Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]  (อ่าน 279168 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ra poo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
เรื่องนี้ดีมากๆเลยอ่า ชอบมากๆเลยค่ะ  o13

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
พ่อลูกเขาคุยกันแล้ววว แล้วเมื่อไหร่ ทิดจะจำเรื่องของตัวเองได้นะ

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
คืออ่านวันเดียวรวดวันนี้คือวางไม่ลงเลย ชอบมากอยากอ่านต่อไวๆคือแบบมันดีอะ

ออฟไลน์ kaokorn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 903
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
อ่านบทนี้แล้วน้ำตาซึมเลยอ่ะ
หวังว่าธีร์จะมีเหตุผลดีพอทีกลายเป็นคนแบบนี้นะ เฮ้อ

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 10 Brothers

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขารู้ตัวว่ามี ‘น้องชาย’
และตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่น้องชายคนนั้น เลิกเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’


ชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นสองคนนั่งอยู่คนละมุมของห้องพักแพทย์ ธีร์นั่งกอดอกพิงพนักในขณะที่วินทร์นั่งยกขาขั้นพาดเข่าอีกข้างและล้วงสองมือลงในกระเป๋า ทั้งคู่ไม่พูดอะไรได้แต่ลอบสบตากันเป็นระยะคล้ายกับมีเรื่องอยากจะพูดแต่ก็ไม่มีฝ่ายใดยอมเริ่มต้นก่อน

ในที่สุดเมื่อเข็มนาฬิกาบนผนังเคลื่อนไปเรื่อยๆ จนใกล้เวลาที่นรกรจะนำเสนอผลงานวิจัยเสร็จ วินทร์จึงยอมเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนเพราะตัวเองต้องนำเสนอเป็นคนต่อไปและไม่อยากให้อะไรๆ มันคาราคาซังไปแบบนี้

“นายคิดจะทำอะไรฮาร์ฟ”

“เปล่านี่” ธีร์ตอบห้วนๆ “ก็แค่พูดความจริงให้ฟัง หมอนั่นจะได้ตาสว่างเสียที”

“เหรอ” เสียงของวินทร์ห้วนกว่าและมีความประชดประชันอยู่ในที

“ถามฉัน นายกันแน่ที่คิดจะทำอะไร”

“อะไรของนายน่ะมันคืออะไรล่ะ” วินทร์ถามกลับ

“ฮาร์ฟเป็นคนการ์ดสูง และไม่ชอบให้ใครมาโดนตัว” ธีร์ว่า “แต่เมื่อวานตอนที่ส่งป๊าไปห้องผ่าตัด ทำไมเขาถึงยอมให้นายกุมมือแบบนั้น ก่อนหน้านี้พวกนายแทบไม่คุยกันด้วยซ้ำ แถมหมอนั่นยังดูตัดใจจากพี่ปอได้แล้วอีก มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกนายในช่วงหนึ่งเดือนที่ฉันไม่อยู่กันแน่”

วินทร์หัวเราะหึในลำคอ “อ้าว ไหนว่าเกลียดเขาไง ทำไม สนใจด้วยเหรอ”

“ก็...” ธีร์พูดขัดขึ้นมาทันที
วินทร์แสยะยิ้มมุมปาก “รักเขาก็พูดมาสิ”

“นายว่าไงนะ!” ธีร์ลดมือที่กอดอกไว้ออกและแทบจะกระโดดลุกขึ้นยืน แต่ก็ยังดึงสติไว้ได้ทันและทำเป็นนิ่งตามเดิม

“หรือไม่จริง” วินทร์รุกต่อ “แกล้งพูดแรงๆ เพื่อให้ฮาร์ฟคิดได้และไปเคลียร์กับพ่อ เรื่องงานวิจัยนั่นก็เหมือนกันต่อให้ฮาร์ฟหาทางออกไม่ได้นายก็มีฉบับก๊อปปี้เตรียมพร้อมจะคืนให้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”

“นี่ไปแอบฟังอยู่ซอกมุมไหนมาเนี่ย” ธีร์บ่นในลำคอ

“มันก็เรื่องของฉัน” วินทร์บอก

ธีร์สบตาคนตรงหน้าอยู่อึดใจก่อนจะพูดต่อ “ไหนๆ นายก็อ่านเกมขาดได้ถึงขนาดนี้ ถ้างั้นฉันก็ขอเตือนไว้ตรงนี้เลยละกันว่าไอ้ที่นายกำลังทำน่ะมันไม่ได้ช่วยเรียกร้องความสนใจจากฮาร์ฟสักนิด”

วินทร์ยกมือขึ้นลูบคางที่อุดมไปด้วยไรหนวดเขียวครึ้มก่อนจะหัวเราะลงคอ “แล้วไง ก็ไม่ได้อยากให้สนใจนี่หว่า”

“เหรอ” ธีร์ทำเสียงยานคาง “ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย ฉันก็หลงนึกว่านายกำลังตามจีบตามฮาร์ฟอยู่ซะอีก... ก็คงจริงล่ะนะ ลองตามตื๊อมาตั้งห้าปีแล้วเจ้าตัวยังไม่หันมาแล เป็นฉันก็คงตัดใจไปแล้วล่ะ”

“มันก็เรื่องของฉันป่ะวะ”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง “ไหนว่าไม่ชอบไง”

วินทร์ไม่ตอบ เพียงแต่เหลือบตาดูนาฬิกาบนผนังและลุกขึ้นยืน

ธีร์มองเพื่อนแพทย์ประจำบ้านร่วมรุ่นเดินผ่านหน้าไปจนถึงประตูจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ ทว่าจริงจัง “นี่วินทร์ ตอนที่ฉันแกล้งถามนายว่ารู้รหัสเปิดโน้ตบุคของฮาร์ฟไหมทำไมนายถึงตอบได้ล่ะว่ามันเป็นวันเกิดป๊า”

วินทร์ชะงักฝีเท้าและตอบคำถามโดยไม่หันหน้ามา “ก็แค่เดา”

“อย่าให้ฉันจับได้นะว่านายวางแผนอะไรไว้”

เสียงของธีร์ยังคงดังตามหลังแม้จะปิดประตูสนิทแล้ว ร่างสูงในชุดกาว์นสั้นก้าวยาวๆ ไปตามทางเดิน

แต่แทนที่จะตรงไปยังห้องประชุม เขากลับเลี้ยวอ้อมมุมเข้าไปตรงทางเชื่อมแคบๆ

อาจารย์ธนบดีรีบร้อนเดินสวนมา เขายกมือไหว้แต่อีกฝ่ายไม่แม้จะหันมามองด้วยซ้ำ ทว่าเขาก็ไม่ได้สนใจและหยุดยืนมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง

ไม่กี่นาทีต่อมา ก็มีคนอีกสองคนเดินมา ศาสตราจารย์สรวิชญ์กำลังอะไรคุยอะไรบางอย่างกับนรกรด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและท่าทีที่ดูเป็นกันเองกว่าปกติ แต่นั่นไม่ทำให้เขาดีใจเท่ากับการที่ได้เห็นท่อนแขนซึ่งวางโอบอยู่บนไหล่จนทำให้เผลอหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย

“มายืนยิ้มอะไรตรงนี้”

เป็นฝ่ายศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่ทักขึ้นก่อน

“แค่มาแอบรวบรวมสมาธิก่อนเริ่มนำเสนอครับ” วินทร์ตอบ

“แสดงว่าพร้อมแล้วสินะ”

“ไม่เคยมั่นใจมากขนาดนี้เลยล่ะครับ อาจารย์”

“ไว้จะรอดู” แล้วศาสตราจารย์สรวิชญ์ก็หันไปตบบ่านรกรอีกครั้งก่อนจะเดินแยกตัวไป

วินทร์มองตามแผ่นหลังคนในชุดกาว์นยาวสีขาวจนเดินหายเข้าไปในห้องจึงหันมาสบตาคนตัวเล็กกว่าที่ยืนอยู่ข้างๆ “ฉันต้องแสดงความยินดีกับว่าที่อาจารย์คนใหม่เลยหรือเปล่า” เขาพูดยิ้มๆ

นรกรหันมาหลิ่วตาใส่คนแซวเล็กน้อย “ผมทำเต็มที่แล้ว พี่วินทร์เองก็ไม่ต้องออมมือให้ผม ทำให้เต็มที่เลยนะครับ”

“แน่นอนอยู่แล้ว” วินทร์ตอบพร้อมกับกลับหลังหัน แต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้จึงหันกลับมาเรียกคนที่กำลังจะเดินไป “เออนี่ฮาร์ฟ ก่อนจะไปที่ห้องพักแพทย์น่ะช่วยแวะไปเอาของที่ล็อกเกอร์ในห้องเปลี่ยนชุดให้หน่อยสิ”

“อะไรครับ”

“สมุดจดเคสน่ะ” วินทร์อธิบาย “เมื่อเช้าไปเปลี่ยนชุดลืมหยิบมา เดี๋ยวพรีเซนต์เสร็จจะได้รีบไปราวน์ต่อเลยไม่ต้องเสียเวลาไปเอา นายช่วยไปเอาให้หน่อยนะ”

“ได้ครับเรื่องแค่นี้เอง” นรกรรับคำเขายิ้มส่งวินทร์เข้าห้องประชุมอีกครั้งก่อนจะออกเดินไปตามทาง และกดลิฟต์ไปที่ชั้น 3

เพราะตอนนี้เป็นเวลาออกตรวจ OPD ห้องล็อกเกอร์จึงปิดไฟเงียบ นรกรคลำไปบนผนังอย่างคุ้นเคยเพื่อเปิดไฟ เมื่อแสงไฟสว่างขึ้นเขาก็เดินตรงไปที่ตู้ล็อกเกอร์ที่อยู่ติดกับของตัวเองเพื่อเอาสมุดเล่มที่วินทร์บอก

แต่แทนที่เปิดไปแล้วจะเจอของที่หา เขากลับเจอถุงใส่ขนมใบหนึ่งวางอยู่ตรงหน้า และนรกรคงจะไม่สนใจมันเลยถ้าบนถุงใบนั้นไม่มีกระดาษโน้ตแผ่นน้อยเขียนชื่อเขาแปะไว้

“มุกเสี่ยวมาอีกแล้ว” อทิฏฐ์กระซิบพร้อมกับยกสองมือพาดประสานกันไว้หลังท้ายทอย

นรกรหันไปแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะดึงกระดาษโน้ตที่แปะไว้มาอ่านในขณะที่ร่างโปร่งแสงก็ส่งเสียงพากษ์ไปด้วย

ฝากกินหน่อย

“เมื่อคืนก็อุตส่าห์หอบเอาคอมพิวเตอร์มาให้ เช้านี้ก็ขนม ไม่รู้เขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรเนอะ”

“พี่วินทร์ก็แค่เป็นห่วง”    

“หรา” อทิฏฐ์ลากเสียงล้อเลียน

นรกรไม่สนใจและเปิดถุงขนมออกดู มันเป็นคลับแซนวิซสี่คู่ไส้ไข่กับชีสที่ดับเบิ้ลมาสองแผ่นจนทะลักล้นออกมาตรงขอบดูน่ากิน และนมกระป๋องตราหมีที่ไม่รู้ทำไมถึงมีรอยปากกาขีดเส้นใต้สโลแกนบนฉลากที่ข้างกระป๋องไว้ด้วย

อทิฏฐ์ชะโงกหน้าเข้ามาดูก่อนจะพูดต่อ “นึกว่า ‘เพื่อคนที่คุณรัก’ ซะอีก เอาจริงๆ นะผมว่าคุณต้องเริ่มหันมามองพี่วินทร์แบบจริงๆ จังๆ ได้แล้วล่ะ”

“เลิกแซวได้แล้วน่า พี่วินทร์เขาไม่ได้คิดอะไรกับผมหรอก”

“ดูปากนะ” อทิฏฐ์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับชี้นิ้วให้อ่านตาม “ไม่-เลิก”

นรกรยกมือหลังมือขึ้นปัดไล่ให้อีกฝ่ายถอยห่างออกไปก่อนจะหยิบแซนวิซคู่หนึ่งขึ้นมา ทีแรกก็รู้สึกไม่หิว แต่พอได้กลิ่นชีสหอมๆ และตอนนี้อะไรๆ เริ่มผ่านไปแล้วเขาก็เหมือนจะได้ยินเสียงท้องร้องเตือนมาเบาๆ ว่ายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวาน

“ว่าแต่พี่วินทร์ทำไมต้องเอามาแอบไว้แบบนี้ด้วย” นรกรตั้งข้อสังเกตเพราะนอกจากเสื้อผ้ากับถุงขนมแล้วในล๊อกเกอร์ก็ไม่มีสมุดเล่มที่ให้มาหา “ส่งให้ดีๆ ก็ได้หรือจะวางไว้ที่ห้องพักแพทย์ก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องให้ผมเดินมาเอาไกลถึงที่นี่เลย”

“เพราะเขาคงคิดว่าคุณไม่อยากไปเจอธีร์น่ะสิ” อทิฏฐ์ว่า

นรกรหันมามองคนที่ตอบฉอดๆ ราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง

“แล้วมันจะดีเหรอถ้าจะให้ถือไปส่งให้คุณต่อหน้าพ่อตา เอ๊ย! พ่อของคุณน่ะ”

“แหม รู้ใจกันจังเลยนะ” นรกรว่า “เข้าข้างกันขนาดนี้ก็ไปตามเขาสิ ไม่ต้องมาอยู่กับผม” ปลายเสียงคล้ายจะตัดพ้อหน่อยๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกไม่ชอบใจด้วย

อทิฏฐ์เฝ้ามองคนที่กัดแซนวิซกินเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรอีก ไม่ได้อยากทำให้รำคาญ แต่ ‘คน’ ที่ยังมีลมหายใจและจับต้องได้น่ะ มันดีกว่าเขาหลายร้อยเท่า

“คุณ” จู่ๆ ก็กระซิบขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น “รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ ไหม”

“ไม่นี่ ทำไมเหรอ” นรกรถามกลับ

อทิฏฐ์ยกสองมือขึ้นกอดตัวเองพลางกวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่ว่างเปล่า “ไม่รู้สิ... ผมแค่รู้สึก... ว่ามันหนาว”

“อะไรกันเป็นผีมีความรู้สึกด้วยเหรอ” นรกรยิ้มล้อพลางเปิดกระป๋องนมและยกขึ้นจิบ

“เพราะจู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาน่ะสิ ถึงได้คิดว่ามันแปลกนี่ไง”
นรกรย่นคิ้ว เขาลองกวาดตามองไปรอบๆ บ้างแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ “คิดมากน่า” แล้วดันประตูตู้ล็อกเกอร์ปิด

แต่แล้วทันทีที่บานประตูถูกงับเข้าไป ทั้งสองก็ได้เห็นใครคนหนึ่งที่ยืนก้มหน้าอยู่ห่างจากแขนของนรกรไปแค่คืบ

ร่างนั้นสูงพ้นไหล่มาเล็กน้อย สวมชุดสีขาวยาวกรอมพื้น ศีรษะปกคลุมด้วยเรือนผมสีดำที่พันกันยุ่งเหยิงยาวจนถึงสะโพก

บรรยากาศที่ปกคลุมร่างนั้นอึมครึมจนแลดูสีออกเทา และทั้งๆ ที่โรงพยาบาลมีไฟสำรองแต่ดวงไฟกลางห้องกลับกะพริบติดๆ ดับๆ

“คะ... ใครน่ะ” อทิฏฐ์เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน

ร่างนั้นจึงค่อยเงยหน้าขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่ซูบตอบซึ่งซ่อนอยู่หลังเรือนผมยาว นัยน์ตาของเธอลึกโหลจนทำให้มันดูคล้ายกับหัวกะโหลกมากกว่าจะเป็นใบหน้าคน เธอค่อยๆ ยกมือแห้งเหี่ยวขึ้นมาตรงหน้าและเอื้อมมาหาพวกเขา

“เฮ้ยยยย!” อทิฏฐ์ร้องเสียงหลง

นรกรเองก็ตกใจจนทำกระป๋องนมในมือกระฉอก เรื่องที่ถูกผีสาวเข้าจู่โจมในระยะประชิดนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะคนที่กระโดดไปแอบหลบข้างหลังเขามากกว่า

“ใจเย็นๆ ทิด” จะว่าน่าสงสารก็ใช่ หากก็ดูน่าขันมากกว่าเมื่อเห็นร่างที่ค่อนข้างจะสูงใหญ่ขดจนเหลือตัวนิดหนึ่ง แถมใบหน้าที่โปร่งแสงนั้นยังดูหม่นซีดลงด้วยซ้ำ และในขณะเดียวกันก็ดูน่าเอ็นดูเขาจนอดยิ้มตามไม่ได้ “ผมว่าเธอมาดีนะ”

“ดีกะผีน่ะสิ!” อทิฏฐ์ว่าพร้อมทั้งยกสองมือปิดหน้าไว้ครึ่งๆ “ถ้ามาดีจริง ก็ต้องมาให้เห็นแบบสวยๆ หรือหล่อๆ อย่างผมสิ แบบนี้มันไม่ใช่แล้วคุณ”

สิ้นคำต่อว่า หญิงสาวในชุดขาวก็เขยิบยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นอีก หากเธอขยับมาเฉพาะส่วนหัวจนลำคอนั้นดูยืดยาวขึ้นมากกว่าปกติและนั่นทำให้อทิฏฐ์ร้องเสียงหลงและเกาะบ่านรกรแน่นขึ้นอีก

หากนรกรยังคงยืนนิ่ง เขาเหลียวมองร่างโปร่งแสงสองตนสลับกันก่อนจะผ่อนลมหายใจออกจมูก


(ต่อข้างล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2016 21:56:53 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

ทันทีที่วินทร์ออกไป ห้องก็กลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง ธีร์นั่งกอดอกจมอยู่กับความคิดของตัวเองจนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงคราวที่ตัวเองต้องเป็นคนนำเสนองานวิจัย เขาเก็บของและเดินออกไปห้องประชุม



“ธีร์” นรกรผลักประตูเข้าไปในห้องพักแพทย์ แต่ในห้องนั้นว่างเปล่า เขาคลาดกับคนที่มาตามหาไปแค่นิดเดียว

“ท่าทางเขาจะไปห้องประชุมแล้วน่ะคุณ มันจวนถึงเวลาแล้วนี่” อทิฏฐ์บอก

นรกรไม่รอช้า เขารีบออกวิ่งอีกครั้ง

“ใจเย็นๆ ก็ได้คุณ เอาไว้คุยกันหลังเขาพรีเซนต์เสร็จก็ได้นี่” อทิฏฐ์ที่วิ่งเหยาะๆ ตามมาข้างๆ ออกความเห็น

“ไม่ได้หรอก” นรกรตอบ เขาไม่อาจพูดยาวๆ ได้เพราะเริ่มหอบจากการออกแรงวิ่ง “ผมต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่องก่อนที่มันจะสายเกินไป”

โชคยังดีที่ธีร์ยังไม่ได้เข้าไปในห้องประชุม นรกรรีบวิ่งเข้าไปหาแต่อีกฝ่ายกลับเดินหนี

“เดี๋ยวก่อนธีร์ ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนาย” เขาคว้าต้นแขนน้องชายบุญธรรมและดึงให้หันมา

“ขอโทษนะแต่ฉันไม่มี” ธีร์รั้งแขนกลับพร้อมกับตอบห้วนๆ

“แต่ว่า...” นรกรพยายามอีกครั้ง แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เมื่อประตูห้องเปิดออกพร้อมกับที่อาจารย์ภูมิศิลป์เยี่ยมหน้าออกมา

“คนต่อไปเข้ามาได้”

ธีร์หันไปพยักหน้ารับคำ และเดินตามหลังเข้าไปโดยไม่หันมามองคนที่กำลังเรียกซ้ำสอง

“ธีร์! โธ่!”

ธีร์เดินไปยืนหน้าห้อง เขากวาดตามองไปรอบๆ หยุดยิ้มให้วิมลภาผู้เป็นแม่ครั้งนึ่งก่อนจะสบตาศาสตราจารย์สรวิชญ์และกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวที่ได้คิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว “ก่อนจะเริ่มต้นการนำเสนอผมมีเรื่องจะบอกให้ทุกท่านทราบครับ”

“มีเรื่องอะไรก็รีบๆ พูดมา ผมจะนับว่านี่เป็นเป็นเวลาพรีเซนต์ของคุณด้วยนะ” อาจารย์ภูมิศิลป์ชี้แจง

ธีร์พยักหน้าเข้าใจ “ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมแค่จะบอกว่าผมจะไม่ขอรับสิทธิ์การประเมินเข้าเป็นอาจารย์”

ทั้งห้องฟังด้วยอาการสงบนิ่ง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะมีผู้สละสิทธิ์

“ไม่เป็นไร” อาจารย์ภูมิศิลป์บอก “เชิญนำเสนอได้แล้ว”

ธีร์กำหมัดแน่นและพูดต่อประโยคสุดท้ายจนจบ “และผมจะขอลาออกจากการเป็นหมอที่นี่ด้วยครับ”


นรกรเดินกระสับกระส่ายอยู่หน้าห้องโดยมีอทิฏฐ์ที่นั่งลงกับพื้นเท้าคางมองอยู่ใกล้ๆ

“นั่งก่อนไหมคุณ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนนี้เราก็ทำอะไรไม่ได้แล้วนะ”

“ผมน่าจะมาให้เร็วกว่านี้” นรกรรำพึง

“ต่อคุณรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวานก็คงไม่มีประโยชน์อยู่ดีถ้าลองเขาตัดสินใจมาแล้วแบบนั้น”

นรกรหยุดเดินในที่สุด เขากวาดตามองไปรอบๆ คล้ายกับกำลังมองหาทางออกให้กับปัญหาที่ยังคิดไม่ตกก่อนจะก้มลงมองมือตัวเอง “ไม่สิ ผมไม่คิดว่าจะทำอะไรไม่ได้หรอกนะ”

ขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั่นเองประตูห้องประชุมก็เปิดออกอีกครั้งคนในชุดกาวน์สั้นก้าวออกมา สีหน้าของธีร์ไม่สู้ดีนัก เขาหยุดยืนหน้าประตูที่ปิดสนิทพร้อมกับถอนหายใจยืดยาวครั้งหนึ่ง

“ธีร์!” นรกรร้องเรียกพร้อมกับก้าวยาวๆ เข้าไปหา

อทิฏฐ์เองก็ผุดลุกขึ้นยืนและเดินตามไปเช่นกัน

เจ้าของชื่อหันมาดูทางหางตาก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินหนีไปอีกทาง

“เขาจะไปแล้วคุณ” อทิฏฐ์ร้องบอก

นรกรวิ่งตามไปคว้าต้นแขนน้องชายบุญธรรมไว้ได้ทันพอดี “เดี๋ยวก่อนธีร์”

“อะไร” คนถูกรั้งถามเสียงห้วนพร้อมทั้งปรับสีหน้าให้ดูเย็นชาได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

“เรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน”

“ฉันไม่อยากคุย”

“แต่นายต้องคุย!”

น้ำเสียงเฉียบขาดที่ราวกับถอดแบบมาจากศาสตราจารย์สรวิชญ์ซึ่งไม่ได้ยินบ่อยๆ จากปากคนตรงหน้าทำให้ธีร์ต้องยอม เขาสะบัดต้นแขนหลุดจากการจับก่อนจะยกขึ้นกอดอกไว้ “ว่ามาสิ”

เมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนั้น นรกรจึงไม่อารัมภบทให้เสียเวลา “ทำไมนายถึงเกลียดฉัน”

“นึกว่าจะพูดเรื่องอะไร” ธีร์ว่าพร้อมกับไหวไหล่ครั้งหนึ่ง “ก็บอกไปแล้วไง ฉันเกลียดที่โดนเอาไปเปรียบเทียบกับนาย”

“ไม่ใช่” นรกรว่า “ฉันมานั่งคิดๆ ดูแล้ว นายไม่เคยโดนเอาไปเปรียบเทียบ ไม่เคยเลยสักนิด นายอยากเป็นนักกีฬาฟุตบอลพ่อกับแม่ก็ไม่เคยขัด แต่เป็นนายเองน่ะแหละที่ฉีกสัญญาโควต้านักกีฬาทิ้งแล้วมาเรียนหมอตามฉัน แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้นทำไมจู่ๆ ถึงจะลาออกล่ะ”

ธีร์ออกแปลกใจเล็กน้อยว่านรกรรู้เรื่องนี้ได้ยังไง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรในเมื่อเขาประกาศออกไปแล้ว “มันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับนายสักหน่อย”

“เกี่ยวสิธีร์”

“ทำไม”

“ฉันยังเป็นพี่ชายนายหรือเปล่า”

“พี่ชาย?” ธีร์ทวนคำ มีความเยาะหยันอยู่ในน้ำเสียง “มันไม่เคยมีคำนั้นมาตั้งแต่ต้นแล้วฮาร์ฟ”

“แน่ใจนะ”

“แน่สิ” ธีร์ยืนยัน

สิ้นคำขวาหมัดตรงก็พุ่งเข้าข้างแก้มซ้าย มันแรงมากพอจะทำให้ร่างของธีร์เซหากก็แค่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายที่กุมมือตัวเองแน่น

“เจ็บ” นรกรเครือลอดไรฟัน เป็นครั้งแรกที่เขาออกแรงมากขนาดนี้ และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เขาปล่อยหมัดใส่ใครสักคน แต่มันก็เทียบกันไม่ได้เลยกับความเจ็บในหัวใจที่อยากบอกให้อีกฝ่ายรับรู้

“ก็ต้องเจ็บสิทำบ้าอะไรเนี่ย!” ธีร์ร้องโวยวายพร้อมกับถลาเข้าหา

ในขณะที่อทิฏฐ์ยังยืนงงพูดอะไรไม่ออก และแอบสาบานกับตัวเองในใจว่าหลังจากนี้จะไม่แหย่ให้นรกรโกรธจนฟิวส์ขาดแน่นอน

“ไหนเอามือมาดูสิเป็นแผลหรือเปล่า นายเป็นหมอศัลย์นะเว้ย มือเป็นสิ่งสำคัญไม่ใช่หรือไงทำไมถึงทำแบบนี้” คว้ามือเรียวไปกุมไว้ในมือทั้งสองข้างอย่างทะนุถนอมและพลิกไปมาหาบาดแผลก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่ามันมีแค่รอยช้ำเล็กๆ ตรงปุ่มกระดูก

นรกรมองคนโดนต่อยที่เป็นห่วงเขามากกว่าปากของตัวเองซึ่งมีเลือดไหลซิบและจับมือนั้นไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้อีก “เพราะนายสำคัญกว่า”

ธีร์ชะงักไปเล็กน้อย อยากจะสะบัดมือให้หลุดแต่เพราะกลัวอีกฝ่ายเจ็บถึงยอมให้จับอยู่อย่างนั้นและทำได้แค่หลบตา “พูดเป็นเล่น”

เมื่ออีกฝ่ายไม่ขัดขืน รอยยิ้มบางก็ระบายลงบนเรียวปาก นรกรบีบมือนั้นแน่นขึ้นอีกพร้อมกับยกมืออีกข้างขึ้นสัมผัสที่ข้างแก้ม

ธีร์ออกสะดุ้งเล็กน้อยและยินยอมให้มือนั้นรั้งให้หันกลับมาอย่างดาย

นรกรจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคนตรงหน้าราวกับจะมองหาเรื่องราวเมื่อในวันวาน “เมื่อก่อนก็มีเรื่องแบบนี้ จำได้ไหม”

“จำได้สิ” ธีร์ตอบไม่เต็มเสียงนัก “ตอนที่ฉันแกล้งให้โบไปจีบนายใช่ไหม”

เขายังจำแววตาในวันนั้นได้ดี มันไม่ได้โกรธเคือง ไม่ได้เจ็บแค้น แต่มันเต็มไปด้วยความผิดหวังและความเสียใจ

และนั่นกลับทำให้เขาเจ็บได้ยิ่งกว่าคำต่อว่าต่อขานใดๆ เสียอีก

รู้อยู่แก่ใจว่าทำผิด แต่ก็ไม่ได้เอ่ยแม้แต่คำขอโทษเพราะทั้งหมดนั่นมันเป็นความตั้งใจของเขาเอง

“ไม่ใช่ตอนนั้น”

ธีร์เหลือบตามามอง

“วันนั้นฉันไม่ได้ต่อยนายก็แค่เข้าไปถามว่าทำไมแล้วนายก็ไม่ยอมตอบฉัน” นรกรบอก “มันก่อนหน้านั้นต่างหาก วันที่นายเลิกเรียกฉันว่าพี่ชาย”

เพียงกะพริบตาครั้งเดียวก็นึกออก เรื่องที่นรกรพูดถึงไม่ใช่การต่อย ไม่ใช่ตอนที่ทะเลาะกัน แต่เป็นในตอนที่พวกเขาสองคนหันหน้ามาคุยกันต่างหาก แม้จะไม่ได้มีคำพูดพิเศษอะไรมากมาย แต่สำหรับเขานั่นคือความเป็นห่วงเป็นใยเท่าที่เด็กชายปากแข็งลูกเจ้าของบ้านจะแสดงออกมาให้ผู้อาศัยอย่างเขาได้เห็น

เขาเป็นคนร่าเริง มองโลกในแง่บวก เป็นเด็กที่มีแต่รอยยิ้มและเข้ากับคนง่าย

ทว่า นั่นเป็นเพียงหน้ากากที่เขาใส่ไว้หลอกครอบครัวบุญธรรม หลอกผู้คนรอบข้าง หลอก... แม้กระทั่งตัวเองว่าไม่เป็นอะไร ว่าเขายอมรับได้กับการสูญเสีย ทั้งที่พอตกกลางคืน ยามที่ทุกคนเข้านอนเขาต้องแอบไปนั่งร้องไห้ใต้ต้นไม้ในสวนหลังบ้านทุกวันเพราะคิดถึงพ่อกับแม่ที่ตายไปในอุบัติเหตุ

และคนเดียวที่สังเกตเห็นความผิดปกตินั้น คนเดียวที่หาเขาพบ คนเดียวที่ได้เห็นน้ำตาของเขาคือ ‘พี่ชายบุญธรรม’ คนนี้

“ตรงนั้นมันไม่ใช่ที่นอนนะ”

“รู้แล้ว” แสร้งทำน้ำเสียงสดใสทั้งที่น้ำตาไหลอาบสองแก้มพลางใช้ชายเสื้อของชุดนอนซับตา “ก็ผมนอนไม่หลับนี่นาเลยแอบออกมาดูพระจันทร์”

“นายร้องไห้ทำไม”

เด็กชายออกสะดุ้งเล็กน้อยที่เสียงนั้นเข้ามาใกล้เกินไป และเมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นร่างผอมแห้งในชุดนอนตัวหลวมยืนชะโงกเงื้อมอยู่เหนือตัว เขาถอยหลังไปพิงต้นไม้ “อะไร ใครร้องไห้”

“นายไง” ตอบพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง

“เปล่านะ ผมไม่ได้ร้อง”

“งั้นก็ร้องซะสิ” นรกรบอกพร้อมกับเอื้อมมือมาโอบอุ้มใบหน้าเขาไว้ “ร้องซะให้พอ ฉันสัญญาว่าจะไม่บอกใคร”

ทั้งที่ตัวเล็กกว่าเกือบครึ่ง ทั้งที่ฝ่ามือนั้นไม่อาจโอบได้ถึงครึ่งหน้าเสียด้วยซ้ำ ทว่ามันกลับส่งผ่านความอบอุ่นมาถึงหัวใจ

เขาจำไม่ได้ว่าร้องไห้ไปนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองเกาะเอวนั้นไว้แน่นและหนุนไหล่อีกฝ่ายต่างหมอนอยู่บนพื้น รากแก้วของต้นขนุนที่โผล่พ้นดินตำหลังให้เจ็บนิดๆ เขาขยับตัวเล็กน้อยและพบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองเขาอยู่

“ดีขึ้นไหม”

ธีร์ยันตัวลุกขึ้นนั่งรวดเร็วเสียจนใบไม้แห้งรอบตัวฟุ้งกระจาย “อือ”

นรกรลุกขึ้นนั่งบ้าง ธีร์แอบมองทางหางตาเห็นคนตัวเล็กกว่าใช้มือนวดแขนที่คงหนึบชาเพราะไม่ได้ขยับมานาน ก่อนจะกระซิบขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แห้งผาก

“ดึกป่านนี้แล้วพี่ไปนอนเถอะ ผมอยากอยู่ตรงนี้อีกแป๊บ”

คนที่นั่งอยู่ข้างๆ นิ่งมองอยู่อึดใจก่อนจะเอ่ยออกมา “ถ้านายไม่ชอบที่จะเรียกฉันว่าพี่ก็ไม่จำเป็นต้องเรียกตามที่พ่อกับแม่บอกก็ได้นะ”

ใบหน้าร้อนผ่านขึ้นเล็กน้อยด้วยตกใจที่ถูกจับโกหกได้ “ผมไม่ได้ไม่ชอบหรอกก็แค่... เราอายุเท่ากัน”

“งั้นก็เรียกชื่อแทนสิ ธีร์”

แล้วเขาก็เลิกเรียกคนตรงหน้าว่าพี่ชายนับตั้งแต่วันนั้น และในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกอีกอย่างก่อกำเนิดขึ้นมาช้าๆ หากก็แข็งแกร่งมากจนไม่อาจสึกหรอไปได้ตามกาลเวลา


“ฉันเริ่มเกลียดนายตั้งแต่วันนั้นน่ะแหละ”

“ทำไม”

“พวกเขาไม่ได้บอกนายหรอกเหรอว่าทำไม” ธีร์ถามกลับ

“ใคร?”

“คนที่บอกนายไงว่าฉันอยู่ที่ไหน”

นรกรยิ่งไม่เข้าใจมากกว่าเดิม ธีร์จึงพูดต่อ

“พ่อกับแม่ไง”

นรกรส่ายหน้า “พ่อกับแม่หลับอยู่นะ...”

“อันที่จริงนะฮาร์ฟ ฉันไม่ได้เกลียดนายหรอก” ธีร์พูดแทรกขึ้น “แต่ฉันโกรธนายมากกว่า ทั้งที่ไม่ต้องการแต่นายคุยกับพวกเขาได้ ในขณะที่ต่อให้ฉันร้องไห้แทบขาดใจก็ไม่วันได้เจอ แล้วทำไมทั้งๆ แบบนั้นนายก็ยังไม่ยอมบอกว่าพวกเขาพูดอะไรกับนาย”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน เริ่มไม่แน่ใจว่ากำลังพูดเรื่องเดียวกันอยู่หรือเปล่า “นายกำลังพูดถึงใคร”

“ไม่เข้าใจเหรอฮาร์ฟ” ธีร์ย้อนถาม “ฉันพูดว่า ‘พ่อกับแม่’”

นัยน์ตาสีอ่อนเบิกกว้าง นรกรเหลือบมองร่างโปร่งแสงที่ยืนฟังเรื่องราวทั้งหมดอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันมาหาธีร์อีกครั้ง “นาย... เชื่อที่ฉันพูดเหรอ”

“พูดมาสิ” ธีร์จ้องตาคนตรงหน้านิ่ง “จะให้ฉันเชื่อ นายก็พูดมาก่อนสิ เพราะนายยังไม่เคยพูดอะไรให้ฉันฟังเลยสักคำ”

“ทำไมนายถึง...”

“นายชอบพูดคนเดียวใช่ไหมล่ะ” ธีร์บอก “นายพยายามหลบแล้ว ป๊ากับม้าก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น แต่ฉันอยากรู้ว่านายพูดกับใคร หลังจากแอบฟังอยู่หลายวันก็พอจับใจความได้คร่าวๆ คืนนั้นก่อนจะเดินออกไปในสวนเหมือนทุกที ฉันพูดลอยๆ ขึ้นมาในบ้านว่าถ้าพวกเขายังอยู่ให้ไปปลุกนายออกไปหาฉันในสวน ฉันแอบดูอยู่หลังต้นไม้ ทั้งที่นายเดินมาคนเดียวแต่กลับหันไปพูดขอบคุณลมฟ้าก่อนจะเดินเข้ามาหาฉัน”

เว้นวรรคไปเล็กน้อยเพื่อทบทวนภาพความทรงจำในหัว

“ฉันพูดอีกว่าถ้ามีอะไรอยากบอกฉัน ให้ฝากนายมาบอก... แล้วทำไมล่ะฮาร์ฟทั้งที่คืนนั้นนายก็เหมือนจะเงียบฟังอะไรอยู่เนิ่นนาน แต่ทำไมนายถึงไม่ยอมบอกอะไรฉันสักคำ”

“ก็...” นรกรอึกอัก

“หรือว่าพวกเขาไม่ได้พูดอะไรเลย”

ฝ่ามือโปร่งแสงที่วางลงบนไหล่กับความเจ็บปวดในน้ำเสียงของคนตรงหน้าทำให้นรกรยอมเล่าความจริงในที่สุด “พวกเขาบอกว่า... ฝากให้ฉันดูแลนายให้ดี”

“แค่นั้นเองเหรอ” ธีร์ว่า “ไม่เห็นจะเป็นเรื่องพูดยากตรงไหน”

นรกรส่ายหน้าครั้งหนึ่ง “ยังมีอีก พวกเขาบอกว่า... นายไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด นายไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้พวกเขาตาย ให้เลิกโทษตัวเอง ทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุ”

ธีร์เงยหน้าขึ้นมองเพดานพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าจนสุดก่อนจะหันมาสบตาเขาอีกครั้ง “ในที่สุดนายก็ยอมบอกฉันสักที”

“ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไร”

“ตกลงเรื่องที่จะลาออกน่ะไม่เกี่ยวกับที่เกลียดฉันใช่ไหม”

“ถ้าเกลียดจะตามมาอยู่ใกล้ๆ เหรอ” ธีร์บีบมือที่ยังจับไว้แรงๆ ครั้งหนึ่ง

“งั้นเพราะอะไรล่ะ... แฟน?”

ธีร์พยักหน้า

“นี่ใช่ไหมสาเหตุที่นายดิ้นรนจะไปดูงานที่นั่นให้ได้ ที่แท้ก็แอบไปเดินเรื่องและเตรียมการอะไรต่างๆ ไว้นี่เอง ต่อให้ไม่ปรึกษาฉันก็น่าจะคุยกับพ่อกับแม่นะ พวกเขารักนายจะตายไม่ว่าอะไรหรอก”

“ถึงไม่ว่าแต่ก็ไม่สบายใจนี่ พวกท่านเลี้ยงฉันมาแล้วจู่ๆ จะมาทิ้งไป...”

“นายไม่ได้ทิ้งสักหน่อย แค่ไปทำงานและมีครอบครัวไม่ใช่หรือไง จะโกรธก็เพราะจู่ๆ นายไปพูดในที่ประชุมแบบนั้นน่ะแหละ”

“ก็ถ้าไม่ทำแบบนั้นฉันก็กลัวตัวเองจะตัดใจไปไม่ได้นี่นา”

“ตัดใจอะไร” นรกรถามกลับ “อยู่ไกลแค่ไหนยังไงเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันนะ คิดถึงก็กลับมาเยี่ยมบ่อยๆ สิยังไงบ้านนี้ก็เป็นของนายอยู่แล้ว”

“นายพูดเรื่องอะไร”

“ก็เรื่องที่พ่อจะใส่ชื่อนายเป็นเจ้าของบ้านไง” นรกรว่า “พ่อคงคิดไว้แล้วว่านายจะทำแบบนี้ ก็เลยจะใส่ชื่อนายเป็นเจ้าของบ้านเพื่อให้แน่ใจว่านายจะกลับมา”

“ป๊าบอกนายเหรอ”

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากัน “เปล่าหรอก ฉันก็แค่คิดว่าพ่อน่าจะคิดแบบนี้”

“นายมันลูกป๊าจริงๆ น่ะแหละ” ธีร์ว่า “เรื่องนั้นไว้ค่อยคุยกันทีหลัง แต่ยังไงฉันก็ไม่ยอมแน่ๆ เต็มที่ก็ต้องใส่ชื่อทั้งสองคน แล้วนายต้องคุยกับป๊าให้มากกว่านี้นะ ฮาร์ฟ นายรู้ใช่ไหมว่าตัวเองเป็นคนปากแข็งแต่ป๊าน่ะแข็งกว่านายเป็นสิบเท่า บอกตรงๆ ว่าวันนี้ฉันดีใจมากเลยที่นายเข้ามาคุยกับฉัน”

“ฉันรู้แล้ว” นรกรรับคำ “จะ... ไม่สิ กำลังพยายามอยู่”

“ฮาร์ฟ”

“อะไร”

“เปล่า” ปากปฏิเสธแต่กลับออกแรงดึงมือเข้ามากอดแนบอก

“ปล่อยน่าธีร์ อึดอัด” นรกรบ่นไม่จริงจัง ตอนนี้เขาเริ่มจับทางได้แล้วว่าที่ธีร์ชอบเข้ามากอดเขาไม่ใช่เพราะจะแกล้งแต่จริงๆ มีเรื่องอยากจะพูดและอายเกินกว่าจะเริ่มโต้งๆ เลยขอกอดแก้เขินไว้ก่อน

“เรื่องเมื่อวานขอโทษนะที่พูดแรงๆ แบบนั้น” ธีร์กระซิบ “ก็ฉันจะไม่อยู่แล้ว เลยอยากให้ป๊ากับนายได้คุยกัน ฉันจะได้หมดห่วง”

“เล่นแรงมากเลยด้วย” นรกรว่า “ยกโทษให้ แต่คราวหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะ”

“อืม”

“เข้าใจกันแล้ว ก็ปล่อยได้แล้ว” อทิฏฐ์ที่ยืนกอดอกดูอยู่กระซิบเสียงเข้ม

นรกรหลิ่วตา ด้วยความอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยายังไงจึงแกล้งยกมือขึ้นกอดตอบ และมันได้ผล ถึงจะไม่พูดอะไรอีก แต่อทิฏฐ์ก็หน้าตูมขึ้นมาทันที

“อีกเรื่องนึง” ธีร์พูดต่อ “เรื่องที่นายไม่ชอบผู้หญิงน่ะ จริงๆ แล้วฉันไม่ได้อยากบอกหรอกนะ แต่ตอนนั้นฉันมีแฟนใช่ไหมล่ะ ป๊าก็เลยเอาแต่ถามว่าแล้วนายล่ะมีไหม ฉันก็เลยวางแผนให้โบไปจีบนายขึ้นมากะว่าถ้านายไม่กลับใจไปชอบผู้หญิง นายก็คงระเบิดออกมาเพราะความโกรธแล้วเรื่องมันจะได้จบๆ ไป”

“แต่ก็ไม่เป็นไปตามแผนใช่ไหม”

“ใช่” ธีร์ยอมรับ “พอโดนป๊าตื๊อถามมากเข้า ฉันก็เลย... หลุดปากบอกไป คือเอาจริงๆ นะฮาร์ฟฉันว่าป๊าไม่ได้รังเกียจนายหรอก ตอนที่นายคบกับพี่ปอก็แอบมาถามกับฉันบ่อยๆ นะ ว่าพวกนายไปเที่ยวกันอะไรยังไง แต่จะรับได้ไหมมันก็อีกเรื่องน่ะนะ เพราะวันที่รับปริญญาน่ะ พอรู้ว่านายเลิกกับพี่ปอป๊าก็ดูโล่งอกมากทีเดียว หลังจากโรคหัวใจกำเริบแล้วฟื้นขึ้นมาบนเตียงในโรงพยาบาลประโยคแรกที่ป๊าถามกับฉันคือ ‘ฮาร์ฟเลิกร้องไห้หรือยัง’ แล้วก็กำชับฉันกับม้าว่าห้ามบอกนายนะ เพราะตอนนั้นนายมีเรื่องให้คิดมากพออยู่แล้ว ฉันคิดว่าบางทีการที่ป๊าไม่ยอมแอดมิทรักษาสักทีก็เพราะเป็นห่วงนายนี่แหละ เมื่อคืนพอได้ยินนายพูดแบบนั้นก็เลยสบายใจ”

นรกรพยักหน้าเข้าใจ

ธีร์จึงยอมปล่อยเขาออกวงแขน “ฉันบอกนายหมดแล้วนะ แล้วนายล่ะมีอะไรอยากบอกฉันไหม มีอะไรก็รีบพูดนะเพราะฉันวางแผนจะไปทันทีหลังรู้ผลสอบวิจัย บางทีอาจไม่ถึงวันฉลองนายหรือวินทร์เข้ารับตำแหน่งด้วยซ้ำ”

นรกรนิ่วหน้าคิดอยู่อึดใจ “อยากรู้จริงๆ น่ะเหรอ”

“จริงสิ”

“ธีร์... จริงๆ แล้วฉันไม่อยากให้นายไปอยู่อเมริกาหรอกนะ”

“กลัวเหงาเหรอ ไม่เป็นไรไว้ฉันจะโทรหาบ่อยๆ นะ”

“เปล่า” นรกรบอก “คือ... คุณผู้หญิงชุดขาวในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะ เขาเป็นแฟนคลับนาย เขานั่งรอนายอยู่บนตู้ล็อกเกอร์ทุกวันเลยนะ”

“ฮาร์ฟ!” ธีร์ร้องเสียงหลง

“จริงๆ นะ คือตอนนี้เธอก็น่ากลัวพออยู่แล้ว ฉันเกรงว่าถ้านายไปเธออาจจะเริ่มอาละวาดแล้ว...”

“ไม่ต้องเล่าแล้ว”

“อ้าว ไหนบอกว่าอยากให้ฉันบอกไง”

“พอๆ เอาไว้เรื่องไหนฉันอยากถาม ฉันจะบอกนายเองนะ” พูดจบก็ให้นึกอะไรขึ้นได้ “จะว่าไป นายเดาได้ยังไงน่ะว่าฉันจะไปอยู่กับแฟน”

“รูปถ่ายผู้หญิงที่อยู่ในกระเป๋าตังนายไง ไม่เจอกันนานโบก็ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะ”

“นายไปเห็นตอนไหน...”

“ฉันไม่เห็นหรอก คุณผู้หญิงชุดขาวต่างหากที่เป็นคนเล่าให้ฟัง” นรกรย้ำอีกครั้ง “เมื่อกี้ไปเอาของให้พี่วินทร์เธอมาเกาะแขนร้องห่มร้องไห้กับฉัน ยังไงก่อนจะไปนายไปเปลี่ยนชุดเซอร์วิสเธอสักหน่อยก็ดีนะ”

“ฮาร์ฟ!”

เมื่อเห็นว่าปิดปากคนตรงหน้าไม่ได้สักที ธีร์จึงเปลี่ยนเป็นยกสองมือขึ้นอุดหู

ยิ้มกว้างระบายลงบนเรียวปากและกว้างมากขึ้นอีกเมื่อนรกรหันไปสบตากับร่างโปร่งที่ยืนอยู่ข้างๆ

“วันหลังถ้ากลัวมาแอบหลบหลังพี่ก็ได้นะน้อง” เขาทำปากขมุบขมิบล้อเลียน

อทิฏฐ์แยกเขี้ยวใส่ “เลิกแซวได้แล้วน่า”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากันอยู่อึดใจก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปใกล้และกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน “ดูปากนะ ไม่-เลิก”


********************TBC***********************


Talk

จบบทนี้เราคิดว่าส่วนที่อมเทาน่าจะปลิวหายไปเกือบหมดแล้วล่ะค่ะ ที่เหลือจะเริ่มในส่วนอมชมพูแล้ว(หมายถึงพล็อตนะไม่ใช่หัวนมมาริโอ้555)

มีคนสงสัยว่าตกลงเรื่องนี้ใครพระเอก?... ฮาร์ฟไง จะใครล่ะ(ไม่ใช่ล่ะ แลดูมุกจะแป้ก)

โห~ เค้าอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนขนาดนี้ เลกกี้ไม่พลิกโผแน่นอนค่ะ เตรียมชูป้ายไฟเชียร์ได้ บทหน้าใครรุกใครได้รู้กันแน่นอน

ขอบคุณที่ช่วยตรวจคำผิดให้ และกำลังใจในทุกๆ คอมเมนต์นะคะ

ปล.ใครเดินทางกลับบ้านช่วงสงกรานต์ขอให้เดินทางปลอดภัย ขอให้ได้ขอให้โดน นั่งว่างๆ บนรถยนต์ เรือเมล์ รถไฟ เครื่องบิน อ่านนิยายเราฆ่าเวลาไปเพลินๆ แล้ว 'กลับมาหา' กันอีกทีหลังปีใหม่ไทยกับบทที่11 นะคะ

ปล.2 กรุณาอย่าถามเลกกี้ว่าสงกรานต์นี้ไปเที่ยวไหน เพราะมันแสลงใจเกินจะตอบ ช่วยถามว่า 'ไปเที่ยวกันไหม?' เถอะนะคะ >//////< แอร๊ยย งานเสี่ยวก็มา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-04-2016 21:34:49 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ phoenixa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 569
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
ก็คิดอยู่ว่าธีร์ไม่น่าจะเกลียดฮาร์ฟ
แต่อิพี่วินทร์นี่ยังไง

จองฮาร์ฟให้ทิดคนเดียวนะ

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
สรุปฮาฟกับทิด แอบสงสารวินท์นะ   แต่เอาเถอะ ทิดก็น่ารักไม่เบา สวัสดีปีใหม่ไทยล่วงหน้าค่ะ  ขอให้มีความสุขในช่วงเทศกาลสงกรานต์นะคะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ดีใจที่ทุก ๆ เรื่องไม่สายเกินไป

ออฟไลน์ Ra poo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
งื้อ ขอแอบเชียร์พี่วินทร์เงียบๆตรงนี้ จะแห้วใช่มั้ย

แต่ละคนนี่ดูเป็นพระรองมากกว่าพระเอกมากๆ บอกไม่ถูก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ May@love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 827
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-2
ในที่สุดก็เข้าใจกันธีร์กับฮาร์ฟ

แต่ทิด กลัวผีรุนแรงมากนะ  :laugh:

ออฟไลน์ yupa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ขอบคุณคะ  อย่าหายไปนานนะจ๊ะ ช่วงวันหยุดแวะมาส่งบ้างเผื่อคนไม่ไปเที่ยวไหนได้มาอ่านแก้เหงาขอบคุณอีกครั้งจ๊ะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ปล.ไม่ได้ไปไหนช่วงสงกรานต์ก็ดีไปอย่างนะคะคนเขียน ได้ใช้เวลากับตัวเอง ไม่ต้องไปผจญกับคนเยอะรถติด
สวัสดีปีใหม่ไทยล่วงหน้าค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ treenature

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-0
เฉลยเหตุผลของธีร์แล้วนะคะ แต่เฉลยด้วย ผีสาว นี่ โอโห... ฮามาก อย่าลืมไปเซอร์วิสนะ ผีทิดตลกอ่า กลัวผีทำไม แอบมีหึงนิดๆด้วย ใช่ไหมคะ
เจอคำตกค่ะ

บางอาจไม่ถึงวันฉลองนายหรือวินทร์เข้ารับตำแหน่งด้วยซ้ำ”  แก้เป็น บางที

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
ชื่นใจกับตอนนี้จริงๆ ครอบครัวเข้าใจกัน  :heaven

รอทิตฟื้นน้าาา ตัวฟื้นเร็วๆ จะได้กอดกันให้อุ่นๆ
หาคู่ให้พี่วินทร์ด้วยนะคะ

//ถ้าได้ไปเที่ยวกระทันกันก็เดินทางปลอดภัยค่าาา

ออฟไลน์ im4gine_32

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชูแล้วค่ะ ชูทิดตั้งแต่เริ่มเลยเบลยยย 55555 รอใจจดใจจ่อมาก นี่แต่งต่อจากตอนนี้เองในสมองละค่ะ 555555 ชอบมากกกกกกกก ER คือดีละนะ อันนี้แบบ..ถูกจริตมาก อิ๊อิ๊

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
โอ้ยยย ทำไมเค้าน่ารักกันแบบนี้
ผี ก็กลัวผี ด้วยสินะ 5555
ธีร์มี แฟนคลับตัวยงด้วยแหละ เธอคงเสียใจน่าดูเลยนะธีร์  T,.T
ตอนไหนพระเอกจะฟื้นฟร่ะ
รีบบอกฮาร์ฟได้แล้วว่าตัวเองยังไม่ตายน่ะ

ออฟไลน์ 182x406

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แปลว่ามีลุ้นทิดใช่ไหมคะ ฮือออออออออ ทีมทิดนะคะะะะ
อ่านแล้วรู้สึกว่าทิดน่ารักมาก มีแอบงอนด้วย แต่พาร์ทนี้มีน้อยใจตัวเองด้วย
อยากมาจับมือเค้าให้กำลังใจก็รีบๆฟื้นสิคะ ;______;
ปมพ่อแล้วก็ธีร์พอคลายแล้วน่ารักมากเลย
อ่านแล้วยิ้มตลอดพาร์ทเลยค่ะ
ฮาตอนคุณผีผญที่เป็นแฟนคลับด้วย5555555 แง
จะรอมาต่อนะคะ

ออฟไลน์ chaoyui

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ทิดๆๆๆๆ สู้สิ กลับมาหาฮาร์ฟแบบจับต้องกันได้ไง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ chsira

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เพิ่งเคยได้อ่านครั้งแรก ตอนวันที่ 12 แล้วรู้สึกว่าพลาดที่เข้ามาอ่าน  :serius2:
เพราะว่าสนุกมาก จนต้องอ่านให้จบในคืนนั้น

คนเขียนเขียนได้ดีมากๆ ค่ะ คือรู้ซึ้งถึงชีวิตหมอศัลย์มากกกก
เราทำงานกับหมอศัลย์มา 1 ปี 6 เดือน (เป็นเลขาอาจารย์สาย Vascular)
อารมณ์ประมาณนี้เลย หมอศัลย์ดิบๆ เถื่อนๆ แบบคนเขียน เขียนมาเลย 55+
อาจารย์หมอ ก็คล้ายๆ กับคุณพ่อของนรกรเลย

แต่เอาจริงๆ ว่าไม่เคยที่จะจิ้นหมอศัลย์เลย เพราะพี่แกเถื่อนทุกคนเกินเยียวยา
หาหล่อๆ หน้าตาดีก็ยากมากกกกก
ส่วนใหญ่ชอบไปจิ้นหมอออโถ มากกว่าที่ ม. เก่าเราหมอออโถเค้าคัดหน้าตา

แต่พออ่านเรื่องนี้ เอ้ยย จิ้นหมอศัลย์ได้อ่ะ  :mew1:
นึกละก็อยากกลับไปทำงานกลับหมอศัลย์เหมือนแต่ก่อนเลยค่ะ
แต่พอดีเดินออกมาไกลละ กลับไปไม่ได้แล้ว

ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ รออ่านตอนต่อไปนะคะ


ออฟไลน์ namaquaru

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้ อื้อหือ สนุกมากกกกกกก พลาดไปได้ยังไงกันนะ :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ zaturday

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
เม้นก่อนอ่าน
เราตามมาจาก ER ตอนพิเศษ นาย-จิว อ่านฝีมือการเขียนมาจากเรื่องที่แล้วยอมรับว่าประทับใจมาก พอเห็นว่ามีภาคต่อก็ไม่ลังเลที่จะตามมาเลย อยากทราบว่านอกจากสองเรื่องนี้แล้วยังมีเรื่องอื่นอีกมั้ย เราจะตามไปอ่าน คือชอบสำนวน คำพูด ภาษา พล็อตเรื่อง คือดีงามจนอยากตามไปติ่งอ่ะ

ออฟไลน์ yupa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
จริงๆคือธีร์แอบช่วยฮาร์ฟอยู่ตลอดสินะ น่ารัก
รอตอนหน้าค่าาา

ออฟไลน์ yupa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รอนะคนดี :L2: :L2: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Takarajung_TK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 931
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-2
ตามมาอ่านจากกระทู้แนะนำ
พอรู้ว่าเป็นนักเขียนคนเดียวกับ ER นาทีหัวใจ ไม่ผิดหวังเลย
ชอบมาก ๆๆๆๆๆ

แล้วก็คิดว่ารู้แล้วล่ะว่า ทิด คือใคร เพราะคุณคนเขียนวางปมเฉลยมาตลอด
ยังไม่อยากสปอยด์ เอาไว้อ่านตอนจบดีกว่าว่าที่คิดไว้จริงรึเปล่า

รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ  :mew1:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 11 Heart Beat

“คุยอะไรกันอยู่” วินทร์ร้องทักพร้อมกับเดินเข้ามาร่วมวง

“พี่น้องเขาคุยกัน คนนอกไมเกี่ยว” ธีร์บอก

นรกรย่นคิ้วใส่และหันไปตอบคำถามนั้นอีกครั้ง “ปรับความเข้าใจกันนิดหน่อยน่ะครับ”

วินทร์พยักหน้าเข้าใจและไม่คิดจะถามต่อ “แล้วนี่นายกินอะไรหรือยัง หลังจากนี้เรามีผ่าตัดตลอดบ่ายเลยนะ”

“เรียบร้อยแล้ว ขอบคุณนะครับ แล้วพี่วินทร์ล่ะกินอะไรหรือยัง”

“เห็นนายอิ่มฉันก็อิ่มใจแล้วล่ะ”

ธีร์เหลือบตามองสองคนที่สบตากันแปลกๆ ก่อนจะกระแอมเสียงดัง “มาเถอะได้เวลาประกาศผลแล้ว” แล้วคว้าต้นแขนนรกรดึงให้เดินตามเข้าไปในห้องประชุม อันที่จริงเขาไม่ได้เกลียดวินทร์หรือคิดจะกีดกันหรอกนะ เพียงแต่ในท่าทีที่เปิดเผยตรงไปตรงมา ผู้ชายคนนี้ก็มีเรื่องปิดบังไว้เต็มไปหมด ถึงแม้ศาสตราจารย์สรวิชญ์จะรักวินทร์มากซึ่งเขาไม่เคยเข้าใจว่าเพราะอะไร ซ้ำยังเป็นคนขอกับอาจารย์ท่านอื่นๆ ให้วินทร์ได้เข้ามาเรียนทั้งที่ในตอนแรกเขาสอบสัมภาษณ์ตกไปแล้วด้วยซ้ำ

นรกรหันไปหาอทิฏฐ์และพยักหน้าให้ตามมา

แต่ร่างโปร่งแสงกลับส่งยิ้มบางให้พร้อมกับส่ายหน้า “คุณทำได้อยู่แล้วน่า”

“แต่ผมอยากให้คุณอยู่ด้วย” นรกรขยับปากโดยไม่มีเสียง

อทิฏฐ์ส่ายหน้าอีกครั้ง เขาคิดว่าหลังจากประกาศผลมันควรเป็นเวลาของครอบครัวและเพื่อนร่วมงานที่จะร่วมแสดงความยินดี ซึ่งถ้าเขาเข้าไปก็ไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหน

แต่เมื่อนัยน์ตาสีอ่อนนั้นมองสบมาอีกครั้งด้วยประกายที่อ่อนแสงลงกับเสียงกระซิบเบาๆ แค่เพียง “นะครับ” เขาก็พุ่งตามไปแทบไม่ทันและใบหน้าของคุณหมอหนุ่มก็กลับมาอมยิ้มอีกครั้งทันที

คุณหมอทั้งสามเข้าไปยืนรวมกันที่หน้าห้อง ในขณะที่ร่างโปร่งแสงแทรกตัวไปอยู่มุมห้องอย่างรู้หน้าที่

“ก่อนอื่นก็ขอแจ้งผลการวิจัยก่อน” อาจารย์ธนบดีกล่าว “ผ่านทุกคน”

พวกเขาหันมายิ้มให้กันพลางยกมือไหว้ “ขอบคุณครับ”

“ทีนี้ต่อไปก็ผลการประเมินเข้าเป็นอาจารย์ประจำภาควิชา” อาจารย์ธนบดีพูดต่อ “บอกตรงๆ ว่าเราตัดสินยากมาก แต่เพราะหมอธีร์ขอสละสิทธิ์ก็เลยทำให้พวกเรารู้สึกผิดน้อยลงนิดหน่อยถึงจะเสียดายก็เถอะ ไว้ถ้ามีโอกาสก็ขอเชิญมาถ่ายทอดความรู้ให้น้องๆ บ้างนะ"

“ครับ” ธีร์รับคำ

“อาจารย์ธนบดีอย่ามัวแต่อารัมภบทเลยครับ นี่ผมลุ้นจนฉี่จะราดแทนพวกคุณหมอเขาแล้วเนี่ย” อาจารย์ภูมิศิลป์แซว

“งั้นก็ประกาศเลยนะ” อาจารย์ธนบดีว่า “ขอแสดงความยินดีด้วยนะ หมอวินทร์”

นรกรเหลือบมองร่างโปร่งแสง ไม่ว่าจะเป็นการไขว้นิ้วทั้งสองข้างลุ้นจนตัวโก่งไปจนถึงตบหน้าผากอย่างอย่างแรงด้วยความเสียดายแล้วปล่อยหมัดใส่อากาศอย่างขัดใจ ทั้งหมดนั่นอยู่ในสายตาเขาและไม่รู้ทำไมว่าเขาถึงไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย ไม่แม้จะเสียดาย และนั่นไม่ใช่แค่เพราะเรื่องที่ทำได้ทำเต็มที่แล้วหรือเพราะนั่นไม่ใช่ความฝันของเขาอีกต่อไป แต่เป็นเพราะมันรู้สึกอิ่มในใจกับการที่ได้เห็นว่าใครสักคนมองว่าเรื่องของเขาสำคัญและรู้สึกไปด้วยกันราวกับมันเป็นเรื่องของตัวเอง

เพียงอึดใจผู้ที่โดนมองก็เหมือนจะรู้ตัว อทิฏฐ์รีบหันหลบไปตบหน้าตัวเองแรงๆ สองสามครั้งเพื่อซ่อนความเสียใจก่อนจะหันมายิ้มกว้างพร้อมทั้งชูนิ้วโป้งให้

“ไม่ต้องเสียใจนะ คุณทำดีที่สุดแล้ว” บอกทั้งๆ ที่เป็นตัวเองนั่นแหละที่ตารื้นยิ่งกว่าเขาเสียอีก

นรกรยิ้มตอบและหันไปแสดงความยินดีกับว่าที่อาจารย์คนใหม่ซึ่งยังไม่หายตกใจ

“เอ่อ…” วินทร์อึกอัก และไม่มีท่าทีดีใจสักนิด

“มีปัญหาอะไรหรือหมอ” อาจารย์ธนบดีถาม

“อาจารย์ก็ทราบนี่ครับว่าผมไม่ได้จบจากที่นี่ ผม…” เหลือบตามองคนตัวเล็กกว่า “ผมรับไว้…”

“แล้วยังไงล่ะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์แทรกขึ้น “เรื่องนั้นผมจัดการได้ ท่านผอ.และคณบดีเขาก็โอเคแล้ว”

วินทร์ไม่ยอมพูดอะไรอีก นรกรจึงเอื้อมไปสัมผัสหลังมือเบาๆ พร้อมกับหันไปสบตา “พี่วินทร์จะรับใช่ไหม”

ได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบางจึงค่อยคลี่ขึ้นบนเรียวปาก “ขอบคุณมากครับ” วินทร์ตอบพลางยกมือไหว้คณะกรรมในห้อง “ขอฝากตัวด้วยนะครับ… มาช่วยฉันด้วยนะ” ประโยคหันหลังไปกระซิบกับคนที่ยืนข้างๆ

“ไม่เอาหรอกครับ งานใครคนนั้นก็ทำเองสิ” นรกรพูดล้อๆ

“ฮาร์ฟ”

นรกรหัวเราะในลำคอกำลังจะพูดต่อเมื่ออาจารย์ธนบดีขัดขึ้นเสียก่อน

“ก็ต้องช่วยกันทั้งคู่น่ะแหละ แล้วก็ตกลงกันซะนะว่าใครจะไปดูงานที่ไหนไม่งั้นผมจะเป็นคนจัดการให้เอง”

“ครับ” นรกรสบตาวินทร์ที่งุนงงไม่แพ้กันก่อนจะหันไปมองอทิฏฐ์ที่ทำตาโตโผมาเกาะขอบโต๊ะทันที

“งงอะไรล่ะ หมอนรกรคุณก็ได้เป็นอาจารย์เหมือนกัน พวกเราไม่ได้แจ้งไปตั้งแต่ตอนคุณพรีเซนต์เสร็จแล้วหรอกเหรอ”

“ผมนึกว่า… อ.แค่แซวเล่น” นรกรบอกอ้อมแอ้มใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความดีใจหากก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“เรื่องจริงจังแบบนี้ ใครเขาเอามาล้อเล่นกัน” อาจารย์ภูมิศิลป์ตอบ

“แล้วทำไมเราทั้งคู่ถึงได้ล่ะครับ ก็ตำแหน่งบรรจุมีแค่ตำแหน่งเดียวไม่ใช่เหรอครับ” เพราะยังไม่เข้าใจนรกรจึงถามต่อ

“พอดีแผนเปลี่ยนนิดหน่อยน่ะ” คณบดีเป็นฝ่ายอธิบายเพิ่มแทน “เพราะอาจารย์ธนบดีได้เลื่อนตำแหน่ง เราก็เลยต้องหาคนมาทดแทนน่ะ”

ได้ยินดังนั้นนรกรก็หันไปสบตาศาตราจารย์สรวิชญ์ที่ทำหน้าประมาณว่าช่วยไม่ได้ แต่กลับแอบอมยิ้มมุมปาก

แม่หันมาป้องปากบุ้ยใบ้อะไรสักอย่างพร้อมกับชี้นิ้วไปยังคนซึ่งตีหน้าขรึมนั่งอยู่ข้างๆ “ดีใจด้วยนะลูก”

นรกรตอบแม่ด้วยรอยยิ้มกว้างเต็มหน้าและบอกกับตัวเองในใจว่าถ้าพ่อชวนไปกินข้าวครั้งต่อไปไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเขาจะไม่มีวันปฏิเสธเด็ดขาด

เขาหันไปหาอทิฏฐ์ที่กระโดดโลดเต้นอยู่หลังห้องประหนึ่งตัวเองเป็นผู้ได้รับการคัดเลือก และหันมายกนิ้วโป้งให้สองมือ

“ดีใจด้วยนะ” วินทร์หันมาแสดงความยินดีกับคนที่ยืนยิ้มจนตาหยีอยู่ข้างๆ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วกวาดตามองตามนัยน์ตาสีอ่อนนั้นไป เพราะมันไม่ได้หยุดลงแค่โต๊ะกรรมการหากมองเลยไปตรงมุมห้องซึ่งไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

oooooo

“ฮาร์ฟพรุ่งนี้ว่างไหมไปเที่ยวกัน” เสียงของวินทร์ดังมาจากอีกฝั่งของประตูล็อกเกอร์ ถ้าไม่นับอทิฏฐ์ตอนนี้ในห้องมีแค่เขากับวินทร์แค่สองคนเพราะธีร์ยังไม่กลับจากการโดนศาสตราจารย์สรวิชญ์เรียกไปอบรมและซักฟอกเรื่องที่จู่ๆ ก็จะลาออกโดยไม่ปรึกษากันก่อน

นรกรรีบใส่เสื้อจนเสร็จและปิดประตูตู้เพื่อคุยให้ถนัด “เที่ยว?”

“ใช่ นายว่างนี่ ไปเที่ยวกันฉลองที่สอบผ่านไง”

“มีใครไปบ้างครับ”

“แค่ฉันกับนาย” วินทร์บอก “ไว้ค่อยให้คำตอบหลังผ่าเสร็จก็ได้” แล้วเขาก็เดินแยกตัวไปก่อน

นรกรหันไปหาร่างโปร่งแสงเพื่อขอความเห็นและก็ได้รับคำตอบกลับมาในทันที

“ไปสิครับเขาอุตส่าห์ชวนตั้งขนาดนี้แล้วนะ”

“แล้วคุณล่ะ”

“ให้ผมไปเป็นกขค.ทำไมเล่า”

“แต่…”

“เอาน่า ไปเหอะ” อทิฏฐ์ย้ำ

“แต่…” นรกรยังคงลังเล เมื่อจู่ๆ ร่างตรงหน้าก็อุทานในลำคอพร้อมกับยกมือขึ้นกุมหน้าอก

“อุ๊บ!” เซไปพิงล็อกเกอร์ก่อนจะทรุดฮวบลงบนพื้น

“อทิฏฐ์ คุณเป็นอะไร” นรกรถามด้วยความเป็นห่วงพลางนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า

“ไม่… ไม่มีอะไร ผมแค่…”

“เป็นสิ ต้องเป็นแน่ๆ” นรกรว่า “เกิดอะไรขึ้น หรือว่าคุณนึกอะไรออกอีกเหรอ”

“ปะ… เปล่า” อทิฏฐ์ตอบ นรกรสังเกตเห็นเขากำมือทั้งสองแน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและแสร้งทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่มีอะไรฮาร์ฟ ไม่มีอะไรสำคัญแค่… ช่างเถอะ เอ่อ เมื่อกี้เราคุยกันถึงไหนแล้วนะ อ้อ! เรื่องพี่วินทร์ ตกลงคุณจะไปใช่ไหม”

นรกรสบตาคนตรงหน้า พยายามจะมองผ่านกำแพงบางๆ ที่จู่ๆ อทิฏฐ์ก็สร้างขึ้นมาลึกเข้าไปข้างในที่ซ่อนอะไรบางอย่างไว้ แต่ก็ไม่อาจทำได้สำเร็จและพอรู้แบบนั้นเขาก็รู้สึกปวดใจเหลือเกิน “ถ้าคุณอยากให้ไป ผมจะไป” พูดเพียงเท่านั้นแล้วลุกขึ้นเดินเข้าห้องผ่าตัดไป

อทิฏฐ์ยืนมองตามแผ่นหลังนั้นจนสุดสายตา ก่อนจะรู้ตัวว่ามีใครกำลังมองอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองบนหลังตู้ล็อกเกอร์ แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า เขาละสายตากลับมาและเดินออกประตูไปอีกทาง

เมื่อทุกคนออกไป ห้องล็อกเกอร์ที่น่าจะไม่มีใครกลับปรากฎเงาตะคุ่มของหญิงสาวในชุดขาวนั่งห้อยขาอยู่บนหลังตู้ล็อกเกอร์ ผมที่ยาวปรกหน้าปลิวน้อยๆ ยามเมื่อเธอแกว่งขาไปมาเป็นจังหวะ”

oooooo

เมื่อเข้าห้องผ่าตัดนรกรก็ยังไม่อาจสลัดภาพใบหน้าที่เจ็บปวดและสายตาทุกข์ทรมานนั่นไปจากสมองได้จนเผลอถอนหายใจเสียงดัง

“มีสมาธิหน่อย” เสียงเฉียบขาดของศาสตราจารย์สรวิชญ์ซึ่งซ่อนอยู่หลังผ้าปิดปากปิดจมูกแม้จะไม่ดังแต่ก็ทำให้ทั้งทีมพลอยสะดุ้งไปตามๆ กัน

“ขอโทษครับ” นรกรค้อมศีรษะเท่าที่สภาพซึ่งอยู่ในชุดปลอดเชื้อจะอำนวยเขาสูดลมหายใจเข้าจนสุดเพื่อตั้งสมาธิและเริ่มลงมีดอีกครั้ง ตอนนี้เขาทำการผ่าตัดกับศาสตราจารย์สรวิชญ์สองคน โดยวินทร์ซึ่งเข้ามาก่อนไปผ่าตัดเคสที่ง่ายกว่าเพียงลำพังในห้องข้างๆ

“คิดอะไรอยู่”

“นิดหน่อยครับ” นรกรตอบตามตรง ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโกหก “แค่สงสัยว่าพ่อกับแม่เจอกันได้ยังไง” ถามเสร็จก็ออกตกใจตัวเองไม่น้อย

ทั้งห้องผ่าตัดเงียบกริบ มีเพียงเสียงฟืดฟาดเบาๆ จากการตีลมของเครื่องช่วยหายใจที่ดังเป็นจังหวะ

“เราเจอกันครั้งแรกตอนพ่อเป็นแพทย์ประจำบ้านปีห้าส่วนแม่เขาก็เป็นแพทย์ประจำบ้านปีหนึ่งที่เข้ามาดูพ่อผ่าตัดน่ะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พูดขึ้นเรียบๆ

และนั่นยังความแปลกใจให้ทุกคนที่พากันตั้งใจฟังทันที

“เหรอครับ”

“เราคบกันแค่ปีเดียวแล้วพ่อก็ขอแม่แต่งงานเลย ตอนนั้นพ่อแกล้งทำเป็นหาตำแหน่งก้อนในสมองไม่เจอเลยโทรตามแม่เขามาช่วยน่ะ”

“แล้วยังไงต่อครับ” นรกรแอบนึกขันในใจกับมุกที่อาจารย์ใหม่จะเรียกแพทย์ประจำบ้านปีสองเข้าไปช่วย ถ้าจะเรียกเข้าไปสอนก็ว่าไปอย่าง

“แต่ตำแหน่งมันไม่ได้ยากไง พอแม่เข้ามาแค่แป๊บเดียวก็หาเจอแล้วเขาก็บ่นพ่อ”

“แล้วพ่อว่าไงครับ”

“พ่อก็เลยตอบไปว่า พ่อก็เจอแล้วเหมือนกัน แม่เขาก็ทำหน้างงๆ แล้วถามว่าเจออะไร พ่อเลยบอกไปง่ายๆ ว่า ‘แม่ของลูก’”

ถึงตรงนี้ทุกคนต่างแอบหันไปยิ้มกันคนละทาง เรียกได้ว่าความเสี่ยวนี่มันซึมลึกอยู่ในสายเลือดแพทย์ศัลยกรรมจริงๆ

“ถ้าตกลง หลังจากผ่าตัดเสร็จเดินออกไปจะเห็นกล่องใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะในห้องพัก ในนั้นมีแหวนให้เอามาใส่ซะ แต่ถ้าไม่ก็ให้แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น”

“แล้วแม่ตอบว่าไงครับ” นรกรถามแทนใจคนทั้งห้อง
ศาสตราจารย์สรวิชญ์ไหวไหล่ครั้งหนึ่ง “เขาไม่ตอบด้วยซ้ำ แต่กระทืบเท้าพ่อครั้งหนึ่งแล้วบ่นว่า ‘วางทิ้งไว้แบบนั้นเกิดหายไปจะทำยังไง’ แล้วก็รีบวิ่งออกไปเก็บแหวนก่อนจะกลับมาช่วยพ่อผ่าจนเสร็จ”

นรกรอมยิ้มกับมุมน่ารักของครอบครัวที่เพิ่งเคยได้ฟัง

“รู้ไหมว่าหมอวิลเลียม ออสเลอร์เคยพูดไว้ว่ายังไง” จู่ๆ ศาสตราจารย์สรวิญช์ก็ถามขึ้นมา

นรกรครุ่นคิด และเลือกหนึ่งในบรรดาคำสอนต่างๆ ที่มีอยู่มากมายซึ่งเป็นวลีที่ดังและถูกกล่าวถึงมากที่สุดมาตอบ “การศึกษาโรคภัยไข้เจ็บโดยไม่อาศัยความรู้จากตำราก็เหมือนกับการล่องเรือไปในทะเลโดยปราศจากแผนที่ ในขณะที่การเรียนรู้ด้วยการอ่านตำราโดยไม่ใส่ใจศึกษาผู้ป่วยเท่ากับว่ายังไม่เคยไปทะเลเลยสักครั้ง”

“ความรักก็เหมือนกัน ต่อให้มันมาอยู่ตรงหน้าแต่ถ้าเราไม่เดินเข้าไปหาก็ไม่มีวันได้ครอบครอง” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ต่อท้าย

“อันนี้อ.วิลเลียมก็เป็นคนพูดเหรอครับ” นรกรถาม ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน

“เปล่า พ่อพูดเอง” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอก “จำไว้นะฮาร์ฟ อะไรที่เราลังเลกับมันก็คือไม่ใช่ เพราะถ้ามันใช่เราจะรู้ทันทีว่ามันใช่” แล้วหันมาสบตา แม้จะมองไม่เห็นหน้า แต่นรกรค่อนข้างมั่นใจว่าเบื้องหลังหน้ากากปิดปากและจมูกนั้นคือรอยยิ้มกว้าง “นี่ใช่ไหมคำตอบที่แกอยากถาม”

นรกรพยักหน้า


(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
(ต่อตรงนี้)


“ฮาร์ฟ” เสียงทุ้มเรียกเบาๆ ขณะที่นรกรกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนใบสรุปการผ่าตัดในวันนี้อยู่เพียงลำพังในห้องพักแพทย์

“อะไร” ถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองเพราะเขายังเหลืออีกสองเคสที่ต้องรีบทำให้เสร็จในคืนนี้

หากคนเรียกก็ยังไม่ละความพยายาม “ฮาร์ฟ”

“มีอะไรก็พูดมาสิ”

“ฮาร์ฟครับ” อทิฏฐ์เรียกอีกครั้งพร้อมทั้งแกล้งหยอดเสียงหวานตบท้าย

และมันได้ผล คนที่กำลังสาระวนกับงานเอกสารเหลือบตาขึ้นมองลอดแว่นทันที

“มีอะไร”

คนเรียกอมยิ้มมุมปาก “ไม่มีอะไรแค่อยากอ้อน”

“ไม่ตลกนะ” นรกรพยายามตีหน้าขรึมทำเป็นดุร่างโปร่งแสงที่ทรุดตัวลงนั่งยองๆ เกาะขอบโต๊ะแล้วตะแคงคอมองดูเขา

“ก็ไม่ได้เล่นตลกให้ดูเสียหน่อย”

รอยยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างมีนัยยะทำให้คนที่กำลังนิ่วหน้าเครียดหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย “มีอะไร พูดมาเดี๋ยวนี้”

“มาด้วยกันหน่อยสิ” อทิฏฐ์ทำท่าคล้องแขนรั้งให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะออกเดินนำไปที่ประตู

“อะไรอีกล่ะ คนกำลังทำงานอยู่นะ” ปากบ่นไปแบบนั้นแต่คุณหมอหนุ่มก็ยินยอมลุกเดินตามไปโดยไม่มีท่าทีอิดออด เขาคิดว่าเดี๋ยวนี้ตัวเองค่อนข้างตามใจ ไม่สิ! ต้องเรียกว่าใจอ่อนกับอทิฏฐ์แปลกๆ แต่ทำไมต้องคิดมากด้วยล่ะในเมื่อมันทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวดีขึ้นได้ขนาดนี้ ยิ่งตอนที่ได้เห็นร่างโปร่งแสงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เดินทะลุออกนอกประตูไปจนเขาต้องเรียกไว้ “ช้าหน่อยสิ ผมเดินตามไม่ทัน”

อทิฏฐ์หยุดฝีเท้าพร้อมกับหันมาส่งมือให้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่มีประโยชน์จึงดึงมือกลับ

นรกรรีบก้าวยาวๆ มายืนข้างกัน “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” พลางสบสายตาแฝงแววเศร้าสร้อยที่มองมาพร้อมกับรอยยิ้มจืดจางบนเรียวปากก่อนจะเหลียวมองรอบตัวและเอ่ยขึ้น “อทิฏฐ์ คุณเคยเห็นสายลมไหม”

ร่างโปร่งแสงส่ายหน้า

“แล้วแสงอาทิตย์ล่ะ”

ร่างโปร่งแสงส่ายหน้าอีกครั้ง

“แต่คุณก็รู้สึกได้ใช่ไหมว่ามันมีอยู่จริง”

“แล้วยังไงต่อครับ” อทิฏฐ์ถาม

แต่นรกรกลับส่ายหน้าพร้อมทั้งยิ้มกว้าง “ความลับ”

“ดูพูดเข้า เดี๋ยวนี้มีความลับกับผมนะ ใช่สิ! ผมมันไม่สำคัญนี่” แกล้งกอดอกทำเป็นงอน

“เพราะสำคัญน่ะสิถึงบอกไม่ได้” นรกรว่า

“เอ่อ...”

“เลิกพูดมากแล้วบอกมาได้แล้วว่าจะพาผมไปดูอะไรกันแน่” นรกรตัดบทเมื่อตอนนี้พวกเขาเดินออกจากตึกมาอยู่ในสวนของโรงพยาบาล

“ใกล้ถึงแล้ว” อทิฏฐ์ชี้มือไปที่ม้านั่งตัวเดิมซึ่งเขาเคยมานั่งสองครั้งแล้ว “นั่งก่อน”

นรกรทำตามที่บอก ก่อนร่างโปร่งแสงจะทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง “แล้วไง”

“ทีนี้คุณก็เงยหน้าขึ้น”

นรกรทำตาม เพราะเป็นคืนฟ้าเปิด ทำให้เห็นพระจันทร์และดวงดาวกระจ่างฟ้า ส่องแสงสกาวสีทองดูนุ่มนวลและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน

“สวยไหม”

“สวย” นรกตอบทั้งที่ยังไม่ละสายตา “แล้วทำไมเหรอ”

“คุณเคยเล่าให้ฟังว่าตอนเป็นเด็กเคยมองฟ้าเพราะอยากหนีจากสิ่งที่เป็นอยู่ใช่ไหม”

เขาพยักหน้า

“วันนี้เป็นวันดี คุณได้คุยกับพ่อ ได้ปรับความเข้าใจกับน้องชาย และยังประสบความสำเร็จไปอีกขั้น” อทิฏฐ์บอก “มันอาจไม่ใช่คืนที่ดาวสวยที่สุด แต่อย่างน้อยมันจะเป็นอีกหนึ่งความทรงจำดีๆ ของคุณ มันอาจทดแทนฝันร้ายของคุณไม่ได้ แต่ผมหวังว่ามันจะทำให้คุณยิ้มออกในวันที่หวนกลับมาคิดถึง” เขาละคำว่า ‘ในวันที่ไม่มีผม’ ไว้ในใจ

“ของขวัญ?” นรกรถามหลังจากที่เงียบฟังอยู่นาน

“ขอโทษนะที่ผมให้คุณได้แค่นี้” อทิฏฐ์หลุบตาลงมองพื้นเกรงว่าจะถูกโกรธด้วยเรื่องที่รบกวนเวลาทำงานมาทำอะไรไม่เข้าท่า

เมื่อเสียงทุ้มกระซิบขึ้นเบาๆ ว่า “ขอบคุณ”

เขาเงยหน้าขึ้นมองและได้เห็นดวงดาวที่สวยสุดในค่ำคืนนี้ประดับอยู่ในแววตาและริมฝีปากคนตรงหน้า

“ผมชอบมากเลย”

“ผมก็ชอบเหมือนกัน” อทิฏฐ์ตอบ

นรกรเอียงคอมองร่างโปร่งแสงตรงหน้า แสงจันทร์ทำให้ร่างนั้นจางลงกว่าทุกทีและดูนวลตา แต่ในขณะเดียวกันโครงร่างที่เคยพร่ามัวก็กลับชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว จมูก ปาก และแววตาอ่อนโยนที่มองสบมา

และมันสะกดเขาจนเผลอขยับตัวเข้าไปใกล้

“มีอะไรครับ” อทิฏฐ์ถามด้วยความตกใจเมื่อคนที่ซึ่งปกติจะถอยห่างเบียดตัวเข้ามาจนชิด

“แค่อยากมองหน้าคุณให้ชัดๆ” นรกรตอบ

อทิฏฐ์จึงแกล้งยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นอีก ถ้าหากสัมผัสได้ก็คงรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน “แล้วเป็นไงครับ ตกลงผมหล่อไหม”

คนถูกแกล้งย่นคิ้ว แต่แทนที่จะหลบเหมือนทุกครั้ง วันนี้นรกรอารมณ์ดีเกินกว่าจะยอม เขาเอาคืนด้วยการเป็นฝ่ายเขยิบเข้าไปหาเสียเองพร้อมกับเม้มปากแล้วปล่อยจนเกิดเสียงดัง ‘จุ๊บ’ เบาๆ

ร่างโปร่งแสงตัวแข็งเป็นหินเหมือนโดนคำสาปเมดูซ่า

ในขณะที่นรกรส่งเสียงหัวเราะคิกคักในลำคอแล้วเอนหลังพิงพนักเพื่อมองดูท้องฟ้าให้ชัดๆ สายลมพัดเอื่อยมาต้องผิวเนื้อให้รู้สึกเย็นสบาย

อทิฏฐ์กะพริบตาปริบๆ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนรกรหัวเราะ แทนที่จะเป็นฝ่ายให้ของขวัญ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นตัวเขาเองที่ได้รับมาถึงสองชิ้น

“ร้องเพลงให้ฟังหน่อย” นรกรกระซิบ

“บ่นว่าผมเสียงเพี้ยน แต่ก็ชอบจังเลยนะ”

“จะร้องไหม ไม่ร้องก็เงียบไป”

อทิฏฐ์เบะปากล้อเลียน “ใครจะกล้าว่า ผมแค่จะถามว่าวันนี้คุณอยากฟังเพลงอะไรต่างหาก”

แล้วเขาก็เริ่มต้นฮัมเพลงเพลงนึงในลำคอ น่าแปลกทั้งที่ปกติเพลงนี้เป็นท่วงทำนองเศร้า แต่ทำไมเมื่อมันผ่านริมฝีปากนั้นกลับอบอุ่นหัวใจจนเผลอยิ้มตามได้ทุกครั้ง

oooooo

“เที่ยวให้สนุกนะ”

“ไม่ไปด้วยกันเหรอ” นรกรถามร่างโปร่งแสงที่ยืนโบกมือส่งที่หน้าประตู

“หืมมม” อทิฏฐ์กอดอกทำตาโต “เข้าใจคำว่าไปเดทไหมเนี่ย… ไปได้แล้วคุณเดี๋ยวพี่วินทร์รอนานนะ”

“รออะไรยังไม่ถึงเวลานัดสักหน่อย”

“งั้นคุณก็ไปรอเขาสิ”

“งั้นก็ไปยืนรอเป็นเพื่อนผมที่รถหน่อยสิ”

“ไม่เอาหรอก ผมส่งคุณตรงนี้แหละ เที่ยวให้สนุกนะ”

นรกรกำลังจะดึงประตูปิดแต่แล้วก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ แต่ละครั้งที่อยู่ห่างกันจะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นทุกครั้ง

แต่ครั้งนี้กลับแตกต่าง ไม่ใช่แค่รู้สึกไม่ดี แต่เขารู้สึกเจ็บ… เจ็บจนจุกไปทั้งหน้าอก

นรกรยกมือขึ้นจับหน้าอกแล้วหันกลับมาหาร่างโปร่งแสงที่ยังคงยืนมือไพล่หลังส่งยิ้มบางมาให้

“อทิฏฐ์”

“ครับ”

“เดี๋ยวผมมานะ”

“รู้แล้วน่า”

“อย่าหนีไปไหนนะ”

นัยน์ตาสองคู่สบกันอยู่อึดใจ อทิฏฐ์รู้ดีว่านรกรพยายามจะสื่ออะไรแต่เขาก็เลี่ยงตอบไปทางอื่น “ผมจะหนีคุณไปไหนได้เล่า… ไปได้แล้ว ไป”

“สัญญานะ”

อทิฏฐ์ย่นคิ้ว “อะไรเนี่ย แค่ไปเที่ยวแค่นี้เดี๋ยวตอนเย็นคุณก็กลับมาแล้ว รับรองว่าผมจะนั่งพับเพียบเรียบร้อยนั่งร้อยมาลัยกรรอคุณกลับมา ไม่ทำห้องเละเทะแน่นอน”

แต่นรกรไม่ยอมปล่อยผ่านง่ายๆ “งั้นก็สัญญามาสิ”

อทิฏฐ์เม้มปากอย่างยอมจำนน “ครับ”

เมื่อประตูห้องปิดลง ทั้งห้องก็เหลือเพียงความเงียบ

อทิฏฐ์เหลียวมองไปรอบกายที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของตนแม้แต่น้อย พลันความรู้สึกเจ็บแปลบก็พุ่งขึ้นมาตามหน้าอกอีกครั้ง และครั้งนี้มันเจ็บจนเขาทรุดตัวคุกเข่าลงบนพื้น

เขาหอบหายใจแรงทั้งที่ไม่ลมหายใจ เขายกมือตัวเองขึ้นดู มันอ่อนจางจนแทบจะกลืนหายไปในอากาศ สมองปวดหนึบและอื้ออึงราวกับมีใครเอาระเบิดมายัดไว้ เขายกมือขึ้นกุมศีรษะ ภาพเหตุการณ์หนึ่งไหลเข้ามาเป็นสาย แล้วเขาก็ล้มลง

คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่รู้สึกว่าชีวิตตกต่ำจนถึงจุดที่ไม่อยากมีลมหายใจอยู่ต่อ เมื่อความรักที่มีให้คนเพียงคนเดียวมาร่วมสิบปีมันพังทลาย

แม้จะมีหลายต่อหลายครั้งที่คิดอยากจะสู้ต่อ ไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่เพื่อคนสองคนที่เลี้ยงดูมา และพร้อมจะให้อภัยในความผิดพลาดโง่ๆ ของเขา

แต่ถ้าหากโลกที่กลับไป มันไม่ใช่แบบเดิมอีกต่อไปล่ะ เขาควรจะทำยังไง

oooooo

“คุณหมอคะเกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”

“ครับ” นายแพทย์เงยหน้าขึ้นจากแฟ้มผู้ป่วยขึ้นมองพยาบาลประจำไอซียู ใบหน้าของเธอซีดเผือด

“คือ...” พยาบาลสาวอึกอัก เธอเม้มปากสนิทพร้อมกับพยักเพยิดไปที่หน้าห้องพร้อมกับออกเดินนำไป

เมื่อทั้งสองออกมายืนด้านนอกเธอจึงตอบคำถามของนายแพทย์ “รถของพ่อกับแม่คนไข้ประสบอุบัติเหตุตอนกำลังเดินทางมาที่นี่ค่ะ ดูเหมือนว่าถูกรถที่เมาแล้วขับพุ่งข้ามเลนมาชน”

นายแพทย์เข้าใจทันทีถึงสิ่งที่เธอกำลังจะบอก หากยังมีความหวังแม้จะเพียงริบหรี่ “แล้วยังไงครับ”

“กู้ภัยแจ้งว่าคุณแม่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุค่ะ”

นายแพทย์แทบจะกลั้นหายใจ “แล้วพ่อล่ะครับ”

“ตอนนี้อยู่ที่ER” นางพยาบาลตอบยังไม่ทันขาดคำ เสียงโทรศัพท์ของเขาก็แผดดังขึ้น เขารีบกดรับและผู้ที่โทรมาก็คือภรรยาของเขาเอง

“ว่าไงคุณ… พอดีเลยคุณพยาบาลเพิ่งบอกผมเดี๋ยวนี้เอง คนไข้อาการเป็นยังไงบ้าง”

[ไม่ค่อยดี] เสียงของวิมลภาดังมาตามสาย [คนไข้ยังพอรู้สึกตัวแต่มีเลือดออกในสมองมากและหลายจุด แถมยังอยู่ใกล้กับก้านสมองด้วยค่ะ]

เขาเม้มปากสนิท ก้านสมองเป็นส่วนที่ควบคุมการทำงานที่สำคัญอย่างการเต้นของหัวใจและการหายใจ ทั้งยังอยู่ลึกมากและมีความเสี่ยงสูงในการผ่าตัด ไม่ว่าจะผ่าตัดหรือไม่โอกาสรอดแทบไม่ต่างกัน

เขาเหลือบตามองผ่านกระจกเข้าไปยังร่างที่นอนนิ่ง

แต่ถ้าโอกาสจะมีแม้แค่ 1% มันก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยชีวิตใครสักคน

“คุณสั่งน้องเปิดห้องผ่าตัดเลย ผมจะผ่าเอง”

[คุณแน่ใจนะคะ]

“ผมจะช่วยเขาเอง” นายแพทย์ยืนยันคำเดิมก่อนจะตัดสายแล้วหันมองผ่านกระจกเข้าไปในห้องยังเตียงที่ร่างที่นอนอยู่อีกครั้ง มือทั้งสองกำเป็นหมัดแน่น “ผมจะช่วยพ่อคุณให้ได้”

oooooo

“อทิฏฐ์ ผมกลับมาแล้ว” นรกรร้องเรียกไปในห้องที่มืดสนิท หากก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาเขาเอื้อมมือไปเปิดไฟ มันกะพริบอยู่สองสามครั้งก่อนจะติด นรกรจึงค่อยโล่งอกไปเปราะหนึ่ง

เขาวางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะทำงานที่ข้างหน้าต่างและกวาดตามองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง

“อทิฏฐ์”

พลันหูแว่วได้ยินเสียงคล้ายคนกำลังร้องไห้แทบขาดใจ เขาจึงหยุดและเงี่ยหูฟัง เสียงนั้นดังมาจากหลังบานประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่

“อทิฏฐ์”

ยังคงไม่มีเสียงใดตอบรับ นรกรเดินไปหยุดที่หน้าประตูและยกมือขึ้นกำลูกบิด ความเย็นเยียบเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่แล้วชำแรกผ่านผิวเนื้อจนเขาสะดุ้ง

“อทิฏฐ์” ร้องเรียกออกไปอีกครั้งพร้อมกับผลักประตูเข้าไป

“ครับ” ร่างโปร่งแสงที่คุ้นตายืนอยู่หลังอ่างล้างมือ

“เกิดอะไรขึ้น” นรกรถามพลางกวาดตามองไปรอบๆ ไม่มีวี่แววของสิ่งผิดปกติ แม้แต่เสียงร้องไห้นั่นก็หายไปเช่นกัน

“ไม่มีอะไรนี่ครับ ทำไมเหรอ” อทิฏฐ์ตอบ

“แล้วคุณมาทำอะไรในนี้ ผมเรียกตั้งหลายทีก็ไม่ขานรับ ผมตกใจแทบแย่นะรู้ไหม”

“ขอโทษครับพอดีผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย ส่วนเรื่องที่เข้ามาอยู่ในนี้...” อทิฏฐ์ตอบพลางเหลือบตามองไปในกระจกที่สะท้อนแค่เพียงเงาของผู้สนทนา “ผมแค่ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองหน้าตาเป็นไงก็เลยมาลองส่องกระจกดูอีกทีน่ะ เผื่อมันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่ก็ยังไม่เห็นอะไรเหมือนเดิม แย่จัง” ทำเสียงติดตลกก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้วคุณล่ะ ไปเที่ยวกับพี่วินทร์มาเป็นยังไงบ้าง แหม ปากบอกไม่อยากไปแต่กลับซะดึกเลยนะ”

“สนุกดี” นรกรตอบ “พี่วินทร์ใจดี พาไปกินข้าวดูหนัง ขากลับยังพาแวะร้านเกมส์ด้วย ผมยังงงไม่หายเลยนึกว่าเขาจะพาผมไปสวนสนุก หรือเดินเล่นที่สวนสาธารณะอะไรแบบนี้ซะอีก”

“ก็ดีแล้วไง” อทิฏฐ์ว่า

“จริงเหรอ”

“จริงสิ”

“แล้วทำไมคุณถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ” นรกรถาม ในที่สุดเขาก็หมดความอดทนที่จะเล่นสงครามประสาทนี้ อะไรคือการที่ปากบอกว่าสบายดีทั้งที่แววตานั้นเจ็บปวดแทบขาดใจ

“แบบไหน” อทิฏฐ์ถามกลับ

“คุณบอกให้ผมมองเขาทั้งที่คุณอดทนเดินไปส่งผมที่รถไม่ได้ คุณบอกให้ผมมีความสุขทั้งที่ตัวคุณเองยังยิ้มไม่ออก ทำไมล่ะ ทำไมการกระทำกับคำพูดของคุณมันถึงย้อนแย้งกันไปหมด”

“ก็... ไม่มีอะไรสำคัญนี่”

“หมายถึงผมใช่ไหม ‘ที่ไม่สำคัญ’ คุณถึงไม่ยอมบอกอะไรผมเลย”

“ไม่ใช่นะ ฮาร์ฟ คือ...” อทิฏฐ์พูดไม่ออก เขากวาดตามองคนตรงหน้าอึดใจก่อนจะก้มลงมองมือตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาสีอ่อนอีกครั้ง “คุณดูให้ดีนะ” พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ แล้วยื่นมือออกมาตรงหน้าพยายามจะจับตัว แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศ เขาเม้มปากแน่นกลั้นความเจ็บในหัวใจแล้วขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นอีก ถ้ายังมีเนื้อหนังมังสามันคงเป็นการกอด แต่ด้วยรูปลักษณ์นี้เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร “ได้ยินไหม... รู้สึกอะไรไหม... ไม่เลยใช่ไหม แล้วทีนี้คุณเข้าใจหรือยังว่าทำไม”

นรกรพยักหน้า “ผมเข้าใจ”

“อืม”

“อทิฏฐ์” นรกรเรียกแล้วเป็นฝ่ายสืบเท้าเข้าหาคนที่กำลังถอยออกห่าง ยิ่งหนียิ่งเข้าใจ ในเมื่อเวลาที่มีเหลือร่วมกันเหมือนกับการไหลของนาฬิกาทราย เขาจึงไม่คิดจะรีรออีกต่อไป “แล้วคุณล่ะได้ยินไหม เสียงหัวใจของผม ความรู้สึกของผม คุณไม่รับไว้ไม่เป็นไร ขอแค่อย่าผลักไสมันไปให้คนอื่นก็พอ”

“ฮาร์ฟ...” เสียงของคนฟังเครือต่ำรู้สึกเจ็บไม่แพ้กัน

เขายกสองแขนขึ้นและโอบร่างนั้นไว้ในอ้อมแขน ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความในเมื่อมันดังจนแทบจะตะโกนออกมา “ผมจะเป็นเสียงหัวใจให้คุณเอง”

อทิฏฐ์พยักหน้าแล้วยกมือขึ้นกอดตอบ ถึงแม้ไม่อาจจับต้องได้ แต่เขาสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจอีกดวงที่กำลังเต้นอยู่
...
...
...
...
...
...

ตึกตัก... ตึกตัก...

“คุณหมอคะ”

“มีอะไร” นายแพทย์รีบวิ่งมาดูตามที่นางพยาบาลประจำห้องร้องเรียก

“คนไข้ขยับตัวค่ะ”

นายแพทย์ก้าวเข้ามายืนข้างเตียง เขาคว้ามือที่ยกขึ้นในอากาศราวกับจะไขว้คว้าหาบางสิ่งมาบีบแรงๆ ครั้งหนึ่งพร้อมกับลูบมืออีกข้างลงบนศีรษะราวกับจะเรียกขวัญ “เป็นยังไงบ้าง รู้สึกอยากจะสู้ขึ้นมาแล้วใช่ไหม”

****************************TBC****************

Talk

กว่าจะจบบทนี้เราลุ้นแทบแย่
ยอมรับจากใจว่าบทนี้บีบหัวใจเรามาก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่งได้สองบรรทัดต้องเบรกอารมณ์ไปสองชั่วโมงงี้ แต่ก็จบแฮปปี้นะ (หราาาาา~)

ในส่วนของตอนนี้เราคิดว่าคลายปมเกือบหมดล่ะ ตอนหน้าอาจจะกระตุกทีเดียวแล้วจบ แยก! (แต่ยังไม่จบนะ)

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ค่ะ

ปล. ฝากจากเรื่อง ER เผื่อใครยังไม่เห็น มีตอนต่อท้ายเซอร์วิสนิดหน่อยสำหรับตอนสงกรานต์ในเฟสนะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-04-2016 23:12:56 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เพิ่งเคยได้อ่านครั้งแรก ตอนวันที่ 12 แล้วรู้สึกว่าพลาดที่เข้ามาอ่าน  :serius2:
เพราะว่าสนุกมาก จนต้องอ่านให้จบในคืนนั้น

คนเขียนเขียนได้ดีมากๆ ค่ะ คือรู้ซึ้งถึงชีวิตหมอศัลย์มากกกก
เราทำงานกับหมอศัลย์มา 1 ปี 6 เดือน (เป็นเลขาอาจารย์สาย Vascular)
อารมณ์ประมาณนี้เลย หมอศัลย์ดิบๆ เถื่อนๆ แบบคนเขียน เขียนมาเลย 55+
อาจารย์หมอ ก็คล้ายๆ กับคุณพ่อของนรกรเลย

แต่เอาจริงๆ ว่าไม่เคยที่จะจิ้นหมอศัลย์เลย เพราะพี่แกเถื่อนทุกคนเกินเยียวยา
หาหล่อๆ หน้าตาดีก็ยากมากกกกก
ส่วนใหญ่ชอบไปจิ้นหมอออโถ มากกว่าที่ ม. เก่าเราหมอออโถเค้าคัดหน้าตา

แต่พออ่านเรื่องนี้ เอ้ยย จิ้นหมอศัลย์ได้อ่ะ  :mew1:
นึกละก็อยากกลับไปทำงานกลับหมอศัลย์เหมือนแต่ก่อนเลยค่ะ
แต่พอดีเดินออกมาไกลละ กลับไปไม่ได้แล้ว

ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ รออ่านตอนต่อไปนะคะ


ขอให้พลาดแบบนี้ไปนานๆ นะคะ5555
(ไม่รู้เหรอว่าเราเล่นของ)

นี่เขียนแบบเกรงใจหมอศัลย์ล่ะนะ แต่เพราะรักความ #เด็ดเดี่ยวแบบศัลย์ รองจากหมอER เลยอดที่จะเอาเขียนภาคต่อไม่ได้ค่ะ

ปล. ขอกระซิบนิดนึง หมอออโธหล่อ แต่คาร์ดิโอคือนิพพานค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด