Fallen and Destined 15
กลับถึงห้องปุ๊บ กรก็ไล่เขาไปนอนพัก ส่วนเจ้าตัวเดินหาน้ำหายาให้วุ่น ไม่ยอมฟังที่เขาบอกว่าไม่เป็นไรสักนิด
“แค่กินยาแก้ปวดไม่ตายหรอก อ้าปากแล้วกลืนลงไป” กรยืนทำหน้าดุ เสียงดุใส่คนส่ายหน้าดิก “เฮ้ย อย่าทำตัวงอแงงี่เง่า เดี๋ยวจะโดน”
“ไม่กิน ก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร” ปัดมือที่เอื้อมมาบีบคางเขาไว้แล้วซุกหน้าลงกับหมอน “ผมจะนอนแล้ว”
“โอ๊ย มึงนี่มัน...” กระแทกตัวลงนั่งข้างๆ แล้วกรก็นั่งบ่นปนด่าเขาต่อ ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหัว “กินหน่อยเหอะ เดี๋ยวกูต้องไปบริษัท ปั้นมันจะมารับแล้ว”
“งั้นก็รีบไปเถอะครับ เดี๋ยวคุณปั้นคอย” เหลือบดูนาฬิกาข้างเตียงแล้วรีบบอก “นี่เกือบบ่ายสองแล้วนะ”
แทนที่จะรีบ กรกลับจ้องหน้าเขาแล้วเอ่ยห้วน “ปวิน”
“หือ”
“ปั้นชื่อจริงปวิน เรียกปวินสิ จะไปเรียกปั้นทำไม”
“แล้วทำไมพี่กรเรียกได้ แต่ผมเรียกไม่ได้”
“ก็กูสนิทกันมากเลยเรียกได้ มึงสนิทเหรอไง ไปสนิทกันตั้งแต่ตอนไหน หา คิดจะสวมเขาให้กูเหรอ”
ฟังเสียงรวนหาเรื่องแล้วขอบฟ้าก็นิ่งอึ้ง จริงสินะ เขาเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว คงเป็นเพราะได้อยู่กับกรมากๆ เลยพาลลืมความจริงบางอย่างที่เห็นตำตาไปได้ง่ายๆ
ปวินเคยบอกว่าตนเองเป็นคนพิเศษของกร ทั้งคู่สนิทสนมกันมาก เขามัวแต่นึกสงสัยว่าทำไมกรถึงไม่สนใจจะมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาอีกในเมื่อพูดไว้ชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่าจะให้เขาเป็นคู่นอน
ความจริงเห็นอยู่ทนโท่ มีแต่เขาที่โง่มานาน ทำไมกรจะต้องนึกสนใจเขาอีกในเมื่อชายหนุ่มมีคู่นอนคนอื่นที่เต็มใจอยู่แล้ว ใครคนอื่นที่รู้ใจมากกว่า สนิทสนมมากกว่า หน้าตาดีกว่าเขาอย่างปวิน
จากที่เคยคิดว่าไม่เป็นไร เขาเหมือนคนหมดแรงกะทันหัน ทิ้งตัวหลับตาไม่ยอมมองหน้ากร “พี่กรรีบไปเถอะ เดี๋ยวผมลุกมากินเอง”
“กูไม่เชื่อ” พูดพลางทำท่าจะงัดเขาขึ้นมากรอกยาใส่ปาก หากมือแข็งก็ชะงักเมื่อขอบฟ้าเอ่ยเนือย
“ไม่เชื่อใจผมหรือไง”
น้ำหนักตัวของกรหายไปจากเตียงพร้อมกับเสียงสบถที่ดังขึ้น “อย่าให้รู้ว่ากล้าโกหกนะ แม่ง ดื้อชิบหาย กูล่ะเบื่อ”
ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดลำลองมาเป็นชุดสูท ปวินก็มารับตามที่พูด เจ้าตัวเคาะประตูห้องนอนแล้วเอ่ยเร่ง “คุณกรเสร็จหรือยังครับ”
“เออ ไปแล้วๆ” พอโดนเร่งมากเข้า กรก็คว้าเนคไทแล้วรีบเดินออกจากห้อง ตัวขอบฟ้านอนคิดนิดหนึ่งแล้วรีบลุกพรวดตามออกไปด้านนอก
หากภาพที่เห็นทำให้ต้องนิ่งขึงเป็นก้อนหิน ปวินกำลังยืนผูกเนคไทให้กรอยู่ ใบหน้าสะสวยเกินชายยิ้มแย้มขณะเอ่ยบางอย่างกับคนที่ก้มหน้าลงไปหา อะไรไม่ร้ายเท่ากรที่ยิ้มตอบด้วยสีหน้าแววตาอ่อนโยน ภาพของคนทั้งคู่ดูสนิทสนมและสวยงามน่ามอง เป็นภาพที่ไม่ควรมีใครเข้าไปแทรกหรือทำลายลงทั้งนั้น
ปวินตบเนคไทเล็กน้อยให้เข้าที่ เอียงคอมองสำรวจแล้วจึงเหลือบมาเห็นเขา ฝ่ายนั้นพยักหน้าทักทายพร้อมเผยรอยยิ้มสดใส “สวัสดีครับ”
ขอบฟ้าที่ตอนนี้อยู่ในสภาพเยินๆ เนื่องจากเสื้อผ้ายับยู่ยี่ ผมเผ้าก็คงยุ่งเหยิงรีบก้มศีรษะตอบเงอะงะ เป็นจังหวะเดียวกับที่กรหันกลับมามองแล้วดุด้วยใบหน้าเครียด
“ออกมาทำไม” กรขมวดคิ้วมองแล้วโบกมือไล่ส่ง “หน้าตาดูไม่ได้เลย กลับเข้าห้องไป๊”
ยังไม่ทันตอบอะไร ร่างสูงก็สะบัดหน้าไปอีกด้านเหมือนไม่อยากมอง มือใหญ่ยกโอบคนข้างตัวพร้อมพึมพำราวกับหงุดหงิด “ไปเถอะ”
หลังจากประตูห้องกระแทกปิดดังปังแล้วทุกอย่างก็กลับมาอยู่ในความเงียบสงบ เขายืนอยู่ที่เดิมตามลำพังพักใหญ่ก่อนจะเดินไปหยิบยาที่กรอุตส่าห์วางไว้ให้ หลับหูหลับตากลั้นใจโยนเข้าปากทั้งที่แน่ใจว่าร่างกายไม่ได้ป่วยไข้อะไร
แม้จะกรอกน้ำตามจนหมดแก้ว แต่เม็ดยาใหญ่ยังทิ้งรสขมไว้ในปาก ผะอืดผะอมเหมือนมันยังติดอยู่ในลำคอจนต้องไอโขลก รสยาขมเฝื่อนทำให้ไอจนปวดไปทั้งช่องอก ลามไปถึงหัวใจที่เต้นหน่วงๆ อยู่ด้านใน
++++++++++
กลางดึกขอบฟ้าสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกถึงมือที่ลูบหัวอยู่
“พี่กร” เรียกแบบตื่นๆ หัวใจยังเต้นตึกตัก ความเสียใจและใจเสียเลือนหายไป มีแต่ความดีใจที่เห็นกรกลับมา “กลับมาแล้วเหรอ ยืนทำอะไรมืดๆ น่ะ”
ยันตัวเองลุกขึ้นพลางเพ่งมองเงาคนในความมืด แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่ยอมตอบคำถามเขาจนเริ่มเก้อ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก” พูดพลางทรุดตัวลงนั่งข้างๆ “กินข้าว กินยาหรือยัง”
“กินแล้ว” เขาลูบไหล่กว้างที่ตกลู่กว่าปกติ “เหนื่อยเหรอครับ”
“หืม” กรเงยหน้า กล้ามเนื้อไหล่ใต้ฝ่ามือดูจะเกร็งขึ้น “นิดหน่อย มีเรื่องยุ่งๆ น่ะ แต่ไม่เป็นไร”
ต่างคนต่างเงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยเรียก “ฟ้า”
“ครับ” ไม่บ่อยนักหรอกที่อีกฝ่ายจะเรียกชื่อเขาแบบนี้ “มีอะไรครับ”
“ถ้าวันหนึ่งมีคนรู้เรื่องสมัยก่อน มึงจะ...”
เรื่องสมัยก่อน ฟังแค่นี้ ไม่รู้ทำไมเขานึกไพล่ไปถึงเรื่องอื้อฉาวระหว่างเขากับอาจารย์ทันที ทั้งๆ ที่กรอาจจะพูดถึงเรื่องอื่นอยู่ก็ได้ อาจเพราะมันเป็นเรื่องที่แย่ที่สุดในชีวิตกระมัง ความทรงจำของการถูกบอยคอต ถูกเมินเฉยราวกับไม่มีตัวตน วันทั้งวันได้แต่ก้มหน้าก้มตาเรียนโดยแทบไม่ได้พูดอะไรกับใคร
แม้ตอนนี้เขาจะไม่มีเพื่อนสนิทเช่นเดิม แต่อย่างน้อยก็ไม่มีสายตาดูถูก คำพูดลับหลังที่จงใจให้เขาได้ยิน เสียงซุบซิบนินทาที่ทำให้แทบเป็นบ้า กับความผิดที่ไม่ได้ก่อ คำแก้ตัวที่ไม่มีใครอยากฟัง กว่าจะใช้ชีวิตผ่านไปได้แต่ละวันดูเป็นเรื่องยากเย็นเหลือใจ...
ถึงจะอายุมากขึ้น แต่มีแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่แค่นึกถึง ขอบฟ้าก็ยังอดสูดหายใจลึกไม่ได้
“มีใครรู้เรื่องผมกับอาจารย์เหรอ หรือว่า...” ขอบฟ้ารู้ว่าเสียงเขาแหบแห้งจนน่าสมเพช “อาจารย์กลับมา...”
“ไม่ใช่ ป่านนี้แม่งยังนอนแดกข้าวแดงในคุกและจะอยู่อีกนานด้วย หรือต่อให้มันหลุดออกมาก็ไม่มีทางย้อนมาหามึงแน่ ไม่ต้องห่วง” กรพูดเสียงหนัก กุมมือเขาไว้ บีบแน่น “ไม่ต้องกลัว แค่ลองถามดู”
เขาถอนหายใจดังเฮือก ยิ้มฝืด “วันหลังอย่าล้อเล่นแบบนี้นะ ไม่ตลกเลย”
“อืม ขอโทษนะ” เอ่ยเบาแล้วมือใหญ่ค่อยดันหัวเขาแบบที่เจ้าตัวชอบทำนักหนาไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็เถอะ ผิดกันตรงที่ครั้งนี้ค่อนข้างออมแรง คือดันหัวเขาแบบอ่อนโยนน่ะ “นอนต่อเถอะ”
เงาร่างสูงผละไป ขอบฟ้าทิ้งตัวลงนอนอย่างว่าง่ายและผล็อยหลับไปไม่นานหลังจากนั้น
ก่อนจะตื่นขึ้นในตอนเช้าและพบว่ามีเพียงตัวเขาที่นอนอยู่บนเตียง ที่นอนอีกฝั่งเย็นชืดและเรียบกริบบ่งบอกว่าเมื่อคืนกรไม่ได้นอนค้างที่นี่
โชคดีที่เขาเริ่มทำใจได้เรื่องคู่นอนคนอื่นๆ ของกร การได้นั่งคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวเมื่อวานช่วยให้ขอบฟ้าคิดได้ในที่สุด ได้แต่บอกตัวเองซ้ำซากด้วยถ้อยคำเดิมในหัวว่า...
มันไม่สำคัญอีกแล้วว่ากรจะรักเขาหรือเปล่า แค่ยังมีที่ให้เขาอยู่ข้างกรได้ก็ดีเท่าไหร่
แค่ได้เห็น ได้พูดคุย ได้ฟังเสียงหัวเราะ
แค่ได้เฝ้ามอง แค่ได้อยู่ในสายตา
แค่ได้รักก็เกินพอแล้ว ++++++++++
กว่าขอบฟ้าจะมาถึงที่ทำงานก็เกือบเป็นเวลาเข้างานแล้ว ยอมรับว่าสายกว่าที่เคยและสายด้วยสาเหตุไม่เป็นเรื่องคือเขานั่งรอกรกับเผลอไปนั่งลูบคลำเสื้อผ้าชุดใหม่ๆ ที่ยังอยู่ในถุง
ถึงจะแพงและคิดว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย แต่เขาก็อดหยิบมาดูแล้วใช้มือลูบไปตามเนื้อผ้าเรียบลื่นไม่ได้ เขาไม่เคยมีเสื้อสวยๆ แบบนี้ใส่มาก่อน จึงรู้สึกตื่นเต้นนิดๆ ที่จะได้สวมเสื้อผ้าคุณภาพดีขนาดนี้ แต่จะให้มานั่งชื่นชมตอนกรอยู่ก็คงไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นกรคงพาเขาไปถลุงอีกชุดใหญ่แน่ๆ
เพราะมัวแต่แอบนั่งลูบคลำชุดใหม่เหมือนคนโรคจิต เขาจึงออกจากคอนโดสายกว่าปกติ เป็นผลให้ต้องรีบกระหืดกระหอบเดินเร็วๆ เท่าที่สภาพขาจะอำนวยเข้าบริษัท แต่ถึงจะรีบที่สุดก็ยังไม่แคล้วโดนคนอื่นที่รีบเหมือนกันวิ่งแซงไปคนแล้วคนเล่า กว่าจะรูดบัตรพนักงานก็เลยเวลาเข้างานไปห้านาทีแล้ว
ถึงทางบริษัทจะอนุญาตให้มีสิทธิ์รูดบัตรเลยเวลาเข้างานได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมงภายในหนึ่งเดือนแล้วจะไม่ถือว่าสาย แต่สำหรับขอบฟ้าที่ไม่เคยมาสายมาก่อนจึงอดระแวงไม่ได้ และตั้งใจว่าภายในเดือนนี้ที่เหลือ เขาจะเพิ่มยอดทบเข้าไปอีกเด็ดขาด
เมื่อเดินเข้าแผนก มีสายตาหลายคู่เหลือบมองเขา ขอบฟ้าจึงยิ้มจืดๆ ให้ คงเพราะไม่เคยมาสายและแทบไม่เคยลาป่วย คนอื่นเลยนึกแปลกใจกัน
แม้จะนึกเป็นห่วงอักษร แต่เขาก็เลือกที่จะเริ่มทำงานก่อน ไว้ตอนพักเที่ยง ค่อยหาโอกาสลองคุยกับฝ่ายนั้นดู แน่นอนว่าถ้าอักษรยังยอมพูดกับเขาล่ะก็นะ
นั่งลงทำงานไปสักพัก เขาก็ได้ยินเสียงซุบซิบดังขึ้นจากมุมนั้นที มุมนี้ที จากแรกๆ ไม่ได้สนใจ แต่พอเริ่มถี่มากเข้า จึงอดหันไปถามเพื่อนร่วมแผนกที่นั่งใกล้ๆ กันอย่างอดไม่ได้
“น้าครับ วันนี้สาวๆ เขามีอะไรกันเหรอครับ”
ฝ่ายที่อายุมากกว่าค่อนข้างมากและไม่ค่อยสนิทกันแม้จะนั่งใกล้กันมานานเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ ขยับแว่นที่สวมอยู่ก่อนตอบเรียบ “แค่เรื่องส่วนตัวของคุณกรน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
นิ่งอึ้งไปพักใหญ่ กว่าจะถามต่ออย่างไม่ให้ฟังดูอยากรู้อยากเห็นมากจนเกินไป “เรื่องอะไรของคุณกรเหรอครับ”
คราวนี้ ฝ่ายอาวุโสเขม้นมองเขาลอดผ่านแว่นคล้ายนึกรำคาญ หากยอมตอบคำถาม “คุณกรเตรียมจัดงานประกาศหมั้น ข่าวลงในหนังสือพิมพ์เมื่อเช้า เห็นไหมล่ะว่ามันก็แค่เรื่องส่วนตัวของเจ้านาย พนักงานอย่างเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องด้วยสักหน่อย แต่พวกผู้หญิงก็เอาแต่ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันตั้งแต่เช้า...”
อีกฝ่ายยังกล่าวต่ออีก แต่ขอบฟ้าไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว หูเขาอื้อจนแม้แต่เสียงพูดคุยซุบซิบที่ได้ยินเซ็งแซ่มาตั้งแต่เช้าก็พาลไม่ได้ยินไปด้วย มือขยับทำงานโดยอัตโนมัติ แต่จะผิดจะถูกก็ไม่แน่ใจ จนถึงเวลาพักเที่ยง คนในแผนกต่างทยอยออกไปกินข้าวกัน เขาก็ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน
หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แต่กลับไม่กล้ากด สุดท้ายจึงทำแค่ลุกไปหาหนังสือพิมพ์ที่ชั้นมาพลิกหาหน้าข่าวสังคมอ่านเอา
กวาดสายตาผ่านคอลัมน์ที่ปกติเคยอ่านแค่ผ่านตา หากวันนี้กลับจ้องหาอย่างตั้งใจ กระทั่งเจอคอลัมน์ซุบซิบในกรอบ แม้ไม่มีรูป แต่ข้อความที่เอ่ยถึงกร นักธุรกิจหนุ่มเนื้อหอมกับสาวน้อยลูกครึ่งนามสกุลดังเตรียมจัดพิธีหมั้นอย่างเป็นทางการนั้นชัดเจนเกินพอ มีข่าวแซวต่อท้ายว่าทั้งคู่รู้จักคบหากันลึกซึ้งมาตั้งแต่สมัยเรียนเมืองนอกด้วยกันและฝ่ายชายก็ยินดีรอจนหญิงสาวเรียนจบถึงค่อยเปิดตัวจัดงานหมั้นหลังซุ่มเงียบมานาน
ขอบฟ้าพับหนังสือพิมพ์กลับตามเดิมเงียบๆ แล้วเดินเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาจนเปียกชุ่มไปเกือบทั้งศีรษะ
มองคนในกระจกราวกำลังมองคนแปลกหน้า คนที่มีดวงตาคู่โศกแดงก่ำจากน้ำที่กระเด็นเข้าตา คนที่ซีดเผือดจนน่ากลัว คนที่เขานึกสมเพชเวทนาเหลือเกิน
จากที่เคยคิดว่าขอแค่ได้รัก ดูท่า...ขอแค่รักก็คงจะทำไม่ได้เสียแล้ว
++++++++++