ตอนที่12
ผมมากินมื้อเช้าที่โรงอาหารกลางซึ่งไม่ค่อยได้มาบ่อยนัก ที่นี่คนส่วนใหญ่จะเรียกมันว่าคาเฟทซึ่งย่อมาจากคาเฟ่เทอเรียซึ่งแปลว่าโรงอาหารนั่นแหละ ปกติผมจะกินที่ตึกวิทย์ซึ่งอยู่ติดกับห้องบรรยายรวมมากกว่าแต่เพราะวันนี้มีเวลาเหลือเฟือจึงเลือกมาที่นี่แทน
วันนี้ผมลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเก้าโมง เหี้ยมาก กูมีเรียนตอนแปดโมงครึ่งมั้ยล่ะ คาบแรกคือแคลคูลัสเสียด้วย เหอๆ ถ้าอกหักแล้วจะหลับสนิทขนาดนี้ล่ะก็นะ
มือถือผมโชว์มิสคอลจากซังเก้าสาย จากหวานสามสาย จากโจ้หนึ่งสาย...จากพี่เฟิงสองสาย และแชทจากพี่นารายณ์อีกเป็นสิบข้อความซึ่งผมยังไม่ได้เปิดอ่าน ผมโทรไปหาไอ้ซังเพื่อบอกมันว่ายังมีชีวิตอยู่ถ้าไม่ติดว่าเรียนอยู่มันคงสวดผมยับ ส่วนพี่เฟิงพอรับสายผมก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่าหายไปไหน ช่างไม่รู้อะไรบ้างเล้ยยยย ผมก็บอกพี่แกไปว่าตื่นเช้าเลยออกมาก่อน คุยกันเสร็จก็วางสายแล้วมานั่งเขี่ยข้าวต้มไข่ตุ๋นเล่นนี่แหละ
ชักเข้าใจความรู้สึกของครอสตอนโดนผมยัดก๊วยเตี๋ยวแล้วสิ
พูดถึงครอสก็ต้องนึกถึงข้อความของมันแล้วก็ได้แต่ยิ้มอ่อน ถ้าเมื่อคืนผมยังไม่หลับผมคงบ้าตอบตกลงให้มันมาหาจริงๆและมันคงบ้ามาหาผมจริงๆเช่นกัน
มันไม่ได้บอกเวลาเลิกไว้ผมเลยไม่รู้จะไปหามันเมื่อไหร่ดีจึงเดินมานั่งแกร่วอยู่ใต้ตึกคณะมันซึ่งมีคนเดินผ่านไปผ่านมาประปราย แต่ส่วนใหญ่ที่เดินผ่านพร้อมใจกันเหล่ตามองมายังผมจนเริ่มเสียความมั่นใจ
หรือตึกนี้จะเป็นแบบคณะ ICT ที่ห้ามคนนอกเข้าหว่า
ไม่ม้างงงง
ผมชั่งใจอยู่นาน เวลาก็เลยไปสิบโมงกว่าแล้ว ได้เวลาเลิกคาบพอดีคนเลยเยอะผมจึงเนียนๆเข้ามากับกลุ่มคนได้สำเร็จ โชคดีที่ตึกไม่ซับซ้อนผมเลยไม่หลง พาตัวเองมายืนใบ้แดกอยู่หน้าห้อง 401 ภายในห้องมีนักศึกษาอยู่เกือบๆร้อยคน คงเป็นปีหนึ่งทั้งหมดของเอก หน้าคลาสไม่มีอาจารย์
จะเข้าไปดีไหม?
แต่ครอสบอกว่ามีพรีเซ้นส์งานหนิ ถ้าผมเข้าไปจะรบกวนมันรึป่าว
เอ...แล้วทำไมผมถึงต้องถ่อสังขารมาหามันด้วยล่ะ?
“อุ๊ยขอโทษค่ะ อ๊ะ”เพราะมัวแต่ยืนเหม่อเลยโดนเปิดประตูชนหน้าเต็มๆ สาวน้อยผมม้าเต่อรีบเข้ามาดูอาการผมก่อนอุทานออกมาอย่างแปลกใจเมื่อเห็นใบหน้าหล่อระดับเดือนคณะเข้า(?)
“มาหาครอสเหรอ?”เธอถาม”ครอส! อุ๊บส์!”โอ๊ยยย แม่คุณเล่นถามแต่ไม่รอฟังคำตอบหันไปอ้าปากเตรียมตะโกนไอ้บ้าที่นั่งจับกลุ่มคุยกับเพื่อนอยู่หลังห้องซะงั้น
“ชู่ววว เดี๋ยวดิ! ใจเย็นๆขอตั้งหลักก่อน”ผมปล่อยมือจากปากของเธอแบบลนๆ หันซ้ายแลขวาหาตัวช่วยเลิ่กลั่ก เอาไงดีวะ เมื่อคืนผมอยากเจอมันทำไมก็ไม่รู้ พอมาถึงที่แล้วก็ทำตัวไม่ถูก ถามใครก็ไม่ช่วยอะไร ถ้าเป็นหวานคงชูป้ายไฟพร้อมตะโกนเชีบร์ให้เข้าไปเล้ยๆๆ ส่วนซังคงห้ามไม่ให้เข้าไปเพราะเจอหน้ากันในเวลาแบบนี้ก็รังแต่จะฉุดให้รู้สึกแย่ทั้งคู่
แต่ว่า...
“ตอนนี้อาจารย์ปล่อยพัก เหลือกลุ่มที่ยังไม่ได้นำเสนออีกห้ากลุ่ม ครอสด้วย จะเข้าไปก็ได้นะอาจารย์ใจดี”สาวน้อยม้าเต่อกล่าวก่อนเดินไปเข้าห้องน้ำทิ้งให้ผมยืนอยู่ลำพัง
ผมไม่ควรมาหามันเลย...แต่รู้สึกตัวอีกทีขาสั่นๆก็ก้าวเข้าไปด้านใน
คนที่นั่งติดประตูเห็นผมและชี้ให้เพื่อนหันมาดู จากหนึ่งคนเป็นสองคนและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มือของผมกำบานเลื่อนประตูแน่นเมื่อทั้งห้องที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยสงัดลง สายตาเกือบร้อยคู่จ้องมายังผมอย่างฉงน
เด็กเภสัชมาทำไรแถวนี้วะ? หลายคนคงคิดแบบนั้น
“เลิกมองครับเลิกมอง เพลินเอ๋อแดกหมดแล้วเห็นไหม”ยกเว้นเจ้าของเสียงที่ตัวยังนั่งอยู่กับที่แต่ก็ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้
ห้องเรียนของครอสคล้ายกับห้องบรรยายรวมของผมตรงที่เป็นแสตนด์ชั้นๆไล่ระดับขึ้นไปแต่ว่าเล็กกว่าเท่าตัว ผมเดินขึ้นไปหาคนที่นั่งอยู่แถวหลังสุดแบบสั่นๆ
ขาสั่น มือสั่น ใจสั่น
“พวกตัวสำรองหลบไปๆ ตัวจริงกูมาแล้ว ชู่วๆๆๆ”
“ไอ้เหี้ย! ถ้าไม่ติดว่าสงสารเพลินนะพวกกูจะแซวจนมึงหาทางกลับบ้านไม่เป็นเลยสัส!”เพื่อนมันคงนึงกล่าว”เชิญคร้าบบบบ”พร้อมผายมือไปยังเก้าอี้ว่างข้างกายคนที่ผมมาหา
ผมแจกยิ้มแหยๆให้เพื่อนครอสครบชุดก่อนนั่งลงข้างๆมัน
นั่งเฉยๆจนเจ้าถิ่นต้องเอ่ยทักก่อน
“เพลิน!”ครอสทุบโต๊ะหน้าผมจนสะดุ้งตัวโยน
“เล่นบ้าไรเนี่ย ตกใจหมด!”ผมกระซิบด่าเสียงเขียว อาจารย์เริ่มเรียกกลุ่มต่อไปแล้ว”มึงกลุ่มที่เท่าไหร่วะ”
“กลุ่มต่อไป”
“ท่องบทได้ยัง”ผมถามเพราะเห็นว่ากลุ่มที่กำลังพรีเซนส์พูดเป็นภาษาอังกฤษแต่เจ้าตัวกลับยักไหล่เหมือนเป็นเรื่องกล้วยๆ เห็นแล้วน่าหมั่นไส้
“เกิดอะไรขึ้นไรรึป่าว...”หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดครอสก็เอ่ยปากถามออกมา
“เมื่อคืนนี้...อกหักมาน่ะ...”ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ในที่สุดก็พูดคำที่ไม่สมควรพูดกับคนคนนี้ออกไปจนได้
ครอสชะงัก ผมไม่กล้าหันไปสบตามองได้แต่นั่งจ้องปลายเท้าตัวเองจึงไม่รู้ว่ามันกำลังแสดงสีหน้าแบบไหน
“อ้าว...อุ่ย...”เพื่อนของครอสที่นั่งอยู่ด้านหน้าและได้ยินบทสนทนาของพวกเราหันขวับมาอย่างลืมตัว สงสัยมันจะนึกว่าพวกเราคบกันอยู่มั้ง พอได้ยินเข้าเลยตกใจแต่ที่ตกใจกว่าคงเป็นสีหน้าของผมหรือไม่ก็สีหน้าของครอส เพราะเพื่อนคนนั้นหันมาแล้วก็รีบหันกลับไปแทบไม่ทัน
โชคดีที่กลุ่มหน้าชั้นนำเสนอเสร็จพอดี ร่างสูงจึงลุกขึ้นพร้อมกลุ่มเพื่อนลงไปยังหน้าชั้น ความรู้สึกเหมือนโดนอากาศในห้องกดทับค่อยคลายลง
ผมซบหน้าลงกับโต๊ะอย่างคนจนตรอก...
ไม่ควรมาที่นี่...ไม่ควรบอกมันเรื่องนั้น...ไม่ควรแม้กระทั่งสารภาพรักกับพี่นารายณ์ด้วยซ้ำ
คนอย่างผมมันไม่คู่ควรกับอะไรเลย
ไอ้เพลิน มึงโคตรกากเลยว่ะ ผมด่าตัวเองด้วยถ้อยคำเดิมๆซ้ำในใจ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนการนำเสนอของคนที่ผมมาหาจบลง ผมยังไม่เงยหน้าขึ้นมาแต่รับรู้ว่าครอสกลับมานั่งข้างๆแล้ว มันเอามือแตะหลังผมพร้อมถามอย่างอ่อนโยนว่า
“ในนี้อึดอัดไหม กูเสร็จแล้วออกไปข้างนอกกันเถอะ”
ผมส่ายหัวไปมาแทนคำตอบ ส่งเสียงงอแงตอบกลับ”ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากกระดุกกระดิก”
เมื่อครู่ผมได้ยินคนแถวข้างๆพูดกันว่าอาจารย์จะเอาเนื้อหาที่นำเสนอกันใส่ไว้ในข้อสอบด้วยผมจึงไม่อยากดึงครอสออกไปตอนนี้แต่ถ้าพูดออกไปตรงๆมันก็คงดื้อแพ่งยืนกรานจะลากผมออกไปให้ได้
คนห่าอะไรหัวแข็งชิบหาย...เออ กูก็เป็น
“ขอจับมือหน่อย”ยื่นมือที่ใช้ลองหน้าตัวเองอยู่นั่นแหละไปให้มัน
ครอสเอื้อมมือมาเกี่ยวปลายนิ้วของผมอย่างว่าง่าย
“ทำแบบนี้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเหรอ...?”ไม่รู้ว่าคำถามของมันหมายถึงการมานอนโง่ๆอยู่ในคณะชาวบ้านหรือการเอาปลายนิ้วแตะกันเหมือนอีทีกำลังสื่อสารข้อความ
“รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”แต่คำตอบของผมครอบคลุมทั้งสองกรณีนะ ; )
คาบเรียนของคนอื่นมักผ่านไปเร็วกว่าคาบเรียนของเราเสมอ ผมเผลอหลับได้ยังไงก็ไม่รู้ เชื่อแล้วว่าพออกหักแล้วจะกลายเป็นคนนอนง่าย ผมใช้มือข้างที่ว่างขยี้ตาแบบงัวเงีย คงหลับลึกน่าดูเพราะคนในห้องเหลืออยู่สองสามคน คือผม ครอส และป้าแม่บ้านที่เข้ามาปิดไฟไล่
“ไมไม่ปลุกกู”ตื่นแล้วก็เหวี่ยง”กี่โมงแล้ว หิวว่ะ”เหวี่ยงเสร็จก็กิน เพลินนี่มันน่ารักจริงๆ(ชมตัวเอง?)
“เพิ่งบ่ายเอง บ่ายกูไม่มีเรียน ไปหาไรกินกันไหม”
“ไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูมีเรียนไหม มัดมือชกกันนี่”ผมเอ่ยกลั้วหัวเราะ เหล่มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่กำลังเก็บกระเป๋าก่อนจะเดินนำออกจากห้องเรียนทั้งๆที่ปลายนิ้วยังเกี่ยวกันอยู่
อันที่จริงก็ไม่มีเรียนบ่ายเหมือนกันแต่ขอเหน็บหน่อยเถอะ
“คนอย่างครอส ถ้าไม่มีตารางสอนของเพลินก็หมาว่ะ”
“สโตรคเกอร์!”ผมเบ้ปาก สะบัดมือออก แกล้งทำตัวหยะแหยงอีกฝ่ายซึ่งหัวเราะลั่นเลย
“แค่จะสะบัดมือกูออกก็ไม่ต้องเล่นใหญ่ขนาดนั้นก็ได้ แค่บอกกูก็ปล่อย ฮ่ะๆๆๆ”
เกลียดนักคนรู้ทัน ชิส์
ก็จะให้เดินจูงมือกันรึไง บ้าเหรอ!? แฟนก็ไม่ใช่แถมยังผู้ชายทั้งคู่อีก!
พอขึ้นรถได้ผมก็หันหน้าออกนอกหน้าต่าง เมื่อวิทยุเปิดเพลงอกหักไอ้คนขับก็กดเลื่อนให้อย่างรู้งาน ความใส่ใจที่ได้รับบอกตรงๆว่าไม่รู้สึกดีใจสักนิด ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ผมรู้สึกระอักกระอ่วนในความขลาดเขลาของตน
“ทำไม...มึงถึงชอบกูเหรอ”ผมเปรยขึ้นขณะสายตายังจับจ้องอยู่กับทิวทันศ์นอกหน้าต่าง
“เพราะมึงเป็นคนดีล่ะมั้ง กูชอบนิสัยนางเอก”
“งั้นถ้าเกิดว่า...กู...ไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่คิด...จะเลิกชอบไหม?”
“เมื่อคืนไปทำอะไรมาล่ะ”เสียงทุ้มถามยย้อนเล่นเอาผมกระตุก เกร็งมือจับเข็มขัดนิรภัยแน่นจนผิวเปลี่ยนเป็นสีแดง
“กูบอกชอบเขา...เขาจะจูบกู...กูก็ยอม...”
“...”
“ถึงจะหนีออกมาก่อนก็เถอะ...”
ผมแม่งเหี้ยว่ะ ยกเรื่องนี้มาเล่าให้มันฟังทำไมวะ โคตรเห็นแก่ตัวเลย ขอแค่ระบายคนรับฟังจะเป็นใครก็ได้ไม่ใช่เหรอ แทนที่จะไปหาเพื่อนแต่กลับมาหาครอสแบบนี้...ผมคาดหวังอะไรจากมันกันแน่
ภาพนอกหน้าต่างหยุดเคลื่อนที่ลงพร้อมกับโฟล์คบีทเทิลสีเลมอนจอดเทียบข้างทางแต่สายตาของผมก็ยังไม่ละจากหน้าต่างเหมือนเสาไฟฟ้าต้นข้างๆมันมีอะไรน่าสนใจนักหนา
“กูมันง่าย...สารเลว...”
“เพลิน!”ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกตวาด! กวาดนัยน์ตาสั่นระริกมองใบหน้าคมคายของเดือนมหาลัยซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม ใกล้ขึ้น...ใกล้จนรู้ตัวว่ากำลังจะถูกจูบ
แบบนี้ก็อาจจะดีเหมือนกัน...ยังไงพี่นารายณ์ก็ไม่มีวันหันมามองคนอย่างผม หันมาหาคนที่รอเราอยู่ดีกว่าเป็นไหนๆ ไม่มีใครเหนื่อยหรือเจ็บสักคนถ้าผมเลือกครอส
ผมค่อยๆปรือตาลงปล่อยให้ด้านมืดของสมองสั่งการร่างกาย
“ขอโทษนะ...กูไม่...”แต่ในท้ายที่สุดผมก็เบือนหน้าหนี
หากความรู้สึกผิดมีน้ำหนักตัวผมคงแบนจมพื้นดิน
“เห็นไหม...มึงไม่ได้ง่าย...”ทั้งสีหน้าที่แสดงออกมา แววตาที่ใช้มองผม หรือแม้กระทั่งน้ำเสียงที่เอ่ยคำปลอบ มันฉายชัดถึงความเจ็บ
ทรมาณทั้งสองคน แต่ฝ่ายที่น้ำตาไหลออกมามีแค่ผมผู้เดียว
“นี่ชมอยู่นะร้องไห้ทำไม”
“ร้องไห้แทนมึงอ่ะ รวมส่วนของตัวเองด้วย มึงไม่ร้องกูเหมาเอง”
“เห้ย! ไม่เอาไม่ร้องๆ”ลูบหัวเหมือนกูเป็นลูกชายมึงเลยนะ เพราะมึงนั่นแหละชวนดราม่า
“เพลินแม่งแรด หน้าไม่อาย คุยกั๊ก! เผื่อเลือก นิสัยไม่ดี แย่งผู้ชายของพี่รหัส! ทิ้งเพื่อน! โว้ยยยยยยยยยยยยยยย”ทั้งหมดนั่นคือผมด่าตัวเองล้วนๆ ด่าแทนครอสครับ ร้องไห้แทนด้วย แม่งเอาแต่นั่งหัวเราะ อารมณ์ดีมากรึไงไอ้บ้า มึงควรดราม่า
“หัวเราะเชี่ยไร!”
“ตลกก็ขำดิ”
“กรุณาให้เกีรยติความเศร้ากูด้วย”
“โทษๆ ดีใจเกินไปหน่อยลืมเก็บอาการ ฮ่ะๆๆ”
“เรื่องไรวะ”เดี๋ยวดิ ชักตามเรื่องไม่ทันละนะ
“เอ๊า! ก็มึงอกหักกูก็ต้องดีใจดิ นาทีทองเลยนะนั่น ตอนอยู่ในคลาสนี่เก็บอาการแทบแย่ โอ๊ยๆๆๆ ล้อเล่นๆ เห็นเพลินร้องไห้ครอสก็เจ็บปวดเหมือนใจจะแตกสลายตามเลย อย่าตีดิ เจ็บนะ! เดี๋ยวจับมาจูบจริงๆซะเลย!”
ได้ผล ผมเก็บมือแทบไม่ทัน ไอ้คนหวังผลตอบแทนยิ้มหน้าบานไม่มีเก็บละอากงอาการ ออกรถอย่างรมณ์สุนทรีย์ โชคดีที่มันไม่ฮัมเพลงไปด้วยไม่งั้นมีถีบ
คนห่าอะไร...
คนห่าอะไร...แกล้งทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาได้ชวนร้องไห้อีกรอบขนาดนี้...
" " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " " "
คนอ่านทั้งหลาย จงหลงรักพระเอกคนนี้อย่างที่พระเอกของเรารักหนูเพลินซะ
ปอลิง. 38 องศาคืออุณภูมิร่างกายตอนเป็นไข้นะคะ...
....ไข้ใจ #ผิดๆ 55555555
แต่ที่มาของชื่อเรื่องคือเวลาเขิน ในนิยายชอบบรรยายว่าหน้าเห่อร้อน เวลาหื่นก็ชอบเขียนกันว่าร้อนวูบวาบ ร้อนรุ่มไรงี้
ความรู้สึกพวกนี้มันทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นจริงๆ ร้อนแบบที่ปรอทวัดไข้วัดไม่ได้ นิยายเรื่องนี้ตัวเอกป่วยรัก ไม่ได้ป่วยไวรัสค่ะ อิอิ ^^
#คมพอมั้ยให้ยืมไปหั่นผักเอาป่าว
#38องศา