Rough and Tender 24
เขาฝัน
สาเหตุที่รู้ว่าเป็นความฝันเพราะสถานที่ที่เขายืนอยู่สวยงามเกินกว่าจะเป็นโลกจริงได้ สายลมสดชื่นพัดไล้ใบหน้าเขาอย่างนุ่มนวล โลกสีขาวสะอาดตากว้างไกล กลิ่นหอมสะอาดสดชื่นชวนให้หลับตาลงนอนพักนานๆ หรือบางทีอาจจะเป็นตลอดไป
หากเหมือนลืมอะไรบางอย่าง หรือจำใครบางคนไม่ได้ ความคิดเล็กๆ นั้นทำให้เขาหงุดหงิดพอสมควร ความข้องใจติดในหัวจนนอนไม่สบาย จนท้ายสุดต้องยอมแพ้เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อหาคำตอบ
ทั้งๆ ที่คิดว่าตื่นแล้วแท้ๆ แต่เขาคงจะยังฝันอยู่ไม่เลิก เพราะร่างกายเขาขยับเขยื้อนไม่ได้สักส่วน พอพยายามจะขยับมือก็หนักอึ้ง คิดจะอ้าปากพูด ลำคอกลับแห้งผากเสียจนไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมา
เสียงกุกกักที่ดังขึ้นทำให้ขอบฟ้าเหลือบตาไปมอง ปลายฝนที่เดินถืออะไรบางอย่างในมือสบตากับเขาโดยบังเอิญและทำของหลุดมือดังโครม
“พี่ฟ้า!” กรีดเสียงดังลั่นแล้วน้องสาวเขาก็วิ่งเตลิดหายไปเหมือนเห็นผี
หรือว่าเขาจะกลายเป็นผีไปแล้ว...
คำตอบของเขาได้รับคำเฉลยในนาทีต่อมาเมื่อแพทย์และพยาบาลกรูกันเข้ามารุมล้อมรอบเตียง เอาสายนั้นวัดโน่น เอาหูฟังวัดนี่ ส่องไฟฉาย ส่ายนิ้ว พยักหน้ากันหงึกหงัก
จนกระทั่งมีพยาบาลคนหนึ่งใจดีนำแก้วน้ำพร้อมหลอดมาจ่อให้ตรงปาก เขาที่ตั้งท่าจะกินให้หายอยากต้องชะงักเมื่อน้ำนั้นมีรสปร่าแปร่งแต่ก็ยังช่วยให้ลำคอหายแห้งผากไปได้บ้าง ทว่าหลังดูดไปได้อีกนิดหน่อย พยาบาลก็ดึงแก้วกลับไป “ยังดื่มมากไม่ได้นะคะ”
พอหมอถอยออกไป กลุ่มคนอีกพวกที่ยืนรออยู่รอบนอกก็กรูมาเกาะขอบเตียง ปลายฝนยืนน้ำตาคลอหน่วงอยู่ติดกับมารดาที่น้ำตาไหลนองหน้า
“เกือบไปแล้วนะ แกรู้ตัวไหมว่าแกเกือบตายไปแล้ว เจ้าฟ้า ฮือออ...แกจะทำให้ม้าตกใจจนอายุสั้นไปถึงไหน”
“ม้า...” เสียงแหบแห้งราวกับไม่ใช่เสียงตนเองทำให้เขาตกใจนิดหน่อย “ม้า...อย่าร้อง”
“นั่นสิๆ แกก็ปลอดภัยดี ร้องไห้แล้วมันเป็นลาง ยัยฝน แกก็เลิกร้องได้แล้ว” มารดาหันไปดุลูกสาวแทนแต่ปลายฝนก็เถียง
“ม้านั่นล่ะ ร้องห่มร้องไห้มาตลอดแท้ๆ ฝนน่ะร้องบ้างหยุดบ้างยังไม่เคยห้ามม้าเลย”
เถียงกันสักพัก ปลายฝนก็หันมาสนใจเขา “วันนี้วันที่สามตั้งแต่ออกจากห้องผ่าตัด หมายความว่ามันผ่านเกือบสี่วันแล้วที่พี่ฟ้าโดนรถชนมานานแบ็บอยู่บนเตียงนี่ นอนไม่กระดุกกระดิกเสียจนหมอก็ไม่รู้ว่าทำไมพี่ฟ้ายังไม่รู้สึกตัวเสียที”
“รถชน...” เขาทวนคำ เสียงยังแหบเป็นเป็ดเหมือนเดิม
“ใช่ รถชน รถชนแบบตัวกระเด็นลอยละลิ่วตกลงบนพื้นถนนนั่นล่ะ ไอ้อาจารย์เฮงซวยนั่นโดนข้อหาพยายามฆ่าด้วย สมน้ำหน้ามัน” ปลายฝนทำหน้าสะใจก่อนจะเพิ่งนึกออก “อ๊ะ ฝนลืมเล่าไป ก็ไอ้คนที่มันขับรถชนพี่ฟ้าไง คืออาจารย์คนที่เคยมีเรื่องกับพี่ฟ้าที่ชื่อนภดลนั่นไง มันแก้ตัวว่าเป็นอุบัติเหตุ ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใคร เพราะเห็นว่าเคยมีเรื่องทะเลาะกันมาก่อนในผับใช่ไหม แถมมีจดหมายขู่ทั้งพี่กรกับพี่ฟ้า เห็นได้ชัดว่าจงใจวางแผนมาก่อน เจตนาฆ่าชัดๆ ได้ติดคุกจนแก่ตายแน่”
พูดไปแล้ว เด็กสาวก็ยิ้ม “แต่มันอาจจะชอบก็ได้เพราะขืนหลุดออกมาก็คงโดนฆ่าตายเปล่าๆ ท่าทางพี่กรจะอยากให้เป็นแบบนั้นเสียด้วย”
ถึงจะอยากถามต่อ แต่ปลายฝนก็โดนมารดาตีแขน ดุว่าพูดจาเหลวไหล “ฝนมันพูดเพ้อเจ้อ แกก็อย่าไปฟังมันมาก แล้วนี่ยังเจ็บยังปวดตรงไหนอยู่หรือเปล่า บอกหมอเขาให้หมดนะ แกน่ะมันดื้อเงียบ จะเจ็บจะปวดอะไรก็ไม่ค่อยยอมอ้าปากพูด กลัวยามากกว่ากลัวตาย”
ฝ่ายทีมแพทย์พอได้ยินคำบรรยายก็กรูกันเข้ามาหาอีกรอบ ทั้งซักถาม ทั้งวัดโน่น จับนี่ให้วุ่นจนเป็นที่พอใจ คุณหมอจึงเอ่ยขอตัว “ผมต้องรีบไปรายงาน ถ้ายังไง อย่าเพิ่งกวนคนเจ็บมากนะครับ ให้เขาพักผ่อนเยอะๆ เดี๋ยวหมอจะกลับมาใหม่”
ขอบฟ้านึกติดใจคำพูดคุณหมอนิดหน่อยแต่ความเพลียมีมากกว่า เขาจึงหลับตาพัก มารดาคิดว่าเขาหลับไปอีกรอบจึงบอกว่าจะไปโทรศัพท์หาทิวหมอกและให้ปลายฝนเฝ้าเขาไว้
ลับหลังมารดา ขอบฟ้าก็ลืมตาปริบๆ กระดิกปลายนิ้วเรียกน้องสาวที่รีบวิ่งเข้ามาเกาะขอบเตียงทันทีแล้วรีบรายงานโดยไม่ต้องร้องขอ
“เห็นห้องที่พี่ฟ้านอนไหมล่ะ รู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน” เอ่ยชื่อโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังออกมาแล้วปลายฝนก็ทำเสียงตื่นเต้น “เห็นว่าคุณพ่อพี่กรสนิทกับผอ. และพอรู้ว่าพี่ฟ้าโดนรถชนเพราะช่วยลูกชายเขาไว้เลยยิ่งทุ่มไม่อั้น”
“พี่กร...” เขาพึมพำ ถึงจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างที่ไม่ได้เห็นเจ้าตัว แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา “เขาปลอดภัยไหม”
“ปลอดภัยแต่...” ลากเสียงน่าสงสัยจนขอบฟ้านึกอยากลุกเดินออกไปดูเองให้แน่ใจว่ากรไม่ได้นอนอยู่ห้องข้างๆ “ดูแปลกๆ จ๋อยๆ ผิดปกติยังไงก็ไม่รู้ พี่พลก็เหมือนกัน โดนพี่หมอกว่าไปซะยกใหญ่แล้วยังห้ามเข้ามาในห้องด้วยถ้าไม่ได้รับอนุญาต ไม่งั้นจะพาพี่ฟ้าไปรักษาโรงพยาบาลอื่น”
ฟังแล้วขอบฟ้าก็ยิ้ม ทิวหมอกยังสมกับเป็นทิวหมอก พี่ชายสุดเฮี๊ยบของเขาคนเดิม
ปลายฝนยังพูดต่อจ๋อยๆ แต่เขาเริ่มง่วงขึ้นมาอีกรอบทั้งๆ ที่เพิ่งได้สติไม่นาน รู้สึกเหมือนจะได้ยินปลายฝนถามอะไรแว่วๆ ว่าอนุญาตหรือเปล่า ตอนนั้นเขาฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่จึงได้แต่พยักหน้าตอบไปก่อนจะหลับลึกลงอีกรอบ
หลับไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ตื่นมาอีกทีก็ได้ยินเสียงพูด ถึงจะไม่ดังมากนักแต่ฟังจากอารมณ์และน้ำเสียงคล้ายกับจะทะเลาะกันอยู่
“อื้อ” เขาขยับตัวพร้อมครางอย่างนึกรำคาญเล็กน้อย เสียงรอบด้านเงียบกริบลงทันทีจนอดไม่ได้ที่จะต้องเผยอเปลือกตาดู “พี่หมอก...พี่กร”
กรแบบตัวเป็นๆ จริงๆ นั่นล่ะ ชายหนุ่มยืนจังก้าอยู่กลางห้อง ท่าทางคล้ายกำลังเผชิญหน้าอยู่กับทิวหมอก พอเห็นเขาลืมตาก็เดินมาหยุดชิดเตียง ก้มลงจ้องเสียชิด
“ทะเลาะอะไรกันอยู่” เขาถามอย่างเป็นห่วง รู้สภาพว่าคงไม่มีปัญญาลุกมาห้ามมวยได้ในตอนนี้ ปลายฝนกับมารดาก็ไม่อยู่ในห้องเสียด้วย
“ในเมื่อเห็นว่าเจ้าฟ้ามันตื่นแล้ว ปลอดภัยแล้ว นายก็ออกไปได้แล้ว” ทิวหมอกสามแล้ว ทำท่าจะเข้ามาดึงกรออกไปจากห้องแต่กรก็เบี่ยงตัวหลบ
“พี่หมอก” ขอบฟ้าเรียกพี่ชายให้หันมาสนใจเขาแทนการไล่เตะกร ซึ่งก็ได้ผล ทิวหมอกยอมหันมามองเขาแทนในที่สุด
“แกทำให้ฉันเป็นห่วง” เอ่ยเสียงขรึมพร้อมยกมือดันกรอบแว่นขึ้นบนดั้งจมูก “ตอนได้ยินว่าแกช่วยคนอื่นจนตัวเองโดนรถชนเองนี่ฉันด่าออกมาเลยว่าแกมันบ้า...”
“เฮ้ย จะพูดจะจาอะไรหัดคิด...” กรที่ตั้งท่าจะกระโจนข้ามคนป่วยไปบีบคอทิวหมอกชะงักเมื่อขอบฟ้ายกมือที่ยังห้อยร่องแร่งขึ้นจับมือใหญ่ไว้ แรงยึดน้อยนิดกลับหยุดความบ้าของชายหนุ่มได้ กรเลิกสนใจทิวหมอกและบีบมือเขาไว้แทนโดยอัตโนมัติ
หลังเพ่งมองกิริยาสนิทสนมดังกล่าว ผู้เป็นพี่ชายก็เม้มปาก ขยับแว่นอีกรอบ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “แต่พอสักพัก ฉันกลับคิดว่าไม่น่าแปลกใจสักนิด เพราะแกก็เป็นของแกแบบนี้อยู่แล้ว”
พอเห็นรอยยิ้มของเขา ทิวหมอกกลับทำหน้าดุขึ้นมาแทน “ฉันไม่ได้กำลังชมแกนะ”
ขณะที่คิดจะอ้าปากสั่งสอนน้องชายต่อนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นและถูกเปิดออกโดยคนแปลกหน้า
“เข้ามาทำไม” ทิวหมอกพูดอย่างตกใจ แต่ชายคนดังกล่าวเพียงยิ้มขณะอ่ย
“เห็นบอกว่าจะเข้ามาเยี่ยมน้องแค่แป๊บเดียวไม่ใช่เหรอ นี่เล่นหายมาตั้งนานสองนาน ฉันก็ต้องมาตามสิ” ชายหนุ่มร่างสูงท่าทางเป็นผู้ใหญ่หันมาทางคนบนเตียงและแนะนำตัว “ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันเป็นเจ้านายของพี่เธอ ตอนได้ยินว่าเธอประสบอุบัติเหตุ เขาตกใจมากแบบที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลยล่ะ”
เห็นท่าทางยืนคอแข็งคล้ายกับจะพูดไม่เป็นกะทันหันของทิวหมอก คนเป็นเจ้านายยิ่งยิ้มกว้าง พูดเหมือนจะหยอก “เป็นพี่ชายที่รักน้องมากจังเลยนะ...น่าอิจฉา”
“ฟ้า พี่ต้องกลับไปทำงานต่อแล้ว” จู่ๆ ทิวหมอกก็ถลันเข้ามายืนแทรกระหว่างเจ้านายตนกับเตียงผู้ป่วย ไล่สายตาสำรวจสภาพน้องชายอีกครั้งและเลยขึ้นจ้องเจ้าผู้ชายหน้าตาอวดดีที่แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือขอบฟ้า “พี่จะให้ยัยฝนมาเฝ้า...”
“ผมเฝ้าเอง” กรเอ่ยขัด “คุณพี่ชายไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ รีบกลับไปทำงานทำการได้แล้ว”
“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง! ฉันไม่อนุญาตให้นายนอนที่นี่! แล้วนายเรียกใครพี่ ฉันมีน้องแค่สองคน...” ทิวหมอกยังว้ากไม่จบกลับโดนเจ้านายดึงให้ไปทางประตู
“ก็ดีแล้วนี่นา นายยังห่วงอยู่เลยไม่ใช่เหรอว่าแม่ต้องอยู่บ้านคนเดียว มีคนอาสาดูแลให้ยังจะเรื่องมากอีก” ทำเสียงดุใส่ทิวหมอกที่ตั้งท่าจะเถียงแล้วไม่สนใจรอฟังคำตอบนอกจากหันมาเอ่ยลา “ขอให้หายเร็วๆ นะ”
เมื่อกลับมาเหลือแค่สองคนในห้อง ขอบฟ้าก็เริ่มทำอะไรไม่ถูก เขาปล่อยมือที่ยึดอีกฝ่ายไว้ได้พักใหญ่ รู้สึกอึดอัดกับความเงียบที่เกิดขึ้น นึกคิดหาเรื่องชวนคุยสักเรื่อง ทว่ายังไม่ทันเอ่ยปาก กรกลับโน้มตัวมาหา เท้าแขนคร่อมตัวเขาไว้และแนบใบหน้าซุกลงกับซอกคอ
เนื่องจากไม่เคยเจอกรในลักษณะเช่นนี้มาก่อน เลยตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หากพอผ่านไปสักพัก เขาก็ยกมือที่เริ่มมีแรงขึ้นมาแบบเก้ๆ กังๆ ลูบบริเวณท้ายทอยเบาๆ นึกถึงคำที่ไม่ได้พูดหลังโดนรถชน
“ไม่เป็นไรนะ” หวั่นๆ ว่าชายหนุ่มจะโกรธหรือเปล่าที่โดนเขาปลอบเป็นเด็กๆ แบบนี้ แต่กรกลับยอมให้เขาลูบหัวต่อแต่โดยดี “ไม่ต้องกลัว...ไม่เป็นไรแล้ว”
นานจนขอบฟ้าคิดว่ากรเผลอหลับไปแล้ว อีกฝ่ายก็ผงกศีรษะขึ้น ขึงตาตวัดเสียงเขียว “มึงคิดว่ามึงทำบ้าอะไร หา!”
“เอ่อ ก็...คิดว่าพี่กรร้องไห้เลย...” แก้ตัวลนลานยังไม่เสร็จก็โดนสวนว้ากเข้าให้
“ใครร้องไห้! อย่าคิดว่าเป็นคนเจ็บแล้วกูจะไม่ทำอะไรนะ” คนเปลี่ยนท่าทีไวยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสีสลัดท่าทางหงอยๆ จ๋อยๆ กลายเป็นอารมณ์ร้ายๆ ที่คุ้นเคย “ที่กูพูดถึงคือเรื่องที่มึงทำตัวเป็นฮีโร่เข้ามาช่วยกูต่างหาก มึงคิดว่าตัวเองเป็นใคร! เป็นยอดมนุษย์หยุดรถด้วยมือเปล่าได้หรือไง! หรือคิดว่าตัวเองทำมาจากเหล็กโดนรถพุ่งชนก็ไม่เป็นไร! กูเคยคิดว่ามึงน่ะมันโง่ แต่กูเพิ่งรู้ว่าคิดผิด เพราะมึงทั้งโง่ทั้งบ้าจนเกินเยียวยา...”
ขอบฟ้ากำลังจะขอเวลานอกพักยกก็พอดีกับที่กรหยุดตะโกนด่าแบบกะทันหันและเอ่ยเสียงระโหยแทน
“...กูคิดว่ามึงจะทิ้งกูไปแล้ว”
“พี่กร” เขาเริ่มรำคาญตัวเองเหมือนกันที่ยังขยับตัวไม่ได้ ทำได้แค่ยกมือซ้าย กระดิกนิ้วขวา เอียงหน้าได้ข้างซ้ายนิด ข้างขวาอีกหน่อย ไอ้เรื่องจะลุกขึ้นเดินนี่ลืมไปได้เลย เพราะแค่จะยกขาขึ้นยังไม่มีแรง “มานี่มา”
ได้มือมาข้างหนึ่ง ขอบฟ้าจึงจับไว้ “พี่กรเคยถามผม...ว่าถ้าพี่จมน้ำ ผมจะช่วยหรือเปล่า ตอนนั้นผมตอบว่ายังไง”
“มึงบอกว่าว่ายน้ำไม่เป็น” คำตอบลุ่นๆ เล่นเอาเขาหงุดหงิด
“ฮื้อ ไม่ใช่ เอาตอนหลังสิ ตอนนั้นผมตอบพี่ว่ายังไง”
“มึงบอกว่ามึงจะช่วย” กรพึมพำ นิ่งไปนิดก่อนขมวดคิ้ว “แต่กูเป็นคนบังคับให้มึงตอบแบบนั้น”
“ก็ผมว่ายน้ำไม่เป็นนี่ แล้วนั่นมันก็แค่เรื่องสมมติ แต่สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ...” นึกหาคำจำกัดความเพราะตัวเขาเองคงอธิบายได้ไม่ดีนัก “ผมดีใจนะที่พี่กรไม่ได้จมน้ำ ไม่อย่างนั้นพอผมลงไปช่วย เราคงจมน้ำตายทั้งคู่ แต่นี่ผมช่วยพี่ได้ แล้วก็ไม่มีใครตายด้วย แบบนี้พี่ว่าไม่ดีหรอกเหรอ”
“ดีห่าเหวอะไรของมึง! มึงเกือบนอนไม่ฟื้นแล้วมันจะเรียกว่าดีได้ยังไงวะ” ด่าเหยียดๆ แล้วหน้าหล่อๆ ก็ยิ่งบึ้งตึง “รู้ไหมว่ากระดูกมึงหักไปกี่ซี่ เนื้อตัวมึงนี่ยิ่งดูไม่ได้ แรกๆ นี่ยิ่งเหวอะหวะไปทั้งตัว ตอนนี้ยิ่งฟกช้ำดำเขียว หน้าตาดูแทบไม่ได้”
ถึงจะรู้แต่แรกว่าหน้าตาไม่ดี แต่ตอนนี้กลับต้องลดเกรดลงไปถึงขั้นดูไม่ได้เชียวเหรอ
“ถ้ากูเป็นคนที่ช่วยมึง แล้วกูต้องโดนชนหน้าแหกแบบนี้ มึงไม่รอดแน่ กูจะด่ามึงเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่ให้ซ้ำคำเดิมเลย” ถลึงตาคมๆ ใส่จนขอบฟ้าคิดว่าเพิ่มอีกแผลเสียแล้ว “มึงเข้าใจที่กูพูดไหม”
“อื้อ” รีบพยักหน้ารับหงึกหงัก “เข้าใจ”
“ดี งั้นก็เอาสิ”
ขอบฟ้าเริ่มมึน จากเข้าใจจะกลายเป็นสับสนเอาได้ง่ายๆ เขาหัวช้าหรือกรจะสมองกระทบกระเทือนแบบไม่รู้ตัวกันแน่ “เอาอะไรเหรอ”
“ถ้ามึงอยาก...ต่อว่าหรือด่าอะไร กูสัญญาว่าจะฟังอย่างเดียว ไม่มีหลังมือ” คนรอรับโทษยกมือกอดอก ท่าทางหยิ่งผยองคงเดิม “เป็นครั้งแรกเลยนะที่กูยอมให้ด่า ปกติพ่อกูด่า กูยังไม่ฟังเลย มึงจงสำนึกบุญคุณอันนี้ไว้ด้วยก็แล้วกัน”
สรุปว่ากรกำลังรอให้เขาด่า รอให้เขาต่อว่าหรือตำหนิ ขอบฟ้าเคยคิดมานานแล้วว่ากรเป็นคนซับซ้อน เข้าใจยากแต่มาวินาทีนี้ เขากลับเหมือนจะเข้าใจกรได้อย่างไม่น่าเชื่อ บางที...อาจจะเพราะแค่ไม่เคยมีใครสอนชายหนุ่มมาก่อนก็ได้ แค่นั้นเอง
“ผมไม่อยากด่าพี่กรหรอก แต่อยากได้บางคำจากพี่มากกว่า”
“มึงจะบอกให้กูขอโทษ” จากกิริยากัดฟัน เขาไม่แน่ว่าจะสอนได้จนจบหรือเปล่า “ถึงกูจะไม่ค่อยเข้าใจว่ากูผิดตรงไหน แต่ถ้ามึง...”
“ไม่ใช่ขอโทษ” ขอบฟ้ารีบขัด “แต่ขอบคุณต่างหาก”
บทเรียนที่พลชนะสอนเขา เขาที่เคยเอาแต่เอ่ยคำขอโทษ ขอโทษและขอโทษ ได้เริ่มเอ่ยคำว่าขอบคุณก็หลังจากนั้น ส่วนกร เขาคิดว่าสอนให้พูดคำว่าขอบคุณน่าจะง่ายกว่ากันเยอะเลย
กรฟังแล้วทำหน้าอึ้งๆ เดินหันหลังไปกอดอกยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง ส่วนขอบฟ้าที่หลังจากรออยู่นานสองนานก็อ้าปากหาว เอ่ยงัวเงีย “ถ้าพี่ยังไม่พร้อมจะพูด ผมนอนก่อนแล้วกันนะครับ เริ่มง่วงแล้ว”
“อย่าเพิ่งนอน” สั่งด้วยหน้าตาถมึงทึงแล้วเม้มปากแน่น ทำหน้าเหมือนโดนเขาไล่ให้ไปตายซะ “กู... พูดคำอื่นแทนได้ไหม เอาที่คล้ายๆ กัน ความหมายพอจะแทนกันได้”
“หือ” เขาพยายามลืมตามอง แต่เจ้าตัวง่วงงุนก็เข้าแถวเรียงหน้าเดินดุ่ยใส่ไม่ยอมหยุด “ได้สิ ได้ๆ”
“ไม่ใช่ว่ากูไม่กล้าพูดหรอกนะ แต่คำบางคำ กูว่าถ้าเจ้าตัวไม่เต็มใจพูดเองมันก็ไม่มีประโยชน์ มึงเข้าใจไหม คำพูดเพราะๆ ที่พูดออกมาเปล่าๆ แต่ไม่มีคุณค่าอะไร กับคำพูดห้วนๆ แต่จริงใจเนี่ย เป็นใคร ใครก็ต้องอยากฟังแบบหลังมากกว่าทั้งนั้น”
ชายหนุ่มอารัมภบทยืดยาว หน้าเครียด
“กูรู้ตัวว่าไม่ใช่คนดีอะไร เป็นแค่ผู้ชายเลวๆ ที่ใช้ชีวิตตามใจตัวเองมาตลอด ไม่เคยสนใจว่าใครจะคิดยังไงกับกู จะรัก จะชอบหรือจะเกลียด กูก็ไม่เคยเก็บเอามาสนใจ กูคิดว่ามันเป็นความรู้สึกที่น่ารำคาญเอามากๆ ทำไมวะ กับอีแค่นอนด้วยกันแล้วจะต้องเท่ากับผูกพันกันด้วย มันเป็นแค่ปฏิกิริยาทางเคมี มันเป็นเรื่องของร่างกายล้วนๆ เซ็กส์ไม่เกี่ยวข้องกับหัวใจ ฉะนั้น...มึงเข้าใจที่กูพูดไหม เซ็กส์มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างกูกับมึง มันไม่ใช่เรื่องทางร่างกาย แต่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ...อารมณ์”
อากาศภายในห้องก็เย็นสบายดี แต่บนหน้าผากคนพูดไม่หยุดกลับเริ่มมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึม
“ให้ตายสิวะ! โรงพยาบาลนี้แม่งงกแอร์ชิบหาย เอาล่ะ กูพูดถึงไหนแล้ว เออใช่...เรื่องอารมณ์ การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์มักจะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ที่ผ่านมา กูเคยถูกรายล้อมด้วยคนหลายประเภท ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทที่ต้องการอะไรจากกูนี่ล่ะ บางคนอยากให้สนใจ บางคนขอเป็นกระเป๋าแบรนด์เนม เสื้อผ้า รองเท้าสารพัด ถ้ายังนอนด้วย ก็ให้ตัดรำคาญ บางคนอยากได้แค่เซ็กส์ แต่บางคนก็ต้องการอะไรมากกว่านั้นซึ่งกูให้ไม่ได้ เลยต้องเลิกคบให้จบเรื่อง แต่กับคนที่ไม่ต้องการอะไรนี่กูรับมือไม่ถูก”
กระแอมไอให้คอโล่งแล้วถอนหายใจ
“เงินที่มึงขอไปก็เสือกเอาไปลงทะเบียน ไม่เคยมีคนขอเงินกูไปเป็นทุนการศึกษาสักคน ตัวมึงก็ผอมแห้งนิดเดียวแต่เสือกอยากช่วยคนอื่นไปทั่ว จนบางครั้งกูนึกสงสัยว่ามึงเคยคิดอะไรร้ายๆ กับใครเขาบ้างหรือเปล่า นอกจากด่ากูแล้วมึงเคยด่าใครอีกไหม ...ไม่รู้สิ บางทีการมองโลกในแง่ดีของมึงก็ทำกูโมโหจนแทบบ้า แต่หลังจากนั้นก็จะรู้สึกว่ามึงสำคัญมากจนต้องโมโหขนาดนั้นเลยเหรอวะ กูพยายามคิดแล้วคิดอีก แต่คำตอบแม่งก็ยังออกมาเหมือนเดิม กูค่อนข้างจะแน่ใจนะว่ากูอาจจะ... มันอาจจะเป็นความรักก็ได้”
ประโยคชวนสับสนแบบสมควรได้ศูนย์คะแนนทำเอาคนพูดหงุดหงิดตัวเองไม่น้อย
“แต่มึงยิ่งโง่ๆ อยู่ จะสรุปให้ฟังใหม่ก็ได้...”
หันขวับกลับมา กรต้องชะงักเมื่อเห็นขอบฟ้านอนหลับสนิท เสียงหายใจทอดลึกสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงนอนหลับไปได้สักพักแล้ว
ยืนเซ่ออยู่ที่เดิมพักใหญ่กว่าจะรู้สึกตัว ร่างสูงสบถหยาบคาย ง้างเท้าตั้งท่าจะเตะถังขยะใกล้ๆ แต่ก็ชะงักกึกเมื่อคิดถึงเสียงโครมครามที่อาจจะปลุกคนเจ็บให้สะดุ้งตื่น
เดินงุ่นง่านกลับไปกลับมาจนกระทั่งท้ายสุด กรจึงทิ้งตัวลงนั่งและสบถพึมพำต่อไปตามลำพัง
++++++++++