"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - End (12-1-2016) - Page 3  (อ่าน 27343 ครั้ง)

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

********************************************************************************************************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-01-2016 16:54:43 โดย Mettnoon »

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 1
«ตอบ #1 เมื่อ29-12-2015 15:46:49 »

สวัสดีค่ะ

นี่เป็นเรื่องที่สองของ Mettnoon นะคะ คิดอยู่นานว่าจะลงดีไหม เพราะเรื่องไม่ mass และเคยได้รับคำแนะนำให้ rewrite แต่เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์บางช่วงบางตอนของตัวละครเอก คือ "ข้าวโอ๊ต" และเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวละครตัดสินใจเปลี่ยนความคิดและการดำเนินชีวิตของตัวเอง story line มันเป็นอย่างนั้น จึงตัดสินใจเอามาลงเพื่อขอทราบ feedback ว่าพอจะมีคนอ่านบ้างหรือไม่ เรื่องนี้มีตัวละครสัมพันธ์กับเรื่องแรก คือ "บนทางรัก" จึงขอนำมาลงที่เว็บบอร์ดแห่งนี้นะคะ

ตอนที่เขียนเรื่องนี้ ดิฉันสนุกมาก และหวังว่าผู้อ่านจะได้รับความสนุกและสาระอะไรไปจากเรื่องนี้บ้าง
"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" ขอเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้แก่คุณผู้อ่านที่นี่ค่ะ



...What's on your mind?...

Mettnoon

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 1 (29-12-2015)
«ตอบ #2 เมื่อ29-12-2015 16:10:34 »

บทที่ 1
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ไม่อยากตื่นขึ้นมาเลย อยากนอนไปเรื่อย ๆ นอนไปนาน ๆ
Like – Comment – Share

          ข้าวโอ๊ตไม่คิดว่าชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปจากที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ได้มากสักเท่าไร ตื่นตอนเช้าไปทำงานในออฟฟิศ เลิกงานตอนเย็นก็กลับมาที่คอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าที่อาศัยอยู่คนเดียว ใช้เวลาในตอนค่ำดูหนัง ดูซีรีส์ อ่านหนังสือ ท่องอินเตอร์เน็ต พูดคุยกับเพื่อนผ่านทางโซเชียลมีเดียทั้งหลาย แล้วก็เข้านอนเพื่อจะตื่นมาทำงานในตอนเช้า วนไปเวียนมาอยู่แบบนี้หลายปีแล้วตั้งแต่เริ่มทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศหลังเรียนจบปริญญาโททางภาษาจากสถาบันเก่าแก่ใจกลางเมือง
          ชีวิตของเขามันช่างน่าเบื่อหน่ายสิ้นดี ปีนี้ชายหนุ่มอายุสามสิบสองแล้ว เขาใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก เพื่อนที่รู้จักและสนิทสนมด้วยส่วนใหญ่เป็นเพื่อนผู้หญิงเพราะคณะและสาขาวิชาที่เขาเลือกเรียนมีแต่ผู้หญิงเรียนเกือบเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ และในตอนนี้ เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุสามสิบ เพื่อน ๆ ของเขาพากันแต่งงาน มีสามี มีลูก มีครอบครัวของตัวเองที่ต้องดูแล ทำให้ห่างเหินกันไปจนตอนนี้เรียกได้ว่า ชายหนุ่มแทบจะไม่มีเพื่อนเหมือนคนอื่นเขาแล้ว
          เวลาส่วนใหญ่ของเขาจึงหมดไปกับการอยู่คนเดียว
          แล้ววันนี้ก็คงน่าเบื่อเหมือนกับวันก่อน ๆ อีกนั่นแหละ ชายหนุ่มคิดเมื่อกดรหัสและเปิดประตูกระจกเข้าไปในออฟฟิศ
          บริษัทที่ชายหนุ่มทำงานอยู่เป็นสาขาของบริษัทสัญชาติเยอรมันทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการทำธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทย นอกจากออฟฟิศที่เมืองไทยยังมีสาขาอยู่อีกหลายประเทศทั่วโลกเพื่อให้บริการแก่บริษัทสัญชาติเดียวกันที่ต้องการจะลงทุนทำธุรกิจภายนอกประเทศ
          ไฟในออฟฟิศเปิดสว่างแสดงว่ามีคนมาก่อนแล้ว บริษัทแห่งนี้เช่าพื้นที่อยู่ในตึกกลางเก่ากลางใหม่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า พื้นที่ที่เช่าไม่ใหญ่โต แต่ก็กว้างขวางพอจะกั้นเป็นห้องส่วนตัวให้พนักงานทุกคนได้ซึ่งจุดนี้ข้าวโอ๊ตพอใจมากที่สุดเพราะถ้าเขาต้องเห็นหน้าเพื่อนร่วมออฟฟิศอยู่ตลอดเวลาของการทำงาน ชีวิตของเขาคงจะอับเฉายิ่งไปกว่านี้
          ข้าวโอ๊ตยังไม่เข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง แต่แวะเข้าไปในครัวเล็ก ๆ ที่อยู่หลังเคาน์เตอร์รีเซปชั่นก่อนเพื่อเอาปิ่นโตอาหารกลางวันและขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แวะซื้อระหว่างทางไปเก็บ ภายในครัวเล็ก ๆ มีตู้เย็น ไมโครเวฟและกระติกน้ำร้อนไว้ให้พนักงาน รวมทั้งกาแฟ นมและน้ำตาลเป็นของส่วนรวมให้พนักงานชงดื่มได้ตามสบาย แต่ก่อนเคยมีชาและน้ำอัดลมด้วย แต่เมื่องบประมาณของออฟฟิศถูกตัด ทั้งชาและน้ำอัดลมก็หายไป ข้าวโอ๊ตไม่ชอบดื่มกาแฟ ชายหนุ่มจึงมีกระป๋องชาส่วนตัวติดชื่อวางรวมอยู่กับกล่องและขวดเครื่องดื่มส่วนตัวของพนักงานคนอื่น ๆ บนเคาน์เตอร์ข้าง ๆ เครื่องไมโครเวฟ
          “อรุณสวัสดิ์คุณโอ๊ต”
          เสียงทักแข็ง ๆ ทำให้ข้าวโอ๊ตหันไปมอง ก่อนจะทักตอบว่า
          “อรุณสวัสดิ์คาริน่า”
          คนที่เข้าออฟฟิศเช้าที่สุดนั่นเอง คาริน่า หญิงสาววัยสี่สิบกว่า ๆ ชาวเยอรมัน รูปร่างอวบท้วม ผมตัดสั้นเท่าติ่งหูดัดหยิกเป็นทรงใกล้เคียงกับมาริลิน มอนโรว์ แต่ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวสวยและเซ็กซี่ได้ใกล้เคียงมาริลินเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะคาริน่าไม่ใช่คนสวย แถมหล่อนเป็นคนไม่ยิ้มแย้ม น้ำเสียงของหล่อนแข็งกระด้าง และชุดฟอร์มที่หล่อนใส่มาทำงานทุกวันคือเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและกางเกงแสล็คสีเทาก็ยิ่งทำให้หล่อนดูเคร่งขรึมและแก่กว่าอายุจริงเข้าไปอีก
          ทักกันแค่สั้น ๆ แล้วต่างคนต่างก็เมินกันไป คาริน่าเดินออกไปจากออฟฟิศเพื่อไปเข้าห้องน้ำด้านนอกซึ่งเป็นห้องน้ำรวมสำหรับคนที่ทำงานในชั้นนี้ ข้าวโอ๊ตเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง ภายในออฟฟิศแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองฟาก ทางด้านขวามือห้องแรกเป็นห้องของนักศึกษาฝึกงานจากเยอรมนีซึ่งตอนนี้ยังว่างอยู่ ถัดไปเป็นห้องรับประทานอาหารซึ่งนอกจากจะมีโต๊ะอาหารตัวใหญ่และเก้าอี้ครบจำนวนคนแล้วก็ยังมีเครื่องถ่ายเอกสารและชั้นวางของใช้รวมทั้งอุปกรณ์สำนักงานต่าง ๆ อยู่ข้างในด้วย ถัดจากห้องนี้ไปเป็นห้องทำงานของพนักงานอยู่ติดกันสองห้อง ด้านในสุดเป็นห้องประชุมและห้องทำงานของผู้อำนวยการ ส่วนฟากทางซ้ายมือมีห้องทำงานพนักงานติดกันสี่ห้อง ห้องแรกถัดจากห้องครัวเป็นห้องทำงานของรองผู้อำนวยการ ข้าวโอ๊ตอยู่ห้องที่สามติดกับห้องของคาริน่าซึ่งเป็นห้องที่สี่อยู่ติดกับห้องของผู้อำนวยการอีกทีหนึ่ง
          เข้าห้องได้ ชายหนุ่มก็เปิดคอมพิวเตอร์ส่วนตัวและเข้าโปรแกรมเอาท์ลุคก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อเตรียมตัวเริ่มต้นการทำงานของวัน แต่เขายังทำงานไม่ได้ อีเมลที่เรียงกันเป็นพรืดอยู่ตรงหน้าของเขาตอนนี้จะต้องให้ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการตรวจดูเสียก่อน และงานของเขาจะเริ่มในตอนนั้น แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้างาน หลังจากเปิดคอมพิวเตอร์และเก็บกระเป๋าที่หิ้วมาทำงานทุกวัน ข้าวโอ๊ตก็กลับเข้าไปในครัวอีกครั้งเพื่อชงชาและรับประทานอาหารเช้าง่าย ๆ จำพวกขนมปังหรือแซนด์วิช
          เกือบเก้าโมงเช้า พนักงานคนอื่น ๆ จึงค่อย ๆ ทยอยกันเข้ามาในออฟฟิศ แล้วก็จะเข้ามารวมตัวกันอยู่ในครัวเพื่อชงกาแฟและรับประทานอาหารเช้า
          “สวัสดีครับพี่หญ้า” ข้าวโอ๊ตทักญาดา หญิงสาวตัวเล็กวัยปลายสามสิบ หล่อนเป็นลูกจีนผิวขาวจนเกือบจะเป็นซีด ดวงตาชั้นเดียวเรียวยาว แต่งหน้าค่อนข้างจัด หญิงสาวอายุมากที่สุดในบรรดาพนักงานคนไทยของออฟฟิศ มีตำแหน่งเป็นซีเนียร์ ถือเป็นลูกพี่ใหญ่ของออฟฟิศ ห้องทำงานของหล่อนอยู่ทางฟากซ้ายมือ ห้องที่สอง ติดกับห้องทำงานของข้าวโอ๊ต
          “สวัสดีครับพี่หญ้า พี่โอ๊ต” ผู้ที่เข้ามาเป็นคนที่สองเป็นชายหนุ่มผิวขาว หน้าตาดี ปากแก้มแดงเปล่งปลั่งน่ารักเหมือนผู้หญิง แต่งตัวด้วยเสื้อผ้ามียี่ห้อตั้งแต่หัวจรดเท้า กระป๋องชาที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบมาชงก็เป็นชาอังกฤษชั้นดี มิคกี้เป็นพนักงานการตลาดที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ได้ไม่กี่เดือน อยู่ห้องทางฟากขวามือติดกับห้องรับประทานอาหาร
          “สวัสดีครับทุกคน ขนมนี่กินได้เลยนะ” คนที่เข้ามาถัดจากมิคกี้เป็นพนักงานใหม่เช่นกัน เข้ามาทำงานในเวลาใกล้เคียงกับมิคกี้ ตำแหน่งเดียวกัน แต่รูปลักษณ์ต่างกันราวฟ้ากับเหว นัตโตะเป็นชายหนุ่มร่างอวบ หน้าตาเรียบจืด สวมแว่น ท่าทางแบบเด็กเนิร์ด ไม่มีอะไรที่สะดุดตาเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเดินเข้ามาในครัวพร้อมกับแม่บ้านประจำสำนักงานซึ่งเป็นผู้หญิงรูปร่างอ้วนกลมวัยปลายห้าสิบ ชื่อพัดชา หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่าพี่พัด
          “น่ากินจังเลยนัต” มิคกี้พูด แต่ไม่ได้เหลือบแลกล่องขนมที่ตอนนี้วางอยู่บนเคาน์เตอร์ครัวเลยแม้แต่นิดเดียว
          เก้าโมงห้านาที ได้เวลาผู้อำนวยการสำนักงานมาถึง ด็อกเตอร์ราล์ฟ ลูคัส แฮร์มันน์เป็นผู้ชายวัยใกล้เกษียณ หัวล้านเหม่ง ตัวสูงกว่าร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตร แต่หลังค่อมนิด ๆ ทำให้ดูไม่สง่า เมื่อเขาเดินเข้ามาข้างในออฟฟิศ ความเงียบสงบของยามเช้าก็หายไปในทันที เสียงของด็อกเตอร์แฮร์มันน์ทักทายคนโน้นคนนี้ดังลั่นไปทั้งออฟฟิศ
          แม่บ้านพัดชากระวีกระวาดจัดถาดน้ำชาทันที ทุกเช้าด็อกเตอร์แฮร์มันน์ต้องดื่มชา หล่อนจะต้องจัดถ้วยชาพร้อมจานรอง กระบอกเก็บความร้อนใส่น้ำร้อนไว้จนเต็ม และชาหนึ่งซองจากกล่องชาส่วนตัวของเขาวางลงบนถาดและยกเข้าไปให้ในห้อง ตอนที่เดินออกมาจากห้องผู้อำนวยการ หล่อนก็สวนทางกับคาริน่า
          เมื่อผู้อำนวยการมาถึงก็เหมือนกับเป็นระฆังตีบอกเวลาเริ่มทำงาน พนักงานที่อยู่ในครัวต่างก็ทยอยกันกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง ข้าวโอ๊ตเดินออกมาเป็นคนสุดท้ายพร้อม ๆ กับที่ประตูกระจกด้านหน้าถูกผลักเปิดเข้ามาอีกครั้ง
          “สวัสดี กัส” ข้าวโอ๊ตทัก
          คนถูกทักยิ้มตอบ ออกัสอายุเท่ากับข้าวโอ๊ต แต่เข้ามาทำงานก่อนหน้าข้าวโอ๊ตสองสามปี ชายหนุ่มเป็นคนหน้าตาดี ผิวขาว แต่งตัวนำแฟชั่นด้วยแบรนด์ชั้นดีไม่แพ้มิคกี้ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายต้อนรับ นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าออฟฟิศ ตรงหน้าห้องครัว
          “ทีโมนมารึยัง” ออกัสถามหลังจากที่วางกระเป๋าที่ถือมาลงบนโต๊ะหลังเคาน์เตอร์ เป็นกระเป๋าแบน ๆ ที่เขาเอาไว้ใส่กระเป๋าสตางค์ กุญแจต่าง ๆ และโทรศัพท์มือถือ ข้าวโอ๊ตไม่ค่อยมีความรู้เรื่องแฟชั่นนัก แต่ก็เคยเห็นผ่านตามาบ้างว่ากระเป๋าที่เพื่อนใช้นั้นเป็นยี่ห้อที่แพงหูฉี่
          “ยังไม่มา”
          เมื่อได้ยินคำตอบของข้าวโอ๊ต ออกัสก็มีสีหน้าเหมือนกับจะโล่งใจแล้วรีบวิ่งเข้าไปในครัวเพื่อจัดการชงกาแฟให้ตัวเองทันที
          คนที่ทั้งสองพูดถึงคือรองผู้อำนวยการประจำออฟฟิศนี้ ทีโมน รอสแบร์กเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ท่าทางเจ้าชู้ สายตาของเขาแพรวพราว โดยเฉพาะเวลามองคนหน้าตาดีแบบออกัส แต่ฝ่ายหลังไม่เล่นด้วย ส่วนกับข้าวโอ๊ต ทีโมนไม่สนใจเพราะรูปลักษณ์ไม่ต้องใจ แม้ว่าข้าวโอ๊ตจะหน้าตาดี แต่ชายหนุ่มเป็นคนผิวคล้ำ หน้าเข้มตาคม ทีโมนชอบคนผิวขาว
          ข้าวโอ๊ตไม่เดือดร้อนกับการที่ทีโมนไม่โปรด แต่รำคาญ เพราะรองผู้อำนวยการสุดหล่อมักทำให้การทำงานของเขายากลำบากเกินความจำเป็น อย่างตอนนี้ แม้ว่าชายหนุ่มจะเข้ามานั่งในห้องตัวเองได้พักใหญ่แล้ว แต่ก็ยังทำงานของตัวเองไม่ได้เพราะทีโมนยังไม่มาทำงาน ต้องรอจนเกือบเก้าโมงครึ่งนั่นแหละ พ่อเจ้าประคุณถึงค่อยเปิดประตูออฟฟิศเข้ามา หลังจากวางกระเป๋าเอกสารไว้ในห้องทำงาน แวะทักทายเล่นหูเล่นตากับออกัสและเข้าครัวชงกาแฟให้ตัวเองแล้ว ทีโมนจึงค่อยเดินเข้าห้องผู้อำนวยงานเพื่อเริ่มงานของวัน
          อีเมลแต่ละฉบับในโปรแกรมเอาท์ลุคทยอยถูกเปิดอ่าน บางฉบับที่เป็นอีเมลขยะถูกลบทิ้ง บางฉบับมีสัญลักษณ์สีเขียวเป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นด้านหลังพร้อมกับสัญลักษณ์สี่เหลี่ยมสีประจำตัวพนักงาน ข้าวโอ๊ตมีสีประจำตัวคือสีส้ม และถ้าอีเมลฉบับไหนมีสัญลักษณ์สี่เหลี่ยมสีส้มกำกับอยู่แสดงว่าอีเมลฉบับนั้นเป็นความรับผิดชอบของชายหนุ่ม
          งานของข้าวโอ๊ตเริ่มขึ้นพร้อมกับการใส่สัญลักษณ์กำกับอีเมลแบบนี้
          องค์กรที่ชายหนุ่มทำงานอยู่มีระบบเก็บข้อมูลที่ทุกออฟฟิศทั่วโลกใช้เหมือนกัน ข้อมูลของออฟฟิศจะต้องถูกป้อนเข้าระบบนี้ทั้งหมด เช่น ชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ที่ออฟฟิศติดต่องานด้วย งานสัมมนาหรืองานออกร้านต่าง ๆ ที่ออฟฟิศจัด รวมทั้งไปรษณีย์รับเข้าและส่งออกทุกประเภท เช่น จดหมาย โทรสาร และอีเมล การป้อนข้อมูลเหล่านี้เข้าระบบเป็นหน้าที่ของข้าวโอ๊ต
          ทุกวัน ชายหนุ่มจะต้องเปิดอ่านอีเมลที่มีสัญลักษณ์สี่เหลี่ยมสีเขียวกำกับ ป้อนวันที่ หัวเรื่อง เนื้อความโดยย่อและชื่อผู้รับผิดชอบอีเมลฉบับดังกล่าวใส่เข้าไปในระบบ เมื่อป้อนข้อมูลเสร็จหนึ่งฉบับก็จะได้หมายเลขอีเมลรับเข้าที่ต้องนำไปใส่ไว้ในอีเมลในโปรแกรมเอาท์ลุคเพื่อเป็นหมายเลขอ้างอิง นอกจากอีเมล ชายหนุ่มต้องทำแบบเดียวกันนี้กับจดหมาย บัตรเชิญ โทรสาร และเอกสารอื่น ๆ
          งานนี้เป็นงานหลักของข้าวโอ๊ต นอกเหนือจากงานด้านธุรการอื่น ๆ ที่จะได้รับคำสั่งเป็นกรณีไป
          ชายหนุ่มทำงานอย่างรวดเร็ว งานของเขาไม่ยาก แต่มันน่าเบื่อ ยิ่งถ้าวันไหนมีอีเมลเข้าหลายสิบฉบับ ชายหนุ่มจะรู้สึกเหมือนกับตกนรกทำซ้ำ ที่ต้องทำสิ่งเดิม ๆ ซ้ำ ๆ กันนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่วันนี้อีเมลมีไม่มาก ฉบับที่ใส่สีของเขาก็ไม่มี นั่นแสดงว่าวันนี้เขาไม่มีงาน และถ้าเขาจัดการอีเมลพวกนี้เสร็จ เขาก็จะได้พัก แต่ความหวังของชายหนุ่มก็ต้องพังทลายลงเมื่อด็อกเตอร์แฮร์มันน์โทรศัพท์มาเรียกเขาไปพบ
          ข้าวโอ๊ตไม่อยากคุยกับผู้อำนวยการสำนักงานเพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่แค่เพราะภาษาเยอรมันสำเนียงทางใต้ที่ฟังยากอย่างเดียวหรอก แต่เพราะด็อกเตอร์แฮร์มันน์หัวเหม่งพูดจาไม่รู้เรื่องด้วยอีกอย่างหนึ่ง วันนี้ก็เหมือนกัน พอเขานั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ผู้อำนวยการก็พูดภาษาเยอรมันสำเนียงทางใต้ใส่เขาแบบรัว ๆ พร้อมกับยื่นนามบัตรปึกหนึ่งให้
          ห้าปีกว่าแล้วที่ข้าวโอ๊ตทำงานที่นี่ แต่ทำงานกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์เป็นปีที่สาม สามปีเข้าไปแล้วแต่ทำอย่างไรชายหนุ่มก็ยังฟังด็อกเตอร์แฮร์มันน์พูดไม่รู้เรื่องอยู่นั่นเอง หากเขาก็รู้งานเมื่อเห็นนามบัตรทั้งปึก ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับทีโมนจะมีนามบัตรมาให้เขาหลังกลับจากไปงานเลี้ยงสังสรรค์ต่าง ๆ และเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องป้อนชื่อนามสกุล ข้อมูลเบอร์ติดต่อทั้งหลายของเจ้าของนามบัตรเหล่านี้เข้าระบบ
          งานไม่มีอะไรเลย แต่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ก็ยังพูดพล่ามน้ำท่วมทุ่งในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานชิ้นนี้จนเขามึนหัวหมุนไปหมด ชายหนุ่มก็ต้องปล่อยให้เขาพูดไปจนกว่าจะพอใจ เมื่อด็อกเตอร์แฮร์มันน์หยุดพูดนั่นแหละ ข้าวโอ๊ตจึงมีโอกาสถามถึงสิ่งที่เขาต้องใช้ในการทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จ
          “จะให้ใส่ประเภทของบุคคลเหล่านี้ว่าอะไรดีครับ”
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์นิ่งคิดชั่วครู่เหมือนนึกไม่ออกเช่นกัน แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่า
          “ใส่ว่าส่วนตัวก็แล้วกัน”
          ข้าวโอ๊ตจดลงในสมุดโน้ตพร้อมกับเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ สิบห้านาทีเต็มที่เขาต้องเสียเวลาทนนั่งฟังคนแก่พล่ามเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทั้งที่ความจริงงานแบบนี้ใช้เวลาสั่งแค่ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็เรียบร้อย แค่บอกว่าได้นามบัตรมาจากงานอะไร วันที่เท่าไร และประเภทของบุคคลคืออะไร แค่นั้นก็จบ
          ชายหนุ่มเตรียมจะลุกขึ้นเพื่อกลับไปทำงานต่อ แต่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์รั้งเขาไว้ด้วยการถามว่า
          “แฟ้มของผมล่ะ”
          “แฟ้มอะไรครับ” ข้าวโอ๊ตงง
          “ผมจะไปติดต่องานที่ลาวพรุ่งนี้ไง คุณเตรียมแฟ้มให้ผมรึยัง”
          ข้าวโอ๊ตแทบอยากจะอ้าปากค้าง งานเข้าเขาแต่เช้าเลยหรือนี่
          “คุณไม่ได้บอกผมว่าคุณจะไปลาวและต้องเตรียมแฟ้ม” ชายหนุ่มท้วง
          “ผมใส่ไว้ในปฏิทินแล้ว”
          โปรแกรมเอาท์ลุคมีปฏิทินให้ใส่ตารางงานต่าง ๆ ของพนักงาน แต่เอาเข้าจริง คนที่มีตารางงานของออฟฟิศนี้ก็มีแค่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับทีโมนเท่านั้น คนอื่น ๆ ไม่ค่อยได้ออกไปไหนต่อไหนหรอก มีแต่ต้องนั่งจับเจ่าอยู่แต่ในออฟฟิศกันทั้งนั้น และตารางงานพวกนี้ทั้งสองคนจะใส่ลงไปในปฏิทินกันเอง ใส่เสร็จแล้วบางครั้งก็เดินมาบอกว่าจะไปไหนเมื่อไรอย่างไร แต่ส่วนใหญ่จะไม่ได้บอก ให้ไปเปิดดูปฏิทินกันเอาเอง
          ข้าวโอ๊ตทำงานธุรการเป็นหลัก แต่งานในออฟฟิศก็ไม่ได้แบ่งแยกชัดเจนขนาดนั้น ยังมีหลายอย่างที่ซ้ำซ้อนกันอยู่ อย่างเรื่องการเดินทางไปติดต่องานต่างประเทศของผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการแต่ละครั้งนี่แหละ ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มมีหน้าที่ทำแฟ้มเอกสารที่ต้องใช้ในการเดินทางแต่ละครั้งให้ทั้งสองคนโดยที่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์และทีโมนจะเป็นคนสั่งว่าเขาต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง แต่ถึงแม้จะได้ชื่อว่าทำงานธุรการดูแลเอกสารข้อมูล แต่ชายหนุ่มกลับไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกอย่างเพราะเหตุว่าข้อมูลบางอย่างก็เป็นความลับ เขาต้องไปขอจากคาริน่าหรือไม่ก็ทีโมนให้สั่งพิมพ์ออกมาให้ ในระยะหลัง ทีโมนจึงทำแฟ้มของตัวเองเองเพราะมันรวดเร็วกว่า อยากได้ข้อมูลอะไรก็สั่งพิมพ์ออกมาเองเลย ไม่ต้องสั่งข้าวโอ๊ตเพื่อให้ข้าวโอ๊ตมาขอที่ตัวเองต่ออีกทอดหนึ่ง
          เหลือแฟ้มของด็อกเตอร์แฮร์มันน์นี่แหละที่มักจะมีปัญหา
          ธรรมชาติของออฟฟิศนี้ ต้องมีคำสั่งออกมาก่อน พนักงานจึงลงมือปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ข้าวโอ๊ตก็ทำตามนั้นเช่นกัน ถ้าไม่มีใครสั่ง เขาก็ไม่ขยับ และหลาย ๆ ครั้งที่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ไม่ได้บอกให้เขารู้เรื่องการเดินทางไปไหนต่อไหน ไม่ได้สั่งให้เขาเตรียมแฟ้ม พอถึงวันเดินทางก็ไปเลย หรือไม่ก็ไปสั่งให้คาริน่าเป็นคนทำ ไม่ใช่เขาเหมือนทุกครั้ง ชายหนุ่มจึงไม่ได้ถือหน้าที่เตรียมแฟ้มเป็นหน้าที่ประจำอีกต่อไป
          แต่จู่ ๆ วันนี้ก็กลับมาทวงแฟ้ม แล้วจะไม่ให้เขาตกใจได้อย่างไร
          “คุณควรจะบอกผมเอาไว้ด้วยนะครับ รวมทั้งเอกสารที่คุณต้องการ ผมจะได้เตรียมให้ได้ถูกต้อง”
          ข้าวโอ๊ตไม่พอใจเลย ไม่ได้สั่งไว้ตั้งแต่ต้น ถึงเวลากลับจะเอาขึ้นมา แล้วเขาจะหามาให้ได้จากที่ไหน แถมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเอกสารที่ต้องการมีอะไรบ้าง
          “เรื่องเอกสาร ไปถามคาริน่า”
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ตัดบท แล้วโบกมือไล่เขา
          นี่ก็อีกเรื่องที่ข้าวโอ๊ตไม่ชอบใจนัก งานของเขาแท้ ๆ กลับไม่ยอมบอกอะไรเขา แต่ไปบอกคาริน่าซึ่งพอเห็นเขาก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับ ท่าทางฮึดฮัดขัดใจเหมือนเขาเข้าไปขัดจังหวะตอนที่หล่อนกำลังทำงานสำคัญระดับโลกอยู่
          ชายหนุ่มไม่ชอบทำงานกับหล่อนก็เพราะแบบนี้แหละ นอกจากจะหน้าตาบึ้งตึงแล้ว ท่าทางของสาวใหญ่วัยสี่สิบกว่าคนนี้ยังเหมือนกับโกรธแค้นใครมาสักร้อยชาติพันชาติเวลามีใครมาขอให้ทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่งานโดยตรงของหล่อน ข้าวโอ๊ตเองก็ไม่อยากมารบกวนหล่อนนักหรอก ถ้าเขามีพาสเวิร์ด เขาสั่งพิมพ์ข้อมูลเองไปแล้ว แต่นี่เขาไม่มี เคยขอไปหนหนึ่งตอนที่เริ่มงานทำแฟ้มในตอนแรก แต่คาริน่านี่แหละยืนยันนอนยันเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ให้ อ้างว่าข้อมูลส่วนนี้เป็นความลับ พนักงานธรรมดาไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลตัวนี้
          หญิงสาวเน้นคำว่าพนักงานธรรมดาใส่หน้าเขา
          ชายหนุ่มจึงต้องอดทนทำงานกับพนักงานพิเศษคนนี้ต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
          คาริน่าสั่งพิมพ์ข้อมูลทั้งหมดออกมาตามที่ข้าวโอ๊ตร้องขอพร้อมกับสั่งด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดเหมือนนายสั่งลูกน้องที่โง่เง่าว่า
          “จัดใส่แฟ้มให้เรียบร้อยแล้วเอาไปให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ด้วย”
          ทีเรื่องที่ควรสั่งกลับไม่สั่ง มาสั่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง ข้าวโอ๊ตหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แล้วดูทำเข้าสิ ออกท่าออกทางอย่างกับเป็นนายใหญ่เสียเอง ข้าวโอ๊ตอดนึกเหน็บแนมในใจไม่ได้
          แต่ก็ว่าไม่ได้หรอกนะ อำนาจของคาริน่าแผ่คับออฟฟิศเข้าไปทุกวัน
         

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ"
«ตอบ #3 เมื่อ29-12-2015 16:21:08 »

          กลับเข้ามานั่งในห้องทำงานของตัวเองอีกครั้งด้วยใจที่ขุ่นมัว ข้าวโอ๊ตพยายามไม่คิดอะไรมาก ตั้งหน้าตั้งตาจัดเอกสารใส่แฟ้มเรียงตามหัวข้อ แล้วเอาเข้าไปให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ในห้อง จากนั้นกลับมาทำงานของตัวเองที่ค้างเอาไว้ต่อ
          เพราะเสียเวลาไปมากกับเรื่องไม่เป็นเรื่องนี่เอง ชายหนุ่มจึงเร่งมือทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้เสร็จเร็ว ๆ และเวลาทำงาน เขาจะมีสมาธิมากจนบางครั้งลืมสนใจสิ่งรอบตัว
          ข้าวโอ๊ตไม่เห็นไฟกะพริบสีแดงที่เป็นสัญญาณบอกว่ามีโทรศัพท์สายซ้อนเข้ามา ชายหนุ่มตั้งหน้าตั้งตาป้อนข้อมูลอีเมลและข้อมูลบุคคลเข้าระบบจนมีเสียงโทรศัพท์สายในดังขึ้น เขาหันไปมองโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายมือ ชื่อที่หน้าจอขึ้นว่าคาริน่า
          “คุณโอ๊ต รับโทรศัพท์ด้วย เมื่อกี้มีโทรศัพท์คนไทยเข้ามา พูดอังกฤษไม่ได้เลย”
          เสียงแข็ง ๆ โจมตีเขาทันทีพร้อมกับวางหูใส่ดังโครม ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ใส่โทรศัพท์ด้วยความเซ็ง
          เรื่องโทรศัพท์นี่ก็อีก ปกติหน้าที่รับโทรศัพท์เป็นของออกัส แต่โทรศัพท์ของออฟฟิศมีสี่สาย ดังนั้นเมื่อมีสายซ้อนเข้ามา ข้าวโอ๊ตจะต้องเป็นคนรับ ถ้าบังเอิญทั้งสองติดสายพร้อมกัน คนอื่น ๆ ในออฟฟิศจึงจะช่วยรับ ไม่ถือว่าเป็นหน้าที่
          เมื่อมีสายซ้อน เครื่องโทรศัพท์จะแสดงสัญญาณไฟกะพริบสีแดงจุดเล็ก ๆ แต่ไม่มีสัญญาณเสียงเตือนอะไรทั้งนั้น ปกติเวลาทำงาน ข้าวโอ๊ตจะหันมองโทรศัพท์เป็นระยะอยู่แล้ว แต่หลายครั้งที่พลาดไม่ได้รับเพราะทำงานเพลินหรือมีงานเร่งจนละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้
          ชายหนุ่มไม่คิดว่าการพลาดรับโทรศัพท์สักสายจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
          หากวันนี้มันกลายเป็นเรื่องขึ้นมาเมื่อเขากดรับโทรศัพท์สายซ้อนไม่ทันอีกครั้ง สัญญาณไฟสีแดงหยุดกะพริบ แสดงว่ามีคนอื่นรับสายแทนแล้ว และครู่ต่อมา คาริน่าก็เดินตึงตังเข้ามาในห้องของเขาพร้อมกับส่งเสียงดังลั่นออฟฟิศ
          “คุณโอ๊ต! ทำไมไม่รับโทรศัพท์! นี่ฉันต้องรับโทรศัพท์คนไทยพูดไม่รู้เรื่องถึงสองครั้งเชียวนะ! ไม่รู้รึไงว่ามันน่ารำคาญ!”
          ถ้าเป็นเมื่อก่อน เจอคาริน่าโวยวายอย่างนี้ ชายหนุ่มจะเงียบไม่ต่อปากต่อคำเพื่อไม่ให้มีเรื่อง แต่วันนี้อารมณ์ของเขากรุ่น ๆ มาตั้งแต่เมื่อเช้า และเขาไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของใครหน้าไหนทั้งนั้น ข้าวโอ๊ตจึงโยนนามบัตรที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะก่อนลุกขึ้นมาโต้
          “ผมรู้ว่าผมต้องรับโทรศัพท์ แต่ผมก็มีงานที่จะต้องทำเหมือนกัน ไม่ได้ว่างนั่งจ้องโทรศัพท์ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงถึงจะไม่พลาดเลยแม้แต่สายเดียว!”
          คาริน่าชะงัก เมื่อเจอชายหนุ่มที่เคยเงียบมาตลอดเสียงแข็งเข้าใส่บ้าง
          “หน้าที่รับโทรศัพท์เป็นของออกัส ผมคอยช่วยรับสายซ้อน ผมก็ทำ ทุกครั้งที่เห็นสัญญาณไฟ ผมกดรับ แต่มันก็มีพลาดบ้าง ถ้าผมหันมาไม่ทันแล้วมีคนกดรับไปก่อน ไม่ใช่ผมไม่ยอมทำอะไรเลย!”
          เจอโวยกลับเอาบ้าง คนขี้โวยวายอย่างคาริน่าก็เงียบไปได้เหมือนกัน แต่หล่อนก็ยังมิวายวางอำนาจทิ้งท้ายใส่เขาว่า
          “โอเค โอเค ทีหลังก็รับให้ทันก็แล้วกัน อย่าให้มันเป็นแบบนี้อีก”
          หมดคาริน่ากับโทรศัพท์ก็ใช่ว่าจะหมดเรื่อง เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ทีโมนก็เรียกข้าวโอ๊ตไปพบที่ห้อง
          “นั่งสิ คุณโอ๊ต”
          ข้าวโอ๊ตนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของรองผู้อำนวยการ ปากกากับสมุดโน้ตอยู่ในมือพร้อมรับคำสั่ง ชายหนุ่มไม่มองหน้าทีโมน แต่สายตาของเขามักจะสะดุดเข้ากับอะไรสักอย่างบนโต๊ะของรองผู้อำนวยการทุกที
          ถ้วยกาแฟที่ดื่มหมดแล้วสองสามใบวางอยู่บนโต๊ะที่เกลื่อนไปด้วยกระดาษเอกสาร กระดาษหลายใบมีรอยกาแฟเปื้อนเป็นด่างดวง นอกจากถ้วยกาแฟยังมีจานอาหารใบเล็กอีกสองสามใบที่ยังมีเศษอาหารหลงเหลืออยู่พร้อมส้อมกับมีดวางกองอีเหละเขละขละอยู่บนเคาน์เตอร์ใต้หน้าต่างทางด้านซ้ายมือของโต๊ะทำงาน สภาพของมันไม่น่าดูจนข้าวโอ๊ตต้องเบือนหน้าหนี
          ในสายตาของชายหนุ่ม ทีโมนเป็นผู้ชายที่ดูดีแต่เปลือก
          “อีเมลที่คุณส่งต่อไปให้ออฟฟิศสาขาของเราที่เวียดนาม ผมต้องการให้คุณเขียนรายละเอียดงานลงในอีเมลด้วย ไม่ใช่แค่ส่งเฉย ๆ เข้าใจไหม”
          คำสั่งของทีโมนทำให้ข้าวโอ๊ตขมวดคิ้ว
          องค์กรที่พวกเขาทำงานอยู่มีออฟฟิศมากมายทั่วโลก บางออฟฟิศไม่ได้ดูแลแค่ประเทศเดียว อย่างเช่นออฟฟิศนี้ นอกจากประเทศไทย ยังให้บริการข้อมูลการค้าและการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเวียดนาม กัมพูชาและพม่าอีกด้วย โดยมีออฟฟิศสาขาอยู่ที่ฮานอย พนมเปญและย่างกุ้ง มีพนักงานประจำอยู่สาขาละหนึ่งคน เป็นคนในท้องถิ่นนั้น ๆ
          พนักงานประจำสาขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับบริษัทเยอรมันซึ่งเป็นลูกค้าโดยตรง ออฟฟิศใหญ่ที่ไทยจะเป็นคนรับอีเมลทั้งหมด หากมีฉบับไหนที่ร้องขอข้อมูลเกี่ยวกับสามประเทศนี้ก็จะถูกส่งต่อไปยังออฟฟิศสาขาในประเทศนั้น ๆ และข้าวโอ๊ตเป็นคนทำหน้าที่ส่งต่ออีเมลพวกนี้
          สำหรับการส่ง จะกดแค่ปุ่มส่งต่ออย่างเดียวไม่ได้ จะต้องมีการเขียนคำขึ้นต้นคำลงท้ายและเนื้อความอย่างสุภาพ ปกติข้าวโอ๊ตไม่ได้เขียนอะไรมาก เขียนแค่ว่าได้ส่งอีเมลของบริษัทชื่อ...ซึ่งเขียนมาขอข้อมูลเรื่อง...ขอได้โปรดดำเนินการต่อไปด้วย มันก็ไม่เคยมีปัญหา
          “รายละเอียดงานแบบไหนครับ ผมไม่เข้าใจ”
          “ก็สิ่งที่ลูกค้าต้องการไง ลูกค้าเขียนมาขอข้อมูลเรื่องอะไร คุณก็ใส่รายละเอียดลงไปในอีเมลที่คุณเขียนให้หมด พนักงานประจำสาขาจะได้รู้ว่าเขาจะต้องทำอะไร”
          ข้าวโอ๊ตนับหนึ่ง สอง สามในใจเพื่อต้องการสงบสติอารมณ์ ก่อนจะตอบเสียงเย็นว่า
          “คุณจะให้ผมเขียนอะไรซ้ำ ๆ ทำไมในเมื่อรายละเอียดพวกนั้นก็อยู่ในอีเมลของลูกค้าที่ต้องส่งต่อไปให้พวกเขาอยู่แล้ว พนักงานประจำสาขาทั้งหมดเข้าใจทั้งภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีอยู่แล้วไม่ใช่รึครับ เขาอ่านอีเมลเอาเองได้ เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเขียนอะไรอย่างนั้นเลยสักนิด”
          “แต่ถ้าเราไม่เขียน เขาก็จะไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้างนะ” รองผู้อำนวยการยังคงยืนยันคำเดิม ทำให้ข้าวโอ๊ตรู้สึกปวดศีรษะกับความดื้อรั้นดันทุรังของผู้ชายคนนี้เหลือเกิน
          นี่แหละ เขาถึงรู้สึกรำคาญที่จะทำงานร่วมกัน
          “ไม่รู้ล่ะ คุณเขียนตามที่ผมบอกก็แล้วกัน แค่นี้แหละ”
          ข้าวโอ๊ตกลับเข้ามาในห้องของตัวเองด้วยความเซ็ง บนจอคอมพิวเตอร์ตอนนี้มีอีเมลหลายฉบับเข้ามาใหม่และมีอยู่ฉบับหนึ่งที่ต้องส่งต่อให้ออฟฟิศสาขาที่เวียดนาม ชายหนุ่มป้อนข้อมูลอีเมลฉบับนั้นเข้าระบบและกดส่งต่อ เนื้อความในอีเมลถึงเวียดนามเป็นแบบเดิมอย่างที่เคยเขียน
          จะให้ทำตามคำสั่งงี่เง่าน่ะหรือ เมินเสียเถอะ
          อีเมลถูกลากเข้าไปใส่ไว้ในโฟลเดอร์เตรียมส่งออก ก่อนจะส่งอีเมล ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการจะต้องตรวจดูก่อนทุกฉบับ และจะใส่สัญลักษณ์สี่เหลี่ยมสีเขียวเป็นเครื่องหมายว่าให้ส่งออกได้
          ข้าวโอ๊ตจัดการอีเมลเสร็จเรียบร้อย เขาก็รอ
          สัญลักษณ์สี่เหลี่ยมสีเขียวปรากฏขึ้นในเวลาไม่นาน ข้าวโอ๊ตเบะปาก
          ก็แค่นี้แหละ ชอบทำอะไรให้มันยุ่งยากวุ่นวายอยู่เรื่อย ชายหนุ่มกดส่งอีเมลฉบับนั้น
          ทีโมนอาจจะชอบทำตัวเป็นนาย แต่หมอนั่นบังคับใครในออฟฟิศนี้ไม่ได้หรอก และก็จะไม่มาเผชิญหน้าเวลาที่คำสั่งไม่ได้รับการปฏิบัติตามด้วย ข้าวโอ๊ตคิดว่าหมอนั่นก็รู้นั่นแหละตอนที่โดนแย้งว่าคำสั่งของตัวเองมันงี่เง่า แต่เพราะความดื้อ ทำให้ไม่ยอมรับ และจะให้มาโวยวายเพื่อให้โดนสวนกลับอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นก็ไม่กล้าพอเช่นกัน
          จบเรื่องอีเมล ข้าวโอ๊ตรู้สึกว่าเขาจำเป็นจะต้องหาอะไรสักอย่างมาทำให้อารมณ์ดีขึ้นสักหน่อยแล้ว โชคดีที่ออฟฟิศนี้ไม่เข้มงวดเรื่องเปิดเว็บไซต์ ชายหนุ่มสามารถเล่นเฟซบุ๊ก เปิดอ่านเว็บบอร์ดต่าง ๆ หรือดูวีดิโอจากยูทูบระหว่างทำงานได้ และครั้งนี้เขาเลือกเปิดคอนเสิร์ตของวงร็อคญี่ปุ่นสุดเท่ขึ้นมาดู
          ผู้ชายใส่ชุดดำนี่เท่ชะมัดเลยนะ
          “คุณโอ๊ตยิ้มกับคอมพิวเตอร์อีกแล้ว”
          ชายหนุ่มชะงักและหันไปมอง พัดชา แม่บ้านประจำออฟฟิศยืนอยู่ที่ประตูห้องทำงานของเขา ใบหน้าอวบอูมของหล่อนยิ้มแย้ม แต่ข้าวโอ๊ตรู้ดีว่าสายตาของหล่อนจะคอยสอดส่ายจับจ้องความเคลื่อนไหวทุกอย่างและปากของหล่อนก็จะขยับตามมาในเวลาอันรวดเร็ว
          พัดชาชอบล้อว่าเขายิ้มกับคอมพิวเตอร์ทุกวัน ทั้ง ๆ ที่ชายหนุ่มแน่ใจว่าเขาไม่ได้ทำแบบนั้น ความจริงเขาค่อนข้างระมัดระวังการกระทำด้วยซ้ำเพราะมีคนอย่างพัดชานี่แหละ แต่ชายหนุ่มก็ไม่แสดงความรู้สึกออกมา เพียงแค่ยิ้มอ่อน ๆ ให้แม่บ้านร่างอ้วนกลมเท่านั้น
          “สั่งอะไรเป็นอาหารกลางวันดีคะ” พัดชาส่งรายการอาหารให้
          คนในออฟฟิศไม่นิยมออกไปรับประทานอาหารกลางวันข้างนอก แต่จะสั่งจากร้านให้นำมาส่งให้ ก่อนเที่ยง พัดชาจะเดินถามตามห้องว่าใครจะเอาอะไรบ้าง แรก ๆ ข้าวโอ๊ตก็สั่งจากร้าน แต่ผ่านไปหลายปีก็เริ่มเบื่อหน่าย หลัง ๆ เขาเลยเอาปิ่นโตอาหารกลางวันมาเอง
          “ผมเอาปิ่นโตมาครับพี่พัด ไม่สั่ง” ชายหนุ่มตอบ
          “คุณโอ๊ตจะให้พี่เทอาหารในปิ่นโตใส่จานไหมคะ”
          “ไม่ต้องหรอกครับ ผมกินจากในปิ่นโตได้”
          สีหน้าของพัดชาแสดงความดีใจให้เห็นก่อนที่หล่อนจะออกไปจากห้องของเขา
          ออฟฟิศนี้พักกลางวันตอนเที่ยงตรง ฝรั่งจะรับประทานอาหารกลางวันในห้องรับประทานอาหาร กับนัตโตะอีกคนหนึ่ง ส่วนคนไทยคนอื่นรับประทานในห้องครัว ตอนเข้าทำงานแรก ๆ ข้าวโอ๊ตก็นั่งในห้องรับประทานอาหาร แต่หลังจากที่ต้องทนฟังด็อกเตอร์แฮร์มันน์เล่าเรื่องตอนที่ทำงานอยู่ที่ซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอเมริกาซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่รอบ คาริน่าบ่นสาระพัดปัญหาของเมืองไทย รวมทั้งเสียงอ่อน ๆ อ่อย ๆ น่ารำคาญของทีโมนถามแต่เรื่องวันหยุดเสาร์อาทิตย์ทำอะไรไปเที่ยวที่ไหนแล้ว ชายหนุ่มก็ย้ายตัวเองไปรับประทานอาหารกลางวันในครัวโดยถาวร ถึงแม้จะต้องยืนกินเบียดกับคนอื่น ๆ ในห้องครัวที่คับแคบ แต่สบายหูกว่ากันเยอะมาก เรื่องที่คุยกันระหว่างรับประทานอาหารก็เป็นเรื่องเบาสมอง สนุกสนาน อย่างเรื่องหนัง ดารานักร้อง การออกกำลังกาย หรือการไปเที่ยวต่างประเทศ
          “ปีใหม่มีแพลนเที่ยวรึยัง ของเราจะไปเกาหลีกับแฟนล่ะ จองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว จะช็อปให้สนั่นเลย” ออกัสพูดกับข้าวโอ๊ต
          ฝ่ายหลังส่ายหน้า
          “ไม่ได้ไปไหนหรอก คงกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเหมือนทุกปีนั่นแหละ ปีใหม่บ้านเรารวมญาติ ถ้าไม่ติดอะไรก็ต้องกลับไปให้เขาเห็นหน้าเห็นตาบ้าง”
          “นายล่ะมิคกี้” ออกัสหันมาหาเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง
          “ไปญี่ปุ่นครับ” มิคกี้ตอบยิ้ม ๆ “จริง ๆ พ่อกับแม่อยากไปมัลดีฟ แต่ผมไปมาหลายครั้งแล้ว มันสวยก็จริงแต่ไม่ค่อยมีอะไร ผมว่าญี่ปุ่นน่าเที่ยวกว่า ก็เลยเปลี่ยนเป็นไปญี่ปุ่นแทน แช่ออนเซ็นชมวิวภูเขาไฟฟูจิ”
          “ญี่ปุ่นเหรอ ดีจังนะ อยากไปมั่งจัง” ข้าวโอ๊ตรำพึง ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เขาชอบที่สุด อยากไปสักครั้ง แต่ยังไม่มีโอกาสจะได้ไปสักที
          เขาชอบญี่ปุ่นเพราะอิทธิพลจากการ์ตูน หนัง ซีรีส์ รายการโทรทัศน์ อาหาร นักร้อง รวมทั้งนักกีฬา ชายหนุ่มเสพสิ่งบันเทิงทุกอย่างที่เป็นของญี่ปุ่น บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเลือกเรียนภาษาเยอรมัน แทนที่จะเป็นภาษาญี่ปุ่นเสียให้รู้แล้วรู้รอด
          “พี่หญ้าล่ะครับ จะไปญี่ปุ่นเหมือนกันไหม ถ้าผมจำไม่ผิด น้องสาวคนเล็กของพี่อยู่โอกินาว่าใช่ไหมครับ” มิคกี้ถามพนักงานหญิงรุ่นพี่ที่อาวุโสที่สุดบ้าง
          “ใช่ รายนั้นเป็นนักวิจัย ทำอยู่บริษัทยา” ญาดาตอบ “แต่ปีนี้ไม่ต้องไปเยี่ยมที่ญี่ปุ่นแล้ว เพราะน้องสาวพี่จะกลับมาบ้าน ได้ยินว่าจะพาแฟนกลับมาปรึกษาเรื่องแต่งงาน”
          “ยินดีด้วยนะครับ ข่าวดีจัง แฟนน้องสาวพี่เป็นคนญี่ปุ่นรึเปล่าครับ” ข้าวโอ๊ตถามด้วยความตื่นเต้น
          “ใช่ เป็นนักวิจัยอยู่บริษัทเดียวกัน เห็นว่าแต่งงานแล้วก็จะตั้งรกรากอยู่ที่ญี่ปุ่นเลยนะ” ญาดาตอบ
          “น่าอิจฉาจังเลย”
          ดูเหมือนจะมีแต่ข้าวโอ๊ตคนเดียวที่บ่นแบบนี้ เพราะชายหนุ่มยังโสดและเฝ้าฝันถึงการมีความรักมาตลอด ส่วนออกัสมีแฟนแล้ว มิคกี้ยังไม่มีใครเป็นตัวเป็นตน แต่ก็ได้ยินว่ามีคนมาจีบเยอะแยะ ส่วนญาดา หล่อนแสดงออกเสมอมาว่าไม่อยากแต่งงาน ไม่สนใจผู้ชาย ไม่อยากมีความรัก
          “อยากมีแฟนก็ลองไปเข้าฟิตเนสไหมล่ะ ที่ที่พี่เล่นอยู่น่ะ หนุ่มหล่อกล้ามใหญ่ทั้งนั้นเลยนะ”
          ญาดาแนะนำ หล่อนทราบดีถึงรสนิยมของน้อง ๆ ผู้ชายทุกคนที่ทำงาน
          “จริงเหรอพี่ ผมสน เดี๋ยวไปสมัครวันนี้เลย”
          คนตอบไม่ใช่ข้าวโอ๊ต แต่เป็นออกัสที่รีบยกมือทันควันพร้อมกับทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือแบบสุดชีวิตจนข้าวโอ๊ตที่สนิทกับเขามากกว่าทุกคนอดแกล้งกระเซ้าเล่นไม่ได้ว่า
          “พูดแบบนี้เดี๋ยวเราจะฟ้องพี่ต้น บอกว่าแฟนกำลังคิดจะมีกิ๊ก”
          “ใครจะมีกิ๊กเหรอครับ”
          เสียงพูดคุยด้วยความสนุกสนานเงียบลงอย่างรวดเร็วเมื่อนัตโตะเดินเข้ามาในครัวเพื่อเอาจานอาหารที่รับประทานเสร็จแล้วมาเก็บ พนักงานในออฟฟิศไม่ต้องล้างจาน พัดชาจะเป็นคนทำหน้าที่นี้บริการทุกคน
          ไม่มีใครตอบคำถามนั้น
          ข้าวโอ๊ตไม่ได้มองว่าคนอื่นทำอะไร แต่ตัวเขาเองหันหน้ากลับเข้าผนังตามเดิม ก้มหน้าก้มตากวาดเศษอาหารที่เหลือในปิ่นโตทิ้งถังขยะ แล้วนำปิ่นโตที่เปื้อนไปวางรวมไว้กับจานชามที่พัดชาจะต้องล้าง
          ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้หันไปมอง แต่หูของเขาก็ยังได้ยินเสียงนัตโตะ
          “ได้ยินว่าจะมีนักศึกษาฝึกงานคนใหม่มาทำงานแล้วนะครับ คาริน่าบอกเมื่อกี้นี้”
          “จริงเหรอ ผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย” มิคกี้ถาม ข้าวโอ๊ตเองก็หันกลับมาคอยฟังด้วยความสนใจเช่นกัน
          นัตโตะไม่ตอบคำถามในทันที แต่แสร้งขยับเนกไท ทำท่าทีภูมิอกภูมิใจที่เป็นเพียงคนเดียวที่ล่วงรู้ข้อมูลสำคัญแบบนี้
          “ผู้ชาย”
         ญาดาฟังแล้วเบะปาก
         “ถ้านิสัยดี ว่าง่าย เชื่อฟัง ไม่เถียง ไม่รั้น ไม่วางท่าว่าข้าแน่ แต่จริง ๆ ทำงานห่วยก็ดีน่ะสิ”
         หญิงสาวพูดอย่างเผ็ดร้อน
         “เด็กสมัยนี้ชอบคิดว่าตัวเองเก่ง รู้ทุกอย่าง แต่จริง ๆ แล้วไม่เห็นจะได้เรื่องสักนิด”
         ข้าวโอ๊ตกระแอมเพราะทราบความนัยดีว่ารุ่นพี่ผู้อาวุโสกว่าหมายถึงใครแม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ญาดาก็ยังไม่หยุดบ่น ชายหนุ่มไม่อยากจะร่วมวงนินทาไปกับเขาด้วยจึงทำท่าจะเลี่ยงกลับไปที่ห้อง เขาเดินสวนกับทีโมนและคาริน่าที่กำลังเดินเข้าไปในครัวเพื่อเอาจานอาหารของตัวเองไปเก็บ มีเพียงด็อกเตอร์แฮร์มันน์คนเดียวเท่านั้นที่มีอภิสิทธิ์พิเศษ ไม่ต้องเก็บจาน รับประทานอาหารเสร็จก็กลับเข้าห้องทำงานไปได้เลย พัดชาจะเป็นคนเข้าไปเก็บจานชามในห้องอาหารให้เอง
          ชายหนุ่มได้ยินเสียงทีโมนพูดอะไรแว่ว ๆ แต่ไม่ได้สนใจ กลับเข้าห้องได้เขาก็นั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ในโปรแกรมเอาท์ลุคไม่มีอะไรเคลื่อนไหว งานช่วงเช้าของเขาก็เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงเสียบหูฟัง เปิดคอนเสิร์ตของวงร็อคญี่ปุ่นในยูทูบที่ดูค้างไว้ขึ้นมาดูต่อ
          หลังจากข้าวโอ๊ตเดินออกจากห้องครัวแป๊บเดียวเท่านั้น มิคกี้ ออกัส นัตโตะ ญาดาก็ตามออกมา ในครัวเหลือทีโมน คาริน่าและพัดชา ครู่ใหญ่ ๆ ต่อมาคาริน่าก็เดินผ่านห้องของข้าวโอ๊ตกลับไปที่ห้องของตัวเอง
          หลังหมดเวลาพักกลางวันไม่นานนัก ขณะที่ข้าวโอ๊ตยังคงติดลมกับการดูคอนเสิร์ต มิคกี้ก็เดินเข้ามาหาเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ในห้อง
          “พี่โอ๊ตครับ ช่วยแปลอีเมลฉบับนี้ให้ผมหน่อยได้ไหม”
          ข้าวโอ๊ตถอดหูฟัง คลิกเปิดอีเมลฉบับที่รุ่นน้องพูดถึง
          มิคกี้เป็นพนักงานการตลาดที่รับผิดชอบงานที่เกี่ยวข้องกับด้านอุตสาหกรรม อีเมลที่มาถึงเขาบางครั้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับพลาสติก ลวด ท่อ เคเบิล หรือพวกเคมีภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งมันมักจะเต็มไปด้วยคำศัพท์เฉพาะทาง มิคกี้และพนักงานการตลาดคนอื่น รวมทั้งออกัส ทุกคนไม่รู้ภาษาเยอรมัน เมื่อมีอีเมลเข้ามาขอข้อมูล ด็อกเตอร์แฮร์มันน์หรือทีโมนจะเป็นคนอธิบายงานที่ต้องทำให้ฟัง แต่บางครั้งฝ่ายการตลาดจะมาขอให้ข้าวโอ๊ตแปลอีเมลให้ด้วยเหตุว่า
          “นายกับทีโมนสั่งงานไม่รู้เรื่อง”
          การมาขอให้ข้าวโอ๊ตช่วยแปลเนื้อหาในอีเมลจึงเท่ากับเป็นการดับเบิ้ลเช็ค แต่ชายหนุ่มก็แปลให้ไม่ได้รวดเร็วทันใจนัก ศัพท์บางคำเขาก็ไม่รู้จัก ต้องเปิดดิกชันนารีหาความหมาย แล้วหาคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เหมาะสมอีกทอดหนึ่ง หลายครั้งที่ต้องเช็คกับดิกชันนารีภาษาอังกฤษด้วยเพื่อความแน่ใจ
          มิคกี้ต้องรอนานยี่สิบนาทีกว่าข้าวโอ๊ตจะแปลอีเมลเสร็จ
          “ขอโทษนะมิคกี้ นานไปหน่อย เนื้อหาทั้งหมดที่แปลพี่เขียนใส่ให้ในอีเมลแล้วนะ ไปอ่านทวนดูได้”
          “ขอบคุณครับพี่โอ๊ต ต้องรบกวนพี่จริง ๆ แต่ผมว่าคราวหน้าผมลองใช้กูเกิ้ลแปลภาษาดูน่าจะดีกว่าเนอะ พี่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปิดดิกชันนารีนานขนาดนี้”
          ข้าวโอ๊ตฟังแล้วชะงัก ไม่แน่ใจว่าคนพูดตั้งใจจะหมายถึงอะไรกันแน่ แต่จะบอกว่ามิคกี้จิกกัดเขาก็พูดไม่ได้เต็มปากในเมื่อรุ่นน้องยิ้มหวานจนตาหยี น้ำเสียงที่ใช้ก็สุภาพและเต็มไปด้วยความเกรงใจ คำพูดเท่านั้นที่ฟังแปร่งหู
          “ก็ลองดู กูเกิ้ลแปลภาษาก็ไม่เลวหรอกตอนนี้ พัฒนาขึ้นเยอะ” ข้าวโอ๊ตเลือกตอบแบบกลาง ๆ
          มิคกี้ขอบคุณเขาอีกครั้งก่อนจะออกไปจากห้อง ข้าวโอ๊ตหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบหูอีกครั้ง แต่คอนเสิร์ตที่ดูอยู่ก็ไม่สนุกเหมือนเดิมแล้วเพราะเขายังติดใจสิ่งที่มิคกี้พูดอยู่นั่นเอง ในที่สุดเขาก็กดปิด เปลี่ยนไปเปิดเว็บไซต์อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นออนไลน์แทน และเมื่อไม่ได้ดูคอนเสิร์ตแล้ว ชายหนุ่มจึงได้ยินเสียงจากข้างนอกห้องได้อย่างชัดเจน

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ"
«ตอบ #4 เมื่อ29-12-2015 16:30:35 »

          ผนังนอกห้องทำงานตรงทางเดินทั้งสองฟากติดตู้เก็บเอกสารแบบบิวด์อิน เวลามีใครเปิดปิดตู้เอกสาร เสียงก็จะลอดเข้ามาในห้อง แต่วันนี้เสียงดังเป็นพิเศษ เพราะนอกจากเสียงเปิดปิดตู้ ยังมีเสียงคุยกันไม่เบานักของคาริน่าและนัตโตะ ข้าวโอ๊ตจับความไม่ได้ว่าทั้งสองคนพูดอะไรกัน แต่ครู่ต่อมา คาริน่าก็เดินกระแทกเท้าเข้ามาในห้องของข้าวโอ๊ต
          “คุณโอ๊ต ออกมาดูเอกสารพวกนี้หน่อย ทำไมเก็บไม่เหมือนกัน”
          เอกสารของออฟฟิศเก็บไว้ในแฟ้มตามชื่อบริษัทที่เรียงตามลำดับตัวอักษร A-Z แฟ้มหนึ่งอาจจะเก็บเอกสารของหลาย ๆ บริษัทที่ชื่อขึ้นต้นด้วยตัวอักษรไม่เหมือนกัน เช่น W-Z เพราะมีบริษัทจำนวนน้อยที่ตั้งชื่อโดยใช้ตัวอักษรในกลุ่มนี้ หน้าแรกสุดของทุกแฟ้มจะแสดงรายชื่อบริษัทเอาไว้ ดูแล้วเป็นระบบที่ดี แต่มันก็มีจุดอ่อนอยู่ตรงบริษัทที่เป็นชื่อคน ในตอนแรกที่เข้ามาทำงาน ข้าวโอ๊ตเจอเอกสารที่มาจากบริษัทชื่อ Dr. Udo Birk เขาก็เอาเก็บเข้าแฟ้มไม่ถูก ต้องถามคาริน่า หล่อนคิดอยู่นิดหนึ่ง ก่อนบอกให้เก็บเข้าแฟ้มตัว B ตามชื่อสกุล ชายหนุ่มเคยค้านว่าเคยเห็นในแฟ้มเก่า เอกสารจากบริษัทที่มีชื่อแบบนี้ถูกเก็บในแฟ้มตัว D ตามตัวอักษรตัวแรก แต่คาริน่าบอกว่าไม่เป็นไร ของใหม่ให้เก็บตามนี้ และข้าวโอ๊ตที่รับผิดชอบเก็บเอกสารเข้าแฟ้มก็ทำตามนี้มาตลอด
          เอกสารที่มีปัญหาวันนี้ก็มาจากบริษัทที่ชื่อเป็นชื่อคน
          ข้าวโอ๊ตดูแฟ้มสองแฟ้มที่เปิดอ้าอยู่ตรงหน้า เอกสารจากบริษัทชื่อ Dr. Karim Rüdiger ถูกเก็บเอาไว้สองแฟ้ม คือแฟ้มตัว D และแฟ้มตัว R แน่นอนว่า เอกสารในแฟ้มตัว R ชายหนุ่มเป็นคนเก็บเอง
          “อันนี้เก็บแบบเก่า คนที่เก็บเขาคงไม่รู้มั้งครับว่าเราเก็บแบบไหนตอนนี้” ข้าวโอ๊ตตอบ
          ชายหนุ่มรับผิดชอบการเก็บเอกสาร แต่ก็ไม่ใช่คนเดียวที่ทำ เขาเก็บเอกสารให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ ทีโมน และเอกสารของตัวเองเป็นหลัก ส่วนพนักงานคนอื่น ๆ ก็เก็บเอกสารกันเอง และอาจจะมีบางคนที่เผลอหรือลืม ข้าวโอ๊ตเหลือบมองนัตโตะที่ยืนทำหน้าลำบากใจอยู่ใกล้คาริน่า
          “แบบนี้มันใช้ไม่ได้เลย เก็บเอกสารสับสน แล้วก็หาเอกสารกันไม่เจอ” คาริน่าบ่นหน้าบึ้ง
          “ขอโทษครับ ความผิดของผมเอง” นัตโตะพูดเสียงอ่อย หน้าตาน่าสงสาร “ผมต้องใช้เอกสาร แต่ผมหาไม่เจอ ไม่รู้ว่ามันถูกเก็บเอาไว้ที่ไหน”
          “แก้ไขเดี๋ยวนี้เลยนะคุณโอ๊ต เช็คดูให้หมดว่ามีแฟ้มซ้ำกันอีกรึเปล่า แล้วจัดการแฟ้มเก่า ๆ ด้วย ปรับให้เป็นแบบใหม่ให้หมด เข้าใจไหม” คาริน่าสั่ง
          ข้าวโอ๊ตไม่มีปัญหากับการแก้ไขแฟ้มใหม่ ๆ แต่ถ้าถึงขนาดต้องแก้ไขแฟ้มเก่า ๆ ที่เก็บกันมาแบบนั้นนับสิบปีด้วยแล้ว เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องง่าย มันอาจจะต้องรื้อกันใหม่หมด สร้างแฟ้มเพิ่ม ลบแฟ้มออก มันอาจจะใช้เวลาเป็นอาทิตย์
          แค่คิดเขาก็เหนื่อยแล้ว
          เรื่องหาเอกสารไม่เจอไม่ค่อยมีเกิดขึ้นเพราะพนักงานแต่ละคนเก็บเอกสารด้วยตัวเองก็จะจำได้ว่าเก็บเอาไว้ที่ไหน หรือถ้าหาไม่เจอจริง ๆ ก็มาบอกให้เขาช่วยหาให้เพราะเขาจะรู้ว่าควรหาอย่างไร ปัญหาเรื่องบริษัทชื่อคน ทุกคนก็รับรู้กันดี
          “ขอโทษนะครับพี่โอ๊ต ผมกำลังหาเอกสาร พอดีเจอคาริน่าก็เลยถาม ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นปัญหาจริง ๆ นะครับ ตอนนั้นคิดแค่เจอใครก็ลองถามดูเท่านั้น”
          ข้าวโอ๊ตไม่ยิ้มให้นัตโตะที่ทำหน้าจ๋อย ๆ แต่บอกเสียงแข็งว่า
          “คราวหลังเรื่องหาเอกสารให้มาถามพี่ก่อน”
          นัตโตะรับคำเสียงเศร้า ๆ แล้วเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไป ส่วนข้าวโอ๊ตหันหลังเดินไปทางครัว ตอนนี้เขาต้องการอะไรหวาน ๆ สักกำมือมากินให้อารมณ์ดี ก่อนที่จะต้องเริ่มทำงานที่เขาไม่อยากทำสักเท่าไร ตอนเดินผ่านโต๊ะของออกัส เขาก็ได้ยินเสียงพูดลอย ๆ ว่า
          “งานเข้าทั้งวันเลยนะวันนี้”
          ข้าวโอ๊ตได้แต่พยักหน้ารับด้วยใบหน้าที่เซ็งสุดขีด
          “เราไม่อยากเพิ่มงานให้นายเลย แต่พรุ่งนี้ที่เราหยุด มันมีงานด่วนเข้ามาต้องทำให้เสร็จภายในพรุ่งนี้ ยังไงต้องขอฝากนายทำต่อล่ะนะ”
          นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ชีวิตของเขายากลำบาก ตำแหน่งของเขากับตำแหน่งของออกัสต้องทำงานแทนกัน ถ้าวันไหนออกัสไม่มาทำงาน ข้าวโอ๊ตต้องมานั่งที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าบริษัทเพื่อรับโทรศัพท์และรับแขกของบริษัทแทนออกัส แต่งานของออกัสเป็นงานที่เขาไม่ถนัดเอาเสียเลย ทั้งการรับโทรศัพท์ จองโรงแรมจองตั๋วเครื่องบินให้แขกของบริษัท เจรจาต่อรองกับฝ่ายขายขอโปรโมชั่นขอส่วนลดต่าง ๆ หรือกระทั่งจิกตีกับคนไปทั่วเวลาตามงานต่าง ๆ งานแบบนี้เหมาะกับคนคล่องแคล่วพูดเก่งอย่างออกัส ไม่ใช่คนเงียบ ๆ พูดไม่เก่ง โลกส่วนตัวสูงอย่างข้าวโอ๊ต
          แล้วออกัสนี่ก็ขยันหยุดงานเสียเหลือเกิน
          “งานอะไร” ข้าวโอ๊ตถามด้วยความเหนื่อยใจ
          “ออกตั๋วเครื่องบินให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ เขาเลื่อนวันเดินทาง โปรโมชั่นที่เคยคุยกับเอเย่นต์ไว้มันหมดอายุ ราคาเปลี่ยน นายต้องถามด็อกเตอร์แฮร์มันน์ว่าราคาใหม่มันโอเคไหม เขาจะบอกพรุ่งนี้เพราะต้องรออนุมัติเงินจากสำนักงานใหญ่ก่อน แล้วพรุ่งนี้นายโทรไปออกตั๋วกับเอเย่นต์ แต่เป็นเจ้าใหม่นะ เราจดเบอร์ไว้ให้แล้ว ตั๋วต้องออกภายในพรุ่งนี้ ไม่งั้นไม่ทัน”
          ข้าวโอ๊ตรับกระดาษที่เขียนเบอร์โทรศัพท์มาด้วยความละห้อยละเหี่ยใจ
          งานของเขาในวันนี้ยังไม่หมดแค่นั้น ตำแหน่งของชายหนุ่มเป็นฝ่ายธุรการดูแลเอกสารและการป้อนข้อมูลต่าง ๆ เข้าระบบก็จริง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว หน้าผากของเขาเหมือนแปะป้าย “ฝ่ายสนับสนุน” อยู่ เพราะฝ่ายการตลาดสามารถขอให้เขาช่วยหาข้อมูลต่าง ๆ ให้ได้ถ้างานมีมากจนล้นมือ และคนที่ใช้งานเขามากที่สุดคือญาดา
          ลูกพี่ของบรรดาคนไทยในออฟฟิศชอบโยนงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่าเบื่อมาให้เขา เช่น การตรวจสอบข้อมูลของบริษัทไทย
          “สามบริษัท ต้องการข้อมูลการจดทะเบียนบริษัท ข้อมูลการเงิน รายชื่อหุ้นส่วนบริษัท พี่ขอภายในวันนี้นะโอ๊ต”
          ญาดาเรียกเขาตอนที่กำลังเดินกลับห้องพร้อมช็อกโกแลตแท่งโตในมือ แล้วก็ส่งกระดาษจดรายชื่อบริษัทที่ต้องการให้ซึ่งคำสั่งของญาดา เขาปฏิเสธไม่ได้
          ข้าวโอ๊ตทำงานหัวปั่นตลอดทั้งบ่ายหลังจากยัดช็อกโกแลตเข้าปากจนหมดทั้งแท่ง และเขารู้สึกโล่งอกมากเมื่อถึงเวลาเลิกงานในตอนห้าโมงครึ่ง ชายหนุ่มไม่เสียเวลาอยู่ในออฟฟิศอีก เรียกว่าพอเข็มนาฬิกาชี้เลขหกปุ๊บ ชายหนุ่มก็คว้ากระเป๋าที่เก็บเตรียมไว้ตั้งแต่เที่ยงเห็นจะได้ แล้วก็ร่ำลาทุกคน พุ่งตัวออกจากออฟฟิศเพื่อกลับบ้านทันที
          บ้านที่ชายหนุ่มเรียกก็คือคอนโดมิเนียมขนาดหนึ่งห้องนอนที่ซื้อตั้งแต่ตอนเริ่มทำงานและยังต้องผ่อนอีกกว่ายี่สิบปี นอกจากงานประจำที่ออฟฟิศ ชายหนุ่มรับงานแปลและงานสอนพิเศษด้วยเพื่อเพิ่มรายได้ หวังว่าจะใช้หนี้ให้หมดเร็ว ๆ เพื่อที่ตัวเขาเองจะได้มีอิสระเสียที
          เบื่องานจนแทบกระอัก เบื่อเพื่อนร่วมงาน ทั้งนายและไม่ใช่นาย แต่เขาก็ต้องอดทน บริษัทให้เงินเดือนค่อนข้างดี งานที่ทำไม่หนักจนเกินไป เลิกงานตรงเวลา แต่ในระยะหลัง ๆ มานี้ ข้อดีพวกนี้ดูจะลดพลังลงไปมาก ยิ่งวันนี้เจอคอมโบเซ็ตจากทั้งออฟฟิศ ความรู้สึกของเขายิ่งดิ่งลงเหว
          ข้าวโอ๊ตอยากคุยกับใครสักคน ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มาเช็คดูกรุ๊ปแช็ตในแอพพลิเคชั่นไลน์ เพื่อน ๆ สมัยมัธยมปลายส่งข้อความคุยกันวันหนึ่ง ๆ เป็นร้อยสองร้อยข้อความ เรียกได้ว่าตามอ่านกันไม่หวาดไม่ไหว แต่เขาก็ไม่สามารถคุยกับเพื่อนในกลุ่มนี้ได้ ชายหนุ่มเคยบ่นเรื่องงานของเขาในกรุ๊ป แรก ๆ ทุกคนก็ตอบรับดี เห็นอกเห็นใจ ปลอบใจให้เขาอดทน แต่พักหลัง เมื่อเขาส่งข้อความเรื่องงานกลับไม่มีการตอบสนอง หลายครั้งที่เพื่อนรีบเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น ๆ ชายหนุ่มเริ่มรู้ตัวว่าเป็นที่เบื่อหน่ายของเพื่อนฝูง ในที่สุดเขาก็ไม่คุยเรื่องงานในกรุ๊ปอีก และพลอยไม่ได้คุยเรื่องอื่นไปด้วย ทำแค่เพียงอ่านข้อความของเพื่อน ๆ เท่านั้น
          วันนี้เพื่อน ๆ ก็ยังคงส่งข้อความคุยกันอย่างเมามัน แต่ชายหนุ่มไม่สนใจจะอ่าน เขากดเลือกอ่านข้อความที่แม่ของเขาส่งมาให้แทน
          แม่ถามเขาว่าจะกลับบ้านช่วงปีใหม่ได้กี่วัน แล้วก็ส่งรูปหลานคนใหม่มาให้เขาดูหลายรูป
          ครอบครัวของเขาอยู่ต่างจังหวัด เป็นครอบครัวข้าราชการธรรมดาที่ไม่รวย แต่ก็ไม่ยากจน พ่อของเขาเป็นทหาร แม่เป็นครู เขามีพี่ชายหนึ่งคน เป็นทหารตามรอยพ่อ พี่ข้าวฟ่างแต่งงานแล้ว มีลูกชายอายุสามขวบ และเมื่อเดือนที่แล้วก็ได้ลูกคนที่สองเป็นลูกสาว
          ข้าวฟ่างมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง เมื่อพ่อกับแม่ของเขารู้ว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงและไม่มีวันมีหลานให้ปู่กับย่าชื่นชมได้เหมือนพี่ชาย บรรยากาศในบ้านก็เริ่มอึดอัดและผิดแปลกไปจนเขาต้องเอาตัวเองออกมาเหมือนที่ออกจากกรุ๊ป นาน ๆ ครั้งจึงจะติดต่อพูดคุยกัน
          การได้เห็นรูปของหลานสาวคนใหม่ รูปหน้าตายิ้มแย้มของพ่อ พี่ชาย พี่สะใภ้ขณะที่อุ้มหลานสาวแบเบาะ ทำให้เขารู้สึกทนไม่ได้จนต้องรีบปิดหน้าต่างแช็ตลงอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มกดโทรศัพท์หาเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่คอยรับฟังเขาทุกเรื่อง ไม่ว่าเขาจะบ่นเรื่องอะไรก็ตาม แต่วันนี้มีเพียงเสียงตอบรับโทรศัพท์อัตโนมัติ
          เม็ดนุ่นคงเดินทางไปไหนสักแห่งอีกแล้ว และเวลาที่เดินทาง หญิงสาวจะไม่สนใจโลกออนไลน์หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่
เมื่อต้องการใครสักคน แต่ไม่มีใครว่างเพื่อเขาเลย ระดับความเครียดก็เพิ่มมากขึ้นจนเขาต้องหาวิธีปลดปล่อย วิธีดับเครียดของเขาก็มีไม่มาก หนังสือ เพลง ซีรีส์ญี่ปุ่น
          หรือหนังผู้ใหญ่ที่เขามีเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์เป็นร้อย ๆ เรื่อง
          เลือกมาสักเรื่องหนึ่งที่จะทำให้ตัวเองเหนื่อย แล้วจะได้หลับ หลับไปนาน ๆ ไม่ต้องตื่นขึ้นมาได้ยิ่งดี จะได้ไม่ต้องไปทำงานและพบกับชีวิตที่ซ้ำซากจำเจ
          ถ้าเขาหลับไปตอนนี้ เขาก็ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลย
          เปลือกตาหนาค่อย ๆ เลิกขึ้น ดวงตาแดงก่ำกวาดมองซ้ายขวาเหมือนต้องการจะสำรวจสถานที่อยู่ แล้วอุ้งเท้าที่มีกรงเล็บแหลมคมก็เริ่มขยับ ก่อนจะลากไปมาตามพื้นจนเกิดเสียงดังแกรกกราก

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ภาษาดีงามงามมาก ขนาดเราไม่ได้ทำงานออฟฟิศเรายังเริ่มเห็นภาพการทำงานเลย o13

รอตอนต่อไปนะจ๊ะ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 2

What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ยายแก่หน้าบึ้งวางอำนาจอีกแล้ว เรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็โวยวายอยู่ได้ พูดกันดี ๆ ไม่เป็นรึไงก็ไม่รู้
Like – Comment – Share

          คาริน่ามาถึงออฟฟิศก่อนคนอื่นเสมอ
          หญิงสาวเปิดไฟทุกดวงในออฟฟิศและในห้องครัว เสียบปลั๊กเครื่องชงกาแฟและกระติกน้ำร้อน จากนั้นเดินไล่สำรวจดูรอบออฟฟิศเพื่อให้แน่ใจว่าในระหว่างเวลากลางคืนที่ผ่านมาจะไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น แล้วถึงจะวางใจ เดินเข้าไปนั่งในห้องทำงานของตัวเองได้
          หล่อนทำแบบนี้ทุกวันจนเป็นกิจวัตร ก็ประเทศนี้มันน่าไว้ใจเสียเมื่อไร โจรขโมยก็ชุกชุม คนก็ขี้โกง แถมยังขี้เกียจ ถ้าหล่อนไม่เข้มงวด ไม่ตรวจตราดูทุกอย่างด้วยความรอบคอบ ได้มีปัญหาเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวันแน่นอน
          อาหารเช้าของหล่อนเป็นขนมปังรับประทานกับแฮมฝานบาง ๆ ชีส และสลัดผักหนึ่งชามเล็ก บางวันเป็นธัญพืชอบกรอบใส่นมสด ทุกอย่างเป็นยี่ห้อนำเข้าจากเยอรมนีหรือประเทศในยุโรป ซื้อได้เฉพาะจากห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ เท่านั้น หญิงสาวไม่มั่นใจสินค้าที่ผลิตในประเทศนี้ ไม่รู้จะปนเปื้อนอะไรบ้างหรือเปล่า ก่อนหน้าจะมาประจำที่นี่ หล่อนเคยทำงานที่เมืองจีน ของทุกอย่างที่เมืองจีนไร้คุณภาพมาก และหล่อนไม่คิดว่าไทยกับจีนจะแตกต่างกันสักเท่าไร
          คาริน่ารับประทานอาหารเช้าในห้องทำงาน หล่อนเปิดคอมพิวเตอร์ท่องอินเตอร์เน็ตไปพร้อมกันด้วย เว็บไซต์ที่ชอบเปิดเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เมืองไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม นี่ดูจะเป็นอย่างเดียวที่ทำให้อดทนกับการต้องมาใช้ชีวิตที่นี่ได้ หล่อนจดรายชื่อโรงแรมที่น่าสนใจไว้สองสามแห่ง แน่นอนว่าเป็นระดับสี่ถึงห้าดาว ดาวน้อยกว่านี้หล่อนไม่มีทางไปพักเด็ดขาด ไม่อยากเสี่ยงกับบริการที่ไม่ได้มาตรฐานหรือการโดนฟันหัวแบะ
          เสียงประตูออฟฟิศเปิดพอดีกับที่หล่อนกำลังจะเดินไปห้องน้ำทำให้หล่อนได้ทักทายข้าวโอ๊ตที่อยู่ในครัว
          “อรุณสวัสดิ์คุณโอ๊ต”
          การทักทายทำไปตามมารยาท อีกฝ่ายก็คงเหมือนกันเพราะสีหน้าของชายหนุ่มตอนที่ทักตอบหล่อนไม่ยินดียินร้าย พูดเสร็จก็เมินไปง่วนกับถุงข้าวของที่อยู่ในมือตามเดิม หญิงสาวก็ไม่สนใจเช่นกัน
          ก็แค่พนักงานธรรมดา
          คาริน่าเปิดประตูออฟฟิศออกไปด้านนอกเพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำที่เป็นห้องน้ำรวม เรื่องที่ต้องใช้ห้องน้ำปะปนกับออฟฟิศอื่น ๆ ในชั้นนี้เป็นเรื่องที่หล่อนไม่ชอบใจมาตลอด ใครต่อใครบ้างก็ไม่รู้เดินเข้าเดินออกกันเป็นเทือก แม่บ้านก็ทำความสะอาดไม่ดีเลย หล่อนต้องใช้ให้ออกัสโทรศัพท์ไปร้องเรียนฝ่ายจัดการอาคารอยู่เป็นระยะ ถ้าไม่ร้องเรียนก็ไม่มีการปรับปรุง แต่ผ่านไปไม่นานก็กลับเป็นเหมือนเดิม แล้วก็ต้องร้องเรียนกันใหม่ ระบบของคนไทยอันสุดแสนจะน่ารำคาญ แต่ถึงกระนั้น หล่อนก็ไม่คิดจะเสนอให้มีการย้ายออฟฟิศ
          ค่าเช่าที่ในอาคารแห่งนี้ค่อนข้างถูกทำให้ประหยัดงบของออฟฟิศไปได้เยอะทีเดียว หญิงสาวเป็นฝ่ายบัญชี ต้องควบคุมการใช้เงินของออฟฟิศ เดือนที่แล้วประหยัดงบจนมีเงินเหลือส่งคืนสำนักงานใหญ่ได้เป็นก้อน ทำให้ได้รับคำชมเชยมาก ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ก็ได้หน้าได้ตา หล่อนก็พลอยได้ความชอบไปด้วย และคราวนี้ไม่ว่าจะเสนอความคิดอะไร ผู้อำนวยการก็ไม่เคยคัดค้าน
          กลับมาจากห้องน้ำ หล่อนเห็นข้าวโอ๊ตยังอยู่ในครัวและคงจะอยู่ในนี้ไปจนถึงเวลาเข้างานเหมือนทุกวันนั่นแหละ รอให้คนอื่น ๆ มาถึง แล้วก็คุยเล่นกัน อ้อยอิ่งรับประทานอาหารเช้า แทนที่จะไปเตรียมตัวทำงาน คนไทยชอบทำอะไรแบบนี้ เห็นแล้วมันขัดตาจริง ๆ
          คาริน่ากลับมานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง เรียกตารางของผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการขึ้นมาดู ก่อนจะพยักหน้ากับตัวเองด้วยความพอใจเมื่อเห็นว่าด็อกเตอร์แฮร์มันน์มีแผนเดินทางไปลาวพรุ่งนี้ นายใหญ่ประจำออฟฟิศไม่ได้บอกเรื่องนี้กับข้าวโอ๊ต แต่มาสั่งให้หล่อนเตรียมแฟ้มเอกสารแทน
          คนแก่ขี้หลงขี้ลืม หญิงสาวมักจะเรียกนายตัวเองลับหลังแบบนี้เสมอ ที่เรียกใช้หล่อนก็เพราะมันง่ายที่สุด ไม่เหมือนข้าวโอ๊ต รายนั้นยังมีปัญหาเรื่องภาษา บางครั้งพูดอะไรไปก็ไม่เข้าใจ ต้องพูดซ้ำหรือพูดให้ช้าลง บางทีก็น่ารำคาญ แต่มันก็ทำให้หล่อนย่ามใจ ในเมื่ออะไรทุกอย่างก็ต้องผ่านหล่อนก่อนทั้งนั้น และหล่อนก็สามารถสั่งคนอื่นได้ต่ออีกทอดหนึ่ง
          อย่างแฟ้มน่ะ ทำเองก็ได้ แค่สั่งพิมพ์เอกสารนิดเดียวเท่านั้น แต่เรื่องอะไรที่หล่อนต้องทำงานแทนคนเฉื่อยชาพรรณนั้น แกล้งดึงเรื่องให้ถึงนาทีสุดท้าย แล้วเข้าไปบอกด็อกเตอร์แฮร์มันน์ให้ทวงแฟ้มจากข้าวโอ๊ต ได้ทั้งแสดงความสำคัญของตัวเอง ได้ทั้งสั่งสอนข้าวโอ๊ตไปด้วยเลยทีเดียว
          ใกล้เก้าโมง ออฟฟิศเริ่มคึกคัก เสียงคุยสรวลเสเฮฮาดังมาจากห้องครัวตามคาด คาริน่าต้องเร่งเสียงลำโพงให้ดังขึ้นเพื่อให้เสียงเพลงกลบเสียงคุยภาษาไทยนั่น แล้วรอจนถึงเวลาที่ผู้อำนวยการมาทำงานในตอนราว ๆ เก้าโมงห้านาที หล่อนก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน เดินเข้าไปในห้องของด็อกเตอร์แฮร์มันน์ สวนทางกับพัดชาที่เอาถาดน้ำชามาเสิร์ฟให้ผู้อำนวยการสำนักงานเป็นประจำทุกเช้า
          “พรุ่งนี้คุณต้องไปลาว คุณโอ๊ตเตรียมแฟ้มให้คุณแล้วรึยัง ราล์ฟ”
          คาริน่าพูดเข้าประเด็นทันที ไม่มีการอ้อมค้อม ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ชะงักมือที่กำลังรินน้ำร้อนลงในถ้วยชาที่ใส่ถุงชาเอาไว้เพื่อมองไปรอบโต๊ะทำงานที่มีเอกสารวางอยู่เต็มไปหมด ก่อนจะส่ายหน้า
          “ผมยังไม่ได้แฟ้มเลย แต่ผมสั่งคุณไม่ใช่หรือ”
          “คุณสั่งให้ฉันช่วยเตรียมเอกสาร แต่คุณโอ๊ตต่างหากต้องเป็นคนทำ”
          “อ้าว เหรอ”
          คาริน่าเดินอ้อมโต๊ะไปยืนข้างเก้าอี้ของด็อกเตอร์แฮร์มันน์ หยิบกระบอกน้ำร้อนมารินน้ำลงในถ้วยให้เอง จากนั้นก็เลื่อนถ้วยชาไปให้ พร้อมกับก้มหน้าลงมาใกล้หูของชายสูงวัย
          “เรียกคุณโอ๊ตเข้ามา แล้วทวงแฟ้มจากเขานะ คุณต้องกระตุ้นให้เขาทำงานบ้าง ไม่ใช่มานั่งเฉย ๆ หายใจทิ้งไปวัน ๆ เหมือนที่ผ่านมา”
          “แต่ผมไม่ได้บอกอะไรเขาเรื่องนี้ไว้ก่อนนี่นา” ผู้อำนวยการทำหน้ายุ่ง
          “เขาควรจะเป็นคนเข้ามาถามสิ คุณไม่จำเป็นต้องบอกอะไรเขามากอยู่แล้วเพราะตารางงานก็มี เขาไม่ดูเอง มันเป็นความไม่รับผิดชอบของคุณโอ๊ต ยังไงงานนี้เขาก็ต้องเป็นคนทำให้เสร็จ”
          “งั้นผมจะเรียกเขามาสั่ง”
          “แล้วบอกให้เขามาหาฉัน ฉันจะได้เตือนเขาเรื่องงานซ้ำอีกทีหนึ่ง คุณจะได้ไม่ต้องลำบากพูดเอง เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไว้เป็นหน้าที่ของฉันจัดการเอง”
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์คล้อยตาม เพราะเขาไม่ชอบเผชิญหน้ากับลูกน้องอยู่แล้ว หากมีปัญหาอะไรในออฟฟิศ คนที่เขาจะพูดด้วยก็มีหล่อน หรือไม่ก็ญาดา แล้วค่อยให้ทั้งสองคนนำไปบอกทุก ๆ คนต่อ
          คาริน่ายิ้มด้วยความพอใจ ก่อนจะพยักพเยิดไปที่กระเช้าของขวัญขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในห้องประชุมที่มีประตูเชื่อมกับห้องทำงานของด็อกเตอร์แฮร์มันน์ และตอนนี้ประตูนั้นก็เปิดอยู่
          “อ้อ กระเช้านั่นฉันก็ดูแล้วนะ มีเครื่องกระป๋องที่คุณชอบหลายชิ้น เดี๋ยวฉันจัดการแยกใส่ถุงเอาไว้ให้ ที่เหลือค่อยให้พวกคนไทยมาเลือกกันไป”
          “ขอบคุณมาก เอาตามที่คุณว่าดีก็แล้วกัน” ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ไม่มีอะไรคัดค้านเหมือนเดิม
          หลังหมดเรื่องที่ต้องการแล้ว คาริน่ายังไม่ยอมกลับเข้าไปในห้องตัวเอง หล่อนถือโอกาสนี้เข้าไปอยู่ในห้องประชุม อ้างว่าจะจัดการเรื่องกระเช้าของขวัญที่ลูกค้าของบริษัทนำมามอบให้เมื่อไม่กี่วันก่อน แต่จริง ๆ คือต้องการจะฟังเรื่องงานของวันที่ผู้อำนวยการจะต้องปรึกษากับรองผู้อำนวยการทุกเช้า ประตูเชื่อมของห้องทั้งสองเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย ทำให้หล่อนได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน และถึงแม้มันจะเป็นงานประจำวัน ไม่ได้มีเคสอะไรที่น่าสนใจ แต่หล่อนจะต้องรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในออฟฟิศ
          คาริน่าแยกของจากในกระเช้าออกเป็นส่วน ๆ เสร็จเรียบร้อย ของกระป๋องที่เล็งเอาไว้ก่อนแล้วเอาใส่ถุงกระดาษเตรียมไว้ให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ ส่วนของที่เหลือก็ให้แบ่ง ๆ ไปในหมู่พนักงานคนไทย หญิงสาวไม่ได้เลือกอะไรให้ตัวเองเพราะของในครั้งนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ส่วนของทีโมน หล่อนกันไวน์ขวดเล็กหน้าตาเหมือนผลิตภัณฑ์โฮมเมดไว้ให้กล่องหนึ่งซึ่งมีสามขวด เป็นของที่ดูดีพอสมควร น่าจะทำให้เขาพอใจ
          การแยกของทำเสร็จก่อนที่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะคุยกับทีโมนจบ แต่คาริน่าก็ยังอ้อยอิ่งอยู่ในห้องประชุมจนกระทั่งการสั่งงานประจำวันใกล้เสร็จลง และไม่มีอะไรที่หล่อนจำเป็นต้องรู้อีก หญิงสาวจึงหยิบถุงที่ใส่ของกระป๋องและกล่องไวน์เข้าไปไว้ในห้องของตัวเอง ส่วนของที่เหลือในกระเช้าทิ้งไว้อย่างนั้นแล้วค่อยบอกให้คนอื่น ๆ มาหยิบเอาไป
          เมื่อทีโมนคุยงานกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์เสร็จและเดินผ่านห้องหล่อน คาริน่าก็ร้องเรียก แล้วยื่นกล่องไวน์ส่งให้
          “ชอบรึเปล่า” หล่อนถาม
          “ชอบมากครับ ขอบคุณมากเลย ท่าทางน่าจะอร่อยนะนี่ คุณนี่รู้ใจผมเสียจริง”
          คาริน่ายิ้มนิด ๆ กับคำชมของรองผู้อำนวยการสุดหล่อ แต่ท่าทางของหล่อนก็ยังดูแข็งกระด้างอยู่นั่นเอง แม้ว่าจะพูดด้วยเสียงที่นุ่มนวลกว่าที่พูดกับคนอื่นแล้วก็ตาม
          “ค่ำนี้มีโปรโมชั่นค็อกเทลที่โรงแรม สนใจจะไปด้วยกันไหม ความจริงค็อกเทลที่นี่ก็งั้น ๆ แหละถึงต้องทำโปรโมชั่น อย่างโมฮิโต้ก็เปรี้ยวไปหน่อย บลัดดี้แมรี่นี่กลิ่นน้ำมะเขือเทศค่อนข้างแรง จะมีก็พวกยินโทนิคที่ใช้ได้ แต่สถานที่ดีนะ บรรยากาศดี เหมาะสำหรับไปดื่มหลังเลิกงาน ไปไหม”
          สายตาของหล่อนมีความคาดหวัง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความไม่สบอารมณ์เมื่อทีโมนปฏิเสธ
          “เสียดายจัง ผมบังเอิญนัดเทรนเนอร์ที่ฟิตเนสเอาไว้แล้วด้วยสิ แคนเซิลไม่ได้ เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะ”
          ทีโมนบีบไหล่หญิงสาวเบา ๆ พร้อมกับยิ้มหวานให้เพื่อปลอบใจ แล้วเดินออกไปจากห้องพร้อมกล่องไวน์ในมือ
          คาริน่ามองตามไปด้วยความขัดใจ ทำไมหล่อนจะไม่รู้ว่าเขาโกหกเรื่องมีนัด ทีโมนจีบคนโน้นคนนี้ไปทั่ว ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย แต่กับหล่อน ถึงเขามีทีท่าเหมือนจะหยอด แต่หล่อนรู้ว่าเขาไม่สนใจหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว
          ก็หล่อนไม่สวย แถมยังอายุมาก มันเป็นความจริงที่หล่อนไม่อยากยอมรับเอาเสียเลย แต่หล่อนไม่ยอมง่าย ๆ หรอก ตอนนี้เขาเกรงใจหล่อนเพราะหล่อนเป็นคนสำคัญ เป็นคนที่ผู้อำนวยการไว้ใจที่สุด แต่ต่อไปหล่อนจะต้องทำให้เขายอมสยบต่อหล่อนให้ได้
          หล่อนไม่ยอมโดนเมินแน่ ยิ่งจากพวกที่คิดว่าตัวเองหน้าตาดีด้วยแล้ว หล่อนไม่มีวันยอม หล่อนจะต้องเป็นฝ่ายควบคุม ต้องเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าทุกคนให้ได้
          คาริน่าอดกลั้นไม่แสดงอารมณ์ต่อทีโมน แต่เอาความไม่พอใจมาลงที่ข้าวโอ๊ตแบบเต็มที่เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยตอบโต้ ดังนั้นเมื่อเห็นหน้าชายหนุ่มตอนที่เข้ามาขอเอกสารสำหรับจัดใส่แฟ้มให้แก่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ หล่อนจึงทำให้แบบกระแทกกระทั้น พร้อมกับสั่งด้วยน้ำเสียงเข้มงวดว่า
          “จัดใส่แฟ้มให้เรียบร้อยแล้วเอาไปให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ด้วย”
          ข้าวโอ๊ตไม่พูดอะไร รับเอกสารแล้วเดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ทำให้หล่อนยิ่งได้ใจ และแสดงหนักยิ่งขึ้นตอนที่มีโทรศัพท์สายซ้อนเข้ามา หล่อนเห็นสัญญาณไฟกะพริบสีแดงเข้าพอดีก็กดรับโดยที่ไม่ได้คิดอะไรในตอนแรก แต่สายที่เข้ามานั้นน่าจะเป็นคนไทย เพราะเมื่อได้ยินหล่อนพูดภาษาอังกฤษใส่ แม้จะเป็นประโยคง่าย ๆ แต่ฝ่ายนั้นก็ติดอ่างขึ้นมาทันที ตอบโต้ไม่ถูก เมื่อหล่อนถามย้ำอีกครั้งก็วางหูไปเลย
          คาริน่ายกโทรศัพท์หาข้าวโอ๊ตทันที
          “คุณโอ๊ต รับโทรศัพท์ด้วย เมื่อกี้มีโทรศัพท์คนไทยเข้ามา พูดอังกฤษไม่ได้เลย”
          โวยเสร็จก็วางหูโครมใส่โดยที่ไม่สนใจฟังคำตอบจากอีกฝ่ายหนึ่งแต่อย่างใด ได้ระบายอารมณ์ออกไปแบบนี้ทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก แต่หญิงสาวก็เป็นคนที่อารมณ์ฉุนเฉียวง่ายดายมาก เมื่อหล่อนเห็นสัญญาณไฟกะพริบเป็นครั้งที่สอง หล่อนก็กดรับอีก และก็เจอเหตุการณ์เดิมคือคู่สนทนาไม่ยอมพูดด้วยและวางหูใส่หล่อนเหมือนเมื่อสักครู่นี้
          อารมณ์ของหล่อนเลยพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอีก ข้าวโอ๊ตทำงานภาษาอะไรกัน ปล่อยให้หล่อนรับโทรศัพท์บ้าบอนั่นถึงสองครั้งแบบนี้ได้อย่างไร นี่หมอนั่นไม่รู้เลยหรือไงว่าหล่อนไม่ใช่โอเปอเรเตอร์กระจอก ๆ ที่ต้องมานั่งรับโทรศัพท์เพี้ยน ๆ
          หญิงสาวเดินไปโวยใส่ข้าวโอ๊ตทันที
          “คุณโอ๊ต! ทำไมไม่รับโทรศัพท์! นี่ฉันต้องรับโทรศัพท์คนไทยพูดไม่รู้เรื่องถึงสองครั้งเชียวนะ! ไม่รู้รึไงว่ามันน่ารำคาญ!”
แต่ครั้งนี้หล่อนกลับได้เจอสิ่งที่ไม่คาดฝัน เพราะข้าวโอ๊ตลุกขึ้นมาตอบโต้
          หญิงสาวรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย แต่ฝ่ายนั้นเอาจริง ข้าวโอ๊ตดูจะโมโหเอามาก ๆ และพร้อมจะชนกับหล่อนโดยที่ไม่หวั่นเกรงอะไรทั้งสิ้น เมื่อเป็นอย่างนี้ หล่อนก็ไม่อยากจะเถียงด้วยให้เรื่องมันบานปลาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าหล่อนจะยอมเหมือนกัน ดังนั้นก่อนจะออกมาจากห้องของข้าวโอ๊ต หล่อนจึงต้องข่มเอาไว้นิดหนึ่งว่า
          “โอเค โอเค ทีหลังก็รับให้ทันก็แล้วกัน อย่าให้มันเป็นแบบนี้อีก”
          ดูเผิน ๆ เหมือนหล่อนจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่คาริน่ามีวิธีอีกมากมายที่จะเล่นงานพนักงานธรรมดา ๆ อย่างข้าวโอ๊ตกลับ โทษฐานที่มาขึ้นเสียงใส่หล่อน ไม่ต้องลดตัวลงไปโต้เถียงด้วยให้เหนื่อยเสียด้วยซ้ำ ในเมื่ออำนาจมันอยู่ในมือของหล่อนอยู่แล้ว
เมื่อคิดได้อย่างนี้ หญิงสาวก็เลยยังนิ่งอยู่ได้
          ใกล้เที่ยง พัดชาเข้ามาถามเรื่องอาหารกลางวัน แม่บ้านร่างอ้วนประจำออฟฟิศยิ้มแฉ่งประจบประแจงพลางถามด้วยภาษาอังกฤษเป็นคำ ๆ ปนกับภาษาไทย
          “Lunch ค่ะ today special ต้มข่าไก่ เอาไหมคะ”
          ยายคนนี้ก็ไม่เคยจำเลยว่าหล่อนไม่สั่งอาหารตามร้านแบบนี้ ผัดอะไรก็ไม่รู้น้ำมันเยิ้ม ซุปก็ใส่อะไรต่อมิอะไรมากมาย หน้าตาก็ไม่ทำให้เจริญอาหารเอาเสียเลย แต่พัดชาก็ยังเอากระดาษรายการอาหารมาถามอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน
          “No, I want chicken steak.”
          หญิงสาวบอกให้แม่บ้านไปซื้อสเต็กไก่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ ๆ มาเป็นอาหารกลางวัน สเต็กคนไทยทำวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตรสชาติไม่ดีหรอก แต่ก็ยังพอฝืนใจรับประทานเข้าไปได้ ดีกว่าพวกอาหารไทยตามร้านตามสั่งมาก
          คาริน่าสั่งโดยไม่สนใจว่าพัดชาต้องเดินไปซื้อให้ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตทุกวันเพราะไม่มีบริการส่งอาหารเหมือนกับร้านอาหารที่บริษัทสั่งอาหารด้วย

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
          อาหารกลางวันจัดไว้ให้ที่ห้องรับประทานอาหาร ด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะนั่งที่หัวโต๊ะ ด้านขวามือของเขาเป็นทีโมน หล่อนนั่งทางด้านซ้ายมือ ถัดจากหล่อนเป็นนัตโตะ ส่วนพนักงานคนไทยคนอื่น ๆ ไปยืนอัดกันอยู่ในครัว
          “สเต็กไก่น่ากินจัง คาริน่า ซื้อที่ไหนครับ”
          หญิงสาวขมวดคิ้ว มองหน้านัตโตะ
          “เนื้อแห้งอย่างนี้น่ะเหรอน่ากิน เจ้านี้ยิ่งทำก็ยิ่งแย่ สเต็กปลาที่ฉันสั่งมาเมื่อวานดูดีกว่านี้อีก”
          คาริน่าไม่สนใจว่านัตโตะฟังแล้วจะทำหน้าจืดเจื่อน หล่อนเอาส้อมจิ้ม ๆ เนื้อไก่ในจานของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ แต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไรมากเพราะไม่ได้คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับทีโมนไม่ได้สนใจบทสนทนาระหว่างคาริน่าและนัตโตะเพราะกำลังคุยกันเรื่องเคสที่เพิ่งเข้ามาใหม่ บริษัทที่ขายระบบรักษาความปลอดภัยต้องการจะนำสินค้าของตัวเองมานำเสนอแก่หน่วยงานของไทยและต้องการที่จะให้บริษัทเป็นตัวกลางจัดงานแนะนำผลิตภัณฑ์ให้
          “เคสนี้ให้คุณหญ้ารับผิดชอบเพราะเป็นผลิตภัณฑ์ในสายงานของเธอ คุณช่วยคุณหญ้าเขาอีกแรงหนึ่งนะ”
          “ด้วยความยินดีครับผม เดี๋ยวผมจะคุยกับคุณหญ้าบ่ายนี้เลย”
          ทีโมนรับคำอย่างแข็งขัน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกริ่ม ซึ่งนั่นไม่พ้นสายตาของคาริน่าที่คอยจับจ้องอยู่แล้ว
          “คาริน่า แล้วเรื่องเด็กฝึกงานที่เคยขอไปล่ะ จะมาเมื่อไหร่ ถ้าเรารับงานนี้ เราจะต้องใช้คนช่วยงานมากขึ้นนะ”
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์หันมาถาม
          “นักศึกษาฝึกงานคนใหม่จะมาอาทิตย์หน้า มีอีเมลแจ้งวันเดินทางกับไฟลท์บินเข้ามาแล้ว”
          “คราวนี้เป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย” ทีโมนถามด้วยความกระตือรือร้น คาริน่าตอบสั้น ๆ ว่า
          “ผู้ชาย”
          บทสนทนาระหว่างมื้อกลางวันก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีก เพราะด็อกเตอร์แฮร์มันน์เปลี่ยนจากเรื่องงานมาคุยเรื่องข่าวสารทั่วไปจนรับประทานอาหารเสร็จ เขาก็ลุกกลับห้อง ทิ้งจานชามเอาไว้บนโต๊ะให้แม่บ้านประจำออฟฟิศเป็นคนมาเก็บ
          คาริน่ายังไม่ลุกจากโต๊ะแม้ว่าด็อกเตอร์แฮร์มันน์จะกลับเข้าห้องไปแล้วก็ตาม
          “เดาไม่ออกเลยนะว่าคุณดีใจหรือเสียใจที่ได้เด็กฝึกงานเป็นผู้ชาย” หญิงสาวแกล้งเปรยกับทีโมน หล่อนเปลี่ยนมาใช้ภาษาเยอรมันแทนภาษาอังกฤษที่มักจะต้องพูดเมื่อมีพนักงานคนไทยอยู่ด้วย ถือเป็นมารยาท แต่บางทีถึงมีคนไทยอยู่ หล่อนก็ยังจะพูดเยอรมันอยู่ดีนั่นแหละ ให้พวกคนไทยรู้อะไรมากนักก็ไม่ดี
          “สำหรับผมน่ะ ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ทั้งนั้นแหละ” ทีโมนตอบยิ้ม ๆ
          “แต่รายนี้น่ะเห็นทีจะยากนะ ดูจากในรูป เขาคงไม่เล่นด้วยหรอก”
          “ว้า น่าเสียดาย งั้นเราขอเปลี่ยนได้ไหม เอาผู้หญิงมาแทนดีกว่า”
          คาริน่าค้อนขวับ
          “อย่าให้มันออกนอกหน้านัก ราล์ฟไม่ชอบเรื่องชู้สาวในออฟฟิศ คุณก็รู้ อย่างเมื่อกี้น่ะ ตอนที่เขาบอกให้คุณทำงานกับคุณหญ้า คุณก็ดี๊ด๊าเกินไปนะ คราวหลังอย่าทำอีก ระวังบ้าง”
          “ผมก็แค่ล้อเล่นเอง ไม่ได้จริงจังสักหน่อย ราล์ฟเขาไม่สนใจหรอกน่า”
          ทีโมนไม่สนใจคำปราม ขยับตัวลุกขึ้นเพื่อจะเอาจานอาหารไปเก็บในครัว คาริน่าก็ลุกตาม ตอนนี้ในห้องรับประทานอาหารเหลือเพียงแค่เขากับหล่อนสองคน นัตโตะออกไปตั้งแต่เมื่อไร หล่อนไม่ทันเห็นเพราะมัวแต่คุยกับทีโมนเพลินอยู่
          คาริน่ากับทีโมนสวนกับข้าวโอ๊ตที่เดินออกมาจากครัว พนักงานคนอื่น ๆ ยังคงรวมตัวกันอยู่ในครัว แต่เมื่อเห็นทั้งสองคนเข้ามาก็ทยอยกันเดินออกจากห้องเพราะที่คับแคบ ไม่สามารถอัดกันอยู่ทั้งหมดทุกคนได้ ญาดาเดินออกเป็นคนสุดท้าย แต่โดนทีโมนจับบ่ารั้งเอาไว้ก่อน
          “บ่ายนี้มาที่ห้องผมด้วยนะครับคุณหญ้า มีงานใหม่จะคุยด้วย”
          คาริน่าชำเลืองมองด้วยความไม่พอใจ แต่ไม่มีจังหวะจะดุ เพราะพัดชาเดินเข้ามาพอดีและทีโมนก็แวบออกไปจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว
          “อาหารอร่อยไหมคะ”
          พัดชาที่เข้ามาเก็บจานใส่ถังเตรียมเอาไปล้างถามขึ้น แต่คาริน่าไม่มีอารมณ์จะพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะด้วย สายตาของหล่อนจ้องเขม็งไปที่ปิ่นโตที่แม่บ้านกำลังจะเอาใส่ถัง
          “นั่นของใคร”
          “อ๋อ ของคุณโอ๊ตค่ะ” พัดชาตอบ หยิบจานใบสุดท้ายใส่ลงไปในถัง จากนั้นเปิดตู้เล็ก ๆ หยิบสก็อตไบรท์กับน้ำยาล้างจานใส่ตามลงไป
          “คุณคาริน่าคะ no more this, I want money. I buy tomorrow.”
          คาริน่ามองหน้าพัดชา หล่อนเข้าใจว่าพัดชาหมายความว่าอย่างไรเมื่อชี้ไปที่ขวดน้ำยาล้างจานในถัง แต่หล่อนไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงหมดเร็วนัก
          “เพิ่งซื้อไปไม่นานนี้เองนี่”
          “จานมากค่ะ น้ำยามันหมดไว” แม่บ้านร่างอ้วนทำไม้ทำมือ แล้วชี้ให้ดูปริมาณจานชามที่อยู่ในถัง นอกจากจะมีจานชามอาหารกลางวัน ยังมีจานใบเล็กใบน้อยใส่ขนมที่พนักงานกินระหว่างวัน แก้วน้ำ ถ้วยกาแฟ
          “โอเค พรุ่งนี้มาเอาเงินที่ห้องไปซื้อให้เรียบร้อย เอาใบเสร็จมาด้วย”
          คาริน่าเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง วันนี้ไม่มีงานอะไรเร่งด่วน หล่อนจึงเปิดอินเตอร์เน็ตอ่านข่าว อ่านรีวิวโรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยวไปเรื่อย ๆ จากนั้นเปิดเฟซบุ๊กเช็คความเคลื่อนไหวของเพื่อนและคนรู้จัก
          ยายมิชาเอลล่าเปลี่ยนแฟนใหม่อีกแล้ว ลงรูปไปเที่ยวฮาวายกันหวานชื่นน่าหมั่นไส้ที่สุด หญิงสาวชักเริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกแล้ว เพราะเมื่อเช้าหล่อนเพิ่งแห้วจากเป้าหมายไปหยก ๆ หล่อนจึงเปลี่ยนไปอ่านข้อความที่ส่งเข้ามาหาแทน
ชาร์ลีชวนหล่อนไปเที่ยวผับคืนนี้ ถึงแม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่หล่อนคาดหวัง แต่ยังดีกว่านั่งเงียบเหงาอยู่คนเดียวในห้อง หล่อนจึงส่งข้อความตอบรับไป แล้วก็เดินออกจากห้องเพื่อไปห้องน้ำ เจอนัตโตะตรงทางเดินด้านนอก กำลังหันซ้ายหันขวา ท่าทางทำอะไรไม่ถูก เมื่อชายหนุ่มเห็นหล่อน เขาก็ทำหน้าราวกับว่าเจอพระมาโปรด
          “คาริน่า มาพอดีเลย ดีใจจัง ผมหาเอกสารเก่าของบริษัทนี้ไม่เจอ คุณช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ”
          หล่อนดูชื่อบริษัท ก่อนจะตรงไปหยิบแฟ้มมาใบหนึ่ง แต่นัตโตะบอกว่าเอกสารในนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
          “มีแค่แฟ้มนี้แฟ้มเดียวเหรอครับ” นัตโตะถาม
          หญิงสาวเอะใจ เดินไปหยิบอีกแฟ้มหนึ่งมาเปิดส่งให้นัตโตะดู ฝ่ายหลังก็ยิ้มรับด้วยความดีใจ พร่ำขอบคุณหล่อนอย่างมากมายที่ช่วยหาเอกสารให้จนเจอ
          “โชคดีที่คุณมาพอดี ไม่งั้นผมก็คงหาเอกสารไม่เจอ เพราะไม่รู้ว่ามันแยกเก็บเป็นสองแฟ้มแบบนี้”
          “ไม่เป็นไร”
          แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายประจบเอาใจ แต่คำพูดหวานหูชื่นชมก็ไม่มีใครไม่ชอบ หล่อนจึงยิ้มแข็ง ๆ ให้นัตโตะก่อนจะเดินกระแทกเท้าเข้าไปในห้องของข้าวโอ๊ต จิกเรียกให้ออกมาดูความเละเทะของงานที่ชายหนุ่มเป็นคนรับผิดชอบ และแม้ว่าฝ่ายหลังจะมีข้อแก้ตัว แต่ก็ไม่ทำให้หล่อนพอใจ หญิงสาวบ่นด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง
          “แบบนี้มันใช้ไม่ได้เลย เก็บเอกสารสับสน แล้วก็หาเอกสารกันไม่เจอ” จากนั้นก็สั่งเสียงเข้ม
          “แก้ไขเดี๋ยวนี้เลยนะคุณโอ๊ต เช็คดูให้หมดว่ามีแฟ้มซ้ำกันอีกรึเปล่า แล้วจัดการแฟ้มเก่า ๆ ด้วย ปรับให้เป็นแบบใหม่ให้หมด เข้าใจไหม”
          สั่งงานเสร็จเรียบร้อย หล่อนก็กลับเข้าไปในห้องของตัวเอง ลืมที่จะเข้าห้องน้ำไปเสียสนิท
          ตลอดทั้งบ่ายที่เหลือไม่มีอะไรจะให้หล่อนต้องออกโรงโวยวายอีก เมื่อถึงเวลาเลิกงานในตอนห้าโมงครึ่ง พนักงานก็ทยอยกันกลับไปจนหมด แต่หญิงสาวยังไม่กลับ ที่อยู่ต่อไม่ใช่เพราะต้องทำงาน แต่เพราะต้องตรวจตราทุกอย่างในออฟฟิศให้แน่ใจก่อนว่าเรียบร้อยจริง ๆ ไม่มีใครลืมปิดไฟในห้องทำงานหรือเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ แล้วหล่อนจึงค่อยใช้กุญแจล็อคประตูกระจกของออฟฟิศและกลับเป็นคนสุดท้าย
          คอนโดมิเนียมที่บริษัทเช่าให้หล่อนนั้นอยู่ห่างจากออฟฟิศแค่นั่งรถไฟฟ้าบีทีเอสไปหนึ่งป้ายเท่านั้น จะเดินมาทำงานก็ทำได้สะดวก แต่หล่อนไม่คิดจะทนอากาศร้อน ฝุ่นละอองและควันรถจึงเลือกกลับบ้านด้วยรถไฟฟ้าทุกวัน เมื่อกลับถึงคอนโดมิเนียม คาริน่าก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แต่งหน้าทำผมอย่างตั้งใจ แล้วรอเวลาที่นัดกับเพื่อนเอาไว้
          ชาร์ลีมารับหล่อนที่ห้อง เพื่อจะขึ้นแท็กซี่ไปที่ผับในโรงแรมด้วยกัน
          คาริน่าขมวดคิ้วเมื่อเห็นเพื่อนใส่เสื้อยืดรัดรูปสีเหลืองสด กางเกงผ้ายืดสีน้ำเงินเข้ม รองเท้าหัวแหลมหนังแก้ววาววับ ดูลำลองอย่างที่สุดขัดกับการแต่งตัวของตัวเองที่ออกไปในทางเรียบหรูด้วยเสื้อไม่มีแขนสีม่วงเข้มเกือบดำ คอถ่วง และกางเกงสแล็กสีเดียวกับเสื้อ รองเท้าส้นสูงติดคริสตัล พร้อมกระเป๋าแบบคลัชท์
          “ทำไมแต่งตัวดูเด็กจังวันนี้ ตกลงจะไปผับในโรงแรมจริง ๆ รึเปล่า หรือเปลี่ยนร้าน ฉันจะได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่”
          “ไม่ได้เปลี่ยนร้าน ที่เดิมนี่แหละ ฉันก็แค่อยากเปลี่ยนการแต่งตัวดูบ้างเท่านั้นเอง แต่งตัวยังงี้ก็สนุกดีนะ เมื่อคืนยังหิ้วเด็กกลับมาได้คน สนุกเป็นบ้า”
          หญิงสาวฟังแล้วไม่ศรัทธาเลย
          “อยู่เมืองไทยมีเงินก็หิ้วเด็กได้แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องลงทุนเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างโน้นอย่างนี้เลย”
          “แหม เอาเงินซื้อมันไม่สนุกเท่ามีคนมาจีบสักหน่อย” เพื่อนหนุ่มค้าน
          ชาร์ลีพาคาริน่านั่งรถแท็กซี่มายังโรงแรมใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดมิเนียมนัก โรงแรมนี้ขึ้นชื่อว่ามีผับชั้นดี ดนตรีสนุก ลูกค้าที่มาเที่ยวส่วนใหญ่เป็นฝรั่งที่เรียกได้ว่ามีระดับ ไม่ใช่ฝรั่งนักท่องเที่ยวแบกเป้ตามถนนข้าวสาร คาริน่าชอบมาเที่ยวที่นี่ก็เพราะแบบนี้ แต่หล่อนไม่สนุกเท่าชาร์ลีหรอก หลังจากสั่งเครื่องดื่มที่บาร์มาจิบและคุยกันนิดหน่อย เพื่อนของหล่อนก็จะสอดส่ายสายตามองหาเหยื่อ เมื่อเลือกได้ก็จะพุ่งไปหา ทิ้งหล่อนไว้ที่บาร์คนเดียว
          คาริน่าแสดงท่าทางไม่เดือดร้อน หล่อนชวนคนที่นั่งอยู่ที่บาร์คนเดียวคุยบ้าง แม้จะคุยกันไม่ได้นานเท่าไรก็ตาม แต่คืนนี้คนมาเที่ยวน้อยกว่าทุกที ทำให้หล่อนต้องนั่งหง่าวอยู่คนเดียวที่บาร์ ไม่มีใครให้คุยด้วย หญิงสาวมองไปทางโน้นทางนี้ แต่ไม่มีใครสบตากับหล่อนเลย
          หล่อนเห็นชาร์ลีกำลังเต้นกับหนุ่มน้อยคนหนึ่งอย่างสนุกสนาน พูดคุยหยอกล้อหัวเราะกันคิกคักก็ชักรู้สึกอิจฉาขึ้นมาบ้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคนอื่น ๆ เขาหาแฟนหาคนควงกันได้ง่ายนัก ขนาดหนวดเคราเฟิ้มหน้าตาอย่างกับฆาตกรใจโหดอย่างชาร์ลียังได้ผู้ชายทุกคืน ส่วนหล่อน ต้องไปไหนมาไหนแต่กับเกย์ ถึงจะมีคนคุยด้วยเวลามาเที่ยวแบบนี้ แต่ก็ไม่เคยจะถูกชวนไปต่อเลยสักครั้ง
          เปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาด้วยความเซ็งจับใจ แต่เมื่อหล่อนเปิดเฟซบุ๊กของตัวเอง หล่อนก็ยิ่งรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นชื่อของตัวเองถูกแท็กลงในภาพที่หล่อนไม่อยากจะเห็นเลยสักนิด
          แฟนเก่าของหล่อนได้ลูกคนที่สอง เขาโพสต์ภาพตัวเองอุ้มลูกขึ้นเฟซบุ๊ก เพื่อน ๆ กด “ถูกใจ” พร้อมแสดงความยินดีกันเต็มไปหมด และมีใครสักคนหวังดีกลัวว่าหล่อนจะพลาดข่าวนี้จึงแท็กชื่อหล่อนเพื่อให้แน่ใจว่าหล่อนจะเห็นภาพนี้แน่ ๆ
          คาริน่าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไอ้อังเดรมันถึงได้แต่งงานมีลูกมีครอบครัวอย่างมีความสุขทั้ง ๆ ที่มันหลอกคบหล่อนเล่นตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย เรื่องมันผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้วก็จริง มันนานจนไอ้อังเดรลืมไปแล้วว่าเคยทำอะไรหล่อนไว้ถึงได้ขอมาเป็นเพื่อนกับหล่อนทางเฟซบุ๊ก หญิงสาวกดรับคำขอเป็นเพื่อน แต่ไม่ใช่เพราะว่าหล่อนลืมเรื่องพวกนั้นไปแล้วเหมือนกับมัน หล่อนกดรับเพราะหล่อนยังจำเรื่องทุกอย่างได้เป็นอย่างดีต่างหากและหล่อนจะเห็นความเคลื่อนไหวของชีวิตของมันผ่านทางเฟซบุ๊ก
          หล่อนเห็นไอ้อังเดรได้งานในบริษัทใหญ่ มีบ้านพร้อมสวนหลังใหญ่ มีครอบครัว มีลูก ไปเที่ยวพักร้อนที่นั่นที่นี่ และต่อมาก็มีลูกคนที่สอง ทั้ง ๆ ที่หล่อนเฝ้าภาวนาให้ชีวิตมันย่อยยับมาตลอด ให้สมกับที่มันเคยหลอกหล่อน มันบอกว่ามันรักหล่อน อยากจะอยู่ด้วยกันไปตลอด หญิงสาวไม่เฉลียวใจเลยว่ามันไม่มีความจริงใจให้หล่อนสักนิด ลับหลังหล่อนมันก็ไปคบกับคนอื่น ขณะที่หล่อนรักมันหัวปักหัวปำ ไม่ว่ามันพูดอะไรหล่อนก็เชื่อ มันให้หล่อนทำอะไรหล่อนก็ทำ กว่าจะรู้ว่าตัวเองโง่ ก็ถูกมันสนตะพายอยู่เป็นนาน ก่อนที่มันจะชิ่งไปหาคนใหม่ที่สวยน่ารักกว่าหล่อน
          ภายนอก คาริน่าทำเหมือนไม่สนใจ หล่อนเก่ง หล่อนแกร่ง หล่อนไม่สนใจผู้ชายห่วย ๆ อย่างนั้น แต่ในใจของหล่อนมีแต่ความคุมแค้น
          พอทีกับการหลงใหลได้ปลื้มผู้ชายจนยอมให้ตัวเองโดนหลอกใช้ ต่อไปนี้ ถ้าหล่อนจะชอบใครขึ้นมาอีก หล่อนจะต้องเป็นฝ่ายควบคุม เป็นฝ่ายชักเชิดทุกคนให้ทำอย่างที่หล่อนต้องการ คนอื่น ๆ ต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายปรับตัวให้เข้ากับหล่อน ไม่ใช่หล่อนที่เป็นคนต้องปรับ!
          คาริน่าลุกขึ้นเดินไปหาชาร์ลีที่กำลังเต้นนัวเนียอยู่กับหนุ่มน้อยคู่ขา กระชากไหล่เพื่อนให้ถอยห่างออกมา
          “อะไรของเธอเนี่ย” ชาร์ลีร้องลั่นด้วยความขัดใจ แต่คาริน่าก็โวยกลับด้วยหน้าตาบึ้งตึงไม่แพ้กัน
          “มัวแต่คั่วเด็กอยู่ได้ เธอเป็นฝ่ายชวนฉันมานะ แต่กลับทิ้งฉันไว้ที่บาร์ ไม่เอาแล้ว ฉันจะกลับบ้าน! เธอต้องกลับไปกับฉันด้วย!”
          ดวงตาแดงก่ำเบิกกว้าง รูจมูกใหญ่สองรูพ่นลมเสียงดังฟืดฟาดก่อนที่ขากรรไกรอันใหญ่โตจะขยับแยกออกจากกันและมีเสียงคำรามลั่นดังขึ้นอย่างกึกก้อง

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
บทที่ 3
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
เบื่ออีพวกหลงตัวเอง คิดว่าตัวเองหล่อตายแล้ว จริง ๆ ก็สกปรกซกมก เจ้าชู้ น่าขยะแขยง
Like – Comment – Share

           เก้าโมงเกือบครึ่งแล้ว แต่ทีโมนไม่รู้สึกเดือดร้อนเลยแม้แต่นิดเดียว ชายหนุ่มยืนรอลิฟท์อยู่ที่โถงอาคารด้วยท่าทางสบาย ๆ และยังหันไปยิ้มหวานให้สาวน้อยที่ยืนรอลิฟท์อยู่ด้วยกันจนหล่อนหน้าแดงนิด ๆ
           ชายหนุ่มเข้างานสายแทบจะทุกวัน ไม่ต้องกลัวใครจะว่าด้วย แม้กระทั่งหัวหน้างานก็ตาม เพราะเขามีแบ็กอัพชั้นดี
เกิดมาเป็นผู้ชายหน้าตาดีนี่ก็นับเป็นข้อได้เปรียบละนะ ไม่ว่าจะเป็นสาวแก่แม่หม้ายหรือแม้แต่ผู้ชายด้วยกันก็พร้อมจะเข้าข้าง เพียงแค่เขาพูดจาดี ๆ ด้วยหน่อย แล้วก็ยิ้มหวาน ๆ เท่านั้นเอง
          ทีโมนเปิดประตูกระจกเข้ามาในออฟฟิศ เขามองไปที่เคาน์เตอร์ตรงที่พนักงานต้อนรับประจำออฟฟิศนั่งประจำก่อนอื่น แต่ไม่เห็นใคร มีแต่เสียงเครื่องทำกาแฟดังมาจากในครัว ออกัสคงอยู่ในนั้น ไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาค่อยออกมาทักทายก็ได้ ชายหนุ่มคิดขณะที่เดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเองที่อยู่ติดกับห้องครัว เป็นห้องทำงานห้องแรกทางฝั่งซ้าย
          ห้องทำงานของเขาใหญ่เป็นอันดับที่สองรองลงมาจากห้องทำงานของผู้อำนวยการ โต๊ะทำงานตัวใหญ่วางอยู่กลางห้อง ด้านซ้ายมือเป็นเคาน์เตอร์อยู่ใต้หน้าต่าง ที่ผนังติดภาพทิวทัศน์สวย ๆ ของประเทศเยอรมนีและปฏิทินแผ่นใหญ่
          บนโต๊ะทำงานมีถาดสำหรับใส่เอกสารเข้าและออก ในถาดเอกสารเข้ามีนิตยสารเยอรมันสองสามฉบับพร้อมกับจดหมายจ่าหน้าซองถึงเขาอีกปึกหนึ่ง ชายหนุ่มเหลือบมองนิดหนึ่งก่อนจะโยนนิตยสารกับจดหมายทั้งปึกไปไว้บนเคาน์เตอร์ใต้หน้าต่างอย่างไม่ใส่ใจนัก จากนั้นโยนกระเป๋าเอกสารที่หิ้วมาวางทับลงไปด้านบน แล้วเดินออกจากห้อง
          “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณกัส” ชายหนุ่มทักทายพร้อมกับยิ้มหวานให้โอเปอเรเตอร์หนุ่มของออฟฟิศ คนที่เขาหมายตาเอาไว้
          “อรุณสวัสดิ์ครับ” ออกัสทักตอบพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน
          ทีโมนไม่สนใจว่าจะเป็นแค่ยิ้มตามมารยาท ชายหนุ่มไม่สนใจด้วยว่าออกัสจะขยับตัวออกห่างเมื่อเขาพยายามจะโน้มตัวเข้าไปหา เขามั่นใจว่าด้วยหน้าตาและเสน่ห์ของเขาจะทำให้ออกัสไปไหนไม่รอดในที่สุด
          “เอ คุณเปลี่ยนน้ำหอมใหม่รึเปล่า กลิ่นนี้ผมไม่คุ้นเลย”
          “ครับ เพิ่งซื้อมาใหม่” ออกัสตอบสั้น ๆ
          “กลิ่นหอมจัง” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับทำตาวิบวับ แต่ออกัสก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าชมเชย โอเปอเรเตอร์หนุ่มหาทางออกให้ตัวเองด้วยการบอกเขาว่า
          “เมื่อกี้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ถามหาคุณแน่ะครับ บอกว่าถ้ามาแล้วให้รีบไปหาที่ห้องด้วย”
          ทีโมนยอมรามือจากออกัส เขาเข้าไปในครัว ชงกาแฟให้ตัวเองหนึ่งถ้วย แล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง ชายหนุ่มดื่มกาแฟรวดเดียวครึ่งถ้วย ก่อนจะวางถ้วยกาแฟรวมไว้กับถ้วยใบเก่าอีกใบสองใบที่ตกค้างมาตั้งแต่เมื่อวาน ชายหนุ่มคิดว่าพัดชาจะเป็นคนมาเก็บถ้วยกาแฟพวกนี้ออกไป แต่เมื่อแม่บ้านประจำออฟฟิศไม่ได้มาเก็บอย่างที่คิด ตัวเขาก็ขี้เกียจจะเอาไปไว้ในครัวเอง มันก็เลยยังค้างอยู่บนโต๊ะ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร คิดว่าค่อยเรียกพัดชามาเก็บก็ได้ ถ้าเขาสั่ง ใครก็ไม่กล้าขัดอยู่แล้ว
          ชายหนุ่มหยิบกระดานรองเขียนที่มีกระดาษเปล่าปึกบาง ๆ หนีบเอาไว้พร้อมกับปากกา แล้วเดินไปที่ห้องของด็อกเตอร์แฮร์มันน์
          ทุกเช้า ชายหนุ่มจะต้องเข้าไปรับงานประจำวันจากผู้อำนวยการ อีเมลต่าง ๆ ที่เข้ามาจะถูกเปิดอ่านและใส่สัญลักษณ์สีของผู้รับผิดชอบกำกับไว้ ด็อกเตอร์แฮร์มันน์เป็นคนกำหนดตัวผู้รับผิดชอบและอธิบายงานแต่ละเคส จากนั้นเขาก็จะต้องเป็นคนตามงานและคอยรายงานความคืบหน้าของงานที่เริ่มทำไปแล้ว
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์เป็นคนพูดมาก บางทีก็พูดวกไปวนมา ชายหนุ่มก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง พร้อมกับเออออตามไปพอเป็นพิธี และก็แทบจะถอนหายใจเฮือกออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อจบการรับงานประจำวันลงได้
          ออกจากห้องของผู้อำนวยการ ชายหนุ่มก็ถูกคาริน่าเรียกไว้ สาวใหญ่ฝ่ายบัญชีประจำออฟฟิศส่งกล่องไวน์ให้เขา ของกำนัลเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้เขาได้จากหล่อนเป็นประจำ ไม่นับรวมพวกขนมนมเนยที่สาวใหญ่คนนี้มีน้ำใจแบ่งปันมาให้ แต่เขาก็รู้เหมือนกันว่าน้ำใจอันนี้ต้องมีค่าตอบแทน
          “ชอบรึเปล่า” หล่อนถาม
          “ชอบมากครับ ขอบคุณมากเลย ท่าทางน่าจะอร่อยนะนี่ คุณนี่รู้ใจผมเสียจริง”
          คาริน่าจะพอใจเวลามีคนพูดหวาน ๆ ด้วย และน้ำเสียงของเขามันก็อ่อน ๆ จนฟังคล้ายจะออดอ้อนอยู่แล้วด้วย ทั้งสาวและไม่สาว รวมทั้งหนุ่ม ๆ บางประเภทจึงติดอกติดใจเขากันทั้งนั้น คาริน่าที่เป็นคนแข็งกระด้างและมีท่าทีไม่สนใจเพศตรงข้ามก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
          น้ำเสียงที่หล่อนใช้พูดกับเขาจึงไม่กระด้างเหมือนที่พูดกับคนอื่น ๆ
          “ค่ำนี้มีโปรโมชั่นค็อกเทลที่โรงแรม สนใจจะไปด้วยกันไหม ความจริงค็อกเทลที่นี่ก็งั้น ๆ แหละถึงต้องทำโปรโมชั่น อย่างโมฮิโต้ก็เปรี้ยวไปหน่อย บลัดดี้แมรี่นี่กลิ่นน้ำมะเขือเทศค่อนข้างแรง จะมีก็พวกยินโทนิคที่ใช้ได้ แต่สถานที่ดีนะ บรรยากาศดี เหมาะสำหรับไปดื่มหลังเลิกงาน ไปไหม”
          คำชวนของคาริน่าเปิดเผยเจตนาอย่างชัดเจน แต่ไม่ทำให้เขามีอารมณ์คล้อยตามได้เลย หญิงสาวเป็นคนเรื่องมากและช่างติ หล่อนติได้ทุกเรื่อง วิพากษ์วิจารณ์หาข้อตำหนิได้ทุกอย่าง ยังไม่นับเรื่องที่หล่อนห่างไกลจากสเป็คของเขาแบบสุดกู่ คาริน่าไม่ใช่คนสวย แถมแก่ ความจริงเรื่องอายุไม่ใช่ประเด็นหลัก ถ้าอายุเยอะหน่อย แต่สวยเหมือนญาดา เขาก็ยังโอเค แต่อายุเยอะและยังสภาพเป็นป้าแบบคาริน่า เขากระเดือกไม่ลงเอาจริง ๆ
          “เสียดายจัง ผมบังเอิญนัดเทรนเนอร์ที่ฟิตเนสเอาไว้แล้วด้วยสิ แคนเซิลไม่ได้ เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะ”
          ทีโมนปฏิเสธ แต่เขาก็ยังให้ความหวังด้วยการเอื้อมมือไปบีบไหล่หญิงสาวเบา ๆ พร้อมกับยิ้มหวานให้เพื่อเป็นการปลอบใจ ถึงเขาไม่ต้องการจะคั่วกับคาริน่า แต่เขาก็ไม่คิดจะตัดรอน คาริน่าเป็นแบ็กอัพที่ดีให้เขาในออฟฟิศตราบเท่าที่หล่อนคิดว่ายังมีความหวังในตัวเขา
          กลับเข้ามาในห้องทำงานของตัวเองอีกครั้ง กาแฟที่เหลือในถ้วยหายร้อนแล้ว แต่ไม่มีปัญหาสำหรับคนติดกาแฟอย่างเขา ชายหนุ่มดื่มกาแฟที่เหลือจนหมด แล้วเริ่มต้นทำงานของตัวเอง หน้าที่หลักของชายหนุ่มคือการติดต่อพูดคุยกับลูกค้า พนักงานฝ่ายการตลาดจะเป็นคนหาข้อมูลที่ลูกค้าต้องการและส่งมาให้เขาส่งต่อให้ลูกค้าอีกทีหนึ่ง งานของเขาไม่ยุ่ง ถ้าไม่มีเคสมากนัก แค่คอยดูภาพรวมของงานทั้งหมด ทำให้เขามีเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีก
          อย่างอื่นที่ว่าก็คือ “แช็ต”
          ชายหนุ่มใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คไม่น้อยไปกว่าคนอื่น โปรแกรมแช็ตที่คนนิยมกันเขาก็ใช้แทบทุกอัน เอาไว้ส่งข้อความคุยกับคนที่เขารู้จักจากเว็บไซต์หาคู่หรือคนที่เขาจีบได้จากสถานที่เที่ยวต่าง ๆ นัดเจอ นัดเที่ยว หรือกระทั่งไปนอนด้วยกัน ถ้าคุยกันถูกคอ ไม่จำกัดด้วยว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ขอให้ถูกใจก็พอแล้ว
          ทีโมนไม่เคยขาดคู่ควง แต่เขาไม่ได้จริงจังกับใครแม้แต่คนเดียว ชายหนุ่มทนไม่ได้หรอกที่จะต้องถูกผูกติดอยู่กับคนแค่คนเดียว เขาชอบที่จะเปลี่ยนรสชาติไปเรื่อย ๆ มากกว่า ชายหนุ่มจึงสนุกสนานกับการหว่านเสน่ห์และจีบคนนั้นคนนี้ไปทั่ว
          วันนี้ชายหนุ่มก็ส่งข้อความคุยกับคนอื่นตามปกติและมีการนัดหมายไปเที่ยวในเวลากลางคืน คาริน่าแนะนำโปรโมชั่นค็อกเทลที่โรงแรมให้เขาเมื่อตอนสาย ถึงเขาจะปฏิเสธไม่ไปกับหล่อน แต่โปรโมชั่นนี้ก็น่าสนใจ ชายหนุ่มจึงคิดว่าจะชวนคนอื่นไปด้วยกัน
          ระหว่างที่เขาแช็ต อีเมลเรื่องงานก็ยังมีทยอยเข้ามาด้วย ทีโมนจึงทำสลับกันไปทั้งสองอย่าง ชายหนุ่มอ่านอีเมลที่พนักงานเขียนและนำมาใส่ไว้ในโฟลเดอร์เตรียมส่งออกเพื่อรอให้เขาตรวจ เขาก็อ่านแค่ให้พอผ่านตา แล้วใส่สัญลักษณ์สีเขียวให้ส่งออกได้ แต่ถ้าทำแค่นั้นมันก็อาจจะดูไม่ดี ดังนั้นเขาจึงต้องแสร้งทำเป็นตั้งใจทำงานบ้าง
          ทีโมนกดโทรศัพท์สายในไปที่ห้องของข้าวโอ๊ต
          “คุณโอ๊ต มาพบผมที่ห้องด้วย”
          เมื่อคนที่เขาเรียกพบมาหาเร็วทันใจ ชายหนุ่มก็ชี้ไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขา
          “นั่งสิ คุณโอ๊ต”
          ข้าวโอ๊ตนั่งลงตามที่เขาบอก แม้ว่าท่าทางจะดูเชื่อฟังและไม่มีปากเสียง แต่เขากับผู้ชายคนนี้นับว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมา น่าจะเรียกได้ว่าไม่ถูกชะตากันนั่นแหละ ข้าวโอ๊ตไม่ใช่สเป็คของเขา แถมยังชอบทำหน้าหงิกทำให้ไม่เจริญหูเจริญตาเอาเสียเลย ชายหนุ่มจึงไม่คิดจะหว่านเสน่ห์ใส่ข้าวโอ๊ตเหมือนที่ทำกับคนอื่น แต่จะทำตัวเป็นนายอย่างเต็มที่
           ทีโมนสั่งว่า
           “อีเมลที่คุณส่งต่อไปให้ออฟฟิศสาขาของเราที่เวียดนาม ผมต้องการให้คุณเขียนรายละเอียดงานลงในอีเมลด้วย ไม่ใช่แค่ส่งเฉย ๆ เข้าใจไหม”
           ข้าวโอ๊ตมีปฏิกิริยาต่อคำสั่งของเขาทันที เมื่อเขาพยายามจะอธิบาย ชายหนุ่มก็โต้อย่างไม่ยอมแพ้
           “คุณจะให้ผมเขียนอะไรซ้ำ ๆ ทำไมในเมื่อรายละเอียดพวกนั้นก็อยู่ในอีเมลของลูกค้าที่ต้องส่งต่อไปให้พวกเขาอยู่แล้ว พนักงานประจำสาขาทั้งหมดเข้าใจทั้งภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีอยู่แล้วไม่ใช่รึครับ เขาอ่านอีเมลเอาเองได้ เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเขียนอะไรอย่างนั้นเลยสักนิด”
          ทีโมนชะงักเพราะไม่ได้คิดถึงจุดนี้และไม่คิดว่าข้าวโอ๊ตจะโต้กลับแบบนี้ด้วย แต่จะให้ยอมรับว่าตัวเองคิดผิด ชายหนุ่มก็ไม่อยากทำอย่างนั้น เขาจึงต้องยืนยันให้ข้าวโอ๊ตทำตามคำสั่งของเขา
          “ไม่รู้ล่ะ คุณเขียนตามที่ผมบอกก็แล้วกัน แค่นี้แหละ”
          ข้าวโอ๊ตไม่รับคำ แต่ลุกเดินออกไปจากห้องเขาเงียบ ๆ ชายหนุ่มก็ไม่สนใจ เพราะเขาก็ต้องการแค่สั่งอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ให้คนอื่นเห็นว่าเขาทำงานแค่นั้นแหละ แต่ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร เขาไม่ใส่ใจนัก
          อีเมลเตรียมส่งออกมีมาอีกหลายฉบับ แต่หลังจากที่เขาแสดงท่าทางว่าทำงานไปแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่มีอารมณ์จะอ่านเนื้อหาในอีเมลอย่างละเอียด บางฉบับเขาก็ขี้เกียจจะอ่านเสียด้วยซ้ำ แต่กดสัญญาณสีเขียวอนุญาตให้ส่งออกได้ไปเลย ก็นี่มันใกล้เที่ยงแล้ว อีกเดี๋ยวก็ได้พัก จะทำงานไปทำไม นั่งคิดว่าจะรับประทานอาหารอะไรเป็นอาหารกลางวันวันนี้ดีกว่า ดังนั้นเมื่อพัดชาเข้ามาถามถึงอาหารกลางวัน ชายหนุ่มก็สั่งได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลา
          หลังจากเขียนรายการอาหารที่เขาสั่ง พัดชาก็ถามเขาอีกว่า
          “คุณทีโมนชอบน้ำผลไม้ปั่นไหมคะ”
          “ชอบครับ”
          “ชั้นล่างของตึกเรามีร้านมาเปิดใหม่นะคะ มีทั้งน้ำปั่นทั้งชานมไข่มุก อร่อยมากเลยค่ะ อย่าลืมไปลองนะคะ”
          “ขอบคุณมากครับ ผมจะลองไปซื้อมาชิมดู”
          ชายหนุ่มตอบไปตามมารยาทอย่างไม่ค่อยสนใจนัก และก่อนที่แม่บ้านประจำออฟฟิศจะออกไปจากห้อง เขาก็บอกให้หล่อนเก็บถ้วยกาแฟและจานชามที่เขากินเสร็จแล้วและทิ้งเอาไว้ในห้องออกไปด้วย
          พัดชามองถ้วยกาแฟหลายใบที่วางอยู่บนโต๊ะรก ๆ กับจานชามที่กองสุมบนเคาน์เตอร์ใต้หน้าต่างด้วยสายตาที่ไม่ค่อยชอบใจนัก แต่เมื่อเขาสั่ง หล่อนก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องทำตาม ทีโมนปล่อยให้แม่บ้านประจำออฟฟิศจัดการเอาถาดจากครัวมาเก็บถ้วยกาแฟและจานชามไป ตัวเขาเองเดินออกไปเข้าห้องน้ำด้านนอกออฟฟิศอย่างสบายใจ
         

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
          ในตอนกลางวัน ทีโมนรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์ คาริน่า และนัตโตะ จริง ๆ เขาก็เริ่มเบื่อการรับประทานอาหารในออฟฟิศแล้วเพราะต้องนั่งกับคนที่ไม่ค่อยอยากจะคุยด้วยเท่าไร แต่ก็เลี่ยงไม่ได้เพราะถึงจะเป็นเวลาพัก ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ก็ยังคุยเรื่องงาน และถ้าเขาไม่อยู่ฟัง มันก็จะดูไม่ดี
          วันนี้ผู้อำนวยการก็คุยเรื่องงานอีก ทำให้เขาได้ทราบว่าบริษัทจะเป็นตัวกลางจัดงานแนะนำผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้า และเพราะผลิตภัณฑ์อยู่ในสายงานที่ญาดารับผิดชอบ ด็อกเตอร์แฮร์มันน์จึงจะให้เขาดูแลงานนี้ร่วมกันกับหล่อน
          ทีโมนรีบตกลงทันทีด้วยความพอใจ
          “ด้วยความยินดีครับผม เดี๋ยวผมจะคุยกับคุณหญ้าบ่ายนี้เลย”
          จากนั้นเขาก็ยังได้ทราบว่าจะมีนักศึกษาฝึกงานคนใหม่มาทำงาน ชายหนุ่มรีบถามทันทีด้วยความกระตือรือร้นว่า
          “คราวนี้เป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย”
          “ผู้ชาย”
          คำตอบสั้น ๆ จากคาริน่าไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังแต่อย่างใด เพราะถ้าอีกฝ่ายหน้าตาดีถูกใจ เขาก็อาจจะลองทาบดูสักครั้ง ไหน ๆ ก็ทำได้ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชายอยู่แล้ว
          ชายหนุ่มอาจจะแสดงอะไร ๆ ออกมามากเกินไปหน่อยจึงโดนคาริน่าเหน็บแนมเอาหลังจากที่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ลุกออกจากโต๊ะไปแล้ว และยังทิ้งท้ายไว้ด้วยคำเตือนว่า
          “อย่าให้มันออกนอกหน้านัก ราล์ฟไม่ชอบเรื่องชู้สาวในออฟฟิศ คุณก็รู้ อย่างเมื่อกี้น่ะ ตอนที่เขาบอกให้คุณทำงานกับคุณหญ้า คุณก็ดี๊ด๊าเกินไปนะ คราวหลังอย่าทำอีก ระวังบ้าง”
          “ผมก็แค่ล้อเล่นเอง ไม่ได้จริงจังสักหน่อย ราล์ฟเขาไม่สนใจหรอกน่า”
          ทีโมนโต้อย่างไม่กลัวเกรง คาริน่าเตือนเพราะไม่ชอบที่เขาสนใจคนอื่นต่างหาก ผู้หญิงก็มักจะเป็นแบบนี้แหละ ทั้งขี้หึงขี้อิจฉา ไม่ว่าภายนอกจะวางท่าเข้มอย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มลุกขึ้นจากโต๊ะเพราะไม่อยากจะฟังคาริน่าอีก
          พนักงานคนอื่น ๆ อยู่ในห้องครัวกันเกือบครบทุกคนตอนที่เขาเอาจานอาหารเข้าไปเก็บ จะขาดก็แต่ข้าวโอ๊ตที่ออกไปก่อน เมื่อเห็นเขากับคาริน่า ทุกคนก็เงียบเสียงที่กำลังคุยกันและทำท่าจะเดินออกไปจากครัว ทีโมนรีบรั้งคนที่เขาหมายตาไว้ทันที
          “บ่ายนี้มาที่ห้องผมด้วยนะครับคุณหญ้า มีงานใหม่จะคุยด้วย” เขาจับไหล่ญาดาไว้
          ชายหนุ่มเห็นคาริน่าชำเลืองมองมาด้วยสายตาที่ไม่พอใจ ส่วนญาดารีบเบี่ยงตัวออกห่างจากเขาในทันทีและเดินออกไปจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว ทีโมนรู้ดีว่าถ้าอยู่ในนี้ต่อ เขาต้องโดนคาริน่าดุเอาแน่จึงรีบชิ่งตามญาดาออกไปด้วยและกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง ชายหนุ่มแสร้งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทำเป็นคุยเรื่องงาน ก่อนจะลดโทรศัพท์ในมือลง เมื่อเห็นคาริน่าเดินผ่านห้องทำงานของเขาไป
          พักกลางวันเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง แต่ทั้งในคอมพิวเตอร์และในโทรศัพท์มือถือมีข้อความแช็ตส่งเข้ามาเต็มไปหมดจนไล่อ่านแทบไม่ทัน ทีโมนนั่งอ่านแช็ตสลับกับทำงานเหมือนที่ทำในช่วงเช้า ชายหนุ่มเพลินอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตู
          ทีโมนหันไปมองด้วยความไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ แต่ก็รีบปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าคนที่มาเคาะประตูห้องของเขาคือญาดา
          “เข้ามาสิครับคุณหญ้า เชิญเลย”
          สาวใหญ่ลูกจีนผู้ที่อาวุโสที่สุดในหมู่พนักงานคนไทยเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบ ๆ สีหน้าของหล่อนเรียบเฉยจนติดจะเป็นบึ้งตึง
          “คุณหญ้าเห็นอีเมลจากบริษัทเลมอนเซคิวริตี้แล้วใช่ไหม ด็อกเตอร์แฮร์มันน์สั่งให้เรารับผิดชอบงานนี้ด้วยกัน” ทีโมนพูดพลางพลิกหาเอกสารที่เขาต้องการจากบรรดาเอกสารที่กองเกลื่อนอยู่บนโต๊ะทำงาน เขาสั่งพิมพ์อีเมลฉบับนี้ออกมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเอาไปวางไว้ที่ไหน ชายหนุ่มมองไปที่เอกสารกองที่มีถ้วยกาแฟถ้วยใหม่วางทับอยู่
          “อยู่นี่เอง”
          ชายหนุ่มดึงเอกสารจากกองโดยที่ลืมยกถ้วยกาแฟออกก่อนทำให้ถ้วยเกือบล้ม โชคยังดีที่เขาจับเอาไว้ทัน แต่กาแฟในถ้วยก็กระฉอกออกมาบางส่วนทำให้เอกสารเปียกเปื้อน ทีโมนรีบดึงทิชชู่จากกล่องมาซับ แต่ก็ยังมีรอยกาแฟสีคล้ำเหลือติดอยู่บนกระดาษ
          “ขอโทษครับ นี่อีเมลของบริษัท”
          ทีโมนพูดพร้อมกับยื่นเอกสารให้
          “บริษัทต้องการขายของให้หน่วยงานราชการ เราคงต้องจัดงานและเชิญหน่วยงานที่น่าจะสนใจระบบรักษาความปลอดภัยมาร่วมงาน คุณลองไปคิดดูนะครับว่าจะเชิญหน่วยงานไหนบ้าง แล้วมาบอกผม”
          “จัดงานให้ก็ได้อยู่หรอกค่ะ แต่สินค้าแบบนี้ขายยาก หน่วยงานเขาก็มียี่ห้อประจำกันอยู่แล้ว จะมีใครสนใจมารึเปล่าก็ไม่รู้”
          “แต่คุณก็รู้จักคนเยอะในวงการพวกทหาร ตำรวจนี่นา ขอให้เขามาร่วมงานหน่อยคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงใช่ไหม” ทีโมนลุกจากเก้าอี้เดินอ้อมมายืนพิงโต๊ะทำงานข้างเก้าอี้ที่ญาดานั่งอยู่ “บริษัทอยากแสดงสินค้า เราก็จัดงานให้ตามที่ลูกค้าต้องการ แต่จะขายได้หรือไม่ได้มันก็ไม่เกี่ยวกับเราสักหน่อย คุณไม่ต้องกังวลหรอก”
          “ฉันจะลองโทรศัพท์ไปคุยดูก่อนก็แล้วกันค่ะ” ญาดาสรุป เตรียมจะลุกจากเก้าอี้ แต่มือของทีโมนเอื้อมไปจับที่พนักเก้าอี้ก่อนทำให้หญิงสาวหยุดชะงัก
          “ลูกค้าอยากจัดงานที่โรงแรม คุณเลือกที่เหมาะ ๆ มาสักสองสามที่นะ แล้วเราค่อยไปดูห้องด้วยกัน”
          สายตาของทีโมนเลื่อนจากใบหน้าที่แต่งไว้เข้มมาที่ลำคอขาวผ่องของญาดา นึกอยากจะใช้มือลูบไปตามแนวลำคอเรียวยาวนั้น แต่ตอนนี้เขาทำได้แค่กลืนน้ำลายลงคอเพื่อดับความอยากเท่านั้น
          ญาดาออกไปจากห้องทำงานของเขาแล้ว ทีโมนมองตามไปด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
          เสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้นมา ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู
          ‘คุยอะไรกับพี่หญ้าตั้งนาน’
          ชายหนุ่มยิ้มเหยียด คู่ควงคนนี้ของเขาขี้หึงขี้หวงจนออกนอกหน้า
          ‘เรื่องงานนั่นแหละ ไม่มีอะไรหรอกครับ’ เขาพิมพ์ข้อความตอบกลับไป และอีกฝ่ายก็พิมพ์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
          ‘ก็อย่าให้รู้แล้วกันว่าไปยุ่งกับพี่หญ้าหรือคนอื่น’
          ‘ผมมีคุณคนเดียว’
          ‘จำคำพูดตัวเองเอาไว้แล้วกัน ถ้าคุณมีคนอื่น ได้เห็นดีกันแน่’
          ทีโมนไม่ยี่หระกับข้อความที่แสดงอารมณ์ของคู่สนทนา ชายหนุ่มส่งข้อความหวาน ๆ ให้อีกสองสามประโยคพร้อมด้วยรูปริมฝีปากสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนการจูบ แค่นี้ก็ทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้นได้แล้ว
          ชายหนุ่มหยุดทำงานเมื่อใกล้ถึงเวลาเลิกงานในตอนห้าโมงครึ่ง เขาออกจากห้องไปชงกาแฟให้ตัวเองอีกถ้วย เห็นออกัสที่เคาน์เตอร์ด้านหน้านั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็อดที่จะเดินมาดูเพราะความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้
          “งานยุ่งเหรอครับคุณกัส ทำหน้ายุ่งเชียว” เขาทำท่าจะเอื้อมมือไปแตะรอยย่นที่หว่างคิ้วของอีกฝ่าย แต่ออกัสขยับตัวหนีเสียก่อน มือขยับเลื่อนหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้พ้นสายตาของเขา แต่ชายหนุ่มก็ตาไวพอที่จะเห็นว่าออกัสกำลังเปิดเว็บไซต์สำหรับช็อปปิ้งออนไลน์
          “ไม่ยุ่งครับ งานของผมเสร็จแล้ววันนี้” ออกัสตอบก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “พรุ่งนี้ผมหยุดนะครับ ถ้าคุณมีงานอะไรก็ให้ข้าวโอ๊ตเขาช่วยไปก่อนนะ”
          “หยุดไปเที่ยวกับแฟนรึเปล่า” ทีโมนแกล้งถาม
          “ทำธุระครับ” ออกัสตอบสั้น ๆ
          “เย็นนี้ว่างไหม ไปดื่มค็อกเทลกันสักแก้วก่อนกลับบ้านไหมครับ ผมเลี้ยงเอง” ทีโมนลองชวน แม้คำตอบที่ได้จะเป็นคำปฏิเสธเหมือนทุกครั้ง แต่เขาก็ไม่ถอดใจ
         “ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณอยากไปดื่มหลังเลิกงานเมื่อไหร่ก็บอกผมแล้วกัน”
         ชายหนุ่มทิ้งท้ายพร้อมกับใช้นิ้วชี้เคาะไปที่หลังมือของออกัส
         ห้าโมงครึ่ง พนักงานในออฟฟิศทยอยกันกลับ คนไทยเกาะกลุ่มไปด้วยกันทันทีที่ได้เวลาเลิกงาน ทีโมนค่อย ๆ เก็บของลงกระเป๋าอย่างไม่รีบร้อน งานที่ยังสะสางไม่เสร็จก็ปล่อยค้างไว้ก่อน เอกสารที่เกลื่อนกลาดอยู่บนโต๊ะก็ทิ้งเอาไว้แบบนั้น เขากะเวลาว่าพนักงานคนไทยที่ลงลิฟท์ไปก่อนแยกย้ายออกจากตึกหมดแล้ว ชายหนุ่มก็หิ้วกระเป๋าเดินไปลาด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับคาริน่าที่มักอยู่เป็นคนสุดท้ายของออฟฟิศ แล้วเปิดประตูออกไปยืนรอลิฟท์ด้านนอก
          ด้านล่างอาคารมีร้านค้าและมินิมาร์ทเปิดให้บริการแก่พนักงานของบริษัทที่เช่าพื้นที่ของอาคาร ติดกับร้านทำผมเคยมีร้านดอกไม้ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว กลายเป็นร้านกาแฟเล็ก ๆ แทน แม่บ้านพัดชาบอกเขาเมื่อกลางวันวันนี้ว่าร้านนี้มีน้ำผลไม้ปั่นขายด้วย
          ทีโมนเดินตรงไปที่ร้านกาแฟเปิดใหม่ แต่ไม่ใช่น้ำผลไม้ปั่นหรอกที่ดึงดูดใจเขา
          เจ้าของร้านสาวน้อยที่กำลังชงกาแฟอยู่นั่นต่างหากล่ะที่เขาสนใจ
          “รับอะไรดีคะ” เจ้าหล่อนเงยหน้าขึ้นมาถามเมื่อมีลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน
          “สตรอเบอรี่ปั่นแก้วหนึ่งครับ ใส่น้ำเชื่อมด้วยนะ ผมชอบอะไรหวาน ๆ หน่อย ขอบคุณมากครับ”
          เจอรอยยิ้มของเขาพร้อมกับน้ำเสียงนุ่มนวลเจือออดอ้อนเข้าไป สาวน้อยก็หน้าแดงก่ำ กุลีกุจอทำตามอย่างตั้งอกตั้งใจ
          แค่นี้ก็เรียบร้อย ไม่มีอะไรยากเลย
          ทีโมนนึกในใจด้วยความลำพอง
          ปีกสีดำเป็นพืดหนังขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็วจนเกิดลมแรง ร่างกายใหญ่โตที่หุ้มด้วยเกล็ดหนาพองออกเพราะอากาศที่สูดเข้าไป หนังตรงท้องที่แข็งเป็นปล้องเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 3 (31-12-2015)
« ตอบ #9 เมื่อ: 31-12-2015 03:59:59 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MiU

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 229
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 3 (31-12-2015)
«ตอบ #10 เมื่อ31-12-2015 07:30:42 »

ชอบภาษามากเลยค่ะ เหมือนอ่านนิยายแปลเลย  o13
น่าสงสารโอ๊ตจัง เหมือนอะไรมันรุมเร้าที่ตัวเองอยู่คนเดียว พูดแล้วนึกถึงชีวิตตอนทำงานบริษัท อารมณ์แบบนี้เลยค่ะ 5555  :z3:

รู้สึกแต่ละตอนมีปริศนาอะไรทิ้งท้ายตลอดเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ ติดตามอยู่ค่า  :L2:

ออฟไลน์ PFlove

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 873
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 3 (31-12-2015)
«ตอบ #11 เมื่อ31-12-2015 13:38:26 »

ภาษาเขียนลื้นไหลดีมากเลยค่ะนึกถึงภาพออกฟิตที่วุ่นวายมากสงสารโอ๊ตที่ต้องรับทุกอย่าง..OMG!!
รอตอนต่อไปนะค่ะ น่าสนุกค่ะ  o13 o13 o13 o13

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 3 (31-12-2015)
«ตอบ #12 เมื่อ31-12-2015 19:20:46 »

นึกว่านั่งอยู่ในออฟฟิตนั้นเลยที่เดียว บรรยากาศออฟฟิศเป็นแบบนั้นจริงๆ เหมือนย้อนอดีตสมัยเป็นพนักงานตอกบัตรเลย ทิ้งปริศนาปมไว้ให้เรามากมาย รออ่านกันต่อไป

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 4 (1-1-2016)
«ตอบ #13 เมื่อ01-01-2016 06:21:16 »

บทที่ 4
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ดราม่าตัวพ่อ ดราม่าได้ทุกสถานการณ์ เล่นใหญ่ขนาดนี้ จะเอาออสการ์ตัวเท่าบ้านเลยไหม
Like – Comment – Share

          นัตโตะไม่ชอบรูปร่างหน้าตาของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว
          ผู้ชายที่มองตอบเขามาจากในกระจกเป็นคนร่างอวบท้วม ถึงแม้ผิวจะขาว แต่ก็หน้าตาจืด ๆ เรียบ ๆ แถมยังใส่แว่นตาดูเหมือนเด็กเนิร์ด คงแก่เรียน และไม่มีอะไรสะดุดตาเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่น่าแปลกใจที่ใคร ๆ ก็มองข้ามเขา ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
          นัตโตะเดินออกมาจากลิฟท์กรุกระจกพร้อมกับพนักงานของบริษัทที่ตั้งอยู่ในชั้นเดียวกัน แต่แยกกันไปคนละทาง อีกฝ่ายเลี้ยวซ้าย ส่วนเขาเลี้ยวขวา
          “พี่พัด สวัสดีครับ”
          เขาทักแม่บ้านร่างอ้วนกลมประจำออฟฟิศที่กำลังจะกดรหัสเปิดประตูกระจก เมื่อเห็นเขา พัดชาก็ยิ้มให้จนตาหยี
          “สวัสดีค่าคุณนัต นั่นขนอะไรมาเยอะแยะเชียวคะ”
          สายตาของหล่อนสนใจถุงใบใหญ่ในมือของเขา
          “ขนมครับ คุณพ่อกลับมาจากมาเลเซีย ซื้อขนมมาให้เยอะแยะ ผมก็เลยแบ่งมาให้กินกันที่ออฟฟิศ” นัตโตะตอบ
          เมื่อเข้ามาในออฟฟิศ ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงคุยกันดังออกมาจากห้องครัวเล็ก ๆ ทันทีและจากเสียงดูเหมือนเพื่อนร่วมงานของเขาจะรวมตัวกันอยู่ในนั้นเกือบครบทุกคน นัตโตะเร่งฝีเท้าเล็กน้อยเพื่อเอากระเป๋าที่หิ้วมาทำงานเป็นประจำเข้าไปเก็บและเดินถือถุงกระดาษเข้าไปในครัว
          “สวัสดีครับทุกคน ขนมนี่กินได้เลยนะ”
          นัตโตะทักทายทุกคนด้วยเสียงสดใสพร้อมกับเอาขนมวางไว้ที่เคาน์เตอร์ครัว
          “น่ากินจังเลยนัต” มิคกี้พูด
          นัตโตะรู้สึกผิดหวังที่ทุกคนไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความมีน้ำใจของเขาเท่าที่เขาคาดหวังเอาไว้ ญาดากับข้าวโอ๊ตไม่พูดอะไรเลย ทำเหมือนมองไม่เห็น ส่วนมิคกี้ ถึงจะพูดชมแบบนั้น แต่สายตาของเพื่อนร่วมงานรุ่นเดียวกันที่เข้ามาทำงานในเวลาไล่เลี่ยกันก็ไม่ได้มองมาทางกล่องขนมของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
          ไม่มีใครแตะขนมของเขาระหว่างที่คุยกันอยู่ในครัว มีแต่พัดชาที่กะลิ้มกะเหลี่ยเข้ามาขออนุญาตเขาชิมขนม นัตโตะก็จำต้องให้ แล้วเขาก็ได้แม่บ้านประจำออฟฟิศนี่แหละเป็นเพื่อนคุย เพราะคนอื่น ๆ เอาแต่พูดคุยกันเอง ไม่มีใครสนใจจะคุยกับเขา
          วงสนทนาตอนเช้าเลิกเมื่อด็อกเตอร์แฮร์มันน์มาถึงที่ออฟฟิศ นัตโตะเดินตามทุกคนกลับเข้ามานั่งในห้องทำงานของตัวเอง ชายหนุ่มเปิดคอมพิวเตอร์ส่วนตัวและเรียกโปรแกรมเอาท์ลุคขึ้นมาตามที่เคยทำทุกวัน บนหน้าจอ เขาเห็นอีเมลทยอยถูกเปิดอ่านไปตามลำดับ ชายหนุ่มอ่านอีเมลเหล่านั้นไม่เข้าใจเพราะส่วนใหญ่เขียนเป็นภาษาเยอรมัน แต่ถ้าอยากจะรู้จริง ๆ เขาก็จะคัดลอกข้อความในอีเมลไปใส่ในโปรแกรมแปลภาษา ซึ่งมันก็พอจะตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของเขาได้บ้าง แม้ว่าภาษาที่แปลออกมาบางครั้งจะอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตาม
          สัญลักษณ์สีของเขาปรากฏขึ้นหลังอีเมลบางฉบับ แสดงว่าอีเมลฉบับนั้นเขาต้องเป็นคนรับผิดชอบ ถ้าลูกค้าขอข้อมูลที่ไม่ยากและไม่ต้องค้นคว้ามาก อย่างเช่น รายชื่อผู้ผลิตสินค้าบางชนิด ด็อกเตอร์แฮร์มันน์หรือไม่ก็ทีโมนจะเขียนสั่งเอาไว้ในอีเมลเลย แต่ถ้าฉบับไหนต้องการข้อมูลเชิงลึกหรือมีคำสั่งพิเศษ ในอีเมลฉบับนั้นจะเขียนคำสั่ง ‘see me’ ผู้รับผิดชอบอีเมลจะต้องไปหาด็อกเตอร์แฮร์มันน์หรือทีโมนเพื่อฟังคำอธิบายงาน
          แต่อีเมลบางฉบับ ถึงแม้ว่าจะไม่ยาก ก็ยังมีคำสั่ง see me และเจ้าของคำสั่งมักจะเป็นทีโมน
          รองผู้อำนวยการผู้หล่อเหลา สุภาพ ใส่คำสั่งนี้ลงในอีเมลที่มีสีของเขากำกับอยู่บ่อยมากทั้ง ๆ ที่เขียนคำสั่งลงไปในอีเมลก็ได้แท้ ๆ ชายหนุ่มไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาอธิบายนอกจากทีโมนอาจจะสนใจเขาจึงเอางานขึ้นมาบังหน้าเพื่อจะได้มีเหตุผลในการเรียกเขาไปหาที่ห้อง
          ถึงเขาหน้าตาไม่ดีเหมือนออกัสและมิคกี้ แต่เขาเป็นคนแสนดีและช่างเอาอกเอาใจขนาดนี้ มีหรือที่ทีโมนจะมองข้ามเขาไปได้
          จะมีก็แต่พวกขี้อิจฉาอย่างคนในออฟฟิศนี้เท่านั้นแหละที่เมินเขา คงจะเห็นว่าทีโมนสนใจเขามากกว่าล่ะสิถึงได้รวมหัวกันกีดกันเขาออกจากกลุ่ม
          นัตโตะเปิดอีเมลขึ้นมาอ่าน วันนี้ไม่มีคำสั่งเรียกให้ไปพบ มีแต่อีเมลงานธรรมดา เขารู้สึกผิดหวังนิดหน่อย
          งานที่เขาต้องรับผิดชอบเป็นงานเกี่ยวกับเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหลาย จำพวกอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องประดับ ปริมาณงานจะเยอะกว่างานด้านอุตสาหกรรมของมิคกี้ แต่ส่วนใหญ่งานจะไม่ยาก ตัวสินค้าไม่ซับซ้อนหรือเข้าใจยากเท่า
          ชายหนุ่มจัดการงานที่ได้รับมอบหมายด้วยความรวดเร็ว หลังจากส่งอีเมลที่เขียนเข้าโฟลเดอร์เตรียมส่งออกแล้ว เขาก็เปิดอ่านเว็บบอร์ดที่เขาติดตามอยู่ นัตโตะสร้างตัวตนในโลกอินเตอร์เน็ตจนเป็นที่รู้จัก เขายังมีแฟนเพจที่มีคนมากดถูกใจเป็นหมื่น ๆ คน
          นัตโตะวางตัวเป็นกูรูด้านแฟชั่น วิจารณ์ชุดที่ดาราและนักร้องทั้งไทยและต่างประเทศแต่งออกงานต่าง ๆ ด้วยสำนวนที่อ่านสนุกเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน แล้วเมื่อมีคนชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็ค่อย ๆ สร้างเรื่องของตัวเองขึ้นทีละนิด ตอนนี้แฟนเพจเชื่อว่าเขาคือผู้หญิงสวยที่ชื่นชอบการใส่เสื้อผ้าสวย ๆ เป็นคุณหนูมาจากครอบครัวที่ดีพร้อม ฐานะร่ำรวย และมีคนรักที่รักกันดูดดื่ม
          อินเตอร์เน็ตทำให้ชายหนุ่มเป็นในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็นได้ ทั้งยังมีคนให้ความสนใจเขาอย่างมากมาย ไม่ได้เป็นอากาศธาตุไร้คนสนใจอย่างที่เคยเป็น แต่บางครั้งเขาก็หมกมุ่นและ “อิน” กับเรื่องที่ตัวเองสร้างขึ้นมากเกินไปจนเผลอเอามาใช้ในชีวิตจริง
          ในออฟฟิศ ชายหนุ่มเล่นบทนางซินผู้น่าสงสารที่โดนคนโน้นคนนี้กีดกันกลั่นแกล้ง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าด็อกเตอร์แฮร์มันน์ ทีโมน และคาริน่า เขาจะแสดงท่าทีเหมือนกับถูกแม่เลี้ยงและพี่สาวใจร้ายโขกสับอยู่ตลอดเวลา
          นอกจากสร้างเรื่องให้ตัวเอง นัตโตะก็ยังสร้างเรื่องให้คนอื่นด้วยและเขาจำเป็นต้องมีข้อมูลเพื่อการนี้ ชายหนุ่มใช้พัดชา แม่บ้านประจำออฟฟิศเป็นตัวช่วยอันดับหนึ่ง รายนี้ช่างคุย ปากเบา แถมสอดรู้สอดเห็นไปเสียทุกเรื่องในออฟฟิศอยู่แล้ว ถ้ารู้จักหยอดถามก็ได้ข้อมูลที่น่าสนใจมาอย่างไม่ยากเย็นนัก แต่บางครั้งเขาก็ออกหาข้อมูลเอง
          นัตโตะมองไปที่ช่องหน้าต่างกระจกที่ติดอยู่ตรงผนังห้องด้านซ้ายมือ จากช่องนี้เขาสามารถเห็นความเคลื่อนไหวของมิคกี้ที่อยู่ห้องถัดไปได้และถ้าฝ่ายนั้นคุยโทรศัพท์เสียงดังเขาก็จะได้ยินด้วย แต่เพื่อนข้างห้องของเขามันแสบ หลังจากผ่านไปแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น ไอ้หมอนั่นก็เอาโปสเตอร์มาปิดทับ ทำให้เขามองไม่เห็นอีกแล้วว่ามิคกี้ทำอะไรอยู่ในห้องบ้าง แต่ถึงจะปิดกระจก ถ้าเขาอยากจะสอดส่องความเป็นไปของอีกฝ่าย เขาก็ทำได้ แค่เลือกจังหวะที่อีกฝ่ายคุยโทรศัพท์แล้วทำทีเป็นยืนรออยู่หน้าห้องโดยที่ไม่ทำให้เป้าหมายรู้ตัว ถ้าอีกฝ่ายเผลอพูดเสียงดังนิด เขาก็สามารถจับใจความได้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไรบ้าง
          แต่มิคกี้มันแสบอย่างที่ว่า ถึงวันนี้มันจะคุยโทรศัพท์อยู่ แต่มันก็พูดเสียงเบาอย่างเหลือเชื่อ ทำให้เขาไม่ได้ยินอะไรเลยแม้ว่าแทบจะยื่นศีรษะเข้าไปในห้องแล้วก็ตาม
          ข้างในห้องของมิคกี้เงียบ แต่ห้องอื่นไม่เงียบไปด้วย ชายหนุ่มได้ยินเสียงคาริน่าโวยวายอะไรสักอย่างเป็นภาษาเยอรมัน แล้วก็เงียบไป จากนั้นไม่นาน หญิงสาวก็เดินหน้าบึ้งออกมาจากห้องเข้าไปในห้องของข้าวโอ๊ตโดยมองไม่เห็นเขา ชายหนุ่มยืนอยู่ที่เดิม เงี่ยหูฟังเสียงทะเลาะกันของข้าวโอ๊ตกับคาริน่า ทั้งคู่ทะเลาะกันเป็นภาษาเยอรมัน แต่ข้าวโอ๊ตใช้ภาษาอังกฤษในบางประโยคทำให้เขาปะติดปะต่อเรื่องได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
          คาริน่าเดินออกมาจากห้องข้าวโอ๊ต นัตโตะหลบเข้าห้องตัวเองไม่ทัน ชายหนุ่มกลัวจะโดนถามว่ามายืนทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถว ๆ หน้าห้องของมิคกี้กับข้าวโอ๊ตที่อยู่เยื้องกัน เขาจึงตัดสินใจเคาะห้องของมิคกี้แล้วเดินเข้าไปเลยโดยไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต
          มิคกี้กดวางหูโทรศัพท์ทันทีพลางมองเขาด้วยความไม่ชอบใจ แต่พยายามจะเก็บความรู้สึกเอาไว้
          “มีอะไรเหรอนัต”
          “อยากถามเรื่องรองเท้าที่นายใส่มาเมื่อวันศุกร์ที่แล้วน่ะ สวยดี อยากรู้ยี่ห้อกับราคา เผื่อจะซื้อมาใช้บ้าง”
          นัตโตะคิดคำถามขึ้นมาเดี๋ยวนั้นที่ฟังดูเข้าท่าที่สุด มิคกี้ก็ไม่ได้สงสัยอะไร แต่คำตอบของเพื่อนร่วมงานนี่สิทำให้เขานึกเจ็บใจไม่น้อย
          “คู่นั้นเราซื้อมาจากอิตาลี รุ่นลิมิเต็ด ไม่มีขายที่นี่หรอก อย่าเสียเวลาไปหาเลย แต่ถ้านายชอบยี่ห้อนี้ก็ต้องดูเป็นรุ่นอื่นไปแทน ราคาคู่หนึ่งก็ตกสองสามหมื่นได้นะ จะซื้อเหรอ”
          ประโยคท้ายมีแววเยาะจนทำให้คนฟังต้องกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ อยู่ดีไม่ว่าดีก็ดันเอาตัวเองมาให้คนอื่นเขาดูถูกเอา แต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมแพ้หรอก
          “ก็ดู ๆ เอาไว้ ใกล้วันเกิดเราแล้ว พ่อเราถาม ๆ อยู่ว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด”
          “อ้อ จริงสินะ ใกล้ถึงวันเกิดนายแล้ว คุณพ่อนายนี่น่ารักจังนะ วันนั้นคงออกไปฉลองด้วยกันทั้งครอบครัวใช่ไหม แล้วแฟนนายไปด้วยรึเปล่า”
          “เรายังไม่ได้โทรไปถามเลย แต่ก็คงไปได้แหละ เพื่อเรา แฟนเราว่างตลอดอยู่แล้ว”
          “เหรอ ดีจัง ถ่ายรูปมาให้ดูมั่งนะ อยากเห็นหน้าคนรักแสนดีของนายจัง ยังไม่เคยเห็นเลย”
          นัตโตะเดินออกมาจากห้องของมิคกี้ด้วยความหงุดหงิด มิคกี้จอมแสบถามอยู่ได้เรื่องแฟน คงคิดว่าตัวเองเสน่ห์แรงมีคนมารุมจีบเยอะล่ะสิท่าถึงวางท่าข่มเขาอยู่ตลอด ชายหนุ่มไม่อยากรู้สึกน้อยหน้าจึงพูดออกไปว่าตัวเองมีแฟนแล้ว ทั้งที่ยังไม่มี แล้วก็ต้องคอยบ่ายเบี่ยงตลอดเมื่อมีใครถามถึงเรื่องนี้
          เอาเถอะ ไม่ได้อะไรจากทางมิคกี้  แต่เขาก็ยังได้รู้ว่าคาริน่ากับข้าวโอ๊ตทะเลาะกัน ก็นับว่าไม่เสียเที่ยวนัก
          “คุณนัต ตอนเที่ยงทานอะไรดีคะ”
          ตอนใกล้เที่ยง พัดชาเข้ามาถามเรื่องอาหารกลางวันเหมือนเคย ชายหนุ่มรับเมนูมาดูก่อนเลือกอาหารอย่างหนึ่ง ขณะที่แม่บ้านประจำออฟฟิศกำลังเขียนชื่ออาหารที่เขาสั่ง นัตโตะก็ชวนคุย
          “เมื่อกี้พี่พัดได้ยินคาริน่ากับพี่โอ๊ตทะเลาะกันรึเปล่าครับ น่ากลัวเนอะ เสียงดังเชียว”
          “ได้ยินสิคะ เสียงดังไปถึงในครัว” เข้าทางพัดชาพอดี เมื่อเขาเปิดเรื่อง หล่อนก็ “เม้าธ์” ต่อได้อย่างไม่ขัดเขิน
          “เมื่อตอนเช้าก็มีเรื่องนะคะ ตอนพี่เอาชาไปให้นาย พี่ได้ยินคุณคาริน่าพูดกับนายเรื่องอะไรไม่รู้ค่ะ มีชื่อคุณโอ๊ต แล้วคุณโอ๊ตก็วิ่งวุ่นเลย เห็นไหมคะ”
          “ผมก็เห็น พี่โอ๊ตวิ่งเข้าออกห้องนายกับห้องคาริน่า น่าสงสารจังเนอะ โดนตลอดเลย”
          ปากพูดเออออไปกับพัดชา แต่สมองของชายหนุ่มเก็บข้อมูลและประมวลผลอย่างรวดเร็ว
         

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 4 (1-1-2016)
«ตอบ #14 เมื่อ01-01-2016 06:23:51 »

          ตอนกลางวัน นัตโตะรับประทานอาหารกลางวันกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์ คาริน่าและทีโมน ชายหนุ่มเป็นคนไทยคนเดียวที่รับประทานอาหารร่วมกับฝรั่ง ส่วนคนอื่น ๆ รับประทานกันในครัว นัตโตะเคยอยากไปรับประทานกับพวกนั้นในครัวบ้างเหมือนกัน แต่ห้องครัวคับแคบเกินไปและเขาอยากพาตัวเองมาให้ผู้อำนวยการกับรองผู้อำนวยการเห็นหน้ามากกว่า
          ไม่รวมถึงข้อมูลข่าวสารมากมายที่เขาจะได้รู้ก่อนใคร ถึงแม้จะต้องฟังด็อกเตอร์แฮร์มันน์เล่าเรื่องเดิม ๆ หรือคาริน่าจิกกัดใครต่อใคร แต่เทียบกับสิ่งที่ได้มามันก็คุ้ม แถมทีโมนยังใส่ใจสนใจเขาอีก ถ้าเข้าไปรับประทานอาหารกลางวันในครัว เขาก็คงไม่ได้รับความสนใจแบบนี้
          นัตโตะพยายามผูกมิตรกับคนในโต๊ะอาหารอย่างเต็มที่ เขาถามคาริน่าว่า
          “สเต็กไก่น่ากินจัง คาริน่า ซื้อที่ไหนครับ”
          “เนื้อแห้งอย่างนี้น่ะเหรอน่ากิน เจ้านี้ยิ่งทำก็ยิ่งแย่ สเต็กปลาที่ฉันสั่งมาเมื่อวานดูดีกว่านี้อีก”
          น้ำเสียงและคำพูดที่คาริน่าใช้ตอบเขาแทบจะทำให้ชายหนุ่มสะอึก แต่มันก็ทำให้เขารู้ด้วยว่าคาริน่าอยู่ในภาวะที่อารมณ์ไม่ดีอย่างที่สุด และถ้าเขาสร้างเรื่องเติมเชื้อไฟนิด ๆ หน่อย ๆ ก็อาจจะมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นในออฟฟิศวันนี้ก็ได้
          ชายหนุ่มมองไปที่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับทีโมน สองคนนั้นกำลังคุยกันเรื่องงานเลยไม่ได้ใส่ใจว่าเขาจะโดนคาริน่าแกล้งฉีกหน้าเอา หากชายหนุ่มก็ต้องสวมหน้ากากของนางเอกที่โดนทำร้ายเอาไว้ต่อไป เผื่อว่าบางทีทีโมนอาจจะมองมา...
          โชคดูจะไม่เข้าข้างนัตโตะในวันนี้ ทีโมนยังคงคุยเรื่องงานกับผู้อำนวยการ ไม่ได้หันมาสนใจไถ่ถามเขาว่าเจ็บช้ำแค่ไหนที่เมื่อสักครู่โดนฤทธิ์ยายแม่มดคาริน่าเข้าไป แต่เขาก็ไม่ได้โชคร้ายไปเสียทั้งหมดหรอกเพราะ
ด็อกเตอร์แฮร์มันน์หันมาถามคาริน่าเรื่องนักศึกษาฝึกงานคนใหม่ ชายหนุ่มจึงได้ข้อมูลใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อง
          หลังจากที่ผู้อำนวยการลุกจากโต๊ะไปแล้ว นัตโตะหวังว่าทีโมนจะคุยกับเขาบ้าง แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อคาริน่าผูกขาดจองตัวทีโมนไว้คนเดียว ทั้งสองคนคุยกันเป็นภาษาเยอรมันโดยไม่สนใจเขาที่นั่งหัวโด่อยู่ด้วยเลยสักนิด ชายหนุ่มไม่โทษทีโมน เจ้าชายจะเป็นฝ่ายผิดได้อย่างไร คนที่ไร้มารยาทคือแม่มดใจร้ายอย่างคาริน่าต่างหากที่ไม่ยอมใช้ภาษาอังกฤษเพื่อให้เขาเข้าใจด้วย สุดท้ายเขาก็ต้องลุกออกจากโต๊ะเพราะทนเป็นส่วนเกินไม่ได้
          ชายหนุ่มเดินเข้าไปในครัวเพื่อเอาจานอาหารไปเก็บ คนในครัวกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน ชายหนุ่มมาทันได้ยินเสียงข้าวโอ๊ตแซวออกัสพอดี แต่เขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ถามคำถามขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจมาที่ตัวเอง
          “ใครจะมีกิ๊กเหรอครับ”
          เสียงคุยกันเงียบลงทันที และทุกคนก็พากันเมินเหมือนไม่ได้ยินคำถามของเขา แต่ชายหนุ่มก็ไม่คาดหวังคำตอบจากคำถามนี้อยู่แล้ว เพราะเขาแค่อยากบอกให้ทุกคนทราบว่าเขามีตัวตนอยู่ในครัวด้วยก็เท่านั้น ของจริงคือสิ่งที่เขากำลังจะบอกต่อไปนี้ต่างหากและทุกคนจะต้องสนใจ
          “ได้ยินว่าจะมีนักศึกษาฝึกงานคนใหม่มาทำงานแล้วนะครับ คาริน่าบอกเมื่อกี้นี้”
          ได้ผลจริง ๆ เพราะเมื่อพูดจบ มิคกี้ก็ถามทันทีว่า
          “จริงเหรอ ผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย”
          แม้แต่ข้าวโอ๊ตเองก็หันกลับมาคอยฟังด้วยความสนใจเช่นกัน ทั้งที่เมื่อกี้นี้ยังหันหน้าเข้าผนังทำเป็นเมินไม่เห็นหัวเขาอยู่เลย
          นัตโตะไม่ตอบคำถามในทันที แต่แสร้งขยับเนกไทถ่วงเวลาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนฟัง เรื่องสำคัญมันก็ต้องค่อย ๆ เผยออกมาช้า ๆ สิ
          “ผู้ชาย”
          คนในออฟฟิศรอคอยเด็กฝึกงานอยู่แทบทุกคน ส่วนใหญ่ลุ้นว่าจะทำงานดีไหมเพราะหากทำงานดี เท่ากับว่างานของทุกคนจะลดลง ไม่ต้องรำคาญด็อกเตอร์แฮร์มันน์เรียกพบด้วย เพราะผู้อำนวยการสูงวัยจะมัวแต่ยุ่งกับเด็กฝึกงานเพราะพูดภาษาเดียวกัน เรียกง่ายใช้คล่องไม่กล้าหือ แถมถ้าหน้าตาดีก็จะเป็นอาหารตาชิ้นสำคัญของออฟฟิศด้วย แต่ถ้าทำงานไม่ดีก็ตัวใครตัวมัน
          เรื่องเด็กฝึกงานเป็นประเด็นมากจนแม้แต่ญาดาก็ลืมระวังตัวและหลุดพูดอะไรต่อมิอะไรออกมาเยอะแยะ แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ฟังก็รู้ว่าหล่อนว่าใครและเขาก็ไม่พลาดที่จะเก็บไว้เป็นข้อมูล
          ทุกคนในครัวหยุดคุยกันและพากันเดินออกเมื่อเห็นทีโมนกับคาริน่าเข้ามา นัตโตะยังรีรอ เขาได้ยินทีโมนบอกให้ญาดาไปพบที่ห้อง ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันมากกว่านั้น ญาดาขยับตัวจะเดินออก ชายหนุ่มขวางทางออกอยู่จึงจำต้องออกจากห้องครัวมาด้วย
          นัตโตะกลับเข้าไปในห้องทำงาน อีเมลงานสำหรับตอนบ่ายรออยู่แล้ว แต่มันเป็นงานที่ไม่ต้องค้นคว้าอะไรมาก แค่ขอรายชื่อผู้ผลิตสินค้า เขาก็เปิดเอาจากไดเร็คทอรี่ให้เป็นอันจบ และเมื่อมีเวลาว่าง ชายหนุ่มก็อยากจะหาอะไรแก้เบื่อทำสักหน่อย
          ความจริงเขาอยากจะทำอะไรสักอย่างกับมิคกี้ แต่รายนั้นมันรอบจัด แถมงานก็แยกกันอย่างชัดเจน ต่างคนต่างทำ ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ไม่ค่อยมีช่องให้เขาเล่นสักเท่าไร ต่างจากข้าวโอ๊ต เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ที่เป็นคนเงียบ ๆ แต่ชอบทำหน้าหยิ่งและเมินใส่เขา ตอนนี้รุ่นพี่ก็กำลังมีประเด็น แค่รอการ “ชง” นิด ๆ หน่อย ๆ ก็พอ
          ชายหนุ่มเลือกงานขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เล็งจังหวะรอให้คาริน่าออกมาจากห้อง
          “คาริน่า มาพอดีเลย ดีใจจัง ผมหาเอกสารเก่าของบริษัทนี้ไม่เจอ คุณช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ”
          นัตโตะวิงวอน และคาริน่าก็ช่วยเขาหาเอกสารอย่างที่คาด เมื่อหญิงสาวหยิบแฟ้มมาให้ เขาก็ปฏิเสธว่ามันไม่ใช่ จากนั้นก็แกล้งถามว่า
          “มีแค่แฟ้มนี้แฟ้มเดียวเหรอครับ”
          เท่านั้นคาริน่าก็เดินไปตามแผนที่เขาวางเอาไว้ การเก็บเอกสารของบริษัทมันมีจุดที่สับสนอยู่ ข้าวโอ๊ตเคยบอกเขาแล้วและกำชับว่าหากมีปัญหาอะไรให้บอกชายหนุ่มก่อน เพราะถ้าเรื่องไปถึงคาริน่ามันก็จะออกมาเป็นอีกแบบหนึ่งที่ไม่ค่อยสวยเท่าไร
          สำหรับข้าวโอ๊ตนะ ไม่ใช่สำหรับเขา
          นัตโตะรับแฟ้มเอกสารใหม่จากคาริน่าพลางขอบคุณหญิงสาวด้วยถ้อยคำที่แสดงการยกย่องฝ่ายนั้นเพื่อให้คนฟังรู้สึกดีที่สุด ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยการเล่นงานข้าวโอ๊ตแบบเนียน ๆ 
          “โชคดีที่คุณมาพอดี ไม่งั้นผมก็คงหาเอกสารไม่เจอ เพราะไม่รู้ว่ามันแยกเก็บเป็นสองแฟ้มแบบนี้”
          คาริน่าที่มีปัญหากับข้าวโอ๊ตอยู่แล้วรับช่วงเล่นงานชายหนุ่มต่อในทันที หล่อนเดินเข้าไปจิกเรียกข้าวโอ๊ตมาจากในห้องและเทศนาเรื่องการเก็บเอกสารพร้อมกับสั่งให้แก้ไขแฟ้มที่ซ้ำทั้งหมด นัตโตะเห็นทุกอย่าง เขาเก็บสีหน้าพึงพอใจได้อย่างแนบเนียน และเมื่อต้องพูดกับข้าวโอ๊ต ชายหนุ่มก็แสดงสีหน้าจ๋อย ๆ ออกมา
          “ขอโทษนะครับพี่โอ๊ต ผมกำลังหาเอกสาร พอดีเจอคาริน่าก็เลยถาม ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นปัญหาจริง ๆ นะครับ ตอนนั้นคิดแค่เจอใครก็ลองถามดูเท่านั้น”
          ข้าวโอ๊ตต้องโกรธแน่นอนเพราะเสียงแข็งตอบเขาทันที
          “คราวหลังเรื่องหาเอกสารให้มาถามพี่ก่อน”
          นัตโตะแกล้งตีหน้าเศร้า ความจริงอยากจะบีบน้ำตาออกมาเสียด้วยซ้ำ จะได้ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์นางซินที่โดนกลั่นแกล้งของเขา แต่น่าเสียดายที่ไม่มีคนดูแล้ว คาริน่าก็ดันกลับเข้าห้องไปเสียก่อน แต่แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว นับว่าการสร้างเรื่องของเขาประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี
          ชายหนุ่มก็เลยอารมณ์ดีตลอดบ่าย แต่เมื่อเขากลับถึงบ้านในตอนเย็นวันนั้น อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนทันที
          แม่ของเขายืนอยู่กลางห้องรับแขก ไม่ทันรู้ตัวว่าลูกชายกลับมาถึงบ้านแล้ว
          “แต่พี่สัญญาแล้วนะคะว่าจะกลับมาหาน้องมาหาลูก”
          นัตโตะได้ยินแม่ของเขาพูดเสียงเครือใส่โทรศัพท์
          “พี่ขอค้างคืนอยู่กับทางนั้นมากกว่า น้องก็ไม่ว่า เข้าใจค่ะว่าทางนั้นมาก่อน แต่น้องก็เป็นเมียเหมือนกันนะคะ มีลูกชายด้วย ตานัตแกก็อยากเจอพ่อ อยากกินข้าวเย็นกับพ่อ แค่วันเดียวเอง พี่จะมาไม่ได้เชียวเหรอคะ”
          นัตโตะยืนฟังนิ่ง ๆ ถึงตอนนี้ แม่ของเขาเริ่มฟูมฟายน้ำตาแล้ว
          “ก็บอกทางนั้นไปสิคะว่ามีธุระที่ทำงานจะกลับดึกหน่อย แล้วมากินข้าวที่นี่ ถ้าพี่จะมาเสียอย่าง ใครจะห้ามได้ พี่สัญญาแล้วไงคะว่าจะดูแลน้องดูแลลูก นี่พี่กำลังผิดสัญญานะคะ”
          “แม่ครับ” ชายหนุ่มส่งเสียงเรียก
          “ตานัตมาแล้ว” แม่ของเขาปราดมาหาเขาทันที แล้วส่งโทรศัพท์ให้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าจะต้องทำอย่างไรโดยที่ไม่ต้องให้ใครบอก
          “พ่อครับ” ชายหนุ่มกรอกเสียงลงไป “มาหาแม่กับผมหน่อยเถอะครับ ระยะนี้แม่ไม่ค่อยสบาย ทานอะไรไม่ค่อยลง แต่พอมีพ่อมาทานข้าวด้วย แม่ก็จะทานข้าวได้เยอะ ผมเป็นห่วงแม่ พ่อมาหาแม่นะครับ”
          ปลายสายมีท่าทางลังเล นัตโตะเหลือบไปสบตากับแม่ของเขา ฝ่ายหลังรีบพยักหน้าทันที
          “แม่ครับ เป็นอะไร หน้ามืดเหรอ เดี๋ยวนะครับพ่อ”
          นัตโตะแกล้งทำเสียงตกใจ และเว้นระยะไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดโทรศัพท์อีกครั้ง
          “ขอโทษครับพ่อ ผมประคองแม่นั่งพักน่ะครับ แม่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย ไม่เป็นไรแล้วครับ ท่าทางแม่จะเหนื่อย ก็ทำอาหารรอพ่อตลอดบ่ายเลยนี่ครับ แต่ถ้าพ่อไม่มาก็ไม่เป็นไรครับ พวกเราเข้าใจ”
          นัตโตะฟังคำตอบจากปลายสาย ก่อนจะอมยิ้มด้วยความพอใจ
          “พ่อจะมาใช่ไหมครับ ตกลงครับ เดี๋ยวผมบอกแม่ให้”
          ชายหนุ่มกดปิดโทรศัพท์แล้วส่งคืนแม่ของเขาที่หน้าบาน ไม่มีท่าทางไม่สบายแต่อย่างใด แถมน้ำตาที่ไหลเป็นทางเมื่อสักครู่นี้ยังแห้งหายไปหมด
          “พ่อบอกว่าอีกสักชั่วโมงหนึ่งคงมาถึงครับ”
          “มันต้องอย่างนี้สิ นัตลูกแม่ ไม่เสียแรงที่แม่พร่ำสอนแกมา”
          แค่ตอนนี้เท่านั้นที่เขามีตัวตนในสายตาของแม่
          ตั้งแต่เขาจำความได้ แม่อยู่ในสภาพนี้มาตลอด แม่สนใจแต่ว่าจะทำอย่างไรให้พ่อกลับมาบ้าน แม่ต้องสร้างเรื่องสารพัด แล้วเมื่อทำเองไม่สำเร็จ แม่ก็จะใช้เขาทำแทน
          นัตโตะรักแม่ และถ้านั่นคือสิ่งที่แม่ต้องการ เขาก็จะทำ
          หัวใหญ่ส่ายไปมา ก่อนปากจะอ้าเพื่อกรีดร้องเสียงโหยหวน ร่างกายใหญ่โตสั่นระริก หางที่ด้านปลายมีเดือยแหลมคมกวัดแกว่งฉวัดเฉวียน บาดโพรงผนังนุ่ม ๆ จนเป็นรอยเหวอะหวะ

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 4 (1-1-2016)
«ตอบ #15 เมื่อ01-01-2016 10:14:47 »

หือออ จินตนาการในจิต

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 4 (1-1-2016)
«ตอบ #16 เมื่อ01-01-2016 12:14:23 »

สำนวน และการเล่าเรื่อง สมราคา กับชื่อเรื่องที่เปิดหัวมาเลยว่าเป็นฆาตรกรรมมาก.....พีคมากคับ สุดยอดเลย

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 4 (1-1-2016)
«ตอบ #17 เมื่อ01-01-2016 15:18:35 »

สงสัยปีศาจจะร่ายมนตร์ใส่  รู้สึกอยากอ่านต่อ

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 4 (1-1-2016)
«ตอบ #18 เมื่อ01-01-2016 16:48:13 »

น่าติดตามมาก เป็นเรื่องที่แสดงถึงพฤติกรรมคนมาก สุดยอดเลยจ้า

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 4 (1-1-2016)
«ตอบ #19 เมื่อ01-01-2016 20:13:10 »

เป็นเรื่องที่ไม่อยากเทใจให้ใครมาก...กลัวเงิบ555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 4 (1-1-2016)
« ตอบ #19 เมื่อ: 01-01-2016 20:13:10 »





ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 5 (2-1-2016)
«ตอบ #20 เมื่อ02-01-2016 05:17:59 »

บทที่ 5
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ตีสองหน้า ร้ายเงียบ น่ากลัวยิ่งกว่าเก้งเล่นใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่
Like – Comment – Share

          มิคกี้ขับรถมาทำงานเองทุกวัน แม้ว่าครอบครัวของเขาจะจ้างคนขับรถประจำตัวไว้ให้แล้วก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ชอบทำอะไรเองมากกว่า เพราะมันเป็นส่วนตัวมากกว่า
           บริษัทที่ชายหนุ่มทำงานอยู่เช่าที่จอดรถในอาคารไว้ให้พนักงานที่มีรถ เขาจึงมีที่จอดรถประจำที่ชั้นสามใกล้กับที่จอดรถประจำตำแหน่งของผู้อำนวยการ ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ไม่ขับรถเอง เขามีคนขับรถชื่อบำรุง เป็นผู้ชายตัวเล็ก อายุเท่า ๆ กับพัดชา พี่รุงนับเป็นพนักงานของออฟฟิศเหมือนกัน หน้าที่หลักคือขับรถ แต่ก็สามารถไหว้วานให้ทำอะไรนอกเหนือจากนั้นได้ เช่น ไปส่งเอกสารหรือไปธนาคาร และถ้าคนในบริษัทมีธุระที่ต้องออกไปทำให้บริษัทและคาริน่าอนุญาต บำรุงก็สามารถใช้รถประจำตำแหน่งของผู้อำนวยการขับบริการพนักงานได้เหมือนกัน ปกติเขาจะอยู่ที่ห้องคนขับรถร่วมกับคนขับรถของบริษัทอื่น ไม่ค่อยเข้าออฟฟิศ เวลาถูกเรียกใช้ถึงจะเข้ามา
          ส่วนใหญ่คนในออฟฟิศไม่ค่อยเรียกใช้งานบำรุง เพราะจะต้องจ่ายเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นค่าน้ำใจให้ จะมีก็แต่คาริน่าที่จิกใช้บำรุงจนหัวปั่นเพราะหล่อนถือว่าเขาเป็นพนักงานของบริษัทและพนักงานของบริษัทนี้ต้องอยู่ใต้อาณัติของหล่อนทุกคน
          เช้าวันนี้ที่จอดรถของผู้อำนวยการว่างเปล่า ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ยังมาไม่ถึงออฟฟิศ มิคกี้จอดรถสปอร์ตสีขาวคันโปรดที่ชอบใช้ขับมาทำงานในที่ประจำของเขา แล้วเดินเข้าไปรอลิฟท์ในอาคาร
          เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกและเขาก้าวเข้าไป สายตาของผู้หญิงที่อยู่ในลิฟท์ก็มองมาที่เขาเป็นตาเดียวด้วยความสนใจ
          มิคกี้ชินแล้วกับการตกเป็นเป้าสายตา ชายหนุ่มเป็นคนหน้าตาดี ประกอบกับการแต่งตัวที่ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้ายิ่งทำให้เขาเด่นสะดุดตา เดินไปไหนก็มีแต่คนสนใจ โดยเฉพาะสาว ๆ ที่กรี๊ดเขามากเป็นพิเศษเพราะรูปลักษณ์ที่ใกล้เคียงดาราหรือนักร้องไอดอล ผิวขาว ปากแดง หน้าหวานคล้ายผู้หญิง แต่ชายหนุ่มไม่สนใจผู้หญิงพวกนี้ บ่อยครั้งที่รู้สึกรำคาญไม่น้อย
          เมื่อลิฟท์เปิดที่ชั้นของบริษัทเขา ชายหนุ่มก็รีบเดินออกมาทันที
          พนักงานส่วนใหญ่เข้าออฟฟิศก่อนเวลาเข้างานคือเก้าโมงเช้า ใครมาสายกว่านั้นแต่ไม่เกินสิบห้านาทีถือว่ายังพออนุโลมได้ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครมาสายหรอก เพราะเจ้าแม่คาริน่าจะแสดงอิทธิฤทธิ์จิกกัดไม่มีไว้หน้าเลยทีเดียว คนทั้งออฟฟิศคร้ามเกรงฤทธิ์เดชเจ้าหล่อนกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากจะยุ่งเกี่ยวด้วย ในออฟฟิศจึงมีแค่ด็อกเตอร์แฮร์มันน์เท่านั้นในฐานะผู้อำนวยการที่มีสิทธิ์มาสายได้ และอีกคนคือทีโมนที่คาริน่าพิศวาสเป็นการส่วนตัว แต่พยายามทำเป็นสงวนท่าทีเอาไว้
          ผู้หญิงบางคนนี่ก็น่าสมเพช ไม่รู้จักดูตัวเองเอาเสียเลย
          มิคกี้เอากระเป๋าที่ถือมาไปเก็บไว้ในห้องทำงานของตัวเองและเข้าไปสมทบกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ในห้องครัว
          “สวัสดีครับพี่หญ้า พี่โอ๊ต”
          ชายหนุ่มทักทายพนักงานรุ่นพี่ที่อยู่ในครัวอย่างร่าเริงและสุภาพ ถึงแม้เขาจะเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่เดือนแต่ก็มองออกถึงสถานการณ์ในออฟฟิศที่แบ่งแยกออกเป็นกลุ่มเป็นฝ่าย พนักงานคนไทยเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นและเข้ากับฝรั่งในออฟฟิศไม่ได้เลย ชายหนุ่มเลือกอยู่กับกลุ่มของญาดา ข้าวโอ๊ต ออกัส และต้องแสดงท่าทีต่อต้านฝรั่งเพื่อไม่ให้เป็นแกะดำเหมือนใครบางคน
          แกะดำที่ว่าเข้ามาในห้องครัวหลังเขาครู่หนึ่ง นัตโตะหิ้วขนมเข้ามาวางไว้ที่เคาน์เตอร์ครัวและชวนคนอื่นให้กิน แต่ไม่มีใครสนใจ ทั้งญาดาทั้งข้าวโอ๊ตทำเหมือนนัตโตะไม่ได้อยู่ตรงนั้น มีเพียงเขาคนเดียวที่ตอบรับไปตามมารยาท
          ชายหนุ่มไม่ได้สงสารนัตโตะ ออกจะสมเพชเสียด้วยซ้ำ ก็หมอนี่ดันเลือกประจบฝรั่ง แถมพยายามทำตัวเรียกร้องความสนใจอยู่ตลอดเวลา ผลมันก็ออกมาเป็นแบบนี้นั่นแหละ
          มิคกี้ไม่ได้เห็นนัตโตะเป็นมิตรหรือว่าศัตรู เรียกว่าไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยมากกว่า แต่เขารู้ดีว่าคนอย่างนัตโตะสร้างความรำคาญให้ได้มากแค่ไหน และถ้าคำทักทายพูดคุยนิด ๆ หน่อย ๆ จะทำให้อีกฝ่ายเลือกไปกวนประสาทคนอื่นก่อนได้ มันก็เป็นผลดีต่อตัวของเขาเอง
          วงสนทนาตอนเช้าแตกในทันทีที่ผู้อำนวยการ ด็อกเตอร์แฮร์มันน์เปิดประตูออฟฟิศเข้ามา ทุกคนเดินกลับเข้าห้องทำงานของตัวเอง มิคกี้หยิบเสื้อกันหนาวตัวหนาสีน้ำตาลอ่อนมีกระเป๋าด้านหน้าขึ้นมาสวม แอร์ในออฟฟิศค่อนข้างแรง ชายหนุ่มเป็นคนขี้หนาว เขาจึงต้องมีเสื้อกันหนาวสำหรับใส่อยู่ในออฟฟิศ พอจะกลับก็ถอดออก แล้วก็ทิ้งไว้ที่นี่เลย ไม่เอากลับบ้านไปด้วย
          ใส่เสื้อเรียบร้อยก็นั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์ เรียกโปรแกรมเอาท์ลุคขึ้นมาเพื่อดูว่ามีอีเมลเรื่องงานอะไรเข้ามาบ้าง ชายหนุ่มรับผิดชอบผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรม ลวด ท่อ เคเบิล ไม้ เครื่องจักรต่าง ๆ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีรายละเอียดค่อนข้างมากและยาก แต่มันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงคนอย่างเขา
          วันนี้ไม่มีงานใหม่เข้ามา แต่ยังมีงานเก่าที่ทำค้างไว้อยู่ ชายหนุ่มก็ทำงานไปเรื่อย ๆ ไม่ได้จริงจังหรือต้องใช้ความพยายามมากนัก มิคกี้ทำงานแค่แก้เบื่อ ไม่ใช่ทำเพราะต้องหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างคนอื่น ๆ ในออฟฟิศ ถ้าเขาไม่อยากทำเมื่อไร เขาก็เลิกได้เลย ไม่จำเป็นต้องตั้งใจทำงานก็ได้
          โทรศัพท์มือถือที่เขาหยิบมาตั้งไว้บนโต๊ะสั่นเพราะมีข้อความเข้า มิคกี้เปิดออกอ่านแล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ชายหนุ่มกดโทรศัพท์ถึงเจ้าของข้อความที่ส่งถึงเขาทันที เมื่ออีกฝ่ายรับสาย มิคกี้ก็ถามเสียงเหี้ยม
          “ไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร ชื่ออะไร ทำงานอยู่ที่ไหน บอกมาให้หมด ฉันรู้ว่านายรู้”
          “ถามเสียตอบไม่ทันเลยนะ” เพื่อนของเขาแหย่ด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ แต่มิคกี้ไม่ขำด้วย
          “อย่ามากวน ไอ้น็อค รีบบอกมาเดี๋ยวนี้”
          ชายหนุ่มเผลอพูดเสียงดังด้วยความลืมตัว เขาเหลือบมองไปที่ช่องหน้าต่างกระจกที่ผนังด้านขวามือที่มองผ่านไปเห็นห้องข้าง ๆ ได้ แต่ตอนนี้เขาเอาโปสเตอร์มาแปะปิดเอาไว้ไม่ให้คนข้างห้องมองเข้ามาในห้องของเขาได้ หลังจากสังเกตเห็นว่านัตโตะคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของเขาอยู่ตลอด
          “ก็ได้ บอกแล้ว น่ากลัวจังเลยวุ้ยเพื่อนตู” น็อคยังหัวเราะอยู่ แต่เขาก็ยอมบอกโดยที่ไม่ลีลาอีก หลังจากส่งรูปผู้ชายสองคนเข้าเครื่องของเพื่อนเป็นการเรียกน้ำย่อยเมื่อสักครู่นี้
         “ไอ้นี่มันชื่อโจ้ ทำงานที่เดียวกับพอร์ช แต่อยู่คนละแผนก และก็อย่างที่เห็นละนะมันเล็งแฟนนายอยู่”
         “พอร์ชไม่ใช่แฟน แค่ควงเล่นเฉย ๆ” มิคกี้แก้ เสียงของเขาลดลงจนเบามากเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครได้ยินเขาพูดโทรศัพท์
          “ควงเล่น แต่เสียงเอาเรื่องเชียวนะ”
          “ถึงไม่ใช่แฟน แต่พอร์ชมันของฉัน” มิคกี้พูดเสียงเข้ม “ไอ้น็อค นายทำตามที่ฉันบอก เอาให้แน่ใจว่าได้ภายในเที่ยงวันนี้”
          ชายหนุ่มพูดในสิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัวออกมาให้เพื่อนฟัง
          “โห เอางี้เลยเหรอ ชักสงสารไอ้โจ้อะไรนี่แล้วสิ ชะตาขาดแล้วว่ะ”
          ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่น้ำเสียงของน็อคแสดงความสนุกสนานแบบสุด ๆ และชายหนุ่มก็สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า
          “ไม่ต้องห่วงนะเพื่อน รับรองว่าได้ตามสั่ง ของไปถึงตามเวลาอย่างแน่นอน”
          “ได้เรื่องยังไงโทรบอกด้วย ถ่ายคลิปมาเลยยิ่งดี ฉันอยากเห็นหน้าไอ้โจ้ตอนนั้น อยากจะรู้ว่ายังจะหน้าด้านอยากแย่งของของคนอื่นอยู่รึเปล่า...”
          มิคกี้หยุดพูดทันทีเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูและพร้อมกันนั้นก็เห็นนัตโตะถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องของเขาโดยที่ชายหนุ่มยังไม่ทันจะได้อนุญาต
          “ไปทำอย่างที่ว่า แล้วค่อยคุยกัน”
          มิคกี้รีบกระซิบบอกเพื่อนอย่างรวดเร็วแล้วกดวางสายทันที ก่อนจะถามเพื่อนข้างห้องที่กำลังมองมาด้วยความสนใจและอยากรู้อยากเห็นว่า
         “มีอะไรเหรอนัต”
         “อยากถามเรื่องรองเท้าที่นายใส่มาเมื่อวันศุกร์ที่แล้วน่ะ สวยดี อยากรู้ยี่ห้อกับราคา เผื่อจะซื้อมาใช้บ้าง”
         ชายหนุ่มมองหน้าคนถามทันที เขาไม่รู้ว่านัตโตะคิดอะไรอยู่ถึงได้มาถามเรื่องนี้ แต่ที่เขามั่นใจก็คือถึงจะรู้ไป นัตโตะก็ไม่มีปัญญาหามาได้หรอก น้ำเสียงที่ใช้จึงมีแววเยาะอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
          “คู่นั้นเราซื้อมาจากอิตาลี รุ่นลิมิเต็ด ไม่มีขายที่นี่หรอก อย่าเสียเวลาไปหาเลย แต่ถ้านายชอบยี่ห้อนี้ก็ต้องดูเป็นรุ่นอื่นไปแทน ราคาคู่หนึ่งก็ตกสองสามหมื่นได้นะ จะซื้อเหรอ”
          “ก็ดู ๆ เอาไว้ ใกล้วันเกิดเราแล้ว พ่อเราถาม ๆ อยู่ว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด”
          อีกฝ่ายยังกัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ แต่มิคกี้ก็รู้ทัน นัตโตะสร้างภาพว่ามาจากครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่รักใคร่ตามใจ ทั้งที่จริงแล้ว หมอนี่มันก็แค่ลูกเมียน้อย ลูกสาวของเมียหลวงบังเอิญเป็นเพื่อนร่วมคณะของเขาเอง ชายหนุ่มจึงรู้อะไรดี ๆ เกี่ยวกับนัตโตะมากมาย แต่เขาเก็บเงียบเอาไว้ ยอมเล่นไปตามน้ำ และคอยหัวเราะขันความพยายามอันน่าสมเพชของอีกฝ่ายเล่นแทน
          “อ้อ จริงสินะ ใกล้ถึงวันเกิดนายแล้ว คุณพ่อนายนี่น่ารักจังนะ วันนั้นคงออกไปฉลองด้วยกันทั้งครอบครัวใช่ไหม แล้วแฟนนายไปด้วยรึเปล่า”
          “เรายังไม่ได้โทรไปถามเลย แต่ก็คงไปได้แหละ เพื่อเรา แฟนเราว่างตลอดอยู่แล้ว”
          นี่ก็อีก นัตโตะไม่มีแฟนหรอก เขารู้ดี ไม่งั้นไม่คอยชายหูชายตาให้ทีโมนเหมือนอย่างทุกวันนี้หรอก แต่คนอย่างนัตโตะก็ทำได้แค่นั้น แล้วก็ละเมอเพ้อพกไปวัน ๆ ว่ามีแต่คนมาสนใจตัวเอง
          “เหรอ ดีจัง ถ่ายรูปมาให้ดูมั่งนะ อยากเห็นหน้าคนรักแสนดีของนายจัง ยังไม่เคยเห็นเลย”
          พูดแทงใจดำนิดหน่อยเท่านั้น นัตโตะถึงกับสะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องของเขาทันที ชายหนุ่มก็ไม่สนใจอยู่แล้ว ตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจก็คือน็อคจะทำสำเร็จอย่างที่เขาต้องการไหม แผนคิดขึ้นมาเดี๋ยวนั้น แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากเลยสักนิด
           ใกล้เที่ยง พัดชาเข้ามาถามเขาเรื่องอาหารกลางวัน ระหว่างที่เขาเลือกอาหาร แม่บ้านประจำออฟฟิศก็คุยโน่นคุยนี่ให้เขาฟังประสาคนช่างพูด ถึงแม้จะรำคาญอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้ว่าพัดชาเป็นพวกมีตาเป็นสับปะรด ถ้าเขาตั้งตัวเป็นศัตรูด้วย เขาจะไม่มีวันได้ความเป็นส่วนตัวในออฟฟิศแน่นอน มิคกี้จึงคุยตอบเท่าที่จำเป็นโดยที่ไม่หลุดพูดเรื่องของตัวเองออกไปให้แม่บ้านตัวอ้วนเอาไปขยายต่อได้
            ข้อความที่ชายหนุ่มต้องการมาถึงในตอนที่พัดชาเดินบอกทุกคนในออฟฟิศว่าจัดอาหารกลางวันให้เรียบร้อยแล้ว มิคกี้จึงเดินเข้าครัวด้วยอารมณ์รื่นเริงเป็นพิเศษ ชายหนุ่มรับประทานอาหารกลางวันกับพวกญาดาในครัว ถึงแม้จะต้องยืนอัดกันหลายคนในห้องครัวแคบ ๆ แต่ก็ยังดีกว่าไปนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับด็อกเตอร์แฮร์มันน์และคาริน่า สองคนนั้นทำให้เขาไม่เจริญอาหารเอาเสียเลย
            ข้าวโอ๊ตกับออกัสกำลังคุยกันเรื่องแผนการไปเที่ยวในวันปีใหม่ ออกัสจะไปเกาหลี ส่วนข้าวโอ๊ตจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ชายหนุ่มวางแผนเอาไว้แล้วเหมือนกัน เมื่อออกัสหันมาถามเขาบ้าง ชายหนุ่มก็ตอบได้ทันที
            “ไปญี่ปุ่นครับ จริง ๆ พ่อกับแม่อยากไปมัลดีฟ แต่ผมไปมาหลายครั้งแล้ว มันสวยก็จริงแต่ไม่ค่อยมีอะไร ผมว่าญี่ปุ่นน่าเที่ยวกว่า ก็เลยเปลี่ยนเป็นไปญี่ปุ่นแทน แช่ออนเซ็นชมวิวภูเขาไฟฟูจิ”
          ชายหนุ่มพูดได้ไม่ติดขัด เรื่องไปเที่ยวนี่เขาไม่เคยพลาด แล้วก็ต้องไปต่างประเทศด้วย ชายหนุ่มไม่เที่ยวเมืองไทยถ้าไม่จำเป็น เพราะถ่ายรูปออกมาแล้วมันไม่ดูดีเหมือนกับต่างประเทศ จากเรื่องเที่ยวก็เปลี่ยนมาเรื่องความรักบ้าง เมื่อญาดาเล่าว่าน้องสาวของหล่อนกำลังจะแต่งงาน ข้าวโอ๊ตก็คร่ำครวญอยากมีแฟนขึ้นมาทันที เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ยังโสดเหมือนนัตโตะ แต่หน้าตาดีกว่าเยอะมาก ท่าทางก็ดูดี เพียงแต่โลกส่วนตัวสูงไป ทำให้ไม่มีแฟนกับเขาสักที
          ทุกคนยังคุยเล่นกันอยู่อีกพักจนแกะดำนัตโตะเดินเข้ามา ในห้องครัวเงียบทันที ต่างคนต่างหันหน้าไปคนละทาง ไม่มีใครสบตาด้วย แต่แกะดำก็ยังเก่งที่เรียกความสนใจให้ตัวเองได้ด้วยการประกาศว่าจะมีนักศึกษาฝึกงานมาทำงาน เขาเองก็ยังสนใจเรื่องนี้เลยจนต้องถามว่า
          “จริงเหรอ ผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย”
          “ผู้ชาย” นัตโตะตอบ
          มิคกี้ค่อนข้างพอใจกับคำตอบ เขาไม่ตื่นเต้นถ้านักศึกษาฝึกงานเป็นผู้หญิง ซึ่งก็เหมือนกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ นั่นแหละที่หวังให้มีเด็กหนุ่ม ๆ หน้าตาดีมาเป็นอาหารตาในออฟฟิศบ้าง
          ขืนได้ผู้หญิงมาแล้วป่วงเหมือนคาริน่า ชีวิตก็อับเฉากันพอดี
         

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 5 (2-1-2016)
«ตอบ #21 เมื่อ02-01-2016 05:19:26 »

          ตามหลังนัตโตะเข้ามาคือคาริน่ากับทีโมน สองคนนี้ทำให้วงสนทนาในครัวจบลงอย่างถาวร เพื่อนร่วมงานของเขาทยอยเดินออกจากห้องครัวไป มิคกี้ก็เดินตามออกไปด้วย แต่เขายังได้ยินเสียงของทีโมนสั่งให้ญาดาไปหาที่ห้อง
          มิคกี้ไม่ชอบสายตาของทีโมนที่มองญาดาเลย รองผู้อำนวยการทำท่าเหมือนจะชอบหญิงสาว และก็ไม่แค่ญาดาหรอก ยังมีออกัสอีกคนหนึ่งด้วย
          เมื่อได้กลับมาอยู่คนเดียวในห้องอีกครั้ง ชายหนุ่มก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูด้วยความคาดหวัง และก็ยิ้มออกเมื่อเห็นคลิปวีดิโอที่น็อคส่งมาให้ เพื่อนของเขาทำสำเร็จจริง ๆ มิคกี้รู้สึกสะใจสุด ๆ
          หลังจบเรื่องที่ค้างคาใจ ชายหนุ่มก็เริ่มงานช่วงบ่าย ด็อกเตอร์แฮร์มันน์สั่งงานใหม่ให้เขาหนึ่งชิ้น ผู้อำนวยการไม่ได้ออกคำสั่ง ‘see me’ กับเขา แต่ใช้วิธีโทรศัพท์มาอธิบายงานแทน มิคกี้พยายามฟัง แต่ก็เข้าใจได้ไม่กระจ่างนัก ชายหนุ่มเอาอีเมลที่ลูกค้าเขียนเข้าโปรแกรมแปลภาษาเป็นการตรวจสอบซ้ำอีกรอบและก็พบว่ามีเนื้อความที่ขัดแย้งกันในบางอย่าง เขาจึงต้องพึ่งคนที่สามมาตัดสิน
          ข้าวโอ๊ตดูคอนเสิร์ตทางยูทูบอยู่ เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในห้องก็รีบกดหยุดทันที มิคกี้ทำเหมือนไม่เห็น แต่ในใจก็อดนึกสมเพชไม่ได้ ผู้ชายอายุสามสิบกว่าแล้วยังบ้าดาราบ้านักร้อง คงเพราะหาของจริงไม่ได้ก็เลยต้องพึ่งของปลอมในจอแทน นั่งมองน้ำลายไหลยืด แต่ไม่มีปัญญาเอื้อมถึง
          แต่ถึงในใจจะนึกหยามหมิ่นอีกฝ่ายไม่น้อย มิคกี้ก็ไม่แสดงความรู้สึกออกมาให้จับได้ เขาขอร้องรุ่นพี่ด้วยความสุภาพว่า
          “พี่โอ๊ตครับ ช่วยแปลอีเมลฉบับนี้ให้ผมหน่อยได้ไหม”
          ข้าวโอ๊ตรับปาก แต่ก็ต้องใช้เวลาแปลนานกว่ายี่สิบนาที ปล่อยให้เขารอจนขาแทบแข็ง
          “ขอโทษนะมิคกี้ นานไปหน่อย เนื้อหาทั้งหมดที่แปลพี่เขียนใส่ให้ในอีเมลแล้วนะ ไปอ่านทวนดูได้”
          “ขอบคุณครับพี่โอ๊ต ต้องรบกวนพี่จริง ๆ แต่ผมว่าคราวหน้าผมลองใช้กูเกิ้ลแปลภาษาดูน่าจะดีกว่าเนอะ พี่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปิดดิกชันนารีนานขนาดนี้”
          มิคกี้จิกข้าวโอ๊ตไปทีโทษฐานที่ทำให้เขาต้องรอนานขนาดนี้ แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่และไม่มีประเด็นที่ทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองใจอย่างนัตโตะ การจิกกัดจึงทำอย่างนุ่มนวลหน่อย แต่อีกฝ่ายก็คงรู้สึกอยู่บ้างเหมือนกันเพราะข้าวโอ๊ตฟังแล้วทำหน้าแปลก ๆ แต่เพราะเขาไม่แสดงออกอย่างชัดเจน น้ำเสียงและสีหน้าของเขามีแต่ความสุภาพและเกรงใจ ข้าวโอ๊ตเลยไม่แน่ใจ แล้วก็ตอบมาแบบกลาง ๆ ว่า
           “ก็ลองดู กูเกิ้ลแปลภาษาก็ไม่เลวหรอกตอนนี้ พัฒนาขึ้นเยอะ”
           มิคกี้ขอบคุณอีกครั้งก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง ชายหนุ่มเช็คโทรศัพท์ของตัวเองก่อนอื่นตามความเคยชิน มีข้อความมากมายรอเขาอยู่ในโปรแกรมแช็ตและโทรศัพท์จากน็อคที่เขาไม่ได้รับ ชายหนุ่มกดไล่อ่านข้อความก่อนแล้วจึงโทรศัพท์กลับไปหาเพื่อน
          “ชอบคลิปวีดิโอไหมวะ”
           ทันทีที่รับสายของเขา น็อคก็ถามทันที
          “ชอบมาก สะใจดี สมน้ำหน้า” ใบหน้าหล่อ ๆ ปรากฏรอยยิ้มน่าเกลียด
          “ได้ยินว่าไอ้โจ้หาตัวคนทำให้วุ่น แถมประกาศลั่นออฟฟิศว่าถ้ารู้ว่าใครทำ มันเอาคืนแน่ นายจะว่าไง”
          “ถ้ามันกล้าก็ลองดู” มิคกี้พูดอย่างไม่หวาดหวั่น “ฉันจะเอามันให้เจ็บกว่านี้อีก”
          “พอร์ชว่าไง โทรมารึเปล่า”
          “ส่งมาแต่ข้อความ ขอนัดเจอเย็นนี้หลังเลิกงาน” เขาตอบอย่างไม่ค่อยสนใจนัก จากนั้นก็วางหูจากเพื่อน แล้วไล่ตอบข้อความที่เขาได้รับจากบรรดาคนที่เขาคุยด้วยผ่านทางโปรแกรมแช็ตสลับกับค้นข้อมูลที่ลูกค้าต้องการ
          มิคกี้เลิกงานตามเวลาเหมือนคนอื่น พอห้าโมงครึ่งปุ๊บ เขาก็ปิดคอมพิวเตอร์และออกจากออฟฟิศพร้อมกับพวกญาดา
          “อ้าว ไม่ลงชั้นสามเหรอ”
          ญาดาถามเมื่อเห็นเขาไม่ได้กดลิฟท์ไปลงชั้นลานจอดรถเหมือนทุกครั้ง แต่จะไปชั้น G เหมือนคนอื่น ๆ
          “วันนี้มีคนมารับครับ”
          “แฟนมารับ อิจฉาจัง ทำไมแฟนเราไม่ได้ยังงี้มั่งว้า”
          มิคกี้เพียงแต่ยิ้ม ไม่ได้ตอบโต้คำแซวของออกัส
          ชายหนุ่มร่ำลาเพื่อนรุ่นพี่ของเขาตรงหน้าลิฟท์นั่นเอง ญาดากับคนอื่น ๆ เดินออกทางด้านหน้าตึกเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอส ส่วนเขาเดินออกทางด้านหลังเพื่อไปยังลานจอดรถที่กันที่ไว้ให้คนนอกขับรถเข้ามาจอดรอรับคนที่ทำงานอยู่ในอาคารได้
          คนที่เขานัดไว้มารออยู่แล้ว มิคกี้เดินไปขึ้นรถของพอร์ชที่จอดรออยู่โดยที่ไม่ได้ดับเครื่องยนต์ และพอร์ชก็ออกรถทันที
          “หิว ไปหาอะไรกินกันเถอะ”
          มิคกี้พูดเสียงเรียบด้วยท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พลอยทำให้พอร์ชต้องไม่แสดงท่าทีอะไรไปด้วย เขาถามเสียงอ่อนว่า
          “อยากกินอะไรล่ะครับ”
          “อะไรก็ได้ คุณเลือกก็แล้วกัน”
          หลังจากนั้นในรถก็มีแต่ความเงียบจนน่าอึดอัด มิคกี้นั่งนิ่งเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไร ต่างกับพอร์ชที่รู้สึกกระสับกระส่ายจนต้องละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยรถมาปลดเนกไทให้หลวมขึ้น แถมเขายังรู้สึกว่ามีเหงื่อซึมขึ้นมาตามไรผม
          “เรื่องโจ้เมื่อตอนกลางวัน คุณเป็นคนทำใช่ไหม มิคกี้” ในที่สุดพอร์ชก็ทนความอึดอัดไม่ไหว
          “ใช่ ฝีมือของผมเอง” มิคกี้ตอบอย่างไม่ยี่หระ
          “คุณไปแกล้งเขาทำไม รู้ไหมว่าโจ้เขาอายแค่ไหน ไม่มีใครที่ทำงานรู้เรื่องรสนิยมของเขา แต่ตอนนี้ก็รู้กันหมดแล้ว”
          “แค่อายแค่นี้มันยังน้อยไปนะกับการที่มันมายุ่งกับของของผม” มิคกี้จ้องพอร์ชเขม็ง ใบหน้าที่หล่อเหลาของชายหนุ่มเริ่มบึ้งตึงเมื่อถูกตำหนิ
          “ผมกับเขาทำงานที่เดียวกัน เราก็ต้องมีคุยกันบ้าง มันก็แค่นั้น คุณเองก็ยังคุยกับคนอื่นเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่คุณก็มีผมอยู่แล้ว”
          “มันไม่เหมือนกัน” มิคกี้ขึ้นเสียง “ผมจะคุยกับใครมันเรื่องของผม แต่คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น หรือถ้าอยากจะทำ เราก็เลิกกัน แล้วคุณจะไปเอากับใครที่ไหนก็ตามใจ ว่าไง จะเลิกไหมล่ะ”
          พอร์ชอึ้งและสุดท้ายก็ต้องอ่อนตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
          “ผมจะเลิกกับคุณได้ยังไง ผมรักคุณคนเดียวนะมิคกี้”
          “รักสิ่งที่ผมให้คุณมากกว่าล่ะมั้ง” มิคกี้เยาะ
          “เราอย่าพูดเรื่องอะไรที่มันชวนไม่สบายใจดีกว่านะ ผมไม่อยากเห็นคุณอารมณ์ไม่ดี” พอร์ชรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “เมื่อกี้คุณบอกว่าหิวใช่ไหม สนใจไปทานอาหารฝรั่งเศสกันไหมครับ ผมเคยไปทานกับเพื่อนที่ร้านแถวสุขุมวิท อาหารอร่อย บรรยากาศดีมาก คุณต้องชอบแน่”
          “ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณไปกับเพื่อน อย่ามาโกหกกันดีกว่า” มิคกี้พูดเสียงสะบัด ก่อนจะออกคำสั่งว่า
          “ผมไม่อยากกินแล้ว คุณขับรถไปส่งผมที่บ้านเดี๋ยวนี้ แล้วพรุ่งนี้มารับผมไปส่งที่ทำงานด้วย”
          แล้วเมื่อชายหนุ่มเห็นอีกฝ่ายยังแสดงท่าทางยึกยักลังเลเหมือนไม่แน่ใจ เขาก็สำทับซ้ำเสียงดัง
          “รีบไปเดี๋ยวนี้!”
          มิคกี้ไม่สนใจความรู้สึกของคนที่เขาควงอยู่ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เขาไม่สนใจความรู้สึกของใครทั้งนั้น นอกจากตัวเอง และอะไรที่เขาต้องการ เขาจะต้องได้
          ชายหนุ่มลงจากรถของพอร์ชที่มาจอดส่งถึงบันไดหินอ่อนหน้าบ้าน ไม่หันไปมองแม้ว่าคนที่มาส่งเขาพยายามจะร้องเรียกหรืออ้อนวอนขอให้เขาเปลี่ยนใจอย่างไรก็ตาม สุดท้ายพอร์ชก็ต้องยอมแพ้ ขับรถจากไป
          “คุณมิคกี้”
          พี่เลี้ยงของเขาเดินออกมารับเมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามาในบ้าน หล่อนอายุอ่อนกว่าแม่ของเขาสองสามปี เป็นญาติห่าง ๆ กันด้วย เมื่อตอนที่แม่คลอดเขา คุณยายก็ไปขอให้หล่อนมาช่วยเลี้ยงเขาและหล่อนก็อยู่กับครอบครัวของเขามาตั้งแต่ตอนนั้น
          “เหนื่อยไหมคะ น้ามีน้ำมะพร้าวเย็น ๆ บีบมะนาวนิดหน่อย ทานแล้วชื่นใจดีนะคะ”
          “ไม่เอา น้านี ผมจะอาบน้ำ” ชายหนุ่มตอบด้วยความหงุดหงิด ปัดแก้วน้ำที่พี่เลี้ยงยื่นส่งมาให้จนเกือบหลุดมือตกลงพื้น
          “ค่ะ ได้ค่ะ งั้นน้าจะรีบให้เด็กเตรียมน้ำอุ่นให้นะคะ แป๊บเดียวค่ะ”
          น้านีของชายหนุ่มไม่ว่าอะไรที่มิคกี้เกือบจะทำให้แก้วน้ำหล่นจากมือหล่อน กลับรีบบอกอย่างเอาอกเอาใจและกุลีกุจอสั่งเด็กในบ้านให้เตรียมน้ำอุ่นให้มิคกี้ที่เป็นคุณหนูของบ้าน
          “วันนี้น้าทำซุปมะเขือเทศแบบที่คุณมิคกี้ชอบด้วยค่ะ อาบน้ำเสร็จแล้ว น้าจะตั้งโต๊ะให้เลยนะคะ”
          มิคกี้ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำพูดของพี่เลี้ยง ชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ตรงไปที่ห้องของตัวเองซึ่งกินเนื้อที่ปีกซ้ายทั้งหมดของตัวบ้าน ส่วนปีกขวาเป็นห้องนอนของพ่อกับแม่ของเขาและห้องนอนสำหรับแขก
          ห้องนอนของมิคกี้กว้างขวาง แบ่งเป็นสามส่วน ส่วนหน้าสำหรับพักผ่อนดูโทรทัศน์หรือฟังเพลง ส่วนหลังเป็นห้องน้ำและห้องแต่งตัว ด้านในสุดเป็นห้องนอน เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งประดับห้องทั้งหมดเป็นของราคาแพงที่พ่อกับแม่ตั้งใจเลือกสรรมาให้เขา
          มิคกี้เป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน พ่อกับแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้เขามากนักเพราะต้องทำงานหนักเพื่อสร้างฐานะและถึงจะร่ำรวยแค่ไหนก็ดูเหมือนจะยังไม่พอ พ่อกับแม่ของเขายังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไปพร้อม ๆ กับที่เขามีเงินใช้จ่ายมากขึ้น แต่ชายหนุ่มต้องอยู่ในความดูแลของพี่เลี้ยงที่ไม่เคยขัดใจเขาเลยแม้แต่เรื่องเดียว
          น้ำอุ่นเตรียมเสร็จไม่ทันใจ และเมื่ออยู่ในอาณาจักรของตัวเอง ไม่ใช่ในบริษัทหรือที่อื่นที่ต้องระวังเรื่องมารยาทและสายตาของคนอื่น มิคกี้ก็แสดงความเป็นตัวตนของเขาออกมาได้อย่างเต็มที่ด้วยการ “จิก” เด็กรับใช้สาวรุ่นที่มีหน้าที่เตรียมน้ำอุ่นให้เขาลงมาข้างล่าง
          “คุณมิคกี้ นี่มันอะไรกันคะ” น้านีอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มดึงแขนเด็กรับใช้ลากถูลู่ถูกังลงบันไดมา แล้วผลักให้ล้มลงไปกับพื้น เด็กรับใช้ร้องไห้น้ำตานองหน้า
          “ไล่เด็กคนนี้ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะน้านี ทำอะไรชักช้า จนป่านนี้แล้วน้ำยังเตรียมไม่เสร็จ ผมจะอาบน้ำก็ไม่ได้”
          “น้าขอโทษที่เด็กเตรียมให้ไม่ทันใจ แต่มันก็ต้องใช้เวลานิดนึง เอาอย่างนี้ไหมคะ คุณมิคกี้ทานข้าวก่อนดีกว่าค่ะ ระหว่างที่ทานข้าว น้าจะไปทำให้เอง”
          พี่เลี้ยงสาวใหญ่พยายามประนีประนอมอย่างเต็มที่ และเพราะหล่อนเป็นคนที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็ก มิคกี้จึงยังฟังหล่อนอยู่บ้าง เขายอมทำตามที่พี่เลี้ยงของเขาเสนอ แต่ไม่เปลี่ยนใจเรื่องไล่เด็กออก
          “ผมไม่อยากเห็นหน้าแม่คนนี้อยู่ในบ้านอีกต่อไป ไล่มันออก แล้วจ้างคนที่ทำงานดีกว่านี้มาแทน”
          ชายหนุ่มได้สิ่งที่ตัวเองต้องการเหมือนเคย เด็กรับใช้ถูกไล่ไปพ้นหน้า น้านีจัดซุปมะเขือเทศให้เขาอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขารับประทานเสร็จ น้ำอุ่นกำลังพอดีเหยาะอโรม่าหอม ๆ ก็พร้อมอยู่ในห้องน้ำให้เขาลงไปแช่อย่างสบายใจ และยิ่งสบายใจกว่านั้นกับคลิปวีดิโอที่เขากดดูอีกครั้ง
          ไอ้โจ้ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกแอบถ่าย มันกำลังกินข้าวเที่ยงอยู่กับเพื่อนในแผนกที่ร้านอาหารใกล้บริษัทที่คนในบริษัทของมันชอบมากินกัน มันทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นเมสเซ็นเจอร์นำถุงกระดาษใบหนึ่งมาส่งให้ แล้วมันก็ยิ้มเมื่อได้อ่านกระดาษโพสต์อิทที่ติดอยู่ที่ถุง แต่เมื่อมันดึงของที่อยู่ในถุงขึ้นมา กล่องพลาสติกใสที่มีของหลายชิ้นอยู่ในนั้น สีหน้ามันก็เปลี่ยนไปเป็นตกใจ มันพยายามจะเก็บของลงถุง แต่ไม่ทัน เพื่อนร่วมโต๊ะคนหนึ่งของมันแย่งกล่องไปได้ ก่อนที่ทั้งโต๊ะจะทำหน้าประหลาด แล้วใครคนหนึ่งก็อุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ คำอุทานนั้นเรียกความสนใจจากโต๊ะอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนในบริษัทเดียวกันได้
          ของในกล่องเป็นของที่เขาตั้งใจเลือกให้ไอ้โจ้อย่างดีที่สุด มันจะต้องชอบแน่ ๆ เพราะมีทั้งถุงยางอนามัย เจลหล่อลื่น อวัยวะเพศชายเทียมและของเล่นผู้ใหญ่อีกหลายชิ้น แถมด้วยกระดาษโน้ตแปะหน้ากล่องที่เขาเลือกคำอย่างระมัดระวังที่สุด
ระวังให้แน่ใจว่าไอ้โจ้มันจะกระอักเลือดตายไปเลยเมื่อได้อ่าน
          ‘ให้โจ้ที่รัก’ เขาเริ่มต้นอย่างสุภาพ ‘จะได้ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อ เอาไว้ใช้ทิ่ม xxx เวลาคันนะ จะได้ไม่ต้องโก่ง xxx ให้ผัวชาวบ้านเขาอย่างทุกวันนี้อีก!’
          มันคงชอบจริง ๆ เพราะรีบเก็บทุกอย่างลงถุงกระดาษ แล้วลนลานออกไปท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบของคนทั้งร้าน
แต่มันไม่จบแค่นั้นหรอก รอยยิ้มน่าเกลียดผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง
          มิคกี้กดคำสั่ง “แชร์” คลิปวีดิโอลงไปในโลกโซเชียล
          อุ้งเท้าที่มีเล็บแหลมคมฉีกทึ้งผนังหนานุ่มที่อยู่ตรงหน้าจนเหวอะหวะ พยายามที่จะขุดลึกเข้าไป ลึกเข้าไปเพื่อหาทางออก ขณะที่ชิ้นส่วนที่ถูกดึงทึ้งออกมากองสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 6 (3-1-2016)
«ตอบ #22 เมื่อ03-01-2016 10:42:32 »

บทที่ 6
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ดีแต่โยนงานน่าเบื่อมาให้ลูกน้อง แต่ไม่เห็นเคยจะปกป้องอะไรใครเลยสักคน เอาเข้าจริงก็ดีแต่ปากและปกป้องตัวเองเท่านั้นแหละ
Like – Comment – Share

          ญาดาทำงานที่บริษัทนี้มาสิบกว่าปีแล้ว ไต่เต้าจากพนักงานการตลาดธรรมดาขึ้นมาเป็นระดับหัวหน้า รับผิดชอบโครงการสำคัญ ๆ มีคนรู้จักมากมายในแวดวงการค้า การทหารและตำรวจ การทำงานที่นี่เป็นความภาคภูมิใจของหล่อน เป็นที่ที่หล่อนได้แสดงความสามารถ เป็นที่ที่คำพูดของหล่อนได้รับการยอมรับจากพวกผู้ชาย
          หญิงสาวทำงานอย่างมีความสุขมาหลายปี จนปีหลัง ๆ นี่แหละที่หล่อนชักรู้สึกว่าการทำงานที่นี่มันไม่ค่อยสุขเหมือนแต่ก่อนเสียแล้ว
         ออฟฟิศเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับการย้ายมาของด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับคาริน่า ตาแก่หัวล้านเหม่งคนนี้ทำงานไม่เก่งเท่าผู้อำนวยการคนก่อน ๆ พูดมาก พูดวกไปวนมาฟังไม่รู้เรื่อง หลง ๆ ลืม ๆ แถมยังหูเบา โดนแม่คาริน่าเป่าหูได้ทุกวี่ทุกวันให้ระแวดระวังคนไทย ให้กดหัวไม่ให้คนไทยมีอำนาจมากเกินไปในออฟฟิศ ดังนั้น คำพูดและคำแนะนำของหล่อนจึงไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง แต่หล่อนก็ยังอดทนทำงานต่อไปจนเมื่อทีโมนย้ายมาอีกคนนั่นแหละ หญิงสาวก็แทบจะหมดความอดทนอยู่หลายครั้ง
          ทีโมนก็เหมือนด็อกเตอร์แฮร์มันน์ คือไม่ฟังคำแนะนำของหล่อน หนำซ้ำรายนี้ยังหยิ่งยโส ดื้อรั้น และหลงตัวเองแบบสุด ๆ ไม่นับรวมความขี้เกียจและไม่รอบคอบ แต่ที่ทำให้หล่อนนึกขยะแขยงมากที่สุดคือความเจ้าชู้ หล่อนเกลียดผู้ชายประเภทนี้ที่สุด คนที่ใช้ความเป็นผู้ชายของตัวเองมาเอาเปรียบผู้หญิง
          แต่ถึงสถานการณ์ในออฟฟิศจะย่ำแย่อย่างไรก็ตาม ญาดาก็ยังอยากมาทำงานทุกวัน เพราะที่นี่เป็นที่ของหล่อน
          ญาดาเปิดประตูออฟฟิศเข้ามาในตอนเกือบเก้าโมงเช้าเหมือนกับทุกวัน หล่อนมักจะมาในเวลาไล่เลี่ยกับข้าวโอ๊ต บางครั้งก็มาก่อน แต่ไม่เคยทันคาริน่าสักที
          วันนี้ทั้งสองคนที่ว่ามาถึงก่อนหล่อน ข้าวโอ๊ตก็คงรับประทานอาหารเช้าอยู่ในครัวตามปกติ หล่อนรับประทานมาจากบ้านเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ต้องเข้าไปในครัวเพื่อชงกาแฟทุกเช้าเช่นกัน
          หญิงสาวตรงไปที่ห้องทำงานของตัวเองก่อนซึ่งเป็นห้องทางฝั่งซ้าย อยู่ตรงกลางระหว่างห้องของทีโมนและข้าวโอ๊ต เอากระเป๋าถือและกระเป๋าผ้าใบย่อมที่ใช้ใส่ชุดออกกำลังกายสำหรับฟิตเนสเข้ามาเก็บ เปิดคอมพิวเตอร์เตรียมไว้ จากนั้นก็เดินเข้าไปในครัว
          “สวัสดีครับพี่หญ้า”
          ข้าวโอ๊ตทักเมื่อเห็นหน้าหล่อน
          “สวัสดีจ้ะ” ญาดาทักตอบพร้อมกับเปิดสวิตช์เครื่องชงกาแฟและตรวจดูว่าเมล็ดกาแฟในเครื่องพร่องไปมากน้อยแค่ไหนแล้วบ้าง หากเหลือน้อย หล่อนก็จะเปิดตู้หยิบเอาถุงเมล็ดกาแฟมาเทเติมเข้าไป ความจริงหน้าที่นี้ควรจะเป็นของพัดชา แต่รายนั้นมักจะเข้าออฟฟิศสายกว่าคนอื่น ๆ หล่อนไม่อยากจะรอจึงทำเสียเอง สุดท้ายก็กลายเป็นหน้าที่ประจำของหล่อนไปเพราะมักมาก่อนคนอื่น ๆ ส่วนข้าวโอ๊ต รายนั้นมาเช้าก็จริง แต่ดื่มชา นาน ๆ ทีถึงดื่มกาแฟบ้าง จึงไม่ค่อยได้เข้ามายุ่งกับเครื่องชงกาแฟของออฟฟิศนัก
          “สวัสดีครับพี่หญ้า พี่โอ๊ต”
          ญาดาเงยหน้าขึ้นยิ้มตอบเสียงทักทายอย่างร่าเริงของมิคกี้ พนักงานใหม่ฝ่ายการตลาดที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่เดือน รายนี้ช่างพูดและยิ้มเก่ง ไม่เงียบและดูมีโลกส่วนตัว เข้าถึงยากอย่างข้าวโอ๊ต แต่หล่อนก็ไม่มีปัญหาอะไรกับทั้งคู่ เพราะถึงนิสัยจะต่างกัน แต่ก็ไม่สร้างปัญหาให้หล่อน
          พูดถึงปัญหา ก็ต้องมีคนสร้างปัญหา และหนึ่งในคนสร้างปัญหาประจำออฟฟิศก็เข้ามาในครัวตามหลังมิคกี้มา หอบเอากล่องขนมมาด้วย
          “สวัสดีครับทุกคน ขนมนี่กินได้เลยนะ” นัตโตะพูด แต่ไม่มีใครสนใจ หล่อนเองก็ไม่สนใจเหมือนกัน ไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มรุ่นน้องเอาขนมอะไรมา
          ญาดาไม่ชอบนัตโตะมากนัก รู้สึกไม่ถูกชะตาด้วยตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์แล้ว แต่ฝรั่งทุกคนไม่ฟังคำคัดค้านของหล่อนเลย นัตโตะก็เลยได้เข้ามาทำงานที่นี่
          เก้าโมงกว่า ด็อกเตอร์แฮร์มันน์มาถึงที่ออฟฟิศ เสียงทักทายของผู้อำนวยการดังลั่นออฟฟิศไปหมด ทำให้หล่อนรู้สึกปวดศีรษะอย่างบอกไม่ถูก ระยะหลังนี้เมื่อได้ยินเสียงของตาแก่หัวเหม่ง หล่อนก็จะเป็นแบบนี้ทุกที
          เมื่อผู้อำนวยการมา ทุกคนก็สลายตัวกลับห้องใครห้องมัน ญาดาถือถ้วยกาแฟของตัวเองที่ชงอย่างเข้มข้นเติมน้ำตาลและนมสดเต็มที่เดินเข้าห้องทำงาน หล่อนเปิดโปรแกรมเอาท์ลุคเพื่อเช็คอีเมลเรื่องงานก่อนเป็นอันดับแรก งานของหล่อนก็เหมือนกับพนักงานการตลาดคนอื่น แต่หล่อนรับผิดชอบด้านที่มีความสำคัญ อย่างเช่น พลังงาน คมนาคม การแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับทหารและตำรวจ
          ช่วงนี้ไม่ค่อยมีโครงการใหญ่ ๆ ให้ต้องรับผิดชอบ งานที่เกี่ยวกับด้านที่หล่อนเชี่ยวชาญก็ไม่มีเข้ามาใหม่ มีแต่งานเก่า หญิงสาวยังต้องหาข้อมูลเตรียมทำรายงาน อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์และตัดเก็บข่าวที่คิดว่าเป็นประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ใส่แฟ้มเอาไว้
          ด้วยความที่หญิงสาวเป็นพนักงานที่อายุมากที่สุดในหมู่คนไทย เป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาด และเหมือนจะเป็นหัวหน้าของพนักงานคนไทยที่นี่ทุกคนด้วย ญาดาจึงต้องเปิดหูเปิดตาเป็นพิเศษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในออฟฟิศ
          อย่างเช่นวันนี้ การที่ข้าวโอ๊ตวิ่งวุ่นตลอดทั้งเช้าก็ไม่พ้นไปจากการรับรู้ของหล่อนได้
          ถึงจะสงสารอยู่บ้างเพราะตำแหน่งของเขาเกี่ยวข้องกับทุกฝ่าย เป็นเป้าที่ทุกคนสามารถเล่นงานได้เมื่อไม่พอใจหรือต้องการที่ระบายอารมณ์ แต่บุคลิกและนิสัยการทำงานของชายหนุ่มเองก็มีปัญหาด้วย หล่อนรู้ว่าข้าวโอ๊ตเบื่องานที่ทำอยู่เพราะเขาเคยมาปรึกษาแกมบ่นกับหล่อนเรื่องนี้ หล่อนไม่ได้ให้คำปรึกษาอะไรมาก แต่ยุให้เขาลาออกเลย แต่ชายหนุ่มก็ไม่ลาออก ยังคงฝืนทำต่อไป และเมื่อไม่มีใจ เขาก็ทำงานอย่างซังกะตาย ประกอบกับชายหนุ่มไม่ใช่คนที่ทำงานเก่งมาก ก็แค่พอใช้ได้ เมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาจึงกลายเป็นเป้าให้ถูกเล่นงานเอาได้แบบนี้
          ด็อกเตอร์แฮร์มันน์เคยเรียกหล่อนไปหาเพื่อตำหนิเรื่องข้าวโอ๊ต เขาอยากให้หล่อนไปบอกชายหนุ่มให้เลิกทำหน้าบอกบุญไม่รับเวลาโดนสั่งงาน ให้ยิ้มแย้ม และพูดคุยด้วยความสุภาพมากกว่านี้ หญิงสาวไม่ได้เตือนชายหนุ่มเพราะเห็นว่าไม่จำเป็น ตราบใดที่ข้าวโอ๊ตยังทำงานได้ ไม่ละเลยหน้าที่หรือสร้างปัญหาร้ายแรง การที่เขาจะทำหน้าบึ้งไปบ้างก็เป็นเรื่องของเขา ส่วนเรื่องความสุภาพ หล่อนก็เห็นเขาพูดจาสุภาพดี อาจจะมีตะโกนใส่ฝรั่งบ้างเพราะทนไม่ไหว นั่นก็ช่วยไม่ได้ ก็ฝรั่งออฟฟิศนี้มันเหลือจะรับจริง ๆ
          ญาดาคิดแบบนี้ แต่หล่อนไม่ได้ปกป้องและออกตัวให้ข้าวโอ๊ตต่อหน้าด็อกเตอร์แฮร์มันน์ เพราะคิดว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ด็อกเตอร์แฮร์มันน์คงไม่ฟังหล่อนตามเคย และหล่อนก็ไม่อยากจะไปคัดง้างอะไรกับคนเป็นนายในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ด้วย
          กาแฟหมดแล้ว ประกอบกับเริ่มเมื่อยเพราะนั่งท่าเดิมอยู่หลายชั่วโมง ญาดาจึงเดินออกมาจากห้องทำงานตรงไปยังห้องครัวเพื่อชงกาแฟถ้วยใหม่ แล้วมาเกาะเคาน์เตอร์คุยกับออกัส
          “จะซื้อเสื้อโค้ตเหรอ” หญิงสาวทักเมื่อเห็นเว็บไซต์ที่รุ่นน้องกำลังเปิดดูอยู่ “เมื่อวานก็สั่งไปแล้วตัวหนึ่งไม่ใช่รึไง”
          “ก็ใช่ครับ แต่ตัวนี้มันก็สวยเหมือนกัน ผมอยากได้ทั้งสองตัวเลย” ออกัสตอบพลางหันหน้าจอคอมพิวเตอร์มาให้ดู ญาดาก้มลงมองตามแล้วพยักหน้า
          “สวยจริง ๆ ด้วย แต่ราคาก็สูงเหมือนกันนะเนี่ย”
          “แพง แต่ผมว่าคุ้มนะ ไหน ๆ จะซื้อทั้งทีก็ต้องเลือกที่ดี ๆ หน่อย จริงไหมครับ”
          “ก็จริง แต่แหม ซื้อทีนี่จนเลยนะ เงินเดือนยิ่งขึ้นโคตรจะเยอะอยู่ด้วย”
          ออกัสหัวเราะให้กับคำประชดประชันของญาดา ในระยะหลัง เงินเดือนของทุกคนเพิ่มขึ้นน้อยจริง ๆ บางปีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ และไม่มีการปัดตัวเลข คำนวนออกมามีจุดเป็นสตางค์เท่าไรก็รับตามนั้นเป๊ะ ๆ
          “ก็ถ้ายังเป็นนายคนนี้กับฝ่ายการเงินคนนี้ มันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ”
          “คนแก่นี่ขี้งกทุกคนเลยรึเปล่าเนี่ย เงินเฟ้อไปถึงไหน ๆ แล้ว เงินเดือนไม่ปรับตามเลย” ญาดาบ่น
          “ไม่ใช่คนแก่ขี้งกอย่างเดียวพี่ แต่ยายเจ๊เจ้ากี้เจ้าการต่างหากตัวดี นางตัดงบทุกอย่างเพื่อหวังประหยัดเงิน แล้วส่งงบที่เหลือกลับสำนักงานใหญ่ นางจะได้หน้าถ้าประหยัดงบได้เยอะ”
          “นางได้หน้า แต่พวกเราลำบากกันหมด นายก็ไม่ฟังอะไรเล้ย” ญาดาลากเสียงด้วยความเอือมระอา
          “ก็เขาไม่เดือดร้อนไปกับเราด้วยไง ข้าวของแพงยังไงก็ไม่กระทบ พี่ดูสิ ข้าวเที่ยงเขากินอะไร บางวันกินแค่สับปะรดชิ้นเดียว ห้าบาท เขาก็เลยยังหลงคิดว่าข้าวของในเมืองไทยมันถูกอยู่ไง ทั้งที่เดี๋ยวนี้ข้าวมื้อหนึ่งก็เกือบร้อยเข้าไปแล้ว”
          “เฮ้อ งั้นเรื่องเงินเดือนขึ้นก็อย่าหวัง จนกว่าจะเปลี่ยนนายกับฝ่ายการเงินใหม่”
          ญาดาสรุปพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
          ใกล้เที่ยง พัดชาเดินมาถามเรื่องอาหารกลางวัน ญาดาก็ใช้บริการนี้ด้วยเช่นกัน บางครั้งหล่อนก็เอาอาหารมาจากบ้านบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็สั่งจากร้านเหมือนกับคนอื่น ๆ
          “แหม วันนี้คุณโอ๊ตงานเข้าตั้งแต่เช้าเลยนะคะ น่าสงสารจัง”
          พัดชามักจะชวนคุยเรื่องคนโน้นคนนี้ระหว่างที่เดินถามเรื่องอาหารกลางวันนี่ล่ะ ญาดารับฟัง แต่หล่อนก็ไม่เออออหรือผสมโรงเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่หล่อนพูดมันจะกระจายไปทั่วออฟฟิศอย่างรวดเร็วเพราะความช่างพูดของแม่บ้านตัวอ้วนกลมตรงหน้า
          “คุณนัตแกบอกว่าเห็นคุณโอ๊ตวิ่งเข้าวิ่งออกห้องนายกับห้องคุณคาริน่า ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรนะคะ”
          “นัตโตะนี่ก็รู้เห็นไปเสียทุกเรื่องเลยนะ” ญาดาไม่ตอบคำถาม แต่แกล้งแดกดันพัดชาทางอ้อม ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ผลเพราะแม่บ้านประจำออฟฟิศยังไม่มีทีท่าจะรู้ตัว
          “แกถามพี่อยู่เหมือนกัน แต่พี่ไม่รู้ เขาพูดกันเร้วเร็ว คุณหญ้าพอจะรู้ไหมคะ”
          “หญ้าไม่รู้เหมือนกันค่ะ ช่วงเช้างานเยอะ ต้องรีบทำเลยไม่ได้สนใจเรื่องอะไรเลย”
          พัดชาทำหน้าผิดหวังเมื่อต้องออกไปจากห้องของญาดาโดยที่ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมไปป่าวประกาศ ญาดาอยากจะถอนหายใจอีกสักเฮือก แต่คราวนี้เพราะโล่งใจที่แม่บ้านช่างพูดออกไปจากห้องหล่อนเสียได้
          ถึงเวลาอาหารกลางวัน ญาดารับประทานในครัวกับข้าวโอ๊ต ออกัสและมิคกี้ เพราะไม่อยากร่วมโต๊ะกับ
ด็อกเตอร์แฮร์มันน์และฝรั่งคนอื่น ๆ หล่อนไม่สามารถทนเสียงของผู้อำนวยการได้จริง ๆ ฟังแล้วพาลจะทำให้ไมเกรนขึ้น ขออยู่ในครัวฟังน้อง ๆ คุยกันดีกว่า
          ข้าวโอ๊ต ออกัสและมิคกี้กำลังคุยกันเรื่องแผนการไปเที่ยวในวันปีใหม่ ออกัสจะไปเกาหลี เขาจึงซื้อเสื้อโค้ตและเสื้อผ้าเตรียมไปเที่ยวเป็นการใหญ่ ข้าวโอ๊ตจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ส่วนมิคกี้จะไปญี่ปุ่นและหนุ่มรุ่นน้องก็หันมาถามหล่อนบ้าง
          “พี่หญ้าล่ะครับ จะไปญี่ปุ่นเหมือนกันไหม ถ้าผมจำไม่ผิด น้องสาวคนเล็กของพี่อยู่โอกินาว่าใช่ไหมครับ”
          “ใช่ รายนั้นเป็นนักวิจัย ทำอยู่บริษัทยา” ญาดาตอบ “แต่ปีนี้ไม่ต้องไปเยี่ยมที่ญี่ปุ่นแล้ว เพราะน้องสาวพี่จะกลับมาบ้าน ได้ยินว่าจะพาแฟนกลับมาปรึกษาเรื่องแต่งงาน”
          “ยินดีด้วยนะครับ ข่าวดีจัง แฟนน้องสาวพี่เป็นคนญี่ปุ่นรึเปล่าครับ” ข้าวโอ๊ตถามด้วยความตื่นเต้น
          “ใช่ เป็นนักวิจัยอยู่บริษัทเดียวกัน เห็นว่าแต่งงานแล้วก็จะตั้งรกรากอยู่ที่ญี่ปุ่นเลยนะ” ญาดาตอบ
          “น่าอิจฉาจังเลย” ชายหนุ่มพูด
          หญิงสาวฟังแล้วก็รู้สึกอิจฉาน้องสาวตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เพราะน้องสาวของหล่อนมีแฟน แต่เพราะน้องได้ไปทำงานในที่ไกล ๆ อย่างโอกินาว่าและตอนนี้ก็กำลังจะได้อยู่ที่นั่นอย่างถาวร ห่างไกลจากเรื่องจุกจิกยุ่งยากไม่สบายใจอย่างที่ญาดาต้องเจออยู่ทุกวัน
          “อยากมีแฟนก็ลองไปเข้าฟิตเนสไหมล่ะ ที่ที่พี่เล่นอยู่น่ะ หนุ่มหล่อกล้ามใหญ่ทั้งนั้นเลยนะ”
          เมื่อได้ยินคำบ่นของข้าวโอ๊ต หญิงสาวก็แนะนำ น้อง ๆ ผู้ชายในออฟฟิศไม่มีใครชอบผู้หญิงกันเลยสักคน แต่หล่อนก็ชอบที่เป็นอย่างนี้ ญาดาสะดวกใจที่จะคุยกับเกย์มากกว่าผู้ชายแท้ เพราะมีความเชื่อว่าผู้ชายประเภทนี้จะไม่หยาบเหมือนผู้ชายแท้ ๆ จะมีความละเอียดอ่อนและเข้าอกเข้าใจผู้หญิงได้เป็นอย่างดี
          “จริงเหรอพี่ ผมสน เดี๋ยวไปสมัครวันนี้เลย”
          คนตอบไม่ใช่ข้าวโอ๊ต แต่เป็นออกัส และก็ถูกข้าวโอ๊ตกระเซ้ากลับทันควันว่า
          “พูดแบบนี้เดี๋ยวเราจะฟ้องพี่ต้น บอกว่าแฟนกำลังคิดจะมีกิ๊ก”
          “ใครจะมีกิ๊กเหรอครับ” นัตโตะพูดแทรกขึ้นมา ทำให้วงสนทนาชะงักลงทันที เจ้าตัวก็ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าไม่ค่อยมีใครชอบสักเท่าไร แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมปรับเปลี่ยนนิสัยของตัวเอง รังแต่จะพยายามเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นหนักข้อขึ้น
          ครั้งนี้นัตโตะใช้เรื่องนักศึกษาฝึกงานคนใหม่ และมันก็ได้ผล เพราะหล่อนก็สนใจเหมือนกัน นัตโตะประกาศกับทุกคนว่านักศึกษาฝึกงานคนใหม่จะมาทำงานแล้ว และเป็นผู้ชายด้วย
          “ถ้านิสัยดี ว่าง่าย เชื่อฟัง ไม่เถียง ไม่รั้น ไม่วางท่าว่าข้าแน่ แต่จริง ๆ ทำงานห่วย ก็ดีน่ะสิ”
          หญิงสาวพูดอย่างเผ็ดร้อนหลังจากรู้ข้อมูลแล้ว
          “เด็กสมัยนี้ชอบคิดว่าตัวเองเก่ง รู้ทุกอย่าง แต่จริง ๆ แล้วไม่เห็นจะได้เรื่องสักนิด”
          ญาดาไม่เอ่ยชื่อ แต่หล่อนรู้ว่าทุกคนรู้ว่าหล่อนหมายถึงใคร ข้าวโอ๊ตฟังแล้วรีบกระแอมทันที และเขาก็ออกจากห้องครัวไป
          หญิงสาวยังบ่นต่อกับคนที่เหลืออยู่ แต่เมื่อเป้าการบ่นเดินเข้ามาในครัวกับคาริน่าเพื่อเอาจานอาหารมาเก็บ หล่อนก็หยุดพูด และทำท่าจะเดินออกจากห้องครัวตามคนอื่น ๆ แต่ทีโมนกลับจับบ่าหล่อนรั้งเอาไว้ก่อน
          “บ่ายนี้มาที่ห้องผมด้วยนะครับคุณหญ้า มีงานใหม่จะคุยด้วย”
          ญาดาขนลุกเกรียวด้วยความขยะแขยงสัมผัสของชายหนุ่ม ทีโมนทำท่าหมาหยอกไก่กับหล่อนมาหลายหนแล้ว อาศัยว่าหน้าตาดี พูดเสียงอ้อน ๆ แล้วคิดว่าคงจะไม่มีใครรังเกียจ แต่ไม่ใช่หล่อน ญาดาเกลียดไอ้เด็กรุ่นน้องจอมเจ้าชู้คนนี้มาก เคยพูดไปตรง ๆ แล้วว่าอย่าทำแบบนี้กับหล่อน แต่หมอนี่มันก็ทำเป็นมึนเสียอย่างนั้น แล้วก็หาโอกาสเล็ก ๆ น้อย ๆ กับหล่อนแบบนี้อีกเรื่อย ๆ
          หญิงสาวเบี่ยงตัวออกห่างทันทีและรีบเดินออกมาจากห้องครัวอย่างไม่รอช้า หล่อนเข้ามานั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในห้องทำงาน ต้องนับหนึ่งถึงร้อยอยู่ในใจรอบแล้วรอบเล่าจึงค่อยทำใจให้สงบได้บ้าง จากนั้นเปิดอีเมลเรื่องงานที่ทีโมนพูดถึงขึ้นมาดู ถึงแม้หล่อนจะเกลียดขี้หน้าเจ้าเด็กนั่นแค่ไหน แต่งานก็ต้องเป็นงาน หล่อนต้องเตรียมข้อมูลให้พร้อมเพื่อไปคุยกับเขา
          บริษัทที่ส่งอีเมลเข้ามาเป็นบริษัทที่ขายระบบรักษาความปลอดภัย โฆษณาว่าเป็นระบบที่ดีที่สุดในโลก ต้องการที่จะขยายฐานลูกค้า โดยเน้นไปที่หน่วยงานของรัฐ เช่น ทหารและตำรวจ ลูกค้าอยากจะจัดงานแนะนำผลิตภัณฑ์โดยเชิญตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน อยากให้เน้นตัวแทนที่สามารถตัดสินใจได้ด้วย มีงบให้ไม่อั้น
          ญาดาไม่เข้าใจภาษาเยอรมันเช่นเดียวกับพนักงานการตลาดคนอื่น ๆ หล่อนอาศัยเว็บไซต์หรือโปรแกรมแปลภาษาเหมือนกัน อีเมลที่แปลออกมาแล้วก็อ่านรู้เรื่องดีอยู่ แต่อ่านแล้วก็รู้สึกหนักใจพอดู หน้าที่ของหล่อนก็คือหาลูกค้าให้ลูกค้าอีกที แนะนำคนที่มีแนวโน้มว่าจะสนใจผลิตภัณฑ์ของลูกค้าเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยตกลงกัน หญิงสาวพิจารณาตัวสินค้าด้วย ถ้าหากมีแนวโน้มว่าไม่น่าจะขายได้ หล่อนก็จะแนะนำให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับทีโมนปฏิเสธการรับงาน
          งานนี้หล่อนก็คิดว่าไม่น่าจะขายได้ เพราะคู่แข่งหินเอาการ ราคาก็ถูกกว่ากันมาก ถ้าลูกค้าดึงดันจะขายให้ได้จริง ๆ ก็ต้องรับความเสี่ยง หรือไม่ก็ลดราคาลง แต่อย่างไรก็ยังยากอยู่ดี เพราะผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งติดตลาดไปแล้วด้วย
         

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 6 (3-1-2016)
«ตอบ #23 เมื่อ03-01-2016 10:43:46 »

          ระหว่างที่กำลังรวบรวมข้อมูลอยู่นั้น โทรศัพท์ของหญิงสาวก็ดังขึ้น หล่อนมองชื่อหน้าจอแวบหนึ่งก่อนจะกดรับ
          “หม่าม้า มีอะไรคะ”
          “เย็นนี้จะกลับกี่โมง ม้าอยากฝากซื้อเป็ดพะโล้สักหน่อย ร้านเจ็กเล้งน่ะ ซื้อมาทั้งตัวเลยนะ”
          “เมื่อเช้าหญ้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าวันนี้กลับดึก จะไปฟิตเนส หม่าม้าฝากคนอื่นซื้อได้ไหม ยอดกับยศมันน่าจะว่างนะ”
          “ไปอีกแล้ว จะไปออกกำลังกายอะไรทุกวี่ทุกวันวะ” แม่ของหล่อนบ่นทันทีเมื่อได้ยินคำปฏิเสธ “ไม่รู้ล่ะ วันนี้ห้ามไป ต้องกลับมาช่วยม้าที่บ้าน”
          “วันนี้ไม่ได้จริง ๆ หม่าม้า นัดเขาเอาไว้แล้ว” ญาดายืนยัน แต่แม่ของหล่อนก็ไม่เลิกราเช่นกัน ยืนกรานจะให้ลูกสาวทำตามคำสั่งให้ได้ เมื่อหญิงสาวปฏิเสธอีก แม่ของหล่อนก็เปลี่ยนจากบ่นมาเป็นด่า
          “แค่นี้ก็ทำให้ไม่ได้เรอะ นังลูกอกตัญญู ฉันอุ้มท้องแกมาเก้าเดือน ไม่ได้หวังให้แกโตขึ้นมาแล้วเถียงคำไม่ตกฟากแบบนี้นะ ถ้ารู้ว่าแกโตขึ้นมาแล้วจะเนรคุณฉันแบบนี้ ฉันจะเอาขี้เถ้ายัดปากให้ตายไปตั้งแต่เด็กเสียรู้แล้วรู้รอด”
          ญาดาอยากจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ แม่ของหล่อนเป็นแบบนี้ทุกที ต้องการจะเอาชนะคะคานหล่อนอยู่ร่ำไป เรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ไม่มีวันยอมลงให้ แล้วเมื่อไม่พอใจที่หล่อนไม่ยอมทำตามความต้องการ แม่ก็จะด่าหล่อนแบบนี้เสมอ
          แม่จะรู้หรือเปล่าว่าหล่อนฟังแล้วเจ็บปวดแค่ไหน   
          “ก็ได้ ก็ได้ หม่าม้า จะซื้อเข้าไปให้ เป็ดพะโล้ร้านเจ็กเล้งนะ”
          สุดท้ายหญิงสาวก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เหมือนทุกครั้ง
          หลังจากวางหูโทรศัพท์ด้วยความเซ็ง หล่อนก็ทำงานต่อ แต่ก็โดนขัดจังหวะอีก คราวนี้ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่เป็นเรื่องของคนอื่นที่ถกเถียงกันเสียงดังจนหล่อนได้ยินอย่างชัดเจน
          คาริน่าสั่งให้ข้าวโอ๊ตจัดการแก้ไขแฟ้มเอกสารเสียใหม่เพราะมีแฟ้มซ้ำซ้อนอยู่ นอกจากเสียงของทั้งสองคนก็ยังมีเสียงพูดขอโทษขอโพยของนัตโตะดังรวมอยู่ด้วย ญาดาค่อนข้างสงสารข้าวโอ๊ต นึกเดาได้เลยว่างานเข้าชายหนุ่มรุ่นน้องเพราะใคร
นัตโตะคล้ายกับพัดชาตรงที่สอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนในออฟฟิศเหมือนกัน ผิดกันตรงที่พัดชาอยากรู้เพราะแค่ต้องการนำไปเล่าต่อด้วยความปากเบาของตัวเอง แต่นัตโตะนั้นเก็บเอาสิ่งที่รู้มาไปทำร้ายคนอื่น ชายหนุ่มรู้ดีว่าข้าวโอ๊ตมีปัญหากับคาริน่าอยู่แล้วตั้งแต่เช้า เขาก็เลยกระพือความไม่พอใจระหว่างทั้งสองคนให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
          ญาดาควรจะเรียกนัตโตะมาตักเตือนบ้าง แต่ชายหนุ่มก็จะแก้ตัวได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ และหล่อนก็ไม่มีหลักฐานอะไรไปกล่าวหาเขาด้วย หญิงสาวจึงไม่เคยได้ทำจนแล้วจนรอด
          บรรยากาศในออฟฟิศมันก็เลยขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วแต่ว่าวันไหนใครจะสำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรออกมาใส่กัน
          แต่วันนี้เรื่องของตัวเองมันก็ยุ่งพออยู่แล้ว หล่อนจึงไม่ได้สนใจเรื่องของคนอื่นอีกนัก แถมงานก็ยังมีเหลือค้าง ถ้าจะรับงานใหม่มา หล่อนก็ต้องจัดการงานเก่าให้เสร็จ หญิงสาวจึงเรียกข้าวโอ๊ตที่เดินผ่านหน้าห้องของหล่อนเอาไว้ ยื่นกระดาษที่จดรายชื่อบริษัทให้ พร้อมกับสั่งว่า
          “สามบริษัท ต้องการข้อมูลการจดทะเบียนบริษัท ข้อมูลการเงิน รายชื่อหุ้นส่วนบริษัท พี่ขอภายในวันนี้นะโอ๊ต”
          หญิงสาวรู้ว่าข้าวโอ๊ตไม่อยากทำหรอก งานแบบนี้มันค่อนข้างน่าเบื่อ แค่เข้าไปดึงข้อมูลมาจากฐานข้อมูลบริษัทและจัดวางให้ดีในโปรแกรมเวิร์ดเท่านั้นเอง หล่อนเองก็ยังไม่อยากทำถึงได้โยนไปให้เขา จากนั้นหญิงสาวก็หาอะไรมาทำต่อเพื่อให้เวลามันหมดลงไปเรื่อย ๆ  แต่หลังจากที่ประวิงเวลามาพักใหญ่ ญาดาก็ต้องเข้าไปคุยงานกับทีโมนในห้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีก หล่อนไม่อยากจะเข้าไปในห้องของรองผู้อำนวยการเลย นอกจากจะไม่ชอบหน้าชายหนุ่มแล้ว สภาพห้องเองก็น่ารังเกียจพอกันกับตัวเจ้าของห้อง ด้วยเหตุที่มันรกรุงรัง บนโต๊ะก็มีเอกสารกองสุม แถมยังมีถ้วยกาแฟที่ดื่มหมดแล้ววางรวมอยู่ด้วย
          ทีโมนก็ไม่คิดจะจัดโต๊ะของตัวเอง แม้ว่ามันจะรกเละเทะจนหาเอกสารแทบจะไม่เจอก็ตาม กว่าที่เขาจะหาอีเมลของบริษัทลูกค้าได้ก็ใช้เวลานานพอสมควรและตอนดึงเอกสารออกมาจากกองก็ทำกาแฟหกใส่กระดาษจนเปื้อนอีก
          “ขอโทษครับ นี่อีเมลของบริษัท”
          ญาดารับเอกสารที่มีรอยกาแฟมาด้วยสีหน้าแสดงความรังเกียจอย่างปิดไม่มิดและก็ไม่คิดจะถือเอาไว้นาน เพราะหล่อนก็สั่งพิมพ์อีเมลฉบับนั้นออกมาเองด้วยเหมือนกัน เมื่อรับมาแล้วจึงวางกลับลงบนโต๊ะของเขาแทบจะในทันที
          ทีโมนอธิบายลักษณะงานให้ฟังซึ่งก็เป็นสิ่งที่หล่อนรู้จากการอ่านอีเมลมาแล้ว
          “บริษัทต้องการขายของให้หน่วยงานราชการ เราคงต้องจัดงานและเชิญหน่วยงานที่น่าจะสนใจระบบรักษาความปลอดภัยมาร่วมงาน คุณลองไปคิดดูนะครับว่าจะเชิญหน่วยงานไหนบ้าง แล้วมาบอกผม”
          เมื่อเขาพูดจบ หล่อนก็แสดงความคิดเห็นอย่างที่ตั้งใจเอาไว้แล้ว
          “จัดงานให้ก็ได้อยู่หรอกค่ะ แต่สินค้าแบบนี้ขายยาก หน่วยงานเขาก็มียี่ห้อประจำกันอยู่แล้ว จะมีใครสนใจมารึเปล่าก็ไม่รู้”
          “แต่คุณก็รู้จักคนเยอะในวงการพวกทหาร ตำรวจนี่นา ขอให้เขามาร่วมงานหน่อยคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงใช่ไหม”
          ทีโมนไม่ฟังหล่อนตามเคย แถมเขายังลุกจากเก้าอี้เดินอ้อมมายืนพิงโต๊ะทำงานข้างเก้าอี้ที่หล่อนนั่งอยู่ด้วย หญิงสาวอยากจะขยับเก้าอี้หนี แต่มันไม่ใช่เก้าอี้แบบมีล้อเหมือนในห้องของหล่อน หญิงสาวจึงทำได้แค่ขยับตัวเบี่ยงหลบไปอีกด้านหนึ่งมากขึ้น
          “บริษัทอยากแสดงสินค้า เราก็จัดงานให้ตามที่ลูกค้าต้องการ แต่จะขายได้หรือไม่ได้มันก็ไม่เกี่ยวกับเราสักหน่อย คุณไม่ต้องกังวลหรอก”
          “ฉันจะลองโทรศัพท์ไปคุยดูก่อนก็แล้วกันค่ะ” ญาดาไม่รับปาก แต่รีบตัดบทและเตรียมจะลุกจากเก้าอี้ แต่มือของทีโมนเอื้อมไปจับที่พนักเก้าอี้ก่อนทำให้หญิงสาวหยุดชะงัก
          “ลูกค้าอยากจัดงานที่โรงแรม คุณเลือกที่เหมาะ ๆ มาสักสองสามที่นะ แล้วเราค่อยไปดูห้องด้วยกัน”
          สายตาของทีโมนที่มองหล่อนมันชัดเจนเสียจนญาดาไม่สามารถทนอยู่ในห้องของทีโมนได้อีกต่อไป หญิงสาวเดินแบบแทบจะเป็นวิ่งออกมา เข้ามานั่งตัวสั่นด้วยความรังเกียจแกมไม่พอใจอยู่ในห้องของตัวเอง
          เจอแบบนี้เข้าหลาย ๆ ครั้งก็ทำให้ญาดาคิดจะเปลี่ยนงานเหมือนกัน แต่หล่อนก็ต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบเพราะหล่อนอายุค่อนข้างเยอะแล้ว การหางานก็ทำได้ยากกว่าเด็กรุ่นน้องอยู่สักหน่อย และครั้นจะลาออกไปก่อนแล้วค่อยหางานทีหลัง หล่อนก็ไม่อยากเสี่ยงถึงขนาดนั้น
          เมื่อไม่ได้ไปฟิตเนสแล้ว ญาดาก็เลยทิ้งกระเป๋าใส่เสื้อผ้าไว้ที่ออฟฟิศเมื่อถึงเวลาเลิกงาน หล่อนเดินออกจากออฟฟิศพร้อมกับเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องคนอื่น ๆ หญิงสาวไม่ขับรถ หล่อนใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสจึงมักจะกลับพร้อมกับข้าวโอ๊ตและออกัสที่ไปทางเดียวกัน แต่วันนี้มีมิคกี้อีกคนที่จะลงลิฟท์ไปที่ชั้นล่าง
          “อ้าว ไม่ลงชั้นสามเหรอ”
          หญิงสาวทักด้วยความแปลกใจ มิคกี้ตอบว่า
          “วันนี้มีคนมารับครับ”
          ออกัสได้โอกาสแซวว่ามิคกี้คงจะมีแฟนมารับ เจ้าตัวคนโดนแซวก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้ม และเมื่อลิฟท์มาถึงชั้น G ชายหนุ่มก็ร่ำลาพวกหล่อนและเดินไปทางลานจอดรถ
          ญาดาเดินออกจากอาคารมาพร้อมกับข้าวโอ๊ตและออกัส แต่ก็มาแยกกันเมื่อถึงสถานีรถไฟฟ้าเพราะขึ้นรถคนละสายกัน บ้านของหญิงสาวอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานนัก นั่งรถไฟฟ้ามาสามสี่ป้ายก็ถึง ก่อนเข้าบ้าน หล่อนแวะซื้อเป็ดพะโล้ตามที่แม่สั่ง
บ้านของญาดาอยู่ริมแม่น้ำ เป็นบ้านเก่าที่อยู่กันมาตั้งแต่สมัยก๋งของหล่อน พื้นที่กว้างขวางเพราะมีโรงงานของครอบครัวอยู่ในบริเวณเดียวกัน ในตอนกลางวันบ้านหล่อนมีคนเข้าออกพลุกพล่าน แต่ตอนนี้มืดแล้ว เลยเวลาเลิกงานไปนานโข คนงานกลับบ้านกันหมด บริเวณบ้านจึงค่อนข้างเงียบ
          เมื่อหญิงสาวเปิดประตูเข้าไปในบ้าน น้องชายคนที่สามของหล่อนที่นอนดูโทรทัศน์อยู่ก็ผงกศีรษะขึ้นมามอง แล้วตะโกนเข้าไปในครัว
          “หม่าม้า เจ๊หญ้ามาแล้ว”
          จากนั้นเขาก็ดูโทรทัศน์ต่อโดยที่ไม่สนใจหล่อนอีก ไม่แม้แต่จะทักทายด้วยซ้ำ ญาดาได้แต่กัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ แต่จะว่ากล่าวน้องชายก็ไม่ได้เพราะแม่จะดุหล่อนอีกต่อหนึ่งทันที
          “มาแล้วเหรอ” แม่ของหล่อนเดินออกมากวักมือเรียก “เข้ามาช่วยม้าในครัวหน่อย ซื้อเป็ดมาด้วยใช่ไหม ดี แกเอาใส่จานเลยนะ แล้วตั้งโต๊ะ น้อง ๆ หิวกันแล้ว รอแกคนเดียว กลับมาช้าจริง”
          ญาดาไม่โต้ตอบคำสั่งแกมบ่นของแม่ แต่จะว่าหล่อนชินชาก็ไม่ใช่ เพราะหญิงสาวยังรู้สึกแย่เสมอเมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้
ครอบครัวของหล่อนให้ความสำคัญกับลูกชายมากตามความเชื่อแบบสมัยเก่า ก๋งของหล่อนสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาด้วยการตั้งโรงงานจึงต้องการลูกชายมาช่วยสืบทอดกิจการและทำงานของครอบครัว ป๊าของหล่อนก็มีความคิดเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อหล่อนเกิด ทุกคนจึงผิดหวังมาก ความตึงเครียดในครอบครัวหายไปเมื่อน้องชายคนโตของหล่อนเกิด แต่ก็ในอีกหกปีต่อมา ถึงตอนนั้นหญิงสาวโตจนรู้ความแล้วและซึมซับเอาความรู้สึกด้อยค่าที่ครอบครัวยัดเยียดให้เพียงเพราะว่าตัวเองเป็นผู้หญิงเข้าไปเต็มหัวใจ
          ญาดาเกลียดสภาพความเป็นชนชั้นสองในครอบครัว หล่อนจึงดิ้นรนออกมาทำงานที่อื่น ไม่ยอมทำงานในโรงงานของครอบครัวอยู่ใต้อาณัติของน้องชายทั้งสองคนที่เป็นใหญ่เหลือเกินในบ้าน การตัดสินใจแบบนี้ทำให้แม่ของหล่อนโกรธเคืองหล่อนมาจนถึงทุกวันนี้ แต่หล่อนก็ยังอดทน ไม่หนีไปทำงานไกลบ้านเหมือนที่น้องสาวคนเล็กทำ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายก็คือผู้ให้กำเนิด
          ระหว่างรับประทานอาหารเย็น แม่ก็บ่นว่าหล่อนอีกด้วยเรื่องเดิม ๆ คืออยากให้หล่อนลาออกแล้วมาทำงานที่บ้าน น้องชายสองคนก็สนับสนุนเพราะต้องการคนมาช่วยงานโดยไม่ต้องเสียเงินจ้างแถมยังจิกใช้ได้สารพัดโดยที่ไม่ต้องไว้หน้ามากมาย
          ญาดาทำหูทวนลมตลอดเวลาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร แต่แรงกดดันทั้งจากแม่และน้องชายมันมากมายเหลือเกินจนหล่อนเกือบจะทนไม่ไหว ลุกขึ้นมากรีดร้องอาละวาดให้รู้แล้วรู้รอด
          ลำตัวใหญ่หนาที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดเกลือกกลิ้งไปมาบนพื้นนุ่ม ๆ อย่างบ้าคลั่ง อุ้งเท้าหน้าทั้งสองขุดคุ้ยพื้นตรงหน้าจนกระจุยกระจาย ก่อนจะเอาหัวใหญ่ ๆ พุ่งเข้าชนผนัง

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 6 (3-1-2016)
«ตอบ #24 เมื่อ03-01-2016 12:14:57 »

อือหือ  รอวันระเบิด บึ้มมม... กลายเป็นโกโก้ครั้น น่ากลัวมาก ก

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 6 (3-1-2016)
«ตอบ #25 เมื่อ03-01-2016 14:39:00 »

ครบรึยังนะๆๆๆ ... อยากเห็นคนตายจะแย่แล้ว 55555 

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 7 (3-1-2016)
«ตอบ #26 เมื่อ03-01-2016 18:12:24 »

บทที่ 7
What’s on your mind?
Oatmeal
Bangkok
ดีแต่ช็อปกับหาโอกาสหยุดงาน ไม่รู้บ้างรึไงว่าทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนแค่ไหน หน้าที่ของตัวเอง แต่โยนมาให้คนอื่นทุกที
Like – Comment – Share

          ออกัสออกจากบ้านสายกว่าทุกวัน
          เมื่อคืนเขาทะเลาะกับแฟนหนุ่มที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้วอย่างหนัก ต้นยังไม่พอใจเรื่องการไปเที่ยวเกาหลี ชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นเรื่องสิ้นเปลืองไม่เข้าท่า แต่ทนเขารบเร้าไม่ได้ทำให้ต้องยอมตกลง ออกัสก็คิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วแต่ก็ต้องมาทะเลาะกันอีกด้วยเรื่องการช็อปปิ้งของเขา
          ออกัสเป็นพวก ‘shopaholic’ หรือเรียกกันว่าพวกบ้าซื้อของ เมื่อได้ซื้อของ ชายหนุ่มจะมีความสุข ยิ่งเมื่อมีข้ออ้างในการซื้อของอย่างเรื่องไปเที่ยวเกาหลี เขาก็ยิ่งซื้อหนักมือมากขึ้น แล้วเมื่อต้นรู้ว่าเขาซื้อเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ แม้แต่กระเป๋าเดินทางใหม่ทั้งหมดเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ต้นก็โมโหมากและเกิดเป็นปากเป็นเสียงกันขึ้น
          ต้นยื่นคำขาดให้เขาเลิกซื้อของ แต่ออกัสไม่ยอม เขาอ้างว่าเมื่อก่อนยังทำได้โดยที่ต้นไม่เคยว่าอะไร และถ้าต้นมีปัญหา เขาก็จะใช้เงินของเขาเอง ต้นยิ่งโมโหเพราะออกัสจี้ใจดำของเขา เมื่อก่อนเขามีบริษัทออกแบบเป็นของตัวเอง มีรายได้มากพอที่จะตอบสนองความต้องการของแฟนหนุ่มได้ แต่ตอนนี้บริษัทของเขาขาดทุนจนต้องปิดตัวไป ชายหนุ่มรับงานอิสระ รายได้ไม่มากเท่าเก่า ดูแลออกัสไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน และมันก็เป็นจุดอ่อนไหวของเขาที่ไม่ต้องการให้ใครมาแตะ
          ทั้งสองคนทะเลาะกันจนแทบไม่มองหน้ากัน ปกติตอนเช้าต้นต้องเป็นคนปลุกออกัสและทำอาหารเช้าให้ แต่เขาก็ไม่ได้ทำเพราะยังโกรธกันอยู่ ออกัสเลยตื่นสาย พลอยให้มาทำงานสายไปด้วย
          ชายหนุ่มเปิดประตูกระจกเข้ามาในออฟฟิศ เจอข้าวโอ๊ตเป็นคนแรก
          “สวัสดี กัส” เพื่อนร่วมงานที่อายุเท่ากันทัก ชายหนุ่มก็ยิ้มตอบ ก่อนถามว่า
          “ทีโมนมารึยัง”
          เมื่อได้รับคำตอบว่ายังไม่มา สีหน้าของชายหนุ่มแสดงความโล่งอก แล้วเขาก็รีบวิ่งเข้าไปในครัวเพื่อชงกาแฟทันที
          กาแฟดำไม่ใส่นมไม่ใส่น้ำตาลแบบที่กินอยู่ทุกวัน
          ชายหนุ่มไม่ชอบหน้ารองผู้อำนวยการคนนี้สักเท่าไร ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นคนหน้าตาดี แต่ชอบมาทำท่าก้อร่อก้อติกกับเขา ออกัสไม่อยากยุ่งกับคนในออฟฟิศเดียวกันจึงพยายามเลี่ยงอย่างเต็มที่ แต่ทีโมนก็ยังชอบมาวอแวกับเขาไม่เว้นแต่ละวัน วันนี้ก็ด้วย เมื่อรองผู้อำนวยการเข้ามาในออฟฟิศและเอากระเป๋าเอกสารไปเก็บไว้ในห้องทำงาน เขาก็พุ่งตรงมาที่ออกัสทันที
          “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณกัส” ชายหนุ่มทักทายพร้อมกับยิ้มหวานให้
          “อรุณสวัสดิ์ครับ” ออกัสทักตอบพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน ถึงเขาจะไม่ชอบท่าทีของทีโมนนัก แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทางรังเกียจออกมาอย่างชัดเจนเหมือนญาดาหรือข้าวโอ๊ต ยังคงพูดคุยยิ้มหัวได้ด้วยเหมือนคนชอบพอกัน ชายหนุ่มทำงานติดต่อกับผู้คน เรื่องมนุษยสัมพันธ์เขาไม่เป็นรองใครแน่นอน
          แต่ถ้าอีกฝ่ายชักจะล้ำเส้น เขาก็ต้องแสดงปฏิกิริยาบ้าง ชายหนุ่มจึงเบี่ยงตัวออกห่างเมื่อทีโมนโน้มตัวมาหา ทำท่าเหมือนจะจูบต้นคอของเขา
          “เอ คุณเปลี่ยนน้ำหอมใหม่รึเปล่า กลิ่นนี้ผมไม่คุ้นเลย”
          “ครับ เพิ่งซื้อมาใหม่” ออกัสตอบสั้น ๆ
          “กลิ่นหอมจัง”
          ออกัสทำท่าไม่รู้ไม่ชี้กับตาวิบวับและน้ำเสียงออดอ้อนของทีโมน ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบว่า
          “เมื่อกี้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ถามหาคุณแน่ะครับ บอกว่าถ้ามาแล้วให้รีบไปหาที่ห้องด้วย”
          ความจริงเขายังไม่เจอผู้อำนวยการเลย แต่ข้ออ้างของเขาก็ได้ผลเพราะทำให้ทีโมนยอมถอยห่างออกไปได้ ชายหนุ่มเข้าไปในครัว ครู่หนึ่งก็ออกมาพร้อมถ้วยกาแฟในมือและกลับเข้าห้องทำงานไป
          ออกัสไม่สนใจทีโมนอีก ชายหนุ่มเปิดโปรแกรมเอาท์ลุคดูอีเมลก่อนอย่างอื่น แต่ระหว่างที่รอให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์กับทีโมนมอบหมายงานด้วยการใส่สัญลักษณ์สีในอีเมล ชายหนุ่มก็เปิดดูเว็บไซต์ซื้อของออนไลน์ฆ่าเวลา
          ถึงแม้เขาจะทะเลาะกับต้นเพราะเรื่องนี้ แต่ชายหนุ่มก็อดใจเรื่องช็อปปิ้งไม่ไหวจริง ๆ ออกัสกดดูสินค้าบนเว็บไซต์เพลินจนกระทั่งมีโทรศัพท์สายในจากด็อกเตอร์แฮร์มันน์
          “คุณกัส ผมจะเลื่อนวันเดินทางไปยูเออี คุณช่วยจัดการให้ผมด้วยนะ”
          “เลื่อนให้เร็วขึ้นเหรอครับ” ชายหนุ่มลังเล ด็อกเตอร์แฮร์มันน์เดินทางบ่อย นี่ก็กำลังจะไปลาว ตามด้วยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อันหลังนี่ไปเที่ยว แต่แจ้งสำนักงานใหญ่ว่าจะไปสัมมนาเพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินเอง เรื่องจองตั๋วเครื่องบินเป็นหน้าที่ของออกัส
          “แต่ตั๋วที่ผมจองให้เป็นตั๋วโปรโมชั่น ถ้าเลื่อนวันเดินทาง อาจจะไม่ได้ราคาเดิมนะครับ”
          “คุณเช็คราคามา ผมจะแจ้งไปทางสำนักงานใหญ่ ขออนุมัติงบเพิ่ม”
          ออกัสทำตามที่ได้รับคำสั่ง เขาโทรเช็คราคากับทางเอเย่นต์เจ้าประจำ แต่ก็มีปัญหาเพิ่มเติมคือ ตั๋วต้องคอนเฟิร์มภายในวันพรุ่งนี้เพราะกำหนดวันเดินทางที่เร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม และพนักงานที่รับผิดชอบจะไม่อยู่ทำเรื่องให้ เขาต้องโทรศัพท์ไปหาเอเย่นต์อีกเจ้าที่ทางนี้ติดต่องานด้วยเพื่อออกตั๋วให้เอง
          ชายหนุ่มโทรศัพท์คุยรายละเอียดอยู่นานจนแน่ใจ แล้วจดชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของคนที่ต้องติดต่องานด้วยเตรียมเอาไว้ จากนั้นโทรศัพท์รายงานด็อกเตอร์แฮร์มันน์ก็เป็นอันเรียบร้อย เขาไม่ค่อยเป็นห่วงเรื่องงานที่ค่อนข้างยุ่งยากนี้เพราะพรุ่งนี้เขาลาหยุด ข้าวโอ๊ตต้องเป็นคนตามงานต่อ และถ้ามีอะไรผิดพลาด รายนั้นก็รับผิดชอบไป ไม่เกี่ยวกับเขา
          หลังทำงานของตัวเองจนเสร็จ ออกัสก็ดูสินค้าออนไลน์ต่ออย่างสบายใจ เสื้อผ้าข้าวของที่ซื้อเตรียมไว้ไปใส่ที่เกาหลีก็ยังไม่ค่อยได้ดั่งใจเลย และยิ่งเขาเปิดดูเว็บไซต์มากเท่าไร เขาก็ยิ่งเห็นของที่น่าซื้อน่าใช้เต็มไปหมด มันยิ่งกว่าของที่เขาซื้อก่อนหน้านี้มาก
          “จะซื้อเสื้อโค้ตเหรอ”
          ออกัสเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงทัก เห็นญาดาเกาะเคาน์เตอร์อยู่ตรงหน้า โต๊ะของเขาเหมือนสถานที่รวมกลุ่มของคนในออฟฟิศ เพื่อนร่วมงานที่เบื่อกับการนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ชอบเดินออกมาจากห้อง แล้วมาเกาะเคาน์เตอร์คุยกับเขา
          “เมื่อวานก็สั่งไปแล้วตัวหนึ่งไม่ใช่รึไง”
          “ก็ใช่ครับ แต่ตัวนี้มันก็สวยเหมือนกัน ผมอยากได้ทั้งสองตัวเลย” ออกัสตอบพลางหันหน้าจอคอมพิวเตอร์มาให้ดู เสื้อโค้ตตัวที่เขาดูอยู่เป็นสีเทาอ่อน คัตติ้งเนี้ยบมาก เห็นปุ๊บก็ถูกใจ นึกเห็นภาพตัวเองใส่โค้ตตัวนี้เดินท่ามกลางลมหนาวอยู่ที่เกาหลีไปเรียบร้อยแล้ว
          “สวยจริง ๆ ด้วย แต่ราคาก็สูงเหมือนกันนะเนี่ย”
          ญาดาพูดเรื่องที่เขากำลังกังวลอยู่พอดี โค้ตตัวนี้ราคาสูงมาก ต้นคงไม่มีวันซื้อให้เขาแน่นอน และถึงชายหนุ่มจะปากดีว่าเขาจะใช้เงินของตัวเองซื้อ แต่เดือนนี้เขาก็รูดบัตรไปเยอะมากชนิดเห็นบิลเรียกเก็บเงินคงจะขนหัวลุก
          “แพง แต่ผมว่าคุ้มนะ ไหน ๆ จะซื้อทั้งทีก็ต้องเลือกที่ดี ๆ หน่อย จริงไหมครับ” ออกัสปัดความกังวลทิ้ง ความอยากของเขามีอิทธิพลเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และเขาอยากได้โค้ตตัวนี้ เขาก็จะซื้อ
          “ก็จริง แต่แหม ซื้อทีนี่จนเลยนะ เงินเดือนยิ่งขึ้นโคตรจะเยอะอยู่ด้วย”
          ชายหนุ่มยังมีอารมณ์ขันกับคำพูดแกมบ่นของญาดา ปีที่แล้วเงินเดือนของเขาขึ้นไม่ถึงหนึ่งพันบาท มันน้อยจนไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยนงานเพราะออฟฟิศอื่นงานหนักกว่านี้มาก อยู่ที่นี่เขายังสามารถเปิดเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์หรือดูหนังดูซีรีส์ตามยูทูบได้ตอนที่ไม่มีงานโดยที่ไม่โดนบล็อก
          “ก็ถ้ายังเป็นนายคนนี้กับฝ่ายการเงินคนนี้ มันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ” ออกัสพูด และญาดาก็บ่นต่อ
          “คนแก่นี่ขี้งกทุกคนเลยรึเปล่าเนี่ย เงินเฟ้อไปถึงไหน ๆ แล้ว เงินเดือนไม่ปรับตามเลย”
          “ไม่ใช่คนแก่ขี้งกอย่างเดียวพี่ แต่ยายเจ๊เจ้ากี้เจ้าการต่างหากตัวดี นางตัดงบทุกอย่างเพื่อหวังประหยัดเงิน แล้วส่งงบที่เหลือกลับสำนักงานใหญ่ นางจะได้หน้าถ้าประหยัดงบได้เยอะ”
          ยังไม่รวมเรื่องที่เจ้าหน้าเจ้าตาซิกแซกเรื่องค่าเดินทางให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ด้วย แม่คนนั้นทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ แต่จะกระทบใครบ้าง หล่อนไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว
          “นางได้หน้า แต่พวกเราลำบากกันหมด นายก็ไม่ฟังอะไรเล้ย”
          “ก็เขาไม่เดือดร้อนไปกับเราด้วยไง ข้าวของแพงยังไงก็ไม่กระทบ พี่ดูสิ ข้าวเที่ยงเขากินอะไร บางวันกินแค่สับปะรดชิ้นเดียว ห้าบาท เขาก็เลยยังหลงคิดว่าข้าวของในเมืองไทยมันถูกอยู่ไง ทั้งที่เดี๋ยวนี้ข้าวมื้อหนึ่งก็เกือบร้อยเข้าไปแล้ว”
          ออกัสตอบสนองคำบ่นด้วยความเอือมระอาของญาดา ก่อนที่ฝ่ายหลังจะสรุปอย่างปลง ๆ ว่า
          “เฮ้อ งั้นเรื่องเงินเดือนขึ้นก็อย่าหวัง จนกว่าจะเปลี่ยนนายกับฝ่ายการเงินใหม่”
          ญาดากลับห้องไปแล้ว ชายหนุ่มก็กลับมาจดจ่อกับการซื้อของออนไลน์อีกครั้ง เสื้อโค้ตตัวที่เขาเล็งเอาไว้ไปอยู่ในตะกร้าเรียบร้อยแล้วและชายหนุ่มก็เหมือนจะติดลม เขากดเลือกหมวกกับผ้าพันคอที่เข้ากับเสื้อโค้ตตัวนี้เพิ่มอีกสองชิ้น ก่อนจะกดจ่ายเงิน
          ยอดเงินที่เรียกเก็บสูงเกินกว่าที่เขาคิด ชายหนุ่มเห็นแล้วก็ตกใจ แต่กว่าที่ธนาคารจะเรียกเก็บเงินก็สิ้นเดือนโน่นแหละ และเขาก็มีทางออกเอาไว้อยู่แล้ว
          ใกล้เที่ยง พัดชาถือกระดาษเมนูอาหารมาถามเรื่องอาหารกลางวัน แม่บ้านประจำออฟฟิศชอบคุยกับเขามากกว่าคนอื่น ๆ คงเพราะอยู่ใกล้ ๆ กัน ปกติพัดชาอยู่ในครัว ทำงานกระจุกกระจิกของหล่อนไป และเมื่อว่างก็จะมานั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ เขาที่เคาน์เตอร์ ถ้าเขาว่างด้วย หล่อนก็จะชวนเขาคุย
          ตอนที่กำลังเลือกอาหารอยู่ พัดชาก็คุยกับเขาเรื่องข้าวโอ๊ต ชายหนุ่มเห็นเพื่อนร่วมงานวิ่งวุ่นอยู่เหมือนกัน แล้วก็นึกสงสารขึ้นมา พรุ่งนี้รายนั้นต้องมาทำงานแทนเขาด้วย เท่ากับรับสองหน้าที่ ข้าวโอ๊ตคงยุ่งยิ่งกว่าวันนี้แน่
          “พรุ่งนี้พี่จะเตือนให้คุณโอ๊ตไหว้เจ้าที่ นั่งตรงนี้ทีไร งานเข้าตลอดเลย”
          ออกัสหัวเราะเมื่อได้ยินแม่บ้านตัวกลมพูด ทุกคนชอบแซวข้าวโอ๊ตว่าดวงชงกับเก้าอี้ของออกัส เพราะเมื่อข้าวโอ๊ตต้องนั่งทำงานแทนออกัส รายนั้นจะเจอแต่เรื่องยุ่งยากลำบากเสมอ ทั้งจากงานตามหน้าที่ที่เข้ามา และจากคาริน่าที่มักจะมีปัญหาจุกจิกสารพัดให้ต้องช่วยจัดการ
          “บอกให้เอาของดำเก้าอย่างมาไหว้ราหูเลยนะพี่พัด หรือไม่ก็หายันต์มาติด กระจกแปดเหลี่ยม สิงห์คาบดาบ อะไรก็ได้ที่แก้อาถรรพณ์ รายนั้น” ออกัสบุ้ยใบ้เข้าไปด้านในของออฟฟิศ “ของเขาแรง ไหว้เจ้าที่ธรรมดาเอาไม่อยู่แน่”
          พัดชาหัวเราะคิกคัก หล่อนจดชื่ออาหารที่ออกัสต้องการสั่งเรียบร้อย แล้วลุกเดินไปห้องอื่นต่อ
          ออกัสรับประทานอาหารกลางวันในครัวกับข้าวโอ๊ต ญาดา และมิคกี้ เมื่อก่อนเขาก็เคยรับประทานอาหารกับฝรั่งในห้องรับประทานอาหาร แต่ก็ต้องล่าถอยเข้ามาในครัวด้วยเหตุผลเดียวกับคนอื่น ๆ คือ ไม่ชอบเรื่องที่ฝรั่งคุยกัน
          ถ้าอยู่กับเพื่อนร่วมงานคนไทยด้วยกัน เรื่องที่คุยก็จะหลากหลายและสนุกสนาน ชายหนุ่มถามข้าวโอ๊ต
เรื่องแผนไปเที่ยวในวันปีใหม่
          “ปีใหม่มีแพลนเที่ยวรึยัง ของเราจะไปเกาหลีกับแฟนล่ะ จองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว จะช็อปให้สนั่นเลย”
          ข้าวโอ๊ตปฏิเสธ
          “ไม่ได้ไปไหนหรอก คงกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเหมือนทุกปีนั่นแหละ ปีใหม่บ้านเรารวมญาติ ถ้าไม่ติดอะไรก็ต้องกลับไปให้เขาเห็นหน้าเห็นตาบ้าง”
         “นายล่ะมิคกี้” ออกัสหันมาถามเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องบ้าง
         “ไปญี่ปุ่นครับ” มิคกี้ตอบยิ้ม ๆ “จริง ๆ พ่อกับแม่อยากไปมัลดีฟ แต่ผมไปมาหลายครั้งแล้ว มันสวยก็จริงแต่ไม่ค่อยมีอะไร ผมว่าญี่ปุ่นน่าเที่ยวกว่า ก็เลยเปลี่ยนเป็นไปญี่ปุ่นแทน แช่ออนเซ็นชมวิวภูเขาไฟฟูจิ”
         “ญี่ปุ่นเหรอ ดีจังนะ อยากไปมั่งจัง” ข้าวโอ๊ตรำพึง
          ออกัสก็อยากไป เมื่อก่อนเขาไปเที่ยวญี่ปุ่นหลายครั้ง ไปทุกครั้งก็ติดใจทุกครั้ง แต่ค่าใช้จ่ายมันค่อนข้างสูง ถ้าบอกต้น เขาก็คงไม่ยอม ขนาดเกาหลีที่ค่าใช้จ่ายถูกกว่า ต้นยังไม่อยากจะไปเลย นึก ๆ แล้วก็น่าหงุดหงิด ต้นเปลี่ยนไปเยอะหลังจากเปลี่ยนมาทำงานอิสระ ไม่ตามใจเขา ชอบบังคับให้เขาทำโน่นทำนี่ ตอนนี้ก็ควบคุมการใช้จ่ายของเขา อีกหน่อยคงยึดเงินเดือนเขาไปด้วยแน่
          ชายหนุ่มมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องของตัวเองจนไม่ได้สนใจเรื่องที่มิคกี้ถามญาดาเรื่องน้องสาวของหล่อนจนกระทั่งเปลี่ยนมาคุยเรื่องความรักกันนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงสนใจขึ้นมาบ้าง
          ญาดาแนะนำให้ข้าวโอ๊ตที่ยังไม่มีแฟนไปเข้าฟิตเนสเผื่อจะได้เจอผู้ชายกับเขาบ้าง แต่ข้าวโอ๊ตยกมือไม่ทันเขา ออกัสแกล้งแสดงท่าทีกระเหี้ยนกระหือรือสุดชีวิต บอกว่า
          “จริงเหรอพี่ ผมสน เดี๋ยวไปสมัครวันนี้เลย”
          “พูดแบบนี้เดี๋ยวเราจะฟ้องพี่ต้น บอกว่าแฟนกำลังคิดจะมีกิ๊ก”
          ข้าวโอ๊ตกระเซ้าเขา
          “ใครจะมีกิ๊กเหรอครับ”
          วงสนทนาในครัวชะงักไปทันทีเมื่อนัตโตะโผล่เข้ามาในครัวพร้อมถามคำถามนี้ ออกัสเองก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องคนนี้มากนัก ชายหนุ่มไม่ถนัดเรื่องดราม่าเรียกน้ำตา เวลาทำงานเขาปะฉะดะกับคนที่ต้องติดต่องานด้วยแบบตรงไปตรงมา ด่าก็คือด่า ไม่มีการทำท่าเหมือนคนโดนรังแกให้น่าสงสารก่อนจะฉวยโอกาสลงมีดคนอื่นมิดด้ามอย่างที่นัตโตะถนัด
          แต่ถึงแม้จะเหมือนโดนแบนอยู่กลาย ๆ นัตโตะก็ยังสรรหาเรื่องต่าง ๆ มาดึงความสนใจจากคนอื่นได้อยู่ดี อย่างวันนี้ หมอนั่นยกเอาเรื่องนักศึกษาฝึกงานคนใหม่มาพูด ทุกคนก็เลยสนใจไถ่ถาม เขาเองก็สนใจ และเมื่อทราบว่าเป็นผู้ชาย เขาก็ภาวนาให้เป็นเด็กดี นิสัยดี ทำงานดี ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย เอาแต่กระโดดกระต่ายในออฟฟิศเหมือนที่เคยมีมาแล้ว และถ้ายิ่งหน้าตาดีด้วยก็จะดีมาก เขาจะยุให้ข้าวโอ๊ตจีบเล่น หมอนั่นมันจะได้ไม่ทำหน้าซังกะตายมากนัก
          ถัดจากนัตโตะ คาริน่ากับทีโมนก็เดินเข้ามาในครัวเพื่อเอาจานอาหารมาเก็บ คราวนี้วงสนทนาไม่แค่ชะงัก แต่กระเจิงกันเลยทีเดียว ชายหนุ่มเดินตามคนอื่น ๆ ออกมาจากห้องครัว กลับมานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม ฝรั่งในออฟฟิศนี่เหมือนแมลงสาบ เวลาบินได้ด้วยนะ บินเข้ามากลางวงทีนี่ทำเอาคนแตกฮือไม่เป็นขบวน
         

ออฟไลน์ Mettnoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
"ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 7 (3-1-2016)
«ตอบ #27 เมื่อ03-01-2016 18:13:36 »

          งานช่วงบ่ายของเขาไม่มีอะไรมาก จะมีก็แต่รับโทรศัพท์ที่มีมาตลอดวัน งานที่ค้างอยู่ก็เรื่องออกตั๋วเครื่องบินเรื่องเดียวเท่านั้น แต่เมื่อสักครู่เขาเห็นอีเมลน่าสงสัย น่าจะเป็นงานเดียวกับที่ทีโมนเรียกญาดาให้เข้าไปหาในตอนบ่าย ชายหนุ่มไม่รู้ภาษาเยอรมันเช่นเดียวกัน เขาใช้เว็บไซต์แปลภาษาเหมือนคนอื่นพอให้รู้รายละเอียดคร่าว ๆ ทราบว่าอาจจะต้องจัดงานแนะนำผลิตภัณฑ์ให้บริษัทของลูกค้า ชายหนุ่มรับหน้าที่เป็นออแกไนเซอร์ประจำออฟฟิศ ประสานงานเรื่องจัดงานต่าง ๆ เขาจึงใช้เวลาในตอนที่ว่าง คลิกดูห้องจัดงานของโรงแรมต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ สลับกับเปิดเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์เหมือนเดิม
          ออกัสนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าออฟฟิศ เขาจะมองเห็นทั้งทางเดินด้านในออฟฟิศและด้านหน้า ทำให้เขาไม่พลาดที่จะเห็นนัตโตะทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หน้าห้องของมิคกี้ตอนก่อนเที่ยง และตอนนี้ก็เห็นเขาคุยอะไรกับคาริน่า จากนั้นหล่อนก็เดินเข้าไปในห้องของข้าวโอ๊ต ครู่เดียวก็เดินออกมาพร้อมเจ้าของห้อง
          “งานเข้าอีกแล้ว โอ๊ตเอ๊ย” ชายหนุ่มส่ายหน้า แต่ถึงจะสงสารเพื่อนร่วมงานอยู่บ้าง ชายหนุ่มก็ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดี งานใครก็งานมัน งานของข้าวโอ๊ตไม่เกี่ยวกับเขา
          ข้าวโอ๊ตเดินตรงมาที่ครัวด้วยท่าทางหงุดหงิด ออกัสจึงทักลอย ๆ ว่า
          “งานเข้าทั้งวันเลยนะวันนี้”
          เพื่อนร่วมงานของเขาพยักหน้ารับด้วยใบหน้าที่เซ็งสุดขีด
          “เราไม่อยากเพิ่มงานให้นายเลย แต่พรุ่งนี้ที่เราหยุด มันมีงานด่วนเข้ามาต้องทำให้เสร็จภายในพรุ่งนี้ ยังไงต้องขอฝากนายทำต่อล่ะนะ”
          ไหน ๆ ก็เรียกแล้ว ออกัสเลยถือโอกาสบอกเรื่องงานเสียเลย ข้าวโอ๊ตฟังแล้วก็ทำหน้าละห้อยละเหี่ย แต่ด้วยหน้าที่ทำให้ไม่มีทางเลือก
          “งานอะไร” ข้าวโอ๊ตถาม
          “ออกตั๋วเครื่องบินให้ด็อกเตอร์แฮร์มันน์ เขาเลื่อนวันเดินทาง โปรโมชั่นที่เคยคุยกับเอเย่นต์ไว้มันหมดอายุ ราคาเปลี่ยน นายต้องถามด็อกเตอร์แฮร์มันน์ว่าราคามันโอเคไหม เขาจะบอกพรุ่งนี้เพราะต้องรออนุมัติเงินจากสำนักงานใหญ่ก่อน แล้วพรุ่งนี้นายโทรไปออกตั๋วกับเอเย่นต์ แต่เป็นเจ้าใหม่นะ เราจดเบอร์ไว้ให้แล้ว ตั๋วต้องออกภายในพรุ่งนี้ ไม่งั้นไม่ทัน”
          อธิบายจบ ออกัสก็ส่งกระดาษจดชื่อและเบอร์โทรศัพท์ให้เพื่อน
          หลังจากโยนงานให้เพื่อนไปแล้วและญาดายังไม่เรียกไปคุยเรื่องการจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์อย่างที่คิดเอาไว้ ชายหนุ่มก็เปิดอ่านเฟซบุ๊กฆ่าเวลา หน้าเพจของต้นไม่มีอะไรเคลื่อนไหว ข้อความหรือโทรศัพท์จากต้นก็ยังไม่มีเข้ามาเลยสักสาย ชายหนุ่มน่าจะยังโกรธเขาอยู่
          ออกัสตัดสินใจส่งข้อความไปขอโทษและง้อแฟนหนุ่ม ถึงจะเบื่อและคับอกคับใจกับการบังคับควบคุมของต้น แต่เขาก็รักต้นมากอยู่ดี ถึงจะรักน้อยกว่าตัวเองและการช็อปปิ้งก็เถอะ
          ยังไม่มีข้อความตอบกลับมาจากต้น แต่เขาได้รับข้อความจากเพื่อนคนหนึ่งที่รับสั่งซื้อสินค้าจากญี่ปุ่นและเกาหลี รายนั้นถามว่าสนใจจะสั่งกระเป๋ารุ่นใหม่หรือไม่ รูปที่แนบมานั้นสวยจนชายหนุ่มตาโตทีเดียว ราคาก็น่าสนใจ ออกัสเปิดเว็บไซต์ขึ้นมาเทียบราคาอย่างรวดเร็ว หลายเว็บไซต์มีขายกระเป๋ารุ่นใหม่นี้เหมือนกัน แต่ราคาต่างกันอยู่นิดหน่อย ข้อเสนอของเพื่อนคนนี้จึงดูดีที่สุด รู้ตัวอีกที เขาก็สั่งซื้อไปเสียแล้ว
          ทำไงดีล่ะ ยอดเงินตอนนี้มันสูงขึ้นกว่าเดิมอีกแล้ว
          ขณะที่กำลังคิดไม่ตกอยู่นั้น ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงทัก
          “งานยุ่งเหรอครับคุณกัส ทำหน้ายุ่งเชียว”
          ทีโมนยืนอยู่ใกล้เขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แถมยังยื่นมือเข้ามาทำท่าเหมือนจะคลึงรอยย่นระหว่างคิ้วของเขาจนเขาต้องถอยหนีและเลื่อนหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้พ้นสายตา
          “ไม่ยุ่งครับ งานของผมเสร็จแล้ววันนี้” ออกัสตอบก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “พรุ่งนี้ผมหยุดนะครับ ถ้าคุณมีงานอะไรก็ให้ข้าวโอ๊ตเขาช่วยไปก่อนนะ”
          “หยุดไปเที่ยวกับแฟนรึเปล่า” ทีโมนแกล้งถาม
          “ทำธุระครับ” ออกัสตอบสั้น ๆ
          “เย็นนี้ว่างไหม ไปดื่มค็อกเทลกันสักแก้วก่อนกลับบ้านไหมครับ ผมเลี้ยงเอง”
          “ไม่ดีกว่าครับ ผมต้องรีบกลับ แฟนรออยู่”
          ชายหนุ่มปฏิเสธคำชวนของรองผู้อำนวยการอย่างไม่ไยดี แต่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ยังคงทิ้งท้ายแถมใช้นิ้วชี้เคาะไปที่หลังมือของเขาด้วย
          “ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณอยากไปดื่มหลังเลิกงานเมื่อไหร่ก็บอกผมแล้วกัน”
          เมื่อทีโมนไปแล้ว ออกัสรีบหยิบทิชชู่เปียกออกมาเช็ดมือทันที หวังจะลบรอยที่ทีโมนทิ้งเอาไว้ เช็ดไปเช็ดมาก็ชะงัก เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า สิ่งที่ทีโมนทำมันเล็กน้อยมาก เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาตัดสินใจจะทำในวันพรุ่งนี้
          ออกัสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เปิดเฟซบุ๊กขึ้นมาเช็ค แต่ก็ยังไม่มีข้อความจากต้นเลย
          เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ออกัสเดินออกมาจากออฟฟิศพร้อมกับญาดาและข้าวโอ๊ตเพราะไปทางเดียวกัน ชายหนุ่มใช้บริการรถไฟฟ้า ก่อนจะต่อด้วยรถสองแถวเข้าหมู่บ้าน เมื่อก่อนเขาเคยมีรถใช้เหมือนกัน แต่หลังจากบริษัทของต้นปิดไป รถก็ถูกขายตามไปด้วย เหลือแต่ทาวน์โฮมขนาดสามชั้นที่ชายหนุ่มยังกัดฟันผ่อนธนาคารอยู่
          “กลับมาแล้ว” ออกัสส่งเสียงบอกเมื่อเปิดประตูเข้ามาในบ้าน
          “พี่ต้น กัสกลับมาแล้ว”
          ชายหนุ่มส่งเสียงอีกเมื่อเห็นว่าในบ้านเงียบเชียบ
          ออกัสชักกังวลที่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใด ๆ ปกติต้นอยู่บ้านตลอดเวลา ไม่เคยไปไหน แต่ทำไมวันนี้กลับไม่อยู่
          หรือเขายังโกรธอยู่
          ชายหนุ่มคิดอะไรเพลินจนไม่ทันรู้ตัวเมื่อมีใครบางคนเข้ามาสวมกอดเขาจากด้านหลัง
          “พี่ต้น!”
          ออกัสอุทานด้วยความตกใจเมื่อหันไปเจอหน้าแฟนหนุ่ม
          “กัสขอโทษ เรื่องเมื่อคืน”
          ถึงแม้ไม่คิดว่าตัวเองผิด แต่เขาก็ไม่อยากให้บรรยากาศระหว่างเขากับต้นตึงเครียดไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มจึงเป็นคนที่พูดคำว่าขอโทษออกมาก่อน และมันก็ทำให้ต้นใจอ่อนลงด้วย
          “พี่ก็ต้องขอโทษที่หงุดหงิดใส่กัส” คนรักของเขาพูด
          ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนที่จะควงแขนกันเข้าห้องนอนเพื่อไปปรับความเข้าใจกันใหม่อีกครั้ง
          โทรศัพท์ของออกัสสั่นเมื่อมีข้อความเข้า ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาเปิดข้อความออกอ่าน
          ‘เรื่องเป็นเอสคอร์ทให้คุณแอนเดอร์สันว่ายังไง คอนเฟิร์มภายในคืนนี้นะ’
          ออกัสเหลือบมองคนรักของเขาที่นอนหลับอยู่ข้าง ๆ แวบหนึ่ง
          สายตาของเขามีแววเสียใจ แต่เขาก็ตัดสินใจแล้ว
          ‘ตกลง ผมจะทำ พรุ่งนี้เจอกันที่ล็อบบี้โรงแรม’
          ออกัสกดส่งข้อความ ก่อนจะลบทุกอย่างทิ้งจนหมด
          ลิ้นสีแดงสดแลบออกมาจากปาก มันไล้เลียไปทั่วบริเวณอย่างช้า ๆ เมื่อพบจุดที่ถูกใจ ปากที่เต็มไปด้วยฟันซี่ใหญ่ก็กัดหมับเข้าไปตรงนั้น และกัดกินอย่างตระกรุมตระกราม

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 6 (3-1-2016)
«ตอบ #28 เมื่อ03-01-2016 19:12:46 »

ตีแผ่สังคมอ๊อฟฟิตจริงๆ

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
Re: "ฆาตกรรมในออฟฟิศ" - บทที่ 7 (3-1-2016)
«ตอบ #29 เมื่อ03-01-2016 22:02:25 »

ไม่รู้จักคำว่าเอสคอร์ท  :ling1:
ดีที่อากู๋ช่วยไว้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด