปจนถึงระดับไหน”
 
ใน โรงอาหารที่ใกล้กับตึกเรียนของคณะที่สุด  จุ๊ยกำลังจะหยอดพริกลงไปในชามก๋วยเตี๋ยวของฮ้อย  เขาต้องคอยมองเพราะตอนนี้ฮ้อยอยู่ไม่ห่างไปเท่าไหร่ 
“ไอ้จุ๊ย”
จุ๊ยสะดุ้งพริกที่อยู่ในช้อนเลยสาดไปทั่ว
“ไอ้เหี้ยอัส” จุ๊ยลุกขึ้นปัดพริกออกจากตัว
“มึงสิเหี้ยไอ้จุ๊ย  นี่มึงจะแกล้งคนเอาโล่หรือไงวะ” อัศวะนั่งลง
จุ๊ยนั่งลงทำท่าจุ๊ปาก
“กูจะเอาพริกให้มันแดก” ว่าแล้วก็หันไปตักพริกที่อุตส่าห์ตักใส่ชามเล็กมาอีกช้อน
แต่ฮ้อยมายืนอยู่ข้างหลังแล้วจึงแย่งเอาช้อน แล้วเทใส่จานจุ๊ย  ท่ามกลางเสียร้องของจุ๊ย
“ไอ้เพื่อนสารเลว” ฮ้อยด่าใส่หน้าในระยะใกล้
จุ๊ยหันไปทำหน้าค้อนอัศวะที่ทำให้เสียแผน แล้วก็ค้อนฮ้อยที่เทพริกใส่จานเขา
ฮ้อยนั่งลง
“มึงหายหัวไปไหนมาตั้งเกือบเดือนกว่าๆ  กูไปหามึงอยู่ไม่เคยเจอ   ไอ้เดฟเรียนคณะเดียวกับมึงกูยังเจอบ่อยกว่า”
อัศวะยิ้ม
“พอดีกูไปเรียนร้องเพลงทุกวัน”
“ร้องเพลง” จุ๊ยทำเสียงสูง แต่ไม่ได้พูดต่อเพราะกำลังตักพริกออกจากข้าวมันไก่ของตัวเอง
“เรียนทำไม  จะออกเทปเหรอวะ” ฮ้อยถาม
อัศวะเลิกคิ้วก่อนจะตอบว่า
“เออ”
สองสหายมองหน้ากัน 
ถึงแม้อัศวะจะเล่นดนตรีไม่เก่งกาจอย่างเขาทั้งสอง  แต่เสียงของอัศวะก็นับได้ว่าเข้าขั้นดีพอตัว
“โถๆๆ โถ่อนิจจา” จุ๊ยทำส่ายหัว หน้าเพลีย ถอนหายใจ
“วงการเพลงเมืองไทยตกต่ำกันถึงขนาดเอาลิงมาร้องเพลงแล้วเหรอวะเนี่ย”
ดังป๊าบ
อัศวะตบหัวจุ๊ยไปทีจนเกือบหน้าทิ่มใส่ข้าวมันไก่
“แดรกไก่ของมึงไปไอ้ตัวกินไก่” อัศวะว่าแล้วกดหัวจุ๊ยซ้ำอีกสักที
“มิ น่า” ฮ้อยพิจารณาจากความเปลี่ยนแปลง  ตอนนี้อัศวะดูดีขึ้นมากกว่าตอนเรียนมัธยม  นอกจาผมที่ยาวขึ้นตัดเป็นทรงเซริฟคัททำสีนิดหน่อยแล้ว ก็มีผิวหน้าที่ดูจะเนียนใสขึ้น
“แม่งหล่อขึ้น”
“จริงไหมจุ๊ย”
จุ๊ยหันมามองหน้าอัศวะมองไปมองมา
แล้วขยับหน้าไปใกล้ๆ
“ลิง” เขาตอกใส่หน้าเต็มๆ
อัศวะเลยจับจุ๊ยล๊อกคอแล้วลากลงมาตีหัว
“มึงสิไอ้ลิง  ปากนี่มีหมาอยู่กี่ตัววะ  ขอกูตบตามจำนวนหมาหน่อยสิ”
พอจุ๊ยดิ้นหลุดออกไปได้
อัศวะก็ถาม
“ไอ้อ๊อดมันไปทำอะไรหน้าคณะวิทย์  กูเห็นมันยืนอยู่  แต่เรียกไปไม่ทัน มันเดินเข้าไปก่อน” 
ฮ้อยมองหน้าจุ๊ย ก่อนจะถามกลับ
“แล้วทำไม่ตามเข้าไป”
อัศวะแปลกใจ
“กู น่ะชักแปลกๆใจกับมัน  เดี่ยวนี้มันแปลกๆ  วันก่อนอยู่ซ้อมร้องเพลงเชียวร์กลับดึก วันนั้นกูเอารถมา กูกะจะไปส่งที่หอก็ไม่เอา นั่งแท็กซี่กลับเอง” ฮ้อยว่า
“กูสงสัยว่ามันจะแอบสุ่มคบใครอยู่”
จุ๊ยเผยอปากข้างหนึ่ง
“มึงอะคิดมาก” จุ๊ยแย้ง
“มันอาจปวดขี้  ก็เลยไปขี้ตึกนั้นก็ได้”
“เหม่แล้วตึกเราไม่มีส้วมรีไง” ฮ้อยย้อน
“อ้าวก็อาจขี้ที่นั้นสบายตูดกว่า  แบบเห็นหน้ามึงแล้วขี้ไม่ออกอะไรอย่างนี้” จุ๊ยตอบ
อัศวะถอนหายใจ  ตัดบท
“พอเหอะคนรอบตัวเขามองกันหมดแล้ว  แม่งคุยกันเรื่องขี้ในโรงอาหาร”
“เออ  จุ๊ยมึงเห็นแฟนไอ้โยชิรึยัง”
จุ๊ยทำหน้าสงสัย
“เห็นว่าชื่อนามิจัง  เป็นญี่ปุ่น  ตอนนี้เขามาเรียนที่นี่ตามโครงการแลกเปลี่ยนระยะสั้นน่ะ”
“ไม่รู้สิ” จุ๊ยตอบ
“กูก็ไม่ได้เจอมันมาเป็นเดือนแล้วเหมือนกัน คุยกันในเฟสในไลน์มันก็ไม่เห็นบอก”
“สวยนะมึง  น่ารักมากเลย” อัศวะว่า
“วันก่อนกูเห็นมันนั่งกระหนุงกระหนิงกันหน้าตึก  โอ้ยอย่างกับพระเอกนางเอกจากซีรี่ญี่ปุ่น”
“ซีรี่หรือ เอวี” จุ๊ยเชิดหน้ามองหมิ่น
“ซีรี่” อัศวะย้ำ
“หน้าอย่างมึงดูซีรี่... กูว่าดูเอวีมากกว่ามั้ง  ดูหน้าแฟนอาราอิแล้วก็เอาไปชักว่าว... เดี่ยวกูจะฟ้องมัน” จุ๊ยทำท่าชี้นิ้ว
“ไอ้ลามก” อัศวะไสหัวมันสักที
แต่ฮ้อยแปลกหู
“มึงเรียกโยชิว่าอะไรนะ”
“อาราอิ” จุ๊ยตอบ
“ทำไม” อัศวะงง
“ก็มันบอกให้กูเรียก  มันบอกมันชื่อ โยชิฮิสะ อาราอิ  โยชิฮิสะ เป็นนามสกุล  อาราอิเป็นชื่อ  มันเลยให้กูเรียกอาราอิ”
“อ้าว...” อัศวะเกาหัว
“นี่กูก็เห็นพวกรุ่นพี่เรียกมันว่า โยชิๆ กันหมดคณะ  ไม่เห็นใครเรียกว่าอาราอิสักคน”


ฝน ที่โปรยมาตั้งแต่บ่ายเริ่มจางไป  กระนั้นมันก็ยังจับเกล็ดอยุ่บนบานกระจก เมื่ออาราอิมองออกไป ในภาพของกรุงเทพยามหัวค่ำ  จึงเป็นภาพที่บิดเบี้ยวละพร่ามัว
เสียงสัญญาณเตือนจากโทรศัพท์มือถือเรียกเขาให้หันไปโทรศัพท์ที่อยู่ใกล้มือมากดดู
เป็นจุ๊ยนั้นเองส่งรูปหน้าบึ่งงอนมา
“พาแฟนมาทำไมไม่พาให้เพื่อนดูหน้า อาราอิ”
“กลัวเพื่อนจะแย่งแฟนเหรอวะ”
อาราอินิ่งไป  แล้วเขาก็หันไปมองหญิงสาวที่นอนหลับใหล  ซุกร่างเปลือยเปล่าอยู่ใต้ผ้าห่ม
เขากดลมหายใจตัวเองแล้วจึงหันกลับมากดตอบ
“ก็ยังไม่ว่าง เอาไว้จะนัดออกมาเจอกันเอง”
รอสักครู่จุ๊ยก็ส่งข้อความมา
“อยู่ด้วยกันรึเปล่า  ถ่ายรูปมาให้ดูหน่อยสิ”
“ถ้าไม่ถ่ายแปลว่า กำลัง XXX กันอยู่”
อาราอิยิ้มออกมา
“ไอ้ลามก” เขาพิมพ์ตอบไป
“แสดงว่าใช่ เฮ้ยๆเฮ้ย เสียวเว้ย” จุ๊ยตอบกลับมา  แล้วเหมือนหน้าทะเล้นทะเล้นก็เหมือนจะปรากฏในคำพูดนั้น
“ไอ้ลามก มากๆๆๆๆ” เขาพิมพ์ตอบกลับไป
“อาราอิ” มือกอดจากด้านหลัง  สัมผัสถึงร่างกายนุ่มนิ่มบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขา
“ใครน่ะ”
อาราอินิ่งก่อนจะตอบ
“เพื่อนคนนี้หล่ะ ที่เคยเล่าให้ฟัง”
“ที่บอกว่าเล่นแซคโซโฟนได้อย่างกับมืออาชีพน่ะเหรอ” นามิจังเอื้อมมาเลื่อนหน้าจอแล้วขยายภาพของจุ๊ยออกมา
“หน้าตาตลกจัง ไม่เห็นเหมือนกับจะเป็นนักดนตรีที่เก่งกาจอย่างที่อาราอิบอกเลย”
“แต่นี่ก็คือคนที่อาราอิฝึกภาษาไทย เพื่อจะทิ้งญี่ปุ่นมาไม่ใช่เหรอ... นามิจังอยากจะเจอกับเขาซักครั้ง”
อาราอิไม่ตอบแต่หันมองออกไปอย่างไร้ทิศทาง
“ฉันมีงานโชว์ตัวตอนสองทุ่ม  ไปอาบน้ำก่อนนะ”
แล้วอาราอิก็กดปุ่มเพื่อปิดหน้าจอ  เอาโทรศัพท์วางไว้กับโต๊ะข้างตัวเดินไป
นามิจังมองโทรศัพท์นั้นแล้ว เธอหยิบมาแล้วกดจากนั้นก็ใส่รหัสปลดล๊อก
ถ่ายภาพตัวเอง แล้วก็ส่งไปยังห้องสนทนานั้น
เธอรออยู่ครู่หนึ่ง นานพอจะให้ภาพนั้นส่งไปที่โทรศัพท์ของคู่สนทนา  แล้วเธอก็ลบภาพนั้นเสีย
 
อีกด้านของการสนทนา 
จุ๊ยได้รับภาพนั้นมา.. เขานั่งนิ่ง  แล้วเริ่มต้นใช้ความคิด
 
“เฮ้ย..มึงอยู่ไหน” ฐากรอกเสียงใส่โทรศัพท์ดังพอสมควร
ฝ่ายโน้นตอบมา
ฐาแม้จะโกรธ ฐาก็ต้องใจเย็นลง
“เออๆนอนไปเหอะ กินยาด้วยเดี่ยวตาย  กูขี้เกียจไปงานศพ”
ปอนกับโย่งที่จับตามองเพื่อนตั้งแต่เมื่อสักครู่ รีบถาม
“เป็นไง ไอ้พีชมันถึงไหนแล้ว”
“แม่งขี้แตก” ฐาตอบ
“อ้าว แล้วเอาไง.. นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะมึง  งานนี้ยังไงก็เป็นงานใหญ่ เขาเชิญแขกระดับวีไอพีมาทั้งนั้น  แล้วมึงจะให้กูไปบอกพี่สรรค์ยังไงว่านักดนตรีขาดไปคนหนึ่ง” ปอนเสยผมแรงๆ
“แม่งซ้อมแทบตาย  กูอุตส่าห์  ซ้อมมาเนี่ยอาทิตย์เต็มๆ” โย่งส่ายหัว
ฐาคิด  คนที่ไม่ต้องซ้อม คนที่เห็นฟังครั้งเดียวก็เล่นได้... ก็มีแต่..
“รอเดี่ยวนะกูจะถามดู”
“เฮ้ยเดี่ยว  ใคร  มึงจะโทรหาใคร” ปอนรั้งไว้ก่อน
“อย่าบอกนะวะไอ้น้องจุ๊ย  ไม่ไหวนะเว้ย... กูเล่นกับมันไม่ได้หรอก  ไม่เคยซ้อมกับมันเลย  แถมแม่งเก่งกว่ากูอีกต่างหาก”
“เออไม่ไหวนะเว้ย  วันก่อนมันเล่น กูเห็นมันเป่า Glazunov Saxophone Concerto แม่ง... มืออาชีพชัดๆ  ไม่ไหวไม่ไหว  กูเล่นตามมันไม่ได้จริงๆ”
“พวก มึงยังไม่รู้จักมันดี  มันเด็กวงโยนะเฟ้ย  มันถูกฝึกให้เล่นกับวง  มันอาจจะเก่งแต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะประเภทโชว์ออฟตลอด เวลามันต้องเล่นประคอง หรือเล่นหนุนคนอื่น  มันก็รู้จักยั้ง... กูเคยเล่นกับมันมาก่อน  กูรู้ดี” ฐาชี้แจง
“อีกอย่างนี่พวกมึงอะไรกันมากมาย  มันจะมาแทนไอ้พีช ดังนั้นมันจะเล่นแทนไอ้พีช  ก็คือฟลุ๊ท  แล้วก็ไม่ได้เล่น concerto สักเพลง  เล่นเพลง cover pop ธรรมดานี่  มึงยังกลัวมันก็ไม่รู้จะพูดไงแล้ว”
ฐาพูดไปก็กดโทรศัพท์
“กู รู้ว่าพวกมึงน่ะมองมันแปลกๆ  เพราะมันเก่งมาก  แต่จริงๆแล้วพวกมึงต้องลองได้รู้จักมันจริงๆ  มึงจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงได้เป็นหัวหน้าวงโดยเอกฉันท์  ไม่ใช่เพราะมันเก่ง  แต่เพราะมันประคองวงได้ สนับสนุนคนอื่นเป็น”
 
อาราอิหันมามองนามิจังที่รบเร้าจะตามเขามาด้วย
“งั้นนามิจังก็ไปรอฉันในงานก่อน  ถ้าใครถามก็บอกว่ามากับโยชิ อย่าบอกว่าอาราอินะ  คนที่นี่เขาไม่รู้จักอาราอิ”
นามิจังพยักหน้า
อาราอิจึงพลักประตูเข้าไป
ตรงทางเดินเข้าไปหลังเวทีนั้นเอง  มีวงดนตรีซ้อมอยู่  แล้วคนที่ถือฟรุ๊ตฟังชายอีกสามคนพูดอย่างตั้งใจคือจุ๊ย
นาทีนั้น  อาราอิรู้สึกลังเลกับก้าวต่อไปของตัวเอง  อยากหันกลับเดินหนีเสียให้ได้
“อ้าวอาราอิ” จุ๊ยหันมาเห็น
อาราอิจึงเดินเข้าไป
จริงๆเขาอยากจะปั้นหน้าเสแสร้งกับจุ๊ย  แต่เพราะอะไรไม่รู้ เขาไม่สามารถเล่นละครกับจุ๊ยได้สักที
“มาด้วยเหรอ” อาราอิถาม แล้วมองหน้านักดนตรีอีกสามคน
“พี่ฐาเขารับงานนี้มา แต่วงขาดไปคนหนึ่งก็เลยเรียกเรามาเสียบ” พูดแล้วยกฟรุ๊ตให้ดู
“เห็นไหมเสียบแรงด้วย ยาวด้วย”
อาราอิยิ้มออกมาจนได้
“เออ ที่บอกอยากเจอนามิจัง  วันนี้เขามาด้วย”
จุ๊ยที่หันไปดูกระดาษชาร์ตโน้ตแล้วก็หันกลับมา
“อ้อเห็นแล้วล่ะ” แล้วเขาก็วางมือบนบ่า อาราอี  แล้วขยับเข้ามากระซิบ
“แต่วันหลังถ่ายมาตอนใส่เสื้อผ้าครบก็ดีนะ  เห็นแล้วเสียวหัวใจ”
อาราอิขมวดคิ้ว กำลังจะถามกลับ  แต่ผุ้จัดการก้องก็ออกมาเสียก่อน
“โยชิครับ เร็วๆสายแล้ว”
 
แม้ จะไม่ค่อยได้เล่น  แต่จุ๊ยก็เคยเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้มาจนคล่อง  ดังนั้นแค่การเล่นเพลงป๊อบง่ายๆ เขาจึงเล่นมันได้อย่างไม่เค้อเขิน
แต่ ระหว่างเล่นๆ ไปจุ๊ยก็ได้ยินเสียงเคาะเปียโนที่ผิดปกติ  เหลือบไปก็เห็นว่าโย่งมีปัญหาอยู่กับการปลิวของกระดาษชาร์ต  เขาเหลือบตามองฐาเล่นไวโอลีนที่ก็คงรู้เหมือนกัน เพราะส่งสัญญาณสายตาให้จุ๊ยช่วยแก้ไข

จุ๊ยก็เลยเริ่มต้นใช้เทคนิคแพรวพราวของเขาเพื่อดึงความสนใจและกลบเกลื่อนความผิดพลาด  เพื่อให้โย่งจัดการกับกระดาษโน๊ตได้สำเร็จ
เสียงเปียโนกลับมาเข้าแนวทางเขาก็ค่อยๆผ่อนให้กลับมาอยู่โหมดเล่นวง  เหลือบไปมองปานซึ่งกำลังเป่าทรัมเปต ปานก็ผงกหัวให้เชิงว่าขอบใจ
 
จุ๊ยแยกส่วนฟรุ๊ตทำความสะอาดแล้วเก็บลงกล่อง
โย่งที่ไปห้องน้ำกลับมาก็ตบบ่า
“ขอบใจมากน้องจุ๊ย  ไม่งั้นล่มแน่ๆ”
ปานตบหัวเพื่อนไปที
“นี่แนะ ไหนว่าซ้อมดี”
“ก็ชีทมันปลิว  ไอ้ห่าใครแม่งเอาเปียโนไปไว้ใต้ช่องแอร์” โย่งแก้ตัว
แต่ปานก็หันมาจุ๊ย
“มึงอยากเล่นกับพวกพี่ไหมวะ พี่มีงานเรื่อยๆ  เพราะพี่เป็นเพื่อนกับบริษัทออร์แกนไนส์”
ฐาเข้ามาได้ยินพอดี
“เออ ดี  มึงจะได้มีรายได้เสริมด้วย”
“แล้วก็เขี่ยไอ้พีทพ้นไป เย้” โย่งเข้ามาหนุน 
“โหๆได้โอกาส ไอ้พีชมันหล่อละสิ  มึงอิจฉาที่มันได้พริตตี้บ่อยๆ”  ปานว่าด้วยรู้เท่าทันใจเพื่อน
ฐาหัวเราะหึๆ แล้วก็หันมาหาจุ๊ย
“แล้วว่าไง อยากเล่นไหม”
“ก็อยากนะพี่  แต่พี่พีทจะไม่ว่าเอาเหรอ”
“โอ้ยมันเบี้ยวโคตรบ่อย  กูสามคนต้องนั่งลุ้นว่ามันจะมาไหมแทบทุกงาน” ปานตอบแล้วส่ายหัว
จุ๊ยมองหน้าฐาก่อนจะพยักหน้า
“โอเคได้พี่  แต่ผมไม่แบ่งพริตตี้ให้นะพี่ ถ้าผมได้”
“เอา... ไอ้จุ๊ยนี่มึงยังไม่ทันไรก็งกกับพี่ แล้วเหรอวะ” โย่งชี้หน้า
“อ้าวพี่หล่อใครหล่อมัน... ได้ก็ได้ของผม  พี่จะแบ่ง  ไม่กลายเป็นหมู่เหรอพี่  ไม่ไหวนะ หมู่เนี่ยผมไม่ถนัด”
“ชะช่า  ไอ้นี่ต่อปากต่อคำ  มานี่เลย..มาลงนามสัญญาก่อน  ได้พริตตี้ถ้าได้สองแบ่ง  ถ้าได้หนึ่งเป่ายิงฉุบ”
“เฮ้ย โกงนี่หว่าเล่นทำสัญญากันล่วงหน้า  แบ่งกันสองคน ไม่เผื่อกูบ้าง”
ฐาส่ายหัวดุกดิก
แล้วในตอนนั้น ทำไมหนอเขานึกถึงไตรเพื่อนรักขึ้นมาทันที
ที่จริงทุกครั้งที่เห็นจุ๊ยนั้นหล่ะ  เขาเหมือนจะเห็นเงาของไตรซ้อนมาทุกครั้งไป
เขายังไม่สามารถลบเงาไตรจากจุ๊ยได้  แล้วใจของจุ๊ยเองหล่ะ  จะสามารถปล่อยไตรอยู่แต่ในอดีตได้จริงๆหรือไม่
 
นามิจังรู้สึกอึดอัดกับการที่อาราอิไม่พูดกับเธอมาตั้งแต่ขับรถออกมาจากสถานที่จัดงาน
“อาราอิ เป็นอะไรอีกหล่ะ  โกธรใครมาอีกหล่ะ”
อาราอิไม่ตอบในครั้งแรก แต่รอจนติดไฟแดงจึงได้กล่าว
“เธอส่งภาพอะไรให้จุ๊ย”
นามิจังอึ้ง ก่อนจะตอบด้วยคำถาม
“นี่เขาบอกเธอแล้วเหรอ  ไปเจอกันตอนไหน”
“ก็ในงาน  จุ๊ยเขามาเล่นดนตรี  วันนี้เขาเล่นฟรุ๊ท”
นามิจังร้องอ๋อ
“คนนั้นน่ะเหรอ  ก็ดูน่ารักดี เรียบๆแต่ตาสวยดี”
“นามิจังตอบไม่ตรงคำถาม” อาราอิชักหงุดหงิด
นามิจังทำหน้าอ้อนๆ
“ก็แค่ล้อเล่น นามิจังก็ถ่ายรูปตอนที่อาราอิไปห้องน้ำแล้วส่งไป”
อาราอิเอามือกระแทกพวงมาลัย
“นามิทำอย่างนี้ได้ยังไง  ที่นี่เมืองไทย  เขาถือสากับเรื่องพวกนี้  ต่อให้เป็นญี่ปุ่นเราก็ไม่ทำกันไม่ใช่เหรอ... นามิต้องการอะไร”
แต่พอเห็นนามิจังทำหน้าหงอ  อาราอิก็ถอนหายใจ
“อย่าเล่นโทรศัพท์ฉันอีกนะ  แล้วก็อย่าไปรบกวนจุ๊ยด้วย”
 
จุ๊ย มักจะออกมาวิ่งในสวนสาธารณะใกล้บ้านบ่อยๆ  ระหว่างวิ่งก็จะฝึกการหายใจที่อาจารย์ถนอมของเขาสอน  ร่างกายของจุ๊ยไม่ได้มีกล้ามเนื้อใหญ่โต  แต่ทว่ากลับแข็งแรงคงเพราะการที่เขาต้องยกเครื่องเหล็กในร้านมาตั้งแต่ เด็กๆ  และยังต้องทำการบริหารร่างกายตามคำแนะนำของอาจารย์ถนอมด้วย 
วิ่ง ไปได้ห้ารอบ  จุ๊ยก็ชะลอความเร็วแล้วก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการหยุดวิ่ง  เขากางแขนแล้วดึงเข้าเพื่อให้ปอดขยาย  แล้วค่อยๆหยุดเท้า ยืนก้มแตะปลายเท้าสลับอีกนิดหน่อยแล้วจึงนั่งลงมองไปในแนวต้นไม้ที่ตกแต่ง อย่างสวยงาม
แล้วหูของเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนการลั่นไกชัตเตอร์
พอหันไปเห็นใครคนหนึ่งถ่ายภาพของเขา  ลดกล้องลงก็จึงได้เห็นหน้า
“อ้าวไอ้สิณ จุ๊ยทัก”
กสิณเดินมานั่งที่ม้านั่งใกล้ๆ
เขา เป็นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมของจุ๊ย  และยังเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน  แต่เขาอยู่คณะศิลปกรรม กสิณมีนิสัยพูดน้อย  และมักจะโลว์โฟร์ไฟล์เสียจนแทบไม่มีใครสังเกตุการมีตัวตนของกสิณ
“มาวิ่งเหรอ”
“อืม... เรียกพลังปอด” จุ๊ยตอบ  แล้วเอาผ้าขนหนูมาเช็ดหน้า
กสิณส่งน้ำดื่มที่ตัวเองพกไว้ในกระเป๋าให้
“ขอบใจ  มึงมาทำอะไร”
“ถ่ายรูป ทำPortfolio “ กสิณโชว์กล้อง
“แล้วรูปกูจะไปอยู่ในพอร์ตด้วยไหม” จุ๊ยถามแล้วหัวเราะ  แสงที่ตกลงพอดิบพอดีทำให้ดวงหน้าสว่างอย่างน่ามอง
“เมื่อกี้ตกใจเลย  พักนี้ยิ่งมีสโตรกเกอร์ตามอยู่ด้วย  นึกว่าใช่แล้ว”
“สโตรกเกอร์” กสิณทวนคำ
“อืม... มีเพจหนึ่งชื่อแซกเสียงหวาน เอารูปกูไปลง  มีคนไลก์ประมาณสองหมื่นแล้วมั๊งตอนที่เข้าไปดูล่าสุด”
“แล้วไม่ดีหรอ” กสิณถาม
“มึงเป็นคนน่ารัก สาวๆก็อยากจะติดตาม”
จุ๊ยก็หัวเราะอีก
“หึๆ  ไม่รู้ติดตามไปทำอะไร... ถ้าอยากเจอ ก็มาหาเลยดีกว่า   กูก็อยู่ของกู  แถมไม่รู้มีใครเอารูปกูไปจินตนาการทำร้ายตัวเองไหม  แค่ไอ้เดฟคนเดียวก็จะบ้าตายแล้ว”
กสิณยิ้มจางๆ
“ไม่หรอกมั้ง  คนบางคนเขาก็แค่ชมชอบความงดงาม  แต่ไม่ได้อยากครอบครอง หรือไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องอย่างว่า”
“ขอให้จริงเหอะ” จุ๊ยลุกขึ้น
“ไปหาอะไรกินกันไหม”
ทั้งสองไปนั่งกินเต้าฮวยที่ร้านข้างทาง ซึ่งเป็นรถเข็น แต่มีเก้าอี้ประมาณสิบกว่าตัวให้ลูกค้านั่ง
“แล้วเป็นไง เรียน” จุ๊ยถามก่อน เพราะถ้าไม่พูดอะไรออกมา มีหวังได้จมความเงียบตาย  เพราะกสิณพูดน้อยมาก
“ก็ดีนะ  แล้วมึงหละ” เขาตอบ  สมกับฉายาที่เพื่อนเรียกว่า ดอกพิกุลอินวิสเบิ้ล
“ก็ดีเหมือนกัน  แต่ตอนนี้เรียนวิชาทั่วไปอยู่  เรียนเกี่ยวกับดนตรีจริงๆมีนิดเดียวเอง” จุ๊ยตอบ 
“กูเลยว่าเทอมนี้กูตายแน่  สงสัยต้องฝึกกำลังปากเอาไว้ดีๆ เอาไว้คาบเส้น ”
กสิณ ยิ้มอีก  จะว่าไปเวลากสิณยิ้มหน้าตาเฉยๆของเขาก็ชวนมอง  ดวงหน้าที่ประกอบไปด้วยดวงตาที่แวววาว  จมูกโด่งสัน  นั้นก็เรียกว่าหล่อตามสไตล์เด็กจากภาคเดียวกับตั้ม คือภาคใต้แต่คนละจังหวัด
“ไม่เป็นไรนี่  ก็เอาหมาในปากมาช่วยกันคาบสิ  จุ๊ยเลี้ยงไว้เยอะนี่”
จุ๊ยแหล่มองเขม้น
“เหม่ไอ้ห่า... พูดน้อยต่อยหนักนะมึง ปะเดี่ยวก็ได้กินเต้าฮวยทางหูแทนปากหรอก” ว่าแล้วก็ยกชามเต้าฮวยมาเสมอหูของกสิณ
กสิณหัวเราะน้อยๆ เอี่ยวตัวหลบ
พอ กินเสร็จ ก็จะแยกกัน  กสิณนึกอะไรได้เอากล้องมาแล้วกดเลื่อนภาพไปภาพหนึ่งที่บันทึกไว้หลายวันแล้ว จากนั้นก็ส่งให้จุ๊ยดูภาพจากจอหลังกล้อง
“นี่มันเมืองฟ้ารึเปล่า” กสิณถาม
“เด็กห้องวิทย์ ที่ตัวเคยอยู่ชมรมดนตรีไทย ที่เล่นขลุ่ย”
“เออ... ใช่เลย..” จุ๊ยตอบ  แต่กสิณกดภาพต่อมาให้ดู
“กูเจอมันอยู่ด้วยกันหลายครั้งแล้ว  แต่ครั้งนี้มีกล้องไปด้วยเลยถ่ายมา” เขากล่าว
จุ๊ยขมวดคิ้ว  แต่ก็ตอบออกไป“เฮ้ยคงไม่มีอะไรมั้ง” 

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด