ตอนที่7
ครอส talk เคยมีใครสักคนพูดเอาไว้ว่ารักแรกพบนั้นเป็นแค่รักในรูปกายภายนอก เป็นรักที่ไม่จีรังและเป็นรักที่มองแค่เพียงเปลือก แต่ผมอยากให้ฟังเรื่องราวของผมกับรักแรกพบที่บังเอิญผ่านเข้ามาในชีวิต...และประทับอยู่ในใจอย่างนั้นจนถึงวินาทีนี้ แล้วค่อยตัดสินดูอีกครั้ง
ตอนนั้นผมอยู่ม.ห้า น่าจะปลายเทอมสองแล้วด้วย ผมเรียนโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ใส่กางเกงน้ำเงินเดินเกาะกลุ่มไปไหนมาไหนกับเพื่อน มีเรื่องบ้างมีหลีหญิงบ้างตามประสาเด็กผู้ชาย มีตำแหน่งในสภานักเรียนตามประสาคนชอบทำกิจกรรม มีเพื่อนเยอะแยะ แต่ที่สนิทจริงๆก็มีแค่ไอ้แวน
วันนั้นผมกับกลุ่มเพื่อนต่างห้องซึ่งไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่พากันไปดูงานกีฬาสีของเด็กนักเรียนคอนแวนด์แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่คนละโยชน์กับโรงเรียนของผมเลย แต่แน่นอนว่าแก๊งค์หม้อไหกะละมังของผมไม่มียี่หระ พวกเราถ่อสังขารไปถึงแต่เช้าและกลับตอนประมาณบ่ายสาม
สองมือหอบหิ้วข้าวกล่องที่จิ๊กมาจากซุ้มที่เขาแจกให้นักกีฬา ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าบ้านก็รวยแล้วจะงกทำไม เหตุผลที่ทำแบบนั้นเพราะความคะนองล้วนๆ
แดดเมืองไทยช่วงเวลาบ่ายสามกำลังร้อนได้ที่ พวกเราเดินลงจากรถเมล์และเดินลัดเข้าซอยแห่งหนึ่งเพื่อไปต่อรถไฟฟ้า ระยะทางไกลเอาเรื่องเดินมาสิบนาทีแล้วเพิ่งได้แค่ครึ่งทาง
“ร้อนว่ะ”เพื่อนคนนึงบ่นขึ้น มือนึงมันถือถุงข้าวกล่อง อีกมือนึงถือตุ๊กตาที่สอยดาวได้มา
“เออ...ตกลงจะแวะสยามอีกป่ะเนี่ย กูไม่ไหวแล้วนะ”
“กูว่าจะกลับเลยว่ะ”ผมตอบ ทุกคนก็ดูจะเห็นด้วย
“ดีๆกูเมื่อยละอยากกลับไปนอนตากแอร์ที่บ้าน ว่าแต่ข้าวกล่องพวกนี้จะเอาไงดีวะ”เพื่อนคนเดิมซึ่งเป็นตัวต้นคิดให้จิ๊กข้าวกล่องมาถามหน้าเครียด
“อ้าว มึงไม่เอากลับไปกินอ่ะ”
“ตอนแรกกูก็คิดงั้นแต่ตอนนี้เมื่อยแขนละ ขี้เกียจแบกกลับบ้าน”
จะทิ้งก็ทุเรศ พวกเรามองหน้ากันแบบเกี่ยงๆ อย่ามองหน้ากู กูห้ามพวกมึงแล้วว่าอย่าเอาของเขา แต่ละคนทำหน้างอแงขั้นสุดจนกระทั่งหางตาของผมเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า
“เอาไปให้ลุงมะ”ผมชี้ไปยังข้างเสาไฟฟ้าต้นหนึ่ง ที่ตรงนั้นมีคุณลุงแต่งตัวมอมแมมนั่งปูเสื่อกับพื้นขายธูปอยู่
ที่สำคัญคือลุงแก’ไม่มีแขนทั้งสองข้าง’เลยครับ
ทุกคนพยักหน้ารัวๆเห็นด้วยทันที
เดอะแก๊งค์หลีหญิงหอบข้าวกล่องไปยืนล้อมลุงแกด้วยความปรารถนาดีที่ส่งไปไม่ถึงลุง ลุงหน้าเหวอมากอ่ะ พอเห็นลุงแกลุกขึ้นเตรียมโกยเพราะคิดว่าจะโดนเด็กวัยรุ่นรุมตื้บผมเลยรีบเอ่ยว่า”ผมแบ่งข้าวกล่องให้ลุงนะ เนี่ยเอามาจากโรงเรียนหญิงล้วน คนทำสวยๆทั้งนั้น แถมน้ำให้ขวดนึงด้วยครับ”
ผมรวมข้าวกล่องไว้ในถุงเดียวกันพร้อมควักแบงค์ยี่สิบสะกิดเพื่อนยิก มันก็ว่าง่ายวิ่งไปซื้อน้ำขวดใหญ่ในร้านชำข้างๆมาตั้งสองขวด มีบริการเปิดฝาขวดเสียบหลอดให้ด้วย
“ขอบคุณลูก ขอบคุณๆ”ลุงแกขอบคุณซะเขินเลย ที่จริงพวกผมไม่ได้ทำความดีอะไรหรอกครับ แค่ขี้เกียจถือของเท่านั้นแหละ อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกลุงแกนะ
พวกเรายกมือไหว้ลุงแกล่กๆก่อนเดินจากมาด้วยหัวใจพองโต
“เรานี่มันทั้งหล่อทั้งมีน้ำใจเลยว่ะ”ไอ้งั่งต้นคิดแผนขโมยข้าวกล่องกล่าวอย่างไม่มียางอาย
ไม่นานนักก็เดินมาถึงสถานีรถไฟฟ้า ทุกคนแยกกันไปคนละทิศละทางแต่ผมก็ฉุกคิดได้ว่าต้องแวะซื้อข้าวปั้นหน้าเอ็นกาวะของร้านอาหารญี่ปุ่นไปฝากแม่ด้วย แม่ผมชอบกินร้านนี้มากครับ ด้วยความที่มันอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าเลยเดินทางสะดวก
ผมเดินย้อนกลับไปทางเดิม
ร้านนั้นอยู่ลึกกว่าตำแหน่งที่ลุงแกนั่งอยู่นิดหน่อย
ผมเดินด้วยความเร็วไม่มากนักเพราะเหนื่อยแล้ว หนึ่งก้าว...สองก้าว...จนกระทั่งใกล้พอจะมองเห็นบางสิ่งบางอย่าง
บางสิ่งที่โคตรน่ารักและโคตรแหกหน้าผมและเพื่อนในคราวเดียวกัน...
ตรงหน้าคุณลุงที่ไม่มีแขนคนนั้น มีเด็กผู้ชายหน้าตาโคตรน่ารักนั่งอยู่ มือเรียวสวยบรรจงตักข้าวในกล่องโฟมยื่นไปจรดริมฝีปากของคุณลงข้างถนนซึ่งอ้าปากรับพร้อมเคี้ยวตุ้ยๆ
ยามมือคนป้อนข้าวให้...รอยยิ้มของลุงกว้างเสียยิ่งกว่าตอนได้ข้าวได้น้ำฟรีเสียอีก
‘ใครๆหลายๆคนเคยบอกว่าผมเป็นคนใจดี...แต่ผมไม่รู้ว่าผมเป็นคนดีจริงๆหรือเป็นคนดีเพราะพอทำดีแล้วมีคนยกย่อง’
แต่ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็ช่วยให้ผมเข้าใจ
เข้าใจว่าสิ่งที่ผมเป็นมันก็แค่เปลือก...เป็นเพียงคนมีน้ำใจที่เอาความสะดวกของตัวเองเป็นที่ตั้ง
และเข้าใจว่ารักแรกพบไม่จำเป็นต้องเกิดจากรูปลักษณ์ภายนอกใดๆ
“เหี้ย! คนไรวะน่ารักชิบหาย”ผมอุทานออกมาอย่างลืมตัว ป้าร้านของชำถึงกับสะดุ้งแต่ก็แอบพยักหน้าเห็นด้วย ผมไม่รู้ว่าผมยืนอยู่อย่างนั้นนานขนาดไหน ผมลืมเรื่องต้องไปซื้อซูชิให้แม่เสียสนิทจนกระทั่งผู้ชายคนนึงเดินออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นนั่นแหละ
ผู้ชายคนนั้นสวมเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนนานาชาติสีฟ้ากางเกงสีกรมเหมือนคนน่ารักของผม ตัวโคตรสูงและหล่อมาก เดินดุ่มๆออกมาจากร้านหน้าเครียด
คนน่ารักของผมสะดุ้งโหยง พอดีกับข้าวคำสุดท้ายเข้าปากลุงพอดี เขาส่งยิ้มแฉ่งให้ลุงก่อนกล่าวคำลาสั้นๆและ...แอบเดินตามผู้ชายคนนั้นไป...
ไม่ต้องรู้จักกันผมก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
คนน่ารักของผมคงแอบปลื้มไอ้หล่อนั่นอยู่
“เห้อ...กลับบ้านดีกว่า”ไม่ซื้อแม่งละซูชิ วันนี้ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรแล้ว
ความโรแมนติกของรักแรกพบคือการหลงรักใครไปโดยไม่รู้จัก
.
แต่มันเจ็บตรงที่บางครั้งเราก็ไม่มีโอกาสรู้จักกันเลย
นั่นเป็นเรื่องราวเมื่อปีก่อน ผมปล่อยให้คนน่ารักไล่ตามผู้ชายคนนั้นไปโดยไม่ทำอะไรเลย ได้แค่มองจนลับตาและเก็บเอาไว้เป็นความประทับใจดีๆ
แต่มันไม่ใช่กับตอนนี้
ผมเจอเขาอีกครั้งในรั้วมหาลัย...ในเต็นท์ประกวดดาวเดือน
ผมที่เดินเข้ามาพบเขากำลังเดินกระวนกระวายอยู่รอบๆตัวพี่เลี้ยงซึ่งคาดว่าเป็นเพื่อนของเขาเองรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก รีบเดินออกไปฝากเพื่อนซื้อดอกไม้โหวตให้เขา สองหูได้ยินเสียงพิธีกรบนเวทีประกาศชื่อเขาว่า
เพลิน คนอะไรนิสัยน่ารัก หน้าตาน่ารักแล้วชื่อยังน่ารักอีก
เสียงเพลงของเพลินเกือบทำผมคลั่ง ผมต้องยืนรออยู่นอกเต็นท์ไม่กล้าเข้าไปจนกระทั่งใกล้เวลาประกวดของตัวเองเพราะกลัวสติจะเตลิดเพราะคนน่ารัก
แน่นอนว่าผมโดนเจ๊พี่เลี้ยงด่าลั่นเต็นท์
พอหมดช่วงการประกวดก็เป็นช่วงรวมตัวบนเวที ผมโดนให้ไปยืนคนละฟากกับเพลินและผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างเวทีก็ทำให้ผมหน้าชา
ไอ้หล่อคนที่เพลินแอบตามวันนั้นยืนเก๊กกอดอกอยู่ด้านข้าง ดูจากตำแหน่งยืนก็รู้ชัดว่าเป็นเดือนมหาลัยปีที่แล้ว ผมหันขวับไปมองเพลินทันทีด้วยความหวังเล็กๆว่าอีกฝ่ายจะตัดใจได้แล้ว แต่อะไรๆก็ไม่เป็นอย่างที่คิด เพลินกำลังมองเขาอยู่ จ้องตาวาวเลยด้วย
แล้วความยับยั้งชั่งใจก็ถูกเขี่ยกระเด็น...
อุตส่าห์มาพบกันอีกครั้ง อุตส่าห์ตั้งใจไว้ว่าคราวนี้จะไม่ปล่อยให้หายลับไปง่ายๆอีกแล้ว...
ผมคว้าช่อดอกไม้ที่ฝากเพื่อนในคณะมาไว้ในมือและเดินเข้าไปมอบมันให้เพลินด้วยตัวเอง...ต่อหน้าผู้คนนับไม่ถ้วน
.
.
.
“จบสิ้นแล้ว...กูโดนเพลินเกลียดแล้วแหงๆเลย”ผมกล่าวอย่างหมดแรง ทิ้งตัวลงบนโซฟาหลังใหญ่ในคอนโดของเพื่อนสนิทอย่างแวนแบบหมดอาลัยตายอยาก
“เพลินไหน...อ่อ คนที่มึงเสล่อเอาดอกไม้ไปให้เขากลางเวทีนั่นอ่ะนะ”
“เออดิวะ! โอ๊ยยยย เขาต้องคิดว่ากูเป็นเกย์หน้าด้านโรคจิตแน่ๆ หมดกันๆๆๆๆๆ”
ไอ้เพื่อนเลวมันไม่สนเรื่องของผมแม้แต่น้อย เอาแต่แชทคุยกับเมียมันอยู่นั่นแหละ
“มึงงงง ช่วยกูคิดหน่อย ทำไงดีวะ”
“อยากให้กูช่วยคิดอะไรล่ะ ช่วยคิดวิธีจีบเขาหรือช่วยคิดวิธีให้เขาเลิกเข้าใจว่ามึงเป็นเกย์โรคจิต”
ถึงจะน่าเจ็บใจแต่ก็...”อย่างหลังก่อนแล้วกัน เพลินแอบชอบคนๆนึงมานานจะให้เปลี่ยนใจมาชอบกูคงไม่ง่าย”
เชี่ยแวนทำท่าครุ่นคิดอยู่นานสองนาน
“งั้นก่อนอื่นมึงต้องเสนอหน้าไปอยู่ใกล้ๆเขา เอาให้ใกล้พอได้ยินเสียงพูด แต่อย่าเข้าไปทักหรือแสดงความสนใจนะ แต่ให้มึงเข้าไปเจ๊าะแจ๊ะกับสาวๆที่อยู่แถวนั้นให้เขาคิดว่ามึงเป็นผู้ชายกะล่อนหน้าหม้อไปวันๆซึ่งมันก็ตรงกับความจริงอยู่แล้ว...”
“...”ผมเริ่มคิดตาม ในเมื่อความประทับใจของผมที่มีต่อเขามันโคตรดีแต่ความประทับใจของเขาที่มีต่อผมมันโคตรพินาศ ทางออกที่แวนว่ามาก็พอฟังขึ้นอยู่
“พอเขาคิดว่ามึงเป็นแบบนั้นโดยสันดาน ก็จะลดความระแวงลง...”
“จากนั้นกูค่อยตามจีบแบบเนียนๆ”
“ถูก แผนหลังจากนี้มึงไปคิดเอาเองกูไม่ถนัด”
“แต้งค์เพื่อน!”
วันรุ่งขึ้นผมก็ดำเนินการตามแผน ณ งานประกวดของหมอผมเข้าไปทักซันนี่ต่อหน้าเพลิน เพลินมีท่าทางเกลียดผมอย่างเห็นได้ชัด แต่ไอ้การถลึงตามองแอบฟังบทสนทนาของผมแบบนั้นยิ่งดูน่ารักกว่าเดิมซะอีก
ผมชอบเพลินว่ะ!
“เขินเยอะๆสิครับ เวลาเขินน่ารักดีนะ”ผมชมเพื่อนซันนี่แต่ตานี่เหลือบมองเพลินจนเขไปหมด
ดูทำหน้าอี๋แหวะใส่ผมด้วย
น่ารักอ่ะ ไม่ไหวแล้ว! อยากเข้าไปคุยด้วยใจจะขาด!
พอแวนเข้ามาคุย พอเพลินเบะปากหมั่นไส้เส้นความอดทนของผมก็ขาดผึง
“สู้เอาเวลาว่างไปตามจีบคนที่ชอบดีกว่าเน๊อะ~”
คนน่ารักเหวอเลยครับ ฮ่าๆๆๆๆ
หลังจากนั้นผมก็ชวนเขาไปกินเลี้ยง ที่จริงแล้วไม่อยากให้เพลินไปงานนี้เท่าไหร่หรอกเพราะไอ้คุณนารายณ์นั่นก็ไปด้วย แต่ถ้าไม่มีงานนี้แล้วผมจะเอาเวลาชาติไหนไปจีบเพลินกันล่ะ?
ตอนแรกเขาก็ปฏิเสธเสียงแข็งอยู่หรอกแต่พอพูดคำว่านารายณ์ออกไปเท่านั้นแหละ ตบปากรับคำแบบไม่มีลังเลเลย
เจ็บสัด!
แน่นอนว่างานนี้แฟนเพื่อนอย่างซันนี่ก็ไปด้วย แต่ผมทำเป็นไม่รู้เรื่องและพาเพลินไปสองต่อสอง อิอิ
สาวทันตะทำผมหงุดหงิดนิดหน่อย ตอนผมไม่อยู่เธอแกล้งเพลินด้วย ดีนะที่เพลินไม่หนีไปนั่งกับพี่นารายณ์ แต่ไปนั่งกับพี่พีชก็อันตรายพอกัน ฮึ่ม! ผมตามไปนั่งด้วย หยอกใส่เพลินจนพี่พีชรับไม่ได้ พอกินเสร็จแล้วผมก็อยากได้ทางช่องทางติดต่อเพลินไว้ แต่จะให้ขอแบบธรรมดาก็ไม่ใช่ผมสิ
หึหึ
ผมขอเฟสสาวต่อหน้าเพลิน ผมไล่ขอถ่ายรูปกับทุกคนยกเว้นเขา
ถึงจะไม่มีทางก็เถอะ แต่แอบหวังว่าเพลินจะหึงบ้างอะไรบ้าง
ตามแผนของผมก็คือจะทำเป็นเมินเขาเพื่อเพิ่มระดับความสำคัญให้ตัวเองนิดหน่อยก่อนจะชวนกลับบ้านพร้อมกันและทำเป็นพลัดหลงกัน...
หลงแบบหลอกๆนะ แล้วพอเขาเริ่มเคว้งผมก็จะโผล่ออกไปทำเป็นหาเจอ(ที่จริงซุ่มดูอยู่หลังเสาตลอด ฮ่าๆ)และขอเบอร์โทรแบบแนบเนียน
พอหมดเวลาผมก็ชวนเขากลับด้วยกันตามแผน ทว่าซันนี่เข้ามาทำให้ผมผิดแผน เพลินหายไปจริงๆ ใจผมก็หายไปดวย
เพลินไม่เคยมาที่นี่ ท่าทางคุณหนูเด๋อๆด๋าๆแบบนั้นคงกลับเองไม่เป็นหรอก ผมแตกตื่นเดินหาเขาแถวๆนั้นให้ควั่ก
ใจนึงก็กลัวจะเดินออกไปเรียกแท็กซี่เองดึกๆ ใจนึงก็กลัวว่าจะเดินจ๋อยตามหาผมอยู่ที่ไหน
ผมไม่น่าลีลาเลย น่าจะขอเฟสเพลินไว้ตั้งแต่ทีแรก
ผมตัดสินใจไปหาประชาสัมพันธ์ให้เขาช่วยประกาศตามหา ตอนแรกลังเลกลัวว่าจะทำให้เพลินขายหน้ากลางห้าง แต่พอเพลินเดินมาหาด้วยใบหน้าแดงๆผมก็โล่งอก ผมหาเพลินเจอแล้ว คนน่ารักไม่โกรธด้วย
นั่นทำให้ผมย่ามใจ
อาจหาญขอเบอร์เพลินตรงๆแบบไม่เจียมสักนิด
และนั่นทำให้เขาวิ่งหนีหายไปอีกครั้ง
.
.
.
ต้องขอบคุณความหน้าด้านที่คอยอยู่เคียงข้างผมในวันไม่เหลือใคร
ผมลงเรียนวิชาเลือกเดียวกับเพลิน เดินตีสีหน้าไม่ถูกเข้าไปในห้องที่เพลินนั่งอยู่...คนเดียว?
ทีแรกผมคิดว่าอีกเดี๋ยวเพื่อนที่ชื่อซังของเพลินก็ตามมาเลยไปเข้ากลุ่มอื่นเพื่อดูลาดเลา แต่มันไม่ใช่ เพลินนั่งอยู่คนเดียว เพลินหน้าเสียตอนอาจารย์ให้ทำงานกลุ่ม เพลินเดินเข้าไปหาเด็กกลุ่มหนึ่งผมเดาว่าคงไปขออยู่อยู่ด้วยแต่เพลินก็เดินคอตกกลับที่
เห้ย!? อะไรวะ!? มีกันหกคนไม่ใช่เหรอ ก็แบ่งเป็นสามกลุ่มแล้วให้เพลินอยู่ด้วยดิ นิสัยว่ะ!
“มัวแต่มอง ไอ้เวร หล่อซะเปล่า ถ้ากูหนังหน้าดีได้ครึ่งมึงนะจะเข้าไปขอคู่ด้วยละ จังหวะนี้แหละโคตรฮีโร่เลยสัส”เด็กคณะวิศวะคนนึงพูดขึ้น คนในกลุ่มที่ผมนั่งด้วยผสมๆกันหลายคณะแต่ก็สามัคคีรวมใจกันพยักหน้าเห็นด้วย
“มึงพูดเหมือนมึงชอบเพลิน”ผมแกล้งหลอกถามพวกมัน มีบางคนถึงกับหลุดหัวเราะ
“ใครๆเขาก็ชอบ มองแล้วเพลินสมชื่อ แต่ติดมึงอ่ะแหละ เดือนมหาลัยให้ดอกไม้จองไว้ขนาดนั้น ใครจะกล้าสู้”
ผมแค่ยิ้มและส่ายหน้าเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่หัวใจนี่โคตรพองโตเลย ไม่คิดว่าการบ้าเอาดอกไม้ให้เพลินวันนั้นจะมีผลดีด้วย แบบนี้แปลว่านอกจากไอ้คุณนารายณ์ทางรักของผมก็ปราศจากคู่แข่ง ฮ่าๆๆๆๆ ตอนนี้อาจารย์เข้ามาในห้องเริ่มสอนได้สักพักแล้ว ผมรวบของตั้งใจจะเดินไปหาเพลิน
แต่ไอ้แก๊งค์เพื่อนใหม่ก็กวนส้นตีนผมส่งท้ายด้วยการพูดออกมาไม่เบาไม่ดังพอให้เพลินได้ยินว่า
“เชี่ยครอส มึงจะไปไหน”
ผมหันไปชูนิ้วกลางให้มันซึ่งยักคิ้วกลับมา
และในคาบนั้นผมได้เบอร์เพลินมา(แบบไม่ครบ)
“ฮัลโหลสวัสดีครับ นั่นเพลินรึป่าว”
“โทรผิดแล้วค่ะ” “ขอโทษครับ”
เย็นวันนั้นผมพูดคำเดิมๆซ้ำประมาณห้าสิบกว่ารอบ จนในที่สุดเสียงที่ผมได้ยินไม่บ่อยแต่จำได้ขึ้นใจก็ดังกลับมาจากปลายสาย ในที่สุดผมก็เจอเบอร์เพลิน!
แต่เขาซักผ้าอยู่ครับ ผมเลยบอกให้โทรกลับ
นี่ก็อาทิตย์นึงแล้วมือถือของผมก็ไร้ซึ่งวี่แววว่าจะมีเบอร์ของคนที่รอโทรกลับมา ที่สำคัญวันนี้ผมควรได้เจอหน้าเพลินในคาบเรียนศิลปะวิจักษ์แต่เพราะอาจารย์ติดธุระคลาสจึงถูกยกเลิกผมเลยได้แต่นอนโง่ๆอยู่บนเตียงตั้งแต่เช้า
“เห้อ...”พระอาทิตย์ตกดินแล้ว เพลินคงถึงบ้านแล้วล่ะ
ขอโทรหาให้หายคิดถึงหน่อยละกัน ไม่รอช้า ผมคว้าโทรศัพท์และกดโทรออกทันที รอไม่นานปลายสายก็รับ
“ฮัลโหลครับ?” พูดสุภาพจัง...อย่าบอกนะว่า...ผมอึ้งอยู่สักพักเพลินจึงถามย้ำกลับมาว่า
“ฮัลโหลๆ นั่นใครครับ” “ซักผ้ายังไม่เสร็จอีกเหรอ? นานจัง ให้ไปช่วยไหม”
“เอ๊ย! ครอสเหรอ ขอโทษนะลืมไปเลย ขอโทษๆ พอดีวันนั้นยุ่งๆอยู่ ขอโทษจริงๆนะ” ลืมโทรกลับน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ลืมกระทั่งเซฟเบอร์นี่เจ็บนะ
แต่ไม่เป็นไร ยกโทษให้ ; )
" " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " "
ไม่ว่าเป็นที่เท่าไหร่ของเธอ เธอก็คือที่สุดเสมอไป
ขอมอบเพลงนี้แด่พระเอกของเรื่องค่ะ
อยากให้ฟังกันนะ เพราะเนื้อเพลงมันตรงมาก
ตอนวิทยุเปิดขึ้นมาคนแต่งนี่ถึงกับกรี๊ดดด นี่แหละเพลงประจำตัวของครอส! ถถถถ