Rough and Tender 21
บรรยากาศในวันแรกของการเปิดภาคเรียนเต็มไปด้วยเสียงเอะอะของเหล่านักศึกษาที่ได้กลับมาพบปะเพื่อนฝูงอีกครั้ง สำหรับวิชาเรียนส่วนใหญ่ อาจารย์ก็มักจะใช้คาบแรกอธิบายเรื่องเนื้อหาคร่าวๆ กับการเก็บคะแนนมากกว่าจะเริ่มต้นสอนเนื้อหาจริงจัง แต่ละคาบอาจารย์จึงมักจะปล่อยให้นักศึกษาอ่านหนังสือกันเองหรือไม่ก็ปล่อยก่อนเวลา
ถ้าเป็นกรณีแรก ขอบฟ้าจะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่ที่โต๊ะตามลำพังจนหมดคาบ หากเป็นกรณีหลัง เขามักจะเดินไปห้องสมุดของคณะ พักกลางวันเขาก็นั่งกินข้าวคนเดียวตามปกติ
ความสงบเงียบในเวลานี้ดูราวกับจะเป็นเรื่องโกหกเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงหลังๆ เขารู้สึกเหมือนตัวเองติดอยู่ในเครื่องซักผ้าพลังสูง ถูกปั่นไปทุกทิศทุกทาง สาดซัดไปทางโน้นทีทางนี้ทีจนเยิน ช่วงเวลานี้น่าจะถึงตอนที่เขาถูกสะบัดตากบนราวได้แล้วกระมัง
ถึงจะมีสีจากเสื้อตัวอื่นตกใส่จนเป็นด่างเป็นดวง แต่ขอบฟ้าคิดในแง่ดี คืออย่างน้อยในชีวิตเขาก็มีสีสันขึ้นมาบ้างแล้วกัน
นึกถึงสีสันที่มีชื่อว่าพลชนะแล้ว ขอบฟ้าก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาเก็บรวบรวมข้าวของที่เคยได้รับจากฝ่ายนั้น ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ นาฬิกาและของเล็กๆ น้อยๆ ที่พลชนะซื้อให้ระหว่างที่คบกันล้วนถูกเก็บลงถุงพร้อมส่งมอบคืนแก่เจ้าของ แต่เขาไม่รู้ว่าจะคืนให้ด้วยวิธีไหนดี
อันที่จริงวิธีที่ง่ายที่สุดน่าจะเป็นการฝากผ่านกร แต่มันดูไม่เหมาะสมมากๆ ในความคิดของเขา เพราะกรคงไม่ได้เอาไปยื่นคืนพร้อมคำขอโทษหรืออะไรๆ ที่เพราะหู แล้วเขาก็คิดว่าของทุกชิ้นที่ได้รับมาจากมือก็ควรถูกส่งมอบคืนให้ด้วยมือเช่นกัน ดังนั้นวิธีที่สองอย่างการส่งไปรษณีย์จึงถูกข้ามไปด้วย
เหลือทางเลือกเดียวคือไปคืนให้พลชนะที่มหาวิทยาลัย ซึ่งบอกตรงๆ เลยว่าเขายังไม่มีความกล้าพอในตอนนี้
หลังหมดคาบสุดท้าย เขาจึงเดินลงจากตึกพร้อมกับคนอื่นๆ ระหว่างที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตามองทางก็พบว่าโดนคว้าแขนไว้โดยแรง พอเงยหน้าขึ้นมองยังไม่ทันจะเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดๆ ก็มีฝ่ามือเหวี่ยงตบเข้าใส่เต็มหน้าดังฉาดสนั่น
เจ้าของฝ่ามือซึ่งตอนนี้ยืนหอบหายใจใบหน้าซีดเผือดคือคนที่เขารู้จักดี
“...ป่าน”
หญิงสาวไม่พูดอะไรสักคำนอกจากหมุนตัวกลับไปทันที เสียงฮือฮารอบด้านเริ่มดังเข้าหูเขาบ้างแล้วหลังจากเมื่อครู่แทบจะไม่ได้ยินอะไรเลย ขอบฟ้ารีบออกวิ่งตามแผ่นหลังที่ยังเห็นอยู่ไวๆ ซึ่งกว่าจะไล่ทัน ป่านก็กระโดดขึ้นรถที่จอดไว้ไม่ไกลและตั้งท่าจะออกรถเสียแล้ว
เขารีบวิ่งกระหืดกระหอบตามไปตบกระจกด้านคนขับ ร้องเรียกหญิงสาว “ป่าน อย่าเพิ่งไป ป่าน ฟังผมก่อน”
เขาไม่สนใจว่าใครจะมอง ไม่สนใจว่าใครจะคิดยังไง สิ่งเดียวที่เขาเห็นในตอนนี้คือคนที่ตนรู้สึกดีด้วยมาตลอดกำลังเสียใจ
“ผมขอร้องล่ะ ผมขอร้อง...”
กระจกเลื่อนลงเล็กน้อย ก่อนเสียงแห้งจะเอ่ย “ขึ้นมาก่อนเถอะ”
ขอบฟ้ากระโจนขึ้นไปนั่งโดยไม่หยุดคิด ป่านออกรถช้าๆ โดยไม่ได้พูดอะไรอีก ซึ่งเขาก็เลือกที่จะเงียบเช่นกันจนกระทั่งรถจอดสนิทลงริมถนน
“ป่าน ผม...”
“กับพี่กร ตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงหญิงสาวสั่นสะท้านขณะเจ้าตัวมองตรงไปด้านหน้า
“ตั้งแต่...ก่อนวันเกิดพี่พลไม่นาน” ใช่ ไม่นาน ทั้งที่มันเพิ่งจะไม่นานมานี้เอง แต่ทำไมในความรู้สึกของเขามันกลับยาวนานราวชั่วนาตาปีก็ไม่ปาน
“นานขนาดนั้นเลยเหรอ” ป่านหัวเราะหากฟังแล้วกลับเหมือนเสียงสะอื้นเสียมากกว่า “ป่านโง่มานานขนาดนั้นเลยเหรอ คนหนึ่งก็แฟน อีกคนก็เพื่อนสนิท”
ขอบฟ้ารู้สึกราวกับว่าโดนคำพูดทุกคำกรีดเป็นแผลที่มองไม่เห็น หน้าเขาซีด มือก็เย็นเยียบ
“พี่กรไม่เหมือนคนอื่น เขาเฟลิตกับคนไปทั่ว ข้อนี้ใช่ว่าป่านจะไม่รู้ แต่ป่านก็ทน คิดว่าสักวันพี่กรจะสำนึกได้เองว่ามีแต่ป่านเท่านั้นที่เหมาะสมกับพี่เขา แต่ทำไมถึงต้องเป็นฟ้า ทำไมต้องแย่งพี่กรไปด้วย...”
พูดถึงตรงนี้ หญิงสาวก็สะอื้นฮัก “ทำไมฟ้าถึงทำกับป่านได้ลงคอ รู้ทั้งรู้ว่าป่านรักของป่านมากแท้ๆ”
ให้ป่านตบเขา ยังดีกว่าทนมองเธอร้องไห้สะอึกสะอื้นนัก เขาไม่มีคำแก้ตัวใดๆ และไม่คิดจะโทษว่าเป็นความผิดของกรด้วย เพราะเขาเองนั่นล่ะที่ทำให้เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ เพราะความขี้ขลาดของเขาทำให้คนสองคนต้องผิดหวัง ต้องเสียใจ
“ไปให้พ้นหน้าป่านเถอะ ฟ้า ป่านยังทำใจมองหน้าฟ้าตอนนี้ไม่ได้จริงๆ”
ในดวงตาโศกเศร้า ขอบฟ้าได้แต่มองส่งรถของเพื่อนคนเดียวของเขาลับหายไปจากสายตา ...คนที่เคยเรียกเขาว่าเพื่อนเพียงคนเดียวไม่ต้องการเห็นหน้าเขาอีกต่อไปแล้ว
+++++++++++
เมื่อกรมารับเขาบริเวณคณะหลังเลิกเรียน สิ่งแรกที่เขาทำคือจ้องใบหน้าชายหนุ่ม จ้องราวกับจะค้นหาว่าในใจของกรคิดอะไรอยู่ คิดจะทำลายชีวิตของเขาให้ป่นปี้เป็นผุยผง คิดจะขยี้ให้แหลกคาเท้าก่อนหรือ ถึงจะยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระได้
“คิดถึงกูมากหรือไง” กรซึ่งเห็นท่าทางจ้องอย่างเอาเป็นเอาตายของเขาเอ่ยสัพยอกขึ้นพลางเอื้อมมือมาหา ทว่าขอบฟ้าถอยหลบ
“ป่านรู้เรื่องแล้ว” เขากล่าวนิ่ง “ทำไมพี่ต้องบอกเธอด้วย”
รอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าหล่อเหลาหายวับ ใบหน้าอารมณ์ดีซึ่งยังแย้มยิ้มจนถึงเมื่อครู่กลายเป็นเหยียดหยันเย็นชา “แล้วทำไมกูจะบอกไม่ได้”
“ทำไมน่ะเหรอ!” ขอบฟ้าไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายตรงหน้ากล้าถามคำถามดังกล่าวออกมาได้อย่างไร “ก็เพราะป่านรักพี่ เพราะป่านเป็นแฟนพี่ ทำไมถึงทำร้ายเธอได้ลงคอ ถ้าพี่อยากทำร้ายใครสักคน ทำไมไม่ทำผม ถ้าพี่อยากจะทิ้งใครสักคน พี่ก็ทิ้งผมสิ แต่พี่จะทิ้งป่านไม่ได้!”
เสียงของเขายังไม่ทันจางหาย มือใหญ่ข้างหนึ่งก็คว้าลำคอเขาไว้และบีบแน่น กรสูดหายใจลึกคล้ายกับพยายามจะอดกลั้น พูดช้าๆ ใส่หน้าขอบฟ้าที่ออกแรงดิ้นรนจนใบหน้าแดงก่ำ
“กูจะทิ้งใคร มันเป็นสิทธิ์ของกู กูจะรักใคร มันก็เป็นสิทธิ์ของกู” ชายหนุ่มกัดฟัน ดวงตาดำมืดลึกล้ำราวกับห้วงพายุจ้องมองในดวงตาอีกคู่ ค้นหาความหมายที่ไม่เคยค้นพบสักครั้งในแววตา “ถึงกูจะใจร้าย แต่ก็ยังดีกว่าคนไม่มีหัวใจอย่างมึง”
ขอบฟ้าออกแรงดิ้นด้วยความโมโหอีกครั้ง ซึ่งมือที่ฟาดปาดป่ายมั่วซั่วไปทั่วก็ฟาดเข้าใบหน้าชายหนุ่มโดยแรง “ไอ้บ้า! พี่มันบ้าแท้ๆ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วยังกล้าโทษผมอีก! ผมไปทำอะไรให้พี่กันแน่ถึงได้จองเวรกับผมไม่เลิก! เมื่อไหร่จะเลิกยุ่งกับผมสักที เมื่อไหร่จะปล่อยผมไปสักที...”
อาละวาดจนหมดแรงแล้วเขาก็งอตัวคุดคู้เป็นลูกบอล รู้สึกว่ามีมือเอื้อมมาดึงตัวเขาเข้าไปกอดพร้อมกับมีเสียงกระซิบข้างหู
“อยากเป็นอิสระเหรอ”
เขาซบใบหน้าเปรอะเปื้อนลงกับอกกว้าง พยักหน้ารับโดยไม่ยอมพูด
“ก็ได้” คำพูดสั้นๆ ส่งผลให้ขอบฟ้าเงยหน้าขวับขึ้นจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ทว่าเมื่อได้ยินประโยคถัดมา เขาก็ต้องชะงักนิ่งค้าง “อยากพูดแบบนั้นอยู่หรอก แต่คงทำไม่ได้ เพราะกูจะไม่ยอมปล่อย จนกว่ามึงจะตาย”
กรยังยิ้มให้ กระทั่งในนัยน์ตาก็ยังดูอ่อนโยนผิดจากเวลาปกติ แววตาของชายหนุ่มอ่อนโยนยิ่งนัก ราวกับต้องการบอกว่าทุกคำพูดล้วนพูดอย่างมีสติ ไม่ได้พูดเพราะโกรธหรือโมโหเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะความสัมพันธ์ของพวกเรามันแน่นหนามาก... อาจจะมากกว่าที่มึงจินตนาการได้ด้วยซ้ำ กูจะจับมึงเอาไว้ จะประคองไว้ในมือ จะบีบให้แหลกเป็นผุยผงแล้วค่อยบรรจงเก็บขึ้นมาปั้นใหม่ ดังนั้นไม่ต้องห่วงหรอกว่าใครจะกล้ายื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องของเราได้อีก ไม่ต้องกลัว”
คนให้คำสัญญาหนักแน่นก้มลงจูบเขาราวกับต้องการตอกย้ำคำพูด ความเจ็บแปลบที่ริมฝีปากทำให้ต้องร้องอุทานอู้อี้ กรไล้เลียรอยแผลที่ตัวเองเป็นผู้ทำให้ด้วยปลายลิ้นและบังคับให้เขาชิมรสเลือดหวานเฝื่อน หัวเราะในคอยามเขาดิ้นรนหวังให้เป็นอิสระ มือใหญ่เพียงแค่ยึดเอาไว้จนเขาหอบหายใจหนักหมดแรงไปเอง
“หืม นิ่งทำไมล่ะ เหนื่อยแล้วหรือไง” กรใช้แขนเสื้อตัวเองเช็ดหน้าเช็ดตาแดงก่ำเลอะเทอะด้วยน้ำตาและหยดเหงื่อให้แรงๆ คล้ายกับจะแกล้ง “งั้นกลับบ้านกันเถอะ”
คืนนั้น ยามที่ร่างเบื้องบนทาบทับเขาไว้ทั้งตัวและขยับกระแทกกระทั้นอย่างเร่าร้อนเอาแต่ใจ ขอบฟ้าได้แต่คิดถึงคำพูดที่ได้ยินท่ามกลางความสุขสมที่แล่นริ้วราวกับระลอกคลื่น
จะไม่ยอมปล่อย จนกว่าจะตาย...
เขาตัวสั่นยามจังหวะรุกรานกระชั้นถี่ ลมหายใจร้อนผ่าวของพวกเขาผสมผสานปนเป กลิ่นของการร่วมรักลอยคลุ้งในอากาศ หนักหน่วงจนแทบจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในชั่ววูบที่ถึงขีดสุดของอารมณ์ พาลให้คิดไปได้ว่าเขาอาจจะตายเพราะต้องกินยาพิษที่หอมหวานเช่นนี้มานานโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
++++++++++
ขอบฟ้าเลิกคิดไปนานแล้วว่ากรจะเบื่อเขาเมื่อไหร่ เหมือนกับที่เขาเลิกตั้งคำถามกับมารดาว่าผีมีจริงไหมเมื่อสมัยเด็กๆ นั่นล่ะ
เพราะของบางอย่างมันไม่สามารถจำแนกแยะแยะได้ชัดเจน เขายังไม่เข้าใจว่ากรจะเก็บเขาไว้อีกทำไมหรือมันน่าสนุกตรงไหนกับการขลุกอยู่กับเขา เขาไม่รู้จักนักร้องดังๆ จำหน้าดาราใหม่ๆ ไม่ได้ งานอดิเรกอะไรก็ไม่เอาสักอย่าง หัวก็ไม่ดี หน้าตาก็ธรรมดาหาได้ทั่วไป กรคิดอะไรหรือเห็นอะไรที่แม้แต่ตัวเขาก็ไม่รู้ว่ามันอยู่งั้นเหรอ
“เหม่อ” นิตยสารที่ถูกม้วนเป็นกระบองตีลงกลางหัวขอบฟ้าที่นั่งเท้าคางมองโจทย์เลขจนสะดุ้ง “เหม่อได้อีก คิดว่ากูไม่เห็นหรือไง”
คนพูดลดนิตยสารรถยนต์ที่อ่านอยู่ในอีกมือลงเพื่อมองส่วนที่เขาติดแหง็กมานานแล้ว หากแทนที่จะอธิบายดีๆ กรกลับตีเขาอีกรอบด้วยกระบองอันเดิม “ตรงนี้กูอธิบายไปแล้ว ทำไมทำไม่ได้ ฟังแล้วหัดคิดตามบ้างสิวะ นี่อะไร เข้าหูซ้ายปุ๊บไหลออกหูขวาปั๊บ สมองมึงมีไว้กั้นหูอย่างเดียวหรือไง”
ขอบฟ้าเริ่มลนลาน ก้มหน้าก้มตาแก้โจทย์ต่อด้วยความรีบร้อน แต่กรที่ยิ่งสอนยิ่งดุเดือดก็ถึงกับวางมือจากอย่างอื่นมานั่งจ้องจับผิด
“ใช้สูตรตัวนี้ได้ที่ไหน” ป้าบ!
“เหี้ย! กราฟกลับหัวแล้ว” ป้าบ! ป้าบ!
“มึงคูณเลขผิด!” ป้าบ! ป้าบ! ป้าบ!
หลังจากกระหน่ำตีจนกระบองจำเป็นยับยู่ยี่ ขอบฟ้าที่หน้าตื่นอย่างหนักก็ทำเสร็จจนได้ ส่วนกรก็กำลังมองเขาแบบไม่อยากจะเชื่อ “กูเพิ่งเคยเห็นคนทำโจทย์แคลคูลัสข้อเดียวเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วนี่ตอนสอบมึงทำข้อสอบทันได้ยังไง”
“ผมก็ทำเรื่อยๆ” ตอบพลางลูบหัวที่โดนตีเอาๆ เมื่อครู่ ถึงจะไม่เจ็บแต่ก็เล่นเอามึนเหมือนกันนะ “ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะทำไม่ได้เสียมากกว่าไม่ได้ทำน่ะครับ”
กรยกมือห้ามเป็นเชิงให้หยุดพูด ขอบฟ้าเลยปิดปากเงียบ นั่งมองคนกุมขมับแบบไม่กล้ารบกวน เปิดเทอมมาได้พักหนึ่งแล้ว คืนวันศุกร์เขาก็มักจะขนหนังสือมาอ่านที่ห้องของชายหนุ่มบ่อยๆ ที่ผ่านมาเป็นวิชาท่องจำก็ไม่ค่อยมีปัญหา กรปล่อยเขาอ่านหนังสือเงียบๆ และลากให้ขึ้นเตียงเข้านอนพร้อมกัน แต่มาอาทิตย์นี้พอดีถึงคิววิชาคำนวณ ก็แจ๊กพ็อตแตกจนได้
นั่งมองชายหนุ่มอัดบุหรี่เข้าปอดหนักๆ ทำท่าหนักใจเหมือนมนุษย์เงินเดือนหาเช้ากินได้ไม่ถึงค่ำแล้วเขาก็เอ่ยปากถาม “เดี๋ยวนี้ป่านกับพี่พลเป็นยังไงบ้าง”
อีกฝ่ายหยุดอัดมะเร็งเข้าปอดเพื่อหันมามองหน้าเขาด้วยแววตาหาเรื่อง “ถามไปทำไม”
“ผมอยากรู้แต่ไม่กล้าโทรไป” ตอบตามตรงแล้วย้ำถาม “ว่าไงครับ พวกเขายังสบายดีไหม”
“หึ แหงสิ มึงอย่าประเมินตัวเองสูงเกินไปหน่อยเลย” กล่าวพลางขยี้บุหรี่ลงกับจานรอง เพียงเพื่อจะจุดตัวใหม่ต่อแทบจะทันที “กับป่าน กูไม่ค่อยเจอหน้าแล้ว คงมีแฟนใหม่ไปแล้วมั้งป่านนี้ ส่วนไอ้พล...”
มองกิริยากลั้นหายใจรอคำตอบของเขาก่อนจะหัวเราะเยาะ “มันออกเที่ยวหิ้วเด็กไม่ซ้ำหน้าสักคน ก็ท่าทางอยู่ดีมีสุข ไม่เห็นมันจะเดือดร้อนหรือลงไปชักดิ้นชักงออย่างที่มึงอยากเห็นนักหนาหรอก”
โดยไม่ใส่ใจกับคำกระแนะกระแหน ขอบฟ้ายิ้มจาง โล่งอก “ก็ดีแล้ว”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กรยกขึ้นกดรับและเลิกสนใจท่าทีเขา
ขอบฟ้าถือเป็นโอกาสพักจึงถอดแว่นที่ใส่มานานจนเริ่มปวดตา เดินเลี่ยงออกมาบริเวณระเบียงกว้างขนานตามแนวห้อง สูดหายใจรับอากาศยามค่ำคืนขณะเฝ้ามองทิวทัศน์เมืองใหญ่ในยามราตรี แสงไฟระยิบระยับบนพื้นดินสว่างไสวเสียจนกลบแสงดาวริบหรี่บนท้องฟ้า
อดยิ้มออกมาไม่ได้ กรคิดว่าเขาจะเสียใจที่ป่านกับพลชนะไม่ได้จะเป็นจะตายเพราะเขา ไม่จริงสักหน่อย ขอบฟ้าไม่ได้หวัง อันที่จริง เขาเลิกหวังอะไรต่อมิอะไรมาตั้งนานแล้วและเพิ่งจะถึงขั้นปล่อยไปตามยถากรรมได้พักใหญ่ ไม่ต้องคิดอะไรมากมายให้ปวดหัว ไม่คาดหวังให้ต้องผิดหวัง ถ้ากรยังไม่ยอมปล่อยมือก็ไม่เห็นจะเป็นไร ในเมื่อจิตใจเขาเป็นอิสระไปแล้ว
เขายืดตัวขึ้น มือปล่อยจากราวระเบียงและชะโงกตัวไปด้านหน้า พื้นดินอยู่ห่างลงไปเป็นความสูงหลายสิบชั้น
“ฟ้า” ไม่บ่อยนักหรอกที่กรจะเรียกชื่อเขา ขอบฟ้าเหลียวไปตามเสียงเรียก เห็นร่างสูงยืนนิ่งอยู่ “ทำอะไร”
เขากระพริบตาปริบๆ ไม่ได้พูดอะไร
กรเดินมาข้างหน้าอีกก้าว เอ่ยด้วยเสียงที่ฟังดูราบเรียบผิดวิสัย เรียกว่าสงบเกินไปด้วยซ้ำ “เข้ามานี่มา”
มือใหญ่ยื่นมาให้ เขามองมือแข็งแรงนั้น หยุดคิดสักพักก่อนจะขยับลงจากราวระเบียง จับมือที่รออยู่ ซึ่งมันก็แปลกนิดหน่อย ถ้าไม่ได้เข้าใจผิด เขาก็อยากจะคิดว่ามือของกรเย็นกว่าปกติ
และตอนนี้ อ้อมกอดกระด้างก็รัดเขาเข้าไปแนบร่างกายที่อุณหภูมิสูงจัด “ออกไปทำบ้าอะไรบนนั้น หา!”
“...เห็นข้างล่างมันสวยดี เลยอยากชะโงกมองให้ชัดๆ” นิ่วหน้ากับเรี่ยวแรงของอีกฝ่าย “ผมถอดแว่นวางไว้บนโต๊ะ”
หลังจากยืนนิ่งคิด ขอบฟ้าจึงค่อยหัวเราะออกมาเบาๆ ทำให้ชายหนุ่มถึงกับชะงักและจับบ่าเขาไว้พลางจ้องหน้า
“พี่กรคิดว่าผมจะฆ่าตัวตายเหรอ ผมไม่กล้าทำแบบนั้นหรอก” อาจจะเพราะสายตาหวาดระแวงหรือหน้าคว่ำๆ เป็นม้าหมากรุกของคนตรงหน้า ขอบฟ้าจึงกล้าที่จะยกมือขึ้นลูบเส้นผมตรงท้ายทอยร่างสูงเล่น “ผมอาจจะโง่ แต่ไม่ได้โง่ถึงขั้นจะคิดฆ่าตัวตายหรอกนะ และผมไม่คิดว่าความตายจะเป็นทางออกให้ใครได้ อีกอย่างความอดทนผมสูงจะตาย ถึงจะเคยท้อบ้าง อะไรบ้าง แต่ผมก็ทนจนผ่านมันมาได้”
ดังนั้น แค่ทนต่ออีกนิด เขาก็คงทนได้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ขอบฟ้าคิดโดยไม่ได้พูด
“พูดถึงแต่เรื่องตายอยู่ได้ ไม่น่ารักเลย” แม้ปากจะว่า หากกรกลับโอบบ่าเขาไว้ไม่ยอมปล่อยขณะพากลับเข้าด้านใน “เรื่องติวหนังสือให้มึงน่ะ กูคิดออกแล้วว่ามีเพื่อนที่รับสอนพิเศษเด็กเตรียมเอนทรานส์อยู่ กูจะให้มันมาสอนมึง เพราะเท่าที่ดูนี่มึงอ่อนตั้งแต่ราก คงต้องให้พวกมีประสบการณ์มาดูให้น่าจะดีกว่า”
“ไม่เอาหรอก ผม...”
ดูท่ากรจะรู้ถึงเหตุผลที่เขาปฏิเสธก่อนจะทันได้พูดด้วยซ้ำ “ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินบ้างสักวันมึงจะตายไหม กูหาคนมาสอนมึงฉะนั้นกูจะเป็นคนจ่ายเอง”
“แค่ที่ยืมเงินพี่มา ผมยังใช้คืนไปได้ไม่เท่าไหร่ แล้วนี่...” ขอบฟ้าท้วง นึกสภาพตามใช้หนี้จนแก่แล้วหดหู่นักหนา
“เงินน่ะกูมีเยอะ มึงไม่ต้องเอาค่าขนมหยุมหยิมมาคืนกูหรอก เพราะกูมีเรื่องใหญ่กว่านั้นให้ต้องห่วง...” อยู่ๆ คนพูดก็ทำหน้าเครียดเสียจนเขาเกร็ง เรื่องใหญ่ของกรต้องใหญ่มากๆ แน่ ขนาดคนไม่ยี่หระอะไรยังหน้านิ่วคิ้วขมวดนี่อาจเป็นปัญหาระดับชาติ... “ถ้าเมียกูโง่จนติดเอฟ เรียนไม่จบนี่กูคงลำบากน่าดู”
นิ่งอึ้งไปอึดใจกว่าจะรู้ว่าหมายถึงตนเอง กรเริ่มหัวเราะเอาๆ และไม่ได้เงื้อมือสวนตอนขอบฟ้าทุบโครมด้วยความโมโหด้วยซ้ำ เขาสะบัดจนหลุด ก่นด่างุบงิบอย่างหงุดหงิดขณะกลับไปเปิดหนังสือเรียนต่อ
“ประสาท”
“มึงว่าใคร” กรเขกมะเหงกลงกลางหัวก่อนจะทรุดตัวลงพร้อมกระดาษโน๊ตกับปากกา “มึงอ่อนวิชาอะไรบ้าง”
จดตามที่เขาบอกไปได้สักพัก ชายหนุ่มก็ฉีกทิ้ง สั่งใหม่ “เอางี้ดีกว่า มึงพอจะเก่งวิชาไหนบ้าง”
จดไปได้สองวิชาแล้วกรก็ขมวดคิ้ว “ภาษาอังกฤษก็แย่เหรอเนี่ย แย่มากไหม ถ้าเป็นแค่พูดกับฟังล่ะ พอไหวหรือเปล่า”
มองขอบฟ้าส่ายหัวดิก กรยิ่งขมวดคิ้ว “ถ้าภาษาไม่ได้ เวลาไปเมืองนอกจะลำบาก”
“ไม่เป็นไรหรอก เพราะผมไม่ไปเมืองนอก” ตอบตามความสัตย์จริง แต่กลับโดนทำหน้าเอือมใส่
“เดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนกูก็จะจบแล้ว ต้องไปต่อโทที่อังกฤษ” ขอบฟ้ากระพริบตาปริบๆ “...มึงต้องไปด้วย”
รู้สึกเหมือนขนทั้งตัวลุกตั้งประหนึ่งเจอผีหลอกแบบไม่ทันตั้งตัว เขาอ้าปากค้าง เกิดอาการติดอ่างกะทันหัน
“ไม่...ผมมะ...ไม่ไปหรอก ผะ...ผะ...ผมจะไปได้ยังไง ไหนจะมหาลัย นะ...ไหนจะที่บ้าน ผมไม่ไปหรอกนะ”
“ไปได้สิ ถ้ากูสั่งให้ไป” ตอบสั้นตรงประเด็น คิ้วเข้มเริ่มขมวด “มึงจะอาวรณ์อะไรที่นี่นักหนา เพื่อนก็ไม่คบ สู้ไปเริ่มใหม่ที่โน่นยังง่ายกว่า อีกอย่าง...มึงคิดจะให้กูใช้มือขวาตลอดสองปีเลยหรือไง ไม่กลัวกูมีกิ๊กเลยใช่ไหม หา”
แว่บแรกคิดจะตอบว่าไม่ต้องมีกิ๊ก แต่ให้หาใหม่เลยก็ได้ แต่อะไรบางอย่างก็ติดขัดในอกจนคิดว่าคงให้พูดออกไปไม่ได้ ขอบฟ้าจึงรีบคิดใหม่เร็วจี๋ พยายามคลี่ยิ้ม หวังว่าคงไม่ดูเหยเกจนเกินไปนัก
“ผมเชื่อใจพี่กรนะ ชะ...เชื่อว่าถึงเราจะห่างกัน พี่ต้องไม่มีใครใหม่แน่” เขาปั้นยิ้ม ทำสีหน้าจริงใจ “ละ...แล้วพี่กรไม่เชื่อใจผมบ้างเหรอ”
โอเค เขาโง่เองล่ะที่คิดจะหาความรู้สึกผิดจากกรซึ่งว้ากสวนทันที
“เออ! กูไม่เชื่อใจมึง มึงน่ะเป็นประเภทไหลไปตามน้ำ ใครลากไปไหนก็ไปกับเขาหมด” ถลึงตาดุใส่ราวกับว่าเขาไหลไปแล้วก็ไม่ปาน “อีกอย่าง น้ำหน้าแบบมึงปล่อยให้อยู่คนเดียวได้ที่ไหน หาเรื่องตลอด ไม่รู้ก่อนเจอกู มึงเอาชีวิตรอดมาได้ยังไง”
“พูดเกินไปแล้ว ผมก็ไม่ได้...” กรเคยช่วยชีวิตเขาเหรอ จะกี่ครั้งกันเชียว ครั้งแรกตอนโดนรุมกระทืบหน้าผับ ครั้งที่สองงมขึ้นมาจากทะเล ครั้งที่สาม... “มันก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้นสักหน่อย”
“มึงมีทางเลือกแค่สองทาง หนึ่ง ไปกับกูดีๆ” คนเอ่ยยิ้ม “หรือสอง จะไปกับกูทั้งน้ำตา”
ขอบฟ้าเริ่มมึนหนักเสียจนขอพักเรื่องนี้เก็บใส่กล่องชั่วคราว กรพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ แต่สำหรับเขา มันใหญ่เสียจนไม่รู้จะใหญ่ยังไง เขายังไม่พร้อมจะสู้รบปรบมือตอนนี้เสียด้วยในเมื่อยังมีการสอบย่อยรออยู่อีกไม่กี่วันข้างหน้า
พอจะตั้งสมาธิทบทวน กรกลับตามมาฉุดแขนเขา “พอได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยอ่านต่อ ตอนนี้ถึงเวลาเข้านอน”
โดนยกหิ้วเข้าห้องนอนและต้องนิ่วหน้าขณะก้มมองมือใหญ่ที่เริ่มปลดกระดุมชุดนอนให้เขาอย่างใจเย็น กรเริ่มทำเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาก็จริง แต่ดูเหมือนเขาจะเริ่มเฉื่อยชาเกินไปเสียแล้ว
“ไหนบอกว่าจะนอน”
“อะไรวะ อย่าบอกนะว่าจะงอแงอีกแล้ว” คนโดนขัดคอเริ่มโวย หน้าเริ่มบึ้ง “กูอุตส่าห์นั่งหลังขดหลังแข็งสอนมึงตั้งนานสองนาน ตีหัวมึงจนกูเมื่อยมือไปหมดแล้ว แต่มึงจะไม่ตอบแทนน้ำใจกูหน่อยเลยใช่ไหม ไอ้เด็กเนรคุณ”
เด็กเนรคุณจึงถอนหายใจ “ก็ได้ งั้นผมจะตอบแทนให้ พี่กรขึ้นไปนอนบนเตียงสิ”
เป็นครั้งแรกที่เห็นกรกุลีกุจอทำตามที่สั่ง ขอบฟ้าจึงค่อยๆ คลานต้วมเตี้ยมขึ้นไปนั่งข้างๆ และเริ่มลงมือแบบเก้ๆ กังๆ เพราะไม่เคย
“มึงทำอะไร” ผ่านไปแค่ไม่ถึงสิบวินาที กรก็ถามเสียงต่ำ
เขาชะงักก่อนตอบ “นวดมือให้ไง ไหนพี่กรบ่นว่าเมื่อย”
“นี่มึงประชดกูเหรอ” คนพูดลุกผางขึ้นมา ตะคอกใส่หน้าเหรอหรา
“ใครประชด พี่พูดอะไรเนี่ย ถ้าผมนวดแย่มาก ผมไม่นวดแล้วก็ได้”
มองสบตาคมๆ ที่จ้องเขม็งแบบไม่หลบสายตาและเห็นกรบ่นพึมพำจับความไม่ได้ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนคว่ำ “เออ นวดก็นวดวะ นวดดีๆ ล่ะมึง”
ขอบฟ้าตั้งอกตั้งใจนวดไปทั่วแนวบ่าและแผ่นหลังกว้าง กล้ามเนื้อภายใต้ฝ่ามือแน่นตึงสมบูรณ์แข็งแรง ดูเหมือนจะไม่มีไขมันส่วนเกินตรงไหน เขาจึงอดก้มมองตัวเองบ้างไม่ได้ ลองหยิกพุงดูก็พบว่ามันนิ่มๆ ไม่ได้ดูมีเสน่ห์สักนิด
“พี่กร”
“...อะไร” เสียงตอบยานคางง่วงงุน
“ออกกำลังกายบ่อยเหรอ”
“ถ้าว่างนะ” เว้นช่วงไปนิดหนึ่งก่อนเสริม “แต่กูชอบออกกำลังกายบนเตียงมากกว่า”
พูดเรื่องอะไรๆ ก็ชวนลงไปแต่แถวใต้สะดือ ขอบฟ้าเลยเลิกพูดและตั้งใจนวดต่อจนเริ่มเหนื่อย พอจะขอหยุดจึงค่อยพบว่าร่างสูงหลับไปแล้วเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ปล่อยให้เขานวดอยู่ได้ตั้งนาน
หลังจากปิดไฟในห้อง เตรียมเข้านอน ขอบฟ้าก็เดินมะงุมมะงาหราเตะขอบเตียงไปที ก่อนจะปีนขึ้นเตียงกว้างได้ เขาขยับผ้าห่มห่มให้อีกคนแล้วค่อยซุกตัวลงใต้ผ้าผืนเดียวกัน
++++++++++