**สุราใต้แสงจันทร์** [แนวจีนโบราณ] บทที่ 17 : ข่าวลือ (2) P.10 UP 18/12/2559
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: **สุราใต้แสงจันทร์** [แนวจีนโบราณ] บทที่ 17 : ข่าวลือ (2) P.10 UP 18/12/2559  (อ่าน 83878 ครั้ง)

ออฟไลน์ poogan_zadd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ถ้าฟื้นนะะะ สนุกแน่นอนนนน
รอติดตามนะคะ อยากให้อัพยาวกว่านี้จังน้าา ฮือออ

ออฟไลน์ insunhwen

  • FREEDOM!!!!
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5
เพิ่งเข้ามาอ่านทีเดียวเลย
คืออยากจะบอกว่าชอบมากกก :hao5: สนุกมากก น่าติดตามมากค่ะ
แต่งได้ลื่นไหลดีทั้งที่เป็นแนวนิยายจีนโบราณ
แต่งหวังตอนจบจะไม่เศร้าโน๊ะ :katai1:
จะรอตอนต่อไปนะค้าา :mew1:

ออฟไลน์ Honeyhoney

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เมื่อไหร่จะฟื้นน้าาา ข้ามารอที่ท่านที่ท่าน้ำทุกวันเลย

ออฟไลน์ NakiDGM14

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
บทที่ 8 : คำถาม



     ร้อน...

     ความรู้สึกแรกเมื่อลืมตาขึ้นในความมืดอีกครั้งคือความร้อนจากอ้อมแขนของใครบางคนที่กอดประคองตัวเองเอาไว้ ความรู้สึกต่อมาคือความรู้สึกหนักอึ้งของร่างกายที่หนักราวกับถูกถ่วงไว้ด้วยโซ่เส้นหนาจนแม้แต่ปลายนิ้วก็ยังขยับไม่ได้

     ความมืดที่โอบล้อมกายส่งให้คนเพิ่งฟื้นไม่แน่ใจนักว่าตนเองตื่นขึ้นมาแน่แล้วหรือ? แต่เมื่อสติเริ่มกลับมาพร้อมกับเรี่ยวแรงที่ฟื้นคืนเขาจึงได้แน่ใจว่าตัวเองตื่นแล้วแน่ๆ

     ความมืดเช่นนี้เขาอยู่กับมันมานานหลายเดือนจนคุ้นเคยกันดีแล้ว หากกลิ่นอายของบุคคลที่โอบกอดตัวเองตอนนี้กลับไม่ใช่สิ่งที่เขายินดีจะคุ้นชินเด็ดขาด

     ลู่ซือเหยียน

      ยังไม่ทันจะได้ขยับตัวดิ้นผลักอกของศัตรูออก ร่างทั้งร่างก็ถูกอ้อมแขนแข็งแรงรัดเอาไว้จนแทบขยับไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสภาพของเขาที่เรี่ยวแรงยังไม่กลับมาเช่นนี้ หลิวช่างหลินเกร็งขึ้นอย่างไม่พอใจ พยายามออกแรงต่อต้าน เค้นเสียงแหบพร่าออกมาด้วยความขุ่นเคือง

      "ปล่อยข้า"

      "อย่าดื้อ" เจ้าของอ้อมแขนตอบเสียงแข็งโอบกอดเขาไว้ให้แน่นกว่าเดิม พลันความรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ปลายนิ้วก็ส่งให้สติคนเพิ่งฟื้นแจ่มชัดขึ้น ร่างกายคล้ายมีเรี่ยวแรงขึ้นมาตามลำดับ

     ฝังเข็มสินะ เมื่อเริ่มรู้เจตนาท่าทางขัดขืนก็ค่อยลดลง แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าให้ความร่วมมือ จะอย่างไรฝังเข็มที่นิ้วก็ไม่จำเป็นต้องกอดเขาไว้แนบอกเช่นนี้กระมัง เขาหลิวช่างหลินเป็นชาย ซ้ำยังเป็นถึงอดีตรัชทายาทแห่งต้าซาง เรื่องทำตัวอ่อนแอให้ศัตรูช่วยเยี่ยงนี้เขาไม่ยินดี ไม่ยินดีอย่างยิ่ง!

     "ท่านปล่อยช้าได้แล้วกระมัง?" หลิวช่างหลินเค้นเสียงแหบพร่าพูดขึ้นมาอีกครั้ง ออกแรงยกมือข้างที่ไม่ได้ถูกฝังเข็มอยู่มาดันอกของอีกฝ่ายออก

     การกระทำนี้เรียกให้คิ้วของท่านแม่ทัพใหญ่ขมวดแน่น ความรู้สึกไม่พอใจผุดขึ้นมาร่างสูงออกแรงกอดคนดิ้นแน่นขึ้นอีก ส่งสายตาให้ท่านหมอโจวหยุดการฝังเข็มชั่วครู่ ใช้จังหวะที่หมอชราหยุดมือหันมาปราบพยศคนดื้อต่อ

      "เมื่อครู่ท่านหายใจไม่สะดวก ท่านหมอโจวกำลังฝังเข็มปรับให้ อยู่นิ่งๆเถอะ" เพราะไม่อยากใช้ไม้แข็งกดดันคนป่วยใจนอาการกำเริบขึ้นมาอีก น้ำเสียงที่ลู่ซือเหยียนเลือกใช้จึงอ่อนกว่าปกติอยู่ถึงสามสี่ส่วน แต่คนป่วยกลับไม่มีทีท่าจะรับน้ำใจ

     "จะฝังเข็มก็ให้ข้าพิงหมอนไว้ก็ได้ ข้าหลิวช่างหลิน แม้ไม่มีแผ่นดินให้ปกป้องแล้วก็ยังเป็นชายชาติทหาร มิต้องการการดูแลที่มากเกินความจำเป็นเช่นนี้หรอก ท่านแม่ทัพลู่ปล่อยข้าลงเถอะ" อดีตรัชทายาทแห่งต้าซางตอบแทนน้ำใจด้วยถ้อยคำเย็นชา เมื่อเขาขยับตัวอีกครั้งลู่ซือเหยียนก็มิได้รั้งไว้อีก ปล่อยแขนออก หยิบหมอนมาประคองร่างโปร่งลงนอนแบบที่เจ้าตัวต้องการโดยไม่พูดอะไร

       เมื่อร่างกายเป็นอิสระแล้ว สีหน้าของหลิวช่างหลินถึงได้ดีขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจว่าการทำสงครามย่อมต้องมีผู้แพ้แลผู้ชนะ การที่ตนเองพลาดพลั้งจนต้องเสียแผ่นดินไปย่อมมิอาจโทษใครได้นอกจากตนเอง คนตายในสงครามเป็นเรื่องปกติ ท่านฆ่าคนของศัตรูได้ ศัตรูย่อมฆ่าคนของท่านได้เช่นกัน

     เข้าใจ ทว่าหลังจากได้เห็นภาพกองซากศพสุดลูกหูลูกตานั่นแล้ว จักให้ทำใจยอมรับมันกลับมิใช่เรื่องง่ายดาย ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ การจะมองเรื่องราวของตนเองอย่างเป็นกลางไปเสียทุกเรื่องย่อมเป็นไปไม่ได้

     ท่านหมอชรามองภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าเงียบๆ เขาพรูลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง มือเหี่ยวย่นที่หยุดไปก่อนหน้าเริ่มขยับไปฝังเข็มบนข้อแขนเรียวขาวอีกครั้ง พลางเอ่ยออกมาเสียงเบา ทำลายบรรยากาศหนักอึ้งด้วยถ้อยคำเรียบง่าย

     "ร่างกายของท่านแข็งแรงจริงๆ คนทั่วไปโดนขนาดนี้ น่ากลัวว่าต่อให้เจ็ดวันเจ็ดคืนก็คงยังขยับตัวไม่ได้"

     เสียงแหบพร่าอันคุ้นเคยนั้นคลายความตึงเครียดบนสีหน้าคนป่วยได้เล็กน้อย หลิวช่างหลินขยับตัวพอให้พิงหมอนได้ถนัดขึ้น ค่อยตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

     "...ขอบคุณท่านหมอโจว ช่างหลินทำท่านเดือดร้อนอีกแล้วกระมัง.." ถ้อยคำที่อดีตรัชทายาทหนุ่มเลือกใช้นั้นเหมือนเด็กน้อยพูดคุยกับญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ทำให้รอยยิ้มบนหน้าท่านหมอกว้างขึ้นเล็กน้อย ใจนึกเอ็นดูชายหนุ่มเบื้องหน้าขึ้นมา

     "นี่เป็นงานของข้า จะลำบากอะไรกันเล่า" ถึงตอนนี้เข็มเงินก็ถูกดึงออกทั้งหมด เก็บของเข้าที่แล้วจึงหันไปพยักหน้าให้ท่านแม่ทัพใหญ่ที่เอาแต่ยืนเงียบมาตั้งแต่ถูกผลักไสไปยกหม้อยาที่ต้มเอาไว้ลงจากไฟแล้วตักยาใส่ถ้วยมายื่นให้ตน

     ท่านหมอท่านนี้ถึงกับกล้าใช้งานแม่ทัพใหญ่ผู้กุมอำนาจสูงสุดของกองทัพได้อย่างหน้าตาเฉย เสียดายที่ตาของอดีตรัชทายาทหนุ่มใช้ไม่ได้แล้ว จึงไม่อาจเห็นภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดเบื้องหน้า ไม่อาจ...เห็นว่าอีกฝ่ายมองตนด้วยสีหน้าแบบไหน

     หมอชรารับยากลิ่นเหม็นฉุนมาดมด้วยสีหน้ายินดีราวยาในถ้วยเป็นชาชั้นเลิศ ผิดกับองค์ชายหนุ่มบนเตียงที่สีหน้าผิดสีไปเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นเหม็นเขียวร้ายกาจนั่น ความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าอย่างหาได้ยากทำให้คนมองเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ยาของท่านหมอโจว แม้จะให้ผลเป็นเลิศ แต่ความน่ากลัวของรส กลิ่น สี ก็เป็นเลิศเช่นเดียวกัน

      หลิวช่างหลินรับยามาด้วยท่าทางลังเลเล็กน้อย ถือไว้ชั่งใจแค่ชั่วครู่ก็กลั้นใจยกของเหลวที่ส่งกลิ่นเหม็นเขียวส่งเข้าปากตนเอง ทันทีที่ลิ้นรับรสได้ คนกินก็แทบจะสำลักออกมา คนมองส่ายหน้าเดินไปรินชาแล้วกลับมาจับมือเรียวเอาไว้ ส่งจอกชาให้ถึงมือ

     "ดื่มซะ นี่ชา" แม้น้ำเสียงจะเย็นชาไร้ความเป็นมิตร แต่เวลานี้อดีตองค์รัชทายาทแห่งต้าซางนั้นกลับไม่มีเวลาพิจารณาว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร ได้ชามาก็ยกกระดกเข้าปากทันที

     รสชาติของยาเทียบที่ดื่มเข้าไปแย่เกินคำบรรยาย หากคนส่งไม่ใช่โจวจั่งชิง เกรงว่าเขาต้องเข้าใจว่าหมอที่ยื่นยานี้มาให้กำลังปองร้ายตัวเองเป็นแน่...

     ทั้งขมทั้งเหม็นจนน้ำตาแทบไหล

     ฝ่ายท่านหมอชรายามนี้สีหน้ายิ้มแย้มยินดีจนหัวเราะถูกใจ เก็บของเข้าล่วมยาเสร็จมือเหี่ยวย่นจงค่อยจับข้อมือของคนป่วยมาสำรวจชีพจรอีกครั้ง

     "ไม่เลว..ไม่เลว หากอาการยังเป็นเช่นนี้อีกสองสามวันท่านก็หายขาดแล้วล่ะ"

     คนฟังขยับยิ้มชืด พยักหน้ากล่าวขอบคุณท่านหมอคนเก่งเบาๆ เมื่อเสร็จธุระ ลู่ซือเหยียนจึงเข้ามาประคองชายชราออกไปส่งหน้าห้อง ทิ้งให้คนป่วยอยู่เพียงลำพัง

     ....

     "แหม แหม ดูท่าที่ข้าไม่อยู่หลายวัน ที่นี่คงมีเรื่องสนุกๆเกิดขึ้นสินะ"  ร่างของหมอชราลับตาไป เสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังออกมาจากในเงามืด ลู่ซือเหยียนเหลือบสายตาคมกริบไปยังทิศทางนั้น ริมฝีปากยกยิ้มเย็นชา

     "สนุกมากทีเดียว"

     รอยยิ้มนั้นของสหายทำให้หลี่รุ่ยเต๋อประหลาดใจเล็กน้อย ดูท่าเรื่องสนุกที่ว่าจะสนุกมากจริงๆ ถึงได้ทำให้สหายของเขาโกรธเกรี้ยวขนาดนี้ ชายหนุ่มยักไหล่ หยิบม้วนกระดาษให้อีกฝ่ายด้วยท่าทางจริงจังขึ้น

     "จดหมายจากองค์ชายสาม ด่วนมาก เจ้าอ่านเอาเองแล้วกัน"

      พอได้ยินว่าผู้ส่งคือญาติผู้น้องของตน ลู่ซือเหยียนก็รับมาคลี่อ่าน กวาดสายตาผ่านตัวอักษรอย่างรวดเร็ว ใจความกระชับสั้นส่งให้คิ้วเข้มขมวดมุ่น อ่านจบมือหนาจึงค่อยพับจดหมายไปจ่อกับเปลวไฟ

     "องค์ชายรองเคลื่อนไหวแล้ว เว่ยหงต้องการกำลังเสริม"

     หลี่รุ่ยเต๋อพยักหน้ารับ เหลือบมองไปยังด้านในห้องที่ตัวประกันสูงศักดิ์พักอยู่ ลดเสียงลงแล้วกระซิบถามแผ่วเบา

     "เจ้าจะเอาอย่างไร ปล่อยต้าซางไว้แล้วกลับไปตอนนี้ไม่ดีแน่ เจ้าก็รู้ว่าพวกต้าซางยังไม่ได้ยอมศิโรราบ ตราบใดที่รัชทายาทของพวกเขายังมีชีวิตอยู่"

     ลู่ซือเหยียนมิได้ตอบคำถามทันที เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง คนเป็นสหายเห็นเช่นนั้นก็มิได้เร่งรัดอะไร ผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อ ร่างสูงจึงเริ่มขยับในที่สุด

    "รุ่ยเต๋อ คนของเจ้าต้องใช้เวลาเท่าไหร่จึงจะไปถึงห้าวโจว*(1)"

     "ประมาณหกวัน"

     "ดี" ใบหน้าของแม่ทัพใหญ่ปรากฏรอยยิ้มเยียบเย็น ดวงตาเรียวสีดำสนิทคมกล้าฉายแววเหี้ยมโหดให้ผู้ที่มองถึงกับสั่นสะท้าน

      "ข้ามีของขวัญจะส่งให้องค์ชายสามของเราชิ้นหนึ่ง คงจะซื้อเวลาให้เว่ยหงได้พักใหญ่เลยทีเดียว"

*********

     เจ็ดวันต่อมา ห้าวโจว เขตปกครองหนึ่งของต้าเสียง

     "เจ้าว่าอย่างไร ลู่ซือเหยียนบาดเจ็บหนักงั้นรึ!" ใครคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างตกใจ ใบหน้าอวบอูมจะฉายแววปิติยินดี รายงานลับจากสายที่แทรกซึมอยู่ข้างกายของแม่ทัพใหญ่นั้นไม่มีคราใดจะสร้างความตื่นเต้นให้กับเขาได้ถึงเพียงนี้

     รอคอยจังหวะมานาน ในที่สุดสวรรค์ก็ประทานโอกาสมาให้เสียที!

      "เด็กๆ!" เสียงแหบพร่าทว่าเต็มไปด้วยพลังชีวิตร้องเรียกเด็กรับใช้ที่อยู่หน้าห้องให้เข้ามา ร่างอวบขยับไปนั่งที่โต๊ะหนังสือหยิบพู่กันมาจุ่มหมึกตวัดเป็นอักษรอย่างรวดเร็ว เขียนเสร็จหยิบมาพัดๆสองสามครั้งให้หมึกแห้ง พับเป็นม้วนจดหมายและประทับตราประจำตัวให้เรียบร้อย

     "ส่งจดหมายนี้ให้องค์ชายสาม ด่วนที่สุด เข้าใจหรือไม่!"

     "ขอรับ ใต้เท้า"

*********

     "ท่านจะนั่งเหม่อแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน" เสียงทุ้มๆดังขึ้นเรียกความสนใจจากร่างโปร่งบางได้ในที่สุด หลังจากปล่อยในความคิดไหลไปกับความเงียบสงัดอยู่นานสองนาน

     "ตัวประกันเช่นข้า นอกจากนั่งเหม่อแล้วยังมีอย่างอื่นให้ทำงั้นรึ?" น้ำเสียงของคนเป็นตัวประกันยังคงกระด้างเช่นเดียวกับช่วงที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาไม่มีผิด ความเปลี่ยนแปลงอันเห็นได้ชัดนี้ สร้างความหงุดหงิดใจให้แม่ทัพใหญ่ไม่น้อย

     "คนตาบอดมากมายในใต้หล้าที่ข้าเคยเจอ ไม่มีผู้ใดเหม่อเก่งเท่าท่านสักคน"

     "แม่ทัพผู้เก่งกล้าข้าก็เจอมามากมาย ข้าเองยังไม่เคยพบผู้ใดปากร้ายเก่าเท่าท่านเช่นกัน"

     "......" ถูกย้อนมาเช่นนั้น ลู่ซือเหยียนมิได้โกรธ ยังขยับยิ้มมุมปากอย่างถูกใจ ลองว่าคนป่วยมีอารมณ์มาถกเถียงกับเขาเช่นนี้ คงไม่เป็นอะไรมากแล้ว

     เมื่อคู่สนทนาไม่ได้เอ่ยต่อประโยค หลิวช่างหลินก็ผ่อนลมหายใจเบา เลื่อนไปยังตำแหน่งที่จอกชาวางอยู่อย่างแม่นยำ ระยะหลายเดือนที่ผ่านมาประสาทสัมผัสของเขาฉับไวขึ้นมากจริงๆ

     "แล้วท่านไม่มีอะไรทำรึ ถึงได้มานั่งเฝ้าข้าแบบนี้" สุดท้ายคนที่หมดความอดทนก่อนคือฝ่ายคนป่วยที่พอจะรู้ตัวว่าถูกจับจ้องอยู่ทุกการเคลื่อนไหว การถูกจับจ้องเช่นนี้ทำให้เขาอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

    "มี ข้าก็กำลังทำอยู่นี่ไง" ลู่ซือเหยียนตอบรับเรียบง่าย สื่อเป็นนัยว่างานของตนก็คือการนั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้นี่แหละ

    คิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อย รัชทายาทหนุ่มสงบอารมณ์ตัวเองด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึกๆผ่อนลมหายใจออกยาวๆ โมโหไปก็ไม่ได้อะไร การสะกิดชายผู้กุมชะตาชีวิตตนเองอยู่ยังไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากทำนัก เขาไม่อยากสร้างเรื่องยุ่งยากให้ตัวเอง

     เมื่อข่มอารมณ์ของตัวเองได้ ร่างโปร่งจึงค่อยกลับมาสงบนิ่ง จิบชาหอมหวนในจอกอย่างเยือกเย็น

     "หากท่านหมายถึงข้า ข้าไม่คิดจะหนีออกไปไหนหรอก แล้วก็ไม่มีปัญญาทำเช่นนั้นด้วย ท่านสบายใจได้"

     ปากดี... ลู่ซือเหยียนคิดในใจ

     "งานของข้ามิใช่แค่นั่งเฝ้าท่านเฉยๆแน่นอน ขุนนางปกครองของต้าเสียงใกล้จะเดินทางมาถึงแล้ว ข้าต้องเตรียมข้อมูลสำคัญบางอย่างเอาไว้รอพวกเขา" เบื้องหน้าของแม่ทัพหนุ่มตอนนี้มีชุดเครื่องเขียนอยู่ครบพร้อม

     "...มิคิดว่าแม่ทัพอย่างท่านจะสนใจเรื่องการปกครองด้วย"

     "รู้เพียงการเข่นฆ่า ย่อมมิอาจปกครองผู้ใด ข้าต้องการต้าซางที่สมบูรณ์ มิใช่บอบช้ำจนหาประโยชน์อันใดมิได้" คนเป็นแม่ทัพตอบเรียบๆ หยิบแท่งหมึกสีดำมาฝนอย่างใจเย็น "หรือท่านอยากให้ต้าเสียงรื้อระบบใหม่ทั้งหมด? ถ้าเป็นแบบนั้นข้าไม่ถามก็ได้"

     ประโยคนี้ทำให้คนฟังเม้มปากแน่น อย่างไรก็ไม่เต็มใจเล่าทุกอย่างให้คนผู้นี้ฟัง อดีตองค์ชายรัชทายาทถอนหายใจแผ่ว

      "ได้ ท่านมีอะไรจะถามก็ว่ามาสิ" อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้คนต่างแผ่นดินมาปรับนั่นแต่งนี้จนต้าซางย่อยยับ บอกไปตามตรงจะดีกว่า

     "งั้นเริ่มจากระบบทหารก็แล้วกัน ข้ายังมีเรื่องที่ไม่ชัดแจ้งเยอะทีเดียว"

     "...ท่านเลือกเรื่องที่จะถามได้ดีจริงๆ" หลิวช่างหลินคลี่ยิ้มเย็นชา "น่าเสียดายที่ตาข้ามองไม่เห็นแล้ว ละจากเรื่องการทหารมาตั้งแต่หลายเดือนก่อน ท่านแม่ทัพลู่มาถามข้าตอนนี้ก็หาได้มีประโยชน์อันใดไม่"

     "องค์ชายช่างถ่อมตนจริงๆ ข้าคงเชื่อท่านไปแล้ว ถ้าหากไม่พบว่าส่วนที่เหลือของต้าซางกำลังเคลื่อนไปที่จุดๆหนึ่ง" คนเป็นแม่ทัพมิได้ยอมแพ้โดยง่าย หลายวันก่อนสายตามที่ต่างๆของเขาแจ้งมาว่าเมืองทางเหนือทั้งหมดกำลังอพยพไปรวมกันที่ค่ายแห่งหนึ่ง...

     คนที่เตรียมการไว้พร้อมเช่นนี้ต้องมิใช่ชนชั้นไร้สมองแน่นอน และเป็นไปไม่ได้ที่ร่างตรงหน้าของเขาจะไม่รู้เรื่องนี้

     "ท่านรู้ว่าพวกเขากำลังเคลื่อนไหว ก็แปลว่าท่านทราบแล้วว่าพวกเขากำลังจะย้ายไปที่ใด เหตุใดยังต้องมาถามข้าอีกเล่า?" หลิวช่างหลินขยับยิ้มสุภาพนุ่มนวล ไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนก ขนาดผิวชาในจอกก็ยังสงบนิ่ง

     "แน่นอนว่าข้าทราบ แต่ข้าต้องการจะทราบให้มากกว่านี้"

     "ท่านเข้าใจว่าข้าจะขายประชาชนที่เหลือของข้าให้ท่าน?" ร่างโปร่งหัวเราะในคออย่างดูแคลน

      "ข้าเข้าใจว่าท่านยังห่วงประชาชนในที่เหลือในเมืองต่างหาก" ถ้อยคำของท่านแม่ทัพใหญ่ท่านนี้ดูเผินๆคล้ายประโยคทั่วไป ทว่าความนัยกลับเสียดแทงลึกเข้าไปในใจของคนฟังให้เจ็บแปล๊บขึ้นมา

     ลู่ซือเหยียนมองร่างโปร่งตรงหน้านิ่ง แล้วกล่าวต่อ "องค์ชายเป็นผู้มีปัญญา คงเข้าใจความหมายของข้าดี"

     กับคำขู่นี้ คนฟังเพียงยิ้มรับด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมเพียงแค่ความแข็งกร้าวที่ผุดขึ้นมาบนรอยยิ้มเท่านั้น ที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวหาได้ยอมจำนน  "ความหมายของท่านข้าย่อมเข้าใจ ความคิดของข้าท่านย่อมเข้าใจเช่นกัน ท่านจะไม่ทำร้ายพวกเขาแน่นอน"

     คราวนี้เป็นทีของแม่ทัพใหญ่แห่งต้าเสียงตกลงลู่ความเงียบบ้าง เรียวปากเรียบตึงโค้งขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มบางยากจะคาดเดาว่าเจ้าของอยู่ในอารมณ์ใด โดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม ร่างสูงก็หยัดกายลุกขึ้นจากที่นั่ง ก้าวเข้าไปหาร่างโปร่งช้าๆ จงใจลงน้ำหนักในแต่ละก้าวให้หนักแน่น จนมาถึงตรงหน้าของเชลยผู้สูงศักดิ์ มือหนาหยาบยกขึ้นแตะที่คางของร่างบนเตียง เชยให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาหาตน

     "ท่านคิดว่าข้ามิกล้าลงมือ?"

     "อำนาจที่ไร้เหตุผลคืออำนาจของคนพาล อำนาจที่ไร้ความเมตตา ย่อมนำมาซึ่งความปราชัย" ดวงตาคู่กระจ่างเลื่อนขึ้นมาสบกับดวงตาคมกริบอย่างแม่นยำ ถึงมิอาจมองเห็นดวงตาทั้งสองของผู้ตกเป็นรองก็ยังคงฉายความมั่นคงและความดื้อดึงหนึ่งประการ "ท่านมิอาจทำร้ายพวกเขา ตอนนี้ท่านครอบครองที่นี่ พวกเขาก็ถือเป็นหน้าที่ของท่านที่ต้องดูแล ท่านพูดเองว่าต้องการต้าซางที่สมบูรณ์ดังนั้นท่านก็ยิ่งมิอาจล้างบางพวกเขา"

     มิอาจทำร้ายคนที่จะกลายมาเป็นประชาชนของตัวเองในภายหน้า บ่มเพาะความแค้นใหม่ขึ้นในใจพวกเขา

     ลู่ซือเหยียนมิได้ต่อคำในทันที กลับจ้องมองใบหน้าของคู่สนทนาอยู่นาน

     "ข้าลู่ซือเหยียนเป็นชนชั้นทหารหยาบกระด้าง คงไม่ได้คิดไกลไปถึงขั้นนั้นหรอก"

     "หากท่านเป็นชนชั้นทหารที่ไม่ใส่เรื่องนี้จริง ชีวิตข้าคงไม่ยาวนานมาถึงตอนนี้หรอก"

     ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา คนเป็นทหารก็แค่นเสียงหึออกมาคำหนึ่ง ปล่อยมือออก หมุนตัวเดินออกไปจากห้อง ยังไม่ทันที่ร่างโปร่งจะได้ผ่อนคลาย เสียงทุ้มต่ำก็พาความหนักอึ้งเข้ามาสู่จิตใจอีกครั้ง

     "เช่นนั้นข้าคงต้องให้คนไปเชิญอินอ๋องมาตอบคำถามแทนท่านแล้ว องค์ชายพักให้สบายเถอะ อีกไม่นานข้าจะพาน้องชายของท่านมาอยู่เป็นเพื่อนเอง"

      สิ้นคำ เสียงฝีเท้าก็ห่างไปออกไป ทิ้งให้ร่างโปร่งหลับตาลงเม้มปากอย่างเจ็บปวด...

      อิ่นเอ๋อร์... พี่หวังว่าเราจะได้ไม่ได้พบกันอีก....

      หากยังกอบกู้แผ่นดินต้าซางไม่ได้ พี่หวังว่าเราจะไม่ได้พบกันอีกตลอดกาล หากสวรรค์ยังเมตตาคนแซ่หลิวอยู่บ้าง ได้โปรดคุ้มครองเขา

      ขอให้อิ่นเอ๋อร์ปลอดภัยจากเงื้อมมือของศัตรูด้วยเถอะ

*********

      หลังจากออกมาแล้ว ลู่ซือเหยียนมิได้รีบเดินไปเข้าประชุมเช่นทุกครั้ง ยังคงเดินทอดน่องช้าๆมองทิวทัศน์จากระเบียงไม้สีแดงเงียบๆ สีขาวของหิมะปกคลุมหนาอยู่ในสวนขับให้บรรยากาศดูสงบเย็นตา ร่างสูงหยุดยืนมองอยู่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่เดินเข้ามาใกล้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับสายตาเย็นชาไม่เป็นมิตรของชาวต้าซางผู้หนึ่งที่กำลังเดินนำนางกำนัลเข้ามาใกล้

     จางเหลียนจ้องสบกับดวงตาคมกริบทรงอำนาจโดยไม่หลบสายตา ความเกลียดชังในดวงตานั้นเข้มข้นจนแทบจะกลั่นออกมาเป็นคมดาบได้

     เผชิญกับความเกลียดชังเช่นนี้คนมองกลับรู้สึกคุ้นเคยกว่าใบหน้านิ่งเฉยของอีกคนในห้องเป็นไหนๆ สายตาเกลียดชังเช่นนี้กวาดตาไปที่คนต้าซางสักรอบ ในสิบคน คนที่มีสายตาเช่นนี้ไม่ต่ำกว่าห้าคนแน่นอน ที่เหลือนั้น หากไม่เป็นแววตาหวาดกลัว ก็เป็นแววตาประจบสอพลอที่ต้องการจะหาประโยชน์จากเขา...

     รอจนกลุ่มของจางเหลียนเดินผ่านไปแล้ว ลู่ซือเหยียนจึงผิวปากสั้นๆออกมาคำหนึ่ง ในเงามืดของระเบียงก็มีคนเดินออกมา เป็นชายหนุ่มชาวต้าซางที่สวมเครื่องแบบขุนพลชั้นสูงของต้าเสียง เมื่อเดินออกมาหยุดตรงหน้าคนเรียกก็ประสานมือคารวะเรียกแม่ทัพออกมาเบาๆ

     "หลงซาน เจ้ารู้จักที่ที่พวกเขากำลังจะไปหรือเปล่า"

     หานหลงซานยังคงก้มหน้าไม่เงยขึ้นมา เพียงตอบรับว่ารู้จักออกมาสั้นๆ

     "รู้หรือเปล่าว่าที่นั่นเป็นที่แบบไหน มีการคุ้มกันยังไง"

     "ไม่ทราบขอรับ"

      คำตอบที่ได้ทำให้คิ้มเข้มขมวดฉับ หันมาจ้องมองด้วยท่าทางบีบคั้นบางเบา

      "เจ้าทำมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังลังเลอะไรอยู่อีก? หรือเจ้าคิดจะบิดพลิ้ว ยกเลิกข้อตกลงของเรา?"

      ภายใต้แรงกดดันของแม่ทัพใหญ่ที่กร่ำศึกมาไม่รู้กี่สมรภูมิ หานหลงซานยังคงความเยือกเย็นไว้ได้ดีอย่างน่าชมเชย เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาตรงๆ

     "ตอนที่วางแผนเรื่องค่ายพักนี้ องค์ชายหารือแค่กับแม่ทัพนายกองที่เกี่ยวข้องโดยตรงและอินอ๋องเท่านั้น ข้ารู้เพียงว่ามันตั้งอยู่ที่ไหน แต่ทางที่จะบุกเข้าไปหรือรายละเอียดของมันแม้แต่จางเหลียนเองก็ยังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ ข้ามิได้เจตนาปิดบังท่านแต่อย่างใด"

    ลู่ซือเหยียนหรี่ตาจ้องอยู่ชั่วครู่ก็ละสายตาออกไปมองยังนอกระเบียงอีกครั้ง

    "เจ้าไม่รู้ก็ช่างเถอะ ไปตามรุ่ยเต๋อมาพบข้าพรุ่งนี้เช้า ให้เขาเข้าประชุมด้วย บอกว่าถ้ากล้าโดดประชุมครั้งนี้ ข้าคงต้องเขียนจดหมายถึงหอเหลียนฮวาหาสายลับคนใหม่แล้ว"

     "ขอรับ"




**************************
กลับมาต่อแล้วค่าาาาาา ;v;

หายไปนานมากจริง คนแต่งหวัดรับประทานจนลุกมาจิ้มนิยายไม่ได้หลายวันเลย แถมยังยุ่งๆกับเรื่องเรียนเล็กน้อย ฮา

ในที่สุดสองคนนี้ก็ได้มีบทคุยกันยาวๆเสียที! .....แต่บรรยากาศหนักๆนี่มันอัลลัยกัน เขียนเองบ่นเองสักหน่อย หลายๆคนอ่านไปอ่านมาก็คงสงสัยว่ามันจะลงเอยกันได้จริงๆหรอสองคนนี้.... คำตอบก็คือกรุณาติดตามต่อไปนะคะ ฟฟฟฟฟ  //โดนตี

คนแต่งอยากให้นิยายเรื่องนี้ไม่ได้เน้นแค่เรื่องความรักอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องราวของแผ่นดิน ความรู้สึก และหน้าที่มาเกี่ยวข้องด้วย เพราะงั้นคงไม่ได้ลงเอยกันง่ายๆแน่นอน 555 แต่คนแต่งไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องนี้เป็นจำเลยรักนะคะ คนอ่านทุกท่านใจเย็นๆก่อน ฟฟฟ

อยากคุยมากกว่านี้ แต่พิมพ์แล้วเกือบเผลอสปอยเนื้อเรื่อง เอาเป็นว่าแค่นี้ก่อนแล้วกันนะคะทุกคน ผู้แต่งของลาไปทำงานหลวงก่อนล่ะ ก่อนจะโดนอาจารย์เอา F มาโยนใส่หัว ฮา แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นเช่นเคยนะคะ อ่านแล้วแก้มจะปริจริงๆ 55
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2016 01:42:59 โดย NakiDGM14 »

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
คำผิดค่า เราเจอ หาประโยคค่ะ หาประโยชน์ ใช่ไหมคะ




รอตอนต่อน้า

ออฟไลน์ Isunn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 349
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
มาแล้วๆ อิๆ   :katai2-1:

ฝ่ายพระเอกก็ออกอาการว่าชอบซะขนาดนั้น   แต่อีกฝ่ายยังคงไม่รับรู้ คงต้องใช้วิธีปล้ำเท่านั้นล่ะมั้ง  :hao7:

ปล้ำเสร็จค่อยมาเคลียร์  :hao6:

ออฟไลน์ NakiDGM14

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
คำผิดค่า เราเจอ หาประโยคค่ะ หาประโยชน์ ใช่ไหมคะ




รอตอนต่อน้า

พลาดจริงด้วย แก้ไขเรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะค้า  //^\\

ออฟไลน์ insunhwen

  • FREEDOM!!!!
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5
เนื้อเรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้วว
เป็นกำลังใจให้นะคะ :mew1:

ออฟไลน์ Maiiz Ellfiez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
จะลงเอยกันยังไงได้นึกไม่ออกเลยอ่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
สนุกมากเลยค่ะ  :-[
อยากให้องค์ชายชนะจะได้แก้แค้นบ้าง   :3125:
# ทีมองค์ชาย
ติดตามค่าาา

ปล.อยากรู้ที่มาของชื่อเรื่องแล้ววว ><

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
ยิ่งอ่านยิ่งลุ้น  ยิางอ่านยิ่งสนุกกกกก :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
สนุกมากๆเลยค่ะ
ภาษาอ่านแล้วลื่นไหล
ชอบมากกก
มาต่อไวไวนะคะ

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
เนื้อเรื่องน่าติดตามมาก ภาษาอ่านเข้าใจได้ง่าย ส่วนตัวชอบนิยายแนวจีนโบราณอยู่แล้ว รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ NakiDGM14

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
บทที่ 9 : เคลื่อนไหว

**************

     สิ่งที่โหดร้ายที่สุดคืออะไร? คำตอบในใจของจางเหลียน คือการที่ถูกคนซึ่งไว้ใจมากที่สุดทรยศหักหลัง ความเชื่อใจถูกเหยียบย่ำเสียไม่มีชิ้นดี เขายังจำวันนั้นได้...วันที่ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปตลอดกาล

     เริ่มด้วยชาถูกยกเข้ามา แปรเปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นสีโลหิต ยาพิษถูกวางเอาไว้ในชาทุกจอก เหล่าแม่ทัพนายกองที่กำลังปรึกษาหารือเรื่องการต่อต้านข้าศึกล้มไปทีละคน จากนั้นศีรษะนับสิบก็หลุดร่วงลงจากบ่า ด้วยน้ำมือของผู้ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะกลายเป็นผู้ทรยศ

     หานหลงซาน ชายหนุ่มที่ถูกช่วยชีวิตเอาไว้และกลายมาเป็นองครักษ์คนสนิทขององค์รัชทายาทตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน  สหายสนิทที่สุดของเขา...

     แววตายามคนผู้นั้นบั่นคอสหายร่วมรบทั้งว่างเปล่าและเย็นชา ราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไร้ความรู้สึกผิดแม้แต่เศษเสี้ยว ในตอนนั้นเขาได้ยืนเบิกตากว้างตัวแข็งทื่อมองสหายรักอย่างตื่นตะลึง เมื่อละเลงโลหิตเสร็จสิ้นแล้ว มือสังหารก็หันหน้ามามองเขาแล้วค่อยย่างก้าวประชิดพร้อมกับดาบในมือ ในหัวของเขามีเพียงความคิดที่ว่าความตายได้มาเยือนเสียแล้ว จางเหลียนมิได้ขัดขืน ไม่แม้แต่จะหยิบมีดสั้นจากแขนเสื้อขึ้นสู้ เพียงหลับตารอรับความตายอย่างง่ายดาย

     ความเจ็บในอกที่ความไว้ใจถูกทุบทำลายมากจนรู้สึกราวกับดวงใจกำลังแตกสลาย ทว่ายืนอยู่นาน ชายเบื้องหน้าก็ไม่ลงมือเสียที จางเหลียนจึงลืมตาช้าๆ สิ่งที่เห็นในตอนนั้นคือสิ่งที่เขาไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต

     น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินออกมาจากดวงตาที่ว่างเปล่า ผสมกับหยาดเลือดจนกลายเป็นสีแดงฉาน มองดูคล้ายกับคนตรงหน้ากำลังหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายเลือด แม้สีหน้าจะปราศจากอารมณ์หากแต่บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่กดทับลงมาอย่างรุนแรง นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่เขาเห็น ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งที่พื้นข้างแท่นบรรทมขององค์รัชทายาท

     และพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่ความฝัน

     ประตูเมืองถูกเปิดออก ทหารต้าเสียงไหลทะลักเข้ามารวดเร็วยิ่งกว่าน้ำป่า ในไม่ช้ากำแพงวังก็ถูกบุกประชิด ความพ่ายแพ้ถูกหยิบยื่นให้กับต้าซางอย่างโหดร้ายที่สุด

     แสงสว่างและความหวังของชนชาวต้าซางถูกพรากเอาไปพร้อมๆชีวิตและแสงสว่างขององค์รัชทายาท เปลี่ยนความไว้เนื้อเชื่อใจและไมตรีที่เขาเคยหยิบยื่นให้คนผู้หนึ่งกลายเป็นความผิดหวังลึกล้ำ ชั่วชีวิตคงไม่อาจกลับมาเป็นเช่นเดิม

     จางเหลียนถอดถอนใจ ดวงตาเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง ยามนี้เวลาล่วงเข้าสู่ยามไฮ่( 21:00 - 22:59 )แล้ว แสงคบเพลิงที่เคลื่อนไหวภายนอกจึงถึงเวลาเคลื่อนไหวตามการผลัดเปลี่ยนเวรยาม มองอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยถอนสายตามาที่เตาเล็กใกล้ตัวอีกครั้ง

      บัณฑิตหนุ่มยกกาเล็กลงจากเตา รินยาสีขุ่นใส่ถ้วยหยกใบน้อย นำส่งให้เจ้าชีวิตของตนที่กำลังหลับตาพักผ่อน

     "ยาพ่ะย่ะค่ะ" ถ้วยหยกถูกประคองส่งถึงมือเรียวอย่างระมัดระวัง ฝ่ายคนรับที่กำลังหลับตาพักผ่อนอยู่จึงต้องยืดตัวพร้อมกับลืมตาขึ้นตามความเคยชิน แม้จะไม่อาจมองเห็นสิ่งใดแล้วก็ตาม

     "นี่เวลาอะไรแล้ว" น้ำเสียงของผู้สูงศักดิ์แฝงไปด้วยความอ่อนล้า หลายวันมานี้เขานอนหลับได้ไม่ดีเอาเสียเลย จนต้องพึ่งยาจากหมอชราผู้นั้นอีกแล้ว

     "ยามไฮ่พ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่พวกนั้นเพิ่งเปลี่ยนเวรยามกะแรกไป"

      "อืม...ช่วงนี้มีข่าวอะไรหรือไม่?" คราวนี้น้ำเสียงอ่อนล้าแฝงไปด้วยความกังวลบางเบา มือยกถ้วยยาในมือขึ้นดื่มจนหมดค่อยส่งคืน จางเหลียนรับถ้วยหยกไปวางไว้บนถาดพลางสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายไปด้วย เมื่อเห็นว่าใบหน้าซีดขาวดีขึ้นเล็กน้อยแล้วถึงยอมขยับปากเล่า

      "อินอ๋องส่งข่าวมาว่ายามนี้ได้เข้าไปในค่ายพร้อมกับชาวเมืองบางส่วนแล้วพ่ะย่ะค่ะ ส่วนรายละเอียดอื่นท่านอ๋องมิได้ส่งมาด้วย"

      บัดนี้ศึกทางเหนือเริ่มต้นมาได้เกือบสองเดือนแล้ว ทหารที่เหลืออยู่ของต้าซางต่างทุ่มเทกำลังเพื่อคุ้มครองชาวเมืองผู้ลี้ภัยมาสองเดือนแล้วเช่นกัน จากข่าวที่มาถึงก่อนหน้า เหลือเพียงประชาชนบางส่วนเท่านั้นที่ยังไปไม่ถึงที่หมาย ถึงจะถูกทหารต้าเสียงจู่โจมจนถอยร่นไปเรื่อยๆก็ไม่ได้น่ากังวลอีกต่อไป

     "ปลอดภัยดีสินะ งั้นก็ดีแล้ว" หลิวช่างหลินพยักหน้าอย่างพอใจ ความกังวลที่บ่มเพาะมาหลายวันในที่สุดก็สามารถผลักออกไปได้ส่วนหนึ่ง น้องชายคนนั้นของเขาเป็นพวกใจร้อนอย่างยิ่ง เขาห่วงมาตลอดว่าเจ้าตัวจะหุนหันจนได้รับอันตราย

     "เหอตี้ชุนอยู่ด้วย ท่านอ๋องต้องไม่ใจร้อนจนได้เรื่องแน่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทพักสักหน่อยเถิด นี่ก็ดึกมากแล้ว"
 
     เห็นสีหน้าผู้เป็นนายมีสีสันขึ้นแล้ว จางเหลียนก็ขยับตัวประคองให้ร่างโปร่งเอนหลังลงอย่างระมัดระวัง หลังจากรอจนผู้เป็นายหลับ จึงค่อยล่าถอยออกมาจากห้อง ก่อนสายตาจะไปปะทะกับคนผู้หนึ่งที่ไม่นึกอยากเห็นหน้าที่สุด เขาแค่นเสียงหึแล้วยกถาดยาเดินผ่านหน้าไปโดยไม่ใส่ใจเช่นทุกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับไม่เหมือนครั้งก่อน หานหลงซานถึงกับกล้าเอื้อมมือมาคว้าแขนของเขาเอาไว้

     "ปล่อย" จางเหลียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก หานหลงซานมองดวงหน้าเย็นชาของอดีตสหายรักแล้วผ่อนลมหายใจเบา

      "อย่าพยายามรับส่งข่าวใดๆมากนัก มันไม่ดีต่อตัวเจ้าเอง" หานหลงซานเอ่ยเรียบๆ มือหนายังกำแน่นอยู่บนต้นแขนของคู่สนทนา

      "แล้วมันเกี่ยวอันใดกับเจ้า? หากคิดว่าข้าอันตรายก็วิ่งโร่ไปฟ้องนายเจ้าสิ" จางเหลียนแค่นยิ้ม สะบัดแขนออกเองอย่างแรง

     หานหลงซานไม่ได้รั้งแขนของอีกฝ่ายไว้อีก เพียงมองใบหน้าเย็นชานิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้นเรียบๆอีกครั้ง  "เจ้าทำเช่นนี้องค์ชายจะได้รับอันตรายไปด้วย ข่าวใดที่ควรรู้ก็รู้แล้ว หากยังอยากรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ก็อย่าทำอะไรไม่เข้าท่า"

    "เจ้าขู่ข้ารึ!"

    "ข้าพูดความจริง จางเหลียน" ครานี้เสียงของคนทรยศแข็งขึ้นมาแล้ว ดวงตายังทอประกายคมกล้าจนทำเอาคนถูกมองชะงักกึก "แม่ทัพหลายคนของต้าเสียงเองก็กำลังจ้องเอาชีวิตพวกเจ้า และหากพวกเขาหาข้ออ้างได้จริง เช่นนั้นชีวิตของเจ้ากับเขาก็จะรักษาเอาไว้มิได้แล้ว!"

     พูดจบหานหลงซานก็หมุนตัวจากไปทิ้งความสับสนไว้ให้กับคนเบื้องหลังที่มองตามตนเองจนลับสายตาด้วยความไม่เข้าใจ...

     คนทรยศจะมาเตือนพวกเขาไปเพื่ออะไรกัน...?

**************



      ไอสีขาวของกำยานลอยอ้อยอิ่งในอากาศราวกับดวงวิญญาณกำลังทอดถอนใจ กลิ่นหอมอ่อนจางอันเป็นเอกลักษณ์ของเหมยกุ้ย*(1)กรุ่นกำจายไปทั่วห้อง เพื่อให้ตัวประกันผู้สูงศักดิ์ที่อาศัยอยู่ด้านในหลับสบายยิ่งขึ้น

      เปลือกตาบางปิดสนิทลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเจ้าของร่างกำลังอยู่ให้ห้วงลึกของนิทรารมณ์ จนกระทั่งเสียงเคาะเป็นจังหวะดังขึ้นแผ่วเบาจากหลังฉากกั้น ดวงตาไร้ประกายก็เปิดขึ้นช้าๆหาได้มีแววง่วงงุนไม่ ร่างโปร่งขยับตัวเลิกผ้านวมหนาออกจากกาย ลมหนาวที่พัดเข้ามานั้นทำให้ต้องห่อไหล่เล็กน้อยแล้วค่อยลุกขึ้นจากเตียงคั่ง*(2)อันอบอุ่นก้าวไปยังต้นเสียงอย่างแม่นยำ สีหน้าที่เรียบสนิทแฝงแววรอยคอยเอาไว้ เอ่ยเรียกนามของแขกผู้มาเยือน

      "จิ้งเหวิน?"

      "จิ้งเหวินเองเพคะ" เสียงหวานนุ่มนวลตอบกลับ ตอนนี้เองที่รองเท้าปักลายคู่สวยปรากฏเบื้องหลังฉากกั้น นำพาร่างอรชรในชุดรัดกุมให้มาคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ประสานมือคารวะเต็มพิธีการโดยมิใยว่าว่าอีกฝ่ายจะมองเห็นการกระทำของตนหรือไม่

       "ไม่ต้องมากพิธี" หลิวช่างหลินเอ่ยเรียบ รอจนเสียงเสียดสีที่บ่งบอกว่าหญิงสาวกำลังลุกขึ้นมาเงียบลง อดีตรัชทายาทแห่งต้าซางจึงค่อยหมุนตัวเดินกลับไปยังโต๊ะน้ำชา หย่อนตัวนั่งลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "ที่ข้าสั่งไปได้ความว่าอย่างไร"

       "ทูลองค์รัชทายาท จิ้งเหวินออกสำรวจเรียบร้อย หนึ่งเดือนมานี้ได้พบรูปแบบที่แน่นอนของการจัดเวรยามแล้วเพคะ" หญิงสาวนามจิ้งเหวินมิได้เอ่ยมากความรายงานสิ่งที่ตนเองได้รับมอบหมายด้วยถ้อยคำสั้นกระชับ รูปแบบการเปลี่ยนผลัดและรายนามผู้ควบคุมถูกร่ายออกมาโดยไร้ความติดขัด รูปแบบที่นางและกลุ่มอีกสามสี่คนทำงานร่วมกันอย่างแข็งขันมาตลอดหลายเดือนจนพบในที่สุด การจัดการที่แทบจะรัดกุมไร้ช่องโหว่ของแม่ทัพใหญ่ลู่ซือเหยียนทำให้คนฟังต้องขมวดคิ้วแน่นครุ่นคิด ทว่าไม่ได้นิ่งอยู่นานก็พยักหน้ารับเบาๆ

      "ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปก่อน ยังไม่ต้องส่งข่าวให้ใครนอกจากข้า"

      คำพูดนี้ทำให้ริมฝีปากเรียบตึงของหญิงสาวโค้งขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับดีใจ ส่งเสียงรับคำสั้นๆ ทำความเคารพอีกครั้ง ก้าวถอยหลังไปในความมืดพร้อมกับกลิ่นอายที่จางหายลงอีกครา ราวกับพื้นเบื้องหน้าขององค์รัชทายาทไม่เคยมีผู้ใดอยู่มาก่อน ทิ้งให้ผู้ฟังนิ่งจมอยู่ในความเงียบแต่เพียงผู้เดียว

      การทำงานสะท้อนถึงจิตใจของผู้กระทำ การเลือกใช้งานและวิธีการของบุรุษที่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของต้าเสียงยิ่งโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ หนึ่งเดือนมานี้เจ้าตัวออกไปนำการบุกขึ้นเหนือด้วยตัวเอง ทิ้งไว้เพียงรองแม่ทัพคนสนิทสองคน การวางตำแหน่งของเวรยามกลับไม่ย่อหย่อนลงไปแม้แต่น้อย

      ทว่าก็ยังมีช่องโหว่

      รองแม่ทัพทั้งสองแม้มิใช่คนหยาบกระด้าง ทำงานอย่างละเอียดรอบคอบ หากความคิดอ่านกลับยังด้อยกว่าผู้เป็นนายอยู่เกือบหนึ่งช่วง ด้วยความหยิ่งทะนงว่าตนเองเป็นผู้คว้าชัยในสงคราม ในส่วนเล็กๆที่เกี่ยวกับคนรับใช้ที่ถูกกักกันกลับไม่ถูกใส่ใจเท่าที่ควร การส่งคนออกไปนอกวังจึงไม่ถูกตรวจตราแน่นหนา เทความสนใจไปยังคนที่เข้ามามากกว่ากึ่งหนึ่ง

      ดวงตาเรียวยาวสีดำขลับหรี่ลงเล็กน้อยอย่างคนใช้ความคิด ข่าวและรายงานที่ได้รับถูกนำมาประติดประต่ออย่างบรรจง คิดหาวิธีการช่วยยืดถ่วงเวลาให้กับทหารซึ่งต้องต้านทัพใหญ่ของศัตรูอยู่ที่แดนเหนือ โดยไม่รู้ตัวเวลาก็ล่วงผ่านจนได้ยินเสียงเคาะไม้บอกการเปลี่ยนโมงยามอีกครั้ง บางอย่างพลันแล่นเข้ามาในห้วงความคิดอันยุ่งเหยิง

      ลมหายใจของผู้ที่เป็นถึงอดีตองค์รัชทายาทแห่งต้าซางลึกขึ้น ยาวขึ้น พรูออกมาในครั้งเดียวกระทบกับอากาศหนาวเหน็บจนกลายเป็นไอสีขาววูบ ดวงตามืดบอดฉายประกายเฉียบขาดและเย็นชา บรรยากาศรอบกายที่สงบนิ่งมานานหลายเดือนคล้ายถูกร่างโปร่งเปลี่ยนให้เป็นไอระอุขึ้นอย่างรุนแรง เจ้าของใบหน้าซีดขาวที่เคยดูเปราะบางราวกับจะสิ้นลมได้ทุกเมื่อมาตอนนี้หากใครได้เห็นเชื่อว่าหากไม่ถอยหลังไม่หนึ่งก้าวก็คงไม่กล้าประมาทเจ้าของแววตาน่าสะพรึงนี้อีกต่อไป

      มันเป็นรัศมีอย่างหนึ่งที่ผู้สืบเชื้อสายแห่งมังกรเท่านั้นที่จะเปล่งออกมาได้ สิ่งที่ไม่เคยปรากฏบนร่างนับตั้งแต่พบว่าตนเองเป็นฝ่ายพลาดพลั้ง หลิวช่างหลินมิได้นั่งอยู่ที่เดิมอีก ลุกขึ้นเดินไปยังเตาเล็กที่เลี้ยงไฟไว้หยิบป้านชาไปอุ่นบนเตา พอได้ยินเสียงน้ำพล่านเดือด จึงค่อยนำไปรินใส่จอกชาที่วางไว้รอท่า ยกชาอ่อนขึ้นจิบด้วยท่วงท่านิ่งสงบดังเดิม บรรยากาศรอบตัวก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน

      สิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่คือดวงตาคมกล้าที่ทอประกายสังหารออกมาจางๆ รอจนอารมณ์สงบลงแล้ว เจ้าตัวจึงได้ปีนขึ้นเตียงเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มหนาอีกครั้ง

     ดูเหมือนว่า...จำเป็นต้องเคลื่อนไหวทำตัวให้เป็นประโยชน์กับอิ่นเอ๋อร์บ้างเสียแล้ว...

************


'วันที่ 18 เดือนอ้าย ชาวเมืองยอมอยู่เงียบๆมานานก็เริ่มต่อต้านการทำงานของทหารต้าเสียงอย่างรุนแรง เพราะชายคนหนึ่งถูกรถม้าของขุนนางบุ๋นคนหนึ่งที่เพิ่งมาถึงไม่นานนักชนและเหยียบเข้าอย่างจังจนตายคาที่ แต่ศพกลับไม่ได้รับการดูแลที่ดี การต่อต้านนั้นรุนแรงจนเกือบควบคุมสถานการณ์เอาไว้ไม่ได้ มีผู้ทหารบาดเจ็บไปหลายร้อยนาย'

'สี่วันต่อมากลุ่มทหารเล็กๆกองหนึ่งบุกปล้นชิงเสบียงที่ออกมาจากเมืองไปได้อย่างอุกอาจ ชิงของไปได้ทั้งหมด นายกองเสบียงผู้ควบคุมการขนย้ายถูกสังหาร'

'สองวันต่อมากองทหารที่เคลื่อนย้ายออกจากเมืองถูกจู่โจมอีกครั้ง ปกป้องเสบียงเอาไว้ได้สามส่วน ที่เหลือถูกช่วงชิงไปทั้งหมด'

'กลางดึกคืนถัดมาเกิดไฟไหม้ในพระราชวังถึงสามจุด เชลยทางทหารหลายคนใช้จังหวะนี้หลบหนีไปได้ถึงครึ่งหนึ่ง'



     "นี่มันเรื่องอะไรกัน!!!" หนึ่งในแม่ทัพหลักที่ติดตามลู่ซือเหยียนมายังแนวหน้าตวาดลั่นอย่างกราดเกรี้ยว สีหน้าของชายวัยกลางในยามนี้บิดเบี้ยวไม่น่ามองเอาเสียเลยจนน่ากลัวว่าเจ้าตัวจะถูกความโมโหจุกในอกจนตายเอา สีหน้าของคนอื่นๆในกระโจมก็ไม่ได้ดีกว่ากันมากนั้น ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรขึ้นมาตัดหน้าท่านแม่ทัพใหญ่ที่ยังนั่งเงียบอยู่ดี

     ข่าวร้ายถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างล้วนเป็นข้อผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นทั้งสิ้น

     คนที่อยู่ข้างๆแม่ทัพเจ้าของเสียงตวาด รีบปลอบสหายร่วมทัพให้เย็นลง เพราะเกรงว่าเสียงดังเอะอะจะไปสะกิดจุดต้องห้ามของท่านแม่ทัพใหญ่เข้า และเมื่อเจ้าตัวได้สติก็รีบหุบปากลงทันที เฉินฟู่หลิงสังเกตสีหน้าผู้บังคับบัญชาอยู่ชั่วครู่ สลับกับอ่านรายงานที่ถูกส่งมาจากในเมืองหลวงที่ยึดได้ รวบรวมความกล้าอยู่อึดใจ ร่างในชุดเกราะเต็มยศก็ก้าวออกมาเบื้องหน้า

     "ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าว่าเราควรรีบส่งคนกลับไปดูแลสถานการณ์เดี๋ยวนี้ หม่าหยาง กับ ซือถูฟาง น่ากลัวจะรับมือไม่ไหวแน่ขอรับ"

     ลู่ซือเหยียนเหลือบตาขึ้นมามองคนสนิทของตนนิ่ง ยังคงเงียบไม่กล่าวคำใดออกมาแม้แต่คำเดียว เพียงแบมือออกมารับม้วนรายงานมาอ่านรายละเอียดเท่านั้น ลำดับเหตุการณ์และช่วงเวลาที่เหมาะเจาะนี้สะกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างรุนแรง จะอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อแน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องบังเอิญ ต้องมีใครสักคนที่อยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้

     ใครสักคนที่มีอำนาจมากพอที่จะทำให้ประชาชนเคลื่อนไหว

     ไม่ต้องคิดให้เปลืองสมอง ภาพของใครคนหนึ่งก็ลอยเข้ามาทันควัน เจ้าของดวงตามืดบอดคู่นั้น กลิ่นอายเด็ดขาดที่แฝงมาในเหตุการณ์นีัมิใช่กลิ่นอายที่เขาคุ้นเคยที่สุดหรอกหรือ? ลู่ซือเหยียนแค่นเสียงหึออกมาคำหนึ่ง เสียงนี้ทำให้พวกที่อยู่ในห้องพร้อมใจกันก้มหน้าหนาววูบโดยพร้อมเพรียง รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ขึ้นมากะทันหัน

     มีเพียงเฉินฟู่หลิงและจั๋วเจียหานผู้ดำรงตำแหน่งกุนซือเท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่ง คนเป็นแม่ทัพใหญ่แค่นเสียงออกมาอีกคำยืดตัวยืนขึ้นโยนรายงานลงพื้นอย่างแรง เดินเข้าไปหาแผนที่หนังผืนใหญ่

     "ทัพหน้าบุกขึ้นไปถึงไหนแล้ว?"

     "เรียนท่านแม่ทัพ จากข่าวที่ส่งมาเมื่อสี่ยามที่แล้ว ตอนนี้ต้อนพวกมันให้ถอยร่นจากเมืองเยี่ยฝางได้แล้วขอรับ" ครานี้เป็นแม่ทัพอีกท่านหนึ่งก้าวขึ้นมาชี้ยังจุดที่บุกไปถึง หวังให้ความสำเร็จที่เกิดขึ้นดับความคุกรุ่นในใจของท่านแม่ทัพลงบ้าง

     "บุกได้เพราะพวกมันทิ้งเมืองไปเรียบร้อยแล้ว?" ลู่ซือเหยียนถามกลับเสียงเย็น เรียกเหงื่อให้ไหลซึมมาอาบหน้าผากของผู้ที่รายงานทันที

     "ถึงไม่อาจกล่าวว่ามันถอยร่นเพราะการบุกของเราทั้งหมด แต่ก็สามารถบีบให้แนวป้องกันของพวกมันถอยไปได้ไกลอีกเกือบร้อยลี้ หาถือว่าล้มเหลวได้ไม่" จั๋วเจียหานขัดท่านแม่ทัพใหญ่ขึ้นมาบ้าง ก่อนที่เจ้าตัวจะทำลายขวัญของพวกแม่ทัพที่เหลือให้บินหนีไปจนหมด กุนซือก้าวขึ้นมาด้านข้างร่างสูงใหญ่ ชี้ไปในจุดที่ทำเครื่องหมายไว้ในตอนแรก และแนวรับของศัตรูที่ถอยร่นลงไป "ทำเลที่พวกมันถอยไม่ดีกับเราเท่าไหร่ สำหรับคนต่างถิ่นเช่นเราถือว่าอันตรายอย่างยิ่ง รอบด้านเป็นเชิงผาสูงขึ้นไป ถึงจะพวกมันจะบุกสวนลงมาสะดวก ....."

     "แต่เราก็ไล่ตามไปในทันทีไม่ได้เช่นกันสินะ?" ลู่ซือเหยียนต่อประโยคของท่านกุนซือเสียเอง น้ำเสียงและสีหน้าไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าควบคุมตนเองได้แล้ว

     "ท่านแม่ทัพใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง ที่เรามิได้บุกต่อเป็นเพราะเหตุนี้เอง"

      คราวนี้คนเป็นแม่ทัพใหญ่พยักหน้ารับอย่างเยือกเย็น กวาดสายตามองสำรวจแผนที่อีกครั้ง หัวเราะเย็นๆออกมาในคอ ก่อนจะทำให้ทุกชีวิตในกระโจมสะดุ้งโหยงด้วยประโยคต่อมา

     "เห็นที่เราจะต้องถอยแล้ว"

      ถอย? ถอยงั้นรึ! สีหน้าของหลายคนในห้องแปลกประหลาดทั้งยังหลากหลายอย่างยิ่ง หันไปมองหน้ากันไปมาคล้ายจะถามกันและกันว่าตัวเองหูฝาดไปหรือไม่? ในขณะที่อีกหลายคนที่เหลือสีหน้าเคร่งขรึมลงไม่เบา จั๋วเจียหานเป็นกลุ่มหลัง เขาพิจารณาสิ่งต่างๆอย่างรวดเร็ว และอธิบายออกมาเอง

     "จากที่เราบุกมา ข้าคำนวนดูแล้ว ว่าอย่างไรก็คงไม่สามารถจบศึกนี้ภายในเร็ววันแน่ โดยเฉพาะเมื่อข้าศึกของเราต้องการจะดึงศึกนี้ให้ยืดเยื้อ"

     "มิผิด ถ้ายังดึงอยู่เช่นนี้กว่าจะบุกถึงค่ายของพวกมัน ให้เร็วอย่างไรก็ไม่เร็วกว่าสามเดือนแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ทหารเรากำลังถูกความหนาวบั่นทอนกำลังออกไปทุกขณะ" แม่ทัพชราผู้เจนศึกที่สุดในที่นี้ออกความเห็นบ้าง และทำให้กลุ่มที่ทำหน้าแปลกประหลาดเมื่อครู่กลับมานิ่งขรึมอีกครั้ง

     การรบในฤดูหนาวที่โหดร้ายเช่นนี้ หากมิใช่จำเป็นจริงๆคงไม่มีผู้ใดยินดีกระทำแน่

     "เมืองหลวงนั่นเกิดเรื่องแบบนี้ หากยังไม่รีบถอนทัพกลับไปรักษา อาจจะเกิดเรื่องขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้" ลู่ซือเหยียนเป็นผู้ตอกตะปูปิดผาโลงจบการโต้แย้งในใจของใครหลายคนได้อย่างหมดจดด้วยตนเอง เมื่อกวาดตามองรอจนแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดเห็นค้านแล้ว แม่ทัพไร้พ่ายก็ออกคำสั่งถอนทัพออกมาเป็นครั้งแรก

     ถือว่าหมากตานี้ ท่านเป็นฝ่ายได้ชัย

     "ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป นอกจากทัพหน้าและทัพขวาที่มีหน้าที่ตรึงแนวรบ ให้เตรียมตัวถอนกำลังทั้งหมดภายในวันนี้ ย่ำรุ่งเราจะออกเดินทางกลับไปยังหลิวเฉิง ผู้ใดขัดคำสั่ง ให้ลงทัณฑ์ตามวินัยกองทัพได้ทันที!"

      "ขอรับ!"

     ....

     ข่าวการถอนทัพของลู่ซือเหยียนนั้น เมื่อมาถึงหูของเหล่าทหารกล้าแห่งต้าซางในภายหลัง คราแรกต่างหันไปมองหน้ากันอย่างไม่อยากจะอยากจะเชื่อหู ต่างพากันสงสัยว่าตัวเองหูเพี้ยนไปหรือไม่ ยิ่งทวีความหวาดระแวงมากกว่าเดิมจนแทบไม่มีผู้ใดกล้าหลับตาลงนอน ด้วยเกรงว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีในยมโลก แต่เมื่อได้ข่าวต่อไปว่าทัพใหญ่อันน่าเกรงขามนั้นกำลังกลับไปแล้วจริงๆ เสียงโห่ร้องตีเกราะก็ดังขึ้นมาทันที

     ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่ลู่ซือเหยียนกุมบังเหียนของกองทัพต้าเสียงในการบุกเข้ามา นอกจากตรึงกำลังและถอยร่น ก็มิเคยมีผู้ใดทำให้คนๆนั้นถอยกลับไปได้มาก่อน ถึงพ่ายในการปะทะครั้งแรกๆ คนผู้นั้นก็ยังดึงดันที่จะบุกต่อไปโดยไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว

      นี่เป็นครั้งแรกที่ทัพใหญ่ของต้าเสียงถอยร่นกลับไปไกลถึงจุดเริ่มต้น

      ในใจของเหล่าแม่ทัพนายกองและองค์ชายคนเดียวที่ยังเป็นอิสระนั้นรู้ดี ว่าผลงานครั้งนี้ มิได้เป็นผลงานของพวกเขาแต่เพียงผู้เดียวอย่างแน่นอน

     แต่เป็นของขวัญที่ใครบางคนซึ่งถูกขังเอาไว้ในวังหลวงมอบให้ต่างหากเล่า!



***************************



*(1)เหมยกุ้ย : ดอกกุหลาบ
*(2)เตียงคั่ง : เตียงคั่งหรือเตียงไฟ คือเตียงที่มีช่องว่างด้านล่างสำหรับจุดไฟเพื่อให้เตียงอุ่นในฤดูหนาว

เกล็ดความรู้วันละนิด ให้อ่านนิยายจีนได้อรรถรสมากขึ้น
ยามเวลาของจีนใน 1 วัน แบ่งออกเป็น 12 ยาม ยามละ 2 ชั่วโมง วันหนึ่ง 12 ยาม เท่ากับ 24 ชั่วโมง ดังนี้
        1. ยาม จื้อ (จื่อ) เท่ากับ เวลา 23.00 น. จนถึง 24.59 น.
        2. ยาม ทิ่ว (โฉ่ว) เท่ากับ เวลา 01.00 น. จนถึง 02.59 น.
        3. ยาม อิ๊ง (อิ๋น) เท่ากับ เวลา 03.00 น. จนถึง 04.59 น.
        4. ยาม เบ้า (เหม่า) เท่ากับ เวลา 05.00 น. จนถึง 06.59 น.
        5. ยาม ซิ้ง (เฉิน) เท่ากับ เวลา 07.00 น. จนถึง 08.59 น.
        6. ยาม จี๋ (ซื่อ) เท่ากับ เวลา 09.00 น. จนถึง 10.59 น.
        7. ยาม โหง้ว (อู่) เท่ากับ เวลา 11.00 น. จนถึง 12.59 น.
        8. ยาม บี่ (อุ้ย) เท่ากับ เวลา 13.00 น. จนถึง 14.59 น.
        9. ยาม ซิง (เซิน) เท่ากับ เวลา 15.00 น. จนถึง 16.59 น.
        10. ยาม อิ้ว (อิ่ว) เท่ากับ เวลา 17.00 น. จนถึง 18.59 น.
        11. ยาม สุก (ซวี) เท่ากับ เวลา 19.00 น. จนถึง 20.59 น.
        12. ยาม ไห (ไฮ่) เท่ากับ เวลา 21.00 น. จนถึง 22.59 น.


     มาต่อแล้วค่า!! ในที่สุดก็เข็นมาต่อให้เรียบร้อยแล้ว หลังจากอดนอนอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ //ปาดเหงื่อแล้วมองเวลานอนอย่างอาดูรตัวเอง...น้ำตาไหลอาบแก้มเบาๆ
     ฮา ตอนนี้จะเป็นตอนที่ช่างหลินของเราเริ่มจะออกฤทธิ์ออกเดชกับเขาบ้างแล้วหลังจากเสียเปรียบมาหลายตอน 555 ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้อยู่เฉยๆเท่าไหร่หรอก แต่ไม่ยอมขยับตัวเพราะอยากรอเวลามากกว่า จริงๆแล้วช่างหลินนี่ก็พอๆกับพระเอกของเรานั่นแหละค่ะ(?) (...ในหลายๆความหมายล่ะนะ..) ต้องติดตามตอนต่อไป..//โดนตี
     ตอนแรกว่าจะไปอัพพรุ่งนี้แล้ว แต่พอดีเห็นมีคนอ่านเม้นดันขึ้นมาหน้าแรกพอดี เลยอัพมันตอนนี้นี่แหละ ขอบคุณทุกคอมเม้นในตอนที่ผ่านมากนะคะ ยังติชมเข้ามาได้ค่า ผู้เขียนพร้อมนำไปปรับปรุงตอนต่อไปให้ดีขึ้นค่ะ!

ปล. คำผิดตรวจรอบนึงแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าจะหลุดเพราะเบลอหรือเปล่า ใครเห็นแล้วช่วยสะกิดๆทีจะขอบคุณมากเลยค่า //หมอบ

*****************************
วันนี้เอารูปอิมเมจจางเหลียนมาฝากค่ะ!



   
     
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2016 01:48:25 โดย NakiDGM14 »

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
มันจะลงเอยยังไงอ่ะดูๆแล้วทั้งคู่ไม่น่าจะลงเอยกันไปได้ด้วยดีเลย

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
ไมตรีที่เขาเคยหยิบยื่นให้คนผู้หนึ่งกลายเป็นความผัดหวัง " ผิด " หวัง
พิมพ์ผิดนิดเดียวค่ะ
ถ้าท่านแม่ทัพกลับมาหวังว่าช่างหลินจะไม่โดนทำอะไรนะ งือออ :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
สงสารรัชทายาทกับจางเหลียนมาก
ฮืออออออ ออ

ออฟไลน์ tempo_oil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
ชอบมากกกกกก รอตอนต่อไปนะคะ องค์ชายจะทำไงต่อไป

ขอบคุณที่มาต่อนะคะ รอๆๆๆๆ  :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1

ออฟไลน์ Isunn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 349
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
คืออยากจะขออะไรล่วงหน้าได้ป่าว :hao4:

ขอให้ช่วยทำให้ดวงตาของช่างหลิน กลับมาใช้งานได้ดังเดิมอ่ะ อาจจะเป็นตอนท้ายๆก็ได้  :monkeysad:

 :mew2: :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
สนุกมาก น่าลุ้น น่าติดตามยิ่งขึ้นทุกตอน รอต่อไปค่าา

ออฟไลน์ SaJung13

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
สนุกมากเลยคะ แต่ดูท่าแล้ว
ตอนจบน่าจะไม่ได่คู่กันแน่เลย
ในเมื่ออยู่ฝ่ายตรงจ้ามกันขนาดนี้

ออฟไลน์ repilca

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
รอติดตามตอนต่อไป  :hao4:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เข้มข้นจริง ๆ

คำผิดจากตอนที่ 8 จ้า

ไม่จำเป็นต้องกอกเขาไว้แนบอกเช่นนี้ > กอด

แล้วจึงพรูลทหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง > ลมหายใจ
ถึงตอนนี้เข็บเงินก็ถูกดึงออก > เข็ม
เหตุการณ์แปลกประหลฝาดเบื้องหน้า > ประหลาด
ถือไว้ช่างใจแค่ชั่วครู่ > ชั่งใจ
ผู้ใดปากร้ายเก่าเท่าท่านเช่นกัน"  > คำว่า 'เก่า' เกินมาหรือเปล่าคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2016 08:09:02 โดย alternative »

ออฟไลน์ NakiDGM14

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
คำผิดที่มีเม้นช่วยแจ้งมา แก้ไขเรียบร้อยแล้วนะคะ ขอบคุณทุกคนมากค่า ><

//กำลังปั่นตอนต่อไปอยู่เลยค่ะ!

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
สนุกจังค่ะ เค้าชอบ :katai2-1:

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ Honeyhoney

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
 :ling1: นายเอกเราเริ่มโต้ตอบแล้วรอดูพระเอกตอกกลับบ้างง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด