Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]  (อ่าน 279371 ครั้ง)

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
มาตามคำแนะนำ

ออฟไลน์ vascular

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-2
สนุกมากครับ แต่ยังปะติดปะต่อ วินกับทิดไม่ออกเลย

ออฟไลน์ Pawaree

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-2
    • FANPAGE

ออฟไลน์ 1st prince

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนแรกก็ไม่งงนะ แต่พองงเท่านั้นแหละ งงเลย

สนุกมาก ๆ จริง ๆ

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
มารอค่ะ และก็งงกับ timeline ด้วย แต่ยังไม่ได้อ่านใหม่แบบจริงจัง แค่เปิดย้อนไปๆมาๆ

ออฟไลน์ ✿PIERRE

  • ดองนิยายข้ามปี
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-6
เมื่อคืนอ่านยาวรวดถึงตี 5

สนุกมากจริงๆค่ะ

รอตอนต่อไปนะคะ อยากรู้ว่าฮาร์ฟจะทำยังไงเมื่อได้รู้ว่าทิดกับวินทร์คือคนเดียวกัน

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1011
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
ตามอ่านรวดเดียวเลยชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 15 Compensate

“รู้สึกดีขึ้นหรือยัง” วินทร์ถามเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างสั่นเทาในอ้อมแขนสงบนิ่งลงได้พักใหญ่ๆ แล้วหากยังไม่หยุดลูบฝ่ามือหนักๆ ลงบนเรือนผม

นรกรพยักหน้าพลางดันตัวออกห่างจากอกกว้าง เขาก้มหน้าจนคางชิดอกเพื่อแอบใช้หลังมือเช็ดน้ำตา แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ถูกมือใหญ่รั้งให้เงยหน้าขึ้นสบตา “พี่วินทร์…"

“อย่าดื้อน่า” เพราะเริ่มหงุดหงิดที่ถูกปัดป้องเขาจึงถือวิสาสะถอดแว่นคนตรงหน้าออกแล้วยึดเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ

“พี่วินทร์จะทำอะไร ผมมองไม่เห็น”

“ตานายแดงหมดแล้ว ถ้ายังไม่เลิกขยี้พรุ่งนี้จะบวมตุ่ยแล้วทุกคนก็จะรู้ว่าเมื่อคืนนายร้องไห้มา” วินทร์บอก “นายอยากให้ทุกคนรู้เหรอ… ถ้ามองไม่เห็นก็จับชายเสื้อฉันไว้สิ” ต่อตอนท้ายเมื่อเห็นคนตรงหน้านิ่งไปราวกับจะยอมฟัง

แต่เปล่าเลย ตอนนี้นรกรแทบไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าวินทร์พูดอะไร เพราะในความพร่ามัวของสายตานั้นมันกลับทำให้เขาเห็นเงาของคนที่เพิ่งจากไปซ้อนทับลงมาบนใบหน้าวินทร์ซึ่งตอนนี้ดูลางเลือนเหมือนเป็นภาพสเกตซ์

มือเรียวกำภาพวาดในมือแน่นขึ้นอีก ใช่ว่าเขาไม่เคยระแคะระคายถึงความคล้ายกันของทั้งสอง แต่เพราะเขาคิด... หรือจะใช้คำว่าหลอกตัวเองเลยก็ได้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ที่คนๆ หนึ่งจะปรากฏตัวให้เห็นสองที่พร้อมๆ กัน

มันคืออะไร… จะเป็นไปได้เหรอ… นี่เขาตาฝาดหรือสมองเลอะเลือนกันแน่ ไม่มีทางที่อทิฏฐ์กับพี่วินทร์จะเป็นคนๆ เดียวกันได้… ไม่มีทาง เขาไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด

หรือต่อให้มีความเป็นไปได้สัก 1 ในล้าน วินทร์ก็ไม่ใช่อทิฏฐ์ของเขา

ความคิดนั้นดึงให้ได้สติและสะบัดตัวเองหลุดจากความอบอุ่นของอ้อมแขนอีกฝ่าย “พอได้แล้วครับพี่วินทร์” นรกรพูดเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยเพื่อยืนยันในเจตนาของตน “ผมไม่เป็นอะไรแล้ว ขอแว่นคืนด้วยครับ”

“ไม่คืน” วินทร์พูดอย่างไม่ยี่หระกับท่าทีที่พยายามจะตีตัวออกห่าง “จนกว่านายจะยอมตกลงให้ฉันไปส่งที่ห้อง”

“งั้นไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองทั้งแบบนี้ก็ได้” นรกรตอบหนักแน่น เขาไม่ต้องการให้ภาพของวินทร์มาทับซ้อนกับสิ่งที่อทิฏฐ์เคยทำ

คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง “แน่ใจนะ”

“ครับ” นรกรตอบพร้อมกับลุกขึ้นยืนซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี

ร่างโปร่งยัดกระดาษใส่กระเป๋า กลับหลังหันจะออกเดิน แต่เพราะสายตาที่สั้นถึง 500 ทำให้ภาพตรงหน้าเป็นแค่จุดสีพร่ามัวจนพาให้ตาลาย เขาผงะถอยหลังไปครึ่งก้าวเพราะสมองเริ่มเบลอ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ขายาวก้าวออกไปข้างหน้าอย่างไม่มั่นคง เขาขยับไปช้าๆ ราวกับคนตาบอดคลำทางจนขาข้างหนึ่งไปสะดุดกับเก้าอี้ยาวที่วางอยู่ชิดกำแพงอีกฝั่ง พยายามกัดปากแน่นเพื่อกั้นเสียงร้อง แต่ความเจ็บปวดก็แอบเล็ดลอดออกมาจนได้

“โอ๊ย!”

“ดื้อจริง” วินทร์ส่งเสียงในลำคอคล้ายจะดุหากไปแฝงไปด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับรีบพุ่งเข้าไปประคองหลัง “เจ็บไหม”

“ไม่เป็นไรครับ” นรกรตอบทั้งที่ไม่ยอมหันมามองหน้าซ้ำยังขืนตัวออกห่าง

วินทร์พ่นลมออกจมูกพลางดึงแว่นออกมาจากกระเป๋าเสื้อและเอื้อมข้ามไหล่ไปสวมคืนให้ “ฉันยอมแพ้นายแล้ว กลับห้องดีๆ นะแล้วพรุ่งนี้เจอกัน” พร้อมกับก้าวถอยหลังออกมา

นรกรนึกโล่งอก แต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำหนักๆ ไปอีกทางก็รู้สึกแปลกใจจนอดร้องถามออกไปไม่ได้ “แล้วนั่นพี่วินทร์จะไปไหนครับ”

“ไปนอนที่ห้องพักแพทย์” วินทร์ตอบตามตรง “เราอยู่หอเดียวกัน นายจะให้ฉันทำเป็นไม่สนใจระหว่างที่เดินตามหลังนายไปได้ยังไง”

นรกรพูดไม่ออก ในขณะที่เฝ้ามองแผ่นหลังนั้นเคลื่อนห่างออกไปช้าๆ นัยน์ตาสีอ่อนหลุบลงมองปลายเท้า มือทั้งสองกำเป็นหมัดแน่นก่อนจะตัดสินใจออกเดิน

แต่ทันทีที่ยกขาขึ้นจากพื้น ความรู้สึกเจ็บแปลบก็แล่นขึ้นมาจากหน้าแข้งถึงโคนขาจนต้องทรุดตัวลงบนม้านั่งตัวที่เป็นสาเหตุนั่นเอง

นรกรกำลังจะก้มตัวลงถกขากางเกงขึ้นดูบริเวณที่เจ็บ เมื่อเป็นอีกครั้งที่มือของอีกคนไวกว่า

“เป็นอะไร” วินทร์ถาม เขาหันกลับมาเห็นตอนที่ทรุดตัวลงนั่งพอดีจึงรีบวิ่งกลับมาดู

“ไม่มีอะไรครับ” นรกรตอบ

แต่ร่างสูงไม่ฟังซ้ำยังนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า มือใหญ่ยกขาข้างที่เจ็บขึ้นพาดบนหัวเข่าตัวเอง “ขอฉันดูหน่อย”

“พี่วินทร์ ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ” นรกรพยายามดึงขากลับแต่ก็ไม่อาจสู้แรงไหว ซ้ำยิ่งยื้อยิ่งเจ็บ เขาจึงจำใจยอม

วินทร์บรรจงถอดรองเท้าออกอย่างเบามือแล้วเริ่มต้นตรวจดูอาการ มันดูปกติดีจนกระทั่งเขาร่นขากางเกงขึ้นไปเห็นรอยแดงเป็นปื้นยาวจากการกระแทกตรงตำแหน่งหน้าแข้งไปจนถึงหัวเข่า

“แค่ช้ำๆ เองครับ” นรกรรีบบอก เมื่อวินทร์ใช้ปลายนิ้วสัมผัสไปรอบๆ เพื่อตรวจดูอาการบวมและหารอยแผลอื่นๆ เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บเพียงแต่มันร้อนวาบไปทั่วตรงจุดที่นิ้วซึ่งทั้งใหญ่และสากนั่นสัมผัส ไม่เคยมีใครมาโดนเนื้อตัวเขามากขนาดนี้มาก่อนนั่นจึงทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก

“เดินไหวไหม”

“ไหวครับ” นรกรรีบดึงขามาวางลงบนพื้นและคว้ารองเท้ามาสวม เมื่อมือใหญ่แย่งเชือกรองเท้าไปผูกเสียเองพร้อมทั้งช่วยจัดขากางเกงเข้าที่

“ฮาร์ฟ” วินทร์เรียกเบาๆ ทั้งที่มือยังดึงโบของเชือกรองเท้าให้เท่ากันทั้งที่ไม่จำเป็น “ให้ฉันไปส่งเถอะนะ… ไม่สิ ก็แค่เดินไปด้วยกันเฉยๆ เหมือนที่เราเคยทำมาตลอดห้าปีไง”

นรกรสบตาสายคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอึดใจ ก่อนจะพยักหน้า เขารอให้วินทร์ลุกขึ้นก่อนจึงลุกตาม

แวบหนึ่งที่เขาเห็นวินทร์เหมือนจะยื่นมือออกมาข้างหน้าคล้ายจะช่วยประคองก่อนจะดึงกลับไปกำแน่นไว้ข้างตัว และวินทร์ก็ไม่พูดอะไรอีกเลยในระหว่างที่เดินคู่กันไปจนกระทั่งถึงหน้าห้อง

“ขอบคุณครับ” นรกรหันไปบอกกับคนที่ไม่ทีท่าว่าจะยอมขยับไปไหน เขาดึงประตูปิดก่อนจะแนบศีรษะลงกับบานประตูซึ่งทั้งแข็งและเย็นเฉียบ หากก็ไม่อาจกั้นน้ำเสียงอ่อนโยนที่กระซิบขึ้นด้านหลังนั้นได้

“ฝันดีนะฮาร์ฟ”

มือเรียวกำลูกบิดแน่น หากก็ยังไม่เข้าใจหัวใจตัวเองว่าอยากทำอะไร สุดท้ายเขาก็ได้แต่ยืนฟังเสียงฝีเท้าของวินทร์ที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปจนเงียบลงในที่สุด

นรกรหันหลังพิงประตูแล้วล้วงเอาภาพในกระเป๋าขึ้นมาเปิดออกดูอีกครั้งก่อนจะดึงมากอดแนบอกพร้อมๆ กับที่ร่างโปร่งทรุดตัวลงนั่งบนพื้น

หรือนี่คือสาเหตุว่าทำไมอทิฏฐ์ถึงไม่ยอมเล่าความจริงให้เขาฟัง เพราะรู้ใช่ไหมว่าเขาไม่เคยรักวินทร์

oooooo

“พี่วินทร์มาทำอะไรแต่เช้าครับ” นรกรซึ่งยังอยู่ในชุดนอนถามคนที่มายืนยิ้มหน้าแป้นแล้นอยู่หน้าประตูตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่

“ฉันกลัวนายจะไปสะดุดอะไรล้มอีกน่ะสิ วันนี้วันจันทร์คนไข้ที่มาตรวจ OPD ยิ่งเยอะๆ อยู่ แถมมีผ่าตัดอีกตั้ง 4 เคส”

นรกรเหลือบตามองนาฬิกาติดผนังอีกครั้ง และมันเพิ่งจะหกโมงตรง เมื่อคืนเขาเอาแต่คิดเรื่องของอทิฏฐ์กับวินทร์จนเพิ่งจะหลับได้เมื่อตอนใกล้รุ่งนี่เอง โดยสรุปกับตัวเองง่ายๆ ว่าแค่คนหน้าคล้ายและเขาจะไม่มามัวคิดไร้สาระว่าทั้งสองคนเป็นเดียวกันอีก ถ้าพี่วินทร์เป็นอทิฏฐ์จริงๆ เขาก็คงจะเดินเข้ามาบอกกันดีๆ แล้ว จะมามัวทำไขสือให้เสียเวลาทำไม ถึงก่อนที่อทิฏฐ์จะหายไปจะพยายามบอกว่าชื่อวินทร์ แต่คนชื่อวินทร์ก็ไม่มีคนเดียวในโลกสักหน่อย หรือบางทีเขาอาจจะอ่านปากผิดก็ได้ และความคิดนี้ก็ช่วยให้เขาทำตัวเป็นปกติกับวินทร์ได้ง่ายขึ้น “แต่นี่ก็เช้าไปหรือเปล่าครับ”

“ไม่หรอกเพราะเราต้องกินข้าวเช้าด้วยกันก่อน”

นี่ไงล่ะ ความแตกต่างชัดๆ ข้อที่หนึ่ง อทิฏฐ์ใจดีไม่เคยขัดใจเขา ในขณะที่พี่วินทร์ชอบจู้จี้แกมบังคับแถมยังดุอีกต่างหาก “ผมไม่…”

“มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวัน” วินทร์ชิงพูดขึ้นก่อน “นายอยากเข้าห้องเย็นไปพบอาจารย์ธนบดีอีกรอบเหรอ”

นรกรกวาดตามองคนตัวโตที่คงจะไม่ยอมถอยง่ายๆ “ถ้าพี่วินทร์ยืนยันแบบนั้นก็ต้องรอก่อนนะครับเพราะผมเพิ่งตื่นยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันเลย”

“คงรอไม่ได้แล้วล่ะ” วินทร์ว่าพร้อมกับยกถุงใส่แก้วกาแฟ 2 แก้วขึ้นตรงหน้า “เดี๋ยวน้ำแข็งละลายจะไม่อร่อยนะ”

นรกรหน้ามุ่ย “เชิญครับ” เขายกมือขึ้นจะดันประตูห้องเปิดกว้างขึ้นเพื่อให้เข้ามาเมื่ออีกฝ่ายร้องขึ้น

“เดี๋ยวก่อน” วินทร์ถอยหลังไปสองก้าวและเหลียวมองซ้ายขวา “เอาล่ะ เปิดได้”

นรกรมองคนตรงหน้างงๆ ก่อนจะผลักประตูเปิดออกไปจนสุด “ตามสบายนะครับ อยากนั่งตรงไหนก็ได้ ขอผมไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะ” แล้วเขาก็รีบผลุบเข้าห้องน้ำไป

“พรุ่งนี้ให้ฉันโทรปลุกไหมเราจะได้ไม่เสียเวลาแบบวันนี้อีก” วินทร์ร้องถามตามหลัง

“ไม่เป็นไรครับ โทรศัพท์ผมตั้งปลุกได้” นรกรตะโกนตอบออกมา

“งั้นพรุ่งนี้หกโมงตรงฉันมารับเหมือนเดิมนะ”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากันเริ่มไม่แน่ใจว่าเผลอไปตอบตกลงตอนไหน

แต่วินทร์ก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาได้มีเวลาทักท้วง “ตกลงตามนี้นะ”

นรกรคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดน้ำที่เกาะพราวเต็มหน้า และรีบเปิดประตูออกมา ตั้งใจจะมาเคลียร์ให้รู้เรื่อง แต่เขาก็ลืมทุกถ้อยคำไปเสียสนิทเมื่อเห็นร่างสูงยืนเท้าแขนมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ส่องผ่านผ้าม่านสีชมพูที่ปลิวไหวเบาๆ ตามแรงลมกระทบร่างของเขาให้ดูสว่างและออกสีทองอ่อนๆ

“อทิฏฐ์?”

“อะไรเหรอ” ร่างสูงหันหน้ามา นรกรจึงได้สำนึกอีกครั้งว่าตนดูผิดไป เพราะมันช่างเหมือนกันเหลือเกินกับเช้าวันสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน

“ปะ เปล่า” นรกรส่ายหน้า “ผมแค่จะบอกว่าแสงอาทิตย์มันส่องพี่วินทร์ไม่ร้อนเหรอครับ”

“ยังเช้าอยู่ไม่ร้อนหรอก” วินทร์ตอบ “ขอยืมใช้ไมโครเวฟหน่อยนะ” พลางเปิดกระเป๋าและหยิบอะไรสักอย่างไปอุ่นในไมโครเวฟก่อนจะเดินไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบเครื่องดื่มที่แช่รอไว้ออกมาวางบนโต๊ะ

นรกรมองตามคนที่เดินไปเดินมาในห้องของตนอย่างคุ้นเคยทั้งที่เพิ่งจะเคยเข้ามาเป็นครั้งแรก อยากจะเอ่ยปากถาม แต่ลึกๆ ในใจก็กลัวคำตอบจึงได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้และเดินตามไปนั่งลงตรงข้ามบนโต๊ะอาหาร

“พี่วินทร์ทำอะไรเหรอครับ”

“นายไม่ชอบที่ๆ คนเยอะๆ ใช่ไหมล่ะ แถมข้าวเช้าก็ไม่ชอบกินฉันก็เลยเอาแซนด์วิชมา จริงๆ จะกินเลยก็ได้นะ แต่ฉันว่าอุ่นให้ชีสมันละลายหน่อยอร่อยกว่า”

หน้าที่ตึงอยู่ของนรกรค่อยคลายออกเมื่อได้ยินชื่อของโปรด และเขาก็ลืมเรื่องที่หงุดหงิดเพราะโดนกวนแต่เช้าไปเสียสนิทเมื่อวินทร์วางจานใส่แซนด์วิชหอมฉุยลงตรงหน้า

“พี่วินทร์ชอบกินไข่กับชีสเหรอครับเห็นซื้อมาแต่ไส้นี้”

“แล้วนายชอบหรือเปล่าล่ะ”

“ครับ”

“ฉันก็ชอบเหมือนกัน”

“หมายถึงไส้นี้น่ะเหรอครับ”

วินทร์เท้าแขนลงบนโต๊ะ “เปล่า ฉันหมายถึงตอนที่นายกินน่ะ” รอยยิ้มกว้างกระจายเต็มหน้าเมื่อเห็นคนตรงหน้าอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง และดูท่าจะไม่โกรธเขาแล้วเพราะเจ้าตัวหยิบแซนด์วิชไปกัดคำโตจนไส้ทะลัก “มันดูมีความสุข ดูน่าอร่อยจนฉันรู้สึกอยากกินตามไปด้วย”

“หุ่นผอมๆ อย่างผอมเนี่ยนะครับ ถ้าตัวโตๆ อย่างพี่วินทร์ล่ะยังว่าไปอย่าง”

“ไม่หรอก ต้องแบบนายน่ะแหละ”

“ทำไมล่ะครับ”

“นั่นน่ะสิ ทำไมกันนะ” วินทร์อมยิ้มมีเลสนัยน์พลางเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปใช้หัวแม่โป้งเช็ดเศษขนมปังที่ติดตรงมุมปากให้

นรกรนิ่งไปเล็กน้อยด้วยความเขินจะขยับหนีก็ไม่กล้าจึงเป็นเหตุให้คนตรงหน้าได้ทีแกล้งจิ้มแก้มเล่นไปอีกทีโดยทำทีเป็นใช้หลังมือช่วยเช็ดน้ำที่หยดลงมาจากเรือนผมสีอ่อน นาทีนี้วินทร์นึกอยากจะกระโดดข้ามโต๊ะแล้วรวบตัวมากอดให้รู้แล้วรู้รอด หากก็ทำได้แค่ใช้ปลายนิ้วขยี้ปอยผมเปียกชื้นแล้วช่วยจัดให้เข้าที่ก่อนจะปล่อยมืออย่างแสนเสียดาย

“ฉันใส่ชีสเป็นพิเศษมาให้สองแผ่นเลยนะ แบบโลว์แฟตด้วยรับรองไขมันไม่ขึ้นแน่” เขาชวนคุยต่อเพื่อซ่อนความคิดฟุ้งซ่านในหัว

“เดี๋ยวนี้เซเว่นมีให้เลือกได้แบบนี้ด้วยเหรอครับ ดีจัง"
วินทร์ไม่ตอบคำถามนั้น ได้แต่อมยิ้มมุมปาก กำลังจะหยิบกาแฟออกจากถุงเมื่ออีกคนมือไวกว่าและฉวยเอาแก้วที่เขาตั้งใจซื้อมากินเองไปเสียแล้ว “อันนั้นเอสเปรสโซ ขมนะ นายกินได้เหรอ ฉันว่านายกินนมไปเถอะมีประโยชน์ด้วยจะได้โตเร็วๆ” เอื้อมมือออกไปจะเอาคืนแต่มือเรียวที่กุมแก้วไว้กลับขยับยกหนี

“ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับ”

“เตือนแล้วนะ” วินทร์หัวเราะในลำคอ เมื่อเห็นคนตรงหน้าย่นปากหลังจากดูดเข้าไปอึกใหญ่ “เพราะฉันสั่งพิเศษเพิ่มกาแฟสองช็อต ปกติฉันเห็นนายสั่งแต่ลาเต้นี่”

“ผมกินได้ครับ”

วินทร์ยิ้มขันกับคนที่ยังไม่เลิกดื้อพลางดึงแก้วกาแฟไปจากมือ “เอามานี่สิ แล้วทำแบบนี้นะ” เขายกแก้วนมขึ้นซดกะให้พร่องไปสัก 1 ใน 3 แล้วเทกาแฟลงไปผสม ก่อนจะเทกลับมา ทำสลับกันไปมาอยู่สามสี่ครั้งจนคิดว่าน่าจะเข้ากันดีจึงส่งคืน “ลองชิมสิว่าโอเคไหม”

“อร่อยครับ”

“แค่เอานมผสมกับกาแฟ ไม่ต้องทำหน้าตื่นตาตื่นใจขนาดนั้นก็ได้มั้ง” วินทร์หลุดขำออกมาในที่สุดกับคนที่ทำตาเป็นประกายราวกับเขากำลังเล่นแร่แปรธาตุ
“ก็ผมไม่คิดนี่นาว่าแค่เทๆ รวมกันจากที่ขมๆ มันจะออกมากลมกล่อมพอดี” นรกรยิ้มเขิน “ให้ผมทำเองก็ไม่ได้หรอกนะ หกหมด แล้วของแบบนี้ต้องใช้พรสวรรค์ด้วยนะ พี่วินทร์ต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่ามีคนที่แค่ทอดไข่ดาวยังไหม้ด้วย”

“ใคร?”

“พี่ปอ” ตอบไปแล้วก็เหลือบมองคนตรงหน้าเล็กน้อยเพราะกลัววินทร์จะคิดว่าเขายังตัดใจไม่ได้

“แต่ฉันทอดได้ทุกแบบนะ” วินทร์ยักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง “ไข่แดงสุกไม่สุก นิ่มๆ หรือกรอบๆ นายชอบแบบไหนล่ะ”

“ผมไม่ชอบกินไข่ดาว”

“งั้นเอาไข่ตุ๋นไหมล่ะ วันหลังจะทำให้กินรับรองว่าชิมแล้วจะติดใจ”

“พี่วินทร์ทำอาหารเป็นด้วยเหรอครับ เก่งจัง”

วินทร์ไหวไหล่ “ถ้าจะมีอะไรที่ฉันทำไม่ได้ก็เรื่องจีบนายนี่แหละ”

“พี่วินทร์” นรกรสบตาคนตรงหน้าแต่เขาไม่มีทีท่าว่าจะล้อเล่น

“ไหนๆ ก็พูดขึ้นมาแล้ว ฉันก็ขอทำให้มันชัดเจนไปเลยละกันเพราะตอนที่นายถามว่าที่ฉันทำทั้งหมดนี้ให้นายเพราะอะไรนั่นฉันว่ามันยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่” วินทร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับมองตอบสายตาคนตรงหน้า “ฉันชอบนาย ฮาร์ฟ”

“แต่ผม…”

วินทร์ยกมือขึ้นปิดริมฝีปาก “อย่าเพิ่งตอบได้ไหม ช่วยกลับไปคิดดูอีกที แค่ขอโอกาสให้ฉันได้ดูแลนาย อย่างน้อยก็จนกว่านายจะเจอใครที่อยากให้ดูแล แล้วพอถึงตอนนั้นฉันจะเป็นฝ่ายไปเอง”

“แต่มันเจ็บนะครับ แล้วก็เสียเวลาด้วย ผมว่าพี่วินทร์เอาเวลาที่อยู่กับผมไปมองหาคนอื่นดีกว่า”

“ฉันรู้ว่ามันเจ็บ” วินทร์ยอมรับ “แต่ฉันจะเจ็บกว่านี้ถ้านายทำเป็นไม่สนใจหรือผลักไสฉันไปให้คนอื่น”

นรกรสะอึก มันเหมือนกับคำที่เขาพูดกับอทิฏฐ์ไม่มีผิด เขาหลุบสายตาลงต่ำ มือทั้งสองกุมแก้วกาแฟแน่นไม่รู้จะให้คำตอบว่าอะไร

“ไม่ต้องคิดมากนะฮาร์ฟ ขอแค่นายช่วยรับความหวังดีนี้ไปบ้างฉันก็ดีใจแล้ว” วินทร์ยิ้มบางพลางลุกขึ้นยืน อย่างที่พูดไป เขาไม่ได้อยากคาดคั้น ไม่ได้อยากทำให้ลำบากใจ ก็แค่อยากจะดูแลและเห็นคนตรงหน้ามีความสุขบ้างก็แค่นั้นเอง “อิ่มแล้วก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวสาย”

oooooo

(ต่อด้านล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

นรกรเดินเข้ามาในห้องตรวจ ทั้งๆ ที่มันก็เป็นห้องเดิมที่เขานั่งมาตลอดห้าปี แต่ทำไมวันนี้มันกลับไม่เหมือนเดิม ทั้งที่เสียงจากภายนอกแสนจะอื้ออึงแต่ในนี้กลับเงียบเหงาจนดูเศร้า ยิ่งเมื่อเขามองไปยังเก้าอี้ว่างเปล่าตรงมุมห้องหัวใจก็รู้ทันทีว่าคิดถึงอทิฏฐ์มากแค่ไหน

น่าแปลกทั้งที่น่าจะเจ็บจนอยากร้องไห้ แต่รอยยิ้มเล็กๆ กลับผุดขึ้นตรงมุมปากเมื่อเห็นเงาของใครคนนั้นซ้อนทับขึ้นมาทำท่าทางล้อเลียนตอนเขาตรวจคนไข้

และนั่นคือสัญญาที่ให้กันไว้… เขาจะยิ้มให้ได้ในวันที่คิดถึง

“เราทำได้” บอกกับตัวเองอย่างหนักแน่นก่อนจะนั่งลงและเริ่มต้นเรียกคนไข้คิวแรกเข้ามา

เมื่อคนไข้คนสุดท้ายคล้อยหลัง นรกรเหลือบตามองนาฬิกาเห็นยังมีเวลาเหลืออยู่พอสมควรจึงเปิดคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาลและเข้าโปรแกรมงานแพทย์เพื่อดูผลเลือดออนไลน์เช้าวันนี้ของลลิน ผลอยู่ในเกณฑ์ปกติเป็นที่น่าพอใจ เขาคลิกดูข้อมูลเก่าๆ ย้อนกลับไปเรื่อยๆ เพื่อทบทวนการรักษาที่ผ่านมา พลันก็นึกอะไรขึ้นได้ว่าวินทร์เคยเล่าให้ฟังว่าป่วยนอนโรงพยาบาลสมัยเป็นแพทย์ใช้ทุน ประวัติการเจ็บป่วยนี่แหละที่จะช่วยยืนยันได้แน่ๆ ว่าอทิฏฐ์กับวินทร์เป็นคนเดียวกันไหม

แต่นั่นมันก็หลายปีแล้วนะ… การที่วิญญาณจะวนเวียนอยู่มานานขนาดนั้นมันเป็นไปได้ แต่จะ… หลงมาอนาคต หรือย้อนกลับไปอดีตมันจะเป็นไปได้เหรอ

นรกรขยับนั่งตัวตรง เขารัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์และกดค้นหาอยู่อึดใจข้อมูลที่ต้องการก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

ใช่จริงๆ วินทร์เคยป่วยนอนแอดมิทอยู่ที่นี่เมื่อแปดปีก่อน เขาขยับเมาส์ไปวางที่แถบแสดงรายชื่อ และเพียงแค่กดลงไปครั้งเดียวก็จะรู้ข้อมูลทั้งหมด

มือเรียวกำเมาส์แน่น ความคิดตีกันในหัววุ่นวาย ใจหนึ่งก็อยากรู้ แต่อีกใจก็คิดว่ารู้ไปแล้วจะช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ต้องเป็นแบบไหนถึงจะดี ระหว่างเป็นแค่คนที่หน้าตาคล้ายกันหรือเป็นคนๆ เดียวกัน

นรกรเม้มริมฝีปากแน่น นิ้วชี้ขยับยกขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะกดคลิก… แล้วหน้าต่างก็ถูกปิดลงไป

เขาตัดสินใจแล้ว ไม่ใช่ไม่อยากรู้ แต่มันคงจะดีกว่าถ้าเขาได้เอ่ยปากถามกับเจ้าตัวเอง

ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั่นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับที่มันถูกเลื่อนเปิดออกปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์

“ฮาร์ฟ”

นรกรหันไปเห็นร่างสูงใหญ่ของคนที่กำลังครุ่นคิดยืนอยู่ที่กรอบประตู “ครับ”

“เสร็จหรือยัง เมื่อกี้ไอ้พัฒโทรมาบอกให้ช่วยไปดูคนไข้ใน OR หน่อยน่ะ เหมือนเนื้องอกจะก้อนใหญ่กว่าที่คิด นายจะไปด้วยกันไหม” วินทร์ถาม นรกรยังมีท่าทางลังเลเขาจึงเพิ่มข้อตกลง “แล้วจะได้แวะไปดูลลินก่อนไปกินข้าวด้วยกันไง”

“ขอผมปิดคอมก่อนนะครับ”

“ฉันรอตรงนี้นะ”

“ครับ”

“มีอะไรจะพูดกับฉันหรือเปล่า” วินทร์ถามคนที่เอาแต่เหลือบมองเขาแต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรสักที

นรกรเหลียวมองพื้นที่ว่างเปล่าข้างตัวราวกับจะขอกำลังใจ “ผมแค่สงสัยน่ะครับว่าตอนที่พี่วินทร์แอดมิทนอนโรงพยาบาลเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นพี่วินทร์ป่วยเป็นอะไร”

วินทร์นิ่วหน้านึกอยู่อึดใจ “ถามทำไมเหรอ”

“ไม่มีอะไรครับ แค่นึกขึ้นได้ก็เลยถาม ตกลงว่าพี่วินทร์เป็นอะไรครับ”

“เป็น...”

ตอนนั้นเองที่ศาสตราจารย์สรวิชญ์ซึ่งวันนี้มาช่วยออกตรวจด้วยเดินเข้ามาหา ทั้งสองจึงหยุดบทสนทนาไว้แค่นั้น

“วินทร์”

“ครับอาจารย์”

“ฮาร์ฟด้วย อยู่กันพร้อมหน้าพอดีผมมีเรื่องจะคุยด้วย”

“อะไรครับอาจารย์”

“ผมทำหนังสือถึงโรงพยาบาลต้นสังกัดของคุณเรื่องจะดึงตัวมาเป็นอาจารย์ที่นี่แล้วนะ ทุกอย่างเรียบร้อยดี”

“ขอบคุณครับ”

“แต่ติดปัญหานิดหน่อย”

“อะไรหรือครับ” วินทร์มีสีหน้าวิตกขึ้นมาเล็กน้อย

“เรื่องสัญญาใช้ทุนที่ส่งคุณมาเรียนเฉพาะทางน่ะ”

“ผมมีสัญญาอยู่ห้าปี” วินทร์บอก

“ผมยื่นเรื่องขอชดใช้ทุนเป็นเงินไปแล้ว แต่ทางนั้นก็ยังยืนยันจะปฏิเสธ เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือบุคลากรไม่ใช่เงิน เราเลยตกลงเจอกันครึ่งทางคุณต้องกลับไปทำงานใช้ทุนให้เขาสองปีนะจึงจะมาเริ่มงานที่นี่ได้” ศาสตราจารย์สรวิชญ์หน้าเครียดขึ้นเล็กน้อย จริงอยู่ว่าเขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องลงเอยแบบนี้ แต่ก็ยังอดเสียดายช่วงเวลาตรงนั้นไม่ได้

“แค่นี้ก็ขอบคุณอาจารย์มากแล้วครับ ส่วนเรื่องเงิน…”
“ผม ไม่สิ! ทางเราก็ไม่อยากได้เงินจากคุณเหมือนกัน เอาเป็นว่าคุณติดหนี้เราเพิ่มอีกสามปีนะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอก “ไปเซ็นรับทราบสัญญาด้วย”

“ไม่มีปัญหาครับ”

“แล้วธุระของผมล่ะครับอาจารย์” นรกรถามเมื่อศาสตราจารย์สรวิชญ์ทำท่าจะผละไป

“ก็เรื่องนี้แหละ”

“ยังไงครับ”

“ก็ในระหว่างที่หมอวินทร์ไม่อยู่คุณต้องรับผิดชอบสอนแทนในส่วนของเขาด้วย ผมคงไม่ถามหรอกนะว่าไหวไหมเพราะคุณไม่มีทางเลือก”

“ครับ” นรกรรับคำ “อาจารย์ครับ เรื่องนั้นผมไม่มีปัญหาแต่ผมขอถามอะไรอาจารย์เรื่องหนึ่งได้ไหมครับ”

“อะไรล่ะ”

“เรายกเลิกกฏที่ให้เรียกว่า ‘อาจารย์’ ได้ไหมครับ” นี่เป็นสิ่งที่เขาอยากพูดมาตลอดแต่ก็ไม่มีความกล้าพอสักที แต่ว่าจากนี้เป็นต้นไปเขาจะพยายามพูดให้มากขึ้นตามสัญญาที่ให้ไว้กับอทิฏฐ์ และเขาก็คิดว่าควรเริ่มจากเรื่องนี้ก่อนเลย

ไม่ใช่แค่ศาสตราจารย์สรวิชญ์ที่แปลกใจ วินทร์เองก็พลอยสนใจไปด้วย “ทำไม”

“เพราะต่อจากนี้เราคงพบกันที่ทำงานมากกว่าเจอกันข้างนอก ผมก็แค่อยากเรียก ‘พ่อ’ ว่า ‘พ่อ’ บ่อยๆ เท่านั้นเองครับ”

ศาสตราจารย์สรวิชญ์ไม่มีทีท่าอะไรเป็นพิเศษ แต่ถ้าจะมีใครสังเกตสักนิดคงเห็นว่าภายใต้ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นเขากำลังยิ้มอยู่ “งั้นเปลี่ยนเป็นเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้านักเรียน”

“ตกลงครับ”

“ทำหน้าแบบนั้นคืออะไร หมอวินทร์” ศาสตราจารย์สรวิชญ์หันมาถามคนที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ แต่กลับทำหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“เปล่าครับ” วินทร์ต้องพยายามเก๊กไม่ให้ดูดีใจจนออกนอกหน้า “ก็แค่อยากเรียกบ้างเพราะธีร์เองก็เรียกอาจารย์ว่าป๊า ไม่งั้นก็จะมีผมคนเดียวที่ไม่เข้าพวกน่ะสิ… ได้ไหมครับ ‘อาจารย์พ่อ’”

ใบหน้าเคร่งขรึมของศาสตราจารย์สรวิชญ์คล้ายจะกระตุกหน่อยๆ “ผมมีลูกชายแค่สองคน” ตัดบทเสียงห้วนแล้วก้าวฉับๆ จากไป

“พี่วินทร์ไม่ต้องคิดมากนะ” นรกรรีบพูดเพราะรู้ว่าวินทร์ชื่นชมศาสตราจารย์สรวิชญ์มากแค่ไหนทั้งในฐานะอาจารย์และคนที่เคยช่วยพ่อแม่ของเขาไว้ “อาจารย์แค่พูดตรงๆ เห็นนิ่งๆ แบบนั้นแต่พี่วินทร์เป็นศิษย์รักนะครับ อาจารย์รักพี่วินทร์เหมือนลูก เผลอๆ จะรักมากกว่าผมเสียอีก”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง ทั้งที่คนพูดเองเพิ่งจะปรับความเข้าใจกับพ่อได้แท้ๆ ยังจะมีใจเป็นห่วงความรู้สึกของเขาอีก “ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย”

“แล้ว…”

“เอาเป็นว่าฉันโอเค” วินทร์ว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“พี่วินทร์รู้อยู่แล้วใช่ไหมครับ” นรกรถาม “เรื่องที่จะต้องกลับไปน่ะ เพราะพี่วินทร์ดูไม่แปลกใจเลย ถึงจะกังวลก็เถอะ”

“ไม่ได้รู้หรอก แค่เดาได้มากกว่าว่าคงไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ น่ะ ฉันเตรียมใจไว้ที่ห้าปีก็จริงแต่สองปีนี่ก็ไม่ใช่น้อยๆ เหมือนกัน” แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

“เพราะแบบนี้หรือเปล่าเมื่อเช้าพี่วินทร์ถึงได้…”

“ใช่” วินทร์ยอมรับ “สบายใจได้แล้วนะ นายทนกับฉันอีกไม่นานหรอก เดี๋ยวฉันก็จะไปพ้นหน้านายแล้ว”

“พี่วินทร์ครับ” นรกรเรียก “จริงอยู่ว่าผมลำบากใจเรื่องที่พี่วินทร์บอกว่าชอบผม แต่นั่นเป็นเพราะผมตอบแทนความรู้สึกไม่ได้ ไม่ใช่ว่าพราะผมโกรธเกลียดอะไรพี่วินทร์ และผมยังยืนยันคำเดิมที่เคยพูดไว้ว่าอยากให้พี่วินทร์อยู่กับผมที่นี่นะ”

“ขอบใจนะ”

นรกรสบตาคนตรงหน้า ทั้งที่ริมฝีปากกำลังคลี่ยิ้ม แต่เขากลับรู้สึกว่าใจของวินทร์ยังไม่ได้ยิ้มตามเลยสักนิดจึงพูดย้ำไปอีก

“ผมจะตั้งใจคิดเรื่องพี่วินทร์นะ”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย

“ผมไม่รับปากว่าคำตอบที่ได้จะเป็นยังไง แต่ถ้าพี่วินทร์อยากจะให้ผมยิ้ม พี่วินทร์ก็ต้องเลิกทำหน้าแบบนั้นก่อน เพราะผมจะมีความสุขได้ยังไงถ้าพี่วินทร์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลา”

นัยน์ตาคมเบิกโพลง วินทร์ยกมือขึ้นปิดปากพร้อมๆ กับที่หลุดปากโพล่งออกไปพอดี “ให้ตายสิ! ใจคอนายจะทำให้ฉันตกหลุมรักสักกี่ทีเนี่ยถึงจะพอใจ”

“เมื่อกี้พี่วินทร์พูดว่าอะไรนะครับ” นรกรถามออกตกใจเล็กๆ พวงแก้มร้อนผ่าว แน่ใจว่าฟังไม่ผิดไป

“เรื่องเก่าๆ น่ะ” วินทร์ว่า “นายคงจำไม่ได้หรอก” แล้วเขาก็รีบก้าวยาวๆ หนีไป

นรกรก้าวตามอย่างไม่ลดละ นี่ไงความแตกต่างข้อที่สอง อทิฏฐ์มักจะบ่นเสมอเวลาที่เขาเดินเร็ว แต่กับพี่วินทร์เขาแทบต้องวิ่งเหยาะๆ เพื่อตามให้ทัน ทั้งที่ช่วงขาก็พอๆ กันแท้ๆ แต่ทำไมถึงก้าวได้กว้างเท่ากับสองก้าวของเขาเลยนะ “อะไรครับพี่วินทร์”

“ความลับ” วินทร์หันมาอมยิ้มมุมปาก

และนั่นยิ่งกระตุ้นให้นรกรอยากรู้ ในที่สุดเขาก็ตามอีกฝ่ายทันที่หน้าห้องเปลี่ยนชุด

วินทร์เดินเข้าไปหน้าตู้ของตัวเองและดึงประตูเปิดออกเพื่อเตรียมจะถอดเสื้อ

“พี่วินทร์ บอกผมหน่อยสิครับ”

“ไม่บอก”

“ถ้ามันเป็นเรื่องของผม ผมก็คิดว่ามีสิทธิ์ที่จะรู้นะครับ”

“เอางี้” วินทร์ชะโงกหน้าออกมาจากหลังประตูเหล็ก “ฉันจะเล่าให้ฟังก็ได้แต่นายต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”

“อะไรครับ”

วินทร์ยื่นมืออ้อมประตูตู้ออกมาและดึงตัวร่างโปร่งผลุบเข้าไป

ตอนนี้นรกรจึงมายืนอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมแคบๆ โดยที่ด้านข้างขนาบด้วยตู้ล็อกเกอร์ ข้างหลังเป็นกำแพงและข้างหน้าเป็นร่างสูงที่ตอนนี้เปลือยท่อนบนเผยให้เห็นแผงอกแกร่ง

“ช่วยเปลี่ยนชุดหน่อย” วินทร์อมยิ้มกรุ้มกริ่ม “แล้วระหว่างที่นายทำ ฉันก็จะเล่าไปด้วย หรือไม่ก็เปลี่ยนชุดพร้อมกัน เลือกมาสักอย่างสิ” พลางสืบเท้าเข้าไปใกล้พร้อมกับแตะนิ้วลงบนกระดุมเสื้อเม็ดบนสุด

นรกรถอยหนีจนหลังติดกำแพง… ชอบแกล้งเขาด้วยวิธีการแปลกๆ นี่แหละความแตกต่างข้อที่สาม “ผมไม่เลือกหรอก ถ้าพี่วินทร์ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรครับ”

“อะไรกัน ไม่อยากรู้แล้วเหรอ”

“ถ้าข้อแม้มันยากนักผมไม่รู้ก็ได้ครับ”

“ยากตรงไหน แค่เปลี่ยนชุด ใครๆ เขาก็ทำกัน มีแต่นายน่ะแหละที่อาย”

“มันก็เรื่องของผม” นรกรว่าพร้อมกับเบี่ยงตัวหลบออกมา

“เดี๋ยวสิฮาร์ฟ” วินทร์ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ และเพียงแค่ขยับตัวนิดเดียวเขาก็สามารถคว้าต้นแขนไว้อีกฝ่ายไว้ได้

เกิดการยื้อยุดกันเล็กน้อยระหว่างช่องล็อกเกอร์ แล้ววินทร์ก็อาศัยขนาดตัวที่ใหญ่กว่าและเรี่ยวแรงที่เยอะกว่ารวบเอวนรกรดันหลังติดล็อกเกอร์อย่างแรงจนมันสั่นกราวไปทั้งตู้ และทำให้ลังหนังสือที่กองสุมๆ ไว้ด้านบนเริ่มโงนเงน

“พี่วินทร์!”

เจ้าของชื่อยิ้มยั่วกำลังคิดจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการปิดปากคนตัวเล็กหากเรี่ยวแรงเยอะกว่าที่คิดทำให้เขาเผลอรุนแรงใส่

“ปล่อยครับ”

“ไม่ปล่อย” พร้อมกับก้มหน้าลงต่ำตั้งใจว่าจะแกล้งหอมสักฟอดแล้วค่อยปล่อยเมื่อนรกรร้องเสียงดัง

“พี่วินทร์!”

“อะไร”

“ระวังครับ” สิ้นคำลังใส่หนังสือใบใหญ่บนหลังตู้ก็ร่วงลงมา

โครม!

“ไม่เป็นอะไรนะครับ”

วินทร์เหลือบมองลังใบใหญ่บนพื้นกับกองหนังสือที่เฉียดไหล่เขาไปนิดเดียวเพราะได้นรกรช่วยปัดออกไป ซ้ำยังใช้มืออีกข้างป้องศีรษะเขาไว้อีก เขาหันกลับมามองคนตรงหน้าที่ยังจับศีรษะเขาไว้แน่นด้วยความเป็นห่วง “มัวแต่ห่วงฉัน นายน่ะแหละเป็นอะไรหรือเปล่า” พูดเสียงดังพร้อมกับคว้าแขนอีกฝ่ายไปพลิกดู “ไม่เจ็บตรงไหนนะ”

“ไม่เป็นไรครับ แค่… พี่วินทร์!” นรกรร้องเสียงหลงอีกครั้งเมื่อคราวนี้ล็อกเกอร์ของวินทร์ที่อยู่ด้านหลังจู่ๆ ก็ล้มเอียงลงมาใส่ทั้งสอง เขายกมือขึ้นข้ามไหล่คนที่คร่อมไว้เพื่อจะช่วยยันไม่ให้มันกระแทกโดน

แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

ปัง! โครม!

เกิดเสียงโลหะกระทบกันดังสนั่นก่อนจะตามมาเสียงครึกโครมของของในตู้ที่ร่วงลงมา

นรกรหลับตาแน่นตอนนี้เขานั่งขดตัวอยู่บนพื้นรู้สึกได้ถึงอะไรที่ทั้งใหญ่และหนักทับตัวไว้ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่ความสงบอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรนะ”

เสียงทุ้มที่กระซิบข้างหู ทำให้เขาลืมตาขึ้นช้าๆ ทุกอย่างตรงหน้ามันมืดไปหมด และเขาต้องใช้เวลาอีกอึดใจจึงรู้ว่าที่ทั้งมืดและอึดอัดนั้นเป็นเพราะวินทร์กอดเขาไว้อ้อมอกเอาตัวเองเป็นเกราะกันเขาจากตู้ล็อกเกอร์เหล็กและข้าวของมากมายที่อยู่ในนั้น

โชคดีที่ทางเดินไม่กว้างนัก ตู้จึงล้มลงมาพิงกันเกิดเป็นช่องสามเหลี่ยมเล็กๆ ให้ทั้งสองหลบภัยพอดี

วินทร์ขยับตัวออกห่างเล็กน้อยในพื้นที่คับแคบนั้นพลางก้มลงมองคนในอ้อมแขนเมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีไม่มีรอยขีดข่วนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วซุกหน้าลงบนบ่า “ขอโทษนะ” เขากระซิบที่ข้างหู รู้สึกผิดเต็มหัวใจ “ฉันแกล้งแรงไปหน่อย นายออกไปรอข้างนอกก่อนเดี๋ยวฉันเปลี่ยนชุดเสร็จนายค่อยเข้ามานะ”

“ครับ”

แล้ววินทร์ก็ปล่อยเขาออกจากอ้อมแขนแล้วหันไปดันตู้ล็อกเกอร์ขึ้นวางไว้ที่เดิม

นรกรลุกขึ้นยืน กำลังจะช่วยก้มลงเก็บของที่กระจัดกระจายเกลื่อนพื้นทั้งหนังสือ ชีท และเสื้อผ้าเมื่อมือใหญ่คว้าข้อมือเขาไว้

“ออกไปเถอะ เดี๋ยวฉันเก็บเอง” วินทร์กำชับพร้อมกับช่วยลูบผมที่ยุ่งให้เข้าที่

“ครับ” นรกรเบี่ยงศีรษะหนีเล็กน้อยและหันหลังกลับ

“ฮาร์ฟ”

“ครับ”

“ฉัน...” วินทร์สบสายตาที่มองมาพร้อมกับกำมือแน่น “เปล่า ไม่มีอะไร…” แล้วเขาก็ปล่อยให้นรกรเดินออกไป ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองอย่างขัดใจ

แทบจะนับครั้งไม่ได้แล้วกับสิ่งที่อยากจะบอกแต่สุดท้ายก็ได้แต่เก็บเงียบไว้ในใจ เพราะทุกๆ ครั้งที่กำลังจะพูดก็กลับมีเสียงเล็กๆ ในหัวกระซิบขึ้นมาว่ามันยังไม่ถึงเวลา

…ก็แล้วเมื่อไหร่เวลานั้นมันจะมาถึงล่ะ!…

วินทร์ก้มลงเก็บของรวมกันลวกๆ แล้วโยนใส่ตู้ ไม่คิดจะเก็บให้เป็นระเบียบเพราะตามที่ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอกเขาคงมีเวลาอยู่ที่นี่อีกไม่นานนักยังไงก็ต้องมารื้ออีกอยู่ดี

เขาเอื้อมแขนเอาลังไปวางไว้บนหลังตู้เป็นสิ่งสุดท้ายก่อนจะคว้าเสื้อสำหรับใส่ในห้องผ่าตัดมาสวม กำลังจะออกไปอยู่แล้วเมื่อได้ยินเสียงดังตึงเบาๆ

นัยน์ตาคมเหลือบมองขึ้นไปยังหลังตู้ที่ว่างเปล่า ทำเป็นเหมือนไม่สนใจแต่กลับเอ่ยปากคล้ายจะบอกกับใครสักคนที่ซ่อนอยู่ในความมืดนั่น

“ทำกันถึงขนาดนี้นี่เพราะอยากช่วยเขาแต่เผลอมือหนักไปหน่อยหรือเหม็นขี้หน้าผมเป็นการส่วนตัวครับ”

แล้ววินทร์ก็เดินออกไป ครู่ต่อมานรกรก็กลับเข้ามา แต่แทนที่จะตรงไปเปลี่ยนชุดที่ล็อกเกอร์ในสุดของตัวเองเขากลับยืนแหงนคอมองเหนือล็อกเกอร์ตู้แรก

“ขอบคุณนะครับที่ช่วย แต่แบบนั้นมันก็แรงไปนะ ผมไม่รู้ว่าพี่วินทร์คิดจะทำอะไรกันแน่แต่ยังไงเขาก็ไม่ทำอะไรผมอยู่แล้ว”

ความมืดบนหลังตู้สั่นคลอนเล็กน้อยก่อนจะปรากฏร่างของหญิงสาวในชุดขาวผมยาวนั่งห้อยขาอยู่ “คนเราน่ะรู้หน้าไม่รู้ใจนะ คุณหมอไปเอาความมั่นใจมากขนาดนั้นมาจากไหน”

คุณหมอหนุ่มพ่นลมออกจมูก เขาตอบคำถามนี้ไม่ได้ว่าเพราะอะไร เพียงแต่ลึกๆ ในใจมันเชื่อมั่นแบบนั้น นรกรเดินไปยืนหน้าล็อกเกอร์ของตนกำลังจะเปิดประตูเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างสีขาวตุ่นที่โผล่พ้นใต้ขอบตู้ออกมา

นรกรนั่งคุกเข่าลงและใช้ปลายนิ้วเขี่ยมันออกมา มันเป็นกระดาษโน้ตสรุปกายวิภาคของสมองดูเผินๆ ไม่มีอะไรแปลกเพราะไม่ใช่แค่ผู้ที่เรียนสายศัลยกรรมประสาทและสมองต้องทำแต่ยังรวมไปถึงนักเรียนแพทย์ทุกคน แต่ทุกตัวอักษรบนนั้นมันเป็นลายมือของเขาไม่มีผิดแน่ แล้วไหนจะยังชื่อ-นามสกุลที่เขียนอยู่ตรงมุมบนขวามือนั่นอีก

คิ้วเรียวย่นเข้าหากันพลางเหลียวมองซ้ายขวาด้วยความสงสัยว่ามันมาตกอยู่ที่นี่ได้ยังไง ดูจากความเก่าและเนื้อหาที่จดลงไปนี่น่าจะเป็นโน้ตที่เขาทำสมัยเรียนโน่นเลยซึ่งมันน่าจะอยู่ในลังหนังสือเก่าที่บ้านไม่น่าจะมาหลงอยู่ที่นี่ได้

คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก นรกรจึงสอดมันไว้ในสมุดและเก็บใส่กระเป๋าก่อนจะเปลี่ยนชุดและเดินเข้าห้องผ่าตัดไป

ทันทีที่คุณหมอหนุ่มคล้อยหลังหญิงสาวบนหลังตู้ก็ตวัดขากลับขึ้นไปนั่งกอดไว้ “ไม่ได้ช่วยแล้วก็ไม่ได้อยากแกล้งใครด้วย แค่รำคาญน่ะ” กระซิบกับตัวเองก่อนจะซุกหน้าลงบนหัวเข่าพร้อมกับโยกตัวเบาๆ เป็นจังหวะพลางส่งเสียงคล้ายกับกำลังฮัมเพลงในลำคอ

และมันก็บังเอิญเป็นเพลงเดียวกับที่คุณหมอหนุ่มในชุดปลอดเชื้อคนหนึ่งกำลังร้องคลออยู่ในห้องผ่าตัด

 ท่วงทำนองเนิบช้าฟังดูเศร้าสร้อยคล้ายคนร้องกำลังร้องไห้ และถึงเนื้อเพลงจะเก่าหากก็ช่างฟังดูคุ้นหูเสียเหลือเกิน

“…แต่กับเธอที่ผ่านมาชั่วคราว และเรื่องราวที่เปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน กับอะไรที่เป็นไป ก็ยังไม่เคยลืมเหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจ…”

ขายาวที่กำลังก้าวไปหยุดเงี่ยหูฟังอยู่อึดใจ มันเป็นเสียงของวินทร์และนี่ก็เป็นเพลงที่เขามักจะร้องเป็นประจำเวลาผ่าตัด

…ข้อแตกต่างข้อที่สี่ พี่วินทร์ชอบร้องเพลงถึงเสียงจะเพี้ยนเข้าขั้นวิกฤตในขณะที่อทิฏฐ์ไม่ชอบเลย…

มือทั้งสองกำเป็นหมัดจนเจ็บ ทั้งที่บอกตัวเองหนักแน่นถึงความต่างของทั้งสอง ก็กลับมีเสียงเล็กๆ เถียงกลับมาเบาๆ

…แต่ที่เขาร้องก็เพราะนายชอบฟังไม่ใช่หรือไง…

“ไม่ใช่สักหน่อย” เขาย้ำกับตัวเอง

นรกรผลักประตูห้องผ่าตัดเข้าไป แล้วเสียงเพลงที่ดังอยู่ก็เงียบหายไปในบัดดล และทั้งที่เจ้าหน้าที่ในห้องที่มีอยู่เกือบสิบคนนั้นสวมชุดปลอดเชื้อ หมวกคลุมผมและผ้าปิดปากปิดจมูกเหมือนกัน แต่เขากลับรู้ทันทีว่าคนที่มองหายืนอยู่ตรงไหนโดยไม่ต้องรอให้เจ้าตัวส่งเสียงเรียก

เปลือกตาปิดลงครั้งหนึ่ง พยายามหนีจากแววตาอบอุ่นที่มองมา แต่ยิ่งหนีภาพนั้นกลับยิ่งแจ่มชัดอยู่ในห้วงความคิดและยังรวมไปถึงรอยยิ้มกว้างอ่อนโยนที่ส่งมาให้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ความแตกต่างที่คิดได้มีแล้วสี่ แต่มันก็ถูกชดเชยให้หายไปได้ในทันที

ไม่ว่าจะรูปร่าง หน้าตา น้ำเสียง ชอบเอาใจใส่ รู้ว่าเขาชอบไม่ชอบอะไร และ… สิ่งสำคัญที่ทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้เลยคือความรู้สึกดีๆ ที่มีให้

แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้มันผิด ถ้าหากมันเป็นแค่สิ่งที่เขาคิดเข้าข้างตัวเองเพื่อทดแทนความเหงาที่อทิฏฐ์จากไปล่ะ

สิ่งที่เขากลัวไม่ใช่หัวใจตัวเองที่ต้องเจ็บเพราะเขาไม่มีอะไรจะเสีย แต่เขาสงสารวินทร์ที่ต้องกลายเป็นคนที่เหมือนโดนเขาหลอกใช้ประโยชน์จากความรัก และนี่ต่างหากคือสิ่งที่เขากลัวมากที่สุด แล้วเขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดี



********************************TBC************************************************

Talk

กลัวอ่านแล้วนึกภาพตามไม่ออกเลยแอบเก็บภาพห้องล็อกเกอร์เจ้าปัญหามาให้ดูซะเลย (อยู่ในเพจนะคะ)

ตู้ในสุดซ้ายมือเป็นของฮาร์ฟ และตู้ติดกันที่อยู่ถัดออกมาเป็นของพี่วินทร์ค่ะ

ใคร ทำอะไร ยังไง ในห้องนี้ติดตามได้ในบทนี้เลยค่ะ

ปล. ภาพนี้ถ่ายตอนเที่ยงคืน ถ้าใครเห็นเงาใครหรืออะไรแปลกปลอม ไม่ต้องเมนชั่นมาบอกเรานะคะ เราจะถือว่าเรามองไม่เห็น


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2016 09:07:12 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ขอบคุณมากค่ะ รออยู่เลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Dezzerr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
งุ้ยยย ซับซ้อน ตื่นเต้นมากกกค่ะ

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
โอ้ยยยย
อึนๆ มึนๆในใจ
จริงๆก็ไม่ิยากยอมรับเหมือนกันว่า วินคือ ทิด
เพราะเราใจแคบรึเปล่า
ค่อยๆจีบฮาร์ฟต่อไปนะพี่วินทร์✌

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
สรุปว่าใช่สิน่ะ มีคุยกะคุณผีล็อกเกอร์ด้วย

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
หลงรักทิดไปแล้ว
ตอนนี้ยังหลงรักวินทร์ด้วย

ถ้าฮาร์ฟช้า ฉันจะแย่งแล้วนะ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
มึนมากก แต่กฌไม่รู้ว่า คนเดียวกันหรือเปล่า งืออ

ออฟไลน์ jennyha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกอ่าาาา

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
ลุ้นอ่ะ...

ออฟไลน์ imfckwn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
รีบมาต่อเลยยย

ออฟไลน์ Yunatsu

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-5
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
ของพาร์ทพี่วินทร์เลยได้ไม๊
อยากรู้ความจริงแล้ววว
 :z3: :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ May@love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 827
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-2
ลุ้นกันต่อไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
รู้สึกว่า. มันบีบคั้นหัวใจเกินไปไหมอะ

ออฟไลน์ myapril

  • Tomorrow
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1436
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-3
เฮ้อออ เวลาห้าปีกับพี่วินทร์ และ หนึ่งเดือนกับอทิฏฐ์ ทั้งที่เป็นคนคนเดียวกัน
 ทำไมฮาร์ฟถึงให้ใจกันได้แตกต่างขนาดนี้
เวลาอีกสองปีของพี่วินทร์ที่ต้องไปใช้ทุนอีกล่ะ. แงๆๆๆๆ
บวก1บวกเป็ดให้กับความอึมครึมค่ะ 555

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
ลุ้นจนแทบจะนั่งไม่ติด สุดท้ายน้องฮาร์ฟก็ยังไม่รู้ว่า พี่วินเป็นคนเดียวกับอทิษฐ์ ว้า แต่ดีอย่างที่เริ่งค้นใจตัวเองแล้ว เสียดายพี่วินใกล้จะไปใช้ทุนแล้ว

ออฟไลน์ 182x406

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านสองตอนรวดด ในที่สุดก็เฉลยว่าเป็นคนเดียวกัน
สารภาพว่าแรกๆไม่ชอบพี่วินทร์ด้วยค่ะ555555
เลยรู้สึกแปลกๆพอรู้ว่าเป็นคนเดียวกับทิด แต่ตอนนี้ทำใจได้แล้ว
เริ่มรู้สึกว่าวินทร์เองก็มีมุมน่ารักเหมือนกัน กรี๊ดดด
รอตอนต่อไปนะคะ<3

ออฟไลน์ purpleguy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
  :o8: อ่านรวดเดียวจบถึงตรงนี้เลย.... บอกได้เลยว่า หลงรัก...ผีสาวอะ :mew1: อยากให้เธอไปสู่สุขติ.....เคลิ้มเลย

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ลุ้นๆอะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
มันบีบ มันลุ้นมากเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ จะรออ่านตอนต่อไปนะ

ออฟไลน์ Smirnoff

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
เอ็นดูพี่วินเบาๆ

ออฟไลน์ yupa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รอเป็นกำลังหนุ่มวินจ้า :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 16 Restart


“หมอฮาร์ฟคิดอะไรอยู่หรือคะ ทำไมทำหน้าแปลกๆ” ลลินถามคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเขียนแฟ้มผู้ป่วยไม่พูดไม่จาอยู่ข้างเตียง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่ถามแต่เพราะในห้วงเดือนที่ผ่านมาคุณหมอเจ้าของไข้ของเธอเปลี่ยนไปเป็นคนที่ยิ้มแย้มมากขึ้นและเริ่มเล่นมุกเป็น

เธอถอดท่อช่วยหายใจได้ในวันรุ่งขึ้นหลังผ่าตัดและตอนนี้ก็อาการคงที่พอจะย้ายมาสังเกตอาการที่หอผู้ป่วยสามัญได้หลายวันแล้ว

“เปล่าครับ” นรกรโกหก จริงๆ แล้วเขาเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องของวินทร์

หลายวันมานี่วินทร์ยังคงคอยมารับมาส่งที่ห้อง ชวนไปกินข้าว ทำนู่นนี่นั่นด้วยเสมือนเป็นเงาตามตัว จะว่าไปปกติวินทร์ก็ทำแบบนี้อยู่แล้วแต่หลังจากสารภาพรักวันนั้นเขารับรู้ได้เลยว่ามีความรู้สึกรุนแรงแบบอื่นแฝงมาด้วยจนแม้แต่คนรอบข้างยังรู้สึกและมีแซวมาบ้างประมาณว่าเป็น ‘คู่จิ้น’ อะไรสักอย่างซึ่งเขาไม่เข้าใจ เปิดพจนานุกรมหาแล้วก็ไม่มีความหมาย ถามวินทร์ก็ได้แต่อมยิ้มมีเลศนัยน์แล้วก็ไม่ยอมอธิบายอะไรสักอย่าง

จนมาถึงตอนที่ธีร์เรียกเขาไปคุยเป็นการส่วนตัวเมื่อวานเย็นน่ะแหละ

 
‘นายตกลงเป็นแฟนกับหมอนั่นแล้วเหรอ’ จริงๆ ป่านนี้ธีร์น่าจะไปนอนตีพุงอยู่อเมริกาแล้วถ้าไม่ใช่เพราะโดนป๊าสวดไปยกใหญ่เรื่องจะลาออกโดยไม่บอกกล่าวเลยต้องเลื่อนตั๋วไปเป็นหลังงานฉลองเรียนจบ

นรกรกวาดตามองน้องชายบุญธรรมที่กอดอกจ้องเขาตาแทบจะถลน ‘นายพูดเรื่องอะไรธีร์ ฉันไปเป็นแฟนกับใคร’

‘อย่ามาทำไขสือ ใครๆ เขาก็ลือกันให้แซ่ดเรืองนายกับไอ้วินทร์น่ะ’

‘ฉันกับพี่วินทร์เนี่ยนะ?’ นรกรถามย้ำ ‘ฉันไม่ได้…’

‘แล้วพวกนายทำอะไรกันในห้องล็อกเกอร์’ ธีร์ว่า ‘เสียงดังโครมคราม ไอ้พวกศัลย์ทั่วไปที่อยู่ห้องข้างๆ มันลือกันให้แซ่ด’

‘ก็แค่ตู้ล้ม’

‘แล้วทำไมจู่ๆ ตู้เหล็กหนักๆ ที่ตั้งมาเป็นสิบๆ ปีถึงล้มได้ล่ะ’

‘เราแค่เถียงกันนิดหน่อย’

‘ถึงขั้นตู้ล้มไม่หน่อยแล้วมั้ง’ ธีร์เริ่มจะฟิวส์ขาดแล้วตอนนี้ อุตส่าห์ทำตัวเป็นหมาหวงก้างกันท่ามาตลอด ขนาดหล่อ รวยแถมยังแสนดีอย่างคณิณนั่นเขายังทำใจอยู่เป็นเดือน ลงทุนไปกรวดน้ำให้แคล้วคลาดกันไปทุกสัปดาห์จนคณิณไปแต่งงานยังหน้าด้านไปร่วมเป็นสักขีพยานว่าเลิกกันแน่ๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รับเชิญแล้วไหงจู่ๆ พี่ชายสุดที่รักจะมาโดนไอ้หน้าหนวดตะไคร่น้ำนี่คาบไปได้ง่ายๆ ฟะ ต่อให้ป๊ายอมเขาก็ไม่มีวันยอมง่ายๆ หรอกนะ

‘ก็มีลงไม้ลงมือด้วย’ นรกรกระซิบอ้อมแอ้ม

‘ลงไม้ลงมือ!’ ตอนนี้ธีร์หงุดหงิดจนแทบจะฉีกตำราแพทย์ออกเป็นสองส่วนได้ด้วยมือเปล่าแล้ว ‘ลงยังไง! ไอ้หมีภูเขานั่นมันทำอะไรนาย เล่ามาให้หมดเลยนะฮาร์ฟ’

‘ก็…’ นรกรเว้นวรรคไปเล็กน้อยเพื่อทบทวนภาพความทรงจำ มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก แต่ที่จำได้แน่ๆ ก็เห็นจะเป็นตอนที่วินทร์รวบตัวเขาดันติดกำแพงแล้วก็ก้มหน้าลงมา… แล้วก็…

‘ช่างเหอะ ฉันไม่อยากฟังแล้ว’ ธีร์ตัดบทพร้อมกับยกมือขึ้นอุดหู เมื่อเห็นแก้มขาวเริ่มซับสีเลือดฝาดโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

‘เดี๋ยวก่อนสิธีร์มันไม่มีอะไรจริงๆ นะ’

น้องชายบุญธรรมหันมามองหน้าเขาทำเหมือนจะร้องไห้ก่อนจะโผเข้ากอดเต็มวงแขน ‘ฉันเชื่อใจนายนะฮาร์ฟ อย่าไปหลงคารมไอ้หน้าหนวดนั่นง่ายๆ ล่ะ มันชอบมองนายแปลกๆ มาตั้งแต่วันแรกที่เจอกันแล้ว ฉันว่ามันไม่น่าไว้ใจเลย’

‘ถ้านายหมายถึงวันปฐมนิเทศที่พี่วินทร์เข้ามากอดนั่นก็ไม่มีอะไรสักหน่อย เจ้าตัวก็อธิบายไปแล้วนี่’

ธีร์ย่นปากอย่างขัดใจนึกอยากจับใส่หลอดทดลองแล้วใส่เครื่องปั่นสักครึ่งชั่วโมงเผื่อเชื้อไอ้หมีภูเขานั่นมันจะหลุดออกไปบ้าง ‘ฉลาดซะเปล่า นี่นายเชื่อไอ้เรื่องวัดตัวอะไรนั่นจริงเหรอ แบบนั้นเขาเรียกแต๊ะอั๋งแล้วพอโดนจับได้ก็เลยแถเว้ย’



เมื่อคิดมาถึงตรงนี้นรกรก็หยุดมือที่เขียนแฟ้มแล้วระบายลมออกจมูก แค่เรื่องที่ว่าอทิฏฐ์กับวินทร์เป็นคนเดียวกันหรือเปล่านั่นก็ทำคิดมากจนนอนไม่หลับแล้ว ไหนจะเรื่องสารภาพรักแล้วก็เรื่องนี้อีก

จะว่าไปก็มีเรื่องกระดาษโน้ตแผ่นนั้นอีกนะ ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะมีอะไรแต่ทำไมเขาถึงรู้สึกติดใจแปลกๆ ก็ไม่รู้

“เรื่องพี่ชายคนนั้นเหรอ” จู่ๆ ลลินก็โพล่งขึ้นมา

มือเรียวที่กำลังลากไปบนหน้ากระดาษอีกครั้งชะงักกึก “ใครครับ”

“คนที่มาส่งหนูวันนั้นไง”

นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบขึ้นสบนัยน์ตากลมของเด็กสาวที่นั่งอยู่บนเตียงทันที “หนู… จำได้ด้วยเหรอ ตอนที่ ‘หลับ’ ไปน่ะ”

“จำได้สิคะ ถึงจะเหมือนฝันและบางทีก็ไม่ปะติดปะต่อเท่าไหร่ แต่จำได้แน่นอนค่ะ พี่ผู้ชายคนนั้นมานั่งเป็นเพื่อนหนูแล้วก็เล่าอะไรให้ฟังเยอะแยะเลย”

“อะไรบ้างครับ” นรกรเริ่มสนใจและนึกอิจฉาหน่อยๆ ที่เด็กสาวดูจะรู้เรื่องราวของอทิฏฐ์มากกว่าเขาเสียอีก แล้วก็นึกไปถึงคำพูดของผีสาวในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เธอบอกว่าคนตายไม่คุยกับคนเป็น แต่สองคนนี้คุยกันได้แสดงว่าอทิฏฐ์ยังไม่ตายจริงๆ สินะ

“ก็บอกว่ามาที่นี่เพราะอะไร” ลลินเริ่มต้นเล่า “เขาอกหักแล้วเลยกินยาฆ่าตัวตาย น่าสงสารจังเลยนะคะพี่เขายังหนุ่มอยู่เลยดูอายุมากกว่าหนูไม่กี่ปีเอง”

นรกรพยักหน้าตาม

“แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดได้แล้วนะคะ เขาบอกว่าเขาจะกลับไปล่ะ แต่ๆ ที่ๆ เขามามันไกลมากจนหนูเองยังตกใจเลยล่ะ”

“ไกลแค่ไหนเหรอครับ” นรกรถาม “ต่างจังหวัด?”

ลลินส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ พี่เขาเคยนอนอยู่ที่ไอซียูเดียวกับหนูนี่แหละ แถมยังเคยนอนเตียง 4 เหมือนกันเลย แต่นอนมาก่อน 8ปีค่ะ”

“เดี๋ยวนะครับ อะไรคือ 8ปี หมายถึงนอนป่วยอยู่ 8 ปีเหรอ”

“ไม่ใช่ค่ะ พี่เขาบอกว่าเขามาจากอดีต เมื่อ 8 ปีที่แล้วค่ะ”

นัยน์ตาสีอ่อนเบิกโพลง “แล้วเขาเป็นใครครับ”

มาถึงตรงนี้ลลินเว้นวรรคไปเล็กน้อย “ขอโทษนะคะ หนูจำไม่ได้แล้ว”

นรกรมีสีหน้าผิดหวังขึ้นมาทันทีแต่ก็พยายามเก็บอาการไว้ “ขอบคุณนะครับ” แล้วลุกขึ้นเอาแฟ้มเดินไปเก็บที่เคาน์เตอร์พยาบาลและกลับออกไป

เด็กสาวกำลังจะล้มตัวลงนอนก็มีใครอีกคนเดินเข้ามาหา

“ลลิน”

“สวัสดีค่ะ หมอวินทร์”

“ท่าทางแข็งแรงดีแล้วนะ เดี๋ยวคงได้กลับบ้านแล้วล่ะ ขอหมอดูแผลหน่อยนะ” วินทร์บอกพลางตรวจดูแผลผ่าตัดที่เริ่มแห้งดี “วันนี้หมอฮาร์ฟมาเยี่ยมหรือยัง”

“เพิ่งไปเมื่อกี้เองค่ะ”

“เหรอ แล้วได้บอกหมอฮาร์ฟเรื่องต้องไปสอบสัมภาษณ์อาทิตย์หน้าหรือยัง”

“บอกแล้วค่ะ เห็นว่าจะไปคุยกับอาจารย์สรวิชญ์ให้” ลลินเว้นวรรคไปเล็กน้อย “หมอวินทร์รู้เรื่องสอบสัมภาษณ์ได้ไงคะ หนูเพิ่งบอกหมอฮาร์ฟเมื่อกี้เอง”

วินทร์สบตาเด็กสาวบนเตียงพลางจุดยิ้มลงบนมุมปาก “เราบอกหมอเองนะ”

“เมื่อไหร่คะ”

วินทร์เปิดแฟ้มผู้ป่วยในมือไปที่หน้าแสดงสัญญาณชีพในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา “อาทิตย์ก่อนไงครับ ลืมแล้วเหรอ”

นัยน์ตากลมเบิกโตขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นคุณหมอหนุ่มแตะปลายนิ้วลงบนวันที่ซึ่งมีกากบาทสีแดงทับไว้เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นวันที่เธอเข้ารับการผ่าตัด ลลินเงยหน้าขึ้นสบตาคมที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง “ถ้ายังไม่เลิกไว้หนวดแบบนี้ หนูก็คงจะลืมไปแล้วล่ะค่ะ”


oooooo


“เป็นไรไอ้โจ้ ถอนหายใจอยู่ได้น่ารำคาญตกลงนายฟังที่ฉันสอนหรือเปล่าเนี่ย” ไม่พูดเปล่าวินทร์ยังตบเข้าที่ท้ายทอยรุ่นน้องไปทีหนึ่งโทษฐานนั่งเหม่อทั้งๆ ที่เป็นคนอ้อนวอนขอให้เขาช่วยติวข้อสอบให้

คนอื่นๆ ในห้องพักแพทย์ซึ่งกำลังทำงานของตนพากันหัวเราะครืน ถ้าคนสอนเป็นนรกรเรื่องคงเงียบกว่านี้ ไม่ใช่เรื่องลงไม้ลงมือไม่เป็นแต่นรกรเป็นคนใจเย็นที่สามารถอดทนพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ ได้จนกว่าจะเข้าใจ เพราะอย่างที่ศาสตราจารย์สรวิชญ์ชอบบ่นบ่อยๆ ว่าบางทีพวกเขาก็โง่ในเรื่องที่ไม่ควรโง่จนน่าตกใจทีเดียว แถมนรกรยังมีเทคนิคช่วยจำมากมาย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่พวกน้องๆ จะชื่นชมและแอบเชียร์ให้เขามาเป็นอาจารย์มากกว่า แต่การได้วินทร์มาอีกคนก็ถือเป็นเรื่องดีเกินคาดเพราะวันๆ จะให้ไปขลุกอยู่แต่ในห้องสมุดก็คงไม่ไหว

“ฟังอยู่คร้าบบบ แต่มันมีเรื่องที่คิดไม่ตกนี่นา” จิงโจ้โอดครวญพร้อมทิ้งศีรษะลงซบบนหนังสือที่วางกางไว้เต็มโต๊ะ

“เรื่องอะไรวะ” วินทร์เปิดประเด็นทำให้คนอื่นๆ เริ่มสนใจและเขยิบเข้ามามุง

“ก็น้องฟางน่ะสิเพิ่งมาขอเลิกกับผมเมื่อวาน บอกว่าเจอคนที่อยู่ใกล้กว่า แถมยังมีเวลาให้มากกว่าผม”

“เรื่องธรรมชาติ ทำใจซะ” พี่ใหญ่ในวงปลอบ

“ผมคงจะทำใจได้ง่ายกว่านี้แหละถ้าหมอนั่นไม่ใช่หมอผิวหนังที่ทำงานอยู่รพ.ฝั่งตรงข้ามเนี่ย ใช่ซี้~ ได้แฟนหล่อแถมโปรโบท๊อกซ์ หมอผ่าตัดจนๆ อย่างผมมันจะไปสู้อะไรได้”

“เอาน่า ไม่ใช่แกคนเดียวที่เจอปัญหานี้ แฟนเก่าพี่ก็หนีไปกับลูกเจ้าของร้านทอง” พัฒนพงศ์ว่า

“ลูกเจ้าของร้านทองนั่นยังเป็นผู้ชาย” สิทธิชัยกระซิบเสียงเครียด “ของฉันสิ เฮ้อ~ แล้วบอกว่าเป็นเพื่อนสนิท ว่าแล้วเชียว… เพื่อนบ้าอะไรวะโทรชวนไปกินข้าวดึกๆ ดื่นๆ กว่ารู้ตัวดีนะเขาไม่แทงเพดาน โอ๊ย ใครจะไปคิดวะ ก็เล่นนมโตกว่าแฟนเราอีก”

ทุกคนพากันหัวเราะครืน ตอนที่ต่างคนต่างเผชิญปัญญาย่อมยิ้มไม่ออกแต่เมื่อได้นำมาเล่าสู่กันฟังทำให้รู้ว่าไม่ใช่คนเดียวที่มีปัญหาและสักวันจะผ่านมันไปได้ถ้าไม่ยอมแพ้เสียก่อน

“แล้วพี่วัฒน์ล่ะ” จิงโจ้หันไปถามพี่ปีสองที่นั่งเงียบอยู่คนเดียว

“ของฉันเป็นประเภทหลงรักคนที่เขาไม่มองว่ะ” อนุวัฒน์ว่าจ้องหน้าคนตั้งคำถาม “จีบมาตั้งนานดันบอกเราเป็นพี่น้องกัน”

“เป็นน้องที่นิสัยไม่ดีเลยนะ”

“เออ”

วินทร์ตบบ่ารุ่นน้องแต่ละคน “ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ แข่งเรียนแข่งอะไรแข่งได้แต่แข่งบุญแข่งวาสนาไม่ได้”

“แหม ทำเป็นพูดดีนะครับ ใครมันจะไปวาสนาดีแบบพี่วินทร์ล่ะ ทั้งอยู่ใกล้ ปัญหาทางบ้านก็ไม่มี กับพ่อตาก็ผ่านฉลุย” จิงโจ้แซว

“นั่นสิ” คนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย

“เกี่ยวอะไรกับฉันวะ” วินทร์เริ่มโวยเมื่อจู่ๆ ทุกคนก็พากันหันมารุมเขา

“อย่ามาทำเป็นปากแข็งเลย เรื่องมาจนป่านนี้แล้ว” สิทธิชัยช่วยขยายความ

“คงไม่ได้ปากแข็งหรอกพี่ชัย ผมว่าน่าจะทะเลาะกันมากกว่าถึงได้มานั่งหน้าเหี่ยวติวให้ไอ้โจ้อยู่ได้เนี่ย” อนุวัฒน์เสริม

“เดี๋ยวๆ พวกนายพูดเรื่องอะไรเนี่ย”

“ก็เรื่องพี่กับพี่ฮาร์ฟไง” พัฒนพงศ์ตอบให้

“จะบ้าเหรอ!”

“เอ้า! ผมเห็นจีบกันมาเป็นปี ตั้งแต่ผมมาสอบเข้าก็ตัวติดกันตลอด ยิ่งตอนนี้ออร่าสีชมพูฟรุ้งฟริ้งนึกว่าพี่วินทร์มาวินไปแล้วนะเนี่ย” จิงโจ้ว่า

“สองปีว่ะ” อนุวัฒน์แทรกขึ้น

“สาม” สิทธิชัยพูดเรียบๆ

“สี่ต่างหาก” พัฒนพงศ์ปิดท้าย “แต่ผมว่ามันมากกว่านั้นนะ หรือพี่วินทร์ว่าไงครับ

“กับเรื่องเรียนพวกแกน่าจะทุ่มเทกันแบบนี้บ้างนะ” วินทร์จนใจจะแก้ตัวเมื่อโดนจับทางได้หมด ไม่ได้นึกโกรธหรืออายอะไรแค่เขินมากกว่าที่ทุกคนพากันดูออก… ยกเว้นเจ้าตัว

“เรื่องเรียนช่างมันก่อนครับ” จิงโจ้พูดเสียงเครียดพร้อมกับดันกองตำหรับตำราออกไปให้พ้นทาง “ที่พวกผมอยากรู้ตอนนี้ ไม่ใช่ว่าไอ้สมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตามันมีบทบาทอะไรต่อการเต้นของหัวใจ แต่เป็นเรื่องพี่วินทร์มีบทบาทอะไรต่อใจพี่ฮาร์ฟต่างหากครับ”

ทุกคนหันมาจ้องเขาเป็นตาเดียว

วินทร์ยกมือขึ้นกุมศีรษะ เหลือบตามองคนนั้นทีคนนี้ทีก่อนจะโพล่งออกไป “เป็นก้อนมะเร็งที่เขาอยากจะตัดทิ้งน่ะสิ”

“เยส” พัฒนพงศ์กำหมัดก่อนจะแบมือไปรอบวง

คนอื่นๆ พากันบ่นขมุบขมิบและหยิบเอากระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายเงิน

“ฉันบอกพวกนายแล้วว่าเรื่องในห้องล็อกเกอร์น่ะมันไม่มีอะไร ไม่งั้นวันนั้นพี่ฮาร์ฟไม่เดินเข้ามาช่วยฉันผ่าตัดต่อได้หน้าตาเฉยหรอก” พัฒนพงศ์ว่า “แล้วถ้าจริงป่านนี้พี่ธีร์ฆ่าพี่วินทร์หมกท่อไปแล้ว”

“ก็ผมเห็นจะเรียนจบกันแล้วเลยนึกว่าพี่วินทร์จะดับเครื่องชน” สิทธิชัยบ่นอุบ

“ที่ไหนได้ดันแบตหมดซะนี่” อนุวัฒน์ไหวไหล่

“เฮ้อ~ ผมล่ะผิดหวังในตัวพี่ชายร่วมสถาบันจริงๆ” จิงโจ้ทำท่าถอนหายใจได้น่าหมั่นไส้ที่สุด

“ไอ้พวกนี้!” วินทร์ว่า “คอยดูนะ ไว้ฉันกลับมาเป็นอาจารย์เต็มตัวเมื่อไหร่พวกแกตายแน่”

“ได้ข่าวอีกสองปี” สิทธิชัยหันไปตีมือกับพัฒนพงศ์

“ถึงตอนนั้นผมกำลังจะขึ้นปีสาม” อนุวัฒน์นับนิ้ว “พี่วินทร์กลับมาผมก็ปีสุดท้ายพอดี ถึงมาทันก็ทำอะไรไม่ทันแล้ว” ชูหมัดในอากาศแล้วหันไปจับมือกับพี่ๆ ทั้งสองเป็นการรับเข้ากลุ่มก่อนจะหันไปยักคิ้วให้น้องเล็ก “เหลือแกคนเดียวแล้วไอ้โจ้”

“ใจคอพี่วินทร์จะไม่ปราณีผมสักนิดเลยเหรอ” จิงโจ้เปลี่ยนทีท่าในทันใด “นี่ผมอุตส่าห์เอาเงินค่าเวรที่มีอยู่น้อยนิดมาแทงข้างพี่หมดหน้าตักเลยนะครับ”

“ต่อให้ได้แกก็เอาไปเลี้ยงน้องฟาง น้องหญ้าแพรกอะไรของแกหมด ไม่ได้เอามาแบ่งให้ฉันอยู่ดี”

“ก็ว่าจะซื้อขนมมาให้สักถุง” จิงโจ้รีบแก้ตัว “จะว่าไปไอ้ชีสแผ่นนั่นมันอร่อยถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมเห็นพี่วินทร์นั่งแทะเล่นเปล่าๆ มาสักพักแล้ว” พลางใช้นิ้วคีบห่อชีสแผ่นจากที่วางกองอยู่หลายแบบหลายยี่ห้อขึ้นมาดู

วินทร์รีบฉวยคืนใส่ถุงเพราะกลัวเจ้าน้องตัวดีจะทำเสียของ “ก็เพราะอยากรู้ว่ามันอร่อยถึงขนาดไหนน่ะสิ ถึงได้กิน เออ แล้วกล่องข้าวที่ฉันฝากแกไปซื้อน่ะได้มาไหม”

“ได้สิเฮีย ระดับไอ้โจ้สักอย่างแถมยังได้เบอร์ลูกสาวเค้ามาด้วย” จิงโจ้บอกพลางหยิบกล่องกระดาษลดโลกร้อนที่ไปขอซื้อต่อจากร้านค้าสวัสดิการของโรงพยาบาลออกมาส่งให้

“ก็เพราะทำตัวแบบนี้แหละนะถึงได้โดนสาวทิ้งเป็นว่าเล่น” วินทร์รับกล่องมานับก่อนจะเก็บใส่กระเป๋า

“นี่ถ้าผมไม่รู้ว่าพี่วินทร์เป็นหมอคงคิดว่าเป็นพวกเชฟเตรียมจะเปิดร้านอาหารแน่ๆ เห็นหมู่นี้สนใจเรื่องพวกนี้เป็นพิเศษ จะว่าไปพี่ก็ทำอาหารอร่อยนะ คิดถึงสมัยไปออกค่ายด้วยกันจัง”

“พี่วินทร์เนี่ยนะทำอาหารเป็น” พัฒนพงศ์ที่อยู่ด้วยกันมานานสุดพูดอย่างทึ่งจัด เขานึกภาพผู้ชายตัวโตหนวดเฟิ้มผูกผ้ากันเปื้อนไม่ออกจริงๆ “ผมคิดมาตลอดว่าหมีกริซลี่ชอบจับปลาแซลมอนมากินสดๆ ซะอีก”

“แม่ฉันเป็นครูสอนคหกรรมน่ะ ก็เลยพอจะมีวิชาติดตัวอยู่บ้าง”

“โหพี่วินทร์จะเท่เกินไปละ ตอนนี้เทรนด์ผู้ชายทำอาหารกำลังมาด้วย ดีนะที่พี่วินทร์มีพี่ฮาร์ฟไปแล้ว พวกผมเลยโชคดีหมดคู่แข่งไปอีกหนึ่งคน” สิทธิชัยพูด

วินทร์ที่กำลังเก็บของลงกระเป๋าชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดเสียงเบาคล้ายกับจะบอกกับตัวเองมากกว่า “นี่พวกแกรู้ไหม จะแข่งกับใครหรืออะไรก็แข่งไปเถอะ เพราะมันไม่มีอะไรยากไปกว่าการแข่งกับตัวเองอีกแล้วล่ะ”

“คมมาก” รุ่นน้องพากันกอดอกพยักหน้าเห็นด้วยหงึกหงัก

“เจาะกะโหลกหนาๆ ของไอ้โจ้ได้เลย”

“แล้วทำไมทุกคนต้องมาลงที่ผมเนี่ย” จิงโจ้โวย “แล้วนั่นพี่วินทร์จะไปไหนครับยังสอนผมไม่จบเลยนะ”

“ก็พวกนายเอาแต่พูดถึงหมอนั่นอยู่ได้ฉันเลยหมดอารมณ์จะสอนแล้วน่ะสิ”

“หมดอารมณ์สอนแต่มีอารมณ์ทำอย่างอื่นแทนสินะ” สิทธิชัยว่า

“วันนี้พี่ธีร์เข้าเวรอยากทำอะไรก็รีบทำนะครับ” พัฒนพงศ์บอก

“แล้วจะไปหานี่รู้แล้วเหรอครับว่าพี่ฮาร์ฟอยู่ไหน” สิทธิชัยถาม

วินทร์หยักยิ้มมุมปาก “ระดับนี้แล้ว”

“พี่วินทร์ครับ ผมมีคำถาม” จิงโจ้ชูมือขึ้นสุดแขนทำท่าล้อเลียนเวลาขออนุญาตอาจารย์ซักถามในชั้น “ทำไมพี่วินทร์ถึงรู้ได้ล่ะครับ”

“เพราะใจเราสื่อถึงกันไง” วินทร์หันมายักคิ้วให้ครั้งหนึ่งและเปิดประตูออกไปท่ามกลางเสียงแซวและเป่าปากที่ดังตามหลัง

พี่ใหญ่ของสายศัลยกรรมประสาทแและสมองหัวเราะในลำคอพลางออกเดินไปตามทางเมื่อคำพูดหนึ่งที่เอ่ยแซวดังขึ้นในหัว

‘ดับเครื่องชน’ งั้นเหรอ?... น้อยไปสิ นี่เหยียบจนแทบจะมิดแล้ว


(ต่อด้านล่างค่ะ)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด