Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 2) 31-01-2559 จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนพิเศษ 2) 31-01-2559 จบแล้ว  (อ่าน 45192 ครั้ง)

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 20) 15-01-2559
«ตอบ #60 เมื่อ19-01-2016 00:58:27 »

ขอให้รักกันอย่างราบรื่น ไม่มีอะไรมาทำให้ต้องมัวหมองเสียใจกันนะทั้งสองคน

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 21) 23-01-2559
«ตอบ #61 เมื่อ23-01-2016 17:44:36 »



Just Love รักนะครับ 





21


   
   


“แสนดี คิดถึงจังเลย”
   


เดือนวิ่งเข้าไปคว้าแสนดีจากแมนมากอดอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาคุยกับแมวหงุงหงิง เขาที่เพิ่งเดินตามเข้ามาเดินเข้าไปทักทายไอ้กายและแมนที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่

   

“เพิ่งมาถึงเหรอ” กายละสายตาจากโทรทัศน์เหลือบมอง
   

“อืม แสนดีเป็นไงบ้าง ยุ่งไหม”

   

ช่วงกลับบ้านพวกเราเอาแสนดีมาฝากไว้กับไอ้กาย เดือนเป็นห่วงจนบ่นออกมาหลายครั้งกลัวว่ากายจะดูแลแสนดีไม่ดี แต่เท่าที่ดูจากสายตา เขาว่าแสนดีก็มีความสุขดี ออกจะสบายเกินไปด้วยซ้ำ ดูท่าทางปีนขึ้นตักไปออดอ้อนเจ้าของสิ

   

“เฮ้อ...” ไอ้กายถอนหายใจเสียงดังทั้งยังแอบเอาเท้าไปเขี่ยไอ้แมนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนดูทีวีอยู่บนพื้น
   

“อะไรพี่กาย”
   

“ซันมันถามว่าแสนดียุ่งไหม”
   

“อ๋อ ไม่ยุ่งครับ แสนดีน่ารักมากๆ เลยพี่ซัน” นั่งเงียบๆ มองมันสองคน “เนี่ย แสนดีเก่งมากเลย ชอบออกกำลังกายด้วยนะพี่ ให้กินอะไรก็กินหมด สุดยอดมาก... แล้วแสนดีนะ ก็ชะ--”
   
   
“หึหึ กูว่านะไอ้ซัน แสนดีมันไม่ยุ่งหรอก แต่คนรับเลี้ยงมากกว่าที่ยุ่ง”

   
“ไม่ต้องเลยนะพี่กาย ผมเป็นคนดูแลแสนดีทั้งเสาร์อาทิตย์แท้ๆ ตัวเองไม่ทำไรเลยเถอะ”

   
“เหรอมึง...แน่ใจเหรอ...ทุกครั้งที่ไอ้ซันเอาแสนดีมาฝากกูยังไม่ต้องทำอะไรให้มันเยอะแยะแบบที่มึงทำเลย แสนดีก็ยังไม่ตายสักหน่อย”
   
“อ๋อ เพราะทำแบบนั้นไงครับ แสนดีเลยนิสัยเสีย...กินข้าวแล้วก็ต้องออกกำลังกายสิ”  ไอ้กายส่ายหัวกับคำพูดของแมน ก่อนจะหันมาอธิบายว่า
   
“มันจับแสนดีเต้น T25 ด้วย”
   
“แสนดีอยากเต้นด้วยต่างหากเล่า” อีกคนรีบแก้ตัว
   
“มึงคุยกับแมวรู้เรื่องงั้นสิ”
   
“แค่มองตาก็รู้แล้วครับ”

   

ฟังพวกมันต่อปากต่อคำแล้วปวดหัวปล่อยคนสองคนคุยกันไป ลุกเดินไปหาน้ำกินในตู้เย็นใกล้ๆ เอามาเผื่อเดือนแก้วหนึ่ง แล้วเดินมานั่งบนพรมหน้าโทรทัศน์เอนหลังพิงโซฟาที่ไอ้กายนั่งอยู่

   
“ผมอ่านใจได้นะเห็นแบบนี้”
   
“ไปหลอกเด็กเหอะ กูเชื่อตายแหละ” ไอ้กายหยิบรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อย
   
   

เดือนอุ้มแสนดีที่ตอนนี้นอนหลับตาพริ้มกับอกมานั่งข้างๆ ก่อนจะเอาหัวมาถูๆ ที่แขนบอกทำนองว่าอยากกลับห้องแล้ว เขาส่งสัญญาณว่าอีกสักพัก เดือนจึงเอียงหัวมาซบไหล่หลับตาพริ้ม มือข้างหนึ่งประคอง อีกข้างคอยลูบหลังแมวดำ

   
“ขอมองตาหน่อยสิครับ”       
   
“ไม่” อีกสองคนในห้องยังคุยกันไม่จบ
   
“ไม่เชื่อก็ลองสิพี่.. นะ แค่มองตาเองน่า... พี่จะกลัวไรวะ กลัวว่าผมอ่านออกจริงๆ หรือไง” ไอ้แมนค่อยๆ ขยับตัวขึ้นมานั่งบนโซฟา ตอนนี้มันอยู่โซฟาเดียวกับไอ้กายแล้ว

   

ไอ้กายถอนหายใจเสียงดัง
ก่อนจะหันหน้าไปมองไอ้แมนนิ่งๆ












   

“ผมชอบพี่ว่ะ พี่กาย”







   
แม้แต่เดือนที่กำลังใกล้เคลิ้มหลับยังเด้งตัวขึ้นมามองคนสองคน เขากระตุกยิ้มมุมปาก

   

“งั้นกูกลับก่อนละ ขอบใจมากที่ดูแลแสนดีนะมึง”

   

เดินไปตบบ่าทั้งเพื่อนกายที่ตอนนี้ยืนนิ่งเป็นหินและไอ้แมนที่ไม่ละสายตาจากคนที่ตัวเองเพิ่งสารภาพรักออกไป



   
   

ปัง!


   



“ไม่อยากจะเชื่อเลยซันๆ” ทันทีที่ประตูห้องพักของเราปิดลง เดือนก็ส่งเสียงขึ้นมาอย่างประหลาดใจ แสนดีกระโดดลงจากมือ วิ่งไปทั่วห้องก่อนจะกระโดดขึ้นนอนบนโซฟาที่ประจำ

   
“เรื่องไอ้กายกับแมนน่ะเหรอ” เขาไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่นับถือไอ้แมนที่กล้ามาก กล้าบอกชอบไอ้กายทั้งที่มีเขาและเดือนนั่งอยู่ในห้องด้วย

   
“ป่าว เรื่องของเราต่างหาก”

   

เดือนไม่พูดเปล่า แถมยิ้มกว้างสุดๆ จนตาปิดมาให้พร้อมเข้ามากอด ซุกหน้าลงกับซอกคอ

   

“ตอนแรกเค้ากลัวแทบแย่แน่ะ แต่รู้ว่ามากับซันๆ ยังไงก็ต้องไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
   
   

“ใครบอก ไม่ใช่เพราะซันหรอก เพราะเดือนต่างหาก”
   
   

“อิอิ...พูดได้ดีมีรางวัล” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ยึดตัวมาจุ๊บเร็วๆ ที่ปลายคาง ฉีกยิ้มกว้างตาปิดให้หนึ่งที




ตอนที่กำลังจะซุกหน้าเข้าไหล่อีกรอบ มือของเขาก็รั้งใบหน้าของเดือนไว้ ก่อนจะแนบริมฝีปากบนรอยยิ้มกว้างนั้น เดือนตอบรับจูบอย่างเต็มใจ บดเบียดริมฝีปากเข้าด้วยกันอย่างนุ่มนวล ก่อนจะค่อยๆ เลาะเล็ม ดูดดึง ปลายลิ้นเล็กของเดือนไล่วนอยู่บนริมฝีปากของเขาอย่างอ้อยอิ่ง เนิบช้า เยาะยั่ว ความอ่อนหวานที่เปรียบเหมือนฝูงผึ้งบินหาน้ำหวานจากดอกไม้ค่อยๆ เปลี่ยนไป อุณหภูมิในร่างกายของเราเพิ่มขึ้น การดูดดึงแลกลิ้นยังคงเนิบนาบแต่หนักหน่วงขึ้น หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
 
   

“อืม...พะ...พอก่อน” เดือนกระซิบบอกเมื่อถอนริมฝีปากออก ไล่ปลายไปจมูกไปตามโครงหน้าเรื่อยลงมาที่ลำคอ
   

“จะไปไหน” ส่งเสียงอู้อี้ ไม่รู้เพราะอะไร ถ้าได้ซบหน้าลงกับผิวกายของเดือนแล้วมันยากที่จะละออกมา


   
“อาบน้ำ...ไปอาบน้ำ” เดือนขยับตัวลุกขึ้น เพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้เราทั้งคู่ลงมานอนอยู่บนพื้นหน้าโทรทัศน์ แสนดีนอนหลับตานิ่งบนโซฟาพร้อมวาดหางไปมาราวกับจะบอกให้รู้ว่ามีความสุขที่ได้กลับบ้านตัวเองขนาดไหน

   
“ไม่เอา” กอดเอวเดือนที่กำลังลุกขึ้นไว้

   
“นั่งรถมาทั้งวัน สกปรกจะตาย ไปเร็ว..อาบน้ำก่อน” เดือนพยายามแกะมือออก

   

“อาบด้วยกัน” ใบหน้าสีระเรื่อกลายเป็นสีแดงแปร๊ดขึ้นมาทันที

   

“ไม่”

   

“ไม่ต้องอายน่า”

   

“ปล่อยเลย จะไปอาบน้ำ” ตีหน้ามึน ทำหูทวนลมล่ะเก่งนัก แม้หน้าคนพูดจะแดงกว่าเดิมก็เถอะ เขาหลุดหัวเราะ เดือนถือโอกาสนั้นดิ้นออกจากการเกาะกุม

   

“ไม่ต้องใส่ชุดนอนนะ ยังไงเดี๋ยวเค้าก็ต้องถอดอยู่แล้ว”

   


เดือนตอบด้วยขวดครีมนวดผมเข้าเต็มๆ ที่กลางอก พร้อมกับเสียงปิดประตูห้องน้ำดัง ปัง !



   

เขาหัวเราะกับตัวเองก่อนะลุกขึ้นมาเก็บของฝากสารพัดที่บรรดาแม่ๆ ให้นำกลับห้อง เก็บกระเป๋าเดินทาง เดินสำรวจดูความเรียบร้อยของห้องพัก เติมอาหารและน้ำให้แสนดี แค่ได้ยินเสียงเขย่ากระป๋องอาหาร แสนดีที่นอนอยู่ก็ลุกขึ้นมาอย่ารวดเร็ว หูเล็กนั้นตั้งตรง เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเทอาหารลงในถาดก็กระโดดมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ พร้อมส่งเสียงอ้อนอย่างเคย

   

“เจ้านายก็ขี้อ้อนเหมือนแกเลยแสนดี” เทอาหารให้แสนดีมากกว่าปกตินิดหน่อย ลูบหัวเกาหลังจนแสนดีพอใจแล้วก็จึงเข้าไปจัดการตัวเองบ้าง





   
.


.


.




   

อากาศเย็นปะทะเข้ากับผิวหนัง แสงสลัวจากไฟถนนที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างส่องให้เห็นเงาตะคุ่มบนเตียงนอน


   

เขาเดินไปที่เตียงช้าๆ ให้เงียบที่สุด คนบนเตียงขยับตัวยุกยิกได้ยินเสียงผ้าห่มเสียดสีแผ่วเบา กดจมูกลงบนแก้มนุ่มแล้วก็เพิ่งรู้ตัวว่าสบู่ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้มีกลิ่นหอมมาก มากจนไม่อยากละจากไปไหน

   

เดือนขยับตัว เอื้อมมือมาคล้องคอก่อนจะนวดเบาๆ ที่ต้นคอ
   
   

“คอยนานไหม” ในระยะที่ริมฝีปากใกล้บรรจบกันนั้น ดวงตาของเดือนแวววับด้วยน้ำตา

   

“...นานมาก”  ภายใต้แสงสลัวไล่สายตากวาดไปทั่วใบหน้าของอีกฝ่าย ไล่ตั้งแต่หน้าผากมน คิ้วบาง ดวงตาชั้นเดียวที่เวลายิ้มจะเป็นขีดโค้ง จมูกเล็กรั้นปลาย แก้มที่เคยตอบตอนนี้เริ่มเต็มอิ่ม ก่อนจะไล้นิ้วโป้งบนริมฝีปากบาง

   

“นานแค่ไหน” แล้วก็อดใจไม่ไหว กดจมูกดมดอมลำคอ ระเรื่อยผ่านไหปลาร้า ขบเม้มที่ฐานคอ กดจูบซ้ำๆ ที่หัวไหล่

   

“อืม .. ซันๆ”
   
   

“นานแค่ไหนครับ” ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ถามไปต้องการอะไร แต่การที่ได้เห็นคนตรงหน้าหลุดความต้องการออกมามันทำให้เขาอยากแกล้งเข้าไปใหญ่



“นาน...เหมือนทั้งชีวิตเลย— อืมมมม”



ทั้งที่มีเจตนาจะแกล้งอีกฝ่ายแท้ๆ กลับเป็นเขาเสียเองที่พ่ายแพ้ เดือนแค่ปรือตาจ้องมองมาที่เขา ตอบด้วยน้ำเสียงที่วิงวอนปนออดอ้อน ความอดทนที่ถูกกลั้นเอาไว้ก็ทะลายสลายไป



เราจูบกันแนบแน่น ปลายลิ้นเกี่ยวพัน ดูดเม้ม กวาดไปทั่วโพรงปาก เดือนดึงตัวเขาให้ล้มลงไปบนเตียง สี่ขาบดเบียดเกี่ยวพันกันยุ่ง สองมือลูบไล้ร่างกายของอีกฝ่ายด้วยความเสน่หา บ้างเนิบช้า บ้างร้อนแรง



“ฮื่อ...” นิ้วผอมๆ ชอนไชไปในกลุ่มผมเหลือบสายตาขึ้นมอง ใบหน้าของเดือนเป็นสีเข้มในแสงอ่อนสลัว ริมฝีปากถูกเม้มกัดแวววับเปล่งประกายล้อแสงไฟ ดวงตาสีดำสนิทก้มลงมาสบตา เขายกยิ้มมุมปากก่อนจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เดือนพยายามผลักออก แต่เขากลับขยับไวขึ้นจนรู้สึกว่าคนข้างล่างเกร็งตัวชั่วครู่ก่อนจะปลดปล่อยออกมา



“อ่าห์ ... ซันๆ อย่าแกล้ง” 
   


   

ยกขาสองข้างของเดือนพาดบ่า ยักคิ้วให้คนที่อายม้วนดันตัวเองลงแนบกับเดือนสนิทโดยที่ไม่ได้ละสายตาจากกันเอื้อมมือหยิบซองเล็กใส่มืออีกคน

   
   

“อ้าห์...” เดือนฝังเขี้ยวเข้ากับหัวไหล่ ความเจ็บปวดที่เขาได้รับคงช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเดือนได้บ้าง

   

“ชะ..ช้า ก่อน อื้ออออ”

   

ความร้อนค่อยดูดกลืนตัวตนของเขาเข้าไปข้างในเดือนทีละนิด เราสบตากันตลอดเวลา เม็ดเหงื่อผุดพรายบริเวณไรผม เอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อให้ลากมือผ่านริมฝีปากที่ถูกขบเม้มจนเป็นสีแดงช้ำ ช้าๆ


   

“รัก”



เดือนกะพริบตา




“อ่าห์ ..รัก”




เดือนขยับตัวบีบรัดจนลมหายใจสะดุด





มอบจูบแสนหวานส่งท้าย สบตากันอีกครั้งก่อนจะประสานมือเข้าด้วยกัน
บีบเบาๆ แล้วคลาย เขาขยับมือช้าๆ ปลอบโยน กดจูบอีกครั้งแล้วจึงขยับเข้าไปจนแนบสนิท





“ฮื่อ....รักนะครับ.....”





“อื้ออออออ...”




จ้องคนที่พยายามหลบตา กดจูบย้ำบนริมฝีปาก สองมือยังคงบีบเบาๆ แล้วคลายอยู่อย่างนั้น
 



“พร้อมยัง”




ดวงตาหวานซึ้งเงยขึ้นมาสบตาแล้วพยักหน้าน้อยแทบมองไม่ออก เขาขยับตัวช้าๆ เห็นว่าคนข้างล่างกลั้นเสียงไว้ก็หยุดนิ่ง




“ยังไม่พร้อมเหรอ งั้นรอก่อนเนอะ”



เดือนเงยหน้าขึ้น คิ้วสองข้างขมวดน้อยๆ พยักหน้ามากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย
เห็นดังนั้นจึงขยับตัวอีกนิด ถอยออกมาแล้วเข้าไปในตัวเดือนลึกขึ้นอีกหน่อย



“อ่าห์.....ซันๆ”



คนข้างใต้ตอดรัดถี่



“ครับ?”

   


“ขะ...ขยับเถอะ....นะ...ซะ... ซันๆ ..อ่าห์”


   

คว้าริมฝีปากช่างพูดขึ้นมาจูบ พร้อมทั้งขยับตัวตามความต้องการของร่างกาย
คนตัวเล็กขยับตัวตามจังหวะ เสียงเนื้อกระทบเนื้อ
เสียงครวญครางเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ ขาทั้งสองข้างเกี่ยวเอวเขาไว้แน่น
 
   
   

“ซันๆ ..จูบหน่อย”

   

จูบหนักๆ พร้อมกับกระแทกตัวแรงๆ หลายครั้ง ความสุขของเดือนก็ทะลักออกมา

   

“อ่าห์....ซันๆ ..เดือนรักซันๆ นะ ฮื่อ.....”


   

จบประโยคบอกรักกระท่อนกระแท่นของเดือน
เขาก็กระตุก ปลดปล่อยความสุขออกมาเช่นกัน





   

ร่างกายเฉอะแฉะจากหยาดเหงื่อ เราบดเบียดริมฝีปากเข้าหากันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จูบย้ำๆ ตามร่องรอยรักบนร่างกายของอีกฝ่ายจนเหงื่อแห้ง ความเย็นของเครื่องปรับอากาศทำให้ขนลุกซู่


   

เขาลุกขึ้นนั่ง มองเดือนที่นอนผมกระจายสยายเต็มหมอน แล้วก็อดจูบจมูกเล็กๆ นั้นไม่ได้ ก่อนจะลุกขึ้นสวมกางเกงนอน เดินเข้าห้องน้ำ เอากะละมังใส่น้ำและผ้าขนหนูมาเช็ดตัวคนบนเตียง

   
      
   

“ซันๆ”


   
เดือนพูดอู้อี้กับอก แขนทั้งสองข้างโอบรัดคนบนเตียงไว้อย่างหวงแหน

   

“หืม?”

   

“บอกอีกครั้งสิ”

   
ฝ่ามือลูบไล้จากต้นคอของเดือน
ลากผ่านแนวกระดูกสันหลัง บดคลึงช่วงเอวนิดหน่อยจนเจ้าตัวตีมือดังเพี๊ยะถึงได้หยุด




กอดคนในอ้อมแขนแน่นๆ





จูบที่หน้าผาก กระซิบบอก
   



“รัก”





จูบที่ขมับ กระซิบข้างหู





“ซันๆ รักเดือนนะครับ”






จูบซับน้ำตาของคนขี้แงอีกรอบ
บอกคนในอ้อมแขนซ้ำๆ






“รักนะครับ”


-------------------------------------------
[23.01.59]
ยุ่งกับที่ทำงานใหม่มาก ไม่มีเวลามาต่อเลย ขอโทษนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
 :pig4:
Lavender’s blue

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 21) 23-01-2559
«ตอบ #62 เมื่อ23-01-2016 18:25:28 »

ถึงซันๆ จะรักเดือน
แต่ซันๆ มีความผิดที่ปิดบังเดือนอยู่นะ

ออฟไลน์ mynamejnkf

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 21) 23-01-2559
«ตอบ #63 เมื่อ23-01-2016 18:55:56 »

โอ้ย เขาได้กันแล้วอ่ะแก

อย่างฟิน โอ้ย ยิ้มแก้มปริ

พ่อแม่ของทั้งคู่น่าจะทำใจมานานแล้วล่ะจ้ะ แหม่ เล่นตัวติดกันขนาดนั้น

สู้ๆนะคะคนเขียน  :-[ :-[

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 21) 23-01-2559
«ตอบ #64 เมื่อ23-01-2016 20:57:11 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 21) 23-01-2559
«ตอบ #65 เมื่อ23-01-2016 21:14:17 »

ถึงจะรักกันแต่ซันยังมีความผิดนะ ไถ่โทษด้วยการดูแลเดือนให้ดีๆล่ะ รักกันให้มากๆ

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 21) 23-01-2559
«ตอบ #66 เมื่อ23-01-2016 21:38:56 »

โหยยย เรื่องนี้ดีงามมากกกกกกก

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 21) 23-01-2559
«ตอบ #67 เมื่อ23-01-2016 22:10:32 »

 :m25:      เดือนดูเปราะบางน่าถนุถนอมมากๆเลย
อยากฟัดแสนดีจังค่ะ

รอค่ะ อยากรู้ตอนจบ

ออฟไลน์ Youi_chin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 166
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 21) 23-01-2559
«ตอบ #68 เมื่อ24-01-2016 00:46:48 »

 :impress2: :pig4:

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 22) 24-01-2559
«ตอบ #69 เมื่อ24-01-2016 15:07:39 »

Just Love รักนะครับ





22





   


“ผมรักพี่ว่ะ ... พี่กาย”





   
   
ความรู้สึกมันเหมือนกำลังเต้นๆ อยู่ในเธคแล้วไฟก็ดับ พรึ่บ!
เสียงไอ้ซันบอกอะไรสักอย่างแว่วราวกับดังมาจากที่ไกลทั้งที่มันนั่งอยู่ข้างกายแล้วทุกอย่างก็เงียบไป


   

“ผมพูดจริงๆ นะ”

   

ไอ้เด็กกะล่อนพูดต่อตอนที่เรายังสบตากัน แววตาสีดำสนิทดูจริงจังเหมือนตอนที่มันทำหน้าที่ประธานชมรมฟุตบอล
   
   

“พี่กาย... ได้ยินไหม...พี่”

   

ผมหลบตา ไม่ตอบคำถาม ตั้งใจจะหยิบรีโมทขึ้นมาเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ แต่ก่อนที่จะคว้าได้นั้นก็ถูกมือดีมาแย่งไปเสียก่อน

   

“เฮ้ย ทำไรมึงเนี่ย เอารีโมทมา” สองตามองดูรายการสารคดีสัตว์โลกในโทรทัศน์ ตั้งใจอย่างแน่วแน่นว่าไม่มีทางละสายตาไปไหนเด็ดขาด

   

“สนใจผมสักนิดไม่ได้เหรอครับ”

   

“.................”

   

“ปลานีโม่มาเป็นฝูงเลยเว้ย...หน้าตาเหมือนกันหมดแบบนี้จะจำได้ไงว่าตัวไหนพ่อวะ ไอ้แมนมึงว่านีโม่มันตามหาพ่อมันถูกได้ไงวะ”

   
“...สักนิดก็ไม่ได้เหรอครับ”

   

แม้ไม่หันไปมองก็รู้ว่าสายตาของไอ้แมนยังคงจ้องมาที่ผม
คำขอร้องของมันสั่นเครือ ไม่ร้องนะเว้ย ไม่เอาดราม่า!


   
“..ฮึก... ผมชอบพี่จริงๆ นะ พี่กาย ..”
   

ผมหันขวับไปมองมันทันทีที่ได้ยินเสียงสะอื้น ใบหน้าเกรียมแดดนั้นนองด้วยน้ำตา ไอ้แมนกัดหลังมือตัวเองไว้กั้นเสียงสะอื้น มือขวาเช็ดน้ำตาตัวเองปอยๆ

   

เฮ้ย! คือร้องจริง



“............”



ตัดสินใจอยู่นาน ยื่นมืออกไปแล้วเก็บกลับมาไม่รู้กี่รอบ จนในที่สุดฝ่ามือของผมก็เอื้อมไปสัมผัสหัวเกรียนๆ ของคนที่นั่งร้องไห้จนได้



ไอ้กายเงยหน้าขึ้นมามองทันที ผมหันกลับไปมองทีวี แต่มือยังคงลูบหัวกลมๆ นั้นไม่หยุด




ปึก!




“อะไรมึง!”




ไอ้แมนปัดมือผมทิ้ง ตาสองข้างของมันแดงก่ำ น้ำตายังคงไหลลงมาเป็นสาย ริมฝีปากสั่นระริก




“..เพราะพี่ทำแบบนี้ไง ... ผม..”



“ทำไม กูทำอะไร”



“..พี่ทำแบบนี้ตลอดอะ...ถ้าไม่สนใจก็บอก ก็ไล่สิวะ...อย่าทำเป็นไม่ได้ยินแล้วยังดีกับผมได้ไหม...”



“...........”



“พี่ทำแบบนี้...มันเจ็บกว่าโดนปฏิเสธอีก” เสียงสะอื้นหายไปแล้ว เหลือเพียงน้ำจากดวงตาทั้งสองข้างที่ยังไม่ยอมหยุด



“...........”


   
“...........”

   

ผมนั่งเงียบอย่างไม่พูดอะไร ปล่อยให้ไอ้แมนร้องไห้จนมันหยุดไปเอง
ลุกไปรินน้ำใส่แก้วยื่นให้ เมื่อไม่มีคนรับก็เอาวางลงกับโต๊ะเตี้ย

   

เสียงนาฬิกาเดินเป็นจังหวะก้องไปในความเงียบระหว่างเราสองคน

   


“มึงรู้จักไข่มุกหรือเปล่า”



ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมถึงเปิดปากเล่าเรื่องที่มีแค่ไอ้ซันกับเพื่อนสนิทอีกสองสามคนให้ไอ้เด็กกะล่อนฟัง

   

“...ไข่มุกเหมือนมึงเลยไอ้แมน... มาชอบคนอย่างกู” ไม่รอให้มันพูดตอบรับอะไร ผมเล่าต่อไป

   

“ตอนช่วงรับน้องใหม่ คนก็แซวกันไป กูก็ไม่คิดอะไร...จนวันหนึ่งไข่มุกก็มาบอกรักกู” เล่ามาถึงตรงนี้ ผมยิ้มออกมาบางๆ เมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องในอดีต

   

หญิงสาวตัวผอมบาง รวบผมม้า เดินเข้ามาสารภาพรักกับผมกลางคณะ ใบหน้ามนแดงปลั่งอย่างเขินอาย ดวงตาใสแจ๋วราวกับลูกแก้วนั่นเต็มไปด้วยความหวัง

   

“..เดินมาบอกรักกูกลางคณะเลยมึงคิดดูไอ้แมน ..คนงี้โห่กันสนั่น..หึหึ”

   

“..............”

   

“กูตกใจมาก...บอกปฏิเสธไป.....”

   

“กูจำได้ติดตาเลยว่า ไข่มุกร้องไห้โฮ แล้ววิ่งหนีไป”





   
‘กาย...เรา...เอ่อ..ไข่มุกชอบกายนะ’

‘เฮ้ย! จริงดิ’


   

‘............’ หญิงสาวไม่ตอบ แต่พยักหน้าน้อยๆ แก้มสองข้างซับสีเลือด ผิดกับทุกวันที่เคยขาวซีด

   

ตอนนั้นเป็นเวลาพักกลางวัน ผมกำลังนั่งทานข้างอยู่ในโรงอาหารประจำคณะ ไอ้พวกรุ่นพี่ทั้งหลายที่ได้ยินก็ส่งเสียงโห่แซว บ้างก็ทำท่าร้องไห้เสียใจ บ้างก็ทำท่าโกรธโมโหกันอย่างสนุกสนานด้วยไม่คิดว่าน้องใหม่หน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้จะใจกล้ามาสารภาพรักอย่างโจ่งแจ้ง

   

‘เราขอโทษวะไข่มุก...เราไม่ได้ชอบเธอว่ะ’

   

‘...ฮึก! .. ขอโทษนะกาย’


   

ทั้งที่น้ำตานองหน้า เธอยังหันมาบอกขอโทษก่อนจะหมุนตัววิ่งหนีหายไป

   




   

“.... ตั้งแต่วันนั้น กูก็ไม่เจอเขาอีกเลย”

   

“..พี่เขาเป็นอะไรหรือเปล่าพี่กาย”

   
“..อืม”

   

หน้าไอ้แมนจากที่แดงเพราะร้องไห้กลับซีดขาวทันทีราวกับถูกป้ายสี

   

“..พี่เขา... ตะ—ตายเหรอพี่กาย”

   

“โอ้ย!” โบกหัวเกรียนๆ ของไอ้แมนได้ยินเสียงดังเพี๊ยะ


   
“ไอ้เชี่ย ไม่ตายเว้ย..มาแช่งเพื่อนกู”

   
“อ้าว ...” ไอ้กายทำท่าจะเดาเหตุการณ์ต่อไปแต่ผมชิงพูดขึ้นมาก่อน กลัวว่ามันจะพูดอะไรแย่ๆ อีก

   
“ย้ายไปเรียนเมืองนอกเว้ย...ไอ้ห่าเพื่อนกูนอนสะดุ้งอยู่แหงตอนนี้”

   
“............”

   
   

“กูยังจำหน้าไข่มุกได้อยู่เลย”
   

ทั้งสีหน้าและแววตาแสนเศร้า

   

“ถ้าไปรักใครแล้วจะเศร้าขนาดนั้น...กูว่าไม่รักคงดีกว่าละมั้ง”

   
   

“......................”
   
   

“.........................”

   





ไอ้แมนฟังอยู่เงียบๆ ไม่พูดอะไรอีกเลย มันกลับไปตอนสามทุ่มกว่าๆ
ห้องที่เงียบอยู่แล้วยิ่งเงียบกว่าเดิม




ผมนั่งอยู่ที่เดิมบนโซฟาครุ่นคิดกับตัวเอง
ถึงแม้ใครหลายคนจะบอกว่าความรักเป็นสิ่งสวยงามแค่ไหน
สำหรับผมแล้วมัน...ไม่ใช่เลย




พ่อยอมออกจากบ้านหลังใหญ่มาอยู่บ้านเช่าเล็กเก่าโทรมตอนมีผมเพราะไป ‘รัก’ กับแม่ ‘ผู้หญิงที่ไม่คู่ควร’ จากผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ทำงานอย่างขยันขันแข็งกลายมาเป็นคนติดเหล้า การงานไม่ทำ นั่งคิดถึงแต่เรื่องในอดีตที่ไม่มีทางเป็นไปได้ในปัจจุบัน



แม่ต้องกลั้นน้ำตาทุกครั้งที่คุณย่าจากบ้านใหญ่แวะเวียนมาด่าว่า แม่ได้แต่หมอบอยู่บนพื้น ฟังถ้อยคำเสียดสี ถ้อยคำร้ายกาจต่างๆ โดยไม่สามารถตอบโต้อะไรได้ แม่กลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว ดูแลทั้งพ่อและผม ทำงานอย่างหนักไม่เว้นวัน เพราะ ‘รัก’ ครอบครัวของเรา ครอบครัวที่มีพ่อขี้เหล้าและลูกชายคนเดียว




ไข่มุกที่ฝืนยิ้มทั้งน้ำตาให้กับผม คนที่ปฏิเสธเธอท่ามกลางคนนับร้อย เพราะ ‘รัก’ ผม




เห็นไหมว่า ‘ความรัก’ มันไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆ





ทุกครั้งที่พอรู้ตัวว่าเริ่มชอบใครมากเกินไปแล้วละก็ ... ผมจะรีบถอยห่างคนนั้นทันที ผมคงรับไม่ไหวถ้าวันหนึ่งต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบไข่มุก แม่ หรือพ่อ




.


.


.


.   




ก๊อกๆ


เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นทำให้คนที่นอนหลับสนิทบนเตียงสะดุ้งพรวด   
พลิกตัวขึ้นมาจากกองผ้าห่ม คว้าโทรศัพท์มาดูเวลา
    

06.09
   

ให้ตายสิ! ใครมาปลุกแต่เช้าวะเนี่ย
   
   


ก๊อกๆ

   
เสียงเคาะประตูยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง
กลัวจะไปรบกวนห้องข้างๆ เข้า เลยรีบเดินไปเปิดประตู


“มาแล้วคร้าบบบบ”

   


   
“พี่กาย อรุณสวัสดิ์ครับ!”

   

ไอ้แมนยืนส่งยิ้มกว้างมาให้ รอยยิ้มที่สว่างไสวขนาดนั้นทำเอาผมตาพร่า ได้แต่ยืนกะพริบตาปริบปล่อยให้มันเดินเข้ามาในห้องได้อย่างง่ายดาย

   
“พี่กาย ทานข้าวกัน ผมซื้อโจ๊ก น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋มาด้วย”

   
ผมเดินตามมา กวาดสายตาไปบนโต๊ะกินข้าวแล้วก็พบว่าอาหารเช้าที่มันบอกถูกจัดใส่จานชามเรียบร้อยแล้ว

   

“เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนละกัน”

   
“ทานก่อนเถอะครับ เดี๋ยวเย็นหมดนะ”

   
“อืม”

   
แมนส่งยิ้มกว้างมาให้อีกครั้ง พอผมนั่งลงก็จัดแจงเลื่อนถ้วยน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ และชามโจ๊กมาให้อย่างเอาใจ

   
“พี่ใส่ขิงกับต้มหอมไหมครับ” เลื่อนถ้วยผักเล็กๆ มาให้
   
“อืม”
   
“ซีอิ๊วหน่อยไหม ผมว่ามันจืดไปนิดนะ” ขวดซีอิ๊วถูกวางลงใกล้มือ
   
“อืม... มึงกินบ้างสิ มานั่งมองกูทำเชี่ยไร”
   
“ครับๆ”

   

   
“อร่อยจังเลยเนอะพี่” ไอ้แมนที่ทานโจ๊กหมดพูดขึ้นมา ผมพยักหน้า
   
“ไม่ใช่ว่าโจ๊กอร่อยนะ แต่กินกับพี่ต่างหากที่ทำให้โจ๊กอร่อย” ยิ้มอีกแล้ว ขยันยิ้มจริงๆ


   
“กูไปอาบน้ำละ ...มึงไม่ต้องล้างก็ได้ เก็บไว้ในอ่างก็พอเดี๋ยวเย็นๆ กูล้าง”

   
มันอุตสาห์ซื้อมาให้กินแล้วยังให้มันเก็บล้างอีกก็เกินไปหน่อย

   
“ครับๆ พี่ไปแต่งตัวเถอะ”

   
   
ท่าทางเริงร่าราวกับคนละคน
บางทีมันอาจจะคิดได้





เรื่องเมื่อคืนมันก็แค่เรื่องล้อเล่นขำๆ เท่านั้นแหละ


   


   

ระหว่างการเดินทางมากหอพักมาถึงคณะ ผมไม่ได้พูดกับมันสักคำ แม้ว่ามันจะบ่นหงุงหงิงอ้อนตีนโดดซ้อนรถมอเตอร์ไซค์มาด้วยโดยอ้างเหตุผลสุดแสนจะรักษ์โลกว่า ประหยัดน้ำมันและลดโลกร้อนก็ตาม
   
หลังจากจอดรถ ไอ้แมนหันมาพูดกับผมก่อนจะเดินแยกไปเรียน
 
   

“ตอนเย็นพี่ไปชมรมด้วยนะ ผมรออยู่”


   

ผมเดินขึ้นห้องเรียน เจอไอ้ซันนั่งหน้ามึนๆ เหมือนเดิม แต่ที่แปลกไปคือรอบตัวมันเหมือนมีรังสีแห่งความสุขกระจายออกมา ทั้งที่แม่งก็นั่งทำหน้านิ่งเหมือนเดิมแท้ๆ

   
“ไง” พอนั่งลงข้างได้ไอ้ซันหันมาทัก

   
“...........” ผมไม่ตอบแต่แกล้งกวนตีนมันด้วยการลุกขึ้น เอียงหน้าทำหน้าทำตาเคร่งเครียด ก้มๆ เงยๆ มองมัน 360 องศา

   

“ไม่ต้องหา มุมไหนก็หล่อ”  ไอ้ซันพูดขึ้นพร้อมยกยิ้มมุมปากโชว์ลักยิ้มแก้มซ้าย

   

“สัดดดดดด!” ช่างกล้า ถีบขาเก้าอี้ได้ยินเสียงเก้าอี้ครูดพื้น ไอ้ซันแค่หัวเราะหึหึ กลับมา
   
   

“มีความสุขสิมึง”

   

“มาก” 

   

เหอะ หมั่นไส้วุ้ย!
   
ไม่ทันได้ตอบโต้ อาจารย์ก็เริ่มคลาสเรียนเสียก่อน




   

   

ตกเย็น ผมโดนไอ้ซันลากมาชมรมด้วย แต่ไม่ได้ทำไร นั่งดูเด็กๆ มันซ้อม กลับกันกับไอ้ซันที่วันนี้มันลงไปโค้ชน้องๆ


   
“ดีใจจังที่พี่มา” เสียงหนึ่งดังขึ้น ผมหันไปมีขวดน้ำเย็นส่งมาให้พร้อมรอยยิ้มกว้างจากไอ้ซัน

   
“อืม” เอื้อมมือออกไปรับแต่มันกลับขยับมือหนี ตอนแรกยังไม่รู้แต่พอคว้าอีกครั้งที่สองมันดึงขวดน้ำกลับไปกอดเฉย

   
“พี่กาย ... ถ้าเอาไปแล้วอย่าคืนนะครับ”
   

“อะไรมึง จะให้ก็เอามา ร้อนชะมัด”


ไม่พูดเปล่า คว้าแฟ้มในกระเป๋าที่ถูกวางไว้ข้างๆ มาพัดจนผมกระจาย
ไอ้แมนเงียบไปสักอึดใจ ก่อนจะพูดกับตัวเองเสียงเบา

   

“ผมไม่รู้ว่าพี่จะเข้าใจไหม หรือต้องบอกตรงๆ ดีวะพี่”
   

“พูดอะไรมึง เอามาเด้!”

   

เอาน้ำมาให้ก็เอาสักทีเถอะ พิธีอะไรของมันเยอะแยะ

   

“ความรู้สึกของผมตอนนั้นเหมือนพี่ตอนนี้เลยพี่กาย”
   

“ฮะ ทำไมมึงหิวน้ำเหรอ ทำไมไม่เอามาอีกขวดเล่า จะมาแย่งกูเนี่ยนะ” ผมลดมือลงหลังจากที่ยื่นมาไปรอรับขวดน้ำจากมันหลายครั้งแต่สุดท้ายก็ยังไม่ส่งให้อยู่ดี

   

“เหมือนจะให้ก็ไม่ให้ พอเข้าใกล้ก็ไม่ชอบแต่ถอยห่างออกไปก็ไม่ชอบอีกเหมือนกัน เหมือนจะชอบก็ไม่ชอบ โคตรงงเลยว่ะพี่ ผมไม่รู้จะทำไงดี”

   

“เลิกเพ้อเจ้อไร้สาระแล้วเอาน้ำมาให้กูได้ละ มึงได้ไปต่อถ้าทำตามที่กูบอก”

   

“ผมก็กลัวนะ ถ้าให้ไปแล้วพี่จะดูแลไหม ผมไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้นนะ”

   

“แค่ขวดน้ำกินหมดแล้วก็ทิ้งเด้ จะดูแลไรนักหนา”


เอาน้ำให้กินนี่ต้องคิดมากขนาดนั้นเลยหรือไงวะ แต่เหมือนกับคำพูดของผมเป็นเชื้อเพลิงที่เข้าไปแหย่เปลวไฟ ไอ้แมนอยู่ๆ ก็โยนขวดน้ำให้แทบจะกระแทกเข้าหน้า ก่อนจะตะโกนขึ้นมาเสียงดังที่สุดเท่าที่ประธานชมรมฟุตบอลอย่างมันจะทำได้

   

“ก็มันไม่ใช่แค่ขวดน้ำไงพี่ หัวใจของผมต่างหากเล่า โว้ย!!! ไอ้เชี่ยพี่กาย ทำไมกูต้องมารักมึงด้วยวะเนี่ย”

   
   

ไอ้แมนพูดจบก็สะบัดตูดหายไป ได้ยินเสียงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ก่อนจะเครื่องยนต์จะเคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็ว
พวกที่ซ้อมบอลกันอยู่ในสนามยังหยุดเล่น หันมามองที่ผมเป็นตาเดียว ไอ้ซันที่ตะโกนโหวกเหวกข้างสนามได้สติก่อนใครเพื่อน ตะโกนบอกให้เล่นต่อก่อนมันจะเดินตรงมาที่ผม


"ทะเลาะอะไรกัน"
เพื่อนสนิทถามหน้าตาเคร่งเครียดผิดกับตอนเช้าลิบลับ


“ไม่รู้ น้องมึงแม่งบ้า เอาน้ำมาให้กู แล้วก็ไม่ให้ พูดอะไรเพ้อเจ้อแล้วก็มาด่ากู นี่ขับมอเตอร์ไซค์ไปไหนแล้วไม่รู้เนี่ย”
โยนให้เป็นน้องไอ้ซันซะเลย อยู่ๆ มาตะโกนใส่กูเพื่อ!!


ไอ้ซันไม่สะทกสะท้านกับคำพูดโวยวายของผม มันจ้องหน้าผมนิ่งๆ สายตาคมนั้นราวกับเครื่องแสกนทำให้ผมอดเกรงขึ้นมาบ้างไม่ได้


“มึงเป็นห่วงมันหรือเปล่า”


“ไม่”  ขับรถออกไปเอง เดี๋ยวแม่งก็กลับมาเองแหละ


“ไม่กลัวมันเกิดอุบัติเหตุอะไรเลย?”


ทันทีไอ้ซันพูดจบก็มีเสียงฟ้าร้องครืนๆ พร้อมกับฟ้าแลบ กลิ่นดินฟุ้งขึ้นจมูก ลมแรงพัดมาจนใบไม้ส่ายไหว คนที่ซ้อมบอลอยู่วิ่งกรูเข้ามาที่ร่มกันก่อนจะแยกย้ายกลับกันไป



ผมกำลังจะอ้าปากบอกว่า ไม่ ไอ้ซันก็รีบสำทับขึ้นมา “คิดดีๆ ก่อนจะตอบนะมึง ถ้าไม่ห่วงมึงก็กลับห้องไปนอนให้สบายใจ แต่ถ้ายังห่วง ยังแคร์มันอยู่ก็รีบตามหามันแล้วคุยกันให้รู้เรื่องซะ”



“กูจะบอกมึงอีกรอบ ถ้ามึงไม่ได้ทำตามที่มึงต้องการตอนนี้ มึงจะเสียใจไหม”



มันเห็นว่าผมยังเงียบเลยพูดย้ำอีกรอบว่า



“ทำตามใจมึงบ้างเถอะ”


   
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอีกครั้ง ลมพัดแรงมาอีกระรอก ความสับสนในใจของผมพัดแรงพอๆ กับใบไม้ที่แกว่งไกวตามแรงลม

   

“แล้วถ้ามันไม่เวิร์คล่ะ... กูคงทนไม่ไหวว่ะซัน”

   
“มึงรู้ได้ไงว่ามันไม่เวิร์ค” ไอ้ซันถามทันทีที่ผมพูดจบ “มึงยังไม่ทันจะเริ่มเลย รู้ได้ไงว่าไม่รอด”

   
“ดูก็รู้แล้ว กูกับมันเนี่ยนะ ผู้ชายนะเว้ย” ผู้ชายตัวควายๆ สองคนเลยนะเว้ย

   
“งั้นกูกับเดือนก็ไม่รอดสิ”

   
“มันไม่เหมือนกัน มึงกับคุณมันไม่เหมือนกู”

   
“อย่ามาแถไอ้สัด กูกับเดือนก็ผู้ชายเว้ย ตรรกะผู้ชายคบกันไม่รอดของมึงตัดออกไปได้ ยังมีอะไรอีกฮะ ถ้ามึงจะไปไม่รอดมึงก็คุยกันสิ ไม่พอใจอะไรกันตรงไหนคุยกันก่อน จนถ้ามันสุดทางจริงๆ แล้วมึงค่อยยอมแพ้ ไม่ใช่จะยอมตั้งแต่ยังไม่เริ่มแบบนี้”

   

ฟ้ามืดลงเรื่อยๆ กลายเป็นสีเทาเข้ม กลุ่มเมฆสีดำสนิทเคลื่อนที่เข้ามาปกคลุมท้องฟ้าเหนือหัว หมู่เมฆสีดำลอยตัวต่ำคาดว่าคงกลั่นตัวเป็นหยาดฝนในอีกไม่ช้า

   

“ฝนจะตกละเชี่ยกาย มึงจะทำไงเรื่องของมึงละกันกูไปรับเดือนล่ะ คิดดีๆ อย่ามานั่งเสียใจทีหลัง” คงเห็นว่าผมหง่อยลงไปถนัดมันเลยเดินตามตบไหล่เบาๆ สองสามทีก่อนจะรีบร้อนไปรับคุณ
   


ผมถอนหายใจออกมา ขณะที่ยังลังเลไม่รู้จะทำอย่างไรนั้น ฟ้าร้องครืนก่อนจะผ่าลงมาดังเปรี้ยง ได้ยินดังนั้นก็รีบขับมอเตอร์ไซค์ออกมาอย่างรวดเร็ว




   

ขับวนไปทั่วมหาวิทยาลัยอย่างไม่มีจุดหมาย สายตากวาดไปเรื่อยๆ จนเมื่อท้องฟ้ามืดสนิท เมฆสีดำกลั่นตัวเป็นหยาดฝนพร่าพรมเบาบาง ก่อนจะกระหน่ำตกลงมาไม่ลืมหูลืมตา

   

ขับมอเตอร์ไซค์ด้วยความระมัดระวังจนถึงหอพัก ทั้งร่างสั่นระริกด้วยความหนาวเย็น

   
   

“พี่!!!”

   

ตอนที่กำลังจะไขประตูนั้น ประตูถูกเปิดจากด้านใน พร้อมกับตัวควายๆ ของไอ้แมนเข้ามากอดผมไว้ทั้งตัว

   

“ผมมารอพี่ตั้งนาน ทำไมเปียกแบบนี้ นึกว่าพี่จะเป็นอะไรไปแล้วซะอีก” มันพูดอู้อี้กับบ่าผม เห็นว่ามันห่วงขนาดนั้นเลยกอดมันตอบเบาๆ ตัวมันนี่อุ่นจนเกือบร้อนเลย

   

“ทำไมตัวเย็นงี้อะพี่ รีบเปลี่ยนชุดเร็ว”

   

มันประคองผมที่ตอนนี้ตะคริวกินไปครึ่งตัวช้าๆ เข้ามาในห้อง ลากไปห้องน้ำ เปิดน้ำอุ่นแล้วค่อยๆ ใช้ฝักบัวรดไปตามแขนและขา

   

“ดีขึ้นไหมพี่”
   

“อืม ...โอ้ย” ผมลองขยับขา ตะคริวยังไม่หายไป
   

“ถอดเสื้อผ้าก่อนดีกว่าพี่ น้ำอุ่นจะได้รดทั่วๆ” ไม่พูดเปล่า มันเอาฝักบัววางคืนที่ แล้วใช้สองมือปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของผม

   


ในห้องน้ำเต็มไปด้วยไอน้ำสีขาวจากน้ำอุ่นที่เปิดไว้ มือของไอ้แมนแตะที่ขอบกางเกง มันสบตากับผม ดวงตาสีดำสนิทมีหลากหลายความรู้สึกอยู่ภายใน ไม่รู้ว่าไอ้แมนอ่านสายตาของผมว่าอย่างไร มันถึงได้ค่อยๆ โน้นใบหน้าเข้ามาใกล้จนเห็นขนตาเรียงกันเป็นแพล้อมดวงตาคมเข้ม

   

“เป็นแฟนกันนะพี่กาย”

   

ไม่รู้ว่าเป็นผมหรือมันที่เริ่มก่อน ริมฝีปากของเราเคลื่อนเข้าหากัน ไอน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำอุ่นค่อยๆ ทำให้อาการตะคริวของผมหายไป มือของแมนค่อยบีบนวดมือผมช้าๆ เริ่มจากปลายนิ้วไล่ขึ้นมาถึงต้นแขน เมื่อครบทั้งสองข้างริมฝีปากของเราก็บรรจบกันพอดี

   

เราไม่ได้ละสายตาจากกันไปสักวินาที ทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำของมันอยู่ในสายตาและการรับรู้ของผม

   

อาจเป็นเพราะตัวผมเย็นเลยรู้สึกว่าลิ้นของไอ้เด็กนี่ร้อนมาก ความร้อนไล่เรื่อยไปตามริมฝีปากจนเมื่อผมยอมเปิดปากออกก็เข้าชอนไชไปตามแนวฟัน ดูดวนกระพุ้งแก้ม น้ำอุ่นจากฝักบัวบนผนังกระทบเข้ากับหน้าของเราเต็มๆ กลบเสียงดังของการดูดดึงริมฝีปากไว้หมด ลิ้นของผมถูกดึงไปทักทายริมฝีปากหนา เกี่ยวพันดูดดึงกันแนบแน่น บางครั้งก็อ่อนหวานบางครารุนแรง จนผมเริ่มจะเป็นตะคริวขึ้นมาอีกรอบนั่นแหละ เจ้าเด็กกะล่อนถึงยอมถอนริมฝีปากออก
   



“เป็นแฟนกันแล้ว อย่าทิ้งผมนะพี่กาย”




ไอ้แมนเอามือเหี่ยวย่นเพราะโดนน้ำเป็นเวลานานของมันลูบริมฝีปากของผมเบาๆ ก่อนจะกดแนบริมฝีปากลงมาแผ่วๆ ขณะที่มันกำลังปิดประตู ผมได้สติ คว้าขวดแชมพูใกล้มือเขวี้ยงตามหลัง ขวดกระแทกประตูดังปัง!




“มึงต่างหากอย่าทิ้งกู ไอ้แมน”




เหอะ! พูดมาได้ว่าอย่าทิ้งมัน มันควรจะบอกตัวเองดีกว่าไหม จูบคนอื่นคล่องขนาดนี้

ไอ้เด็กกะล่อนเอ้ย!!



-----------------------------------------
[24/01/2559]
จิ้มน้องแมน พี่กายปากแข็งไหมน้อ 55555
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่ะ  *ได้ไอเดียตอนพิเศษเพิ่มแล้ว *จะไหวหรือเปล่าขอดูงานอาทิตย์นี้อีกทีนะคะ แฮ่ XD
อีก 2 ตอนจะจบแล้วค่ะ
 :mew1:
Lavender’s blue
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2016 19:51:22 โดย Wendy »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 22) 24-01-2559
« ตอบ #69 เมื่อ: 24-01-2016 15:07:39 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 22) 24-01-2559
«ตอบ #70 เมื่อ24-01-2016 20:37:51 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 22) 24-01-2559
«ตอบ #71 เมื่อ24-01-2016 21:16:37 »

ก็น้องแมนเขารุกเสียขนาดนี้พี่กายก็ยอมรับเถอะนะ. อิอิ
กดแลยน้องแมนคืนนี้.  กดเขาแล้วบอกเขาว่าอย่าทิ้งผมนะ
ขอบคุณค่ะ  :mew1: 

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 22) 24-01-2559
«ตอบ #72 เมื่อ24-01-2016 21:26:56 »

พี่กายยอมเปิดใจแล้วววววว เย้!!

ออฟไลน์ DE SaiKuNee

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-9
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 22) 24-01-2559
«ตอบ #73 เมื่อ25-01-2016 13:21:45 »

 o18 o18

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 23) 25-01-2559
«ตอบ #74 เมื่อ25-01-2016 19:45:47 »



Just Love รักนะครับ 






23



   

กลิ่นหอมของอาหารปลุกชายหนุ่มที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างรับกับแสงแดดอ่อนโยนในยามเช้าของวันใหม่ ท้องฟ้าหลังหน้าต่างกระจกใสเป็นสีฟ้ากระจ่างตา ปุยเมฆขาวบางลอยเห็นเป็นเงาจาง ชายหนุ่มสะบัดศีรษะสองสามครั้งลุกขึ้นจัดเตียง มองหมองสองใบที่วางเคียงกันแล้วก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะทำทีเป็นคนตื่นนอน เดินสะลึมสะลือตามกลิ่นมาที่เคาน์เตอร์ในครัว


   

เคาน์เตอร์เล็กนั้นมีพ่อครัวตัวผอมเก้งก้างสาละวนกับการทำอาหารบนเตา หยิบซอสปรุงรสบ้าง หยิบทัพพีมาคนอาหารขึ้นชิมทุกๆ สองนาทีบ้าง พยักหน้าพึมพำกับตัวเอง แล้วก็ยิ้มออกมาเมื่อพอใจในรสชาติอาหารที่ปรุงจนคนลอบมองอยู่อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม


   

“ทำอะไรน่ะ หอมจัง”



ค่อยย่องเข้าไปใกล้จนได้ระยะก็รวบพ่อครัวมากอด กระซิบประโยคสุดท้ายกับลำคอขาวพร้อมสูดกลิ่นกายหอมเย็นของอีกฝ่ายเต็มปอด

   

“เฮ้ย!!”



พ่อครัวสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ ก็โดนรวบไปกอดทั้งตัวจนเกือบปล่อยทัพพีลงพื้น คนที่ลอบเข้ามาสวมกอดทำเป็นง่วง เอาหน้าซบบนบ่าของคนเตี้ยกว่าไว้ และเริ่มพรมจูบต้นคอขาวๆ ลงมายังไหปลาร้า เมื่อเห็นว่าพ่อครัวตัวเล็กเอาแต่ง่วนกับการปรุงอาหารจึงงับริมฝีปากของตนเองซ้ำๆ กลับขึ้นมาบริเวณหลังใบหูเรื่อยลงมาถึงลาดไหล่จนคนถูกกระทำต้องหันกลับมาสนใจจนได้


“จั๊กจี้ ฮ่าๆ ปล่อยก่อน”


ขยับออกมาจากอ้อมกอด มองข้าวต้มที่กำลังเดือดจัดบนเตา ใช้ทัพพีที่เจ้าตัวใช้คนอาหารไปชิมไปเมื่อครู่ตักอาหารในหม้อขึ้นมาให้คนที่ทำเนียนกอดเอวไว้ไม่ปล่อยชิม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายบอกว่ารสชาติถูกปากแล้วก็ปิดเตา ตักใส่ถ้วยก่อนจะให้คนตัวสูงกว่ายกไปวางบนโต๊ะที่ช้อนและแก้วน้ำถูกวางไว้เรียบร้อยก่อนแล้ว


“เดี๋ยวนี้พัฒนา ทำได้มากกว่าขนมปังปิ้งแล้วเนอะ”


ข้าวต้มในชามส่งกลิ่นหอมกรุ่น ไอความร้อนลอยขึ้นมาจางๆ ไม่ได้สวยงามเหมือนตามร้านอาหาร หมูสับก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง ข้าวก็เละเสียจนแทบจะกลายเป็นโจ๊ก ท่ามกลางกลิ่นหอม ชายหนุ่มได้กลิ่นไหม้ลอยมาจางๆ ด้วย
   

“แน่นนอน ฮ่าๆ อร่อยไหม เค้าโทรถามแม่เลยนะเนี่ย”


ความคาดหวังเต็มเปี่ยมบนใบหน้า เขาจึงตักอาหารขึ้นมาชิม ลิ้มรสช้าๆ เพื่อซึมซับความตั้งใจของคนทำผสมกับแกล้งคนที่นั่งลุ้นจนตัวโก่งอยู่ จนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแทบจะลุกขึ้นมาเค้นเอาคำตอบนั้นแหละ เขาจึงเอ่ยออกไปว่า


“อือ อร่อยดี”


แค่นั้นคนที่ตื่นมาทำอาหารแต่เช้าก็ยิ้มกว้างไม่ต่างจากคนทานเลย




   
“นั่งมองก็อิ่มหรือไงเล่าเดือน กินเลย อ้าม..”


เมื่อเห็นว่าคนรักของตนเองเอาแต่นั่งมองเขาทานอาหารเลยบอกให้อีกฝ่ายทานบ้าง ยื่นช้อนให้พร้อมอ้าปากกว้างพยักพเยิดบอกให้อีกคนทำตาม
   

เดือนอ้าปากอย่างว่าง่าย แต่แล้วมือแข็งแรงที่กำลังยื่นช้อนเข้าต้มเข้าปากเล็กๆ กลับถูกดึงกลับมาอยู่ที่ปากคนป้อนเอง คนตัวเล็กกว่าเลยโวยวายใหญ่
   

“เอ้า..แกล้งทำไม ป้อนเค้าดิ ป้อนๆๆ”
   

“ไม่ได้แกล้ง”


ว่าแล้วซันๆ ก็ก้มลงเป่าอาหารในช้อนเบาๆ สองสามที ภาพผู้ชายตัวโตๆ ก้มหน้าพยายามเปาลมให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้เศษอาหารในช้อนกระเด็นทำให้เดือนยิ้มกว้างเสียจนรู้สึกว่าเวลาเกือบสองชั่วโมงที่เขาพยายามทำอาหารนั้นไม่สูญเปล่าเลยสักนิด


“อ้า...”
ยังไม่ทันบอกให้อ้าปาก ลูกนกก็อ้าปากรออยู่แล้ว
   

“ทานเยอะๆ นะครับ คนเก่ง”


ไม่พูดเปล่าส่งรอยยิ้มพิฆาตที่เห็นทีไรก็ใจเต้นแรงมาให้ คนถูกป้อนได้ใจเลยถือให้คนที่นอนตื่นสายกว่าป้อนจนหมดชาม



   









“แสนดีจ๋า มาหาเดือนหน่อย แสนดี...เมี้ยวๆ”



หลังจากทำความสะอาดห้องครัวที่เลอะเทอะจากการทำอาหารเช้าที่ไม่ใช่ขนมปังเสร็จเรียบร้อย สองหนุ่มก็ย้ายมานอนเอกเขนกบนโซฟาหน้าโทรทัศน์


เดือนร้องเรียกเจ้าแมวสีดำที่นอนขดตัวอยู่หน้าประตูห้องนอน แสนดีลืมตาขึ้นมามองคนเรียกก่อนจะวาดหางสีดำไปมาสองสามทีเป็นการตอบรับ แล้วนอนต่ออย่างไม่ใยดี



“อะไรอ่าแสนดี ทำอย่างนี้ได้ไง ลุกเลยแมวขี้เกียจ”



เดือนโวยวายร้องเรียกเจ้าเหมียวที่ไม่แสดงอาการสนใจตัวเองแต่อย่างใดเสียงดัง แล้วก็ต้องร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่ออยู่ดีๆ ก็ถูกมือของคนที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ รวบแล้วลากให้นั่งเกยบนตัก



“ซันๆ ทำอะไร”



ถามออกมาด้วยความสงสัยเพราะเมื่อดึงเขาเข้ามานั่งใกล้แทบจะกลายเป็นนั่งตักอยู่แล้วคนที่ลากมาก็นั่งดูโทรทัศน์ต่อไปไม่บอกไม่กล่าวอะไร



“ดูทีวี” ตอบมาได้หน้าตาเฉย แล้วไอ้มือที่กำลังลูบต้นคอเขานี่มันอะไร    




“แน่ใจ?”



จบคำพูดด้วยหางเสียงสูง ซันๆ หันมามองหน้า มืออุ่นยังคงลูบไล้ต้นคอของเขาอยู่ก่อนจะค่อยเลื่อนขึ้นมาแนวสันกราม นิ้วโป้งไล้ริมฝีปากของเขาหนักๆ สองสามที และไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัวเขาปัดฝ่ามืออุ่นหนานั้นทิ้งแล้วฉกริมฝีปากของตนเองเข้ากับริมฝีปากรูปกระจับ



รสจูบนี้ไม่ได้อ่อนหวาน ละเมียดละไมเหมือนคืนที่ผ่านมา มันเร่าร้อนและเต็มไปด้วยความต้องการอย่างเปิดเผย ปลายลิ้นเล็กล้วงเข้าไปในโพรงปากหนา ไล่เลาะไปตามแนวไรฟัน ดูดดึงกระพุ้งแก้ม ไล่กวาด ลิ้นร้อนที่หลบไปมา และต้องส่งเสียงอืออาอย่างขัดใจเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมส่งลิ้นมาเกี่ยวพันด้วย สองแขนเล็กจึงโอบรวดรอบลำคอหนา ใช้ปลายเล็กกรีดเบาๆ ไปตามความยาวของลำคอ มือหนึ่งชอนไชเข้าไปในกลุ่มผมสีดำหนา บางคราจิกทึ้งเมื่อโดนขัดใจ ไม่เพียงเท่านั้นขยับตัวเข้าไปนั่งบนตักอุ่น บดเบียดสะโพกเล็กไปตามจังหวะความต้องการของร่างกาย





เหมือนคนที่เวียนว่ายอยู่ในความฝัน เมื่อตื่นมาพบความจริงก็ดีใจเหลือเกินจนไม่อาจควบคุมอารมณ์และความต้องการที่ส่งมาจากเบื้องลึกของจิตใจ



ความฝันที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าจะเป็นจริง ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว คนตัวเล็กกว่าดิ้นรน ไขว่คว้าความฝันนั้นให้ได้มากที่สุด




เพราะกลัว
กลัวเหลือเกินว่า เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้ว ทุกอย่างจะหายไป



พยายามผูกมัดด้วยร่างกาย
เพราะไม่เคยรู้เลยว่าต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้คนที่รักที่สุดคนนั้นอยู่กับตนเองตลอดไปตามต้องการ




การพยายามปลุกเร้าของร่างเล็กไม่ได้ทำใหญ่ร่างสูงใหญ่สติหลุดเตลิดไปกับกามอารมณ์แต่อย่างใด ตรงกันข้ามยิ่งเดือนพยายามรุกไล่เขามากเท่าใด ความว้าเหว่ อ้างว้างและโดดเดี่ยวก็ถูกถ่ายทอดออกมามากขึ้นเท่านั้น
 



เรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับเดือนไหล่ทะลักเข้ามาในหัว เขารู้สึกเสียใจที่หลายครั้งเขาไม่สามารถช่วยเหลือคนตรงหน้าได้ในอดีต แม้ว่าเขาจะเป็นคนแรกที่เดือนเอ่ยปากขอความช่วยเหลือก็ตาม ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าหากเขายอมรับตัวเองเสียตั้งแต่ต้น ไม่ทำเฉยต่อความรู้สึกของเดือน คนตรงหน้าเขาคงได้มีช่วงเวลาแห่งความสุขนานแล้ว ไม่ต้องทนอยู่กับความทุกข์ทรมานเพราะเขาอยู่หลายปี   




คิดได้ดังนั้นเขาจึงปรับลมหายใจ ยกสองมือโอบกอดร่างกายผอมบางของคนบนตักไว้ ส่งปลายลิ้นเกาะเกี่ยวลิ้นของอีกฝ่าย ส่งสัมผัสเนิบช้าอ่อนหวาน กุมมือเล็กที่ตอนนี้เริ่มปัดป่ายไปตามลำตัวของเขามารวบกันบนหน้าอกข้างซ้าย




ตึก! ตึก!




จังหวะของของหัวใจที่ฝ่ามือขาวสัมผัสได้ถึงมั่นคงและหนักแน่น สัมผัสของซันๆ นั้นอบอุ่นและอ่อนโยนจนความรู้สึกร้อนแรงที่เขาได้จุดขึ้นเองเมื่อครู่ค่อยคลายลงจนมอดดับเหลือไว้แต่ความนุ่มนวลแสนหวานที่กำลังเยียวยาหัวใจอันแสนบอบบางนี้




คนที่กำลังใช้ภาษากายปลอบเขาอยู่ตรงนี้คือ ซันๆ



คนตรงหน้ายังคงเป็น ซันๆ




คนที่มอบจูบแสนหวานและอบอุ่นนี้มาให้คือ ซันๆ





...เพียงเท่านั้น ลมหายใจถี่ของเขาค่อยกลับเข้าที่ รสละเมียดละไมหวานละมุนที่ได้รับทำให้เขาหยุดนิ่ง ไม่ดิ้นรน ไม่ไขว่คว้า ปล่อยความรู้สึกที่อยากจะใช้ร่างกายผูกมัดคนตรงหน้าทิ้งไป





เมื่อสิ่งที่ได้รับกลับมามันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากล้น
เติมเต็มหัวใจวิ่นแหว่งของเขาอย่างที่ไม่เคยรับจากใคร





สองมือใหญ่โอบกอดเอวเล็กไว้หลวมๆ ก่อนจะค่อยๆ ไล่มือไปตามแนวกระดูกสันหลังบีบผ่อนคลายบริเวณต้นคอเรื่อยลงไปถึงเอว แล้วไล่ขึ้นมาใหม่อีกรอบ เมื่อได้รับจูบแสนหวานตอบกลับมา เขาก็รู้แล้วว่าเดือนคนเดิมของเขากลับมาแล้ว ปล่อยให้อีกฝ่ายจูบเขาจนพอใจแล้วจึงค่อยๆ ผละออก ในระยะที่ปลายจมูกยังสัมผัสกัน เขาเอ่ยออกมาแผ่วเบาแต่หนักแน่นว่า
 



“รัก”




ที่ผ่านมาความรู้สึกของเขาอาจแสดงออกมาอย่างชัดเจนในด้านการกระทำซึ่งบางครั้งคนตรงหน้าอาจยังไม่มั่นใจ การเอ่ยคำว่ารักออกไปในครั้งนี้คงสร้างความมั่นใจให้กับเดือนได้มากขึ้น ด้วยรู้ดีว่าถ้าเป็นเรื่องของเขาแล้วละก็ คนบนตักจะไม่คิดอะไรไปเองเด็ดขาด




น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งจากดวงตาสีเข้มของคนฟังไปตามแก้มขาวและหายไปเมื่อถึงปลายคาง รอยยิ้มกว้างที่เขาเห็นมาตลอดตั้งแต่ตื่นนอนถูกส่งมาให้อีกครั้ง พร้อมกับคำพูดที่ฟังแล้วใจเต้นผิดจังหวะ ริมฝีปากบางกระซิบคลอเคลียบนริมฝีปากเขา




“รัก...รักซันๆ ที่สุดเลย”
   




ดวงตาสีเข้มสว่างสดใสสะท้อนภาพของเขา ขนตาสีดำมีหยดน้ำเล็กเกาะพราว กลิ่นหอมนวลของผิวเนื้อที่สัมผัสอยู่ปลายจมูกทำให้เขาขยับใบหน้า ที่หมายคือริมฝีปากสีแดงก่ำหวานล้ำตรงหน้า





แต่ทว่า...
   





“เมี้ยววววววววววววววว”
   





เพราะเสียงร้องของเจ้าแมวเหมียวเสียมารยาทแท้ๆ ที่ทำให้เดือนรีบลุกไปจากตักเขา ลงไปนั่งกับพรมบนพื้น คว้าแมวดำที่เมื่อครู่เดินเข้ามาส่งเสียงร้องออดอ้อนพันแข้งพันขาขึ้นมาวางบนตัก มือที่ลูบไล้ร่างกายของเขาอยู่เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเกาคาง เกาพุงไอ้ตัวแสบไปเสียได้ คิดแล้วก็เริ่มหมั่นไส้แมวดำขึ้นมาตงิด


   


“แสนดี...แสนดี” น้ำเสียงกระจุ๋งกระจิ๋งที่ใช้คุยกับแมวแล้วปล่อยให้เขาเป็นธาตุอากาศคืออะไร






รักแท้จะมาแพ้แมวดำไม่ได้นะเว้ย!!




   


“ซัน...ซั้น!!” ร้องออกมาด้วยความตกใจ คว้าแมวดำเข้ามากอดแนบอก เมื่ออยู่ๆ คนที่นั่งอยู่ข้างบนโซฟาอยู่ดีๆ ก็ลากเขาขึ้นมานั่งบนตักแถมยังกอดเอวเสียแน่นจนแทบขยับตัวไม่ได้

   

“ลากเค้าขึ้นมาทำไม” ถามไปด้วยความงุนงง แต่คำตอบที่ได้รับทำเอาคนฟังยิ้มแก้มปริ

   

“หึง!!” ทำหน้าบึ้งเหมือนจะเปิดห้องเชียร์กับเขาซะอย่างนั้น

   


“หึงใคร...แสนดีน่ะนะ”



มองซ้ายมองขวาก็พบว่าสิ่งมีชีวิตเดียวที่คิดว่าจะทำให้ชายหนุ่มหึงได้ก็คงเป็นแมวขี้เกียจตัวนี้ เมื่อเห็นว่าซันๆ พยักหน้าตอบรับก็หัวเราะออกมา หันไปจุ๊บแก้มคนขี้หึงแล้วกระซิบข้างหูว่า


   

“รักแมว...ไม่เท่ารักคนหรอกนะ”


   


จริงๆ นะ





.



.



.



   
   




   

ถนนคนเดินช่วงหัวค่ำเต็มไปด้วยผู้คนทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ แสงไฟจากโคมไฟทรงพื้นเมืองหลากหลายสีสันส่องแสงสีนวลสว่างเห็นเป็นแนวไปตามท้องถนนยาวสุดสายตา เสียงดนตรีพื้นเมืองแว่วมาเป็นระยะแทรกกับเสียงของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าร้องเรียกลูกค้าเข้าร้านของตนระงม
 


มอเตอร์ไซค์คันนึ่งแล่นเข้ามาจอดบริเวณวัดหลวง ผู้ชายตัวเล็กที่เมื่อครู่เกาะเอวคนขับแน่นกระโดดลงจากรถ เมื่อรถจอดสนิทก็เข้าไปช่วยคนขับถอดหมวกกันน็อค ส่งยิ้มให้กันท่ามกลางแสงสลัว ก่อนจะเริ่มออกเดินมายังบริเวณร้านค้า มองเห็นฝูงชนบนถนนข้างหน้า คนข้างตัวก็หันมาถามด้วยเสียงเหย้าหยอกว่า

   

“คนเยอะขนาดนี้ แน่ใจว่าจะเดินไหวนะ?” เพราะรู้ดีว่าซันเป็นพวกชอบไม่ชอบความวุ่นวาย ...คนเยอะจนแทบจะอัดเป็นปลากระป๋องตั้งแต่ทางเข้าขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าข้างในคนจะมากขนาดไหน

   

“ปกติคงไม่...แต่วันนี้พิเศษละกัน” แล้วคำตอบนี้ก็ทำเอาคนถามดีใจยิ้มแก้มปริ
   
   

เดินข้ามถนนกำลังจะเข้าไปยังบริเวณส่วนต้นทางของถนนคนเดิน กลิ่นนมอุ่นๆ ที่ลอยตามลมมาก็ทำให้คนสูงเก่งก้างหันไปคว้าแขนคนตัวสูงใหญ่ จูงมือไปยังร้านรถเข็นข้างทางทันที

   

“นมจืดเย็น 1 นมหวานเย็น 1 ขนมปังนมเนยสองแผ่นครับ”

   

สั่งอาหารโดยไม่ได้หันมาถามกันสักคำ แล้วก็เดินไปนั่งโต๊ะ เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วก็ส่งยิ้มมาให้

   

“กินก่อนเข้าไปเดินดีกว่า เดี๋ยวคนแถวนี้โมโหหิวแล้วงอแงกลับ”

   
“ว่าคนอื่น ตัวเองหิวละซิเดือน” ซันๆ ผลักหัวคนที่ยักคิ้วหลิ่วตามาให้เบาๆ หนึ่งที


ระหว่างที่กำลังรอ มือปริศนาก็ผลักเข้าที่ศีรษะซันอย่างแรง

   

“เชี่ย!” หันไปกะจะเอาเรื่อง เจอไอ้กายหัวเราะเสียงดังใส่หน้าซะงั้น มันหัวเราะจนพอใจก็คว้าเก้าอี้พลาสติกจากโต๊ะใกล้ๆ มานั่งโต๊ะเดียวกัน “กูนั่งด้วย”

   

“หวัดดีกาย มาเที่ยวเหมือนกันเหรอ” เดือนทักเสียงใส
   

“หวัดดีคุณ อื้อ พาเด็กโข่งมาเที่ยวน่ะ” กายทำหน้าเหมือนจำใจมา แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเต็มใจ ทำหน้าแบบนี้ รู้เลยว่ามากับใคร ถ้าไม่ใช่... “แล้วไอ้แมนล่ะ” 
    

“หาที่จอดรถอยู่ ..เฮ้ย มึงรู้ได้ไงว่ากูมากับมัน” หันขวับมาจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง

   
“ไม่รู้ กูเดา” ยักไหล่ทำท่าทางสบายๆ ตอบ ไอ้กายยกมือขึ้นมาเกาแก้มตัวเองแก้เก้อ

   
“ตกลงมากับมัน?” เห็นมันเขินแล้วตลกเลยย้ำอีกครั้ง เดือนยิ้มมุมปาก

   
“เออ ...”  ทำท่าจะอธิบายยกเหตุผลยืดยาวแต่มีพนักงานเสิร์ฟยกอาหารที่สั่งมาให้เสียก่อน


   
“มาแล้ว นี่ๆ นมจืดของซันๆ” เดือนยิ้มร่า เลื่อนแก้วนมจืดเย็นมาตรงหน้า แล้วก้มลงดูดนมเย็นสีชมพูของตัวเอง ก่อนจะทำเสียง “อ่า..สดชื่น” ด้วยท่าทางน่ารักจนต้องเอามือไปขยี้ผมด้วยความมันเขี้ยว

   
“กายชิมหนมปังดู อร่อยมาก” คงนึกได้ว่ามีกายนั่งอยู่ด้วยเลยเลื่อนขนมปังปิ้งสีเหลืองกรอบราดด้วยนมข้นจนชุ่มให้

   
เสียงโทรศัพท์ของกายดังขึ้นก่อนมันจะลุกออกไปหน้าร้าน ไม่นานก็เดินเข้ามาพร้อมด้วยผู้ชายตัวสูงหนาเท่าๆกัน

   
แมนส่งยิ้มร่าให้ซันและเดือน ยกมือไหว้แล้วมองหาเก้าอี้นั่ง ซันชวนคุยเรื่องชมรมเสียก่อน เลยไม่ได้นั่ง เห็นกายลุกไปขอเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มาให้

   
“จะยืนอีกนานไหม” ผลักเก้าอี้ชนขาคนที่ยืนโม้อยู่ด้วยความหมั่นไส้
   
“โอ๊ะ ขอบคุณครับพี่กาย” ไอ้เด็กขี้โม้ก็หันมาส่งยิ้มขอบคุณแล้วนั่งลงคุยต่อ ไม่สนใจคนข้างกันเลยสักนิด “...แล้วที่นี้นะพี่ซัน ไอ้ดิวก็เสนอว่าให้ลองเปลี่ยนตำแหน่งของคนในทีมดูเผื่อจะเห็นแววเด็กใหม่บ้าง..”
   
“อืม..น่าสนใจนะ มึงตกลงกันว่าไงล่ะ” ยังไม่ทันที่แมนจะตอบ ไอ้กายก็รีบชิงพูดขึ้นมาก่อน

“..ตกลงกันไม่ได้นะสิ ...นั่นก็ไม่เอานี่ก็ไม่เอา โคตรของโคตรเสียเวลากูที่แวะไปเลย” 
   
“กำลังคิดต่างหากพี่กาย ..ผมก็เลยให้พวกมันไปตกลงกันนอกรอบพี่ รอดูพรุ่งนี้อีกที” ไอ้แมนแก้คำพูดของกาย ก่อนจะหันมายืนยันกับอดีตประธานชมรมฟุตบอล

“พรุ่งนี้ก็ตกลงกันไม่ได้ว่ะ มึงบอกคนที่มีปัญหาเลยนะว่าถ้าไม่เอาแผนนี้ก็ไปคิดแผนใหม่ที่ดีกว่านี้มา ....” ไอ้กายโดนพนักงานเสิร์ฟเบรกอีกครั้ง นมเย็นสองแก้วกับขนมปังปิ้งแยมสตอเบอร์รี่ คว้าแก้วน้ำสีหวานมาดูดแล้วหันไปบอกคนข้างๆ ว่า
   
“หวาน”
   

แมนละการปรึกษาจากซัน หยิบแก้วของตัวเองไปชิม ก่อนจะเลื่อนให้ “อันนี้หวานน้อยครับ” กายขยับตัวมาชิม “เออ งั้นกูกินแก้วนี้นะ”
   

“กินขนมปังด้วยนะพี่ กินนมตอนท้องว่างเดี๋ยวปวดท้อง” แมนเลื่อนจานขนมปัง จิ้มขนมปังในจานส่งให้ การกระทำของทั้งสองคนทำให้ซันถามทะลุกลางปล้อง

   

“ตกลงมึงคบกันแล้ว?” เดือนหัวเราะคิกคัก จิ้มขนมปังส่งให้คนถาม สองคนที่โดนถามชะงัก
   
   

“...คะ..ใครว่า ยังเว้ย” เป็นไอ้กายที่ส่งเสียงตะกุกตะกักขึ้นมาก่อน
   

“กำลังจีบครับ” ไอ้แมนบอกตามมายิ้มๆ ก่อนจะร้องโอดโอยเพราะโดนศอกไปเต็มๆ

   

“ฮ่าๆ ขอให้จีบติดนะน้องแมน” เดือนอวยพร และส่งสายตาล้อไอ้กาย “อันนี้ต้องขอกายช่วยด้วยเนอะ”

   

เห็นเดือนเงียบๆ แต่เอ่ยแซวสองคนนี้แต่ละที ทำเอาสองคนไปไม่เป็นเหมือนกัน

   

ไอ้กายรีบลุกออกจากร้านทันทีที่มันกินหมด ไอ้แมนหันมายกมือไหว้แล้วรีบวิ่งตามไป เดือนกันมาหัวเราะท่าทางตลกๆ ของแมนและกาย ชายหนุ่มสองคนออกมานอกร้าน จำนวนคนที่มาเที่ยวเพิ่มมากขึ้นจนแทบไม่มีที่ยืน



“กลับล่ะไหม” ซันถาม


“โห ไหนบอกวันพิเศษไง เดินก่อนนะ...นะ” ลากเสียงนะยาวอย่างออดอ้อน “นี่ คนเยอะเดี๋ยวจับมือไว้ไม่ปล่อยเลย ไปกันเถอะ”


สอดมือขาวประสานกับมือใหญ่แล้วออกเดิน สินค้าหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ทำมือ ของกระจุกกระจิก อาหาร เครื่องดื่ม ผักปลอดสารพิษ ขนมหวานสารพัดชนิดไม่ว่าจะเป็นของไทยหรือเทศวางขายละลานตาตลอดความยาวของถนน พวกร้านขายของจะไม่ได้รับความสนใจจากเดือนเท่าไหร่ แต่ร้านขายของกินนี่สิ ไม่พลาดเลยสักร้าน


 “ซันๆ กินข้าวโพดไหม” ข้าวโพดคลุกเนยส่งกลิ่นหอมฟุ้งเมื่อเดินมาถึง มีลูกค้าสองสามรายยืนอยู่ ซันส่ายหน้าตอบ แกว่งมือที่จับกันไว้มั่นเบาๆ เดือนทำหน้าเสียใจนิดหน่อยแต่ก็เดินต่อไป

 “หมูปิ้งป่าว” เจอร้านหมูปิ้งนมสดก็ถูกชายหนุ่มปฏิเสธเช่นกัน

“โหอะไร นี่ไม่หิวเลยเหรอ” คนที่ทำตัวเป็นเชลล์ชวนชิมเริ่มโอดโอย

เดินเข้าไปในซอยเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน เดือนรีบลากมือซันตรงไปยังร้านของคุณยายท่าทางใจดีที่กำลังพัดไฟในเตาถ่าน ก่อนจะวางแผ่นแป้งสีดำๆ ลงบนตะแกรง

“ข้าวปุ๊กดีกว่าเนอะ” อันนี้เป็นของถูกใจ ไม่ต้องรอถามความเห็น “ข้าวปุ๊กหวานน้อยสองชิ้นครับ” สั่งแล้วก็หันมายิ้มให้ “หิวแล้วอะ สงสัยขนมปังย่อยหมดแล้ว”


คนขายวางแผ่น ‘ข้าวปุ๊ก’ บนเตาไฟเพิ่มอีกชิ้น ข้าวปุ๊กทำมาจากข้าวเหนียวนึ่งสุกผสมกับงาดำ ตำจนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วแผ่ทำเป็นแผ่น ถึงเวลากินก็เอาไปทอดหรือปิ้งก็ได้ แต่ที่ขายตามร้านจะเป็นแบบปิ้งแล้วโรยด้วยน้ำอ้อยที่พอโดนความร้อนก็จะละลายกลายเป็นน้ำตาลข้นเหนียวหอมอร่อย


“หอมมากเลย” ได้ข้าวปุ๊กมา คนตัวเล็กก็รีบกินสมกับที่บอกว่าหิว พยายามขยับนิ้วเพื่อจะคลายมือที่กุมกันไว้ แต่อีกคนไม่ยอมปล่อย


“ซันๆ ปล่อยมือหน่อย กินไม่ถนัด” ซันไม่ตอบแต่กระชับมือแน่ขึ้น คล้องถุงหิ้วเข้ากับข้อมือจากนั้นใช้มือที่ว่างช่วยประคองข้าวปุ๊กของเดือน


“แบบนี้เขินแย่” เดือนหัวเราะ ปล่อยให้ซันช่วยถือข้าวปุ๊กเข้าปากด้วยความทุลักทุเล


“ก็บอกว่าจะไม่ปล่อยไง” เพราะกำลังกินของหวานหรือยังไงไม่ทราบ รอยยิ้มของอีกคนจึงดูหวานกว่าทุกครั้ง


“น้ำอ้อยเลอะ” ลิ้นสีชมพูพยายามเลียไปทั่วริมฝีปาก ซันหัวเราะแล้วใช้นิ้วโป้งเช็ดออกให้ ขณะที่เลื่อนมือกลับ แขนสีแทนก็ถูกมือขาวๆ คว้าไว้ ก่อนนิ้วโป้งนั้นจะถูกเจ้าของมือขาวดูดเลียน้ำหวานไปจนหมด
 


“อร่อยจัง” 



พูดจบก็กัดริมฝีปากยั่ว ซันหัวเราะแล้วขยี้กลุ่มผมสีเข้มจนหลุดลุ่ย



.


.



.



   

“พี่จะรีบไปไหน” เดินตามคนที่รีบจ้ำออกจากร้านมาติดๆ
   

“ไปข้างหน้า” พี่กายหันเสี้ยวหน้ามาตอบแล้วเดินต่อไปอย่างไม่มีท่าว่าจะหยุด ทั้งคู่เดินเข้ามาในส่วนผู้คนหนาแน่น เลยทำให้คนที่เดินตามต้องรีบทักเพื่อให้หยุดเดิน แต่กลายเป็นว่ากายเร่งฝีเท้าขึ้น และกำลังจะหายไปกลางฝูงชน

   

“เฮ้ย เดี๋ยวดิพี่”

   

ไม่บอกหรอกว่าทำตัวไม่ถูกเลยต้องเดินให้เร็วที่สุด เผื่อไอ้อาการหน้าร้อนๆ นี่จะเปลี่ยนมาเกิดเพราะความเหนื่อยแทนอย่างอื่น

   

หมับ!

   

เดินมาถึงช่วงที่ผู้คนบางตา ขณะที่กำลังลังเลว่าจะเดินตรงไปหรือเลี้ยวไปทางซ้ายดี มือแข็งแรงก็คว้าเข้าที่ไหล่
   

“มาด้วยกันก็ต้องเดินด้วยนะสิพี่...นะ” 
   

หันมาเห็นคนที่ตามมาทันเต็มๆ ตา อาการหน้าร้อนผ่าวก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง เก็กหน้าขรึมแล้วตอบไปว่า
   

“อืม”

   

เดินผ่านร้านเสื้อยืดที่ไม่มีคน แมนสะกิดคนข้างๆ “ไปดูเสื้อหน่อยนะพี่”

   

ร้านนั้นเป็นร้านเสื้อยืดสีดำลายการ์ตูนหลายเรื่องทั้งดิแอดเวนเจอร์ครบทีม แบทแมน สไปเดอร์แมน หรือไม่ว่าจะเป็นฝั่งการ์ตูนญี่ปุ่นอย่างวันพีช และครอบครัวซานริโอ้แขวนทั่วร้าน

   

“พี่กายชอบตัวไหน” ไอ้แมนเดินเข้ามาถามราคา ลองจับเนื้อผ้าแล้วก็พยักหน้ากับตัวเอง หันมาถาม

   

“กูชอบไอ้นี่” ชี้ไปที่ไอ้ตัวมีเขาชุดคุมสีเขียวทำเชิดๆ ถือไม้เท้าอยู่

   

“หือ ไหนๆ” ละมือจากแบทแมนหันมาดู “ตัวนี้โลกิพี่” บอกชื่อตัวละคร

   

“เออ นั่นแหละ ดูหนังมันกวนตีนดี”
   

“งั้นผมก็ต้องซื้อธอร์อะดิ” แมนชี้มือไปที่เสื้อยืดตัวข้างๆ ตัวการ์ตูนในชุดนักรบยุโรปโบราณในมือถือค้อนอันใหญ่
   

“ถ้าชอบก็ซื้อ ไม่เอาแบทแมนที่ดูเมื่อกี้ล่ะ”เมื่อกี้มันดูลายแบทแมนนี่หว่า
   

“ก็พี่ชอบโลกิอะ หรือผมจะซื้อโลกิดีวะ” ไอ้แมนทำท่าลังเลใจ ตัดสินใจไม่ถูก
   

“มึงอย่ามาแย่งของกู” รีบเอามือปัดมือแมนที่ทำท่าว่าจะคว้าเสื้อลายโลกิมาดู “มึงไปเอาลายอื่นเลย”
   

“ได้เหรอ?” ไอ้แมนหันมาทำหน้าดีใจ “ให้ผมซื้อธอร์ พี่ซื้อโลกินะ” ถามย้ำ ถอนหายใจเซ็งๆ ใส่หน้าคนถามที่ทำท่าตื่นเต้นดีใจเกินเหตุ

   
“ตัวเท่าไหร่พี่” หันไปถามราคาจากคนขาย
   

“ร้อยเก้าเก้าน้อง ถ้าเอาสองตัวพี่ลดให้ คิดสามร้อยห้าสิบ”  คนขายพูดแล้วส่งยิ้มการค้า
 

“ลดอีกหน่อยดิพี่คนสวย” ปากหวานขึ้นมาทันที

“นี่ลดเยอะแล้วนะน้อง พิเศษเลยเนี่ย”
   
“สองตัวครับพี่ ไซซ์แอล โลกิกับทอร์ครับ” กำลังจะต่อราคาลงอีก ไอ้แมนดันขัดขึ้นมาเอาเงินไปยื่นให้คนขายตัดหน้าไปซะงั้น หันมาทำปากจุ๊ๆ ให้เงียบอีก

   
ได้รับสินค้าก็รีบจูงมือคนที่เริ่มทำหน้าบึ้งออกจากร้าน เดินเร็วๆ ออกจากร้านไป

   
“หน้างอเลย กินไอติมไหม” ไม่พูดเปล่าหยุดหน้าร้านไอศกรีมโฮมเมด สั่งรายการครู่เดียวก็ยื่นถ้วยกระดาษที่มีไอศกรีมสีชมพูราดด้วยสตรอเบอร์รี่หลายลูกให้คนที่นิ่งเงียบไม่โวยวาย
   
“พี่กาย เดียวละลายนะ...นะ”
   

“ฮึ!” ทำเสียงในคอ แต่ก็รับไอศกรีมไปกิน
   
   
“นิดๆ หน่อยๆ น่าพี่กาย ไม่เป็นไรหรอก” เมื่อเห็นว่าไอศกรีมถูกกินไปกว่าครึ่งแล้วจึงพูดออกมา
   
“....” เงียบ
   

“คราวหลังผมจะรอให้พี่ต่อให้เสร็จก่อนแล้วค่อยจ่ายตังค์เลยเอ้า..ขอโทษนะครับ” ยืนก้มหน้าสำนึกผิด
   

“ไม่ใช่เรื่องนั้น”
   

“แล้วโกรธไรอ่า” เงยหน้าขึ้นมาสบตา
   

“ค่าเสื้อ กูจ่ายเอง” หยิบจากกระเป๋าสตางค์ยื่นให้ แมนไม่มีท่าทีว่าจะรับเลยทำเสียงจิ๊จ๊ะ
   

“ผมอยากซื้อให้อ่า” พูดอ้อนๆ ทำตาเศร้าๆ หน่อย

   

“ไม่!” ทำตาถลึงอีก เลยรับมาอย่างไม่เต็มใจ เริ่มทำหน้างอตามคนข้างๆ เลยพูดต่ออุบอิบ
   

“เลี้ยงไอติมก็พอละ” 

   

แค่นั้น..รอยยิ้มกว้างแสบตาก็กลับมาบนใบหน้าไอ้เด็กบ้าเหมือนเดิม


   

ตอนเดินกลับมาที่รถ แมนพูดคนที่กำลังจะนั่งซ้อนท้าย

   

“เสื้อที่ซื้ออะ พิเศษนะพี่”
   

“ทำไม ใส่แล้วปล่อยพลังได้หรือไง”
   

“ตลกละ มันเป็นเสื้อคู่ต่างหากเล่า ไว้ใส่ไปเที่ยวด้วยกันนะพี่กาย”
   

“มั่วละมึง” คนฟังหัวเราะในคอ
   
แมนสตาร์ทรถ กายขึ้นซ้อนแล้วออกรถ พูดต่อ
   

“ไม่มั่ว จริงๆ ธอร์กะโลกิอะเป็นแฟนกันรู้ปะ”
   


“ก็เชี่ยละมึง” ผลักหัวคนขับรถเบาๆ

   

“จริงจริ๊ง เหมือนผมกับพี่ไง ไม่เชื่องั้นกอดแน่นๆ เลยนะ” พูดจบก็เร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์ออกไปด้วยความเร็ว คนนั่งซ้อนไม่ทันได้เตรียมตัวก็คว้าเอวคนข้างหน้าสมใจคนเจ้าเล่ห์

   


“ไอ้เชี่ย แมนนนนนนน!!” 


--------------------------------------------
[25/01/2559]
อ่านตอนนี้จากหนาวๆ กลายเป็นร้อนผ่าวๆ ที่ตา 555555
ตอนหน้าจะจบแล้วน้า ฝากติดตามด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ <3
Lavender’s blue

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
Re: Just Love ❤ รักนะครับ (ตอนที่ 23) 25-01-2559
«ตอบ #75 เมื่อ25-01-2016 21:46:00 »

อิจฉาเดือนง่ะ ซันๆดูแลดี๊ดีย์

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
*เนื่องจากเรื่องนี้เขียนเมื่อสองปีที่แล้วซึ่งตอนนั้นตรงกับช่วงเทศกาลพอดีนำมาลงตอนนี้คงรู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง





Just Love รักนะครับ







24




   

ครืด! ครืด!

   


ตวัดสายตามองไปที่ต้นเสียงอย่างหงุดหงิด โทรศัพท์ของเดือนที่ตั้งระบบสั่นไว้วางอยู่บนเคาน์เตอร์กั้นระหว่างครัวกับห้องนั่งเล่น กำลังสั่นอย่างไม่รู้จักเหนื่อยตลอดเวลาเกือบชั่วโมงที่ผ่านมา


   

ทั้งไลน์เอย เฟซบุ๊คเอย และหลายสายที่โทรเข้ามาอย่างไม่หยุด ปรากฏเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ได้บันทึกชื่อเอาไว้หลายสิบสาย ซึ่งคนเหล่านั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากบรรดา ‘กิ๊กเก่า’ ของเจ้าของโทรศัพท์


   

แม้ว่าเดือนจะไม่เคยสนใจสิ่งเหล่านั้นเลยตั้งแต่คบกัน แต่เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดจริงๆ ให้ตายสิ!

   


ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้น เลื่อนปุ่มเล็กๆ ด้านข้างเพื่อให้เข้าสู่โหมดเงียบ เครื่องมือสื่อสารที่สั่นมาตลอดจนเครื่องร้อนก็นิ่งสนิท พอดีกับเจ้าของอาบน้ำเสร็จออกมาจากห้อง
   


“หน้ายุ่งเชียว”
   


ผมถูกเซ็ตมาอย่างดีแบบที่นานๆ ทีจะได้เห็นใบหน้าแบบเต็มๆ ตาซึ่งเจ้าตัวจะทำในโอกาสพิเศษเท่านั้น ดูขัดหูขัดตาอย่างบอกไม่ถูก

   

“โทรศัพท์น่ะ เยอะนะ”

   

ตอนแรกก็กะจะไม่บอก แต่พอสบดวงตาสีเข้มที่มองมาอย่างซื่อตรงแล้วปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งนั่นจุดรอยยิ้มกว้างบนหน้านวลผ่องทันที

   

“หึงเหรอ ดีใจจัง”


ส่งยิ้มตาปิดแล้วคนพูดก็เข้ามายืนใกล้ๆ ยกสองแขนขาวขึ้นคล้องคอ เขย่งตัวขึ้นกดจูบหนักๆ ที่ปลายคาง กระซิบริมใบหูหนา

   

“รักซันๆ ที่สุดเลย”

   

จับปลายคางของเดือนขึ้นมาให้มารับจูบร้อนแรงจนเดือนต้องบ่นออกมาเบาเพราะกลัวจะไม่ได้ออกไปเที่ยวกัน


   
   


ปลายเดือนพฤศจิกายนตะวันลับขอบฟ้าไวขึ้น ตอนนี้เพิ่งเลยเวลาหกโมงเย็นมาไม่กี่นาที แต่ถนนทุกสาย รถทุกคันกลับต้องเปิดไฟกันหน้าเพราะความมืดที่มาเยือนอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มสองคนขับรถมอเตอร์ไซค์คันเดิมออกจากหอพักใกล้มหาวิทยาลัย พอพ้นเขตมหาวิทยาลัยออกมาเข้ามาในตัวเมืองก็พบกับการจราจรที่เริ่มติดขัด แต่ด้วยรถมอเตอร์ไซค์ทำให้สามารถซอกแซกไปได้อย่างไม่มีปัญหา


อากาศเย็นๆ พัดผ่าน แม้ว่าทั้งคู่จะสวมเสื้อหนังสีดำสนิท สายลมเย็นที่บาดผิวทำให้คนนั่งซ้อนขยับเข้ามากอดเอวไว้แน่น ส่งมอบความอบอุ่นให้กันและกัน




“ซันๆ ดู สวย”



จอดรถแล้วกำลังเก็บหมวกกันน็อค เดือนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ชี้ชวนให้ดูบางอย่างบนท้องฟ้า  โคมลอยพัดลอยตามสายลม สีมะลังมะเลืองของเปลวไฟตัดกับสำดำสนิทของท้องฟ้ายามค่ำคืนลูกแล้วลูกเล่า ทั้งที่เป็นภาพธรรมดาที่พบเห็นได้ทุกปีในวันยี่เป็ง แต่ภาพที่เดือนบอกให้ดูวันนี้กลับให้ความรู้สึกอบอุ่น สวยงาม และน่าค้นหายิ่งกว่าปีก่อนๆ 







“ไอ้คุณ!”


ฝันตะโกนร้องเรียกมาแต่ไกลพร้อมโบกมือหยอยๆ จุดนัดพบของค่ำคืนนี้คือร้านอาหารกึ่งผับที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยต้นไม้นานาพรรณ พร้อมกับแสงไฟส่ายไหวให้บรรยากาศราวกับอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ฝันนั่งอยู่กับเพื่อนอีกสี่ห้าคน โต๊ะหลายตัวถูกลากมาต่อกัน ขวดเบียร์วางอยู่หลายขวดและของกินเล่นสามสี่จาน ช่วงเวลาหัวค่ำในคืนเทศกาลภายในร้านตอนนี้เพิ่งมีอยู่ไม่กี่โต๊ะและแทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าตกดึกจะแน่นขนัดขนาดไหน
 

“มาช้าอะมึง”

“ช้าอะไร มาก่อนเวลานัดอีก” ฝันยื่นแก้วไพน์เย็นเจี๊ยบให้ กำลังจะคว้ามือไปรับกลับโดนมือเล็กที่ดูบอบบางตีดังเพี๊ยะ!


เจ็บ!


“ให้ซันจ๊ะ .... มึงรินเองเว้ย” ว่าพลางส่งยิ้มหวานให้ซันๆ ซะงั้น เจ้าตัวก็ดันหัวเราะร่วนแล้วยกขึ้นจิบเฉย สองมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องร้องโอดโอยเพราะยังไงมันก็จะไม่ทำให้


“จะไปลอยกี่โมง” ยกมือทักทายเพื่อนคนอื่นกันเรียบร้อยก็หันกลับมาพูดกับไอ้ฝันต่อ
   

“ดึกๆ โน้นดิ เพิ่งทุ่มรีบเหรอมึง”

   

“เดือนมากินข้าวก่อนปะ” กำลังจะยกแก้วที่มีฟองฟอดขึ้นจิบ ซันๆ ก็เลื่อนจานข้าวสวยร้อนๆ เข้ามา เอ็นไก่ทอดกับคอหมูย่างวางพร้อม บอกขอบคุณก่อนจะลงมือกินอย่างไม่อิดออด
   

“คือดีงามอะ ซันๆ” จ้องเข้าไป หญิงสาวเพื่อนสนิทนั่งมองตาไม่กะพริบ
   

“ที่หยอดๆ น่ะ แฟนกูปะ” อีกคนก็ไม่สนอะไรนอกจากฟุตบอลบนจอมอนิเตอร์ตัวใหญ่
   

“อะไร กับเพื่อนมึงก็หึงเหรอ” ฝันหันมามองหน้า ถอนหายใจแบบเอือมระอาเต็มทน
   

“หึง” เดือนพยักหน้าตอบหงึกหงัก ทำเอาเพื่อนๆ ส่งเสียงโห่แซวทั้งโต๊ะ ซันๆ ที่พอรู้เรื่องก็ละสายตาจากจอโทรทัศน์ แล้วส่งยิ้มโชว์ลักยิ้มมาให้ นั่งจิบเบียร์ฟังเพลงกันไปเกือบสองทุ่ม ซันออกไปหาเพื่อนที่ร้านข้างๆ 

   

“เออมึง กูไปเจอเพลงหนึ่ง กูว่ามึงน่าจะชอบ”


   
ฝันขยับเข้ามาพูดด้วยเสียงอู้อี้ ใบหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์ของน้ำเมาที่ดื่มกันแบบไม่ยั้ง แต่ยังคงสติเต็มร้อย ลวงเอาโทรศัพท์ออกมา เลื่อนๆ อยู่สักพักก็เอามาจ่อหู



เพลงที่ได้ยินทำเอาเขายิ้มตาม ทั้งจังหวะ ทำนองและเนื้อเพลง



...มันใช่...ชอบอย่างที่ฝันบอกจริงๆ ด้วย

   

“เอ้า... นี่กูโหลดมาละ มึงเอาไปจัดการเลย” ฝันยื่นโทรศัพท์ให้แล้วลุกไปคุยกับคนอื่นๆ

   

กดส่งเพลงผ่านบลูธูท ตั้งเป็นเพลงโปรด และเสียงรอสายเรียบร้อยก็เปิดฟังไปพร้อมรอยยิ้มอย่างถูกใจไม่รู้กี่รอบ



...รู้สึกว่าถูกมอง เงยหน้าขึ้นไปก็มีจริงๆ ด้วย คนที่นั่งโต๊ะถัดไปชูแก้วพร้อมส่งยิ้มแบบสื่อความหมายมาให้ ไม่ได้ตอบอะไร ก้มหน้าฟังเพลงเหมือนเดิม รอยยิ้มที่หายไปเพราะถูกรบกวนก็ปรากฏขึ้นใหม่เมื่อได้ยินเสียงเพลงจากมือถือเครื่องเล็ก

   

“เดือน” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเหนือหัว เงยหน้าขึ้นมา พบว่าคนที่เรียกชื่อไม่ใช่คนที่รออยู่ ใบหน้าเปื้อนยิ้มจึงเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย
   

“ไม่ได้รู้จักกันอย่างเรียกชื่อนั้น” คนที่เข้ามาทักรูปร่างสูงใหญ่ รอยยิ้มที่ส่งมาบ่งบอกว่า ‘เคยรู้จัก’ กันมาก่อน ...แต่ก็นั่นแหละ จำไม่ได้หรอกว่าใคร
   

“เย็นชาจังนะ” ร่างใหญ่ยังคงตีมึน ไม่สะทกสะท้านกับคำพูดตัดเยื้อใย ...เข้ามาทักทายแต่ถูกปฏิเสธด้วยการก้มเล่นโทรศัพท์ราวกับไม่มีตัวตน
   

“ดีใจจังที่ได้เจออีก ตัดผมแล้วก็ยังน่ารักไม่เปลี่ยนเลยนะ”
   

“...................”
   

“ถึงจะบอกว่า one night stand ก็เถอะ แต่-“ โดนขัดขึ้นเสียก่อน

   
“พอเถอะครับ...ถ้าอยากเป็นเพื่อนก็ได้แต่ฐานะอื่นไม่ได้จริงๆ” สายตาว่างเปล่าถูกส่งมา ทำให้คนเข้ามาง้องอนถึงกับพูดไม่ออก สบตากับสายตาแน่วแน่แล้ว แม้จะเจ็บแต่ก็อดที่จะอยากรู้ไม่ได้จึงได้เอ่ยถาม
   

“บอกได้ไหมว่า ใคร...คนที่เป็นตัวจริงน่ะ”

   


เว้นจังหวะให้ได้มีเวลาพักหายใจ เรียบเรียงความคิดก่อนจะตอบไปว่า
   


“ไม่มีตัวจริงหรือตัวปลอมหรอกครับ...มีหนึ่งเดียวมาตั้งแต่ต้น”



จบประโยคด้วยรอยยิ้มหวานที่คนฟังนึกว่ายิ้มให้ตนเอง แต่เมื่อมองดีๆ ไล่ตามสายตาก็พบว่าส่งยิ้มให้คนด้านหลังที่กำลังใกล้เข้ามา หันกลับไปมองจึงเห็น ชายหนุ่มร่างสูงกำยำ ผิวสีเข้มคนหนึ่งส่งยิ้มสว่างตอบกลับมาให้...คนนั้นเอง เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของทั้งสองคนมีให้กัน คนนอกก็เหมือนถูกกันออกไปอยู่อีกโลกหนึ่ง

   

“หิวแล้ว...เหลืออะไรให้กินมั่ง” เขานั่งลงข้างเดือนที่ขยับให้ เลื่อนจานข้าวและกับข้าวหลายอย่างให้ทันทีที่คนนั้นพูดจบ

   

“เพื่อนเหรอ...หวัดดี”
   

เดือนส่งยิ้มให้ เหลือบมองมานิดหน่อย “เปล่า เพิ่งรู้จัก ... ซันๆ กินข้าวเร็ว เดี๋ยวไอ้พวกนั้นมาแย่งนะ”
   

“กินด้วยกันไหมครับ”
   

คนที่เพิ่งรู้จัก กล่าวขอบคุณก่อนจะรีบขอตัวลุกออกไป

   

“แปลกๆ นะ หรือยังไง” ซันเหมือนจะติดใจคนแปลกหน้าเมื่อกี้ไม่น้อย
   

“เมาแล้วมั้ง” ซันพยักหน้าเห็นด้วยแล้วก็ทานอาหารต่ออย่างไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก

   
   



เกือบสี่ทุ่มเมื่อเพื่อนๆ มากันเกือบครบแล้ว ฝันก็ออกนำทุกคนไปข้างนอก เดินผ่านร้านค้าต่างๆ ไปตามถนนประมาณห้าร้อยเมตร ก็เป็นท่าน้ำที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน  เสียงประทัดดังขึ้นเป็นครั้งคราว พร้อมกับเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจกลัว เดือนผวาตัวทุกครั้งที่เกิดเสียง ทั้งคู่เดินจับมือกันแน่น
   
   

“ซื้อแบบที่เป็นขนมปังหรือใบตองดี”

   

“ใบตองก็ได้มั้ง ป่านนี้ปลาคงหลับแล้ว หรือไม่ก็กินไม่ไหวแล้วแน่ๆ” ซันพูดติดตลกก่อนจะเดินไปซื้อกระทงใบตองมาตามความต้องการ

   

ขณะที่กำลังมองหาเพื่อนคนอื่นนั้น ฝันก็หันมาเจอพอดี มองกระทงในมือซันแล้วก็พยักหน้า

   

“ซื้ออันเดียวกันก็ดีนะ ซันๆ ฉลาดมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องกระทงหลงทาง อิอิ”

   

“ขอไฟแช็กหน่อย” ฝันเดินมาขอไฟ ส่ายหัวตอบ พอซันๆ บอกให้เลิกก็พยายามเลิกสูบจนตอนนี้เลิกได้แล้ว ซันๆ ยิ้มๆ มองมาก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบไฟแช็กออกมา
   

“เฮ้ย ทำไมมีล่ะ”
   

“เตรียมพร้อม” ซันๆ ยักคิ้วตอบ

   

เกือบห้านาทีแสงเทียนบนกระทงเล็กๆ ของกลุ่มเพื่อนก็ส่องสว่าง ทุกคนเงียบเพื่อขอขมาพระแม่คงคาและอธิษฐานขอพร

   

“เฮ้ยยยยยย รอด้วย” เสียงโหกเหวกโวยวายดังขึ้น และเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทุกคนหันไปมอง

   

“ไอ้เชี่ยกาย!!”


อย่าแปลกใจว่าทำไมกลุ่มเพื่อนๆ รู้จักกายหมด กายเป็นคนกว้างขวาง เคยไปช่วยงานสภานักศึกษาเสมอทำให้เป็นที่รู้จักของคนเกือบทั้งมหาวิทยาลัย ไม่เว้นคณะที่ค่อนข้างจะลึกลับอย่างวิจิตรศิลป์


กายหยุดหอบตรงหน้า สองมือเท้าหัวเข่า

“กูโทรมาไม่รับสักคน” บ่นโวยวายตามประสา
   

“แต่ก็มาถูก” ซันๆ ตอบโต้ ทำเอากายได้แต่ทำกรอกตา เพราะอับจนถ้อยคำ
   

“หวัดดีครับพี่” คนที่เดินตามมาทีหลังเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...แมน เด็กปีสองที่เข้ามาสนิทกับปีสามจนแทบจะนับเป็นกลุ่มเดียวกันอยู่แล้ว

   

“มาช้าว่ะพวกมึง ทำไรกันอยู่วะ” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยแซว มันจะไม่มีอะไรเลยถ้าอยู่ๆ กายไม่หน้าแดงขึ้นมาอย่างมีพิรุธกับแมนที่ยิ้มหน้าชื่นตาบาน รับคำโห่แซวล็อตใหญ่

   

ก่อนทั้งคู่จะหายไปซื้อกระทง จุดไฟ แล้วเราทั้งหมดจึงขอขมาและอธิษฐานพร้อมกันอีกครั้ง
   
   

กระทงใบตองทำท่าพลิกคว่ำพลิกหงายหลายหนเพราะความเชี่ยวของสายน้ำ คนลอยกระทงลุ้นอย่างใจหายใจคว่ำ กายหันซ้ายหันขวาคว้าไม้ไผ่ลำยาวที่ถูกทิ้งอยู่ข้างทางขึ้นมา ค่อยยื่นไปเขี่ยกระทงที่ลอยไปติดกอสวะเบาๆ ทีละกระทง จนกระทงของเราทั้งหมดถูกสายน้ำพัดพาไปโดยสวัสดิภาพ

   

“นึกว่ากระทงจะคว่ำซะแล้ว” ฝันพูดขึ้นแล้วก็ถูกเพื่อนผลักหัวอย่างแรง
   

“ปากเสียเถอะมึง กระทงพวกเราลอยไปอย่างดีเลยเว้ย”
   

“เออโทษทีๆ เห็นน้ำนิ่งๆ ที่ไหนได้ไหลแรงเหมือนกันนิหว่า”
   

“เอ้า ยังไม่จบอีก เดี๋ยวกระทงมึงได้คว่ำจริงๆ ฝัน” พอเพื่อนขู่มาอย่างนั้นฝันถึงได้ร้องขอโทษขอโพยเพื่อนๆ ใหญ่

   

“ที่กูมาช้าเพราะไปซื้อ ‘นี่’ อยู่ต่างหากเว้ย พวกมึง” ขณะที่กำลังจะกลับร้านกันนั้น กายพูดขึ้นพร้อมชี้มือไปที่รถตัวเองที่จอดอยู่ใกล้ท่าน้ำ แมนเดินไปหยิบกระดาษว่าววงกลมสีขาวขึ้นมา แล้วทุกคนก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ

   

“โคมลอย”

   

“เออ มาลอยโคม ลอยทุกข์ ลอยโศกกันเถอะ”
   

แมนค่อยๆ คลี่โคมลอยออกมาเป็นทรงกระบอก บริเวณปากโคมมีเชื้อเพลิงสำหรับจุดไฟพร้อมประทัดผูกเป็นสายไว้เรียบร้อย

   

“มาเร็ว” ทุกคนกรูเข้าไปจับโคมลอย ยืนล้อมเป็นวงกลมแล้วจับตัวโคมคนละมือ ซันๆ จุดไต้ แสงสีเหลืองนวลค่อยๆ ลุกแล้วเปลี่ยนเป็นเปลวไฟโหมแรง จนโคมลอยสีขาวเปลี่ยนเป็นสีสว่างของแสงไฟ
   

“จับไว้จนกว่าโคมมีแรงดันมากๆ จนจับไว้ไม่อยู่เลยนะ” เพื่อนคนหนึ่งพูดเตือนขึ้นมา
   

“เออ เมื่อกี้เห็นคนปล่อยก่อนที่โคมลอยจะพร้อมด้วย เกือบติดสายไฟ”
   

“ดีที่มาลอยนอกเมือง ไปตกในแม่น้ำนะ อย่าไปตกในที่ของใครล่ะ”
   


ถกเรื่องข่าวที่ทางการขอไม่ให้ปล่อยโคมในพื้นที่เมืองเรื่อยมาถึงปัญหาเศรษฐกิจเงินเฟ้อ กำลังจะไปเรื่องปัญหาวัยรุ่นเสียตัว ฝันก็ขัดขึ้น
   

“เริ่มได้ที่แล้ว อธิษฐานเร็วๆ”
   

โคมลอยที่จับไว้ปล่อยไอร้อนออกมาจนแทบจะจับไว้ไม่ไหว รู้สึกตึงๆ เพราะโคมใกล้จะลอยขึ้นเองได้แล้ว จนในที่สุดโคมลอยก็ร้อนมากจนจับไม่ไหว กายนับ หนึ่ง สอง สาม แล้วทุกคนก็ปล่อยมือ

   


โคมลอยลูกนั้นลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลืนไปกับโคมลอยใบอื่นอีกหลายสิบลูกที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้ายามค่ำคืน พัดไปตามกระแสลม สีส้มของโคมลอยตัดกับสีขาวพราวพร่างของดวงดาว เมฆก้อนใหญ่ลอยผ่านไปเผยให้เห็นพระจันทร์วันเพ็ญส่องแสงเหลืองนวลเด่น   

   


“ขอให้ได้มาลอยกระทงกับเดือนทุกๆ ปี”

   


ซันๆ เข้ามากระซิบ กดริมฝีปากเข้ากับขมับอย่างเร็วๆ ขณะที่ทุกคนเงยหน้ามองโคมที่ลอยสูงขึ้นไปจนสุดสายตา กระซิบตอบไปว่า “เหมือนกัน”



   

เดินกลับมาที่ร้านก็พบว่าคนแน่นจนแทบจะเดินไม่ได้อย่างที่คาดการณ์ไว้ ดื่มกันอีกนิดหน่อยแล้วก็ขอตัวกลับเพราะวันพรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้า

   

“แวะไปอ่างแก้วหน่อยไหม”
   

“ผ่านก็พอมั้ง ง่วงแล้ว” เอาหน้าถูกแผ่นหลังกว้าง ซันหัวเราะบอกรับทราบก่อนจะออกรถไป
   


เสียงประทัดดังแว่วมาจากระยะไกล อ่างแก้วในคืนลอยกระทงสว่างไสวแสงไฟหลากสีถูกประดับประดาอย่างสวยงาม เสียงเพลงจังหวะสนุกสนานดังกลบสำเนียงเสียงธรรมชาติไปหมด รถเข็นหลายสิบคันจอดอยู่บนถนน คนทั่วไปและนักศึกษาเดินกันขวักไขว่
   


“ไม่จอดเนอะ” ซันๆ เอี้ยวตัวหันมาบอก กระชับวงแขนกับเอวสอบ วนรถรอบอ่างแล้วงจึงตรงกลับที่พัก



.


.



.




   


“เดือน อาบน้ำ”
   

“อืม เดี๋ยว”
   

บอกรอบที่สาม ได้ยินมาสามเดี๋ยวล่ะ อดไม่ได้เยี่ยมหน้าเข้าไปมอง หน้าจอมือถือไม่ได้แสดงอะไรพิเศษนอกจากหน้าจอที่แสดงว่ากำลังเล่นเพลงอยู่เท่านั้น

   

กำลังจะเอื้อมมือมาดึงหูฟังออก เดือนก็ดันขยับตัวลุกขึ้น ไปเตรียมตัวอาบน้ำซะก่อน
   

ใช้เวลาไม่นานเดือนก็เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมร้องเพลงหงุงหงิงในคอ

   

“วันนี้ร้องเพลงด้วย?”

   

“อารมณ์ดีน่ะ”


หันมาตอบก่อนจะจัดการกับกระปุกครีมตรงหน้ากระจกเพราะเข้าสู่ฤดูหนาว ผิวบอบบางของเดือนและซันจึงแตกลอกเป็นขุย แสบเวลาโดนน้ำ แม่ๆ แวะมาหาเมื่อสัปดาห์ก่อนพร้อมกระปุกครีมบำรุงหน้าสารพัดชนิดที่บังคับแกมขู่ให้ทั้งคู่ใช้อย่างสม่ำเสมอ พอแต่งตัวเสร็จแทนที่จะเข้ามาอ้อนเหมือนทุกวัน ไอ้ตัวเล็กกลับเดินไปหยิบมือถือมาเล่นต่อเฉย เสียบหูฟังด้วยนะ

   

จากที่ทำเป็นอ่านหนังสือในมือ ซันค่อยวางหนังสือลงบนโต๊ะญี่ปุ่นบนพื้นช้าๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีสนใจเลยก็ลุกขึ้นขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ จนมายืนอยู่หลังคนที่มัวแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ พอได้ระยะก็กดริมฝีปากจูบต้นคอขาว
   


เดือนสะดุ้งสุดตัวเพราะถูกจู่โจมแบบไม่รู้ตัวกะทันหัน เมื่อเห็นว่าเดือนหันมาแต่ยังไม่เลิกสนใจโทรศัพท์ก็ใช้ริมฝีปากของตัวเองงับเข้าที่สายหูฟัง ออกแรงดึงเบาๆ หูฟังข้างซ้ายก็หลุดออกไม่รอให้เดือนโวยวายก็เข้าจูบใบหูเล็ก
   


“ฮือ...”
   


ส่วนอ่อนไหวที่ถูกรุกรานทำเอาเดือนตัวอ่อนยวบ พยายามหันตัวหนีแต่ก็ไปไหนไม่ได้เพราะถูกกันไว้หมดแล้วทุกทาง

   

“ซันๆ เดี๋ยวก่อน”

   

สายหูฟังด้านขวาก็ถูกดึงออกด้วยวิธีการเดียวกัน ซุกไซร้ริมฝีปากจากใบหูลงมายังแนวกรามต่อไปยังต้นคอก่อนจะออกแรงเม้มเบาๆ ที่ฐานคอพอให้ผิวซีดขึ้นสี

   

“ทำอะไรอยู่”  ปล่อยให้คนที่พยายามหาทางมุดออกจากวงแขนแกร่งได้พักหายใจบ้าง
   


“..ฟะ ..ฟังเพลง ..ฮือ..” ก่อนจะเริ่มรุกรานทีละนิดจนกว่าพอใจ
   
   


“เพลงอะไร..สำคัญกว่าซันเหรอ”

   


ไม่ได้เป็นประโยคคำถาม พอร่างเล็กจะตอบคำตอบก็ถูกกลืนหายไปในลำคอพร้อมๆ กับริมฝีปากอุ่นจัดทาบทับลงมา ....นาทีนี้อะไรๆ ก็ไม่สำคัญเท่าคนตรงหน้าอีกแล้ว

   


ริมฝีปากอุ่นจัดมอบจูบร้อนแรงทว่าเรียกร้อง และออดอ้อนมาให้ ร่างเล็กตอบกลับไปด้วยความร้อนแรงที่ไม่ต่างกัน อุณหภูมิในห้องพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ สองมือหนาช่วงชิงในยามที่อีกฝ่ายเผลอปลดเอาโทรศัพท์ตัวปัญหาโยนไว้บนพรมหน้าโต๊ะกระจก เดินหน้ารุกคนตัวเล็กจนหงายหลังลงไปบนเตียง

   


เส้นผมสีดำสนิทกระจายบนผ้าปูที่นอน ดวงตาสีเข้มส่งประกายสุกใสวาบหวาม ริมฝีปากเป็นสีแดงก่ำเพราะถูกบดเบียดด้วยความเอาแต่ใจเมื่อครู่

   

เดือนยกสองแขนขึ้นสูง กดริมฝีปากล่าง กระซิบเสียงพร่า “มากอดหน่อย” เท่านั้นเอง ก็เปลี่ยนความคิดของซันที่หมายจะถามเรื่องที่เดือนเอาแต่เล่นโทรศัพท์ไปทันที

   


ร่างกายของคนตรงหน้ายังคงหอมหวานเหมือนครั้งแรกที่ได้ลิ้มรส ผิวกายซีดแต่ก็เนียนละเอียดทุกส่วนที่สัมผัส กล้ามเนื้อเล็กน้อยตามลำตัว แผ่นอกตึงเรียบ สองมือซุกซนที่ปัดป่ายไปตามร่างกายของเขา ใบหน้าแดงก่ำด้วยกามารมณ์ แรงตอบรับจากการรับเขาเข้าไปทั้งตัว เสียงกระเส่าแหบพร่า ทุกอารมณ์ ทุกความรู้สึกของเดือนที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดความอิ่มเอิบใจแก่เขาอย่างที่ไม่เคยเกิดกับใครมาก่อน
   




...เดือน ....เติมเขาเต็มทุกครั้ง
และเขาเชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป


    

เดือนนอนซบอยู่บนอกข้างซ้าย ใบหูขาวเอียงฟังเสียงจังหวะหัวใจ

   

“เมื้อกี้ฟังเพลงอะไร” ถามสิ่งที่ยังคงค้างคาใจ

   

“หืม?..” เสียงแหบพร่าของเดือนดังขึ้น “อย่าบอกว่าที่หึงตะกี้คือ..เพลง..เหรอ?”

   


“ก็ไม่สนใจซันเลยนี่” หึงเพลงจริงๆ นั่นแหละ หรือจะให้จริงที่สุดก็คือทุกอย่างที่ทำให้เดือนไม่สนใจเขา
เขาที่เป็นที่หนึ่งของเดือนเสมอมา

   

“..ฟอด..” เดือนยกตัวขึ้นมาหอมแก้ม ก่อนจะขยับตัวลุกไปสวมเสื้อนอนของเขา ไม่ต้องใส่กางเกงชายเสื้อยาวลงมาถึงต้นขา ก้มไปหยิบโทรศัพท์ที่ถูกโยนไว้แถวๆ พื้นขึ้นมา

   

เสียบหูฟังเข้าที่เขาหนึ่งข้าง เดือนฟังเองหนึ่งข้าง “ฟังดีๆ นะ” บอกยิ้มๆ ก่อนจะกดเล่นเพลง

   


เสียงกีตาร์ทำนองสดใสร่าเริงดังอย่างแผ่วเบาก่อนจะมีเสียงแหบหวานของนักร้องหญิง Elizabeth Mitchell ดังขึ้นตามจังหวะ
(เพลงประกอบ https://www.youtube.com/watch?v=1moWxHdTkT0)





You are my sunshine, my only sunshine
You make me happy when skies are grey
You never know, dear, how much I love you
Please don't take my sunshine away


      


ดวงตะวันหนึ่งเดียวในห้อง ส่งยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยิน

   


I'll always love you and make you happy
If you will only say the same
But if you leave me to love another,
You'll regret it all one day





You are my sunshine, my only sunshine
You make me happy when skies are grey
You never know, dear, how much I love you
Please don't take my sunshine away

Please don't take my sunshine away






เสียงเพลงจบลงไปแล้ว ระหว่างเขาทั้งสองไม่มีคำพูดใดๆ เกิดขึ้น ดวงตาที่มองสบกันนั้นมีน้ำตาคลออยู่ในหน่วยตาทั้งคู่
ซันๆ โน้มใบหน้าลงมาใกล้จนปลายจมูกชนกัน





“You are my sunshine, my only sunshine
You make me happy when skies are grey
You never know, dear, how much I love you
Please don't take my sunshine away

….Please don't take my sunshine away”





เดือนร้องเพลงนี้ออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา มันดังก้องไปในห้องที่เงียบสงัด ดังก้องมาจากหัวใจดวงเล็กที่เต้นกระหน่ำและหวังว่ามันจะดังก้องเข้าไปในหัวใจดวงโตของคนฟัง












“You are my moonlight, my only moonlight
You make me happy when I see you
You never knew, ‘DEOUN’, How much I love you
Please trust me, love me, my moonlight”






ซันกระซิบแผ่วเบาตอบมาด้วยเสียงกระซิบที่ดังไปถึงหัวใจ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลด้วยความซาบซึ้ง ทั้งๆ ที่คิดว่าจะเอาเพลงนี้มาให้ซันๆ ซึ้งแท้ๆ แต่อีกฝ่ายกลับทำให้เขาซึ้งกว่าเสียอย่างนั้น




ดวงตาสีนิลของซันเป็นประกายวาววับสะท้อนในห้องสลัว
ก่อนที่ริมฝีปากของทั้งคู่จะสัมผัสกันอย่างแนบแน่น เสียงทุ้มกระซิบอย่างอ่อนหวาน




“I love you, with all my life…”






ซันจูบซับน้ำตาไว้ทุกหยด
กระชับอ้อมกอดลูบหลังเล็กที่สั่นไหว





กระซิบข้างหูตลอดคืนไม่ขาด







“รักนะครับ”


   






ซัน ดวงตะวันที่สดใสในยามเช้า ให้ความร้อนแรงยามกลางวัน ส่งมอบความอบอุ่นให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ขับไล่ความเหน็บหนาว ขจัดความมืดมิด นำพาแสงสว่าง และเป็นความหวังของทุกคน




เดือน พระจันทร์ที่สวยงามในคืนวันเพ็ญ เยือกเย็น อ่อนหวาน ทว่าโดดเดียว ในหนึ่งเดือนมีเพียงหนึ่งวันเท่านั้นที่พระจันทร์เต็มดวง ผู้คนพากันชี้ชวนให้มองพระจันทร์วันเพ็ญ จะมีใครกี่คนที่รู้ซึ้งถึงคุณค่าของพระจันทร์ในคืนเดือนแรม 






เพราะตะวันแผดแสงแรงกล้าทุกเมื่อเชื่อวัน แม้ในวันของคืนเดือนแรม ความอบอุ่นที่แผ่ออกมานั้นทำให้เพราะจันทร์ขี้เหงาตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่าจะมีหมู่ดาวน้อยใหญ่เข้ามาเกี้ยวพาราศีในคืนวันเพ็ญอย่างไร พระจันทร์ก็ยังคงซื่อสัตย์มั่งคงต่อดวงตะวันเสมอไปในทุกค่ำคืน







ขอให้ตะวันและเดือนอยู่เคียงคู่กันเสมอไป





The End


------------------------------------------
[28/01/2559]
เพลงประกอบ You are my sunshine – Elizabeth Mitchell เป็นเพลงที่ฟังปุ๊บคิดถึงคู่นี้ทันทีเลยค่ะ //โบกป้ายไฟ ซันๆ<3เดือน
ตอนจบแล้วขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาโดยตลอดนะคะ *กอด*
 :mew1:
Lavender’s blue

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :pig4:

ร้องไห้ให้กับเดือน

เขียนดีมากค่ะ รอตามอ่านเรื่องใหม่นะคะ

(ตอนแรกนึกว่าเดือนจะไม่ได้ลงเอยกับซันซะแล้ว)  :katai1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ DE SaiKuNee

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-9

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Jthida

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
เรื่องนี้คือดีงามนะเนี้ยะ ชอบๆ

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0


Just Love รักนะครับ






ตอนพิเศษ 1



   


เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้นพร้อมกับการเฮโลของนักเรียนจากห้องเรียนสู่สนามฟุตบอล บนทางเดินอาคารเรียนชั้นห้าเด็กชายผิวสีเข้มรูปร่างสูงเก้งก้างเพราะเพิ่งเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนต้น เดินออกมาจากห้องเรียนด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อยต่างจากคนอื่นที่เร่งรีบลงอาคารให้ไวที่สุด

   


“ไอ้ซัน ไปเตะบอลกัน” เสียงตะโกนจากโก้เพื่อนร่วมห้อง ทำให้เจ้าของชื่อพยักหน้าแล้วชูสมุดบันทึกการเรียนเล่มใหญ่ให้ดู
   
   

“จองให้กูด้วย เดี๋ยวเอาบันทึกฯ ไปส่งก่อน”



เพื่อนโก้ยกมือทำท่ารับทราบแล้วรีบวิ่งลงบันไดจากไป เวลาไม่นานทางเดินบนอาคารเรียนก็ว่างเปล่า ห้องเรียนที่เคยมีเสียงดังโหวกเหวกกลับเงียบสงัดจนได้ยินเสียงฝีเท้า เสียงโห่ฮาดังขึ้นให้ได้ยินเป็นระรอกจากสนามหญ้าด้านล่าง มองไปจะเห็นนักเรียนทุกระดับชั้นชุมนุมกันอยู่อย่างครึกครื้นกับลูกบอลหลายลูกที่กลิ้งไปตามแรงเตะบนพื้นหญ้า

   

เด็กชายตะวันเดินไปยังบันไดทางทิศตะวันตก ลงมายังชั้นสี่แล้วจึงเดินไปทางทิศเหนือผ่านห้องชมรมต่างๆ ระหว่างทางเดินไปทางเชื่อมอาคารหนึ่งเพื่อส่งบันทึกการเรียนที่เขาถืออยู่ในมือ บรรยากาศของชั้นสี่ต่างจากชั้นห้า นักเรียนกระจายอยู่ทุกห้องชมรมมากบ้างน้อยบ้างตามความสนใจ


ความร้อนและแสงแดดจ้ายามเย็นที่ส่องเข้ามากินพื้นที่กว่าสองในสามของระเบียงทางเดินทำให้เขาต้องรีบเดินกว่าปกติ แต่เมื่อผ่านห้องชมรมศิลปะก็ผ่อนฝีเท้าลง พร้อมกับเหลือบสายตามองเข้าไปในห้องที่มีนักเรียนบางตากว่าห้องอื่นๆ ที่ผ่านมา

   


อยู่ตรงนั้น กำลังง่วงอยู่กับการผสมสีน้ำบนจานสี ในมุมที่เขามองเห็นนั้นแสงแดดสีส้มจัดยามเย็นส่องกระทบร่างขาวซีดพอดีทำให้ร่างนั้นราวกับเปล่งแสงด้วยตัวเอง ผมสีดำสนิทเป็นประกายสว่างยามต้องแสงอาทิตย์ ผมที่ทัดไว้ข้างหูเผยให้เสี้ยวหน้าด้านข้างและแก้มเนียนใสซึ่งในยามปกติเจ้าตัวจะปล่อยผมปรกไว้เสมอ ริมฝีปากยกน้อยๆ ที่มุมปากเพราะได้ทำในสิ่งที่ชอบ เพียงแค่รอยยิ้มเล็กๆ นั่นก็ทำให้ใบหน้าติดจะเฉยชาเสมอสดใสขึ้นมาทันตา

   

ขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปหา รุ่นพี่คนหนึ่งกลับเรียกอีกฝ่ายขึ้น ร่างสูงใหญ่ของเด็กมัธยมปลายโน้มตัวลงมาพูดอะไรบางอย่างที่ข้างหูเล็ก มันน่าโมโหตรงที่นอกจากจะไม่หลีกหนีปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้มากๆ แล้ว กลับส่งยิ้มหัวเราะไปกับฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย

   

ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมอยู่ๆ ถึงอารมณ์เสียกับภาพเพื่อนสนิทของตนเองที่มีท่าทีร่าเริงกับคนอื่นนอกเหนือไปจากยิ้มหัวเราะให้เขา



ตึง!




จังหวะที่เดินจากมาปลายเท้าชนเข้ากับขอบประตูเสียงดังเรียกความสนใจจากคนในห้องมาที่แหล่งกำเนิดเสียงทันที




“ซันๆ!”

 

นพคุณเรียกชื่อเขาเสียงดัง ก่อนจะลุกขึ้นก้าวเร็วๆ มาหา พร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างที่เขามั่นใจว่าไม่มีใครได้รับแน่นอนช่วยปัดเปาอารมณ์ขุ่นมัวเมื่อครู่ลงได้บ้าง



“จะกลับแล้วเหรอ” คนตัวเล็กกว่าเดินเข้ามาถาม


“ยัง เอาบันทึกฯ ไปส่งห้องปกครองก่อน อยากกลับแล้ว?”




ทั้งที่อยากจะใจแข็งไม่ตอบคำถามเพราะโมโหที่ไปทำตัวสนิทสนมกับไอ้รุ่นพี่คนนั้นแท้ๆ แต่พอเห็นรอยยิ้มนี้แล้วก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้

   

“ก็ถ้าซันๆ จะกลับแล้วก็กลับ” พอได้ยินคำตอบนี้เขาต้องกดมุมปากไว้ไม่ให้หลุดยิ้มออกมา
   

“ขอแตะบอลก่อนงั้น” รอยยิ้มยังคงแตะแต้มใบหน้าเล็ก อารมณ์หงุดหงิดก็หายไปจึงอารมณ์ดีพอที่จะกลับไปเตะบอลตามที่นัดไว้กับเพื่อนได้อย่างสบายใจ
   


“อืม เลิกแล้วโทรมานะ รออยู่บนนี้แหละ”
   

“เปิดเสียงโทรศัพท์ด้วย ไปละ”
   
   


ย้ำเจ้าของโทรศัพท์อีกครั้งหมุนตัวออกเดินไปสองสามก้าวก็นึกขึ้นได้ หันไปบอกเพื่อนสนิทต่างสีผิวที่ยืนส่งเขาอยู่ยังไม่กลับเข้าห้อง
   
   


“ไอ้พี่หนุ่มน่ะ นิสัยไม่ดี เดือนอย่าไปสนิทกับมันล่ะ”

   

รีบเดินหนีปล่อยนพคุณยืนงงอยู่หน้าห้องชมรมศิลปะไว้เบื้องหลัง




.


.


.

   

“ช้าว่ะมึง” เพื่อนโก้ทักเมื่อเขาวิ่งเหยาะๆ ลงสนาม

   

“เอาบันทึกฯ ไปส่งไง” โยนกระเป๋านักเรียน ถอดเข็มขัดแล้วชายเสื้อนักเรียนสีขาวก็หลุดออกมาจากกางเกงสีน้ำเงินสด

   

“ไม่ใช่ว่าแวะไปคุยกับคุณเหรอ” ไอ้จ๊อบที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยพร้อมหลิ่วตาล้อๆ

   

“แล้วไง”




โดนล้อจนชินแล้วล่ะเรื่องเดือนกับเขาน่ะ ช่วงขึ้นมัธยมหนึ่งแรกๆ เขามองว่ามันเป็นเรื่องน่าอายและหงุดหงิดทุกครั้งที่ถูกล้อ เพื่อนเลยยิ่งพูดแซวกันใหญ่จนพอถึงปีนี้มัธยมสองเขากลับมองว่าดีแล้วที่เพื่อนล้อจนเป็นที่รู้กันทั่วโรงเรียน เพราะนั่นทำให้ปริมาณช็อคโกแล็ต ลูกอมและดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์ของเดือนลดลงไปบ้าง แม้จะแค่ห้าหกชิ้นก็ตาม

   


“ไม่มีไรคร้าบบบ เอ้าไอ้นัทออกล่ะ มึงลงเลยประธาน”

   
   


   
   


ผลัดกันเตะผลัดกันนั่งพักจนรู้ตัวอีกทีท้องฟ้าต้นเดือนธันวาคมเวลาหกโมงเย็นก็มืดสนิทเสียแล้ว ร่างสูงผอมเก้งก้างก็ขอตัวเพื่อน คว้ากระเป๋านักเรียนที่โยนทิ้งไว้ข้างสนามวิ่งเข้าไปในอาคารเรียน ระหว่างรีบขึ้นบันไดแต่ละขั้นมือก็ค้นกระเป๋าหาโทรศัพท์มือถือไปด้วย


   

2 Missed Call
   


Deon  1
   
Mom 1

   


โทรศัพท์ขึ้นสายที่ไม่ได้รับสองสาย เบอร์หนึ่งเป็นของแม่สุดที่รัก อีกเบอร์เป็นของเดือนเพิ่งโทรมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

   


เขากดโทรกลับไปหาแม่ก่อนเพื่อที่จะบอกว่ากลับบ้านค่ำ ไม่ต้องรอทานข้าว แม่ก็รบเร้าให้กลับบ้านทันทีจนต้องบอกว่าจะหาข้าวเย็นทานข้างนอกกับเดือน แม่ถึงจะยอมวางสายไป

   


ขึ้นบันไดมาถึงชั้นสี่พอดี หลอดไฟจากบันไดทำให้เห็นทางเดินอาคารมืดสนิทยาวออกไปเหมือนไม่สิ้นสุด เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นกระเบื้องดังเป็นจังหวะ มันดังก้องไปในความเงียบที่มืดสนิท แสงสว่างหนึ่งเดียวในชั้นมาจากปลายทางเดินอีกฟากหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกแย่ก็คือ แสงนั้นส่องสว่างออกมาจากห้องชมรมศิลปะ ไม่บอกก็รู้ว่าเดือนยังคงคอยเขาเหมือนที่บอกไว้เมื่อเย็นไม่ผิด

   

“เดือนกลับบ้านกะ--”

   

ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้เขาชะงัก คนที่เขาเรียกนอนฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ศิลปะทั้งหลอดสี พู่กัน ม้วนกระดาษทั้งวาดแล้วและยังไม่ได้ใช้ ที่ทำให้เขาสะดุดคือร่างหนาของรุ่นพี่ที่ชะโงกเหนือร่างที่นอนอยู่ต่างหาก

   

เมื่อเห็นมีคนเข้ามาในห้อง เด็กหนุ่มสะดุ้งก่อนจะหันรีหันขวาง ยิ่งเห็นสายตากดดันจากรุ่นน้องผิวสีเข้มเลยยกมือขึ้นเกาแก้ม
   


“เอ่อ ... หวัดดีซัน” เอ่ยทักทายแก้เก้อ

   

“พี่หนุ่มจะทำอะไร” ถามออกไปด้วยเสียงกระชาก
   


“ปะ..เปล่า พี่แค่จะมาปลุกเดือนเฉยๆ” บอกปฏิเสธในตอนต้นแต่ก็ทนสายตาคมไม่ได้จึงรีบหาข้อแก้ตัวที่แม้แต่คนพูดเองก็ยังรู้ว่าโกหก 
   



“อย่าเรียกชื่อนั้น”

   


ตะวันเดินเข้ามาประชิดตัวรุ่นพี่ สองมือกำแน่นข่มความโมโห ชื่อเล่นของนพคุณที่ทุกคนรู้จักในโรงเรียนคือ ‘คุณ’ ชื่อ ‘เดือน’ นั้นเป็นชื่อสำหรับคนในครอบครัวเท่านั้น ครอบครัวเล็กๆ สองครอบครัวที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ นอกจากพ่อแม่แล้ว คนที่ยอมให้เรียกว่า ‘เดือน’ ก็มีเพียงเขา ‘ซันๆ’ คนเดียวอย่างที่เขายอมให้เดือนเรียกเหมือนกัน

   

“อ่า..พี่ไม่ตั้งใจ”

   

“พี่หนุ่ม..เป็น ‘พี่ชาย’ ที่ดีอยู่แล้วครับสำหรับ ‘คุณ’ ” ขีดเส้นสถานะให้ชัดเจน คนฟังจะได้รู้เสียทีว่าควรทำ ไม่ควรทำอะไรบ้าง

   

“หึ...เตะไม่ได้เลยนะคนนี้” หนุ่มรุ่นพี่ขยับตัวเดินไปหยิบกระเป๋านักเรียน จังหวะที่กำลังก้าวออกประตู เขาหันมาบอกคนที่ยืนนิ่งอยู่ว่า

   



“ยังไงซันก็ดูแลคุณไม่ได้ตลอดหรอก”  ทิ้งคำพูดไว้ให้เขาเจ็บใจเล่น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเขารู้ดีว่าหากเจ้าตัวไม่ยินยอมให้ปกป้องแล้ว ต่อให้ขังเอาไว้ เดือนก็จะดึงดันดิ้นรนออกไปจนได้

   

คิดดังนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาแรงๆ ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ คนที่หลับสนิท หยิบการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ขึ้นมาทำ รอเวลาให้คนขี้เซาตื่นขึ้นเอง

   

“อื้ออออ” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด คนนอนหลับสนิทก็ขยับตัว หน้าผากย่นเป็นรอยแดงเพราะถูกกดทับไว้เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง

   

“อ่า ซันๆ ไม่ปลุกล่ะ” กะพริบตาถี่ๆ เห็นเพื่อนนั่งทำการบ้านรอข้างๆ แล้วก็บ่นออกมา

   

“เสร็จพอดี กลับเถอะ”


ขีดเส้นใต้ข้อสุดท้ายเก็บของใส่กระเป๋า แล้วลุกไปยืนรอตรงสวิตช์ไฟ รอให้เดือนหยิบกระเป๋าออกไปรอหน้าห้องแล้วปิดไฟ เดินลงบันไดไปพร้อมกัน สนามหญ้ายังมีนักเรียนหลายคนแตะฟุตบอลกันอยู่ประปราย เพื่อนสองสามคนตะโกนบอกลาเมื่อสองคนเดินผ่าน

   

“หิว” เมื่อเดินออกมาหน้าโรงเรียน เดือนกระตุกชายเสื้อ ชี้นิ้วไปทางร้านหมูปิ้ง
   

“นอนหลับแล้วยังหิวอีกนะ” เดินไปหยุดหน้าร้านหมูปิ้ง แล้วหันมาถามเพิ่ม “ข้าวเหนียวไหม” ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหัวจนผมกระจายเพราะเจ้าตัวปากไม่ว่าง คว้าหมูปิ้งไปกินทันทีที่คนขายใส่ถุงยื่นให้

   

“กินบะหมี่ไหม” ระหว่างยืนรอรถเมล์ คนตัวเล็กที่เงียบมาตลอดทางเพราะง่วนกับการกินหมูปิ้งก็พูดขึ้น

   

“อืม” 

   


ร้านบะหมี่รถเข็นตั้งอยู่อีกฝากของถนน บะหมี่หมูแดงส่งกลิ่นหอมโชยมาพร้อมกับกลิ่นกระเทียมเจียว ทำเอาคนที่ยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เที่ยงท้องร้อง ตะวันมองซ้ายขวา เดินเร็วๆ ผ่านหน้ามอเตอร์ไซค์ไปยืนกลางถนนได้สำเร็จ เขาข้ามไปอีกเลนไม่ได้เพราะรถวิ่งตลอดไม่มีจังหวะให้ก้าวไป



หันไปมองข้างๆ หมายจะคว้ามือของคนที่ข้ามถนนไม่เป็นเพื่อวิ่งข้ามไปยังร้านบะหมี่ก็เพิ่งรู้ตัวว่าเขาข้ามถนนมาลำพัง หันหลังกลับไปเห็นเดือนส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาให้จากอีกฟากถนน 



“ข้ามมาเลย”


กวักมือเรียกคนที่ไม่กล้าข้ามถนนให้เดินตามมา เดือนก้าวขากล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ไม่ยอมข้ามสักที เขาหันกลับไปได้จังหวะรถว่างจึงรีบเดินข้ามถนนไปฝั่งร้านบะหมี่ทันที ทางม้าลายที่ข้ามกันนี้ไม่มีไฟสัญญาณกดให้คนข้าม ต้องข้ามด้วยตัวเองแต่ทั้งที่อยู่ตรงทางม้าลายแท้ๆ กลับไม่มีรถคันไหนหยุดให้คนตัวเล็กข้ามเลยสักคัน




ตะวันยืนกวักมืออยู่หน้าร้านบะหมี่ เดือนก็ได้แต่ส่ายหน้าไม่ยอมเดินข้ามถนนมา เขาจึงหันไปสั่งบะหมี่สามชาม กำลังจะนั่งรอให้อีกฝ่ายข้ามมาเอง คุณลุงที่นั่งทานบะหมี่อยู่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดหัวเราะขึ้นมาแล้วกระเซ้าว่า “ต้องข้ามกลับไปรับแล้วมั้ง ไอ้หนู”




 

ปรี๊น!!!
       
   


ไม่ทันขาดคำเสียงแตรรถก็ดังขึ้น เด็กหญิงที่ทานบะหมี่อยู่โต๊ะข้างกันสะดุ้งแล้วร้องไห้จ้า ใจของคนฟังหล่นไปที่ตาตุ่มเมื่อเห็นว่าเดือนยืนตัวแข็งอยู่หน้ารถเก๋งเจ้าของเสียงแตร เจ้าของรถเปิดหน้าต่างออกมาตะโกนต่อว่า ร่างผอมจึงก้มหัวขอโทษขอโพยแล้วกระโดดขึ้นไปยืนบนทางเดินเท้าที่เดิม

   

เขาลุกขึ้นวิ่งมองซ้ายมองขวา ทำมือหยุดรถวิ่งข้ามถนนไปยังร่างที่ยืนอยู่

   

“เดือน!”

   

“ซันๆ” มือของเดือนเย็นเฉียบ คงจะตกใจไม่น้อย ฝ่ามือเริ่มกำแน่น ลมหายใจเริ่มสะดุดเป็นช่วงๆ
   


“ไม่เป็นไรแล้วๆ ซันๆ มาแล้ว อยู่กับเดือนแล้วนะ ขอโทษครับ ขอโทษนะ”

   


ถูฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันจนร้อนแล้วลูบไปตามแขนเรียวเล็กทั้งสองข้าง บีบย้ำๆ บริเวณฝ่ามือให้คลายตัว ปากก็พูดขอโทษซ้ำๆ

   


“เดือนดูโน้นๆ บนฟ้าๆ มีอะไร หายใจเข้า....หายใจออก” ลูบหลังพลางบีบนวดพลาง ชี้ไปยังท้องฟ้าสีเข้มด้านบน ก้อนเมฆใหญ่ถูกสายลมพัดลอยไป เผยให้เห็นจันทร์เสี้ยวสีเหลืองนวลเด่น

   

“พระ—จันทร์ ฮะฮา” ลมหายใจของเดือนยังคงติดขัด
   

“สวยไหม พระจันทร์สวยไหม”   
   

“สะ—สวย” บีบมือเป็นจังหวะให้เดือนหายใจตาม
   

“จริงเหรอ ...แล้วสวยเท่า ‘เดือน’ นี้ป่าว”
   

“ฮื้ออออ มะ—ใช่ละ ซะ-ซันๆ” เดือนสะบัดมือไปมาเองได้แล้ว มองหน้าเขาเป็นตัวประหลาด
   

“เป็นไง ดีขึ้นหรือยัง”
   

“อื้อ” เดือนยังคงต้องค่อยๆ หายใจแต่ก็ดีขึ้นมาก

   

“ขอโทษนะ”
   

“ไม่เอาแล้วนะ” ดวงตากลมใสต้องแสงไฟแวววาว

   

“ครับๆ ขอโทษ”

   


รอจนเดือนหายใจเป็นปกติ พร้อมแล้วก็คว้ามือผอมขาวมากุมไว้แน่น ก้าวลงไปยืนบนถนน รถยนต์วิ่งผ่านไปมาราวกับไม่เห็นนักเรียนสองคนที่ยืนจะข้ามถนนบนทางม้าลายแม้แต่น้อย ตะวันยกมือขึ้นห้ามรถเก๋งสีขาวที่แล่นมาช้ากว่าคันอื่น โค้งตัวเป็นการขอบคุณที่หยุดรถให้ดึงมือเดือนตามมาหยุดกลางถนน มองซ้ายขวาเตรียมตัวจะข้าม โชคดีที่แท็กซี่หยุดให้ก้มหัวขอบคุณ พาเดือนข้ามฝั่งมายังร้านบะหมี่ได้อย่างปลอดภัย

   

คุณลุงที่นั่งทานบะหมี่อยู่ส่งยิ้มให้ แม่ค้ารีบตักน้ำซุปใส่ชามบะหมี่แล้วยกมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว “กินเยอะๆ นะ ป้าให้พิเศษ”
   
   

“ขอบคุณครับ” กล่าวขอบคุณแล้วลงมือรับประทานบะหมี่ร้อนๆ ทันที หมดไปหนึ่งชาม เงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเดือนมองเขาอยู่ก่อนแล้ว บะหมี่ในชามพร่องลงไปเล็กน้อย

   

“เป็นอะไร ไม่หิวเหรอ” ขยับชามที่สองเข้ามาใกล้ คีบหมูแดงใส่ชามอีกฝ่ายเป็นการเอาใจ “เอ้า...ให้หมูแดง กินได้แล้ว”

   


“ขอบคุณนะซันๆ” ส่งรอยยิ้มเบาๆ ที่มุมปาก เหงื่อชื้นตามไรผมจนเจ้าตัวต้องเอาผมทัดหูทั้งสองข้าง รอยยิ้มแบบนี้ทำให้ใบหน้าผ่องละมุนขึ้น ตรึงสายตาคนมองได้มากกว่ารอยยิ้มกว้างอย่างที่เห็นประจำเสียอีก

   

“รีบกินเลย..แม่น้องโทรตามแล้ว”

   


คืนนั้นกว่าทั้งสองคนจะถึงบ้านก็เกือบสี่ทุ่ม เขาโดนแม่บ่นงึมงำ โชคดีที่คิดถูกนั่งรถแท็กซี่ไปบ้านเดือนก่อน และให้แม่น้องขับรถมาส่งที่บ้านอีกที ไม่อย่างนั้นนอกจากเรื่องกลับบ้านดึกแล้ว เขาคงโดนว่าเรื่องทำให้เดือนเหลวไหลไปด้วยแน่ๆ


   


เวลาห้ามทุ่มกว่าเขาปิดไฟเตรียมตัวจะนอนแล้ว แต่แสงสีนวลที่ส่องสอดเข้ามาทางหน้าต่างข้างเตียงก็ดึงดูดให้เขาเดินไปหา เงยหน้าขึ้นไปเห็นพระจันทร์เสี้ยวดวงเดียวกับเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาใครบางคนชมว่าสวย

   


เขามองยังไงพระจันทร์สีนวลนั้นก็สวยไม่เท่าใบหน้างบอ้อยของเพื่อนสนิทยามต้องแสงเดือนเมื่อหัวค่ำจริงๆ



…………………………………..

[29/01/2559]
คิดนานมากว่าตอนพิเศษของสองหนุ่มจะเป็นช่วงไหนดี กลับไปอ่านดูแล้วรู้สึกไม่ค่อยได้เขียนถึงความผูกพันของสองคนนี้มากเท่าไร เลยเลือกช่วงม.ต้นที่สองคนกำลังจะปรับตัวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนต้นมาให้อ่านกันค่ะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์ค่ะ ดีใจที่มีคนชอบนะคะ <3<3
 :กอด1:
Lavender’s blue <3

ออฟไลน์ nokkaling

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
เสียดายจบซะแล้ว

 :pig4:

น้องเดือนกับซัน ดูแลกันไปตลอดนะครับ

ออฟไลน์ pogpax

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
มุ้งมิ้งน่ารัก

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :katai2-1:   แน่นอน. เดือนไหนจะสวยงามเท่าเดือนของซันล่ะ
ขอบคุณมากเลยค่ะ

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ Wendy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0


Just Love รักนะครับ






ตอนพิเศษ 2




   


“นั่นๆ ไอ้เดียว โยนสูงๆ หน่อย”




เสียงแหบห้าวตะโกนจากข้างสนามพร้อมกับออกท่าทางเตะอากาศประกอบคำพูด ทำเอาคนที่ยืนอบอุ่นร่างกายอยู่ข้างๆ หันไปยิ้มกับท่าทางเกินจริงนั่น



“ส่งเลย เออดี! ไอ้วัชรรีบขึ้นมาเด้ โธ่ เตี่ยมึงเป็นเต่าหรือไงว้า ให้ไวหน่อยดิวะ” ว่าแล้วก็ใช้มือขยี้ทั้งหัวจนผมยุ่งกระจาย บ่นงึมงำกับตัวเอง คิ้วขมวดยู่ คนที่มองอยู่หลุดขำออกมา สายตาคมตวัดจ้องเขม่ง


“ขำกูนะไอ้สัด!”


รีบหุบยิ้ม แต่ก็ทำไม่ได้ ตอบไปตามจริง “ก็พี่ตลก”



กายจ้องตาไอ้เด็กบ้าที่หัวเราะเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปสนใจสนาม แต่ยังไม่วายบ่นกับตัวเองทำปากขมุบขมิบไปตามความเคยชิน ....จ้องตาสู้ไม่ได้ เรื่องด่าในใจนี่ชนะแน่นอน



“พอผมลงแล้ว มองผมคนเดียวก็พอแล้วนะพี่” ลมหายใจของอีกฝ่ายปะทะเข้าที่หลังใบหู สะดุ้งสุดตัวหันกลับไป ปลายจมูกก็เฉียดเข้ากับแก้มที่เอียงรออยู่ก่อนแล้ว



ปึก!



กำปั้นซัดเข้าที่อกเต็มๆ คนโดนยังมีหน้ามายิ้มตาปิดให้อีก ไม่เจ็บใช่มะ ได้เลย...



“เย็นนี้ ขอรางวัลด้วยนะครับ”



กำลังจะง้างมือซัดอีกรอบ ไอ้ตัวดีก็รีบบอกก่อนจะวิ่งไปยืนใกล้ๆ กรรมการรอเวลาเปลี่ยนตัว



วิศวะนำอยู่ 2 - 0 คิดว่าจะชนะก็ขอไปเหอะ!



แมนลงสนามไปแล้ว ทิ้งให้รุ่นพี่ยืนมองการแข่งขันอยู่ลำพัง น่าแปลกที่ท่าทางเกินจริงตั้งแต่เริ่มเกมหายไป เหลือเพียงท่ายืนกอดอกมองไปที่ผู้เล่นคนหนึ่งนิ่งๆ พร้อมรอยยิ้มมุมปากที่เจ้าตัวคงจะไม่รู้สึก




มันกล้าขอ เขาก็กล้าให้ว่ะ. . . ถ้าชนะ





.


.



.

   


แมนเดินหน้าหงอย เข้ามาหาหลังจากหมดเวลา 90 นาที 

   

“แพ้อะพี่กาย”

   

ดวงตาสีดำสนิทที่ปกติจะแพรวพราวอยู่เสมอหม่นแสงลง แมนเดินเข้ามาใกล้ระยะเอื้อมถึง สบตากันสักพักแล้วก้มหน้าไป

   

“เล่นกีฬาก็งี้ ผลัดกันแพ้ชนะ”

   

ผลเป็นไปตามคาด วิศวะชนะไป 2-1 หนึ่งลูกที่ตีไข่แตกเกิดจากการยิงประตูของไอ้แมนที่มาตีหน้าเศร้าอยู่ตรงหน้านี่แหละ

   

“ปะเลี้ยงปลอบใจ มึงอยากกินไร” พูดออกไปอีกเมื่อคนที่ก้มหน้านิดๆ ยังไม่มีท่าทีดีขึ้นจากคำพูดปลอบใจข้างบน

   

“พี่กายจะเลี้ยง” ไอ้แมนทำหน้าประหลาดใจสุดๆ แปลกตรงไหนวะ

   

“เออ หรือไม่กิน”

   

“กิน! ไปกินหมูกระทะกันนะพี่”
   

เท่านั้นแหละ ไอ้คนที่ทำหน้าเป็นหมาป่วยก็กลับมาดี๊ด๊า หูตั้งหางกระดิกเหมือนเดิม


   





“พี่กายจะเลี้ยงเหรอ ไปด้วยดิ!” ไอ้อ้นผู้รักษาประตูดันหูดีได้ยินเข้าพอดีก็รีบเสนอหน้าเข้ามา
   
“ไม่!” ไอ้แมนหันไปผลักหัวเพื่อน ท่าทางของพวกมันทำให้ตอนนี้คนอื่นเริ่มสนใจมากขึ้น
   
“โหไรวะมึง ให้พี่กายเลี้ยงมึงคนเดียวได้ไงหะ พี่พาผมไปด้วยดิ นะ” อ้นบ่นเพื่อนแล้วหันมาประจบ เสียงของมันดังขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ไอ้พวกที่เหลือเริ่มส่งเสียงชักชวนกันไปกันวุ่นวาย

   
“พวกมึงจะไปกินเหล้าไม่ใช่หรือไง” ไอ้แมนหันไปโวยวายกับเพื่อน

   
“เปลี่ยนใจละ กูอยากกินหมูกระทะ”
   
“ใช่ๆ อากาศเย็นๆ แบบนี้ไปกินหมูกระทะดีกว่า”
   
“พวกกูทำลายสุขภาพทุกวัน วันนี้อยากรักสุขภาพบ้าง”



และอีกหลายตีกันจนฟังไม่เป็นภาษา สุดท้ายไอ้แมนขบเขี้ยวเข่นฟันบอกเพื่อน “อย่าเห็นใครแดกเหล้านะมึง!”  แล้วต้อนเขาไปขึ้นรถมอเตอร์ไซด์ก่อนจะขับออกไปยังร้านหมูกระทะด้วยความเร็ว


   



 

“หงุดหงิดไรเยอะแยะ”
   


ถึงร้านหมูกระทะ ไอ้แมนเดินไปอาหารจนล้นโต๊ะแล้วนั่งกินงุดๆ ไม่สนใจเพื่อนๆ มันที่เข้ามาชนแก้วบ้าง ชวนคุยเรื่องบอลที่เพิ่งเตะไปเมื่อครู่บ้างเลยแม้แต่น้อย
   

เหลือบตามขึ้นมามองแต่ไม่ตอบ สนใจพลิกหมูสามชั้นมากกว่ากูหรือไง! ยังดีที่พอหมูสุกได้ที่มันคีบมาใส่ถ้วยให้ไม่งั้นมีเฮ

   

“แมน” ลงเสียงหนักแล้วลากหางเสียงยาวๆ

   

“พี่กายกินผักบุ้งด้วยนะ” ก่อนที่มันจะคีบผักสีเขียวเข้มที่ต้มจนสุกมาใส่ถ้วย เขารีบเอามือป้องถ้วยของตัวเองไว้
   

“ไม่กิน!”
   

“เอ๋ พี่ไม่กินผักเหรอ” ทำไมรู้สึกเหมือนโดนมันว่า
   

“แค่ผักบุ้งเว้ย”
   

“นี่ล่ะครับ” ใช้ตะเกียบชี้ไปที่ผักอีกชนิดสีเขียวๆ บนกระทะ
   

“ไม่” ไอ้แมนทำแก้มป่อง ตาโต ชี้นิ้ววนๆ รอบกระทะ “ในกระทะนี้ทานผักอะไรครับ”
   



มองลงไปบนกระทะที่ส่งควันร้อนๆ หอมฉุย ด้านบนเต็มไปด้วยหมูสามชั้น หมูหมักพริกไทยดำ เบคอน ปลาหมึก กุ้งตัวจิ๋วกำลังเริ่มเป็นสีส้ม ข้างๆ คือส่วนของน้ำซุปผักใบเขียวครองพื้นที่เกิดครึ่ง หนึ่งส่วนเป็นพืชสีขาวที่น่าจะเป็นกะหล่ำกับเห็ด ลูกชิ้นกับปูอัดสองสามชิ้นลอยอยู่ข้างๆ

   

“นี่ กับ นี่”  ชี้ไปที่พืชสีขาว
   


“เห็ดกับกะหล่ำนะ เดี๋ยวผมไปหยิบเพิ่มให้” ว่าแล้วแมนก็ลุกไป ...เหมือนก่อนหน้าที่จะมาเรื่องที่เขาทานหรือไม่ทานผักอะไร ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้นี่หว่า...

   


“พี่กาย ยกหน่อยนะพี่” ไอ้เดียวยื่นแก้วน้ำสีเหลืองอำพันมาให้ ก่อนจะนั่งลงที่นั่งของไอ้แมน พวกนักฟุตบอลนั่งอยู่อีกฝากของร้านซึ่งต่อเป็นโต๊ะยาว ไอ้แมนไม่สนใจเพื่อนมันเดินมานั่งคนละฝั่งของร้านจนได้
   

“ยกให้น้องหน่อยนะพี่” มันพูดย้ำเมื่อเห็นว่าเขายังไม่ได้ดื่ม
   

“ไม่ยกมาทั้งขวดวะไอ้เดียว แก้วเดียวจะพอไร”
   

“ไว้ไปกินด้วยกันโต๊ะโน้นดิพี่”
   

“บอกเพื่อนมึงดิ” ตอนที่มันลากเขามานี่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ปล่อยให้มันลากตามใจ
   

“แน่ะ เดี๋ยวนี้มีต้องถามกันด้วย” ไอ้เดียวยักคิ้วหลิ่วตาเป็นเชิงล้อเลียนมาให้
   

“เดี๋ยวมันงอแง” ไม่ได้ดั่งใจแล้วเดี๋ยวทำหน้าเป็นตูดอีก
   


“ดูจะไปได้ดีนะพี่”
   


คำถามเรียบๆ จากอีกฝ่ายทำให้เขาหยุดคิด เดียวเป็นเพื่อนสนิทแมน ไม่แปลกใจที่มันจะพอรู้เรื่องเขาอยู่บ้าง ถามว่า...ไปได้ดี...ไหมเหรอ มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้หรอก
 
   

“อืม”
   
   


“ของมันแน่นอนอยู่แล้วเว้ย!”
   


สะดุ้งเพราะอยู่ๆ ก็มีเสียงดังตะโกนขึ้นมาข้างๆ หู แมนโน้มตัวข้ามเก้าอี้มาวางของโดยที่สองแขนของมันคร่อมตัวเขาไว้ มองเผินๆ เหมือนโดนกอดไว้ข้างหลังชอบกล กลิ่นเหงื่อลอยจากท่ามกลางกลิ่นควันไฟ

   

“ทำหวงไปได้” เดียวหัวเราะกับท่าทางตลกของเพื่อน
   

“เยอะไปละ” เขาหันไปบอกไอ้ตัวฉวยโอกาสที่ตอนนี้เอาคางวางบนไหล่ สายตาจ้องเขม็งไปที่เพื่อนสนิทของตัวเอง ...พอเห็นว่าไม่ว่าอะไรนี่เอาใหญ่

   

“มึงมานั่งดีๆ” บอกแล้วก็ยังเฉยเลยยกมือขึ้นบีบไหล่กว้าง
   

“โอ้ย พี่กายอ่า อีกนิดเดียวจะครบสิบวิแล้วแท้ๆ” ไอ้แมนกระฟัดกระเฟียดมานั่งข้างๆ

   

“เอ้ามึง”ไอ้เดียวกลับไปใส่เหล้ามาอีกแก้วยื่นส่งให้แมน ไอ้แมนยิ้มกว้างแล้วยกซดรวดเดียวหมดแก้ว
   

“พวกมึงนี่กินกันโหดไปไหมวะ” เคยไปกินกับรุ่นพี่ตอนปีหนึ่งปีสองตอนนั้นเขายังกินเหล้าไม่เป็นด้วยซ้ำ เพิ่งเคยเห็นไอ้แมนมันกินเหล้าจริงๆ ก็วันนี้ ปกติไม่เคยสังเกต
   

“ฮ่าๆ นี่ยังเบาๆ ครับ”   
   

“ไปโต๊ะโน้นได้แล้วมั้งมึง” เหมือนเหล้าแก้วนั้นจะทำให้ไอ้แมนดีกับเพื่อน มันสบตาเป็นเชิงถาม เขาก็บอกยังไงก็ได้ สุดท้ายก็เลยย้ายโต๊ะไปรวมกัน


เพื่อนกลับมาดีกันแล้วคิดว่าเป็นไงครับ ไอ้แมนยกไปหลายสิบแก้ว จนตอนนี้ฟุบไปล่ะ เหลือเขากับเพื่อนมันอีกสองสามคนที่มีรถยนต์ไว้ ใช่ว่าไม่อยากกินนะ แต่ตอนที่เริ่มกึ่มๆ ไอ้แมนมาขอ เลยต้องเป็นคนเก็บศพมันไป  ..เห็นว่าวันนี้แพ้บอลหรอก
   

   

“พี่กายไหวป่าวเนี่ยพี่ ห่าแมนก็แดกไม่ดูเลย” ไอ้เดียวช่วยพยุง ไอ้แมนที่เมาเละมาส่งที่รถมอเตอร์ไซค์
   

“ไหวๆ มึงไปเถอะ เดี่ยวกูรอมันสร่างแล้วจะพากลับ”
   


ถึงขนาดร่างกายจะไม่ต่างกันมาก แต่แรงของคนเมานี่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เกิดพามันขึ้นรถกลับ แล้วดิ้นขึ้นมากลางทางนี่แย่แน่

   


ทิ้งไอ้แมนลงนั่งบนม้านั่งสักพัก ไอ้เดียวก็ขอตัวกลับ สายลมยามเย็นยามค่ำคืนโชยมาคลายความร้อนจากแอลกอฮอล์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายได้บ้าง หันไปมองไอ้แมนที่ตอนนี้หลับสนิทเกิดความหมั่นไส้ เอามือตบหน้าผากมันไปแรงๆ หนึ่งที
   

ป้าบ!
   


นอนนิ่งสนิท ถ้ารู้ว่ามันเมาแล้วหลับสนิทขนาดนี้ จับมอมเหล้าแล้วทำร้ายร่างกายมันไปนานล่ะ จมูกน่ะ โด่งมาใช่ไหม บีบแน่นๆ ให้มันขายอากาศ ตายไปเลย ฮะฮะฮะ

   

“ฮึม” คนเมาสะบัดหน้าหนีเมื่อถูกรบกวนหนักขึ้น
   
   

“รีบสร่างเร็วมึง ง่วงจะตายแล้ว” นาฬิกาบอกเวลาตีสองกว่าๆ ร้านหมูกระทะปิดไปแล้ว แสงไฟริมถนนส่องให้เห็นโครงหน้าของอีกฝ่ายรำไร เดินไปซื้อน้ำเย็นจัดที่ร้านสะดวกซื้อพร้อมยาแก้แฮงค์ จากนั้นจัดการราดน้ำเข้าที่ใบหน้าของอีกคนเมาเต็มๆ

   

“เฮ้ย!”
    
   

ไอ้แมนสะดุ้งสุดตัวกระโดดขึ้นยืน พร้อมสะบัดหน้าไปมา มันมองซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าใครสาดน้ำก็ถามเสียงอ่อน
   

“สาดผมทำไมอ่าพี่”
   

“สร่างแล้วขึ้นรถ กูง่วงละ” โยนถุงของที่ซื้อมาให้ แล้วเดินไปติดรถมอเตอร์ไซค์รอ

   

“เอ้าเร็ว ไม่ไปกูทิ้ง” ไอ้แมนยังคงมึนๆ อยู่หน่อย พอได้ยินประโยคนี้ก็รีบมาซ้อน รถมอเตอร์ไซค์วิ่งไปบนท้องถนนกลางดึกที่เงียบสงัด ไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงหอพักของเขา

   


เดินเข้าไปอาบน้ำ ทิ้งคนเพิ่งสร่างเมาไว้ในห้องลำพัง แมนมองถุงพลาสติกในมือ เปิดดูพบว่ามีน้ำเปล่า ยาแก้แฮงค์ นม แล้วก็ขนมปังอีกสองสามชิ้น
   


เขาเอานมกับขนมปังใส่ตู้เย็น ก่อนจะกินยา เดินไปนอกระเบียงมองท้องฟ้ายามค่ำคืน อากาศเย็นๆ กับสายลมอ่อนๆ ทำให้อาการปวดหัวเพราะดื่มเหล้าหายไปเกือบจะเป็นปกติ

   


ล้วงกระเป๋าหยิบบุหรี่ออกมาคาบไว้ในปาก ควานหาไฟแช็กตามตัวแต่ไม่เจอ
   



ฟุบ!
   
   


กลิ่นสบู่บางเบาหายไป แทนที่ด้วยกลิ่นบุหรี่ลอยฟุ้งไปในอากาศ นิ้วเรียวคีบบุหรี่เข้าปาก พ่นควันสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่ข้างๆ กัน ...มาตั้งแต่เมื่อไหร่

   


“หันมาสิ” เสียงทุ้มกล่าวขึ้น หันไปมองก็พบว่าคนที่เข้าไปอาบน้ำสวมเสื้อกล้ามกับกางเกงบอลยืนเท้าแขนกับระเบียง มือหนึ่งคีบบุหรี่ อีกมือเคาะไฟแช็กเล่น เขาขยับตัวเข้าโน้มใบหน้าลงด้วยคิดว่าอีกฝ่ายจะจุดไฟให้
   
   

กลิ่นสบู่อ่อนๆ ทำให้เขาลืมตาขึ้นและพบว่าใบหน้าของพวกเขาอยู่ใกล้กันเกินไป จังหวะหัวใจเต้นผิดปรกติ ขณะที่กำลังคิดจะถอยห่างมือของอีกคนก็คว้าลำคอของเขาไว้ ริมฝีปากบางฉกเข้ามาใกล้ กัดเบาๆ ให้เผยปาก แล้วปล่อยควันที่อัดแน่นเข้ามาช้าๆ

   

“ฮึ่ม” จนหมดลมหายใจอีกฝ่ายก็ผละออก ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุม ดื่มด่ำบรรยากาศกึ่งดิบกึ่งอ่อนหวานไว้จนพอใจแล้วจึงเอ่ย

   

“เมื่อกี้ เป็นรางวัลหรือเปล่าครับ”
   

“คิดว่าไง” ไม่หันหน้ามาตอบแต่กลับหยิบบุหรี่ขึ้นสูบ เขาคว้ามืออีกฝ่ายไว้ทันก่อนมวนบุหรี่จะสัมผัสริมฝีปากของเจ้าตัว
   

“คิดว่ายังไม่ใช่ครับ”
   



กระซิบชิดริมฝีปากแล้วแนบลงไปสนิท กดแช่ไว้ก่อนจะเริ่มขยับ กลิ่นนิโคตินกับริมฝีปากอุ่นๆ ปลุกอารมณ์ดิบขึ้นมาช้าๆ กัดริมฝีปากล่างแล้วดึงเบาๆ ก่อนจะส่งลิ้นไล้รอบขอบปาก ไม่มีท่าทีที่จะรุกรานเข้าไปจนอีกฝ่ายเริ่มขยับตัวออกถึงได้คว้าลำคอแกร่ง ส่งนิ้วไล่ไปตามแนวกราม นวดลูกกระเดือกพอเผลออ้าปาก ลิ้นร้อนก็ไม่รอช้าเข้าไปกวาดต้อน ตักตวง และท้าทายทันที

   

บุหรี่ในมือกายร่วงลงกับพื้นเพราะมือที่คีบไว้ปล่อยทิ้งอย่างไม่ใยดี กลิ่นแอลกอฮอล์ผสมกลิ่นบุหรี่ตีกันคลุ้ง สองมือแนบแก้มของคนที่ตะบบจูบ ปล่อยให้ร่างกายโดนรุกรานอย่างที่ไม่เคยยอมมาก่อน แผ่นหลังสัมผัสกับระเบียงเย็นชืด จนเมื่อมือของอีกฝ่ายเริ่มเลื้อยต่ำลงเกือบถึงกึ่งกลางลำตัวก็ขยับตัวประท้วง
   


แมนได้สติรีบย้ายมือของตัวเองขึ้นมาคล้องคอ แนบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง งับริมฝีปากเล่นอยู่อย่างนั้นจนเมื่อพายุอารมณ์สงบ จึงกระซิบหลังใบหูแล้วผละไปทำความสะอาดร่างกาย

   


“แปะไว้ก่อนเนอะ”

   
   


ตอนที่ออกมาจากห้องน้ำ ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดแล้ว แสงสว่างรำไรจากถนนพาคนอาบน้ำช้าขึ้นมาบนเตียง ล้มตัวลงนอนให้เบาที่สุดเพราะกลัวปลุกคนที่นอนหลับไปแล้ว ขยับเข้าไปนอนข้างๆ
   

ทั้งที่ปกติรู้ว่าไม่มีทางที่จะยอม แต่วันนี้กลับกล้าที่จะยกมือขึ้นกอดเอวร่างที่นอนอยู่ ยกตัวขึ้นบอก “ราตรีสวัสดิ์” ชิดใบหู
   

“อืม” เสียงตอบกลับมาพร้อมกับมือที่ยกขึ้นมากระชับมือเขาที่กอดตัวเองเอาไว้ เพียงเท่านั้น แมนก็ยิ้มออกมาราวกับคนบ้า

   

“พี่กาย...รักนะครับ”
   


“อืม ...นอนได้แล้ว”

   


ทิ้งตัวลงนอน แนบริมฝีปากลงบนหลังคอ กระชับอ้อมแขน ก่อนจะพล่อยหลับไปพร้อมรอยยิ้มระบายอยู่บนใบหน้า ในหัวเต็มไปด้วยความคิดที่หากคนในทีมรู้เขาคงโดนกระทืบตาย

   




...ถ้ารู้ว่าแข่งบอลแพ้แล้วพี่กายจะใจดีแบบนี้


แพ้ไปตั้งแต่นัดแรกแล้ว...






The End
--------------------------------------------------
[31/01/59]
แฮ่ ตอนพิเศษหมดแล้ว เพราะความขี้เกียจของคนเขียนเอง XD
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
 :pig4:
Lavender’s blue <3

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ตกลงคู่นี้ใครกอดใครคะ ???

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
หูย นั่นดิ่จบแล้วอ่ะ แล้วแมนกายนี่ใครเป็นฝ่ายกอด

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด