ตอนที่13
ผมเบี่ยงตัวหลบสายตาคาดคั้นของไอ้ซังซึ่งยิงมายังกับห่าธนูเพลิง
เมื่อวานนี้พอกินข้าวกลางวันกับครอสเสร็จผมก็บอกให้มันไปส่งบ้านและปิดกั้นตัวเองจากโลกแห่งความจริงทั้งมวล ปิดเน็ต ปิดมือถือ ปิดม่าน ปิดตานอน นอนมันตั้งแต่บ่ายสาม เหมือนคนประสาทแดก ตื่นอีกทีตอนตีสองขึ้นมานั่งดูบอลหลีกยุโรปซึ่งปกติไม่เคยให้ความสนใจ ผมสุ่มเลือกหนึ่งในสองทีมขึ้นมาเชียร์แล้วทีมที่ว่าก็แพ้ไปสองศูนย์ เกลียดความกาลกิณีของตัวเองเบาๆ บอลจบตอนตีสี่นิดๆผมเลยเดินออกไปซื้อปาท่องโก๋มาแทะเล่น น้ำเต้าหูจืดไปไม่อร่อย
เพราะเสล่อติสแตกแดกข้าวเช้าตั้งแต่ตีสี่ทำให้มาหิวในคาบตอนเก้าโมง
“หิวอ่ะ...”ซังเหลือบตามองผมด้วยสายตาเย็นชา
“กูไม่มีป็อกกี้กล่องแดงให้มึงแดกหรอกนะ บ่นไปก็ไม่อิ่ม มีตีนก็เดินออกไปหาซื้ออะไรมากินเอง”มันคงโกรธที่ผมไม่เล่าเรื่องที่ไปเลี้ยงสายรหัสสักแอะแถมเมื่อวานยังไม่มาเรียนอีกแต่ผมตัดสินใจว่าจะไม่เล่าให้มันฟังแบบเด็ดขาดไม่งั้นมันได้เอาเลือดหัวผมออกแหง
ซังชอบล้อตอนมีคนมาจีบผมก็จริง แต่มันจะด่าตอนผมทำตัวให้ความหวังทั้งๆที่ไม่มีหวัง ผมจึงเลือกปฏิเสธทุกคนแบบไร้เยื่อใยมาตลอด..ซึ่งมันไม่ใช่กรณีของครอส
ผมยอบรับว่าหวั่นไหว
แม้จะหวั่น...แต่ก็ยังไหวอยู่ ผมยังไม่ตกหลุมรักมันเร็วขนาดนี้หรอก แต่ผมทำใจเรื่องพี่นารายณ์ได้แล้ว เอาจริงๆก็ทำใจเผื่อไว้นานแล้วล่ะ
“งั้นกูไปหาไรกินแปปนะ ถ้ามีควิชก็ยิงมา กูไปไม่ไกล”
“อืม”
ผมถือกระเป๋าตังค์เดินออกจากห้องบรรยายมา เรียนมหาลัยก็ดีตรงไม่ต้องขออณุญาตคนสอนเวลาจะไปไหน
“เพลิน!”ผมหยุดเท้าซึ่งกำลังก้าวลงบันได หวานวิ่งกระหืดกระหอบตามผมออกมาจากห้อง สีหน้าฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นยังไงมั่ง...ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่เจอกันเลย เกิดอะไรขึ้นระหว่างเพลินกับพี่...”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น!”ผมตวาดออกไปเสียงดัง ไม่อยากได้ยินชื่อของคนคนนั้นจากปากของใครทั้งนั้น! ไม่อยากนึงถึงเรื่องเมื่อคืนนั้นด้วย
“ขะ...ขอโทษ เราแค่เป็นห่วง...ตอนเช้าตื่นมาก็ไม่เห็นเพลิน พี่เขามาถามเราว่า...เอ่อ ขอโทษนะ ถ้าไม่อยากนึกถึงก็ไม่เป็นไร ขอโทษนะ ก็แค่เป็นห่วง ไม่กวนแล้ว บาย”หวานจ๋อยสนิทเลย ผมมองตามแผ่นหลังบางจนเธอกลับเข้าห้องบรรยายไปอีกครั้งถึงค่อยเดินคอตกไปหาอะไรใส่ท้องตัวเอง
ข้าวหน้าหมูทอดวันนี้รสชาตแย่ลงเยอะ ผมกินได้สามคำก็อยากจะทิ้งแล้ว แต่ก็เสียดายเลยได้แต่นั่งกล้ำกลืนฝืนกินมันเข้าไป แต่ฝืนนานไปหน่อยเลยเวลาหมดคาบแรกทำให้มีนักศึกษาออกไปเดินยืดเส้นยืดสายเต็มไปหมด
“โย่ว! มานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียวจ๊ะคนสวย!!”ไอ้แว่นโจ้และผองเพื่อนเดินเข้ามาทัก พวกมันนั่งร่วมโต๊ะผมอย่างเป็นกันเอง
“นั่งอ่อยเหยื่ออยู่ แต่เหยื่อที่ตกได้เหียกเกิน ว่าจะไปละเนี่ย”
“ใจร๊ายยยยยยยย”โจ้ทำหน้าเหมือนจะขาดใจเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆรวมถึงผมด้วย”ใช่สิ! โจ้มันไม่หล่อ! โจ้มันไม่รวย! แถมKไม่ใหญ่ โอ๊ยย!”ผมดีดปากมันไปทีเล่นเอาร้องเสียงหลงเลย
“สมน้ำหน้า ฮ่ะๆๆๆ”กลับไปม่อแม่แก้วของมึงโน่นไป ชู่วๆ อย่ามายุ่งกับกู กูอารมณ์ไม่ดี
“คนน่ารักมักใจร้ายอย่างที่เขาว่า โอ๊ะๆๆๆ อย่าๆ ท่าเดิมใช้โจมตีข้าไม่ได้ผลหรอก ฮึ!”มันคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกการ์ตูนต่อสู้อยู่รึไง ผมได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอาในความบ้าของมัน
“ว่าแต่มาทักมีไร?”
“จะชวนโดดเรียนน่ะ ไปดูหนังกันป่าว”เมื่อวานก็เพิ่งโดดมา โจ้น่าจะรู้นะแต่ก็ยังมาชวนผมอีก
“ไม่เรียนเหรอ คาบต่อไปชีวะนะ”
“ก็เพราะเป็นชีวะไงเลยชวนโดด จารย์สอนน่าเบื่อจะตาย ฟังไปก็จำอะไรไม่ได้หรอกขนาดชื่อเขากูยังจำไม่ได้เลย ไปดูหนังกัน นะๆๆๆๆๆ”
“เรื่องไร”น้องเพลินคนใจง่ายหูตั้งหางกระดิกเมื่อมีคนมาชวนโดดเรียน
“หลอนรัก อาฆาตร้าย”
หนังบ้าไรเนี่ย แค่ชื่อเรื่องก็สยองแล้ว อย่าบอกนะว่ามันชวนผมดูหนังผีอ่ะ ไม่เอ๊าๆ อยู่บ้านคนเดียวมันน่ากลัวนะเว้ย ผมเบะปาก ส่ายหัวดิ๊ก พอเห็นผมปฏิเสธจริงจังเชี่ยโจ้เลยอ้าปากเตรียมจะโฆษณาโน้มน้าวใจไอ้หนังบ้าๆของมันต่อ
“ไปดูเหอะ กระแสดีนะ...รับรองขนหัวลุกไปสามวันเจ็ดวัน”
“ถุ้ย! เชี่ยโจ้ มึงก็ควายนะ! ดูหน้าเพลินดิ แค่มึงพูดชื่อเรื่องก็ขยาดซะขนาดนั้น มึงเสือกไปบอกเขาว่าหนังโคตรน่ากลัวเขาคงไปกับมึงหรอก”เพื่อนของโจ้ตบกะโหลกมันไปป้าปนึงก่อนสั่งสอนยกใหญ่
“อ่า...ใช่ กูไม่ชอบดูหนังผีน่ะ”
“จริงดิ! โหยไรว้า...ว่าจะชวนไปดูสักหน่อย”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของโจ้
พวกเราทั้งโต๊ะหันไปมองคนมาใหม่ซึ่งถือวิสาสะนั่งลงตรงข้ามผม ร่างสูงเจ้าของใบหน้าชวนมองยกมือทักโจ้อย่างสนิทสนม
“ไงมึง จะจีบเพลินเหรอ”ครอสถามไถ่โจ้ด้วยสีหน้าระรื่นประดุจสิ่งที่มันถามเป็นเพียงคำทักทายเรื่องดินฟ้าอากศทั่วๆไป
“คงงั้น เห็นไม่ได้กับมึงสักทีกูเลยลองมาแย๊พๆดู”
“กูบอกเลยเหนื่อยเปล่า คนนี้เขาใจแข็งสุด สตรองฮาร์ทมาก”
“เออ กูก็ว่างั้นแต่เห็นแล้วมันอดไม่ได้จริงๆ อยากรู้ว่าหน้าอย่างนี้เวลาดูหนังผีจะเป็นยังไง”หน้าอย่างกูมันเป็นยังไงมิทราบ! ผมจิกตามองเชี่ยโจ้ที่ทำหน้าเพ้อๆใส่ผม
“กูกับมึงนี่สันดานเดียวกันหรือผู้ชายปกติเขาก็เป็นแบบนี้กันวะ นี่กูเห็นรีวิวในเน็ตเลยรีบมาคณะเพลินเลยเนี่ย”
“กูว่าสันดานผู้ชายว่ะ เหี้ยครอสมึงลองนึกภาพดิ ตอนที่ผีโผล่มาแล้วมีคนน่ารักร้องวี๊ดว๊ายเกาะแขนเรา อื้อหืมมมม” บทสนทนาพวกมึงนี่มัน...เห็นใจกูหน่อย คิดบ้างไหมว่ากูจะทำหน้าไม่ถูก!?
“ไปดูกันเถอะเพลิน!”มึงไม่ต้องมโนตามไอ้ปัญญาอ่อนโจ้แล้วมาเดือดร้อนกูเลยเชี่ยครอส ผมส่ายหัวรัวๆ”เพลินนนนนน”ต่อให้ทำเสียงอ้อนก็ไม่ใจอ่อน!! ไม่ไปๆๆๆๆ เข้าใจไหมว่าไม่ดู๊ววววว”เพลินเขินพวกมึงอ่ะ หลบฉากดิ๊ กูจะได้ตื๊อสะดวกๆ”พอผมไม่ใจอ่อนครอสก็หันไปพูดกับพวกโจ้ที่นั่งหน้าสลอนกันอยู่
“เออๆ ไปก็ได้วะ ไปละขอให้โชคดี โจ้ไปก่อนนะจ๊ะเพลิน ไว้ว่างๆจะมาตอดใหม่”
“ไปแล้วไม่ต้องมาให้เห็นอีกนะ”ผมโบกมือไล่ไอ้โจ้และผองเพื่อนซึ่งเดินดี๊ด๊าจากไปพร้อมกระเป๋า เตรียมพร้อมโดดมากมึง มีการหันมาทำมือเป็นรูปหัวใจให้อีกนะ ไม่มีสลดเหมือนใครบางคนไม่มีผิด
“เห้อ”
“รำคานเหรอ”คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมเอ่ยถาม
“เปล่าหรอก ก็ตลกๆดี พวกมึงดูสนิทกันนะ”
“ก็นิดหน่อย ตีซี้ไว้ถามเรื่องเพลินไง ฮ่ะๆๆ ว่าแต่จะไม่ไปดูจริงๆอ่ะเหรอ?”
“ไม่ชอบหนังผี”
“ป๊อดว่ะ”
“ก็กูอยู่บ้านคนเดียวหนิ!”
“งั้นเดี๋ยวขนของไปอยู่ด้วยเอามะ”
“ไม่เอาเว้ยยยย มึงมีแต่ได้กับได้!”คนบ้าอะไรหน้าด้านจริงๆ ข้อเสนอมันเรียกเสียงหัวเราะจากผม ผมขี้เกียจถามมันแล้วว่าไม่มีเรียนเหรอเพราะถามคำถามนี้กี่ทีก็ได้รับคำตอบว่าไม่มีกลับมาตลอด ได้ยินแล้วก็อิจฉา ไม่ถามดีกว่า ชิส์
“งั้นถ้าเป็นเรื่องอื่นจะไปดูด้วยกันป่าว?”
“เรื่องไรอ่ะ”สิ้นคำพูดผม ครอสก็ตาโตสีหน้าฉายแววประหลาดใจจนผมงงว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป
“เพลินเลือกสิ กูดูได้หมด”โยนภาระมาให้กูอีก ผมแยกเขี้ยวใส่คนชวนก่อนจะควักโทรศัพท์ออกมาเปิดดูรายการหนังเข้าใหม่ช่วงนี้ ผมไม่ค่อยได้ดูหนังในโรงสักเท่าไหร่ ยิ่งเข้ามหาลัยมายังไม่เคยดูเลยสักครั้งผมเลยตั้งใจเลือกเป็นพิเศษโดยไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ระหว่างเรื่องนี้กับเรื่องนี้...มึงจะดูอันไหน”ผมคัดเรื่องที่น่าดูออกมาสองเรื่องและยื่นมือถือไปให้ครอสตัดสินใจ มันหยิบไปดูก่อนจะชี้เรื่องแรกซึ่งเป็นหนังโรแมนติกของฝรั่ง
“หน้าอย่างมึงดูหนังแบบนี้เหรอวะ ไม่ต้องเลือกเอาใจกูนะสองเรื่องนี้กูดูได้หมด”
“เรื่องนี้แหละ เขาว่ามีฉากเรทด้วย เผื่อดูไปเนียนๆตามท้องเรื่องไปได้”
เนียนเชี่ยไรของมึ๊งงงงง ในโรงมึงจะไม่ละเว้นกูหน่อยเหรอ!? ผมถลึงตามองไอ้คนตรงหน้า
”งั้นเอาเรื่องสองละกัน จบ! มึงห้ามแย้ง! เดี๋ยวกูเข้าไปหยิบกระเป๋าแป๊ป รอตรงนี้นะ”ผมชี้นิ้วใส่คนงอแงที่อ้าปากกว้างเตรียมตื๊อจะดูหนังโรแมนติกค่อนไปทางอีโรติคของมัน โต๊ะที่ผมนั่งต้องเดินอ้อมมุมตึกนิดนึงถึงจะเจอบันไดขึ้นห้องบรรยายรวม ผมบอกให้ครอสนั่งรออยู่ที่เดิมและเดินไปเอากระเป๋า
อาจารย์ชีวะเจ้าของวิชานี้แกสอนไม่สนนักศึกษาก้มหน้าอ่านไสลด์อย่างเดียวซึ่งดีต่อการโดดเรียนสุดๆ ทว่าพอเลี้ยวผ่านมุมมาได้สองขาของผมก็หยุดกึก นัยน์ตาไหววูบสะท้อนภาพของร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีดำเข้ม วันนี้เจ้าตัวอยู่ในเสื้อช็อปของคณะทำให้ดูหล่อไปอีกแบบ
“พี่...นารายณ์?”ผมเอ่ยทักอย่างลังเล เดือนวิศวะที่มาด้อมๆมองๆอยู่หน้าห้องบรรยายของชาวบ้านหันมาหาผมด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก
เราสองคนมองหน้ากันเงียบๆ อึกอักไม่มีคำพูดอยู่เกือบห้านาที
“เพลิน...พี่มีเรื่อง...เรามีเรื่องต้องคุยกัน”เป็นพี่นารายณ์ที่ตามหาคำพูดของตัวเองเจอก่อน เขาเดินเข้ามาใกล้ คว้าแขนของผมไว้เหมือนกลัวว่าผมจะวิ่งหนีไปอีก...เหมือนคืนนั้น
“ไม่มีแล้ว พอเถอะนะ ผมไม่ติดใจอะไรแล้ว ปล่อยผมเถอะ...”ผมพยามสะบัดมือพี่เขาออก แน่นอนว่ามันไม่ได้ผลอะไรสักแอะ พี่เขาแค่ขมวดคิ้วแล้วออกแรงบีบแน่นกว่าเดิมจนผมต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บ
“พี่ลองปล่อยเราไปแล้ว ทั้งวันนั้นหรือเมื่อวาน พี่ตั้งสติแล้วกลับไปนั่งคิดมาดีแล้ว พี่คิดว่าเราควรเคลียร์กันก่อนที่เรื่องทั้งหมดจะคาราคาซังอยู่ในใจตลอดไปนะ!”
“...”ผมหยุดออกแรงบิดข้อมือหนีจากการกอบกุม เงียบและเริ่มรับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย
ถูกอย่างที่พี่เขาพูด
ยังไงซะเรื่องของผมกับพี่นารายณ์มันก็จบตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม ทว่าเรื่องมันก็เกิดขึ้นเพราะความขลาดเขลาของพวกเรา และเรื่องที่ว่าก็จะค้างคาใจเราสองคนแบบนี้ไปตลอดถ้าหากไม่พูดคุยกันดีๆ
มันจะฝังลึกเป็นความละอายใจ ต่อให้เริ่มต้นใหม่กับใครมันก็จะตามติดเราไปทั้งอย่างนั้น “ตกลงครับ...แต่แค่แป๊ปเดียวนะ...”
“เพลิน...!” ชั่วขณะที่ผมตอบตกลงก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ผมหันไปทางนั้นและพบกับครอสที่มองมาอย่างผิดหวัง
ทั้งๆที่มีเจตนาดีแท้ๆ แต่สิ่งที่ผมทำมันดูผิดพลาดไปหมดทุกอย่าง
ตอนนี้ครอสจะรู้สึกยังไงกันนะ มาชวนผมไปดูหนัง ผมตอบตกลง พวกเราเลือกเรื่องที่จะไปดูด้วยกันดีๆ ผมบอกให้มันรอเพื่อจะมาเอากระเป๋า แต่พอผมหายไปนานมันก็เลยมาตาม แล้วดูสิ่งที่มันเห็นตอนนี้สิ
ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดซิบ เสตามองพื้นเพราะทนเห็นแววตาตัดพ้อคู่นั้นไม่ได้ ผมจึงไม่เห็นว่าตอนที่ครอสหันหลังแล้วเดินจากไปมันมีสีหน้ายังไง
“ไปกันเหอะพี่...”ผมหันไปกล่าวกับพี่นารายณ์ด้วยน้ำเสียงหมดแรง พี่เขาสะดุ้งแล้วปล่อยมือจากผม นัยน์ตาสีนิลมองใบหน้าอ่อนแรงของผมอย่างรู้สึกผิด
“พี่ทำให้เรื่องมันยุ่งกว่าเดิม พี่ขอโทษ”ผมส่ายหน้าแทนการปฏิเสธ เดินนำพี่เขาลงบันได เลือกที่นั่งเหมาะๆซึ่งไม่ใช่โต๊ะตัวเดิม ตีหน้าเรียบเฉยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความรู้สึกตอนนี้ตีกันยุ่งไปหมด
“พี่รีบพูดมาเหอะ ตอนนี้แหละ...”
ตอนที่ความรู้สึกหลากหลายตีกันยุ่งในหัวใจแบบนี้แหละ เหมาะจะตัดความรักทิ้งจากใจที่สุดแล้ว
พี่นารายณ์สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ผมว่าความรู้สึกของพี่แกตอนนี้ก็ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ คนอกหักสองคนมากองรวมกันบรรยากาศก็หดหู่อย่างที่เห็น”ก่อนอื่นพี่ต้องขอโทษเราจริงๆ พี่ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรทั้งนั้น แต่พี่มาที่นี่เพื่อบอกเราสองข้อ...”
“หนึ่งคือพี่รักเพื่อนของพี่ ... อันนี้เพลินน่าจะรู้”โฮยยย ถ้าพี่รู้ว่าผมรู้แล้วพี่จะบอกเพื่อตอกย้ำผมเพื่ออะไร!? ผมได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ก้มหน้าก้มตามองลายไม้บนโต๊ะอย่างคนวางตัวไม่ถูก โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาเรียนจึงไม่มีคนเดินผ่านไปผ่านมาผมเลยไม่ต้องทนต่อสายตาเคลือบแคลงจากรอบสารทิศ
“ส่วนข้อที่สอง...อันนี้พี่ว่าเราไม่รู้...”
“เห?”ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย เริ่มกล้าสบตากับผู้ชายตรงหน้า
“พี่คิดว่าเราไม่ได้ชอบพี่แบบนั้น...ที่เราแอบเดินตามไปส่งพี่ที่บีทีเอสบ่อยๆนั่นพี่รู้ตัวนะ ตอนที่เรามาดูพี่ที่สนามบาสด้วย แต่สิ่งที่พี่เห็นก็คือแฟนคลับตัวน้อยคนนึงที่ชื่นชมในตัวพี่มากๆเท่านั้น...”
“พี่พูดอะไรน่ะ ผมไม่เข้าใจ...”
“เพลินแค่ชอบพี่ในฐานะแฟนคลับคนนึง ไม่ได้ชอบพี่อย่างคนรัก นั่นคือความเห็นของพี่นะของเพลินเป็นยังไงพี่ไม่รู้ แต่ถ้าคิดแบบนี้ก็น่าจะรู้สึกดีขึ้นใช่ไหมล่ะ”
“!!?”ผมใบ้แดกไปแล้วเรียบร้อย ตั้งแต่เจอพี่เขาจนกระทั่งเมื่อครู่ผมไม่เคยคิดถึงมุมนี้มาก่อน
ตอนนี้คงหมดชั่วโมงพอดีเลยมีคนแห่ออกมาจากห้องบรรยายเยอะพอสมควร พี่นารายณ์ก้มมองนาฬิกาข้อมือของตนก่อนคลี่รอยยิ้มอบอุ่นมาให้ผม มือแกร่งเอื้อมมาลูบหัวอย่างอ่อนโยน “พี่ต้องไปแล้ว หวังว่าเจอกันครั้งหน้าเพลินจะมีสีหน้าที่ดีกว่านี้นะ”
กล่าวลาสั้นๆแล้วก็เดินจากไป
" ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " ' " '
ฉากนี้เป็นหนึ่งในฉากแรกๆของเรื่องที่เราวางพล็อตเอาไว้
ทีแรกเราตั้งใจให้เพลินวิ่งตามครอสไปนาทีนั้นเลย แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดของเราในฐานะคนแต่ง
ถ้าเป็นความคิดของเพลิน...
เราเชื่อว่าเพลินจะเลือกตัดพี่นารายณ์ก่อนค่อยวิ่งตามครอสออกไปมากกว่าวิ่งตามครอสออกไปโดยปล่อยเรื่องในอดีตให้ค้างคา
ปล.หลอนรักอาฆาตร้ายคือหนังเกี่ยวกับผู้ชายที่แต่งงานใหม่โดยมีวิญญาณของภรรยาเก่าตามหลอกหลอนครอบครัวใหม่ของเขาค่ะ 55555+
ปล.2 วันวาเลนไทน์จะลงตอนต่อไป