Fallen and Destined 20 (end)
ขอบฟ้าเคยคิดมาตลอดชีวิตว่าชีวิตของเขาเป็นสิ่งเรียบง่าย อาจจะมีอุปสรรคให้ท้อแท้และฝ่าฟันบ้างเป็นระยะ บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งอาจร้องไห้ หากมาถึงวันนี้ เมื่อมองย้อนกลับไป เขาก็พบว่าชีวิตเขาก็พอจะมีสีสันกับเขาบ้างเหมือนกัน เหมือนมีคลื่นลมมรสุมอยู่รอบๆ ตัวเขาที่เรียบง่าย หลังพายุพ้นผ่าน ความเรียบง่ายก็เริ่มมีรอยยับทิ้งไว้บ้างเป็นที่ระลึกของประสบการณ์
“คิดอะไรอยู่ถึงได้อมยิ้ม”
เขามองหน้าคนถามก่อนก้มลงเช็ดแก้วในมือด้วยผ้าสะอาดต่อ “ผมกำลังอารมณ์ดี จะยิ้มไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้ว่าอะไร ก็เห็นว่าน่ารักดี” กล่าวพลางยกมือเท้าคางมองคนอารมณ์ดีตรงหน้า “ขอกาแฟอีกแก้วสิ ไม่ต้องหวานมากนะ เพราะแค่มองตาคนทำก็หวานพอแล้ว”
แม้จะนึกขำสำบัดสำนวนของลูกค้าคนพิเศษ แต่ด้วยอากาศดีๆ บรรยากาศสงบๆ แดดร่มลมตกกำลังเหมาะ บวกกับรอยยิ้มของคนตรงหน้า ขอบฟ้าจึงส่งยิ้มให้แทนคำตอบ
“ถ้ามึงจะว่างถึงขนาดมานั่งจีบเมียกูกลางวันแสกๆ ได้ล่ะก็ บริษัทมึงคงใกล้เจ๊งเต็มทีแล้วใช่ไหม”
เสียงเขียวๆ ลอยมาจากมุมโซฟาหนานุ่มที่เจ้าตัวลงทุนไปเลือกเฟ้นมาเองและจัดหาตำแหน่งวางเสร็จสรรพ กรกระแทกโน้ตบุคปิดขณะผุดลุกเต็มส่วนสูงมายืนค้ำหัวชายหนุ่มอีกคนที่นั่งจ้องหน้าเขาอยู่ตรงที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์
“ว่าแต่กู แล้วมึงเป็นประธานประสาเหี้ยอะไรถึงมานั่งแดกข้าว กระดิกตีนจิบกาแฟยันบ่ายสองแบบนี้วะ” พลชนะโต้กลับแบบไม่มีคำว่าสำนึกหรือเกรงใจ
“กูมาทำงาน อยู่ในห้องแล้วหัวกูไม่แล่น แถมมีลางสังหรณ์ว่าจะมีไอ้หน้าหมาบางคนแวะเวียนมาแถวๆ นี้เลยต้องลงมาเฝ้าดูสักหน่อยแล้วก็ไม่ผิดจากที่คิดจริงๆ” หัวเราะแบบไปไม่ถึงตาแล้วทั้งคู่ก็มองตาแบบมีกระแสไฟเปรี๊ยะๆ
“อ้อ ที่แท้จนป่านนี้มึงก็ยังไม่ไว้ใจฟ้า น่าสงสารนะ เลือกผู้ชายขี้ระแวงแบบนี้ระวังจะปวดหัวตายสักวัน”
“กูไว้ใจเมียกู แต่กูไม่ไว้ใจมึงต่างหาก!” ชี้หน้าเพื่อนที่กลับมาคุยกันได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่แน่ใจ โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลางาน ภายในร้านจึงมีแค่พวกเขากับลูกน้องอีกคนที่รู้เรื่องดีอยู่แล้ว ขอบฟ้าปล่อยให้ชายหนุ่มทั้งคู่พูดคุยกันตามประสาเพื่อนเก่าโดยไม่ใส่ใจนัก ชะโงกหน้าไปถามเด็กสาวลูกมือที่กำลังนั่งยองๆ จดอะไรยิกๆ อยู่ในครัวด้านหลัง
“แป๋ว ทำอะไรอยู่ จดรายการของเสร็จหรือยัง ดูให้ครบนะ เดี๋ยวพี่ไม่อยู่อีกตั้งสามวัน ของขาดเดี๋ยวเรานั่นล่ะจะยุ่ง” เด็กสาวยื่นกระดาษจดรายการต้องซื้อให้โดยไม่ยอมเงยหน้า มืออีกข้างก็ยังไม่ยอมหยุดเขียน ทำเอาขอบฟ้าสงสัยจนอดชะโงกไปดูไม่ได้ ด้วยสายตาสั้นๆ ทำให้ต้องหยีตามอง “อะไรน่ะ ...มือใหญ่ฉุดกระชากแขนคนพูดจนถลาเข้ามาชนแผงอกกำยำ...”
“พี่ฟ้า! ห้ามแอบอ่านผลงานชิ้นโบว์แดงของแป๋วนะ” ราวกับเพิ่งรู้ตัว เด็กแป๋วตะปบสมุดปิดดังป้าบ หัวเราะแหะๆ “อย่าบอกสองคนนั้นด้วยนะ เดี๋ยวพี่ฟ้าจะไม่มีน้องแป๋วน่ารักๆ ไว้ใช้งานนะคะ แป๋วกลัวตาย”
แม้จะยังงงๆ ปนสงสัยผลงานชิ้นโบว์แดงที่ว่า หากขอบฟ้าก็รับปากไป “พี่รู้แล้ว ว่าแต่เราแน่ใจนะว่าอยู่คนเดียวไหว”
“โอ๊ย สบายมากค่ะ พี่ฟ้าเลิกถามแป๋วได้แล้ว แป๋วอยู่ได้ ทำไหวแน่ แค่สามวันเอง จริงๆ พี่ฟ้าจะไปฮันนีมูนนานกว่านี้ก็ได้นะ ทำไมไปแค่สามวัน” สาวน้อยผู้ช่วยและลูกจ้างผู้รับหน้าที่ทุกอย่างภายในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งนี้เอ่ยถามขณะกอดสมุดปริศนานั่นไว้
ขอบฟ้าซึ่งยังละสายตาจากมันไม่ได้ ขมวดคิ้วนิดๆ ขณะอ้าปากตอบ “แค่ไปพักผ่อน ไม่ใช่ฮันนีมูน แล้วตั้งสามวันนี่ก็มากแล้ว พี่ห่วงร้าน ห่วงแป๋ว อีกอย่างพี่กรก็หยุดนานๆ ไม่ได้หรอก”
“อือ ที่พูดมาก็พอมีเหตุผล แต่แป๋วไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมพี่ฟ้าถึงชวนพี่พล ชวนคนอื่นไปด้วยเยอะแยะ พี่กรยอมได้ไงเนี่ย ก้างเยอะแยะยั้วเยี้ยขนาดนี้”
“พี่แค่อยากไปเที่ยวกันเยอะๆ มันสนุกดี แล้วพวกนั้นก็ไม่ใช่คนอื่นด้วย แค่พี่พล ยายฝนกับพวกเพื่อนๆ อีกสองคนเอง” ตอบพลางหวนนึกถึงใบหน้าของกรยามเขาบอกว่าจะชวนใครไปบ้างจนอดยิ้มออกมาไม่ได้ “พี่กรก็อาละวาดโวยวายนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ โตๆ กันแล้ว”
ใช่ เพราะโตแล้ว กรเลยทำหน้าช็อคตอนเขาบอกจะชวนคนนั้นคนนี้ไปด้วย อึ้งไปสิบวินาทีเต็มๆ เจ้าตัวค่อยตั้งหลักได้ ถามด้วยรอยยิ้มเกร็งๆ ว่าจะชวนคนอื่นไปทำไม ทำไมไม่ไปกันสองคน คนอื่นเขาไม่สะดวกใจไปหรอก อย่าชวนเลย
เขาเลยแย้งว่าก็เพราะไปทะเลนี่ล่ะ เขาถึงอยากไปกันเยอะๆ ครั้งก่อนที่อุตส่าห์เตรียมตัวเที่ยวทะเลให้สนุกก็จบลงแบบเลวร้าย ไม่มีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับทะเลสักเรื่อง ดังนั้นต้องแก้มือ ชวนทุกคนไปใหม่อีกรอบ ทีแรกก็กังวลอยู่บ้างว่าพลชนะอาจไม่ยอมรับปาก แต่ผิดคาดเมื่อฝ่ายนั้นคิดแค่แป๊บเดียวก่อนตอบตกลง โดยให้เหตุผลว่าไม่ได้ไปเที่ยวทะเลนานแล้ว
ส่วนปลายฝนยิ่งไม่มีปัญหา ตอบตกลงแทบจะทันทีที่เขาเอ่ยถามจบ ยิ่งพอบอกให้ชวนเพื่อนๆ ไปด้วย น้องสาวตัวดียิ่งกรี๊ดลั่น ตะโกนซ้ำๆ ว่าไปด้วยๆ จนเขาวางสายไป หลังจากนั้นก็หันมาส่งยิ้มกว้างบอกชายหนุ่มที่นั่งรอคำตอบ ลุ้นตัวเกร็งอยู่ข้างๆ ว่าทุกคนตอบตกลงกันหมดเลย ดีจัง
กรมองหน้าเขา จ้องพักใหญ่แล้วครางอย่างเจ็บปวดและพึมพำคล้ายคนอ่อนแรง กระนั้นก็ยังไม่วายฟังดูหงุดหงิดหน่อยๆ “เออๆ ตามใจ ให้ตายสิวะ อุตส่าห์หาวันหยุดได้ทั้งที จากฮันนีมูนกลายเป็นทัศนศึกษาเฉยเลย น้องมึงยังพอว่า แต่ไอ้พลนี่มันอะไรวะ”
ดูอาการเหวี่ยงแบบห่อเหี่ยว คล้ายไร้เรี่ยวแรงจะวีน ขอบฟ้าเลยนั่งลง อิงหัวลงซบบ่า แขนก็โอบรอบเอวอีกฝ่าย “ขอบคุณนะครับ พี่กร ผมมีความสุขมากๆ เลย”
เสียงบ่นพึมพำหายไป กรเหลียวมองดูเขาด้วยหางตา พอสบตากับเขาที่ยังเงยหน้ายิ้มให้ เจ้าตัวจึงค่อยยิ้มออกมาบ้าง ยกมือขยี้หัวเขาพร้อมเอ่ย “ก็ดีแล้ว”
หมดจากกรผู้อ่อนโยนในความทรงจำ ตัวจริงก็เดินตึงๆ กระแทกเท้าเข้ามาหา “กูยกเลิก ไม่ไปท่งไปเที่ยวแม่งแล้ว ไอ้พลแม่ง...”
“อ้าว” ขอบฟ้าอ้าปากเหวอ มัวแต่คุยกับแป๋วจนลืมด้านนอกไปสนิท สงสัยพลชนะจะแหย่แรงจนถึงขั้นแตกหัก พ่อคุณถึงได้ประกาศกร้าวเสียงแข็งต่อโดยไม่รอให้เขาประท้วง
“มึงเลือก ถ้าเลือกกู ต้องไม่มีไอ้พล หรือถ้ายืนยันจะชวนมันไปด้วยให้ได้ กูก็ไม่ไปแล้ว หงุดหงิด อารมณ์เสียตั้งแต่ยังไม่ไปไหนแบบนี้ ขืนไปด้วยกันจริงคงฆ่ากันตายแน่”
“พี่พลแค่พูดเล่น พี่กรจะหงุดหงิดไปทำไมล่ะ” ถึงจะไม่รู้ว่าพลชนะพูดอะไร แต่เขาก็ปลอบมั่วๆ “ไหนพี่บอกว่าตามใจผมไง”
“ก็ตามใจมึงอยู่นี่ไง เลือกมาเลยตามใจมึง กูหรือไอ้พล”
เขานิ่วหน้า ชะโงกมองพลชนะที่ส่งยิ้มแบบช่วยไม่ได้มาให้แล้วนึกคาดโทษ รู้อยู่หรอกว่าชอบหาเรื่อง แต่ทำไมต้องมาหากันตอนก่อนไปเที่ยวด้วยนะ รอให้ไปก่อนก็ไม่ได้
“ผม...” ยังไม่ทันเริ่มเรื่อง เสียงกระดิ่งสดใสจากประตูหน้าก็เรียกสายตาขอบฟ้าไปเสียก่อน เมื่อเห็นหน้าลูกค้าที่เพิ่งก้าวเข้ามา เขาก็ลืมเรื่องอื่น รีบเดินเข้าไปรับพร้อมถามด้วยความดีใจ “พี่อาย มาได้ยังไง ผมโทรหาก็เข้าระบบฝากข้อความตลอด ไม่เห็นหน้าตั้งนาน หายไปไหนมาครับ”
“ไปดูไซต์งานที่พม่ามาสองอาทิตย์ นี่เพิ่งกลับมากรุงเทพฯ เมื่อวาน วันนี้เลยแวะเอาของฝากมาให้” อิสรายื่นถุงของฝากยัดใส่มือให้เขากอดไว้แล้วยกปกเสื้อชื้นเหงื่อโบกคลายร้อน “ข้างนอกร้อนว่ะ หาอะไรเย็นๆ ให้กินแก้วดิ เอาแบบคราวก่อนก็ได้”
“ได้ๆ พี่อายนั่งรอแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวผมรีบทำให้” เขากุลีกุจอหาที่ทางตำแหน่งที่คิดว่าเย็นและนั่งสบายที่สุดในร้านให้คนที่เขานับถือเหมือนพี่ชายคนนี้ “นั่งเลยครับ เดี๋ยวผมเก็บของให้”
กวาดเอกสารเกะกะของกรที่วางทิ้งไว้เพี่อรีบเก็บโต๊ะ ส่งต่อให้เจ้าตัวที่เดินตามมาและรับไปแบบงงๆ กับการโดนไล่ที่กะทันหัน
ฝ่ายพลชนะที่ยังนั่งยึดเก้าอี้อย่างปลอดภัยอีกด้านก็ขมวดคิ้ว “ฟ้า กาแฟพี่ล่ะ”
“เออ ผมลืมไปเลย แต่ไหนๆ ก็รอมาแล้วงั้นพี่พลรออีกหน่อยแล้วกัน หรือเรียกแป๋วมาทำให้ก็ได้ ผมจะรีบทำให้พี่อายก่อน พี่อายร้อน” เขารีบร้อนตอบแบบไม่มองหน้าใคร ลงมือทำกาแฟแก้วโตอย่างตั้งใจ “พี่อายเหนื่อยๆ มา เอาหวานหน่อยไหมครับ จะได้สดชื่นมีแรง”
“เออๆ เอามาเหอะ แต่ไม่ต้องหวานมากนะ เพราะ...”
“มุขแม่งกาก” จู่ๆ ก็มีเสียงประสานดังโดยไม่ได้นัดหมาย หนึ่งในสองเสียงอย่างกรที่ยังหอบแฟ้มงานกับโน้ตบุคเหลือบตามองพลชนะที่นิ่วหน้าอยู่เช่นกัน
“เมื่อกี๊พวกพี่ว่าใคร” ขอบฟ้าเงยหน้าขวับ เพ่งมองผู้ชายสองคนสลับไปมา
“เปล่า” กรตอบพลางวางข้าวของลงบนโต๊ะอีกตัว ทำท่าเหมือนจะเริ่มต้นทำงาน
“เปล่านี่” พลชนะควักโทรศัพท์ออกมากด ท่าทางคล้ายไม่สนใจ
ในเมื่อมีแต่พวกผู้ร้ายปากแข็ง เขาก็ขี้เกียจจะมานั่งจับผิด บีบวิปครีมโปะหน้ากาแฟเย็นแก้วโตแล้วรีบเดินออกไปวางให้ อิสราที่ยังนั่งยิ้มไม่ยี่หระรีบคว้าหลอดมาดูดก่อนใช้ช้อนตักวิปครีมขาวฟูเข้าปาก
“อร่อยไหม ผมจำได้ว่าพี่อายชอบวิปครีมเลยใส่ให้เยอะเลย” เขาทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามขณะมองชายหนุ่มตัวโตกินของโปรดด้วยความเอร็ดอร่อยจนเปื้อนมุมปาก “เปื้อนปากแล้ว พี่อาย”
“แค่กๆๆๆ” จู่ๆ ผู้ชายอีกสองคนก็ไอเหมือนอะไรติดคอขนาดหนัก พอเหลียวไปมอง ทั้งคู่ก็ยังก้มหน้าง่วนอยู่กับงานตัวเอง ขณะกำลังจะถามว่ามีใครอยากได้ยาแก้หวัด แก้ไอบ้างไหม อิสราก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน
“ช่วงนี้เหนื่อยเป็นบ้า อยากไปเที่ยวทะเลชะมัด”
เล่นเอาเขาหันขวับกลับมาคอแทบหัก ฉีกยิ้มกว้างจนแทบถึงหู “พี่อาย พอดีเลย เราไปเที่ยวทะเลด้วยกันนะ ไปพรุ่งนี้ สามวันสองคืน พี่อายไปกับผมนะ”
กรกับพลชนะสำลักน้ำชากาแฟที่นั่งจิบ ไอโขลกกันทั้งคู่ แป๋วรีบส่งกระดาษเช็ดปากให้พลชนะแต่ไม่กล้ายื่นให้กรที่กำลังของขึ้นจนหน้าทะมึน “มันจะเกินไปแล้วนะ ขนาดกูนั่งหัวโด่อยู่นี่แท้ๆ มึงยังกล้า...ยังกล้า...”
ประสบการณ์และอายุที่เพิ่มขึ้นเป็นสิ่งที่ช่วยให้ชายหนุ่มไม่หลุดปากไปอย่างที่ใจคิด คำพูดเป็นสิ่งที่เรียกคืนกลับมาไม่ได้ คนจำเรื่องนี้จนขึ้นใจจึงเบนเป้าหมายไปทางเพื่อนที่นั่งรอลุ้นอยู่ไม่ไกล
“ไม่ต้องทำหน้าดีใจล่วงหน้าขนาดนั้นก็ได้ ไอ้พล” ขึงตาใส่ไอ้ท่าถอนหายใจคล้ายเสียดมเสียดายของพลชนะแล้วค่อยเอ่ยปรึกษา “มึงว่าจัดการยังไงดีวะ”
“ตบสั่งสอนสักสองสามป้าบ เอาให้จำใส่กะโหลก ถ้ายังไม่หลาบจำก็จับมัด ขึงพืดแล้วค่อย...”
“ตัวสร้างความร้าวฉานนะมึง” กรชี้หน้าเจ้าของคำแนะนำ กระแทกตัวลงนั่งฉุนเฉียว “พึ่งไม่ได้สักคน แตะไม่ได้อีกต่างหาก กูว่าสักวันกูคงไม่แคล้วโดนเมียลุกขึ้นมาขี่คอแน่ๆ”
“เฮ้ย กูล้อเล่น เอางี้ดิวะ ใส่หน้ากากเป็นคนดี หลอกให้มันตายใจ ดึกๆ ค่อยจับมอมเหล้า”
“ที่มึงแนะนำนี่ให้ทำกับใครกันแน่วะ กูชักงง”
“เดี๋ยวนี้โง่นะมึง ไอ้กร มันใช้ได้ทั้งคู่นั่นล่ะ ถ้าเป็นเมีย มึงก็ลากเข้าห้อง แต่ถ้าเป็นไอ้หน้าหมา มึงก็จับกดน้ำตายห่าซะก็สิ้นเรื่อง”
คนอื่นๆ นอกวงสนทนาชักเริ่มมีสีหน้าพิกลขึ้นทุกขณะ ขอบฟ้าจากหน้าแดงกลายเป็นหน้าเขียว แป๋วยืนอ้าปากค้าง มีก็แต่อิสราที่เริ่มยิ้มอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก ซึ่งในฐานะเจ้าของสถานที่ที่ดี ขอบฟ้าจึงรีบลุกไปหาผู้ชายสองคนที่ยังนั่งสุมหัววางแผนไม่เลิกรา
“เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว ทั้งคู่นั่นล่ะ กลับไปทำงานทำการกันซะที”
“พี่ยังกินกาแฟไม่หมดแก้วเลย” ทว่าพลชนะที่ยังแก้ตัวไม่จบดีก็ถูกเสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะ “ฮัลโหล ก็บอกว่าออกมากินข้าวเที่ยง... สามชั่วโมงแล้วไง ก็ร้านมันไกล... เออๆ รู้แล้ว เลิกบ่น จะกลับไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
แม้จะยังไม่อยากไป แต่พลชนะก็ยอมตัดใจ ฝืนยิ้ม “งั้นพี่กลับก่อนดีกว่า”
“อื้ม รีบกลับไปทำงานให้เสร็จเถอะแล้วจะได้ไปเที่ยวให้สบายใจนะครับ” เหมือนหว่านล้อมหลอกล่อให้เด็กทำการบ้าน ขอบฟ้ารีบหยิบกล่องแซนวิชที่เตรียมไว้ส่งให้ “เอาไปด้วยเผื่อหิว อย่านอนดึกมากนะ พี่พล เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไม่ไหว เจ็ดโมงนะ ห้ามสาย”
“คร้าบผม” พลชนะลากเสียงรับยิ้มๆ ยักคิ้วกวนๆ ส่งให้เพื่อนที่มองมาหน้าบึ้งอีกด้วย “เจอกันพรุ่งนี้”
สถานการณ์เหมือนจะเริ่มคลี่คลาย ขอบฟ้ากำลังนึกหาทางส่งชายหนุ่มอีกคนให้กลับไปโต๊ะทำงานจริงๆ เสียทีก็พอดีกับที่ประตูหน้าร้านถูกเปิดออกด้วยคนคุ้นเคย
“มาหลบอยู่นี่อีกแล้ว คุณกร” เลขาฆ่าไม่ตายเดินตรงดิ่งไปลากตัวเจ้านายทันควัน “ไหนบอกว่าจะแวะมาแป๊บเดียว นี่ถ้าไม่เกรงใจคุณฟ้า ผมจะยกโต๊ะทำงานลงมาไว้ในร้านให้จริงๆ นะ ลุกเลยครับ อีกสิบนาทีจะเริ่มประชุมแล้ว”
“อยู่แค่ตรงนี้เอง เดินห้านาทีก็ถึง” ยอกย้อนแล้วยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ หากต้องชะงักเมื่อปวินคลี่ยิ้มร้ายกาจ
“ลิฟต์เสียครับ” แล้วเจ้าตัวก็ถอนหายใจคล้ายกลัดกลุ้มเหลือประมาณ “ช่างซ่อมบำรุงบอกว่าคงต้องใช้เวลาซ่อมอีกเกือบสองชั่วโมง รวนทั้งระบบเลยล่ะ อันที่จริงเค้าก็รอจนถึงช่วงเวลาที่จะมีคนใช้ลิฟต์น้อยที่สุดถึงค่อยซ่อมแซม ผมก็พยายามโทรตามคุณก่อนช่างจะตัดระบบ เฮ้อ แย่จริงๆ นะครับเนี่ย ห้องประชุมก็อยู่ตั้งชั้นยี่สิบเจ็ด...”
รอจนแน่ใจว่าเลขาไม่ได้ล้อเล่น กรก็ตีหน้าขึง ตีหน้าเครียด หันขวับมาหาขอบฟ้า เล่นเอาเจ้าตัวรีบปฏิเสธล่วงหน้า
“ไม่ได้นะ ร้านเล็กแค่นี้ พี่จะลากมาประชุมกันหมดได้ที่ไหน แล้วกรรมการคนอื่นที่อายุมากๆ ก็มีตั้งเยอะ มันไม่ใช่เรื่องเลยที่จะบังคับให้เขาเดินลงบันไดมาหาพี่ถึงที่นี่ คนขาไม่ดีขึ้นลงบันไดเยอะๆ มันทรมานมากนะ อีกอย่าง ในเมื่อมันเป็นความผิดของพี่กร พี่ก็ต้องรับผิดชอบ ขึ้นไปหาพวกเขาเอง” ร่ายยาวเป็นชุด ขอบฟ้าเหลียวดดูนาฬิกาแล้วเร่งยิก “รีบไปได้แล้วครับ กว่าพี่จะไต่บันไดขึ้นไปถึงอีก เข้าประชุมสายขึ้นมาจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี”
“แต่...” ทำท่าอิดเอื้อนหากไม่มีคนเห็นใจ ก่อนที่กรซึ่งโดนลากไปถึงประตูจะเริ่มชักสีหน้าเตรียมหาเรื่องเหวี่ยงออก ขอบฟ้าก็ยกมือแตะแก้มชายหนุ่ม
“สู้ๆ นะครับ เดี๋ยวถ้าคืนนี้ปวดขา ผมจะนวดให้นะ” เอ่ยพร้อมรอยยิ้มทำให้กรมองนิ่งๆ แล้วก้มลงหอมแรงๆ แบบไม่สนสายตาชาวบ้าน
“ยี่สิบเจ็ดชั้นแล้วไงวะ ให้วิ่งรวดเดียวยังได้ ไป! ปั้น” กรเดินนำเลขาไปแล้ว ทิ้งให้ปวินส่ายหน้าขณะรีบเดินตาม ขอบฟ้ายืนหน้าแดง อิสรานั่งหัวเราะกึกกักกับแก้วกาแฟ เด็กแป๋ววิ่งกรี๊ดหลบไปหลังร้านโดยไม่ลืมคว้าปากกากับสมุดจดไปด้วย...
“งั้นพี่ก็ไปบ้างดีกว่า ขอกลับไปเก็บกระเป๋าเที่ยวก่อน” อิสราลุกขึ้นบิดขี้เกียจ แวะลูบหัวเจ้าของร้านที่ยังยืนยิ้มเฝื่อน “เจอกันพรุ่งนี้ เจ็ดโมงเช้าใช่ไหม แล้วอย่าลืมจองห้องเผื่อด้วยนะ”
ได้ยินแล้ว คนหน้าเจื่อนก็ยิ้มกว้างทันที ผงกหัวรับคำหงึกหงัก “แล้วเจอกันที่บ้านผมเลยนะ พี่อาย จำได้ใช่ไหมครับ”
ร่างสูงยกนิ้วท่าโอเคตอบกลับมาก่อนเดินถือแก้วกาแฟ เดินจากไปแบบเท่ๆ
กลับมาเหลือพวกเขาแค่สองคน ขอบฟ้าจึงเริ่มหันมาทำความสะอาดโต๊ะบ้าง ส่วนเด็กแป๋วยืนกอดสมุดบันทึกอันลึกลับพร้อมบ่น “ยอมแยกย้ายกลับไปทำงานกันแล้วก็ดีอยู่หรอก แต่พี่ฟ้าลืมไปหรือเปล่าว่าพวกนั้นดันไม่ยอมจ่ายค่ากาแฟกันสักคนนี่สิ”
ขอบฟ้าอึ้งไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะออกมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงปล่อยผ่านแต่ตอนนี้... “ของพี่พลรวมลงบัญชีพี่กรไปเลย พวกนั้นเขาเพื่อนกัน ส่วนของพี่อาย แป๋วเอาลงบัญชีพี่”
“เขี้ยว” แป๋วว่าแต่ทำหน้ากรุ้มกริ่ม ขอบฟ้าเลยเดินไปเคาะหน้าผากอีกฝ่ายด้วยนิ้วเบาะๆ
“เขี้ยวแต่พี่ก็หาหนุ่มหล่อๆ มาให้แป๋วดู มาให้หาข้อมูลได้ถึงที่ใช่ไหมล่ะ เก็บสมุดไว้ให้ดีๆ นะ อย่าให้พี่กรเห็นเชียว ไม่งั้นได้เห็นคนแปลงร่างเป็นเฮียกร พ่อทุกสถาบันแน่”
“อ๊ายยย” สาวพันธุ์แปลกหลิ่วตา ทำท่ากัดปากมันเขี้ยวใส่เขาทีนึง “พี่ฟ้าน่ารักอะ”
เมื่อร้านกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง ขอบฟ้าก็อมยิ้มกับตัวเองเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ พลชนะยังคงทำตัวเป็นพี่ชายที่ถึงจะงานยุ่งก็ยังเทียวไปเทียวมาให้เห็นหน้าบ่อยๆ และแม้จะไม่พบเจออักษรอีกเลย แต่เขาก็ดีใจยามได้ยินข่าวคราวฝ่ายนั้นจากปากผู้เป็นพี่ชายอย่างอิสราว่าอักษรกำลังเตรียมตัวเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ เจ้าตัวฝากคำขอโทษมาถึงเขา ถึงจะไม่แน่ใจนักว่ามาจากปากใครกันแน่ ทว่าขอบฟ้าก็ยิ้มรับคำดังกล่าวอย่างเต็มใจ
นี่ล่ะ อย่างที่บอก ชีวิตของเขาก็ยังคงเรียบง่าย ไม่หวือหวา มรสุมที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปช่วยทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แม้จะทิ้งร่องรอยบอบช้ำไว้บ้างแต่เขาก็ยินดีที่ทุกอย่างจบลงได้ด้วยดี
แม้หนทางข้างหน้าอาจจะมีอุปสรรคหรือปัญหาเกิดขึ้นอีก แต่เขาก็พร้อมจะเผชิญกับมัน เพราะเขามีคนที่แสนสำคัญอยู่เคียงข้าง คนสำคัญที่เขาเคยสัญญาแล้วว่าจะไม่ยอมปล่อยมือ จะไม่ทอดทิ้ง ไม่หนีหายไปเด็ดขาด
เสียงข้อความดังจากโทรศัพท์ เมื่อหยิบมาดูก็พบว่ามาจากคนที่เพิ่งออกจากร้านไปเมื่อครู่
‘ถึงห้องประชุมแล้ว เจ๋งปะล่ะ ไว้เลิกงานแล้วจะรีบไปหา ตั้งใจทำงาน อย่านอกใจกูล่ะ คิดถึงและรักมาก’
ข้อความชวนให้กดลบทิ้ง แต่ขอบฟ้าก็ไม่เคยลบลง นอกจากบ่นพึมพำพร้อมรอยยิ้ม
“...รักเหมือนกันครับ”
++++++ จบ ++++++