บทที่ 8 : คำถาม
ร้อน...
ความรู้สึกแรกเมื่อลืมตาขึ้นในความมืดอีกครั้งคือความร้อนจากอ้อมแขนของใครบางคนที่กอดประคองตัวเองเอาไว้ ความรู้สึกต่อมาคือความรู้สึกหนักอึ้งของร่างกายที่หนักราวกับถูกถ่วงไว้ด้วยโซ่เส้นหนาจนแม้แต่ปลายนิ้วก็ยังขยับไม่ได้
ความมืดที่โอบล้อมกายส่งให้คนเพิ่งฟื้นไม่แน่ใจนักว่าตนเองตื่นขึ้นมาแน่แล้วหรือ? แต่เมื่อสติเริ่มกลับมาพร้อมกับเรี่ยวแรงที่ฟื้นคืนเขาจึงได้แน่ใจว่าตัวเองตื่นแล้วแน่ๆ
ความมืดเช่นนี้เขาอยู่กับมันมานานหลายเดือนจนคุ้นเคยกันดีแล้ว หากกลิ่นอายของบุคคลที่โอบกอดตัวเองตอนนี้กลับไม่ใช่สิ่งที่เขายินดีจะคุ้นชินเด็ดขาด
ลู่ซือเหยียน
ยังไม่ทันจะได้ขยับตัวดิ้นผลักอกของศัตรูออก ร่างทั้งร่างก็ถูกอ้อมแขนแข็งแรงรัดเอาไว้จนแทบขยับไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสภาพของเขาที่เรี่ยวแรงยังไม่กลับมาเช่นนี้ หลิวช่างหลินเกร็งขึ้นอย่างไม่พอใจ พยายามออกแรงต่อต้าน เค้นเสียงแหบพร่าออกมาด้วยความขุ่นเคือง
"ปล่อยข้า"
"อย่าดื้อ" เจ้าของอ้อมแขนตอบเสียงแข็งโอบกอดเขาไว้ให้แน่นกว่าเดิม พลันความรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ปลายนิ้วก็ส่งให้สติคนเพิ่งฟื้นแจ่มชัดขึ้น ร่างกายคล้ายมีเรี่ยวแรงขึ้นมาตามลำดับ
ฝังเข็มสินะ เมื่อเริ่มรู้เจตนาท่าทางขัดขืนก็ค่อยลดลง แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าให้ความร่วมมือ จะอย่างไรฝังเข็มที่นิ้วก็ไม่จำเป็นต้องกอดเขาไว้แนบอกเช่นนี้กระมัง เขาหลิวช่างหลินเป็นชาย ซ้ำยังเป็นถึงอดีตรัชทายาทแห่งต้าซาง เรื่องทำตัวอ่อนแอให้ศัตรูช่วยเยี่ยงนี้เขาไม่ยินดี ไม่ยินดีอย่างยิ่ง!
"ท่านปล่อยช้าได้แล้วกระมัง?" หลิวช่างหลินเค้นเสียงแหบพร่าพูดขึ้นมาอีกครั้ง ออกแรงยกมือข้างที่ไม่ได้ถูกฝังเข็มอยู่มาดันอกของอีกฝ่ายออก
การกระทำนี้เรียกให้คิ้วของท่านแม่ทัพใหญ่ขมวดแน่น ความรู้สึกไม่พอใจผุดขึ้นมาร่างสูงออกแรงกอดคนดิ้นแน่นขึ้นอีก ส่งสายตาให้ท่านหมอโจวหยุดการฝังเข็มชั่วครู่ ใช้จังหวะที่หมอชราหยุดมือหันมาปราบพยศคนดื้อต่อ
"เมื่อครู่ท่านหายใจไม่สะดวก ท่านหมอโจวกำลังฝังเข็มปรับให้ อยู่นิ่งๆเถอะ" เพราะไม่อยากใช้ไม้แข็งกดดันคนป่วยใจนอาการกำเริบขึ้นมาอีก น้ำเสียงที่ลู่ซือเหยียนเลือกใช้จึงอ่อนกว่าปกติอยู่ถึงสามสี่ส่วน แต่คนป่วยกลับไม่มีทีท่าจะรับน้ำใจ
"จะฝังเข็มก็ให้ข้าพิงหมอนไว้ก็ได้ ข้าหลิวช่างหลิน แม้ไม่มีแผ่นดินให้ปกป้องแล้วก็ยังเป็นชายชาติทหาร มิต้องการการดูแลที่มากเกินความจำเป็นเช่นนี้หรอก ท่านแม่ทัพลู่ปล่อยข้าลงเถอะ" อดีตรัชทายาทแห่งต้าซางตอบแทนน้ำใจด้วยถ้อยคำเย็นชา เมื่อเขาขยับตัวอีกครั้งลู่ซือเหยียนก็มิได้รั้งไว้อีก ปล่อยแขนออก หยิบหมอนมาประคองร่างโปร่งลงนอนแบบที่เจ้าตัวต้องการโดยไม่พูดอะไร
เมื่อร่างกายเป็นอิสระแล้ว สีหน้าของหลิวช่างหลินถึงได้ดีขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจว่าการทำสงครามย่อมต้องมีผู้แพ้แลผู้ชนะ การที่ตนเองพลาดพลั้งจนต้องเสียแผ่นดินไปย่อมมิอาจโทษใครได้นอกจากตนเอง คนตายในสงครามเป็นเรื่องปกติ ท่านฆ่าคนของศัตรูได้ ศัตรูย่อมฆ่าคนของท่านได้เช่นกัน
เข้าใจ ทว่าหลังจากได้เห็นภาพกองซากศพสุดลูกหูลูกตานั่นแล้ว จักให้ทำใจยอมรับมันกลับมิใช่เรื่องง่ายดาย ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ การจะมองเรื่องราวของตนเองอย่างเป็นกลางไปเสียทุกเรื่องย่อมเป็นไปไม่ได้
ท่านหมอชรามองภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าเงียบๆ เขาพรูลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง มือเหี่ยวย่นที่หยุดไปก่อนหน้าเริ่มขยับไปฝังเข็มบนข้อแขนเรียวขาวอีกครั้ง พลางเอ่ยออกมาเสียงเบา ทำลายบรรยากาศหนักอึ้งด้วยถ้อยคำเรียบง่าย
"ร่างกายของท่านแข็งแรงจริงๆ คนทั่วไปโดนขนาดนี้ น่ากลัวว่าต่อให้เจ็ดวันเจ็ดคืนก็คงยังขยับตัวไม่ได้"
เสียงแหบพร่าอันคุ้นเคยนั้นคลายความตึงเครียดบนสีหน้าคนป่วยได้เล็กน้อย หลิวช่างหลินขยับตัวพอให้พิงหมอนได้ถนัดขึ้น ค่อยตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
"...ขอบคุณท่านหมอโจว ช่างหลินทำท่านเดือดร้อนอีกแล้วกระมัง.." ถ้อยคำที่อดีตรัชทายาทหนุ่มเลือกใช้นั้นเหมือนเด็กน้อยพูดคุยกับญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ทำให้รอยยิ้มบนหน้าท่านหมอกว้างขึ้นเล็กน้อย ใจนึกเอ็นดูชายหนุ่มเบื้องหน้าขึ้นมา
"นี่เป็นงานของข้า จะลำบากอะไรกันเล่า" ถึงตอนนี้เข็มเงินก็ถูกดึงออกทั้งหมด เก็บของเข้าที่แล้วจึงหันไปพยักหน้าให้ท่านแม่ทัพใหญ่ที่เอาแต่ยืนเงียบมาตั้งแต่ถูกผลักไสไปยกหม้อยาที่ต้มเอาไว้ลงจากไฟแล้วตักยาใส่ถ้วยมายื่นให้ตน
ท่านหมอท่านนี้ถึงกับกล้าใช้งานแม่ทัพใหญ่ผู้กุมอำนาจสูงสุดของกองทัพได้อย่างหน้าตาเฉย เสียดายที่ตาของอดีตรัชทายาทหนุ่มใช้ไม่ได้แล้ว จึงไม่อาจเห็นภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดเบื้องหน้า ไม่อาจ...เห็นว่าอีกฝ่ายมองตนด้วยสีหน้าแบบไหน
หมอชรารับยากลิ่นเหม็นฉุนมาดมด้วยสีหน้ายินดีราวยาในถ้วยเป็นชาชั้นเลิศ ผิดกับองค์ชายหนุ่มบนเตียงที่สีหน้าผิดสีไปเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นเหม็นเขียวร้ายกาจนั่น ความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าอย่างหาได้ยากทำให้คนมองเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ยาของท่านหมอโจว แม้จะให้ผลเป็นเลิศ แต่ความน่ากลัวของรส กลิ่น สี ก็เป็นเลิศเช่นเดียวกัน
หลิวช่างหลินรับยามาด้วยท่าทางลังเลเล็กน้อย ถือไว้ชั่งใจแค่ชั่วครู่ก็กลั้นใจยกของเหลวที่ส่งกลิ่นเหม็นเขียวส่งเข้าปากตนเอง ทันทีที่ลิ้นรับรสได้ คนกินก็แทบจะสำลักออกมา คนมองส่ายหน้าเดินไปรินชาแล้วกลับมาจับมือเรียวเอาไว้ ส่งจอกชาให้ถึงมือ
"ดื่มซะ นี่ชา" แม้น้ำเสียงจะเย็นชาไร้ความเป็นมิตร แต่เวลานี้อดีตองค์รัชทายาทแห่งต้าซางนั้นกลับไม่มีเวลาพิจารณาว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร ได้ชามาก็ยกกระดกเข้าปากทันที
รสชาติของยาเทียบที่ดื่มเข้าไปแย่เกินคำบรรยาย หากคนส่งไม่ใช่โจวจั่งชิง เกรงว่าเขาต้องเข้าใจว่าหมอที่ยื่นยานี้มาให้กำลังปองร้ายตัวเองเป็นแน่...
ทั้งขมทั้งเหม็นจนน้ำตาแทบไหล
ฝ่ายท่านหมอชรายามนี้สีหน้ายิ้มแย้มยินดีจนหัวเราะถูกใจ เก็บของเข้าล่วมยาเสร็จมือเหี่ยวย่นจงค่อยจับข้อมือของคนป่วยมาสำรวจชีพจรอีกครั้ง
"ไม่เลว..ไม่เลว หากอาการยังเป็นเช่นนี้อีกสองสามวันท่านก็หายขาดแล้วล่ะ"
คนฟังขยับยิ้มชืด พยักหน้ากล่าวขอบคุณท่านหมอคนเก่งเบาๆ เมื่อเสร็จธุระ ลู่ซือเหยียนจึงเข้ามาประคองชายชราออกไปส่งหน้าห้อง ทิ้งให้คนป่วยอยู่เพียงลำพัง
....
"แหม แหม ดูท่าที่ข้าไม่อยู่หลายวัน ที่นี่คงมีเรื่องสนุกๆเกิดขึ้นสินะ" ร่างของหมอชราลับตาไป เสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังออกมาจากในเงามืด ลู่ซือเหยียนเหลือบสายตาคมกริบไปยังทิศทางนั้น ริมฝีปากยกยิ้มเย็นชา
"สนุกมากทีเดียว"
รอยยิ้มนั้นของสหายทำให้หลี่รุ่ยเต๋อประหลาดใจเล็กน้อย ดูท่าเรื่องสนุกที่ว่าจะสนุกมากจริงๆ ถึงได้ทำให้สหายของเขาโกรธเกรี้ยวขนาดนี้ ชายหนุ่มยักไหล่ หยิบม้วนกระดาษให้อีกฝ่ายด้วยท่าทางจริงจังขึ้น
"จดหมายจากองค์ชายสาม ด่วนมาก เจ้าอ่านเอาเองแล้วกัน"
พอได้ยินว่าผู้ส่งคือญาติผู้น้องของตน ลู่ซือเหยียนก็รับมาคลี่อ่าน กวาดสายตาผ่านตัวอักษรอย่างรวดเร็ว ใจความกระชับสั้นส่งให้คิ้วเข้มขมวดมุ่น อ่านจบมือหนาจึงค่อยพับจดหมายไปจ่อกับเปลวไฟ
"องค์ชายรองเคลื่อนไหวแล้ว เว่ยหงต้องการกำลังเสริม"
หลี่รุ่ยเต๋อพยักหน้ารับ เหลือบมองไปยังด้านในห้องที่ตัวประกันสูงศักดิ์พักอยู่ ลดเสียงลงแล้วกระซิบถามแผ่วเบา
"เจ้าจะเอาอย่างไร ปล่อยต้าซางไว้แล้วกลับไปตอนนี้ไม่ดีแน่ เจ้าก็รู้ว่าพวกต้าซางยังไม่ได้ยอมศิโรราบ ตราบใดที่รัชทายาทของพวกเขายังมีชีวิตอยู่"
ลู่ซือเหยียนมิได้ตอบคำถามทันที เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง คนเป็นสหายเห็นเช่นนั้นก็มิได้เร่งรัดอะไร ผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อ ร่างสูงจึงเริ่มขยับในที่สุด
"รุ่ยเต๋อ คนของเจ้าต้องใช้เวลาเท่าไหร่จึงจะไปถึงห้าวโจว*(1)"
"ประมาณหกวัน"
"ดี" ใบหน้าของแม่ทัพใหญ่ปรากฏรอยยิ้มเยียบเย็น ดวงตาเรียวสีดำสนิทคมกล้าฉายแววเหี้ยมโหดให้ผู้ที่มองถึงกับสั่นสะท้าน
"ข้ามีของขวัญจะส่งให้องค์ชายสามของเราชิ้นหนึ่ง คงจะซื้อเวลาให้เว่ยหงได้พักใหญ่เลยทีเดียว"
*********
เจ็ดวันต่อมา ห้าวโจว เขตปกครองหนึ่งของต้าเสียง "เจ้าว่าอย่างไร ลู่ซือเหยียนบาดเจ็บหนักงั้นรึ!" ใครคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างตกใจ ใบหน้าอวบอูมจะฉายแววปิติยินดี รายงานลับจากสายที่แทรกซึมอยู่ข้างกายของแม่ทัพใหญ่นั้นไม่มีคราใดจะสร้างความตื่นเต้นให้กับเขาได้ถึงเพียงนี้
รอคอยจังหวะมานาน ในที่สุดสวรรค์ก็ประทานโอกาสมาให้เสียที!
"เด็กๆ!" เสียงแหบพร่าทว่าเต็มไปด้วยพลังชีวิตร้องเรียกเด็กรับใช้ที่อยู่หน้าห้องให้เข้ามา ร่างอวบขยับไปนั่งที่โต๊ะหนังสือหยิบพู่กันมาจุ่มหมึกตวัดเป็นอักษรอย่างรวดเร็ว เขียนเสร็จหยิบมาพัดๆสองสามครั้งให้หมึกแห้ง พับเป็นม้วนจดหมายและประทับตราประจำตัวให้เรียบร้อย
"ส่งจดหมายนี้ให้องค์ชายสาม ด่วนที่สุด เข้าใจหรือไม่!"
"ขอรับ ใต้เท้า"
*********
"ท่านจะนั่งเหม่อแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน" เสียงทุ้มๆดังขึ้นเรียกความสนใจจากร่างโปร่งบางได้ในที่สุด หลังจากปล่อยในความคิดไหลไปกับความเงียบสงัดอยู่นานสองนาน
"ตัวประกันเช่นข้า นอกจากนั่งเหม่อแล้วยังมีอย่างอื่นให้ทำงั้นรึ?" น้ำเสียงของคนเป็นตัวประกันยังคงกระด้างเช่นเดียวกับช่วงที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาไม่มีผิด ความเปลี่ยนแปลงอันเห็นได้ชัดนี้ สร้างความหงุดหงิดใจให้แม่ทัพใหญ่ไม่น้อย
"คนตาบอดมากมายในใต้หล้าที่ข้าเคยเจอ ไม่มีผู้ใดเหม่อเก่งเท่าท่านสักคน"
"แม่ทัพผู้เก่งกล้าข้าก็เจอมามากมาย ข้าเองยังไม่เคยพบผู้ใดปากร้ายเก่าเท่าท่านเช่นกัน"
"......" ถูกย้อนมาเช่นนั้น ลู่ซือเหยียนมิได้โกรธ ยังขยับยิ้มมุมปากอย่างถูกใจ ลองว่าคนป่วยมีอารมณ์มาถกเถียงกับเขาเช่นนี้ คงไม่เป็นอะไรมากแล้ว
เมื่อคู่สนทนาไม่ได้เอ่ยต่อประโยค หลิวช่างหลินก็ผ่อนลมหายใจเบา เลื่อนไปยังตำแหน่งที่จอกชาวางอยู่อย่างแม่นยำ ระยะหลายเดือนที่ผ่านมาประสาทสัมผัสของเขาฉับไวขึ้นมากจริงๆ
"แล้วท่านไม่มีอะไรทำรึ ถึงได้มานั่งเฝ้าข้าแบบนี้" สุดท้ายคนที่หมดความอดทนก่อนคือฝ่ายคนป่วยที่พอจะรู้ตัวว่าถูกจับจ้องอยู่ทุกการเคลื่อนไหว การถูกจับจ้องเช่นนี้ทำให้เขาอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
"มี ข้าก็กำลังทำอยู่นี่ไง" ลู่ซือเหยียนตอบรับเรียบง่าย สื่อเป็นนัยว่างานของตนก็คือการนั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้นี่แหละ
คิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อย รัชทายาทหนุ่มสงบอารมณ์ตัวเองด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึกๆผ่อนลมหายใจออกยาวๆ โมโหไปก็ไม่ได้อะไร การสะกิดชายผู้กุมชะตาชีวิตตนเองอยู่ยังไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากทำนัก เขาไม่อยากสร้างเรื่องยุ่งยากให้ตัวเอง
เมื่อข่มอารมณ์ของตัวเองได้ ร่างโปร่งจึงค่อยกลับมาสงบนิ่ง จิบชาหอมหวนในจอกอย่างเยือกเย็น
"หากท่านหมายถึงข้า ข้าไม่คิดจะหนีออกไปไหนหรอก แล้วก็ไม่มีปัญญาทำเช่นนั้นด้วย ท่านสบายใจได้"
ปากดี... ลู่ซือเหยียนคิดในใจ
"งานของข้ามิใช่แค่นั่งเฝ้าท่านเฉยๆแน่นอน ขุนนางปกครองของต้าเสียงใกล้จะเดินทางมาถึงแล้ว ข้าต้องเตรียมข้อมูลสำคัญบางอย่างเอาไว้รอพวกเขา" เบื้องหน้าของแม่ทัพหนุ่มตอนนี้มีชุดเครื่องเขียนอยู่ครบพร้อม
"...มิคิดว่าแม่ทัพอย่างท่านจะสนใจเรื่องการปกครองด้วย"
"รู้เพียงการเข่นฆ่า ย่อมมิอาจปกครองผู้ใด ข้าต้องการต้าซางที่สมบูรณ์ มิใช่บอบช้ำจนหาประโยชน์อันใดมิได้" คนเป็นแม่ทัพตอบเรียบๆ หยิบแท่งหมึกสีดำมาฝนอย่างใจเย็น "หรือท่านอยากให้ต้าเสียงรื้อระบบใหม่ทั้งหมด? ถ้าเป็นแบบนั้นข้าไม่ถามก็ได้"
ประโยคนี้ทำให้คนฟังเม้มปากแน่น อย่างไรก็ไม่เต็มใจเล่าทุกอย่างให้คนผู้นี้ฟัง อดีตองค์ชายรัชทายาทถอนหายใจแผ่ว
"ได้ ท่านมีอะไรจะถามก็ว่ามาสิ" อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้คนต่างแผ่นดินมาปรับนั่นแต่งนี้จนต้าซางย่อยยับ บอกไปตามตรงจะดีกว่า
"งั้นเริ่มจากระบบทหารก็แล้วกัน ข้ายังมีเรื่องที่ไม่ชัดแจ้งเยอะทีเดียว"
"...ท่านเลือกเรื่องที่จะถามได้ดีจริงๆ" หลิวช่างหลินคลี่ยิ้มเย็นชา "น่าเสียดายที่ตาข้ามองไม่เห็นแล้ว ละจากเรื่องการทหารมาตั้งแต่หลายเดือนก่อน ท่านแม่ทัพลู่มาถามข้าตอนนี้ก็หาได้มีประโยชน์อันใดไม่"
"องค์ชายช่างถ่อมตนจริงๆ ข้าคงเชื่อท่านไปแล้ว ถ้าหากไม่พบว่าส่วนที่เหลือของต้าซางกำลังเคลื่อนไปที่จุดๆหนึ่ง" คนเป็นแม่ทัพมิได้ยอมแพ้โดยง่าย หลายวันก่อนสายตามที่ต่างๆของเขาแจ้งมาว่าเมืองทางเหนือทั้งหมดกำลังอพยพไปรวมกันที่ค่ายแห่งหนึ่ง...
คนที่เตรียมการไว้พร้อมเช่นนี้ต้องมิใช่ชนชั้นไร้สมองแน่นอน และเป็นไปไม่ได้ที่ร่างตรงหน้าของเขาจะไม่รู้เรื่องนี้
"ท่านรู้ว่าพวกเขากำลังเคลื่อนไหว ก็แปลว่าท่านทราบแล้วว่าพวกเขากำลังจะย้ายไปที่ใด เหตุใดยังต้องมาถามข้าอีกเล่า?" หลิวช่างหลินขยับยิ้มสุภาพนุ่มนวล ไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนก ขนาดผิวชาในจอกก็ยังสงบนิ่ง
"แน่นอนว่าข้าทราบ แต่ข้าต้องการจะทราบให้มากกว่านี้"
"ท่านเข้าใจว่าข้าจะขายประชาชนที่เหลือของข้าให้ท่าน?" ร่างโปร่งหัวเราะในคออย่างดูแคลน
"ข้าเข้าใจว่าท่านยังห่วงประชาชนในที่เหลือในเมืองต่างหาก" ถ้อยคำของท่านแม่ทัพใหญ่ท่านนี้ดูเผินๆคล้ายประโยคทั่วไป ทว่าความนัยกลับเสียดแทงลึกเข้าไปในใจของคนฟังให้เจ็บแปล๊บขึ้นมา
ลู่ซือเหยียนมองร่างโปร่งตรงหน้านิ่ง แล้วกล่าวต่อ "องค์ชายเป็นผู้มีปัญญา คงเข้าใจความหมายของข้าดี"
กับคำขู่นี้ คนฟังเพียงยิ้มรับด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมเพียงแค่ความแข็งกร้าวที่ผุดขึ้นมาบนรอยยิ้มเท่านั้น ที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวหาได้ยอมจำนน "ความหมายของท่านข้าย่อมเข้าใจ ความคิดของข้าท่านย่อมเข้าใจเช่นกัน ท่านจะไม่ทำร้ายพวกเขาแน่นอน"
คราวนี้เป็นทีของแม่ทัพใหญ่แห่งต้าเสียงตกลงลู่ความเงียบบ้าง เรียวปากเรียบตึงโค้งขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มบางยากจะคาดเดาว่าเจ้าของอยู่ในอารมณ์ใด โดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม ร่างสูงก็หยัดกายลุกขึ้นจากที่นั่ง ก้าวเข้าไปหาร่างโปร่งช้าๆ จงใจลงน้ำหนักในแต่ละก้าวให้หนักแน่น จนมาถึงตรงหน้าของเชลยผู้สูงศักดิ์ มือหนาหยาบยกขึ้นแตะที่คางของร่างบนเตียง เชยให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาหาตน
"ท่านคิดว่าข้ามิกล้าลงมือ?"
"อำนาจที่ไร้เหตุผลคืออำนาจของคนพาล อำนาจที่ไร้ความเมตตา ย่อมนำมาซึ่งความปราชัย" ดวงตาคู่กระจ่างเลื่อนขึ้นมาสบกับดวงตาคมกริบอย่างแม่นยำ ถึงมิอาจมองเห็นดวงตาทั้งสองของผู้ตกเป็นรองก็ยังคงฉายความมั่นคงและความดื้อดึงหนึ่งประการ "ท่านมิอาจทำร้ายพวกเขา ตอนนี้ท่านครอบครองที่นี่ พวกเขาก็ถือเป็นหน้าที่ของท่านที่ต้องดูแล ท่านพูดเองว่าต้องการต้าซางที่สมบูรณ์ดังนั้นท่านก็ยิ่งมิอาจล้างบางพวกเขา"
มิอาจทำร้ายคนที่จะกลายมาเป็นประชาชนของตัวเองในภายหน้า บ่มเพาะความแค้นใหม่ขึ้นในใจพวกเขา
ลู่ซือเหยียนมิได้ต่อคำในทันที กลับจ้องมองใบหน้าของคู่สนทนาอยู่นาน
"ข้าลู่ซือเหยียนเป็นชนชั้นทหารหยาบกระด้าง คงไม่ได้คิดไกลไปถึงขั้นนั้นหรอก"
"หากท่านเป็นชนชั้นทหารที่ไม่ใส่เรื่องนี้จริง ชีวิตข้าคงไม่ยาวนานมาถึงตอนนี้หรอก"
ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา คนเป็นทหารก็แค่นเสียงหึออกมาคำหนึ่ง ปล่อยมือออก หมุนตัวเดินออกไปจากห้อง ยังไม่ทันที่ร่างโปร่งจะได้ผ่อนคลาย เสียงทุ้มต่ำก็พาความหนักอึ้งเข้ามาสู่จิตใจอีกครั้ง
"เช่นนั้นข้าคงต้องให้คนไปเชิญอินอ๋องมาตอบคำถามแทนท่านแล้ว องค์ชายพักให้สบายเถอะ อีกไม่นานข้าจะพาน้องชายของท่านมาอยู่เป็นเพื่อนเอง"
สิ้นคำ เสียงฝีเท้าก็ห่างไปออกไป ทิ้งให้ร่างโปร่งหลับตาลงเม้มปากอย่างเจ็บปวด...
อิ่นเอ๋อร์... พี่หวังว่าเราจะได้ไม่ได้พบกันอีก....
หากยังกอบกู้แผ่นดินต้าซางไม่ได้ พี่หวังว่าเราจะไม่ได้พบกันอีกตลอดกาล หากสวรรค์ยังเมตตาคนแซ่หลิวอยู่บ้าง ได้โปรดคุ้มครองเขา
ขอให้อิ่นเอ๋อร์ปลอดภัยจากเงื้อมมือของศัตรูด้วยเถอะ
*********
หลังจากออกมาแล้ว ลู่ซือเหยียนมิได้รีบเดินไปเข้าประชุมเช่นทุกครั้ง ยังคงเดินทอดน่องช้าๆมองทิวทัศน์จากระเบียงไม้สีแดงเงียบๆ สีขาวของหิมะปกคลุมหนาอยู่ในสวนขับให้บรรยากาศดูสงบเย็นตา ร่างสูงหยุดยืนมองอยู่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่เดินเข้ามาใกล้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับสายตาเย็นชาไม่เป็นมิตรของชาวต้าซางผู้หนึ่งที่กำลังเดินนำนางกำนัลเข้ามาใกล้
จางเหลียนจ้องสบกับดวงตาคมกริบทรงอำนาจโดยไม่หลบสายตา ความเกลียดชังในดวงตานั้นเข้มข้นจนแทบจะกลั่นออกมาเป็นคมดาบได้
เผชิญกับความเกลียดชังเช่นนี้คนมองกลับรู้สึกคุ้นเคยกว่าใบหน้านิ่งเฉยของอีกคนในห้องเป็นไหนๆ สายตาเกลียดชังเช่นนี้กวาดตาไปที่คนต้าซางสักรอบ ในสิบคน คนที่มีสายตาเช่นนี้ไม่ต่ำกว่าห้าคนแน่นอน ที่เหลือนั้น หากไม่เป็นแววตาหวาดกลัว ก็เป็นแววตาประจบสอพลอที่ต้องการจะหาประโยชน์จากเขา...
รอจนกลุ่มของจางเหลียนเดินผ่านไปแล้ว ลู่ซือเหยียนจึงผิวปากสั้นๆออกมาคำหนึ่ง ในเงามืดของระเบียงก็มีคนเดินออกมา เป็นชายหนุ่มชาวต้าซางที่สวมเครื่องแบบขุนพลชั้นสูงของต้าเสียง เมื่อเดินออกมาหยุดตรงหน้าคนเรียกก็ประสานมือคารวะเรียกแม่ทัพออกมาเบาๆ
"หลงซาน เจ้ารู้จักที่ที่พวกเขากำลังจะไปหรือเปล่า"
หานหลงซานยังคงก้มหน้าไม่เงยขึ้นมา เพียงตอบรับว่ารู้จักออกมาสั้นๆ
"รู้หรือเปล่าว่าที่นั่นเป็นที่แบบไหน มีการคุ้มกันยังไง"
"ไม่ทราบขอรับ"
คำตอบที่ได้ทำให้คิ้มเข้มขมวดฉับ หันมาจ้องมองด้วยท่าทางบีบคั้นบางเบา
"เจ้าทำมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังลังเลอะไรอยู่อีก? หรือเจ้าคิดจะบิดพลิ้ว ยกเลิกข้อตกลงของเรา?"
ภายใต้แรงกดดันของแม่ทัพใหญ่ที่กร่ำศึกมาไม่รู้กี่สมรภูมิ หานหลงซานยังคงความเยือกเย็นไว้ได้ดีอย่างน่าชมเชย เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาตรงๆ
"ตอนที่วางแผนเรื่องค่ายพักนี้ องค์ชายหารือแค่กับแม่ทัพนายกองที่เกี่ยวข้องโดยตรงและอินอ๋องเท่านั้น ข้ารู้เพียงว่ามันตั้งอยู่ที่ไหน แต่ทางที่จะบุกเข้าไปหรือรายละเอียดของมันแม้แต่จางเหลียนเองก็ยังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ ข้ามิได้เจตนาปิดบังท่านแต่อย่างใด"
ลู่ซือเหยียนหรี่ตาจ้องอยู่ชั่วครู่ก็ละสายตาออกไปมองยังนอกระเบียงอีกครั้ง
"เจ้าไม่รู้ก็ช่างเถอะ ไปตามรุ่ยเต๋อมาพบข้าพรุ่งนี้เช้า ให้เขาเข้าประชุมด้วย บอกว่าถ้ากล้าโดดประชุมครั้งนี้ ข้าคงต้องเขียนจดหมายถึงหอเหลียนฮวาหาสายลับคนใหม่แล้ว"
"ขอรับ"
**************************
กลับมาต่อแล้วค่าาาาาา ;v;
หายไปนานมากจริง คนแต่งหวัดรับประทานจนลุกมาจิ้มนิยายไม่ได้หลายวันเลย แถมยังยุ่งๆกับเรื่องเรียนเล็กน้อย ฮา
ในที่สุดสองคนนี้ก็ได้มีบทคุยกันยาวๆเสียที! .....แต่บรรยากาศหนักๆนี่มันอัลลัยกัน เขียนเองบ่นเองสักหน่อย หลายๆคนอ่านไปอ่านมาก็คงสงสัยว่ามันจะลงเอยกันได้จริงๆหรอสองคนนี้.... คำตอบก็คือกรุณาติดตามต่อไปนะคะ ฟฟฟฟฟ //โดนตี
คนแต่งอยากให้นิยายเรื่องนี้ไม่ได้เน้นแค่เรื่องความรักอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องราวของแผ่นดิน ความรู้สึก และหน้าที่มาเกี่ยวข้องด้วย เพราะงั้นคงไม่ได้ลงเอยกันง่ายๆแน่นอน 555 แต่คนแต่งไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องนี้เป็นจำเลยรักนะคะ คนอ่านทุกท่านใจเย็นๆก่อน ฟฟฟ
อยากคุยมากกว่านี้ แต่พิมพ์แล้วเกือบเผลอสปอยเนื้อเรื่อง เอาเป็นว่าแค่นี้ก่อนแล้วกันนะคะทุกคน ผู้แต่งของลาไปทำงานหลวงก่อนล่ะ ก่อนจะโดนอาจารย์เอา F มาโยนใส่หัว ฮา แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นเช่นเคยนะคะ อ่านแล้วแก้มจะปริจริงๆ 55