Fallen and Destined 13
เจ้าของอุ้งมือที่คว้าต้นแขนเขาไว้ดูเหมือนทั้งโล่งใจและกังวลในเวลาเดียวกัน ร่างสูงกวาดตามองเขาตั้งแต่หัวถึงเท้าแล้วเรียกชื่อเขาอีกครั้ง
“ฟ้า”
ทั้งที่รอบตัวมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ หากบรรยากาศระหว่างพวกเขาสองคนกลับคล้ายหยุดนิ่ง ถึงอีกฝ่ายจะเรียกแค่ชื่อเขา แต่ในดวงตาที่มองตรงมาราวกับจะแทนคำพูดมากมาย
ขอบฟ้าเบือนสายตาหลบ รีบเอ่ยถาม “พี่พลกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“กลับมาสามวันแล้ว โทรหาฟ้าไม่ติด ไปหาที่ห้อง รอจนมืดก็ไม่กลับ วันนี้พี่เลยมานั่งรอเราเลิกงาน ...คิดว่าจะไม่เจอเสียแล้ว”
“พี่พล ผม...” นึกหาคำพูดที่เหมาะสมเพื่ออธิบายเหตุผล ทว่าต่อหน้าสายตาที่จ้องมองมา คำพูดใดๆ ก็ล้วนติดอยู่ที่คอ
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” มือที่กำต้นแขนเขาไว้กระชับแน่นเข้าราวกับเจ้าตัวกำลังกลัวว่าเขาจะวิ่งหนี
คนทำอะไรไม่ถูกเหลียวซ้ายขวาและเห็นว่าเริ่มมีคนอื่นมองมาด้วยความสงสัย นิสัยแคร์สายตาชาวบ้านหวนกลับมาในพริบตา ขอบฟ้ายื้อตัวออกห่าง กล่าวละล่ำละลัก “พี่พล ปล่อยผมก่อน”
พลชนะซึ่งรับรู้ถึงอาการขัดขืนแทนที่จะยอมปล่อยมือ ตรงกันข้าม ร่างสูงกลับออกแรงดึงกลับจนขอบฟ้าแทบจะถลำเข้าไปซุกอยู่ในอกคนตรงหน้า
ไม่ ไม่ดีแน่ แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ “ได้ๆ ผมจะอธิบายให้ฟังหมดเลย แต่ขอเปลี่ยนที่ก่อน ไปหาที่เงียบๆ คุยกันนะครับ”
“งั้นไปบ้านพี่นะ”
คนเสนอไม่ได้อยากได้ที่เงียบถึงขนาดนั้นจึงออกอาการลังเล “ผมว่า...เอ่อ เราคุยกันที่ร้านอาหาร ร้านกาแฟสักร้านดีกว่าไหม”
พลชนะดาร์คโหมดที่ไม่ได้เห็นมานานเม้มปากก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบแทบจะติดใบหน้าซีด ใกล้เสียจนรับรู้ถึงลมหายใจ “งั้นเราคุยกันตรงนี้ให้รู้เรื่องเลยดีกว่า”
ด้วยไม่พร้อมจะแสดงบทละครน้ำเน่ายื้อยุดฉุดกระชากหรือฉากตบจูบกันริมถนนหน้าที่ทำงาน นาทีนี้ขอบฟ้ายินดีทำทุกอย่าง ขอแค่ให้หลุดพ้นจากสถานการณ์แบบที่เป็นอยู่ได้ก็พอ ดังนั้นอย่าว่าแต่บ้าน ชวนไปดาวอังคาร เขาก็ไม่ขัด
“ได้ๆ บ้านพี่ก็บ้านพี่”
พลชนะยอมปล่อยแขนเขาเพื่อเปลี่ยนมาเป็นจูงมือแทน เพื่ออะไร “พี่พล ผมเดินเองได้”
“พี่รู้ว่าฟ้าเดินเองได้” คนตอบเหลือบมองเขา ยกยิ้มมุมปาก ไม่ได้ยิ้มแบบอบอุ่น แต่ยิ้มแบบนั้นน่ะ แบบนั้นไง “แต่พี่กลัวฟ้าหายไปอีกนี่นา”
“แต่คนมอง ผมยังต้องทำงานที่นี่อีกนานนะ” คนพูดร้อนใจ แทบจะอ้อนวอน “ปล่อยก่อนได้ไหม”
อีกฝ่ายหยุดเดิน หยุดยิ้ม ยอมปล่อยมือ ตั้งท่าจะโอบเอวเขาไว้แทน
“ได้ๆ จูงมือก็จูงมือ” ไม่น่าไปหัวเราะ ‘หิวแล้ว’ ของกรไว้มากเลย ขอบฟ้าชักรำคาญไอ้ ‘ได้ๆ’ ของตัวเองเต็มทน “พี่พลจอดรถไว้ที่ไหน รีบไปเถอะ เร็วๆ”
“พี่จอดรถไว้ด้านโน้น” เจ้าตัวบุ้ยหน้าไปยังที่จอดรถผู้มาติดต่อ ก้มมองเขาที่เป็นฝ่ายสอดมือเข้าจับเองแล้วยิ้ม “เดินเร็วๆ ไม่ได้หรอก เดี๋ยวฟ้าเดินตามไม่ทัน พี่ว่าเราค่อยๆ เดินไปก็ได้ พี่ไม่รีบ”
อาจเป็นเพราะพลชนะตั้งใจเดินช้าหรือขอบฟ้าดวงซวยมาก ขณะที่อีกไม่กี่ก้าว พวกเขาก็จะถึงรถที่จอดอยู่กลับเจอคนซึ่งไม่น่าเจออย่างอักษร
แว่บแรกบนใบหน้าอ่อนใสเหมือนเด็กดูจะยินดีอย่างเห็นได้ชัดยามเห็นพลชนะ หากวินาทีต่อมา ราวกับเพิ่งสังเกตเห็นคนที่เดินตามมาจึงชะงักกึก ก่อนใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นขาวซีดเมื่อเห็นมือของทั้งสองที่จับจูงกันอยู่
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะครับ พี่พล” อักษรที่พอจะตั้งหลักได้เอ่ยทัก
“พี่ไปทำงานน่ะ เพิ่งกลับมา ไว้วันหลังค่อยไปกินข้าวด้วยกันนะ วันนี้พี่ขอตัวก่อน” ตอบรวบรัดตัดความแล้วตั้งท่าจะเดินผ่านหน้าไปเฉยๆ หากต้องหยุดกึกเมื่ออักษรพูดขึ้นอีกครั้ง
“แล้วอีกคนรู้หรือยัง”
“อีกคน...” ขอบฟ้างงจัด เพราะไม่เข้าใจว่าเพื่อนกำลังพูดถึงใคร “โอ้พูดถึงอะไร”
“ถึงขนาดนี้แล้ว ฟ้าเลิกเสแสร้งแกล้งทำหน้าซื่อเสียทีเถอะ” ใบหน้าคนพูดเริ่มบิดเบี้ยวราวกับขยะแขยงสิ่งที่พูดเต็มทน “ตั้งแต่วันที่ฟ้าบอกว่าจะไปเยี่ยมเราที่บ้านแต่กลับหายไปเสียเฉยๆ ตอนนั้นเราห่วงว่าฟ้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่าถึงโทรไปหา แต่กลับมีเสียงผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้รับโทรศัพท์ เขาบอกว่าฟ้าเหนื่อยจนหลับไปแล้ว พอเราถามว่าเขาเป็นใคร เขาบอกว่าเขาเป็นผะ...ผัว แล้วบอกให้เราเลิกยุ่งกับเมียเขาเสียทีไง”
มือใหญ่ที่จับมือเขาอยู่กำแน่นขึ้นราวกับต้องการจะบีบให้แหลก ขอบฟ้าหน้าซีด รู้สึกเหมือนกำลังหายใจไม่ออกในขณะที่หูยังได้ยินเสียงของคนที่เขาเรียกว่าเพื่อนยังคงด่าว่าไม่หยุด
“พี่พลก็เหมือนเรานั่นล่ะ โดนหลอกมาตลอด ฟ้าเขาหลอกพี่มาตลอดเวลา โกหกว่ายังไม่มีใครทั้งๆ ที่...”
“หุบปากได้แล้ว” พลชนะคำรามเสียงต่ำ “ฟ้าไม่ได้โกหก”
อักษรที่ตอนนี้น็อตหลุดไปแล้วถลันเข้ามาถึงตัว ยกนิ้วชี้หน้าคนหน้าขาวเป็นกระดาษพร้อมตะคอก “โกหกสิ! ทำไมจะไม่ได้โกหก! มันน่ะมีผัว...”
ก่อนที่ใครจะทันเคลื่อนไหว ฝ่ามือหนาของพลชนะก็ตบอักษรจนคว่ำและยังดึงขอบฟ้าไว้เมื่อเขาตั้งใจจะไปดูเพื่อน จากนั้นก็ลากตัวยัดเข้าไปในรถ พูดเรียบๆ เมื่อเห็นอาการพร้อมจะพุ่งออกนอกรถของเขา
“ถ้าดื้อจะไปดูมันอีกรอบ พี่จะกลับไปตบอีกรอบด้วย”
จากที่มองเห็น มีคนเข้าไปดูอักษรซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิมแล้ว ขอบฟ้าก็แทบไม่อยากมองอะไรอีกโดยเฉพาะหน้าคนขับ
“เขาไม่เห็นฟ้าเป็นเพื่อนแล้วยังจะไปห่วงอีกทำไม” หลังจากนั่งเงียบกันมานาน พลชนะได้เอ่ยขึ้น “เมื่อกี๊พี่โมโหมากไปหน่อย ฟ้าเจ็บตอนโดนพี่ดึงหรือเปล่า แล้วขาไม่เป็นไรใช่ไหม”
สองด้านที่แตกต่างกันแบบสุดกู่ของพลชนะบางครั้งก็ทำให้เขาอดถอนหายใจไม่ได้
“โอ้ไม่ได้โกหกหรอก” ขอบฟ้ายังคงมองนิ่งไปข้างหน้า “นี่คือสิ่งที่ผมอยากอธิบายให้พี่ฟัง ผมย้ายออกจากห้องเช่าไปอยู่กับพี่กรสักพักแล้ว งานใหม่ที่พี่อุตส่าห์ช่วยแนะนำก็ปฏิเสธไปแล้วด้วย”
พูดแค่นั้น เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ปล่อยให้ความเงียบกลับมาคั่นกลางระหว่างพวกเขาจนกระทั่งถึงจุดหมายคือคอนโดริมแม่น้ำแถบชานเมือง
แม้จะไม่เคยมาบ้านพลชนะ แต่เขาจำได้ว่าชายหนุ่มเคยออกปากชวนเขามาเที่ยวอยู่หลายหนตั้งแต่สมัยก่อน เมื่อได้มาเห็นจริงๆ จึงอดเหลียวซ้ายแลขวาไม่ได้
“แถวนี้อากาศดีนะ ตกกลางคืนบรรยากาศยิ่งดีใหญ่” คนเดินอ้อมรถมาดึงข้อศอกเขาให้ออกเดิน น้ำเสียงที่พูดยังเต็มไปด้วยความห่วงใย “หิวหรือเปล่า บนห้องพี่ไม่ค่อยมีของกินซื้อเก็บไว้ แต่ร้านอาหารตามสั่งที่นี่ก็พอกินได้อยู่”
“ผมไม่ค่อยหิว” อันที่จริงน่าจะใกล้เคียงกับคำว่ากินไม่ลงมากกว่า
“ถึงไม่หิวก็น่าจะกินอะไรรองท้องบ้าง” กล่าวพลางดึงให้เข้าไปในร้านอาหารตามสั่งที่ว่า หากด้วยความหรูหราแล้วเขาอยากเรียกว่าภัตตาคารตามสั่งมากกว่า
กลิ่นอาหารและกาแฟหอมๆ สร้างความอยากอาหารได้ดีพอสมควร เมื่อทนแรงคะยั้นคะยอไม่ไหว สุดท้ายพวกเขาสองคนก็นั่งกินข้าวเย็นกันเงียบๆ ระหว่างนั้น ขอบฟ้าเหลียวมองรอบๆ เห็นว่าภายในร้านมีลูกค้าแค่สามสี่โต๊ะ เงียบแต่ไม่เปลี่ยว มีคนอื่นแต่เป็นส่วนตัว จึงคิดว่าถึงเวลาเหมาะสมในการพูดคุยเสียที
“พี่พลตบโอ้” เปิดฉากด้วยสิ่งที่ไม่พอใจก่อนอื่น “โอ้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นถึงโกรธแทนพี่ เขาทำเพื่อพี่พลนะ มันไม่ยุติธรรมกับเขาเลย”
พลชนะเหลือบตามองเขา ยกผ้าเช็ดปากขึ้นแตะก่อนจิบน้ำอย่างใจเย็น ก่อนเอ่ยคำพูดที่เลือดเย็นยิ่งกว่า
“พี่โกรธแทนฟ้า โอ้เป็นเพื่อนฟ้าแท้ๆ จะมาทำเพื่อพี่ไปให้ได้อะไร มันไม่จำเป็น พี่ไม่ต้องการ”
“โอ้ชอบพี่พล” หลุดปากไปแล้ว ขอบฟ้าถึงเริ่มนึกได้ว่าไม่สมควรพูดออกไป แต่ไหนๆ ก็พูดไปแล้ว ขอพูดให้ถึงที่สุดเลยแล้วกัน “โอ้เป็นคนดี น่ารัก ถ้าพี่พลรู้จักเขาให้มากกว่านี้ ผมรับรองได้ว่า...”
“อย่าบอกให้พี่ไปรักคนอื่นได้ไหม” คนฝั่งตรงข้ามหยุดคำพูดที่เหลือด้วยสีหน้าเศร้าหมอง หัวเราะทั้งที่ทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ “ฟ้าเลือดเย็น อันนี้พี่รู้ แต่ขอแค่เรื่องนี้ได้ไหม เห็นใจพี่บ้าง ...อย่าบอกให้พี่ไปรักคนอื่นเลย ขอร้อง”
ขอบฟ้าถึงแก่นิ่งอึ้ง ทั้งเลือดเย็น ทั้งไม่มีหัวใจ นี่เขาโดนต่อว่าใส่หน้ามาติดกันสองวันแล้วนะ โดนบรรดาตัวพ่อด่าว่าเลือดเย็นนี่เขาควรพิจารณาตัวเองอย่างด่วนหรือเปล่า
“ฟ้าไม่ต้องเล่ารายละเอียดให้พี่ฟังก็ได้ ตั้งแต่วันที่ไอ้กรมันกลับมา พี่ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าสักวันต้องกลายเป็นแบบนี้ ไม่ว่ามันจะเคยทำอะไรไว้ ฟ้าก็คงกลับไปหามันอยู่ดี แต่ขอได้ไหม แค่วันนี้ก็ได้ ทำเหมือนฟ้ารักพี่ ย้อนกลับไปเหมือนวันเก่าๆ ตอนที่เราคบกัน แล้วค่อยกลับไปหา...”
คำสุดท้ายจางหายไปในลำคอผู้พูด ขอบฟ้ารู้ดีว่าเขาควรปฏิเสธ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลมากมายแค่ไหนก็ตาม เขากลับทำไม่ลง ไม่ใช่ผู้ชายคนนี้หรอกหรือที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอด คอยให้กำลังใจในวันที่เขาท้อแท้ ไม่เคยเรียกร้องอะไรให้ลำบากใจ
เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นขัดจังหวะการใช้ความคิด เบอร์คนโทรเข้าทำให้ขมวดคิ้ว นึกถึงสิ่งที่อักษรบอกว่าโทรหาเขาแต่มีเสียงผู้ชายรับ แถมพูดเรื่องผัวๆ เมียๆ...
งานนี้ไม่ต้องเดาให้เมื่อยว่าความร้าวฉานของเขากับเพื่อนมันมีที่มาจากใคร จะมีใครหน้าด้านเหมือนเจ้าของชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ในเวลานี้ได้อีก
นึกหงุดหงิดขึ้นมาแบบกะทันหัน ขอบฟ้ากดตัดสายแล้วปิดเครื่อง ถึงจะเลี่ยงผลลัพธ์จากการกบฎเล็กๆ นี้ไม่พ้น หากคงไม่ถึงขั้นศพไม่สวยกระมัง
ท้องฟ้าด้านนอกมืดไปตั้งแต่เมื่อไหร่เขาก็ไม่ทันสังเกต เมื่อหันกลับมามองคนร่วมโต๊ะที่ยังนั่งหลังงอ บ่าลู่รอคอยคำตอบอย่างอดทน ขอบฟ้าจึงค่อยเอ่ย
“ฟ้ามืดแล้ว” คำธรรมดาๆ กลับทำให้พลชนะก้มหน้าต่ำยิ่งกว่าเดิม เขากลืนน้ำลายก่อนหลับหูหลับตาพูด “คืนนี้ขอผมค้างด้วยนะ”
พลชนะเงยหน้าขวับ จ้องเขาแบบตกตะลึงให้พอกระอักกระอ่วนเล่น หากวินาทีต่อมาดวงตาทั้งคู่ที่หงอยเหงาจนถึงเมื่อครู่กลับวาววับพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“แค่นอนเฉยๆ นะ ห้าม...” ขอบฟ้ารีบบอกกติกา แต่ไม่อยากเอ่ยถึงตรงๆ จึงกำมือทุบโต๊ะเบาๆ เพื่อสร้างความหนักแน่นให้กับคำพูด “ถ้าพี่ไม่รับปาก ผมกลับบ้าน”
แม้จะทำหน้าเสียดมเสียดายที่โดนรู้ทัน หากโดยรวม ใบหน้าชายหนุ่มก็ยังเกลื่อนรอยยิ้ม “นอนเฉยๆ จะไปสนุกอะไร”
“งั้นผมกลับ...” ต้องทำท่าจะลุกนั่นล่ะ พลชนะถึงรีบสัญญา
“ก็ได้ นอนเฉยๆ ก็ได้ หึๆ นอนเฉยๆ นะ”
ฟังเสียงหัวเราะลงคอแบบเจ้าเล่ห์แล้วเขาชักรับรู้ความใจอ่อนของตัวเอง เลือดเย็นบ้าบออะไร ก็พ่อเล่นเจ้าเล่ห์เสียขนาดนี้ อีกรายนั่นก็ว่าไม่มีหัวใจ ทีเจ้าตัวไม่มีหัวใจรักเขาเสียที เขายังไม่เคยว่าอะไรเลยสักคำ
++++++++++
สิ่งที่คิดเป็นอย่างแรกยามเห็นสภาพห้องคือโล่ง
ห้องของพลชนะไม่กว้างมากแต่กลับโล่งได้อย่างน่าประหลาด อาจเพราะเท่าที่มองเห็น มีแค่ชุดโซฟาหน้าโทรทัศน์ ตู้เก็บเอกสารวางชิดโต๊ะทำงานอยู่ด้านหนึ่ง พื้นที่ที่น่าจะเป็นครัวว่างเปล่า มีแค่ไมโครเวฟวางบนเคาน์เตอร์กับตู้เย็นอีกเครื่อง
เขารู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ในห้องตัวอย่างมากกว่าห้องที่มีคนพักอาศัยอยู่จริงๆ และพูดออกไปตามนั้น
เจ้าของห้องหัวเราะหลังฟังจบ “พี่ไม่ค่อยอยู่เท่าไหร่ จะมีของเยอะไปทำไม หรือฟ้าอยากมาอยู่ไหมล่ะ พี่ให้งบแต่งห้องได้ตามสบาย”
ทำหน้าตอบไม่ถูกแล้วขอบฟ้าค่อยเดินเลี่ยงไปดูวิวริมระเบียง อากาศเย็นริมฝั่งแม่น้ำยามค่ำคืนสร้างความสดชื่นให้จนต้องสูดลมหายใจลึก มองเพลินๆ สักพักจนอีกคนตามมายืนข้างๆ ส่งน้ำอัดลมกระป๋องให้เขาในขณะที่อีกมือมีกระป๋องเบียร์สำหรับตัวเอง
“งานตอนนี้หนักไหม”
“ก็เรื่อยๆ ครับ ระบบเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว มีงานสัมมนานอกสถานที่เดือนหน้า” ถึงจะไม่มีเพื่อนสนิท แต่เห็นหลายคนในแผนกตื่นเต้นกับงานสังสรรค์คราวนี้ ขอบฟ้าก็อดคึกคักตามไปด้วยไม่ได้ “เห็นว่าจะไปหัวหินกัน ฟังดูน่าสนุกเนอะ”
“หัวหินเหรอ ดีจัง พี่ไม่ได้ไปเที่ยวทะเลตั้งนานแล้ว” คนพูดทำเสียงเหมือนละเมอ
“พี่พลก็ไปต่างประเทศออกจะบ่อย ทำพูดเหมือนคนไม่ค่อยได้ไปไหนงั้นล่ะ ผมต่างหากที่วันๆ วนเวียนอยู่แค่บ้านกับที่ทำงาน ล่าสุดที่ไปก็ตั้งแต่...” นึกย้อนไปแล้วก็สะดุด ครั้งสุดท้ายที่เขาได้ไปเที่ยวคือสมัยยังเป็นแฟนพลชนะโน่น แถมทริปนั้นก็ไม่ได้เป็นความทรงจำที่ดีสักเท่าไหร่ เท่าที่จำได้แม่นๆ ก็...
“ครั้งที่เราไปเที่ยวกัน ฟ้าก็เกือบจมน้ำตายนี่นะ” พลชนะคงจำเรื่องนี้ได้แม่นพอๆ กับเขาจึงได้เอ่ยขึ้นมา นับได้ว่าเป็นประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ลืมไม่ลงแท้ๆ “พี่จำได้ มันเป็นการไปเที่ยวที่ตอนเริ่มต้น พี่มีความสุขมาก ถ้าตอนนั้นไม่ได้ทะเลาะกันเสียก่อน ก็ตั้งใจจะมีอะไรกับฟ้าจริงๆ นั่นล่ะ”
ถึงจะเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว แต่มาพูดให้ฟังกันต่อหน้า ขอบฟ้าก็อดสะดุ้งไม่ได้
“ถ้าเราไม่ได้ทะเลาะกันก็คงจะดี พี่โมโหจนไม่ยอมคิดจะหยุดฟังสิ่งที่ฟ้าต้องการจะบอก ตอนนั้นฟ้าตั้งใจจะบอกอะไรกับพี่กันแน่ พี่กลัวว่าฟ้าจะบอกเลิกใจแทบขาดเลยคิดว่าควรรีบออกปาก แค่ห่างกัน...ก็น่าจะพอ” ยกเบียร์ขึ้นจิบ เงียบไปชั่วอึดใจก่อนชายหนุ่มจะหันมาจ้องแบบจริงจัง “ตอนนั้นฟ้าตั้งใจจะบอกอะไรกับพี่”
ขอบฟ้าจำได้ดี จำได้ว่าคิดจะสารภาพความจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่โดนกรข่มขืน เรื่องที่โดนแบล็คเมล์ เรื่องกลัวโดนพลชนะรังเกียจ เรื่องความรัก เรื่องที่คนสองคนจะอยู่เคียงข้างกันจนวันตาย...
เขาไม่มีโอกาสรู้เลยว่าหากพลชนะได้รับฟังสิ่งที่เขาต้องการบอกตอนนั้น ณ เวลานั้น ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสามคนในวันนี้จะเป็นเช่นไร
เขาไม่มีวันรู้ได้เลยจริงๆ
“ผมจำไม่ได้แล้ว”
แววตาที่จ้องเขาไม่คลาด ท่าทีแทบกลั้นหายใจรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อของพลชนะทำให้ขอบฟ้าตัดสินใจเอ่ยต่อ “เรื่องมันผ่านมานานแล้ว เราอย่าพูดถึงมันอีกเลย”
“จริงด้วย มันผ่านมานานแล้ว มัน...ไม่มีทางย้อนกลับมาได้อีกแล้ว” เอ่ยพึมพำแล้วพลชนะก็ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด “ฟ้าไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวพี่หาชุดนอนเตรียมไว้ให้”
เดินเข้าห้องน้ำอย่างเชื่อฟังและพบว่ามีแปรงสีฟันอันใหม่กับผ้าขนหนูวางเตรียมไว้ให้เรียบร้อย ชุดนอนที่วางเตรียมไว้ให้เป็นชุดนอนจริงๆ คือเสื้อกับกางเกงขายาวผ้าฝ้ายเนื้อนุ่ม น่ารักดี ไม่รู้ว่าพลชนะใส่ชุดนอนแบบนี้ด้วย เพราะเขาเองก็ใส่แค่เสื้อยืดกางเกงเก่าๆ ผ้านิ่มๆ ส่วนกรนั่นใส่บอกเซอร์สักตัวก็ถือว่าบุญหนักหนา...
“มีแต่ไซส์พี่ ชุดคงใหญ่ไปหน่อย” เจ้าของห้องเหลียวมองเขาที่เดินขากางเกงย่นออกมาแล้วยิ้ม “ฟ้านอนบนเตียงได้เลยนะ เดี๋ยวพี่อาบน้ำก่อน”
พออยู่ตามลำพัง เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เริ่มลังเลว่าตนทำตัวเหมือนเด็กเกินไปหรือเปล่า ชอบว่าแต่กร ทีตัวเอง...
ไม่ ไม่ ไม่ แต่งานนี้เขาไม่ผิดนะ เรื่องกรโกรธเขานั่นมันเรื่องหนึ่ง แต่ที่เขาปิดโทรศัพท์นี่เพราะไม่พอใจที่กรถือวิสาสะรับโทรศัพท์เขาไม่พอ ยังไปพูดบ้าๆ จนอักษรโกรธต่างหาก
ให้คุยกันตอนนี้คงไม่แคล้วต่างคนต่างโมโหใส่กัน ทางเขาคงไม่เท่าไหร่ ทางนั้นสิอาจถึงขั้นแปลงร่าง ยิ่งถ้ารู้ว่าเขาใจอ่อนมานอนห้องพลชนะอีกล่ะก็ อาจไม่ใช่แค่ศพไม่สวย อย่างดีก็อาจเจอเศษเนื้อสักสองสามชิ้นหรือเส้นผมสักสองสามเส้น แต่ถ้าแย่มาก อาจจะถึงขั้นหาศพไม่เจอด้วยซ้ำ
หมกมุ่นกับสภาพศพตัวเองจนร่างสูงเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนพื้นข้างเตียงพร้อมออกคำสั่ง
“เช็ดผมให้หน่อย”
ขยับตัวเงอะงะอยู่ครู่หนึ่ง ขอบฟ้าก็วางโทรศัพท์ หันมาหยิบผ้าขนหนูขยี้ไปบนเส้นผมเปียกเบาๆ ไม่รู้ทำไมรอบตัวเขามีแต่คนขี้เกียจทำอะไรกับหัวตัวเองกันนัก กรก็ใช้ให้เขาสระผมให้ พลชนะยังมาใช้ให้เช็ดผมอีก มันสบายนักหรือไง
“พี่พล”
“หืม” ชายหนุ่มครางตอบในลำคอเหมือนคนง่วงนอน
“เรื่องโอ้น่ะ” เกริ่นนำแล้วเงียบรอดูปฏิกิริยา กะว่าถ้ามีเสียงคำรามจะได้เปลี่ยนเรื่อง หากพลชนะกลับย้อนถาม
“ทำไมเหรอ”
“ตลอดชีวิตผม นอกจากป่านแล้วก็มีโอ้นี่ล่ะที่ผมสามารถเรียกว่าเพื่อนได้เต็มปาก”
ดวงเรื่องเพื่อนของเขามันแย่มาก เพื่อนที่มีอยู่แค่สองคน คนหนึ่งห่างเหินกับเขาตั้งแต่เรื่องกร อีกคนหนึ่งคุยกับกรแค่ประโยคเดียว เกลียดขี้หน้าเขาไปเลย เจริญแท้ๆ
“เราเริ่มงานที่บริษัทนี้พร้อมกัน เข้าอบรมพนักงานใหม่พร้อมกัน ถึงจะอยู่กันคนละแผนก แต่เขาก็ชอบแวะมาหาผม ชวนไปกินข้าวกลางวัน เวลามีปัญหาก็วิ่งมาปรึกษา ชอบใจหรือเบื่อเรื่องอะไรก็เล่าให้ฟังตลอด นอกจากจะกระตือรือร้น ขยัน ใจดี หน้าตาดีแล้วยังนิสัยดีมาก”
“อือฮึ”
พูดไปตั้งมาก ตอบแค่เนี้ย ถึงปฏิกิริยาตอบรับจะไม่น่าพอใจแต่เขายังไม่ยอมแพ้
“เห็นแบบนั้นแต่โอ้ก็กลัวลูกแมว บอกว่ามันตัวนิ่มๆ เหลวๆ เคยมีลูกแมวมาเดินพันขา โอ้ตกใจร้องลั่น บอกให้ผมอุ้มลูกแมวไปให้พ้น ผมหัวเราะท้องแข็งเลย”
จู่ๆ พลชนะก็หมุนตัวกลับมาเอาคางเกยกับตักเขา เงยหน้ามองยิ้มๆ จนขอบฟ้าเริ่มประหม่าว่าเผลอทำอะไรขายขี้หน้าออกไปหรือเปล่า “มี...มีอะไรเหรอครับ”
“อยากเห็นตอนฟ้าหัวเราะดังๆ บ้าง” พูดพลางทำคิ้วย่น “ตั้งแต่รู้จักกัน พี่เคยเห็นฟ้าหัวเราะกี่ครั้งกันนะ ส่วนใหญ่จะแค่ยิ้มๆ เอง”
คนฟังชะงัก ก็เมื่อวานนี้เองที่เขาเพิ่งหัวเราะกรที่ร้านหมูกะทะ “ผมก็หัวเราะบ่อยออก พี่พลไม่เห็นเองต่างหาก”
“งั้นฟ้าก็มาอยู่กับพี่ให้นานกว่านี้หน่อยสิ”
คำพูดทีเล่นทีจริงทำขอบฟ้าชะงัก “พี่พล”
“...แค่พูดเล่นน่ะ ไม่ต้องคิดมากหรอก” เบือนหน้ามองเมินไปทางอื่นแล้วพลชนะก็หัวเราะแหบแห้ง “ง่วงหรือยัง ถ้ายังไม่ง่วง จะดูหนังก็ได้นะ พี่ซื้อพวกแผ่นหนังไว้เยอะแยะแต่ไม่ค่อยมีเวลาดู”
ถึงจะไม่นึกอยากดูเท่าไหร่ แต่เนื่องจากอยากหลุดไปจากสถานการณ์กระอักกระอ่วนตรงนี้ เขาจึงพยักหน้ารับหงึกหงัก สิบนาทีต่อมา ทั้งคู่ก็มานั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน ดูหนังเรื่องเดียวกัน ใจลอยไปเรื่องอื่นเหมือนกัน
ไม่รู้ป่านนี้กรจะอาละวาดไปถึงไหน ถ้าไม่ลุกมาโยนข้าวของเสื้อผ้าเขาเขวี้ยงลงถังขยะก็คงดี จะโกรธเขามากหรือเปล่า จะรู้ไหมว่าความจริงเขาไม่ได้กลับไปนอนบ้านอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก
หรือจะไม่รู้สึกอะไรเลย
จิตเขาเริ่มตก ซอมบี้ในจอก็เริ่มกินหัวคนไปพร้อมๆ กัน
ตัวเอกวิ่งหนี ซอมบี้ก็เดินเตาะแตะไล่ตาม ตัวเอกวิ่งหนีขึ้นรถโดยไม่รู้ว่าบนเบาะหลังกำลังมีอะไรบางอย่างขยับอยู่ช้าๆ...
“พี่พล” กล่าวพลางกระเถิบเข้าหาอีกฝ่าย “หนังไม่สนุกเลย”
“ตื่นเต้นดีออก ฟ้าว่าไอ้ข้างหลังนั่นอะไร”
“...ตาฝาดมั้ง” เขาเขยิบไปด้านซ้ายอีกนิด โน้มตัวไปข้างหน้าอีกหน่อย
“ตาฝาดหรือตาขาว” พลชนะหัวเราะหึเมื่อโดนทุบใส่ดังอั้ก
“สรุปเป็นตัวอะไร” ขอบฟ้าหันมาจ้องหน้าพลชนะแทนแล้วในเวลานี้
“ฟ้าก็หันไปดูเองสิ” ตอบโดยไม่ยอมมองหน้าเขาแล้วชายหนุ่มก็อุทานเบาๆ “อ๊ะ”
“อะไร”
“เฮ้ย”
ด้วยความอยากรู้ ขอบฟ้าเลยยอมหันไปดูเองให้รู้แล้วรู้รอดแต่ยังไม่เห็นสถานการณ์ล่าสุดดี มือใหญ่ก็ล็อคเข้าเอวแล้วลากเขาเข้าไป
“พี่พล ทำอะไรน่ะ ปล่อย!”
“ก็พี่กลัวนี่นา แต่อยากดูต่อ ฟ้ามานั่งดูใกล้ๆ พี่หน่อยนะ” คนพูดเสียงอ่อยยอมปล่อยมือโดยไม่เซ้าซี้ “นะครับ”
ถึงจะไม่ค่อยชอบหน้าตานักแสดงในเรื่องแต่ไอ้จะบอกให้เปลี่ยนเรื่องเพราะผู้ชายสองคนดันกลัวผีทั้งคู่นี่ รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น ขอบฟ้าหรี่ตามองอีกฝ่ายแบบจับผิดแต่หน้าหงอยๆ ก็ทำให้เริ่มใจอ่อน
“ดูเป็นเพื่อนก็ได้ แต่ห้ามโอบ ห้ามกอด ห้ามทุกอย่าง” อย่างน้อยก็ขอกันตัวเองไว้ระดับหนึ่งล่ะ
“โอเค งั้นมาเร็ว รถพระเอกตกแม่น้ำไปแล้วนะ” พูดแล้วพลชนะก็หันไปสนอกสนใจโทรทัศน์ต่อโดยไม่เหลือบแลมาอีก
มองดูทีท่าด้วยความระแวดระวังอยู่พักใหญ่ ขอบฟ้าจึงค่อยคลายใจและหันไปดูซอมบี้วิ่งไล่กินตับคนบ้าง หนังไม่สนุกแต่น่าตื่นเต้น ซอมบี้สปีดปานกลางไม่ช้าไม่เร็ว แต่ทำไมพระเอกมันชอบมุดเข้าไปตามบ้านร้าง เดินไปตามทางแคบๆ มืดๆ นักก็ไม่รู้ เคยเห็นเด็กๆ ชอบเล่นเกมไล่ยิงซอมบี้กัน ส่วนตัวเขาเองไม่ชอบสักนิด ไม่เคยเข้าใจสักครั้งว่ามันสนุกตรงไหน มันเสียว
“รู้ว่ายิงปืนแล้วตัวอื่นมันจะตามมา ยังจะยิงอยู่นั่น ทำไมไม่หาอะไรทุบหัว” เขาบ่นหงุดหงิด เป็นเขาถ้าไม่วิ่งหนีก็คงหามีดสักเล่มติดมือไว้คู่กันดีกว่า “หนังสมัยนี้ไม่มีเหตุผลเลย”
นั่งบ่นเป็นระยะๆ พร้อมเนื้อเรื่องที่เริ่มขมึงเกลียวขึ้นทุกขณะ บรรยากาศชวนอึดอัดเสียวสันหลัง กดดันเสียจนบางทีถ้าเขาเป็นพระเอก เขาคงยอมให้มันกินง่ายๆ เลยดีกว่าให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
เขาขยับตัวบ่อยจนเหมือนกระสับกระส่าย นั่งยุกยิกจนคนนั่งนิ่งดูหนังมานานเอ่ยถาม “กลัวเหรอ”
“เปล่า ผมเมื่อยต่างหาก” โตป่านนี้แล้วใครจะมานั่งกลัวซอมบี้กันเป็นเด็กๆ อีก ว่าแต่เมื่อไหร่หนังจะจบเนี่ย จนมุมหวุดหวิดจวนเจียนมาหลายรอบแล้วนะ ยอมให้มันกินๆ ไปเสียทีเหอะ เรื่องจะได้จบๆ
“งั้นฟ้าไปนอนก่อนไป” พลชนะไม่แม้แต่จะชายตามามอง ถามจริงว่าหน้าตาซอมบี้มันน่ามองกว่าหน้าเขาขนาดนั้นเลยเหรอ
นึกถึงห้องแปลกหน้ามืดๆ แล้วตัดสินใจตอบเลี่ยง “ผมบอกแล้วว่าจะดูเป็นเพื่อนก็ต้องดูให้จบ”
พูดจบ ขอบฟ้าก็เริ่มหลับตา อย่างน้อยนั่งหลับเป็นเพื่อนก็ยังดี สักพักก็เริ่มเคลิ้มและหลับไปแบบไม่รู้ตัว มางัวเงียอีกทีก็ตอนที่โดนจับลงนอนสบายๆ เขาถามเสียงง่วงๆ โดยไม่ยอมลืมตา “หนังจบหรือยัง”
“ยังเลย ฟ้านอนไปก่อนนะครับ” มือใหญ่ลูบหัวด้วยกิริยาอ่อนโยนและเขาก็หลับต่อแทบจะทันที
อาจจะเป็นเพราะคืนก่อนหน้านอนไม่ค่อยหลับ คืนนี้ขอบฟ้าจึงหลับลึกและหลับยาวรวดเดียวจนมาตื่นอีกทีก็เป็นเวลาที่ฟ้าสางแล้ว
แว่บแรกเขายังงงๆ ว่าตัวเองนอนอยู่ที่ไหน หมอนก็ไม่นิ่มสบายเหมือนเคย หากพอพลิกตัวขึ้นก็ตกใจจนตัวแข็งหายงัวเงียเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นว่าหมอนที่หนุนมาตลอดคืนกลายเป็นตักของพลชนะเสียนี่ เขาเบิ่งตาโตจ้องชายหนุ่มที่นอนกอดอกพิงโซฟาอย่างไม่น่าสบายเท่าไหร่นัก ใบหน้าหรุบลงเล็กน้อย ดวงตาปิดสนิทแต่คิ้วขมวด ลมหายใจยังเป็นจังหวะลึกสม่ำเสมอ
อย่าบอกนะว่านอนให้เขาหนุนตักมาทั้งคืน ทำไมไม่ปลุกล่ะ ทำไมถึงไม่เรียก เขาไม่ยอมตื่นเหรอ ไม่นะ เขาเป็นคนตื่นง่ายจะตาย หรือเมื่อคืนจะง่วงมาก แล้วทำไมไม่ปล่อยเขานอนคนเดียวล่ะ เขานอนคนเดียวได้นะ
คิดสับสนล้านแปดและไม่กล้าขยับเขยื้อน กลอกตามองซ้ายขวาแล้วค่อยๆ เอื้อมมือยันตัวขึ้นอย่างระมัดระวัง ลุกมายืนห่างๆ ได้ก็รีบหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนแบบไม่กล้าอาบน้ำด้วยซ้ำก่อนจะรีบย่องออกจากห้องมาแบบกระเจิดกระเจิง
เมื่อมายืนใจตุ้มๆ ต่อมๆ ในลิฟต์ตามลำพัง ขอบฟ้าก็ให้นึกสงสัยว่ากลัวอะไรนักหนา ให้ตอบก็ตอบไม่ถูก แต่เขาคงตีหน้าไม่ถูกถ้าต้องเผชิญหน้ากับพลชนะในเวลานี้นี่นา
เนื่องจากเป็นเวลาเช้ามาก เขาจึงตัดสินใจกลับห้องกรไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ถึงจะเสียเวลาอ้อมไปอ้อมมาบ้างแต่เมื่อไม่มีทางเลือกก็ต้องทำ
กลับมาถึงจุดหมายตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงเช้าดี เห็นเวลาแล้วเขาค่อยสบายใจว่าถ้ารีบอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าก็น่าจะไปทำงานทัน
เขาน่าจะไปทำงานทันจริงๆ นั่นล่ะถ้าเจ้าของห้องไม่ได้นั่งรออยู่ตอนเขาเปิดประตูเข้าไป
+++++++++