ตอนที่22
ผมหนีออกมาจากห้องของครอสทันทีที่ลืมตาตื่น ผมอาบน้ำแต่งตัวด้วยความเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะกลัวว่าคนบนเตียงจะตื่นขึ้นมาเห็น ผมยังไม่พร้อมพูดคุยกับมันตอนนี้ ถึงแม้จะเจ็บทุกก้าวที่เดินแต่ผมก็ผลุนผลันออกมาจากห้อง วิ่งขึ้นแท็กซี่และกอดเข่าหน้าเศร้า
ทั้งๆที่ลังเลขนาดนั้น ทั้งๆที่ไม่รู้ว่ารักจริงๆหรือเป็นแค่ที่พักใจแต่ผมก็ยอมครอสไปแล้ว
จุดนี้โดนด่าว่าง่ายคงไม่พอ ต้องเลวขนาดไหนกันนะถึงทำร้ายความรู้สึกคนที่รักเราขนาดนั้นได้ลง
ครอสจะเสียใจขนาดไหนกัน จะเกลียดผมไหม
ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งผมก็กลับมาถึงทาวน์โฮม สิ่งที่ทำก็คือกระโจนขึ้นเตียงซบหน้ากับหมอนอยู่นิ่งๆอย่างคนไร้ค่ากว่าสามชั่วโมง
ครอสต้องตื่นแล้วแน่ๆแต่โทรศัพท์ของผมก็ยังแน่นิ่ง ไม่มีสายเรียกเข้าจากมัน ไม่มีกระทั่งแชทถามว่าหายไปไหน
“ฮัลโหล ซังเหรอ..”ท้ายที่สุดก็ทนอยู่คนเดียวไม่ได้จึงโทรไปหาเพื่อนสนิทเพื่อระบายทุกอย่างให้ฟัง
“อืม มีไร เออๆ เดี๋ยวค่อยเล่าตอนกูไปถึงแล้วกัน ไม่เกินครึ่งชั่วโมง”ปลายสายตอบมารวดเดียวราวกับมันรู้อยู่แล้วว่าผมโทรมาหามันเพื่ออะไร ผมนอนเป็นปลาแห้งรอเพื่อนซึ่งมาถึงในอีกครึ่งชั่วโมงถัดมาจริงๆ ไอ้ซังพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนทันทีที่มาถึง สงสัยผมคงลืมล็อคบ้าน
“ไอ้โง่เอ๊ยยยย! บ้านช่องไม่รู้จักลงกลอนมีโจรบุกเข้ามาจะทำยังไงวะ”มาถึงปั๊บก็สั่งสอนผมปั๊บ นี่แหละไอ้ซังพ่อคนที่สองของผม ผมหยัดกายขึ้นนั่งมองเพื่อนแบบหงอยๆ เส้นผมกระเซอะกระเซิงเพราะนอนเกลือกลิ้งกับเตียงอยู่ค่อนวัน ท้องก็หิวเพราะยังไม่ได้กินข้าวสักมื้อ
“ได้กับครอสแล้วใช่ไหม”
ผมนิ่งไปพักใหญ่ก่อนจำจำยักหน้าตอบ
“แล้วไง? เป็นแฟนกันยัง”
ผมส่ายหน้าเจื่อนๆ ก้มหน้างุดๆ เพื่อนของผมคงทำหน้าเบื่อโลกเหมือนคนพร้อมจะขย้ำคอผมได้ทุกเมื่ออยู่แน่ๆ ได้ยินเสียงถอนหายใจของซังดังแผ่วปลาย
“งั้นมึงจะยอมมีอะไรกับมันทำไมวะ?”
“นั่นแหละ...กูไม่รู้กูเลยโทรหามึง...”
“ตัวมึงเองยังไม่รู้แล้วกูจะไปตรัสรู้กับมึงเหรอ ฮะ!? มึงนี่น้า...กูเตือนมึงแล้วใช่ไหม”
“กูขอโทษ...กูไม่ตั้งใจ...”
“ที่กูเตือนเพราะกูรู้ไงว่ามึงยังไม่แน่ใจความรู้สึกตัวเองแต่มึงก็ไม่ฟัง มึงก็น่าจะรู้ว่าไอ้ครอสมันห้ามใจตัวเองไม่ไหวแล้วการไปอยู่ใกล้มันคือการยั่ว การไม่ห้ามคือยอม! มึงคิดว่าในสถานการณ์แบบนั้นครอสจะยับยั้งชั่งใจได้เหรอ คนที่ควรเศร้าไม่ใช่มึงแต่เป็นมัน!!”
“อย่าดุดิ...”
“มึงทำร้ายคนที่โคตรรักมึงเพลิน!! ไม่ให้กูโมโหได้ไงวะ”
“กู...ไม่อยากให้มันรู้สึกผิด...”แต่เชื่อเถอะว่าครอสต้องรู้สึกผิดและโทษว่าเรื่องเมื่อคืนทั้งหมดเป็นเพราะมันเองแน่ๆ ที่มีอะไรกับผมโดยที่ผมยังจัดการกับหัวใจตัวเองไม่เรียบร้อย
“กูควรกลับไปหามันไหม”
“มึงหนีมันออกมาเหรอ?”ซังตาโตด้วยความตกใจเมื่อผมพยักหน้าหงึกๆ
“กูกลัว...ก็เลยออกมาก่อนมันจะตื่น...”
“เหตุผลที่หนีออกมาคือ?”
“ไม่อยากเจอหน้าตอนนี้ กูไม่รู้ว่ากูชอบมันจริงๆหรือชอบเพราะมันเข้ามาตอนกูอกหักพอดี...ก็เลย...คิดว่าไม่เจอกันน่าจะดี
กว่า...”
“นี่มันได้โทรมาหาบ้างยัง”
“ไม่เลย”
“งั้นก็อย่าเพิ่งไป เอาให้ใจเย็นลงกว่านี้ทั้งคู่แล้วค่อยเจอกันน่าจะดีกว่า”
ผมห็นด้วยกับซัง วันนั้นทั้งวันไอ้ซังอยู่เป็นเพื่อนผมที่ทาวน์โฮม ตอนเย็นผมมีไข้นิดๆมันก็หาซื้อยามาให้ ตอนกลางคืนมันปลุกผมกินยาครั้งนึงพอเช้าวันถัดมาผมก็หายสนิทสามารถไปเรียนได้ตามปกติ ส่วนความเจ็บจากช่องทางด้านหลังไม่มากอย่างที่คิด ไอ้ครอสทำเบามากอย่างคนที่ไม่อยากทำให้คนรักเจ็บแบบที่พูด
หนึ่งวัน สองวัน สามวัน ผ่านไปแบบเลื่อนลอย ผมเหม่อบ่อยขึ้นจนหวานกับโจ้สังเกตเห็น ทั้งสองคนถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ผมก็บอกว่าแค่รู้สึกเพลียๆ
“ทะเลาะกับครอสเหรอ”นั่นคือสิ่งที่หวานถามขึ้นหลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ คราวนี้ไอ้ซังคงไม่เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง
“ทำไมถึงคิดอย่างงั้นล่ะ”
“เพื่อนเราที่อยู่วิทยาบอกว่าทั้งเพลินทั้งครอสไม่เข้าเรียนศิลปะวิจักษ์เลย แต่พวกนั้นบอกว่าเช็คชื่อให้แล้วไม่ต้องห่วง”คงเป็นสาวๆแฟนคลับครอสพวกนั้นสินะ เอาไว้คาบหน้าคงต้องขอบคุณสักหน่อย
“ไม่มีอะไรหรอกหวาน เรื่องเล็กน้อย”ผมตอบแบบนั้นเพื่อให้เธอสบายใจ ซึ่งเธอไม่เชื่อหรอกแต่ก็ทำเป็นเชื่อเพื่อความสบายใจของผมมากกว่า
และแล้ววันศุกร์ก็เวียนมาถึงอีกครั้ง คราวนี้ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีตื่นแต่เช้าและมุ่งหน้าไปเรียนวิชาเลือกเจ้าปัญหา ผมมาถึงตอนใกล้เวลาเรียน พอผมเปิดประตูเข้าไปหลายคนในห้องก็หันมามอง พอเริ่มเรียนแล้วยังไม่เห็นครอสแม้แต่เงาก็มีอีกหลายสายตาหันมามองยังผม
ผมกับครอสเลิกกันแล้ว พวกคนนอกคงคิดแบบนั้นซึ่งแม่งไม่เฉียดความจริงสักแอะ
“เกิดอะไรขึ้นกับครอสเหรอ”เป็นสาววิทยากลุ่มเดิมที่อดรนทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้นมาระหว่างสอน วันนี้ผมไปนั่งรวมกลุ่มกับพวกเธอเพราะเริ่มคุยกันสนิทสนมตอนเริ่มคาบ
“ไม่รู้เหมือนกัน ทำไมเหรอ”
“ก็เพื่อนเราที่อยู่มนุษย์บอกว่าครอสไม่มาเรียนเลย จะสองอาทิตย์แล้ว การบ้านก็ฝากแวนมาส่งตลอด แต่เห็นว่าวันพรุ่งนี้อาจารย์มีนัดคลาสเพิ่มเพราะมีพรีเซ็นต์งานอะไรเนี่ยแหละ ถ้าเจอครอสก็ฝากบอกให้เขามาด้วยนะ”
“...อืม ถ้าเจอจะบอกให้...”
แล้วกูจะไปเจอมันที่ไหนวะ
ผมรู้คำตอบนั้นอยู่แก่ใจ ก็ที่ห้องของมันไง
ผมพาตัวเองมาถึงหน้าคอนโดของมันช่วงเย็น เดินวนไปวนมาจนลุงยามชะเง้อคอมอง ผมรอจังหวะให้ผู้พักอาศัยคนหนึ่งแสกนด์คีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูคอนโดก่อนแทรกตัวเข้าไปด้านในด้วยความตื่นเต้น โชคดีที่ไม่มียามหรือเสียงตะโกนไล่หลังมาการลักลอบเข้าคอนโดหรูของผมจึงประสบความสำเร็จ แต่ภารกิจที่แท้จริงของผมสาหัสกว่านั้นนัก
ไม่รู้ว่าการเผชิญหน้ากับครอสตอนนี้จะส่งผลดีหรือแย่ แต่ผมก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องของมันแล้ว
ผมกดออด รอสักพักก็มีคนเดินมาเปิดประตู
ทว่าคนคนนั้นไม่ใช่ครอส
แต่เป็นคนที่ผมไม่คิดว่าจะมาอยู่ที่นี่...สองต่อสองกับครอส
“ซัน...นี่...”
“อ๊ะ เพลินมาหาครอสเหรอ เข้ามาก่อนสิ ครอสกำลังจะออกไปข้างนอกพอดีมีอะไรก็รีบคุยนะ”วันนี้ซันนี่ไม่ได้จิกใส่ผมอย่างทุกครั้งแต่เธอมองผมด้วยแววตาที่บอกชัดมากว่า’เธอชนะ’
หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเดินเข้ามาด้านในและพบคนที่มาหากำลังยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจกในห้องนั่งเล่น ครอสมองเงาสะท้อนของผมในกระจกอย่างแปลกใจ
“เพลิน...”ครอสหันกลับมา พวกเรายืนมองหน้ากันอึกอัก คำพูดที่เตรียมมาทั้งวันหายไปจนหมดสิ้น
“กำลังจะ...ไปไหนเหรอ”ไปกับใคร ซันนี่รึป่าว?
“ที่บ้านนัดให้ไปกินข้าวน่ะ พ่อจะพูดเรื่องหมั้นกับแม่ใหม่ด้วย ขอโทษนะ ต้องไปแล้ว... มันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆคืนนี้คงอยู่คุยด้วยไม่ได้”
“อ่า...ไม่เป็นไร แค่จะมาบอกเรื่องคลาสพรุ่งนี้เฉยๆ อย่าลืมไปพรีเซ็นต์งานด้วยนะ”
เสียงโทรศัพท์ของครอสสั่น มั่นมองหน้าผมอย่างอาลัยขณะกดตัดสาย เดาว่าคนที่บ้านคงโทรมาตามแต่มันกลับไม่ยอมรับ
“ขอบคุณที่มาบอกนะ”ร่างสูงเอ่ยแล้วก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ พวกเราไม่มีใครพูดไล่หรือบอกลากันสักคำทั้งๆที่มันได้เวลาแล้วจริงๆ
“ไม่เป็นไร ทำเสร็จรึยัง...ให้ช่วยไหม?”ผมแอบหวังนิดๆว่าถ้ามันอนุญาตผมก็จะอยู่ทำที่นี่รอจนกระทั่งมันกลับมา
“ใกล้แล้วล่ะ ขอบคุณที่หวังดีนะ...แต่ซันเขาอาสาทำให้แล้ว”สิ้นคำผมก็หันขวับมองร่างบางเจ้าของใบหน้าแสนสวยซึ่งกระหยิ่มยิ้มมุมปากอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง เธอไม่ได้ตอบรับหรือเข้ามาร่วมบทสนทนาแต่ทั้งสีหน้าและแววตาของเธอแสดงออกว่ากำลังเย้ยหยันผมอย่างชัดเจน
ชัดจนนึกสงสัยว่าครอสงสังเกตไม่เห็นเหรอ
ทำไมถึงปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้ทำหน้าแบบนั้นใส่ผมโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ทำไมถึงปล่อยให้ผู้หญิงที่ขนาดผมยังมองออกว่าชอบมันเข้ามาอยู่ร่วมห้องกันสองต่อสอง
“ขอโทษนะเพลิน ต้องไปแล้วจริงๆ”เสียงโทรศัพท์ของครอสดังขึ้นอีกครั้งผมจึงพยักหน้าอย่างจำยอม
ความเจ็บปวดจากไหนไม่รู้ถาโถมเข้ามายามร่างสูงของผู้ชายที่แลดูไร้เยื่อใยเป็นพิเศษเดินสวนออกจากห้องไป
ปึง!
เสียงประตูห้องถูกปิดดังก้องในหัว ความเงียบไร้ที่มาโรยตัวเข้าปกคลุมรอบห้อง หญิงสาวซึ่งมาถึงก่อนผมขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็ทำใจผมสั่น ผมไม่อยากเห็นรอยยิ้มแบบนี้จากหล่อนแต่ผมกำลังตกใจกับครอสจนตั้งตัวไม่ติด
“ยืนบื้ออยู่นั่นแหละ มันเกะกะนะ เมื่อไหร่จะออกไปสักที”มือเรียวปัดไปมาเหมือนไล่หมาไล่แมว
“ทำไม...เธอถึงมาอยู่ที่นี่”มาเองหรือครอสบอกให้มาหา ผมถามด้วยความหวาดหวั่น กลัวว่าคำตอบคืออย่างหลัง
“ครอสโทรมาหาเมื่อเช้า บอกให้มาอยู่เป็นเพื่อน...”
“โกหก!!”
“หึ”ซันนี่ทำเสียงขึ้นจมูก ร่างบางเดินกระทบไหล่ผมตรงไปยังห้องนอน เธอเปิดประตูเข้าไปด้านในก่อนประตูบานนั้นจะปิดลงเธอก็ปลายสายตาสุดแสนเวทนามายังผมก่อนจะกล่าวสั้นๆแต่แสนบาดใจไว้ว่า
“ผู้ชายน่ะนะ...เมื่อเขาได้สิ่งที่ต้องการแล้วเขาก็จะเปลี่ยนไป เป็นธรรมดาน่า อย่าคิดมากเลยเนอะ”
มีใครเคยบอกเธอรึป่าวว่านิสัยของเธอมันน่ารังเกียจ
ผมเก็บเอาคำพูดของเธอมาคิดนิดหน่อยแต่ไม่ได้ใส่ใจมากนัก สิ่งที่ผมควรสนใจไม่ใช่คำพูดของเธอและไม่ใช่การกระทำครอส แต่เป็นความในใจที่แท้จริงของผมเองต่างหาก
ถ้ารู้ว่ารักแล้วถึงมีสิทธิ์หึงหวง
ถ้ารู้ว่ารักแล้วค่อยเสียใจที่ถูกหมางเหมิน
แล้วต้องทำยังไงถึงจะรู้ล่ะ...ว่ารักรึป่าว?
ความรู้สึกที่บรรยายออกมาไม่ได้ตอนที่ประตูห้องเปิดออกแล้วเห็นเต็มตาว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าคือซันนี่ ความเจ็บบาดลึกนั้นเกิดจากความรักหรือไม่
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
เนื้อเรื่องช่วงนี้เป็นช่วงที่ยากที่สุดในเรื่องค่ะ
เราไม่รู้ว่าจะสร้างจุดเปลี่ยนให้เพลินรู้ตัวว่า'หลงรักครอสเข้าแล้วนะ'ยังไงดี
จะปล่อยให้เรื่องดำเนินไปอย่างจืดชืดจนวันนึงทั้งสองคนก็สารภาพรักและคบกันก็กลัวว่าความรักที่เพลินเข้าใจจะใกล้เคียงกับความผูกพันธ์หรือสงสารมากเกินไป
สุดท้ายเราเลยสร้างรอยร้าวเล็กๆนี้ขึ้นเพื่อให้เกราะที่เรียกว่า'ความไม่รู้'ซึ่งห่อหุ้มใจเพลินเอาไว้กระเทาะออก
แต่พอถึงเวลาต้องโพสต์ตอนที่แล้วลงเว็บเราก็เกิดความไม่มั่นใจขึ้นมา อารมณ์ประมาณว่า เนื้อเรื่องแบบนี้ดีแล้วรึยังนะ T_T
มันยากมากจริงๆ
ยากสุดๆ
สิ่งที่ยากที่สุดในการแต่งนิยายของเราคือห้วงเวลาที่ตัวละครรู้ใจตัวเองนี่แหละ
ยากเหลือเกิน ถ้าถึงวันที่แต่งนิยายได้กลมกล่อมเร็วๆก็คงดีนะคะ TT