Fallen and Destined 5
ขอบฟ้านั่งอึ้ง สมองคิดตีความหมายของคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่ ...ขาแบบนั้นของพลชนะหมายถึงอะไร ท่าเดินเขามันออกอาการปัดเป๋ขนาดเห็นปุ๊บรู้ปั๊บเลยงั้นหรือ พลชนะสังเกตเห็นจริงๆ หรือว่าแค่ถามลองเชิง
ความคิดวุ่นวายเขาหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำพูดต่อมา “พี่เคยสงสัยมานานแล้ว แต่ทุกครั้งก็บอกตัวเองว่าคงคิดมากไป เรื่องใหญ่ขนาดนี้ฟ้าคงไม่ปิดบังพี่ พี่เองก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม ส่วนหนึ่งก็เพราะความกลัว ...กลัวสิ่งที่คิดจะเป็นความจริง แต่พอต้องมาเห็นกับตาเมื่อกี๊ตอนฟ้าเดินขึ้นบันได พี่ก็ได้แต่ด่าว่าตัวเองมันงี่เง่าสิ้นดี ต่อให้ทำเป็นมองไม่เห็นแค่ไหน คนที่เจ็บก็ยังเป็นฟ้าอยู่ดี”
ร่างที่เคยสูงใหญ่ของพลชนะดูเล็กลงเมื่อไหล่กว้างตกลู่
“พี่มันขี้ขลาด ทั้งที่มองเห็น ทั้งที่สงสัยมาตลอด แต่กลับไม่กล้ายอมรับ คิดแค่ว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนในแบบที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้มันดีแค่ไหนแล้ว พี่ยังได้เจอหน้าฟ้า ได้พูดคุย ได้เห็นเรายิ้ม เห็นเราหัวเราะ พี่ก็ไม่ต้องการอะไรอีก” ชายหนุ่มเดินมาคุกเข่าลงตรงหน้า จับมือเขาไปกุมไว้หลวมๆ เงยหน้าให้เห็นรอยยิ้มที่ดูแห้งแล้งเสียเหลือเกิน “แค่ได้ยินว่าฟ้าเจอไอ้กร ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พี่ก็รู้แล้วว่าช่วงเวลาที่พี่เฝ้าทะนุถนอมมาตลอดกำลังจะจบลงอีกครั้ง ...ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว มันก็คงกลับเข้ามาในชีวิต กลับเข้ามาอยู่ในหัวใจฟ้าได้อยู่ดี”
แม้จะอยากแก้ความเข้าใจผิด แต่คำพูดกลับติดอยู่ในลำคอ เขาไม่กล้าบอกพลชนะว่าสิ่งที่คิดนั้นมันผิดพลาดมากเพียงใด
“มันเจอฟ้าแล้วหรือยัง”
ไม่มีความจำเป็นต้องโกหก ทว่าขอบฟ้ากลับตอบว่า “ไม่... เขายังไม่...”
นั่นอาจเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาลึกๆ หวังให้มันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด หวังว่าเขาสองคนแคล้วคลาดไม่ได้เจอหน้ากันไปจนชั่วชีวิต หวังให้มันเป็นปมติดค้างในใจตลอดไป ไม่ใช่แค่เรื่องราวเล็กน้อยในอดีตที่จดจำแทบจะไม่ได้แล้ว
พลชนะหลงเชื่อคำโกหกดังกล่าว พยักหน้ารับเงียบๆ และทำท่าครุ่นคิดสักพักก่อนเอ่ย
“ก็ดีแล้ว แต่พี่คงปล่อยให้ฟ้าฝืนตัวเองต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ คราวนี้หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอม ผลสัมภาษณ์ที่มันออกมาช้าน่ะ ไม่มีปัญหาหรอก เพราะคนตัดสินใจมันไม่อยู่น่ะสิ พี่เองก็เพิ่งรู้ว่าเพื่อนพี่มันติดธุระด่วน เรื่องแจ้งผลเลยพลอยช้าตามไปด้วย ถ้ายังไง ฟ้าลาออกจากที่บริษัทเก่าล่วงหน้าไว้เลยก็ได้ พี่มั่นใจว่ายังไงฟ้าก็ต้องได้งานนี้”
ความมั่นใจของพลชนะทำให้เขาใจชื้น แต่ในความชื้นนั้นก็มีความระแวงปนอยู่นิดๆ
“พี่ไม่ได้...บังคับให้เขารับผมใช่ไหม”
“พี่เคยสัญญาแล้วว่าจะไม่ยุ่ง นี่ไม่เชื่อใจกันเลยเหรอ” พลชนะร้องโวยวายปนน้อยใจซึ่งเรียกรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเรียบๆ จนดวงตาที่เคยติดจะเศร้าตลอดเวลากลับดูอ่อนโยนสดใส ตาเศร้าจึงกลายเป็นหวานแทบหยดในสายตาคนมองที่กล่าวเพ้อๆ
“ในที่สุดก็ยอมยิ้มจนได้ ยิ้มบ่อยๆ สิ พี่ชอบเวลาฟ้ายิ้มมากที่สุดเลย”
ฝ่ายโดนบังคับให้ยิ้มกลับตีหน้าเจื่อน บ่นอุบ “ก็ไม่ได้มีเรื่องให้ต้องดีใจบ่อยๆ สักหน่อย ผมน่ะโดนนินทาว่าทำบรรยากาศหม่นหมองลับหลังด้วยนะ”
“หา ใครมันกล้าพูดแบบนั้น! คนที่ทำงานเหรอ” เห็นท่าเตรียมเต้นแร้งเต้นกาเดือดร้อนแทนของชายหนุ่ม ขอบฟ้าก็ถึงกับหัวเราะออก
“ไม่ใช่หรอก แต่สงสัยจะจริง กับคนไม่สนิทด้วย ผมคุยไม่เก่ง พี่พลก็รู้” นึกย้อนไปถึงสมัยพบกันครั้งแรกในงานวันเกิดป่านแล้วก็ได้แต่นึกขำตัวเอง “ตอนเราเจอกันครั้งแรก พี่ชวนผมคุยแทบแย่ แต่ผมกลับตอบได้แค่สั้นๆ ขนาดพี่พลคุยเก่งๆ ยังไปต่อไม่ไหว จำไม่ได้เหรอครับ”
ฝ่ายโดนจับเปลี่ยนเรื่องดื้อๆ ถึงจะรู้ทันแต่จำต้องโคลงหัว มองหน้าคนหัวเราะจนห้องเล็กๆ แห่งนั้นสดใสขึ้นทันตา “จำได้สิ เด็กอะไรตอบคำถามแต่ละครั้งขาดตอนได้อีก ถามว่ารู้จักป่านเมื่อไหร่ ฟ้าตอบพี่แค่ว่าหกปี ถามว่าป่านตอนเด็กๆ เป็นยังไง ฟ้าตอบว่าเหมือนตอนนี้ เล่นเอาไปไม่เป็นเลยทีเดียว”
คำตอบธรรมดาๆ นั้นกลับทำให้ขอบฟ้าตื้นตัน บทสนทนาเมื่อตอนแรกเจอ เขายังแค่จำได้คร่าวๆ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจดจำได้ดีเกือบทุกคำพูดเลยทีเดียว
การได้คุยกับพลชนะช่วยให้เขาลืมความปวดหัวไปได้บ้าง และแม้จะยังไม่หิว แต่สุดท้าย เขาก็โดนบังคับให้กินข้าวจนได้ เพราะรู้ว่าขอบฟ้าลุกไปไหนไม่ไหวแล้ว พลชนะจึงอาสาออกไปหาซื้อข้าวกลับมานั่งกินด้วยกันภายในห้อง อันที่จริงคนกินข้าวน่ะเขา ส่วนชายหนุ่มอีกคนนั่งกระดกเบียร์ไปหลายกระป๋องแล้ว เตือนก็ไม่ฟัง
“เดี๋ยวก็เมาจนขับรถไม่ไหวหรอก” บ่นงึมงำขณะเก็บกระป๋องเปล่ากระป๋องแล้วกระป๋องเล่าใส่ถุงขยะ “จอดรถทิ้งไว้เลยนะแล้วนั่งแท็กซี่กลับ”
“พี่ขอค้างที่นี่ได้ไหม” พลชนะที่ตอนนี้รีบเบือนหน้าแดงๆ หันไปมองที่ว่างข้างตัว “พี่นอนพื้นได้ ขอแค่ผ้าห่มสักผืน ไม่สิ ไม่ต้องมีผ้าห่มก็ได้ ขอแค่ที่นอนก็พอ”
ขอบฟ้าลุกมานั่งคุกเข่าจ้องหน้าซับสีเลือดใกล้ๆ ได้กลิ่นแอลกฮอล์ฟุ้ง “เมาแล้วสิท่า”
“ไม่ได้เมา แค่มึนๆ” แก้ตัวอุบอิบแล้วค่อยเกาท้ายทอยแก้เก้อ “ถ้าไม่ไว้ใจกันนัก พี่ไปนอนที่ระเบียงก็ได้”
คนฟังยิ้ม ค่อยๆ ลุกไปเตรียมหาผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัวให้ “ใครจะใจร้ายไล่ไปนอนระเบียงได้ลงคอ งั้นพี่พลไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวเหนียวตัวแย่ แล้วเสื้อนอนพี่ใส่ของผมได้ไหม เก่าหน่อยแต่ก็นิ่มนะ”
พยายามขุดคุ้ยหาเสื้อยืดตัวที่เก่าน้อยที่สุดพร้อมกางเกงขาสั้นอยู่พักใหญ่กว่าจะได้ของที่ต้องการ จึงค่อยหันกลับมาพร้อมรอยยิ้ม “นี่ครับ อ๊ะ...”
ต้องอุทานตกใจเมื่อเจอเข้ากับคนที่ลุกมายืนก้มหน้ามองเขาใกล้จนแทบจะแนบติดแผ่นหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พลชนะมองเขานิ่งๆ โดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ แต่แค่มองดูนัยน์ตาคู่นั้น ขอบฟ้าก็พอจะเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังคิด
“ถอยไปหน่อยได้ไหมครับ พี่พล” เอ่ยขอด้วยอาการนิ่งสงบเสียจนตัวเองยังแปลกใจ ขอบฟ้าไม่ได้ผลักไสแต่ร่างสูงกลับยืนจ้องเขาในระยะประชิด ใกล้เสียจนได้กลิ่นแอลกฮอล์ฉุนกึก
สายตาร้อนแรงละจากดวงตาที่จ้องสบ ไล่เลื่อนต่ำลงไปก่อนจะหรุบนิ่ง มือใหญ่ขยับมาลูบแก้มเขาก่อนจะเลยลงไปบริเวณลำคอ เสียงแหบพร่าเอ่ยถาม “สร้อยที่พี่ให้ล่ะ พี่สั่งว่าห้ามถอดไม่ใช่เหรอ”
“ผมกลัวทำหายก็เลย...” เห็นสายตาที่ราวกับจะตัดพ้อ ขอบฟ้าจึงรีบเดินไปเปิดลิ้นชัก หยิบสร้อยเส้นบางมาส่งให้ “ใส่ให้ผมใหม่นะ ผมสัญญาว่าจะไม่ถอด ถ้าพี่ไม่อนุญาต”
รอยยิ้มดีใจเหมือนเด็กๆ ทำให้ขอบฟ้ายิ่งรู้สึกผิด เขาขยับหันหลังให้อีกฝ่ายติดตะขอจนเสร็จก็ต้องเงยหน้างงๆ เมื่อได้ยินพลชนะกล่าวว่า “ต้องถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานด้วย”
แต่แทนที่จะถ่ายดีๆ พลชนะกลับจับกล้องมือถือถ่ายภาพคู่ของพวกเขา ที่น่าตกใจคือจังหวะที่เขากำลังยิ้มเกร็งๆ ใส่กล้อง ริมฝีปากร้อนก็กดวูบลงข้างแก้มพร้อมแสงแฟลชวาบ
“พี่พลทำอะไร!” ชีวิตนี้ เขาไม่ค่อยได้โกรธใคร แต่เนื่องจากตกใจด้วยจึงทำให้เสียงที่พูดไปฟังดูหัวเสียมากพอสมควร “เมาแล้วใช่ไหมเนี่ย พอเลยนะ ห้ามกินต่อแล้ว ไม่งั้นก็กลับบ้านไปเลย”
ฝ่ายที่โดนดุถอยกรูดไปจนติดผนัง ตีหน้าเจื่อนจ๋อย
“ขอโทษ พี่ขอโทษ” มือใหญ่ยกมือเสยผมจนยุ่งเหยิง เอ่ยอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ “ฟ้าอยากให้พี่กลับมากกว่าไหม”
“ผมว่าพี่พลไปอาบน้ำให้หัวเย็นลงหน่อยก็พอ” กล่าวพลางถอนหายใจแล้วเขาก็เดินตามไปส่งเสื้อนอนกับผ้าเช็ดตัวให้ฝ่ายนั้น “ปล่อยกลับไปตอนนี้ คงไม่แคล้วไปนั่งกินเหล้าต่อจนเช้า นอนพักที่ห้องผมนี่ล่ะ เช้าแล้วค่อยขับรถกลับ”
คนมึนพยักหน้ารับหงึกหงักว่าง่าย อาบน้ำเสร็จออกมา หน้าตาค่อยดูสดชื่นขึ้น พอขอบฟ้าอาบน้ำเสร็จก็พบว่าพลชนะนอนนิ่งไปแล้ว เขาจึงปิดไฟ คลานขึ้นเตียง ตั้งใจจะเข้านอนบ้าง
“พรุ่งนี้เช้าพี่จะขับรถไปส่ง” เสียงงัวเงียดังมาจากคนที่เขาคิดว่าเมาหลับไปแล้ว
“หืม ไม่เป็นไรครับ ผมไปเองได้” เพราะไม่อยากจะฟังเสียงบ่นยืดยาว เขาจึงยืนกรานหนักแน่น “เพราะแบบนี้ล่ะ ผมถึงไม่อยากให้ใครรู้ ผมไม่ได้พิการนะ พี่พล”
นึกว่าจะต้องทะเลาะกันอีกยกเสียแล้ว โชคดีที่พลชนะเป็นฝ่ายยอมถอย “โอเค เลิกพูดเรื่องนี้ แต่ตอนเย็นพี่ไปรับนะ จะพาไปฉลองคนว่างงาน อ้อ ฟ้าชวนเพื่อนเราคนนั้นไปด้วยก็ได้นะ ตามใจ”
“พูดแบบนี้แสดงว่าอยากเจอโอ้ล่ะสิ เพื่อนผมน่ารักใช่ไหมล่ะ” รีบเอ่ยอย่างกระตือรือร้น อารมณ์อยากเป็นพ่อสื่อลอยมาลิบๆ หากต้องวกกลับไปที่ที่มันเพิ่งจากมาเมื่อฟังคนนอนเค้เก้บนพื้นตอบเสียงยาน ฟังดูเหมือนใกล้หลับเต็มที
“อ๋อ ก็ดี พี่รู้สึกว่าพอเขาอยู่ด้วย ฟ้าจะคุยมากขึ้น ยิ้มเก่งขึ้น พี่ชอบ...”
เอ่อ แบบนั้นพี่ไม่ต้องชอบก็ได้
+++++++++
วันรุ่งขึ้น ขอบฟ้าเตรียมตัวเตรียมใจมาเรียบร้อย รอหาจังหวะเหมาะๆ เข้าไปพบผู้จัดการ ก็พอดีที่ฝ่ายนั้นกลับเป็นฝ่ายกวักมือเรียกเขาแทนก่อน
“หัวหน้าครับ ผมมีเรื่องอยากแจ้งให้ทราบ...”
“ผมต่างหากที่มีเรื่องต้องแจ้งคุณ ฟังผมก่อนแล้วกัน” ผู้จัดการขยับสูท ท่าทางอึดอัด “คุณไม่จำเป็นต้องย้ายงานแล้ว ยินดีด้วย ตั้งแต่วันนี้ก็กลับไปทำงานตามปกติได้เลย”
จะว่าเขาก็ไม่ถูก ขอบฟ้านึกสับสนจนพูดอะไรไม่ออก คำชี้แจงในการขอลาออกของเขาที่เตรียมมาทั้งคืนกลายเป็นของไม่จำเป็น “ทำไมล่ะครับ เกิดอะไรขึ้น”
“จะสงสัยไปทำไมในเมื่อคุณก็มีแต่ได้” ผู้จัดการแผนกเริ่มเอ็ดคล้ายไม่สบอารมณ์ “กลับไปทำงานของคุณได้แล้ว โดยเฉพาะในส่วนที่คุณหยุดไปก่อนหน้า”
“แต่หัวหน้าครับ วันนี้ผมตั้งใจจะมาขอลาออก” โพล่งออกไปแล้วขอบฟ้าก็โล่งใจ แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับขมวดคิ้ว
“คุณได้งานใหม่แล้วหรือ”
“ก็ยังไม่แน่หรอกครับแต่...” คำอธิบายถูกขัดจังหวะจากการโบกมือ
“งั้นก็ทำไปก่อนสิ จะรีบออกไปทำไม ไม่รู้หรือว่าช่วงนี้งานที่บริษัทยุ่งแค่ไหน ยิ่งมาชนกับช่วงควบรวมยิ่งต้องการคนมากเข้าไปใหญ่ ผมไม่คิดว่าการลาออกในเวลานี้เป็นความคิดที่ดีสักเท่าไหร่”
เขากลับมานั่งที่โต๊ะ เรียกหางานที่ส่งต่อให้เพื่อนกลับมานั่งทำแบบงงๆ จนกระทั่งถึงเวลาพักจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้อักษรฟัง
“จริงนะ เย้! ดีใจที่สุดเลย ดีใจด้วยนะฟ้า ทำไมไม่ยอมโทรมาบอกเราตั้งแต่ตอนที่รู้ข่าวล่ะ” อักษรใส่เป็นชุด หน้าตายิ้มแย้มท่าทางยินดียิ่งกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ “เห็นไหมล่ะ ในที่สุดคนทำดีก็ต้องได้ดี ไว้เราไปฉลองกันนะ เดี๋ยวเราเป็นเจ้ามือเอง”
เพราะคนรอบตัวแก่ฉลองกัน คนไม่ค่อยชอบเฮฮาปาร์ตี้แบบขอบฟ้าจึงไม่ค่อยมีทางเลือก ตอนแรกเขาคิดจะโทรศัพท์ไปบอกพลชนะ แต่คิดอีกที เขาอยากเล่าให้ฟังต่อหน้ามากกว่า และตั้งใจจะบอกให้พลชนะมั่นใจด้วยว่าหากเขาได้งานที่ใหม่จริงๆ เขาก็จะลาออกจากบริษัทแห่งนี้ทันที
“แต่โอ้ไม่คิดว่ามันแปลกๆ เหรอ จะย้ายอยู่อีกไม่กี่วันนี้แล้วแท้ๆ กลับมาเปลี่ยนใจเอาเสียดื้อๆ ที่แผนกโอ้ไม่มีคนที่โดนแบบเราบ้างเหรอ” ทว่าขอบฟ้ายังอดสงสัยไม่ได้จริงๆ จึงเอ่ยออกไปก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกัน
“คิดมากน่า ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย เราว่าฟ้าโชคดีต่างหาก” อักษรตบบ่าปุๆ อย่างต้องการเสริมความมั่นใจ “แล้วอย่าลืมเรื่องฉลองล่ะ อยากกินอะไรบอกมาได้เลย”
“พี่พลบอกว่าจะมารับเย็นนี้แล้วพี่เขาก็ชวนโอ้ด้วย ถ้าไงเราไปฉลองด้วยกันสามคนนะ” เขาชอบความมีชีวิตชีวาของเพื่อนคนนี้ ความสดใสของอักษรทำให้คนรอบข้างมีความสุขและเขาอยากให้พลชนะมีความสุขบ้าง
“จริงเหรอ พี่พลเขาถามถึงเราหรือฟ้าพูดเองเนี่ย” เห็นท่าทางคล้ายอยากจะดีใจแต่ก็ดีใจไม่สุดทำให้เขาหัวเราะ
“พูดจริงสิ” ขอบฟ้ายกมือลูบหัวผู้เป็นเพื่อนอย่างเอ็นดู “ตกลงว่าไปนะ”
มองกิริยาพยักหน้ารับแรงๆ แล้วเขาก็ยิ้มกว้าง นัดแนะว่าไว้ถึงเวลาเลิกงานจะโทรหาอีกทีแล้วแยกย้ายกันกลับแผนกของตน หากไม่รู้ว่าเพราะด้วยความที่ทิ้งงานมานานหรือเปล่า เอกสารในความรับผิดชอบของเขาจึงกองสูงเป็นตั้ง ซ้ำร้ายยังมีงานเร่งที่ถูกโยกมาเพิ่มอีก ตลอดบ่ายเขาจึงนั่งงมอยู่กับที่แทบไม่ได้ขยับลุกจากเก้าอี้ด้วยซ้ำ
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน อักษรวิ่งมาหาเขาถึงที่และเริ่มบ่นว่าเขากลับมาโหมดบ้างานอีกแล้ว
“คงเป็นเพราะช่วงก่อนหน้านี้ เราแทบไม่ได้ทำอะไรด้วยล่ะ เอาเปรียบคนอื่นเขามานานก็ต้องทำชดเชยแบบนี้ไง" เขาดูเวลาแล้วตัดสินใจบอกเพื่อนว่า “โอ้ไปกับพี่พลก่อนได้ไหมล่ะ เราเสร็จแล้วจะรีบตามไป”
“จะดีเหรอ”
“อื้ม ดีสิ” กล่าวพลางหยิบโทรศัพท์เพื่อกดหาพลชนะ หากทันทีที่กดโทรออก ภาพตอนโดนพลชนะหอมแก้มเขาเมื่อคืนถึงได้เด้งดึ๋งขึ้นมา ขอบฟ้าผงะและรีบยกหลบให้พ้นสายตาเพื่อน ก่อนยกขึ้นแนบหูด้วยท่าทางที่พยายามให้ปกติที่สุด
“ผมคงจะช้าหน่อย มีเรื่องอยากเล่าให้ฟังด้วย ถ้าไงผมจะให้โอ้ไปหาพี่ที่ร้านก่อน หา ทำไมมาเร็วจัง วันนี้ไม่ได้ทำงานเหรอ ...เอ่อ ไหนๆ ก็มาแล้วถ้างั้นพี่พลพาโอ้ไปก่อนได้ไหม ฮื้อ ไม่เอา ไม่ต้องรอ ถ้าจะรองั้นผมเลื่อนเป็นวันอื่นเลยแล้วกัน”
เขารีบหันมาบอกอักษรที่ยืนรออยู่โดยยังไม่ยอมวางสาย “โอ้ พี่พลรออยู่ข้างล่าง โอ้ไปกับพี่เขาก่อนนะ เราทำเสร็จแล้วจะรีบตามไป”
“ฟ้า เราว่า...” อักษรยังอ้ำอึ้ง แต่ขอบฟ้าหันไปกรอกเสียงลงสายต่อ
“โอ้กำลังลงไปครับ พี่พลพาโอ้ไปเดินเล่นที่ไหนก่อนก็ได้ ผมจะพยายามไม่ให้เกินหนึ่งทุ่ม อื้อ ขอโทษนะครับที่โทรบอกช้า ไว้เจอกันครับ”
ค่อยยิ้มออกยามวางโทรศัพท์ลง งานเขาจำเป็นต้องทำก็จริง แต่เขาก็อยากหาโอกาสให้สองคนนี้อยู่ด้วยกันตามลำพังแต่แรกอยู่แล้ว อย่าหาว่าเขาลำเอียงเลยนะ แต่ในความคิดเขา พลชนะภาษีดีกว่าพี่บอสอะไรนั่นหลายขุม ถ้าอักษรยังไม่ได้เป็นแฟนกับพี่บอสจริงก็ยิ่งดีใหญ่ ทั้งสองคนที่เขารักมากจะได้มีความสุขด้วยกันทั้งคู่
“ทำไมฟ้าทำแบบนี้” อักษรมีสีหน้าไม่สบายใจอย่างแรง หน้าน่ารักๆ ติดจะเหยเก “ให้เราไปเจอพี่พลก่อน แล้วเราจะคุยอะไร”
“คุยเรื่องอะไรก็ได้ อ้อ แต่ยกเว้นเรื่องงานเรานะ เราอยากเซอร์ไพรส์พี่พลเอง” ถึงจะผิดวัตถุประสงค์จริงไปนิด แต่ก็พอถูไถไปได้
“ไม่ต้องห่วงหรอก พี่พลเขาคุยเก่ง เทคแคร์เก่ง ใครอยู่ด้วยก็สบายใจ โอ้ยังแอบปลื้มพี่เขาเลยไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่สักหน่อย เราไม่ได้...” คนหน้าแดงรีบปฏิเสธพัลวัน
“เอาน่า รีบไปเถอะ พี่เขามารออยู่แล้ว” ขอบฟ้ารุนหลังเพื่อนให้ออกเดินและรับปากว่าจะตามไปทีหลังก่อนจะกลับมานั่งทำงานต่อ
แวบหนึ่ง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูภาพพลชนะที่เห็นเมื่อครู่ ไอ้เรื่องประเภทนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นฝีมือใคร เพราะตัวเขาเองไม่เคยคิดเรื่องยุ่งยากอย่างใส่รูปเจ้าของเบอร์ลงไปด้วยแน่ๆ หากพอคิดจะกดลบ ภาพพลชนะยิ้มเป็นเด็กๆ ตอนได้ยินว่าเขาจะไม่ถอดสร้อยอีกก็ทำให้หยุดชะงัก ลังเลอยู่สักพัก ท้ายสุดขอบฟ้าจึงปล่อยมันทิ้งไว้อย่างนั้น ใช่ว่าจะมีใครนอกจากพลชนะคิดอยากเช็คโทรศัพท์เขาอย่างนั้นล่ะ ยิ่งถ้าฝ่ายนั้นเห็นว่าเขาลบรูปทิ้ง ก็คงงอนอีก
เพื่อนร่วมแผนกคนสุดท้ายเดินออกจากห้องไปหลังจากนั้นพักใหญ่ เท่ากับว่าในเวลานี้ขอบฟ้านั่งทำงานคนเดียวอยู่ในแผนก แม้จะรู้สึกวังเวงนิดหน่อย แต่เขาก็พยายามไม่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยและรีบจัดการเอกสารตรงหน้าต่อกระทั่งลืมเวลาไปเลยทีเดียว
มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนได้ยินเสียงกุกกักดังจากด้านหน้าประตู เขาเงยหน้าขึ้นเพ่งมองแต่ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติอันใด จึงค่อยถอนหายใจ ยืดตัวคลายอาการเมื่อยขบจากการก้มหน้านานๆ เมื่อมองนาฬิกาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าปาเข้าไปเกือบจะสองทุ่มอยู่แล้ว ขณะที่กำลังลังเลว่าจะโทรศัพท์ไปบอกพลชนะว่าเขาคงไปไม่ได้แล้วดีหรือจะเก็บงานที่เหลือไว้ทำต่อพรุ่งนี้ดี เสียงจากประตูก็ดึงความสนใจจากเขาไปอีกครั้ง
คราวนี้ ขอบฟ้าไม่ได้หูแว่วแต่อยากนึกให้ตัวเองตาฝาดเสียมากกว่า ร่างสูงของใครบางคนที่ยังอยู่ในชุดสูทกำลังเดินเอื่อยๆ ตรงเข้ามา เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นดังกึกๆ ชัดเจนท่ามกลางความเงียบกริบรอบด้าน ร่างนั้นเดินล้วงกระเป๋าท่าทางสบายๆ จนกระทั่งมาหยุดยืนตรงหน้า
“ว่าไง ดึกป่านนี้แล้วยังนั่งทำงานอยู่อีก” เสียงทุ้มหนักแน่นเอ่ยเรียบ ฟังคล้ายเจ้านายเอ่ยถามลูกน้องตามปกติ เพียงแต่ขอบฟ้ารู้ว่ามันไม่ปกติเท่านั้นเอง
“...ครับ” เขาควานหาเสียงตัวเองตอบไปได้สั้นๆ ยังไม่กล้าขยับ ให้เงยหน้ามองฝ่ายนั้นเต็มตายังไม่กล้าด้วยซ้ำ
กรทรุดตัวลงนั่งหมิ่นๆ บนขอบโต๊ะทำงาน มือเรียวยาวแข็งแรงเอื้อมมาหยิบเอกสารไปพลิกดูและวางคืน ท่าทางรู้ดีว่ากำลังทำอะไรในขณะที่ขอบฟ้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“สบายดีเหรอ” คำถามนี้ดึงสายตาขอบฟ้าให้ต้องเงยหน้ามองผู้พูดจนได้ “ไม่คิดว่าจะบังเอิญมาเจอกันที่นี่”
สีหน้าแววตาเขาคงแสดงอาการออกไปชัดเจน กรจึงขยับยิ้ม
“ทำหน้าตกใจทำไม คิดว่าฉันจำนายไม่ได้หรือไง” ริมฝีปากได้รูปบิดเบ้คล้ายกับจะยิ้มเยาะ “โทษทีที่ไม่ได้ทัก แต่มันจะดูไม่ดี ถ้ามีใครเห็นว่าฉัน...เคยรู้จักพนักงานระดับล่างแบบนายมาก่อน”
เคยรู้จัก...นั่นคือคำจำกัดความของเรื่องราวระหว่างพวกเขาสองคนในอดีตสำหรับกร ขอบฟ้าหน้าชา รู้สึกเหมือนโดนทุบหัวแรงๆ ร่างกายเขาวูบโหวงหากหัวใจกลับปวดหนักหน่วงราวกับโดนมือที่มองไม่เห็นบีบเค้นอย่างหวังให้แหลกลงไปทั้งดวง
“หวังว่านายคงจะเข้าใจ” ไม่ว่าในตอนนี้กรจะมีสีหน้ายังไง เขาก็มองไม่เห็นอีกแล้ว เพราะสายตาเขาหรุบต่ำทอดมองแต่ปลายเท้าฝ่ายนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะมองให้เต็มด้วยสองตาอีกต่อไป
“ครับ” เสียงแหบแห้งเอ่ยรับงกเงิ่น “ผม...เข้าใจครับ ต้องขอโทษด้วยที่...”
“ก็ดี สิ่งที่ฉันต้องการบอกก็มีเท่านี้ล่ะ” กล่าวจบ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะกลับหันหลังจากไปทิ้งให้ขอบฟ้านั่งกำมือชื้นเหงื่อบนตัก เขานั่งอยู่ตรงนั้นพักใหญ่กว่าจะค่อยๆ ขยับตัวเก็บเอกสารบนโต๊ะเข้าที่และตั้งใจจะกลับบ้านเสียที
++++++++++
เขาแทบจำไม่ได้ว่าตัวเองกลับมาถึงห้องพักได้ยังไง แต่ทันทีที่เข้าห้องได้ สิ่งแรกที่ทำคือล้มตัวลงนอนบนเตียง เขานอนนิ่งอยู่ในท่านั้นนานแค่ไหนก็ไม่แน่ใจ แต่มารู้ตัวก็ตอนได้ยินเสียงเรียกชื่อเบาๆ
“ฟ้า”
หน้าตาของพลชนะดูร้อนรนผิดกับท่าทีแตะตัวเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ขอบฟ้าครางอือตอบ พยายามลุกขึ้นนั่ง ยกมือขยี้ตา “พี่พลมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“พี่โทรหาเราตั้งนานแต่ไม่มีคนรับสาย ขับรถตามไปดูที่บริษัท ยามก็บอกว่าไม่มีพนักงานเหลืออยู่แล้ว เลยรีบขับรถมาดูเราที่นี่” พลชนะเอ็ดเสียงเบาด้วยคิ้วขมวดมุ่น “นี่พี่เข้ามาห้องก็ไม่ได้ล็อค เห็นเรานอนนิ่งยังคิดไปว่าฟ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ถ้าเป็นโจร เราคงโดนรัดคอตายไปแล้ว ทำอะไรไม่ระวังตัวเลย แล้วบอกมาสิว่าทำไมไม่รับสายพี่”
ไม่มีทั้งคำขอโทษหรือคำพูดใดจากปากคนนั่งนิ่งเสียจนพลชนะเริ่มใจไม่ดีอีกรอบ ปลายนิ้วเย็นของชายหนุ่มแตะลงบนแก้มซีดเผือด “ฟ้าเป็นอะไร รู้ตัวไหมว่าหน้าซีดมากเลย”
ขอบฟ้าส่ายหน้า พยายามเค้นเสียงจากลำคอแห้งผาก “ผมไม่เป็นไร”
พลชนะมองอาการแล้วจึงเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ไอ้กรเจอฟ้าแล้วเหรอ”
เป็นอีกครั้งที่เขาลังเลว่าควรโกหกต่อหรือไม่ แต่เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงจะปั้นแต่งเรื่องได้อีกต่อไปแล้วจริงๆ
“ครับ อันที่จริง...พี่กรเห็นผมตั้งแต่คราวก่อนแล้วแต่ก็แค่นั้น ครั้งนี้เขาเข้ามาคุยกับผมด้วย” เขาพยายามฝืนยิ้มแต่พบว่ามันยากเย็นเต็มที “พี่พลไม่ต้องกลัวหรอก เพราะมันไม่มีอะไรน่ากลัวเกิดขึ้นเลยสักนิด เขาแค่เข้ามาถามว่าผมสบายดีไหม แล้วก็...แล้วก็บอกว่าที่ไม่ได้ทักต่อหน้าคนอื่น เพราะมันจะดูไม่เหมาะสม”
ยกมือลูบหน้าแต่ขอบฟ้ากลับพบว่ามือตนสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
“เขาว่ามันจะดูไม่ดีถ้ามีใครรู้ว่าคนแบบเขาเคยรู้จักพนักงาน...”
“พอเถอะ ไม่ต้องเล่าแล้ว” อ้อมแขนอบอุ่นมั่นคงโอบรอบคนที่สั่นไปทั้งตัว พลชนะกัดฟันขณะยกมือลูบศีรษะที่ซบลงกับบ่าตน “พอได้แล้ว ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร”
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ตอนมารดาเสียที่ขอบฟ้าร้องไห้ ทั้งที่ผ่านมาเขาคิดว่าตนเข้มแข็งขึ้นมากแล้ว ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร เขาก็ไม่เคยร้องไห้ แม้แต่เวลาที่เจ็บขาเพราะฝืนมากเกินไป แม้จะต้องนอนงอก่องอขิงอยู่ตัวคนเดียวในห้องเล็กๆ เขาก็ไม่เคยที่จะต้องเสียน้ำตา แต่ครานี้ กับคำพูดไม่กี่คำของคนคนนั้นกลับไม่ผิดอะไรกับคมมีดกรีดลงกลางหัวใจ
“ฮึก พี่...พี่กร...” เขาหยุดน้ำตาตัวเองไม่ได้ ห้ามไม่ให้เรียกชื่อคนใจร้ายคนนั้นก็ไม่ได้ ทำได้แค่ซบหน้าลงกับบ่ากว้างร้องไห้สะอึกสะอื้น เสียใจอย่างหนักเสียจนแทบไม่เข้าใจตัวเอง
ตลอดเวลานั้น พลชนะเพียงแค่ลูบศีรษะ ลูบหลัง พร้อมเอ่ยว่าไม่เป็นไรซ้ำๆ
สำหรับเขา ความทรงจำเกี่ยวกับกรอาจจะไม่ใช่ความทรงจำที่มีความสุขทั้งหมด หากมันคละเคล้าด้วยอารมณ์อันหลากหลาย ทั้งสุข ทั้งเศร้า ทั้งน่าจดจำและน่าลืมเลือน แต่กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความทรงจำอันล้ำค่าสำหรับเขา
ทว่าสำหรับกรแล้ว ไม่ใช่เพียงแต่จะเป็นอดีตอันน่าจดจำ ตรงกันข้าม มันกลับไร้ค่า ไร้ความหมายเสียจนชายหนุ่มไม่คิดว่ามีค่าเพียงพอให้หวนระลึกถึง เป็นเพียงเหตุการณ์ในอดีตที่สมควรถูกลบกลบฝังไปตามกาลเวลา อาจจะไม่ถึงกับหลงลืม เพราะกรยังคงจำได้ เพียงแต่...มันไม่มีความหมายอันใดเป็นพิเศษเท่านั้นเอง
เช่นเดียวกับตัวเขาในเวลานี้ที่แทบจะไร้ตัวตนในดวงตาคู่นั้น
ไม่มีอีกแล้ว คนที่หัวเราะเวลาที่เขาซุ่มซ่าม
ไม่มีเสียงห้วนห้าวดุว่าเวลาเขาหาเรื่องใส่ตัว
จะเหลืออยู่ก็แค่คนเคยรู้จักที่มีสีหน้าเย็นชากับดวงตาที่แม้จะมองดูเขา แต่ก็ไม่มีความหมายใดราวกับไร้ตัวตน
++++++++++