Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Text_book#2 ภาคผนวก ก.P.32[3/08/2562]  (อ่าน 279367 ครั้ง)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่ 17 In my wind, in my view

เปลือกตาค่อยขยับเล็กน้อยก่อนกะพริบยิบหยีเพื่อสู้กับแสงไฟนีออนที่ส่องสว่างอยู่เหนือหัว มีเสียงลมตีดังฟืดฟาดสลับกับเสียงติ๊ดเบาๆ เป็นจังหวะดังมาเป็นระยะ ชายหนุ่มพยายามกรอกตามองไปรอบ ดูเหมือนตอนนี้เขาจะนอนอยู่บนเตียง และทั่วทุกสรรพางค์กายไม่มีส่วนไหนที่ไม่เจ็บปวด

ชายหนุ่มพยายามกระดิกนิ้ว รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้นที่พบว่ามันยังขยับได้แม้จะยากเย็น เขายกมือตัวเองขึ้นดูแทบไม่น่าเชื่อว่านั่นคือมือของเขา มันทั้งคล้ำและซีดเซียวเหมือนมือของซากศพ ทั้งยังเต็มไปด้วยร่องรอยแทงเข็มเพื่อให้ยาและน้ำเกลือ

เขาวางมือลงและพยายามทำความเข้าใจกับอะไรบางอย่างที่อยู่ในปาก มันเหมือนหลอดขนาดใหญ่ที่ค้ำลงไปจนถึงคอหอย รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกเมื่อพยายามสูดลมหายใจด้วยตัวเอง เขายกมือกำมันไว้พยายามจะดึงออกเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น

“อย่าดึงนะครับ อันตราย!”

ฝ่ามือคู่หนึ่งเอื้อมมาคว้ามือเขาไว้และยื้อยุดให้ปล่อย ชายหนุ่มกะพริบตาสู้แสงพยายามมองให้เห็นว่าเขาเป็นใคร หรือจะเป็นผู้ชายคนนั้น คนที่ปรากฏตัวอยู่ในฝันตลอดหลายวันที่ผ่านมา

“คนไข้ตื่นแล้วครับ”

ไม่ใช่... เสียงเล็กๆ ในหัวตอบกลับมาแบบนั้น
เกิดความชุลมุนขึ้นรอบตัว ชายวัยกลางคนในชุดกาวน์ยาวสีขาวพุ่งเข้ามายืนข้างเตียงแล้วใช้นิ้วเปิดเปลือกตาเขาให้กว้างขึ้นก่อนจะจับหน้าหันซ้ายหันขวาดูการเคลื่อนไหวของดวงตาแล้วหยิบไฟฉายอันเล็กขึ้นมาส่อง

“ขอหมอดูรูม่านตาหน่อยนะครับ”

เขาเผลอยกมือปัดเพราะแสบแสงที่แยงตา แต่แล้วจู่ๆ ก็นึกออกว่าตัวเองต้องทำยังไง โดยไม่ต้องรอให้หมอสั่ง... หมอ ? คิดว่าใช่นะ ค่อนข้างมั่นใจมากด้วย เขายกมือขึ้นในอากาศแล้วชูนิ้วชี้กับกลางขึ้นมา มันเหมือนได้ยินคำสั่งนี้ซ้ำๆ กันมาหลายร้อยครั้งแล้ว และวันนี้ก็ทำมันสำเร็จจนได้

“อะไรกัน วันนี้หมอยังไม่สั่งทำรอแล้วเหรอ” คนในชุดกาวน์หัวเราะลงคอ ไม่อยากจะชั่งน้ำหนักแล้วว่ารู้สึกแปลกใจหรือดีใจมากกว่ากัน “ไหนลองกำมือหมอสิครับ”

ด้วยความอ่อนแรงทำให้เขาคว้าลมคว้าแล้งอยู่หลายทีกว่าจะเอื้อมไปถึง มือของคุณหมอเย็นเฉียบเพราะเปิดแอร์แต่มันกลับอุ่นสำหรับเขา นี่สินะที่เรียกว่าสัมผัสของมนุษย์ มันรู้สึกดีจังเลย

นายแพทย์ทดสอบเขาทำอีกสองสามอย่าง เขาทำได้และคิดว่าดีเสียด้วยเพราะน้ำเสียงของหมอฟังดูตื่นเต้นมากทีเดียว “จำได้ไหมครับว่าตัวเองชื่ออะไร”

จำได้สิ จะลืมได้ยังไงล่ะเรื่องสำคัญขนาดนี้... พยายามขยับปากทั้งที่ไม่เสียง แต่เพียงแค่พยางค์แรกเขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

“อาทิตย์?” แพทย์เจ้าของไข้พูดสิ่งที่อ่านปากได้เพื่อทวนให้คนไข้ได้ยินก่อนจะหันไปมองเด็กหนุ่มในชุดขาวที่ยืนแอบอยู่หลังพี่พยาบาล “อธิษฐ์เหรอครับ”

...ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ชื่อเขา... นั่นชื่อใคร... แล้วใครคือเจ้าของน้ำเสียงที่เรียกชื่อเขา...

ภาพของชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นผุดขึ้นมาในหัว ก่อนที่เรื่องราวที่เห็นดังภาพฝันตลอดระยะเวลาที่นอนอยู่บนเตียงจะพร่างพรูเข้ามาในหัวราวกับห่าฝนจนเขาทำอะไรไม่ถูก เมื่อต้องเผชิญกับความเจ็บปวดที่กรีดแทงลงมาในหัวใจ

“คนไข้ชื่ออะไรครับ” นายแพทย์ถามซ้ำพยายามกระตุ้นให้นึกให้ออกด้วยตัวเอง แต่เมื่อเห็นแววตาเลื่อนลอยที่เริ่มรื้นน้ำตา เขาก็เปลี่ยนเป็นเริ่มต้นให้ข้อมูล “ไม่เป็นไร ใจเย็นนะๆ คนไข้ชื่อ...” เขาหยุดพูดเมื่อริมฝีปากแห้งผากนั้นพยายามขยับอีกครั้ง นายแพทย์ขยับปากตามเพื่อช่วยสะกด “ว... วินทร์”

ใช่แล้ว... นั่นต่างหากชื่อจริงของเขา

“ใช่ครับ เก่งมาก ตอนนี้คุณป่วย นอนพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนะ”

คนบนเตียงยกมือขึ้นจับสาบเสื้อกาวน์ราวกับตั้งคำถามกลับ

“ผมเป็นหมอที่ดูแลคุณครับ ชื่อ...”

...อาจารย์สรวิชญ์...

ทันทีที่อ่านตามริมฝีปากนั้นได้ คิ้วที่เริ่มเปลี่ยนสีไปตามเวลาก็มุ่นเข้าหากันเล็กน้อย “ใช่ครับ หมอชื่อสรวิชญ์”

นัยน์ตาคนบนเตียงเบิกโพลง... สิ่งที่เห็นไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือเรื่องจริง รู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นที่กำลังไหลรินอาบสองแก้มอย่างควบคุมไม่ได้ มือทั้งสองกำเป็นหมัดแน่นและทุบลงบนเตียง

นางพยาบาลประจำห้องรีบเข้ามาช่วยจับเมื่อเห็นคนไข้ดิ้นเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ

เขาเริ่มต้นสะบัด ไม่รู้เหมือนกันว่าไปเอาเรี่ยวแรงมากจากไหน แต่เขาโกรธตัวเอง โกรธที่ทำเรื่องโง่ๆ ลงไปแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้เลย

ท่อนแขนแข็งแรงกดพาดลงมาบนหน้าอกบังคับให้นอนลง มือข้างหนึ่งจับลงมาบนศีรษะ ทีแรกเขาคิดว่าจะโดนกดหรือจับฉีดยาให้อยู่นิ่ง แต่มือหยาบกร้านนั้นกลับเริ่มต้นลูบไปบนเรือนผมหนักๆ ทว่าอ่อนโยนพร้อมกับที่เสียงทุ้มกระซิบขึ้นข้างหู

“ใจเย็นๆ นะครับ ตกใจใช่ไหม? กลัวเหรอ?”

เขาหยุดอาละวาดและนิ่งฟัง

“เข้าใจที่หมอพูดใช่ไหมครับ ถ้าเข้าใจลืมตาสิแล้วหันมามองหมอ หลับตาแบบนั้นหมอจะรู้ได้ยังไงว่าคุณรู้เรื่อง”

เขาทำตาม น่าแปลก ทั้งที่ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นไม่ได้ยิ้มเลยสักนิด แต่น้ำเสียงและแววตานั้นเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

...และมันเหมือนกับแววตาของใครคนนั้นเหลือเกิน...

เมื่อเห็นคนไข้นิ่งไปอาจารย์สรวิชญ์จึงหันไปพยักหน้าขอกระดาษทิชชูจากพยาบาลมาเช็ดน้ำตาให้ “หลับไปนานตื่นมาคงตกใจน่ะ เห็นพยาบาลสวยๆ ใส่ชุดขาวเลยนึกว่าที่นี่เป็นสวรรค์” พยายามพูดติดตลก

“อาจารย์อย่าพูดเรื่องจริงสิคะ พวกหนูเขินนะ” นางพยาบาลแซว “จริงๆ อาจารย์น่ะเป็นคนใจดีนะคะ แต่ทำไมหนูเห็นพวกน้องๆ หมอน่ะกลัวอาจารย์กันหัวหดทุกคนเลย”

“ไม่ดุบ้างก็จะได้ใจ” อาจารย์สรวิชญ์ว่าแล้วหันมาสบตาคนบนเตียงอีกครั้ง “ยินดีต้อนรับกลับมานะหมอวินทร์ แล้วอย่าหนีกันไปไหนอีกนะ”

คนบนเตียงเริ่มได้สติและนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงเลือกที่จะกลับมา

...นี่คือทางที่เขาเลือกแล้ว หนทางยากลำบาก แต่ยังคงมีลมหายใจ...

เขาพยักหน้ารับคำทั้งที่ริมฝีปากยังสั่นระริกก่อนจะคว้าสาบเสื้อกาวน์ไว้แน่นอีกครั้ง

“อยากให้หมออยู่ก่อนเหรอ? ไม่ได้หรอก หมอต้องไปทำงาน มีคนไข้รอให้หมอไปดูแลอีกเยอะเลย” นายแพทย์บอกอย่างอ่อนโยน “ถ้าอยากจะอยู่กับหมอ ก็รีบหายไวๆ แล้วมาเรียนด้วยกันสิ หมอยินดีต้อนรับนะ แต่ตอนนี้ต้องนอนพักเยอะๆ จะได้หายไวๆ แล้วอย่าดื้อกับคุณพยาบาลนะ”

เขาพยักหน้าพร้อมกับปล่อยมือ พยาบาลเข้ามาช่วยห่มผ้าจนถึงหน้าอกก่อนที่ทุกคนจะกลับออกไป ในขณะที่พยายามข่มตาให้หลับหูก็ยังแว่วได้ยินเสียงคุยกัน

“ได้ทีโฆษณาเลยนะคะอาจารย์ เอ๊ะ! แล้วนี่ลูกชายอาจารย์จะเดินตามรอยอาจารย์ไหมคะ”

“มันกล้าไปเรียนอย่างอื่นด้วยเหรอ”


สามวันต่อมาวินทร์ก็เป็นอิสระจากท่อช่วยหายใจ เขาหลับไปนาน49 วัน เกือบต้องโดนเจาะคอไปสามรอบเพราะตามหลักการแพทย์แล้วต้องทำหากคนไข้มีแนวโน้มต้องใส่เครื่องช่วยหายใจนานเกิน 7 วัน  ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอบคุณคุณพ่อของเขานะที่หัวดื้ออย่างถึงที่สุดกับเรื่องนี้ ไม่งั้นคอเขาต้องมีรอยไม่หล่อแน่ๆ เลย

พูดไปนั่น! แค่ไม่ตายก็บุญแล้ว

“ขอบคุณอาจารย์มากนะครับที่ช่วยผม”

“คุณพูดประโยคนี้กับหมอทุกวันเลยนะ แล้วก็อย่าลืมล่ะเก็บมันไว้เป็นบทเรียน” อาจารย์สรวิชญ์กล่าว
 
ทีแรกเขาก็คิดหนักเรื่องจะบอกข่าวร้ายของพ่อกับแม่ แต่ทันทีที่หมอจิตเวชเดินเข้ามาแนะนำตัวก็กลับเป็นฝ่ายคนไข้เองที่พูดเรื่องนี้ออกมาก่อน โดยให้เหตุผลว่าระหว่างที่หลับนั้นรับรู้ทุกอย่างเพียงแต่ตอบสนองไม่ได้ เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อนี้เท่าไหร่นักเพราะไม่เคยมีงานวิจัยมารองรับ แต่วินทร์ก็พูดถูกทุกอย่างและสิ่งที่ดีที่สุดคือมันทำให้เขาให้ความร่วมมือในการรักษาเป็นอย่างดี อาการจึงดีขึ้นรวดเร็วแบบก้าวกระโดด

“ระหว่างที่คุณหลับมีผู้หญิงคนหนึ่งมาเยี่ยมคุณทุกวันเลยนะ”

“ใครหรือครับ” วินทร์ถามด้วยความสงสัยเพราะตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาก็ยังไม่เห็นใครเลยนอกจากหมอกับพยาบาล

“หมอจำชื่อไม่ได้ แต่เธอบอกว่าเป็นน้องสาวคุณ ดูเธอเป็นคนดีนะ ที่หมู่นี้ไม่ได้มาเยี่ยมนี่เหมือนจะไปเรียนต่อต่างประเทศมั้ง เห็นเธอมาบอกกับคุณพยาบาลก่อนจะไป”

ชื่อเพียงพิรุณปรากฏขึ้นมาในหัว น่าแปลก ทั้งที่เขายังไม่ลืมเธอแท้ๆ แต่กลับยิ้มได้เมื่อนึกถึงวันเก่าๆ ที่ยังอยู่ด้วยกัน บางทีนี่อาจจะเป็นอิทธิพลจากผู้ชายคนที่เขาฝันเห็นตอนที่หลับไปนั่นก็ได้ “แล้วเขารู้ไหมครับว่าผมกินยาฆ่าตัวตาย”

 “ตามจรรยาบรรณแพทย์เราไม่เปิดเผยความลับคนไข้อยู่แล้วคุณก็น่าจะรู้นี่” อาจารย์สรวิชญ์ตอบ

“แต่ถ้าพ่อกับแม่ผมไม่อยู่ งั้นใครเป็นคนดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายแล้วก็คอยซื้อของใช้กับขนมพวกนี้มาให้ล่ะครับ”

อาจารย์สรวิชญ์มองตาคนตรงหน้าอยู่อึดใจ “ผมไง แล้วก็เจ้าหน้าที่ที่นี่ที่ช่วยกันหามาให้ ผมไม่รู้หรอกว่าพวกเขาและเธอทำได้ยังไง แต่ทุกคนก็อยากเห็นคุณหายและกลับมาแข็งแรงเร็วๆ นะ”

วินทร์มองคนตรงหน้าอย่าซึ้งใจกับความหวังดีที่มีให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนของคนที่ไม่เคยรู้จักกัน เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ที่เห็นคนในชุดขาวเดินสวนกันขวักไขว่ มือที่กำผ้าห่มแน่นยกขึ้นหว่างอก แต่มือของผู้อาวุโสนั้นก็ไวพอๆ กัน

อาจารย์สรวิชญ์จับมือทั้งสองไว้ด้วยมือทั้งสองข้างเช่นกันและชิงพูดขึ้นก่อน “ตอบแทนพวกเราด้วยการหายเร็วๆ และอย่าจากไปไหนอีก ตกลงไหม”

“ขอบคุณครับ”

การนอนติดเตียงเป็นเวลานานทำให้วินทร์สูญเสียกล้ามเนื้อที่สร้างสมมาด้วยการออกกำลังกายไปมากกว่าครึ่ง เขาเหมือนตุ๊กตายางเหลวๆ ตอนนักกายภาพประคองให้ลุกขึ้นยืนในวันแรก พื้นห้องเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งที่บาดผิวจนสะดุ้งน้ำตาเล็ด และเหมือนมีเข็มนับร้อยมาทิ่มแทงที่ฝ่าเท้าทุกย่างที่ก้าวเดิน

เขาล้มแล้วล้มอีกจนลืมเจ็บ แต่เขาก็กัดฟันสู้ คนเราล้มเองต้องลุกเองให้ได้

หนึ่งเดือนต่อมาเขาก็สามารถเดินออกจากโรงพยาบาลได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยพยุงเดินใดๆ หากยังต้องไปโรงพยายาลเพื่อติดตามอาการทุกอาทิตย์ ร่างกายเขาอาจแข็งแรง แต่คนอื่นๆ คิดว่าสภาพจิตใจของเขาอ่อนแอเกินไปจากการสูญเสียพ่อกับแม่

ก็ไม่แปลกที่จะคิดแบบนั้น... จริงอยู่ว่าเขายังไม่เลิกเสียใจและโทษตัวเอง แต่เขารู้ดีว่าสภาพจิตใจตอนนี้ดีกว่าที่ทุกคนคิดมาก ถ้าเทียบกับตอนก่อนที่จะฆ่าตัวตายเขารู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้น นี่เขาไม่ได้อวยตัวเองนะ หมอจิตเวชประจำตัวก็บอกแบบนั้น

“ตอนนี้อะไรเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจคุณ” อาจารย์แพทย์ถาม เขาเป็นเพื่อนกับอาจารย์สรวิชญ์และมีหน้าตาใจดีผิดกันราวฟ้ากับเหว

“ความผิดพลาดที่ทำไว้ครับ” วินทร์ตอบ “การนอนในโรงพยาบาลทำให้ผมรู้ว่าชีวิตผมโชคดีกว่าคนอื่น ร่างกายแข็งแรงครบ 32 มีครอบครัวที่รักผม ผมควรใช้ชีวิตให้คุ้มค่าไม่ใช่ทำลายทิ้งด้วยเรื่องโง่ๆ”

หมอเลิกคิ้วเล็กน้อยเหมือนจะรู้ว่าโกหก... แหม แบบทดสอบทางจิตมีตั้งห้าร้อยกว่าข้อ ก็คงจะมีสักข้อสองแหละที่ตอบพลาดไป แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดนะต้องเรียกว่าพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวมากกว่า เพราะถ้าเกิดโพล่งออกไปตรงๆ ว่า ‘คนในฝัน’ ชาตินี้ก็คงไม่มีวันได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วล่ะ... นี่ต้องขอบคุณ ‘อดีตของเขา’ นะที่ช่วยสอนทริคให้รู้ว่าควรตอบยังไง

ช่วงระยะเวลาที่นอนอยู่บนเตียง เขาฝันถึงผู้ชายคนหนึ่งตลอดเวลา ผู้ชายที่เหมือนจะดูมืดมนแต่กลับสามารถสร้างรอยยิ้มและความหวังให้คนรอบข้างได้ และทั้งที่มั่นใจว่าเป็นความจริงแต่เขาก็ไม่สามารถบอกออกไปให้ใครฟังได้

อยากไปหา อยากเจอใจจะขาด แต่อีกใจก็รู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลา ตอนนี้ที่เขาต้องทำคือกลับไปทำงานใช้ทุนให้ครบก่อน แล้วมันอีกนานแค่ไหนกันนะกว่าจะได้เจอ 1 ปี? หรือ 2 ปีเหรอ?... ใจร้ายจังนะเวลาทำไมต้องให้ปีหนึ่งมีถึง 365 วันด้วย


“เจอกันอีกแล้วนะหมอ” อาจารย์สรวิชญ์ซึ่งนั่งประสานมืออยู่หลังโต๊ะทำงานทัก

หน้าตาของเขาดุดันและจริงจัง ถึงแม้วินทร์จะเจอมาหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ชินสักทีแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเป็นคนใจดียิ่งกว่าใคร ยิ่งตอนนี้ขยับขึ้นมาเป็นผู้ช่วยศาตราจารย์และดำรงผอ.กองศัลยกรรมยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขาม จนวินทร์เผลอกลืนน้ำลายหลายครั้งระหว่างนั่งดูเขาพลิกแฟ้มประวัติของเขาอย่างไม่ใส่ใจจะอ่านราวกับตัดสินใจมาจากบ้านแล้วว่าจะทำยังไงกับเขาดี

“ผมขอบอกตามตรง” อาจารย์สรวิชญ์เอ่ย “ไม่มีใครในภาคอยากรับคุณเพราะทัศนคติในการใช้ชีวิตที่ผ่านมา อีกทั้งเราก็มีผู้เรียนแล้วสองคน ถ้ารับมาอีกก็เกรงว่าจะดูแลไม่ทั่วถึง”

“แต่ผมอยากเรียนจริงๆ นะครับ” วินทร์พยายามสู้เพื่อตัวเอง ทำไมเขาจะว่าไม่รู้ว่านี่คือโอกาสสุดท้ายหลังจากที่โดนให้จบการสัมภาษณ์หลังจากที่เดินเข้าไปนั่งเพียงแค่ 5 นาที

“ผมเห็นแล้ว” อาจารย์สรวิชญ์ปิดแฟ้มและโยนมันลงบนโต๊ะ “ผมถึงได้เชิญให้คุณมาสัมภาษณ์เป็นการส่วนตัวอีกครั้งไง... หมอวินทร์... ผมรับคุณเป็นแพทย์ประจำบ้านสายศัลยกรรมประสาทและสมอง โดยมีข้อแม้ว่าคุณต้องมาเป็นอาจารย์ที่นี่หลังจากเรียนจบ”

วินทร์นิ่งไปอึดใจหลังจากได้ฟังคำถาม พลันสายตาเหลือบไปเห็นภาพถ่ายตั้งโต๊ะใบหนึ่งที่วางอยู่ข้างคอมพิวเตอร์ เด็กผู้ชายตัวผอมบางคนหนึ่งยืนแอบอยู่หลังผู้เป็นพ่อและเขาจำได้ทันทีว่าเป็นใคร “ผมไม่ต้องการเป็นอาจารย์ที่นี่ แต่ถ้าคุณอยากจะให้ผมเป็น ผมขออนุญาตจีบลูกชายคุณได้ไหมครับ” เหมือนถูกนัยน์ตาสีอ่อนของคนในภาพถ่ายสะกด เขาตอบออกไปทันทีโดยไม่ทันได้คิด แต่ก็ไม่นึกเสียใจ เขาอยากทำให้มันชัดเจนตั้งแต่ตอนนี้และที่ตอบตกลงเป็นอาจารย์ไม่ได้เพราะเขาไม่ต้องการมาเป็นคู่แข่งช่วงชิงความฝันของผู้ชายคนนั้น

นัยน์ตาสีเทาคมดุจ้องมองมาที่เขาซึ่งก็ไม่คิดจะหลบ

“เสียใจด้วยนะหมอวินทร์” อาจารย์สรวิชญ์ตอบ “ไม่ใช่แค่ห้าปีแต่เราคงต้องอยู่กันไปอีกหลายปีเลยล่ะ เตรียมเขียนแผนการสอนไว้ได้เลย”

แล้วก็มาถึงวันที่รอคอย มันคือวันแรกของการปฐมนิเทศเข้าเป็นแพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 1 คืนนั้นวินทร์ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเพราะมัวแต่คิดว่าถ้าได้เจอหน้ากันอีกครั้งจะทำยังไง จะต้องหวีผมแต่งตัวแบบไหนถึงจะให้ดูดีประทับใจ ทำแม้กระทั่งไปยืนซ้อมยิ้มและแนะนำตัวอยู่หน้ากระจก ตั้งใจจะเป็นผู้ชายที่ดีที่เขาอยากให้เป็น

แต่กว่าจะผล็อยหลับได้ก็เกือบรุ่งสาง ทำให้ตื่นสายตะวันโด่ง แผนการที่เตรียมไว้จึงพังไม่เป็นท่า เขาพรวดพราดลุกออกจากเตียงทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำ เรื่องโกนหนวดเครายิ่งไม่ต้องพูดถึงแค่ล้างหน้าแปรงฟันทันก็บุญแล้ว ขนาดผมเผ้ายังแค่เอามือสางๆ ระหว่างยืนอยู่ในลิฟต์

วินทร์วิ่งพรวดพราดเข้าไปในห้องประชุมซึ่งมีคนอยู่เต็ม โชคดีที่ประธานในพิธียังไม่มา เขามองหาที่นั่งของสายศัลยกรรมประสาทและสมองเห็นคนสองคนซึ่งคงจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นตรงมุมหนึ่ง เขารีบเดินเข้าไปรวมกลุ่มตีเนียนว่ามาถึงนานแล้วแต่มัวไปคุยอยู่กับกลุ่มอื่น

“ว่าไง... วินทร์ใช่ไหม ฉันธีร์นะ ส่วนนี่ฮาร์ฟ” หนึ่งในนั้นหันมาทักทายพลางสะกิดให้คนที่ยืนอยู่ข้างกันให้หันมา

เขานับหนึ่งถึงสามในใจ เตรียมจะพูดและยิ้มตามที่ซักซ้อมมา แต่ทันทีที่เห็นคนตรงหน้าเต็มตา เขาก็ทำได้แค่มองหน้าตาไม่กะพริบ

“สวัสดีครับ”

ยิ่งเมื่อนัยน์ตาสีอ่อนนั้นมองสบมาก็เหมือนกับโดนมนตร์ที่ชื่อว่า ‘ความคิดถึง’ สะกดใส่ เขาโผไปข้างหน้ารวดเร็วและรวบตัวร่างโปร่งมากอดแนบแน่น

“คุณจะทำอะไรน่ะ” คนในอ้อมแขนร้องบอกด้วยความตกใจ

ไม่ปล่อย!

เสียงในหัวใจเถียงกลับไปพร้อมกับกระชับวงแขนแน่นขึ้นอีกเพื่อให้แน่ใจว่าสัมผัสอบอุ่นของผิวเนื้อนี้คือของจริง

คิดถึง... คิดถึงเหลือเกิน

วินาทีนั้นเองที่เขาบอกกับตัวเองว่าจากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะไม่ปล่อยมือจากผู้ชายคนนี้อีกแล้ว

“คุณแก่กว่าผมปีนึงงั้นผมก็ต้องเรียกคุณว่าพี่สิ” ผู้ชายคนนั้นบอกหลังจากที่ธีร์เข้ามาช่วยแกะตัวเขาที่เกาะแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแกจนคนทั้งห้องเริ่มหันมามองได้สำเร็จ

“เรียกวินทร์เฉยๆ ก็พอ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่วินทร์”

คนที่จู่ๆ ก็กลายเป็นพี่ยู่ปากอย่างขัดใจ

เอาน่า! เป็นพี่ก็พี่ ไม่ได้สึกหรออะไรสักหน่อยนี่นา

“นายคิดอะไรอยู่” ธีร์กอดอกมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่เกรงใจ ก็แล้วทำไมต้องเกรงใจล่ะในเมื่อไอ้มนุษย์หมีถ้ำนี่เพิ่งจะแอบจับก้นพี่ชายบุญธรรมของเขาไป

“เปล่านี่” วินทร์ตอบทั้งรอยยิ้ม ไม่ได้อยากญาติดี แต่ถ้าในอนาคตจะดองกันเขาก็ไม่ควรหาเหาใส่หัวตั้งแต่วันแรก

“ถ้าคิดจะจีบฮาร์ฟฉันบอกเลยว่าเสียเวลา เพราะเขาชอบคนหล่อๆ ดูสะอาดสะอ้าน ไม่ใช่มนุษย์หมีถ้ำอย่างนาย”

วินทร์ยิ้มอย่างเป็นต่อ “ฉันว่าฮาร์ฟจิตใจดีพอที่จะตัดสินคนที่หัวใจนะ ไม่ใช่หน้าตา แล้วนี่มันก็เป็นสไตล์ของฉันว่ะ” นึกอยากตบปากตัวเองที่พูดออกไปไม่คิด แต่จะให้ถอนคำพูดก็ไม่ทัน เขาเหลือบตามองคนที่ยืนฟังประธานในพิธีกล่าวสุนทรพจน์อย่างตั้งใจ แล้วก็ให้กำลังใจตัวเองว่าถึงจะเป็นหมีถ้ำ ก็จะเป็นหมีน่ารัก(?)ที่ดูแลปกป้องเขาได้ ที่ลงทุนไปเข้ายิมและฝึกทำอาหารจากตำราเก่าของแม่มามันจะต้องไม่เสียเปล่าสิน่า

ธีร์ย่นคิ้ว หมอนี่ช่างหน้าด้านหน้าทนซะจริง เขาจึงจำต้องงัดไม้ตายมาใช้ “ฮาร์ฟมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

...พี่ปอ...

จู่ๆ ชื่อนี้ก็ลอยขึ้นมาในหัว วินทร์ย่นคิ้วเข้าหากันนึกสงสัยขึ้นมาจับใจว่าสามีของฝนมาเกี่ยวอะไรด้วย

แล้วโดยไม่ต้องพยายามนึกให้ออก ภาพบาดตาก็มีมาให้เห็นได้เกือบทุกวัน ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาสงสัยมาตลอดว่าทั้งที่หลบหน้า แต่ก็กลับแอบมองตามหลังผู้ชายคนนั้นจนสุดสายตา

ทำไมถึงต้องเป็นเขา ถ้านายรักฉัน จะไม่มีเหตุผลใดที่มาทำให้ฉันทอดทิ้งนายไปเหมือนเขา...

วินทร์พยายามจะเอ่ยปากกับนรกรหลายครั้งถึงเรื่องราวในฝัน แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะเขาเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นที่ตรงไหน

เวลาล่วงผ่านไปปีแล้วปีเล่าอย่างไร้ประโยชน์ อย่าเพิ่งพูดถึงคำว่าแฟนเลยเพราะแค่เพื่อนสนิทยังเป็นไม่ได้ และนั่นทำให้เขาอดสูอย่างถึงที่สุด

ใช่ว่าวินทร์ไม่เคยคิดเรื่องตัดใจ จะรักทำไมคนที่ไม่เคยหันมามอง เคยแม้กระทั่งคิดว่ามันอาจเป็นความหลงเพียงครู่ชั่วยามในวันที่อ่อนแอ แต่ยิ่งได้รู้จัก ยิ่งได้พูดคุยเขากลับรู้สึกว่านรกรมีอะไรให้น่าค้นหา และในที่สุดเขาก็ไม่อาจละสายตาไปจากผู้ชายคนนี้ได้

จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อขึ้นเป็นแพทย์ประจำบ้านปี 5 วินทร์ก็ฝันอีกครั้ง และครั้งนี้ทุกอย่างชัดเจนมากขึ้น เขาพยายามจะบอกกับนรกรแต่ก็ทำไม่ได้ ทุกๆ ครั้งจะต้องมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเข้ามาแทรก แต่เขาก็ไม่ละความพยายาม จนกระทั่งมาถึงวันหนึ่งก็ได้รู้ว่าเขาควรหยุดเสียที ไม่ใช่ว่าเขาเปลี่ยนอนาคตไม่ได้ แต่เขาเปลี่ยนโชคชะตาไม่ได้

เขารู้ว่านรกรจะไปกินข้าวกับคณิณ จึงรีบชิงชวนไปก่อน แต่ใครจะไปรู้ว่าสุดท้ายโชคชะตาก็ทำให้พวกเขาก็ไปด้วยกันจนได้ และเรื่องมันก็ดำเนินไปเหมือนในฝันไม่มีผิด ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาหงุดหงิดมากตอนที่ไปแกร่วรอในร้านอาหารโดยที่ไม่รู้ว่านรกรจะมาตามนัดไหมเพราะวันนั้นอทิฏฐ์ไม่ได้ตามไปด้วย แล้วรถก็ดันมาเสียอีกจะให้ไปส่งก็กลัวตัวเองในอดีตจะมาเห็นแล้วเข้าใจผิด... ทั้งขี้น้อยใจแล้วก็ขี้หึง นึกรำคาญนิสัยเสียข้อนี้อยู่เหมือนกัน แต่มันก็แก้ไม่ได้ง่ายๆ นี่นา

สิ่งเดียวที่ถือเป็นเรื่องโชคดีคือการที่นรกรยอมใส่แว่นตาที่เขาให้ เขาล่ะเกลียดตัวเองตอนเป็นไอ้ผีบ้านั่นชะมัด รู้ทั้งรู้ว่านรกรเป็นคนตาแพ้ง่าย แค่โดนควันธูปหน่อยก็น้ำตาไหลเป็นทางแล้ว ทำไมยังไปให้ฝืนให้ใส่คอนแทคเลนส์อีก

วินทร์เริ่มถอยเมื่อรู้ว่าไม่มีโอกาสเข้าไปแทรกแซง เขาต้องรอ... รอเวลาที่ตัวเองในอดีตจะกลับไป และหลังจากนี้มันจะเป็นเวลาของเขา

แล้วเขาก็ได้รู้อีกครั้งว่าตัวเองคิดผิด ผิดที่รอ...

เขาน่าจะรู้มาตั้งนานแล้วว่านรกรไม่ได้รักวินทร์ แต่รักอทิฏฐ์

สำหรับนรกร เราทั้งคู่อาจเป็นคนเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย ในเมื่ออทิฏฐ์คือตัวจริงและวินทร์เป็นแค่เงาของเขา

เขาต้องถอยอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะตัดใจ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เขาต้องการให้นรกรเข้าใจ เพราะสุดท้ายแล้วอทิฏฐ์คนนั้นจะไม่มีวันกลับมาอีก ที่นี่ ตรงนี้ ณ ปัจจุบันนี้ มีแค่เขา... มีแค่ ‘วินทร์’ คนเดียวที่จะขอรักนายตลอดไป

***********************TBC***********************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-06-2016 16:37:49 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1

ถอยอีกครั้ง คือ วินทร์ไปเมืองนอกสองปี

คัต++

ตัดฉากมาตอนแรกของเรื่อง

นับตั้งแต่วันที่ใครคนนั้นจากไป
ใครคนนั้น เจ้าของช่อดอกไม้ Forget Me Not

คัต++

กลับมาสู่ปัจจุบัน

 

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3

ถอยอีกครั้ง คือ วินทร์ไปเมืองนอกสองปี

คัต++

ตัดฉากมาตอนแรกของเรื่อง

นับตั้งแต่วันที่ใครคนนั้นจากไป
ใครคนนั้น เจ้าของช่อดอกไม้ Forget Me Not

คัต++

กลับมาสู่ปัจจุบัน

ขอเชิญมารับมงด้วยค่ะ555

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
โอ้ยยย.....อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว

คือลุ้นตลอดๆ  อ่านจบต้องอ่านซ้ำ ไม่ใช่งงน่ะแต่คืออยากอ่านเรื่อยๆยังไม่อยากหยุดอ่าน อยากอ่านนานๆ อิอิ

ออฟไลน์ janehh

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
พ่อหมีของเค้าาาา  :hao5:

อยากอ่านอีกกก รู้สึกไม่พอออ5555555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อยากอ่านต่อเรื่อยๆ อ่านเพลินมากเลย
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ Dezzerr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
สงสารพี่วินทร์จัง

ออฟไลน์ jejiiee

  • cannot open this page
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ฮือออ สงสารวินทร์อ่ะ ฮือออออ

ออฟไลน์ May@love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 827
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-2

เป็นกำลังให้หมีถ้ำ  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
โอ๊ย ฮาร์ฟๆๆๆ อยากเขย่ารัวๆ จะได้จำได้ซะที

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
รอ....ความรัก

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
ทำไมถึงได้กลิ่นโรแมนติกออกมาจากตอนนี้  ตลบอบอวลไปหมดเนี่ยยย  :L1:


ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
อึดอัด สงสารพี่วินทร์

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
แหม่....แข่งกับคนอื่นยังทำใจได้ แต่แข่งกับตัวเองนี่ยากจริง ๆ

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
อ่านตอนนี้แล้วยิ่งสงสารพี่วิน   ความรักต้องรอผิดหวังแล้วผิดหวังอีก  เศร้าจัง

ออฟไลน์ RainingTime

  • ♥ น้องวัวแอนด์เดอะแก๊งค์ ,, :)
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
กรี๊ดดด~ อ่านรวดเดียวมาถึงตอนนี้เลย ทำไมเราไม่ค่อยเศร้า แต่เราฟินนน!!
ไม่เสียแรงที่เชียร์พี่หมีถ้ำเคราตะไคร่น้ำมาตั้งแต่แรก  :laugh: :laugh:

สู้ต่อไปนะพี่หมี เดี๋ยวเอาปลาแซลมอลมาฝาก จะได้ไม่ต้องไปจับเองเนอะ #ผิด 55555

คนเขียนสู้ๆนะคะ เราหลงรักเรื่องนี้มากๆเลย  :กอด1:

ออฟไลน์ banazjj

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนแรกฉากแรก เราคิดว่าฮาร์ฟหมายถึงอธิษฐ์ซะอีก
ตกลงหมายถึงวินทร์เหรอ นี่ต้องอ่าน 2รอบ เพื่อเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์
แต่งได้เก่งมาก งงแต่สนุกกกก พยายามเรียงว่าตอนนี้มันตรงไหน ตัดสลับไปมา 555
มาต่อเร็วๆนะคะ สู้ๆนะ สนุกมาก รออยู่เรื่องเดียวจริงๆ

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
อ่านตอนนี้แล้วถึงเข้าใจ ตอนเปิดเรื่องค่ะ  ชอบมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
กรี๊ดดด~ อ่านรวดเดียวมาถึงตอนนี้เลย ทำไมเราไม่ค่อยเศร้า แต่เราฟินนน!!
ไม่เสียแรงที่เชียร์พี่หมีถ้ำเคราตะไคร่น้ำมาตั้งแต่แรก  :laugh: :laugh:

สู้ต่อไปนะพี่หมี เดี๋ยวเอาปลาแซลมอลมาฝาก จะได้ไม่ต้องไปจับเองเนอะ #ผิด 55555

คนเขียนสู้ๆนะคะ เราหลงรักเรื่องนี้มากๆเลย  :กอด1:

ขอบคุณที่ติดตามค่าาา

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
อ่านตอนนี้แล้วถึงเข้าใจ ตอนเปิดเรื่องค่ะ  ชอบมาก

ขอบคุณค่า
เดี๋ยวจะกลับไปต่อต้นเรื่องแล้ว

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทที่18 Accept

หลังจากแยกกับวินทร์ที่สวน นี่ก็เป็นอีกคืนที่นรกรนอนไม่หลับ เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงตะแคงข้างหันหลังให้กำแพงเฝ้ามองพื้นที่ว่างเปล่ากับลมที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ผ้าม่านปลิวน้อยๆ

เขาไม่ได้คิดถึงอทิฏฐ์ หากคิดถึงรสจูบที่ยังไม่สัมผัส แต่เพียงแค่นึกก็ทำให้ริมฝีปากกับใบหน้าร้อนผ่าว คิดถึงสายตาอบอุ่นคู่นั้นที่มีให้กันเสมอๆ ก่อนที่ภาพในหัวจะตัดไปกลายเป็นแววตาเจ็บปวดตอนที่วินทร์กำลังลุกเดินจากไป

นรกรข่มตาลง แต่ยิ่งปิดกั้นภาพนั้นยิ่งแจ่มชัด เหมือนแสงดาวในคืนเดือนมืด ยิ่งมืดยิ่งได้เห็นแสงสว่างเล็กๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยมองข้ามไป

ใต้ฟ้าเดียวกัน ในคนละห้องของหอพักแพทย์ ร่างสูงที่สวมเพียงกางเกงขายาวนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง วินทร์พยายามข่มตาให้หลับ แต่ใจกลับยิ่งคิดถึงคนที่ทิ้งไว้ลำพัง ไม่ใช่ความผิดนรกรเลยที่จะรอคนที่บอกว่าให้รอ แต่สุดท้ายแล้วใจก็ยังรับไม่ได้ถ้าต้องอยู่กับความคลางแคลงใจนั้นไปชั่วชีวิตว่าจริงๆ แล้วอีกฝ่ายรักใคร ‘วินทร์’ หรือ ‘อทิฏฐ์’ มันไม่ใช่เรื่องของทิฐิที่ไม่บอก แต่มันเป็นเรื่องของความรู้สึกซื่อตรงกับหัวใจต่างหาก

เมื่อแสงอาทิตย์ทอผ่านผ้าม่านเข้ามาเป็นการบอกให้รู้ถึงการมาของเช้าวันใหม่ ในที่สุดวินทร์ก็ตัดสินใจได้เขาผุดลุกลงจากเตียง และเดินเข้าไปในห้องน้ำ สองมือเท้าลงบนขอบอ่างจ้องมองเงาตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก ก่อนจะหยิบใบมีดคมวับขึ้นมาแล้วปาดลงไปบนผิวแก้ม

“ซี้ด” สูดปากเบาๆ เมื่อของเหลวสีแดงซึมออกจากผิวแล้วหยดลงไปบนอ่างก่อนจะไหลวนปะปนไปเศษอื่นๆ ลงท่อระบายน้ำ

วินทร์วักน้ำล้างหน้าเป็นครั้งสุดท้าย รู้สึกแปลกตาไม่น้อยกับใบหน้าที่ปราศจากหนวดเครารกรุงรังที่ไม่ได้โกนออกให้เกลี้ยงเกลามาแรมปี 

เขายิ้มให้กับเงาตัวเองในกระจก “ได้เวลาตัดสินแล้วสินะ”

oooooo

“สวัสดีครับคุณหมอ”

นรกรเงยหน้าขึ้นมองชายวัยกลางคนเจ้าของเสียง และออกแปลกใจไม่น้อยที่เห็นร่างทรงชื่อดังยืนมือไพล่หลังส่งยิ้มมาให้อยู่ที่ประตูหน้าห้องตรวจ “อาจารย์สรวิชญ์อยู่ห้องตรวจเบอร์ 3 ครับ”

“ผมไม่ได้แจ้งคุณหมอไปแล้วเหรอครับว่าคราวหน้าจะขอมาตรวจด้วยน่ะ” อาจารย์องค์อินทร์ตอบก่อนจะปิดประตูและเดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้

“ไม่มีปัญหาครับ” นรกรรีบบอก “แต่นี่ยังไม่ถึงวันนัดผมก็เลยคิดว่าคุณมีธุระอย่างอื่น”

“ก็เห็นในคำแนะนำบอกว่าถ้ามีอาการผิดปกติให้รีบมาพบแพทย์ทันที”

นรกรพยักหน้า “แล้วคุณมีอาการผิดปกติอะไรครับ”

อาจารย์องค์อินทร์ไม่ตอบคำถามในทันที แต่กวาดตามองไปรอบๆ ห้องอยู่หลายนาทีก่อนจะพูดขึ้น “วันนี้ห้องนี้เงียบจัง”

“คุณตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่ครับ”

“ก็สิ่งที่ผิดปกติไง” อาจารย์องค์อินทร์จ้องตาคุณหมอหนุ่มเขม็งก่อนจะคลี่ยิ้มทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “จริงๆ แล้วผมไม่มีอะไรผิดปกติหรอกแค่วันที่นัดกับหมอไว้ต้องไปบรรยายที่ต่างจังหวัดน่ะ ก็เลยมาตรวจก่อน”

นรกรพยักหน้าและเริ่มต้นตรวจร่างกายพร้อมกับซักถามเพิ่มเติมไปเรื่อยๆ โดยที่อีกฝ่ายก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีจนกระทั่งเสร็จสิ้น “คุณดูแลสุขภาพได้ดีขึ้นนะครับ” เขาเอ่ยชม

“ต้องขอบคุณหมอน่ะแหละ นัดอีกหนึ่งเดือนใช่ไหม ได้ข่าวว่าหมอเรียนจบแล้วนี่ มาครั้งหน้าผมต้องเรียกอาจารย์แล้วสินะ”

“เรียกเหมือนเดิมก็ได้ครับ”

“หมอ” อาจารย์องค์อินทร์เรียกก่อนจะเดินออกจากห้อง “เห็นแก่ที่พ่อของหมอกับหมอดูแลผมเป็นอย่างดีนะ... หมอจำได้ไหมวันที่เราเจอกันครั้งแรกผมบอกอะไรคุณ”

นรกรครุ่นคิดอยู่อึดใจก่อนจะพยักหน้า “คุณบอกว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่ผม”

“ผมรู้ว่ามันยากเกินจะเชื่อ” อาจารย์องค์อินทร์พูดต่อ “แต่ลองคิดดูสิว่าบางทีสัมผัสพิเศษของคุณอาจไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติอย่างสุดท้ายในชีวิต”

นรกรจ้องมองร่างทรงตรงหน้า “แล้วมันจะมีอะไรอีกล่ะครับ”

อาจารย์องค์อินทร์หยักยิ้มมุมปาก “ไม่รู้สิ หมอก็แค่… ลองเปิดใจ” กล่าวทิ้งท้ายไว้เท่านั้นแล้วกลับออกไป

อันที่จริงเขาจะบอกตรงๆ ไปเลยก็ได้นะ แต่คิดๆ แล้วก็ยังแอบหมั่นไส้พ่อหนุ่มนั่นอยู่ไม่น้อย ลงทุนช่วยมาถึงขนาดนี้ยังท่ามากดีนักก็ปล่อยให้นอนช้ำใจเล่นไปอีกสักพักละกัน

นรกรเม้มปากสนิท มือกำปากกาแน่น เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไร ในเมื่อคำตอบมันชัดเจนมาตั้งนานแล้วกับสิ่งที่เขาพยายามพิสูจน์ ไม่ว่าจะเรื่องชื่อที่มีแต่อทิฏฐ์เท่านั้นที่เรียกเขา เรื่องอาหารที่ชอบ แม้กระทั่งเรื่องหมอเบลล์กับเจ้าบิชอฟ

และสาเหตุที่นรกรไม่ยอมให้คำตอบสักทีทั้งรู้ทุกอย่างแล้ว เพราะเขาก็แค่คิด… ไม่ว่าตอนนี้อทิฏฐ์ในร่างของวินทร์จำเรื่องราวทั้งหมดได้หรือไม่ก็คงจะไม่ชอบใจกับคำตอบที่เหมือนจะถูกโชคชะตายัดเหยียดให้และนั่นคือเหตุผลที่เขาเดินจากไปเมื่อวาน

…ไม่มีใครอยากเป็นภาพทับซ้อนของใคร…

oooooo

[พี่ฮาร์ฟมาเร็วๆ สิครับงานเริ่มแล้วนะ]

เสียงของจิงโจ้ดังมาตามสายโทรศัพท์ในขณะที่รถมินิคูเปอร์จอดตายติดไฟแดงมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาเพิ่งเสร็จจากการเดินตรวจรอบเย็นและกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่ห้องเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงเรียนจบและต้อนรับอาจารย์ใหม่ซึ่งจัดขึ้นที่ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา

“กินกันไปเลยไม่ต้องรอพี่”

[แต่พี่ฮาร์ฟเป็นเจ้าของงานนะคร้าบบบ]

ได้ยินแบบนั้นนรกรจึงไม่ว่าอะไรอีกนอกจาก “จะรีบไป” และกดตัดสาย เพราะคำตอบนั้นทำให้รู้โดยไม่ต้องถามต่อว่าทุกคนมากันครบแล้วเหลือแต่เขาคนเดียว

จริงๆ แล้วนรกรคงจะไม่ช้าขนาดนี้เลยถ้าไม่ใช่เพราะมัวแต่นั่งรอโทรศัพท์หรือเสียงเคาะประตูห้องจากใครบางคน

เขารู้ว่าวันนี้วินทร์ไม่เข้าเวร จึงไม่คาดหวังกับการมาหาตอนเช้า แต่ก็แค่แอบคิด... ว่าอีกฝ่ายจะยังมารับไปด้วยกัน

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้มือก็กำพวงมาลัยแน่นขึ้นอีก …นี่คงไม่ได้หมายความว่าเขาถูกหลบหน้าหรอกใช่ไหม

อีกครึ่งชั่วโมงต่อมารถมินิคูเปอร์ก็วนหาที่จอดในร้านซึ่งมีคนแน่นขนัดได้สำเร็จ บริกรของร้านเดินนำเข้าไปยังพื้นที่ที่ถูกกันไว้ในส่วนแพริมน้ำ มันไม่ได้ถูกประดับประดาอะไรมากมายเพียงแค่มีแสงดาวบนท้องฟ้ากับภาพสะพานแขวนที่ทอดตัวข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเห็นเป็นคลื่นเงากระเพื่อมวับไหวสะท้อนแสงจันทร์กับแสงดาวนั่นก็งดงามจับตาแล้ว ทำให้นรกรนึกชื่นชมบรรดาน้องๆ ที่อุตส่าห์สรรหาร้านที่ดีแบบนี้เพื่อให้นี่เป็นอีกคืนที่น่าจดจำของผู้ที่สำเร็จการศึกษา ซึ่งตอนนี้ความผูกพันมันมีมากกว่าความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องแต่มันคือคำว่าครอบครัว

โต๊ะตัวใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางแพไม้ที่ต่อยื่นลงไปในแม่น้ำ ด้านหน้ามีเวทีเล็กๆ กับเครื่องเสียงสำหรับร้องคาราโอเกะที่ตอนนี้อาจารย์ผู้หญิงเพียงคนเดียวในภาควิชาซึ่งก็คือแม่ของเขาเองกำลังดวลเพลงจูบเย้ยจันทร์กับอาจารย์ภูมิศิลป์ โดยมีศาสตราจารย์สรวิชญ์พ่อของเขานั่งกอดอกมองดูอยู่คล้ายกับไม่พอใจนิดๆ แต่ก็คงห้ามไม่ได้เพราะการร้องเพลงเป็นสิ่งเดียวที่ผู้ชายที่แสนเพรียบพร้อมคนนี้ทำไม่ได้

นรกรกวาดตามองหาไปในกลุ่มคนที่กำลังปรบมือกันสนุกสนานแต่ก็ไม่เห็นคนที่มองหา

“อ้าวพี่ฮาร์ฟ มาถึงแล้วทำไมไม่เข้าไปล่ะครับ” จิงโจ้ที่เพิ่งกลับจากไปเข้าห้องน้ำร้องทักพร้อมกับเข้ามาเกาะแขนข้างหนึ่งและดึงให้เดินไปด้วยกัน เขาดูกรึ่มหน่อยๆ ทั้งที่เพิ่งหัวค่ำแท้ๆ “แหมๆ ที่มาช้าเพราะมัวแต่แต่งหล่อนี่เอง พี่วินทร์ก็เหมือนกัน ท่าทางอาหารมื้อดึกเมื่อคืนจะถูกปากกันสินะ”

“หมายความว่าไงโจ้” นรกรถาม ไม่แปลกใจที่ตัวเองจะโดนทักเพราะวันนี้ลงทุนไม่ใส่แว่นมาเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง

“พี่ก็ดูเองสิ” จิงโจ้ว่า “ทุกคนพี่ฮาร์ฟมาแล้วคร้าบบบ”

“ขอโทษครับที่มาช้า” เขายกมือไหว้อาจารย์ท่านอื่นๆ และในขณะที่กำลังนั่งลงตรงที่ว่างที่เหลือนั่นเองที่เขาเห็นคนที่จิงโจ้บอกให้ดูนั่งอยู่ตรงข้าม พลันหัวใจเต้นรัวจนเจ็บ นี่เองสาเหตุเขามองหาวินทร์ไม่เจอในทีแรก เพราะคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ใช่ผู้ชายหนวดเฟิ้มแต่งตัวซกมกที่เคยคุ้นตา และนอกจากจะมีใบหน้าขี้เล่นของอทิฏฐ์แล้ว ยังแอบแฝงความสุขุมแบบผู้ใหญ่ไว้ในที ซ้ำยังใส่เสื้อเชิ้ตสีครีมตัวที่เขาซื้อให้เมื่อวันเกิดได้อย่างเหมาะเจาะเสียด้วย

“นั่งเลยครับ” จิงโจ้ถามเมื่อเห็นเขายังยืนอยู่ก่อนจะมองตามสายตาไปและเอ่ยแซว “หรือพี่ฮาร์ฟจะแลกที่กับผมก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไรโจ้” เป็นที่ธีร์ที่นั่งเก้าอี้ติดกับเขาตอบแทนพร้อมกับดึงมือให้นั่งลง “ไม่ใส่แว่นแล้วมองเห็นเหรอ” ถามเสียงเข้ม

“ฉันใส่คอนแทคเลนส์น่ะ” นรกรตอบ “ก็เห็นว่างานใหญ่ แถมพ่อยังเป็นประธานอีก ฉันก็กลัวโดนดุน่ะสิ”

“ทำไมเหตุผลเหมือนพี่วินทร์เลยล่ะครับ” จิงโจ้ยังไม่เลิกแซว “ทางนี้ก็บอกว่าโดนอาจารย์สรวิชญ์สั่งมาเหมือนกันว่าจบแล้วต้องทำตัวให้ดูน่าเชื่อถือหน่อย”

“เลือกแซวได้แล้วน่า” วินทร์หันไปทำท่าหลังแหวนใส่จิงโจ้

“แค่นี้ทำเขิน” ใครคนหนึ่งร้องแซวก่อนที่คนอื่นๆ จะเริ่มส่งเสียงตามมา ทำให้ศาสตราจารย์สรวิชญ์เริ่มผิดสังเกตและหันมามอง

แค่สายตาที่มองมากระตุ้นเตือนให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนั่นนรกรก็เขินเกินจะทนแล้ว พอถูกแซวมากเข้ายิ่งทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก “ผมไปห้องน้ำนะ” บอกและรีบลุกขึ้นยืน

“ทะเลาะกันเหรอ” ธีร์หันมาถามวินทร์ทันทีที่พี่ชายบุญธรรมคล้อยหลัง

“เปล่า” วินทร์บอก

“ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิดพี่วินทร์รีบไปขอโทษซะ” พัฒนพงศ์ว่า

“ทำไมล่ะ”

“เพราะพี่วินทร์เป็นพี่วินทร์ไง” สิทธิชัยต่อให้

พี่ใหญ่กรอกตาครั้งหนึ่งโดยที่ไม่ยอมพูดอะไรก่อนจะลุกขึ้นยืน สร้างเสียงโห่ฮาลั่นโต๊ะซึ่งเขาก็ไม่ตอบโต้อะไรเพียงแต่หันไปสบตารุ่นน้องทีละคนด้วยสายตาจริงจังพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นสัญลักษณ์บอกให้หยุด และมันได้ผลทุกคนนิ่งไปทันที เขาจึงรีบก้าวยาวๆ ตามนรกรไป

“ฮาร์ฟ”

“ครับพี่วินทร์”

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่านี่ครับ ผมบอกแล้วไงว่าแค่มาเข้าห้องน้ำ”

“ห้องน้ำอยู่ทางโน้น”

“ผมแค่เลี้ยวผิด” นรกรรู้ว่าคำแก้ตัวนี้มันงี่เง่าสิ้นดีเพราะป้ายบอกทางนั้นติดอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง

“ฉันขอโทษที่ทำให้นายอึดอัด” วินทร์บอก “เดี๋ยวฉันเคลียร์กับเจ้าพวกนั้นเอง นายกลับไปนั่งเถอะ”

“ผมไม่ได้อึดอัด” นรกรตอบไม่เต็มเสียง

วินทร์ผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อย “คิดว่าฉันดูไม่ออกเหรอ”

“แล้วทำไมพี่วินทร์ถึงดูออกล่ะครับ”

รอยยิ้มจางลากขึ้นบนเรียวปาก “ทำไมจะดูไม่ออกล่ะ ก็ฉันเฝ้ามองนายมาตั้ง 5 ปีแล้วนี่นา… แล้วก็นะ…”

วินทร์หยุดพูดไปเสียเฉยๆ นรกรแอบเห็นมือใหญ่คล้ายยกขึ้นเหมือนจะทำอะไรก่อนจะกำเป็นหมัดแน่นแล้วดึงกลับไปไว้ข้างตัว

“เดี๋ยวฉันไปก่อน สักพักนายค่อยตามไปนะ”

แล้วก็จริงอย่างที่เจ้าตัวบอกเมื่อนรกรเดินกลับมาที่โต๊ะทุกคนก็กลับมาให้ความสนใจกับประเด็นสำคัญที่จัดงานขึ้นมาในวันนี้รวมทั้งพูดคุยกันเรื่องทั่วๆ ไป ซึ่งเขาก็ได้แต่นั่งฟังไปเงียบๆ เหมือนอย่างเคย และใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนั่งฟังเพลงกับเฝ้าดูน้องๆ ออกไปเต้นกันหน้าฟลอร์ ตอนนี้ศาสตราจารย์สรวิชญ์สามารถทำให้ภรรยายอมวางไมค์ได้ด้วยการไปโค้งมาขอเต้นรำ เขานั่งเท้าคางมองพ่อกับแม่โยกเบาๆ ไปตามจังหวะ มันไม่ได้มีอะไรน่าหวือหวา แต่มือที่เกาะกุมกันไว้กับสายตาที่ทอดมองกันของคู่ชีวิตทำให้เขาแอบยิ้มตามและนึกอิจฉาอยู่ลึกๆ ในใจ

“พี่ฮาร์ฟเป็นอะไรทำไมถึงนั่งหงอยอยู่คนเดียวแบบนี้ล่ะครับ” จิงโจ้ที่เพิ่งเดินกลับเข้ามานั่งถาม หลังจากปล่อยลีลาไปสามเพลงรวดจนเริ่มสร่างเมา

“เปล่านี่”

จิงโจ้มองหน้าพี่ใหญ่ของสายศัลยกรรม รู้ว่าเขาตอบคำถามไม่ตรงกับใจเช่นเดียวกันกับพี่ใหญ่อีกคนที่วันนี้เงียบไปอย่างเห็นได้ชัด ถึงอยากช่วย แต่คงทำอะไรไม่ได้นอกจากจะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องเศร้าๆ ในแบบที่ตนก็กำลังทำอยู่เช่นกัน “กินไหมครับ” ถามพร้อมกับชูเครื่องดื่มสีอำพันในมือให้ดู

นรกรรีบปฏิเสธ “ไม่เอาหรอก ฉันไม่ค่อยถูกกับพวกแอลกอฮอล์น่ะเดี๋ยวต้องขับรถกลับอีก”

จิงโจ้พยักหน้าแต่ก็ยังไม่ละความพยายาม เขาหันไปโบกมือเรียกบริกรและอึดใจต่อมาบริกรคนเดิมก็นำเครื่องดื่มที่สั่งไปมาเสิร์ฟ “อันนี้เป็นค็อกเทลครับใส่แอลกอฮอล์นิดเดียว มันก็คล้ายๆ กับน้ำผลไม้น่ะแหละ จิบแค่แก้วสองแก้วให้พออารมณ์ดี ไม่ถึงกับเมาหรอก”

“มันคืออะไรครับ” นรกรที่ยังไม่ยอมไว้ใจเครื่องดื่มสีฟ้าใสในแก้วทรงสูงหันไปถามคนที่นำมันมาเสิร์ฟ

“กามิกาเซ่ครับ” บริกรหนุ่มท่าทางสุภาพตอบ

“ขอโทษนะครับ ผมไม่เคยดื่มเหล้าเลยคุณช่วยอธิบายมากกว่านี้หน่อยได้ไหมครับ”

“ได้สิครับ” บริกรหนุ่มตอบและเริ่มต้น “ส่วนผสมหลักของค็อกเทลแก้วนี้คือว็อดก้ากับบลูคูราโซ่ผสมกับน้ำราสเบอร์รี่และน้ำมะนาว จึงมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ทำให้ดื่มง่ายไม่บาดคอครับ”

นรกรพยักหน้าตาม “มันเรียกว่าอะไรนะครับ”

“กามิกาเซ่ครับ” บริกรหนุ่มทวนชื่อให้ฟังอีกครั้ง “เป็นภาษาญี่ปุ่นมาจากคำว่า Kami แปลว่า พระเจ้า กับ Kaze หมายถึง ลมแห่งสวรรค์ หรือที่เรียกกันว่า Divine wind ในภาษาอังกฤษครับ”

“โอ้โห เป๊ะเวอร์” จิงโจ้ปรบมือชื่นชม “พี่ฮาร์ฟมีข้อสงสัยอะไรเพิ่มอีกไหมครับ”

นรกรส่ายหน้าและรับมาถือไว้ หากยังลังเลและจ้องเครื่องดื่มสีสวยในมืออยู่อีกหลายนาทีแม้จิงโจ้จะไม่เลิกคะยั้นคะยอ จนนัยน์ตาสีอ่อนเหลือบไปเห็นร่างสูงที่ชื่อคล้ายกันกับค็อกเทลชนิดนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ เขาก็ยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก



“ใครเอาเหล้าให้ฮาร์ฟกินเนี่ย” ธีร์ถามเสียงดัง เมื่อกลับออกจากฟลอร์มาเจอพี่ชายบุญธรรมนั่งฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ ข้างกันมีแก้วเปล่าวางอยู่ซึ่งดูจากลักษณะแล้วคงเป็นแอลกอฮอล์สักชนิดไม่ผิดแน่ ตอนนี้ดึกมากแล้วและอาจารย์ทุกท่านก็กลับไปหมดแล้ว

“ไม่ใช่เหล้าสักหน่อยแค่ค็อกเทลเอง” จิงโจ้ที่นั่งหน้าแดงอยู่ข้างกันเถียงตาใส

“ให้กินไปกี่แก้วเนี่ย”

“แก้วเดียว” จิงโจ้ว่า “แค่เติมหลายครั้งเอ๊งงง”

ธีร์หันไปแยกเขี้ยวใส่รุ่นน้องที่เมาปลิ้นแทบพูดไม่รู้เรื่อง “ไอ้วัฒน์ แกมาเก็บไอ้โจ้กลับไปด้วยนะ” เมื่อคนฟังหันมาพยักหน้ารับ เขาจึงดึงแก้วออกจากมือนรกรก่อนจะปลุก “กลับกันเถอะฮาร์ฟ นายเมามากแล้วนะ”

“ม่ายอาววว ม่ายกลับ” นรกรส่งเสียงงึมงำออกมาจากวงแขนและปัดมือเขาออก ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่เคยขาวซีดแดงระเรื่อไปจนถึงริมฝีปาก แววตาฉ่ำวาวและเพราะเป็นสีอ่อนจึงยิ่งทำให้ดูหวานและน่ามอมเมายิ่งกว่าเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ที่กินเข้าไป “ฉันอยากกินอีก ขออีกแก้วสิธีร์”

“ไม่ได้ นายเมาแล้ว” ธีร์ต้องใช้ความใจแข็งขั้นสูงเมื่อนรกรหันมาเกาะแขนเขาแน่นแล้วแนบหน้าลงมาซบบนท่อนแขน

“ฉันยังไม่เมาสักหน่อย นะ นะ… น้าาา”

“กลับได้แล้ว” ธีร์ทำเสียงเข้ม

“ธีร์ดุจัง ฉันไม่กลับด้วยหรอกนะ”

“นี่นายเมาแล้วเป็นแบบนี้เหรอเนี่ย” ธีร์ยกมือข้างที่ว่างขึ้นปิดหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจเคยได้ยินคณิณพูดให้ฟังครั้งหนึ่งว่าอย่าให้กิน แต่ก็เพิ่งเคยเห็นกับตานี่แหละว่าไม่ควรจริงๆ ไม่ใช่แค่ลดการ์ดแต่ยังเข้ามาคลอเคลียเหมือนลูกแมวขี้อ้อนไม่มีผิด “อย่างอแงน่าฮาร์ฟ ไม่กลับกับฉันแล้วนายจะกลับกับใครล่ะ”

“มีอะไรเหรอธีร์” วินทร์เดินเข้ามาหา

“ไม่มีอะไร” ธีร์ตัดบทเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้ามายุ่ง แต่แล้วจู่ๆ คนเมาที่แทบจะพูดไม่รู้เรื่องก็ผงกศีรษะขึ้นจากท่อนแขนของเขาพร้อมกับชี้มือไปยังร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“นี่ไง” พร้อมกับผลักน้องชายบุญธรรมที่ประคองหลังไว้ให้ออกห่างแล้วลุกขึ้นยืนโซเซก่อนจะไปสะดุดขาตัวเองล้มลงในอ้อมแขนแกร่งที่ยื่นออกมารับไว้ได้ทันพอดี “กลับกันเถอะ” กระซิบพร้อมกับคล้องแขนเกาะรอบคอแน่นและซุกหน้าลงบนบ่า

“ฮาร์ฟ” ธีร์เข้ามาจะดึงตัวไป เมื่อตาคมเหลือบมองคนที่เกาะเสื้อตนไว้แน่นก่อนจะโอบแขนรอบแผ่นหลังรั้งเข้าแนบอก

“ไม่ได้ยินที่เจ้าตัวพูดเหรอธีร์ ฉันไปส่งเอง” วินทร์บอกพร้อมกับจ้องตาคนตรงหน้านิ่ง

“เปิดเผยธาตุแท้แล้วสินะ” ธีร์กระซิบลอดไรฟัน

วินทร์ไม่สนใจ เขาเบี่ยงตัวออกห่างจากศีรษะที่ซบอยู่บนบ่าเล็กน้อยและเชยคางคนในอ้อมแขนให้เงยหน้าขึ้นสบตา “ตาแดงหมดแล้ว บอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าจะใส่คอนแทคฯ ให้พกน้ำตาเทียมด้วย”

ถึงตอนนี้นรกรจะแทบไม่มีสติแล้ว แต่ก็นับว่าแผนทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วงจนต้องเข้ามาทักได้ผลอยู่เหมือนกัน

“แสบตา” คนเมางึมงำพลางยกมือขึ้นขยี้ตา

“อย่าทำแบบนั้น” วินทร์ดุและดึงมือออกมาซุกไว้ตรงหน้าอก “ทนไปก่อนละกันเดี๋ยวถึงห้องแล้วจะถอดให้”

“ถอดหมดเลยนะ”

“อืม” วินทร์หยักยิ้มมุมปากตอนมองนัยน์ตาที่หวานฉ่ำ พยายามจะไม่คิดว่า ‘ถอดหมด’ นี่หมดแค่ไหน

“พี่วินทร์ใจดีจัง”

“งั้นก็กลับกันเถอะ เดินเองไหวไหมฮาร์ฟ”

“อือ” ทำเป็นรับคำดิบดี แต่พอก้าวขาออกเดินก็เซพรวดจนวินทร์ต้องรีบคว้าตัวไว้อีกครั้ง เขารั้งแขนคนเมาขึ้นคล้องรอบคอพร้อมสอดแขนอีกข้างเข้ารอบเอว

“เดี๋ยววินทร์” ธีร์เรียก

“อะไร” วินทร์หันไปถามเสียงห้วนราวกับเป็นคนละคน

“กุญแจรถฮาร์ฟ” ธีร์บอกพร้อมกับส่งให้ เป็นอีกครั้งที่รู้สึกขัดใจตัวเอง แต่พอเห็นสายตาที่ทั้งสองมองกันและกันแม้อีกฝ่ายจะเมามาย เขาก็รู้ว่าตัวเองต่างหากที่เป็นส่วนเกิน “พาไปส่งที่ห้องดีๆ ล่ะ ถ้าพรุ่งนี้พี่ชายฉันมีอะไรบุบสลายไปแม้แต่นิดเดียวล่ะก็ฉันจะทำให้แน่ใจว่านายไม่ได้ตายดีแน่”

“แต่ถ้าเขายินยอมพร้อมใจนายก็ไม่มีสิทธิ์บ่นหรอกนะ”

“แก...”

“คุยอารายกานน ทำไมธีร์ทำหน้าดุจัง ไม่เอาสิเดี๋ยวไม่หล่อนะ”

“น้องชายนายดุฉันล่ะฮาร์ฟ” วินทร์ทำเป็นตีหน้าเศร้า

“ธีร์ใจร้าย”

“เราหนีกลับกันดีกว่า ไป เดินดีๆ ล่ะระวังล้มนะ”

แล้วธีร์ก็ทำได้แค่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ ในขณะที่วินทร์หันมายักคิ้วให้ครั้งหนึ่งก่อนจะกึ่งประคองกึ่งอุ้มนรกรเดินไปขึ้นรถ

oooooo

“ฮาร์ฟ ถึงแล้ว” วินทร์บอกคนในอ้อมแขนก่อนจะประคองในนอนลงบนเตียง ช่วยดูแลถอดรองเท้าถุงเท้าให้เรียบร้อย ใจจริงอยากเปลี่ยนชุดให้ด้วยซ้ำ แต่ถ้าขืนทำแบบนั้นตื่นเช้ามาเขาต้องโดนเกลียดแน่ๆ จึงเพียงแค่คลายเข็มขัดกับกระดุมเสื้อออกแล้วดึงผ้าขึ้นห่มให้จนถึงหน้าอก ริมฝีปากระบายยิ้มออกมาเล็กน้อยในขณะที่ลูบฝ่ามือหนักๆไปบนเรือนผม “ฉันไปแล้วนะ”

ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงก็พอดีกับที่มือเรียวเอื้อมมาดึงชายเสื้อไว้

“อย่าเพิ่งไป อยู่ด้วยกันก่อน”

“ที่เรียกนี่ เรียกใครฮึ วินทร์หรืออทิฏฐ์” เขาถามคนที่ยังหลับตาแน่น อุตส่าห์โกนหนวดเพราะหวังจะเป็นการไล่ต้อนให้อีกฝ่ายรีบคิดหาคำตอบ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยสินะ

“อืมมมม”

“ถามทำไมให้เจ็บเองนะ” วินทร์บ่นกับตัวเอง พลางเงยหน้าขึ้นมองจ้องฝ้าเพดานเพื่อดันความอ่อนแอที่จู่ๆ ก็เอ่อล้นขึ้นมาให้กลับลงไป ก่อนจะก้มหน้าลงกระซิบที่ข้างหู “ต่อให้นายเอ่ยปากไล่ ยังไงฉันก็ไม่ไปอยู่แล้ว” ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เนื้ออ่อนที่ปลายหูอุ่นวาบและออกแดงระเรื่อมันดูน่ารักน่ามันเขี้ยวเสียจนคนที่ทำตัวเป็นฤาษีจำศีลมานานใกล้ตบะแตกเต็มที “ปล่อยมือสิฮาร์ฟ ไม่ปล่อยจะจูบแล้วนะ”

คนเมาส่งเสียงงึมงำในลำคอ แต่ก็ยังไม่ยอมคลายมือออก

ริมฝีปากจุดยิ้มละมุนกับเสียงเครือครางที่คล้ายกับจะยั่ว “ไม่ต้องถามแล้ว จูบเลยดีกว่า” แล้วแกะมือเรียวที่เกาะเกี่ยวชายเสื้อตนไว้ขึ้นมาจูบหนักๆ ลงบนข้อนิ้ว ขโมยสูดกลิ่นกายของคนที่แอบรักให้ชุ่มชื่นใจ ตั้งใจจะทำแค่นั้นแต่สุดท้ายวินทร์ก็อดใจไม่ไหว เขาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงแล้วพรมจูบไล่ขึ้นไปตามหลังมือเรียวจนถึงต้นแขน

คนเมาขยับตัวเล็กน้อยด้วยความจั๊กจี้เมื่อเขาฝังจูบลงข้างซอกคอขาว

วินทร์ถอนริมฝีปากออก แล้วแกล้งไล้ปลายจมูกไปตามแนวกราม คนฉวยโอกาสขโมยสูดความหอมไปอีกฟอดใหญ่ “แก้มนายมันนิ่มแบบนี้เองน่ะเหรอ” แล้วแตะหยอกเย้าไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงกลางหน้าผากที่ซึ่งเขากดจูบลงเป็นที่สุดท้ายและกดซ้ำๆ ราวกับจะฝังความรู้สึกทั้งรักและคิดถึงที่มีเต็มหัวใจลงไป

นรกรขยับใบหน้าหนีจากริมฝีปากอีกครั้งโดยการซุกตัวแอบในอ้อมอกกว้าง

วินทร์ก้มลงมองคนที่เกาะเสื้อตนแน่นด้วยเอ็นดู เขาเกลี่ยปลายนิ้วไปตามแก้มนิ่มอย่างทะนุถนอมก่อนจะแกล้งบีบจมูกแล้วบิดแรงๆ ครั้งหนึ่ง กะว่าถ้าตื่นจะยอมถอย แต่นอกจากนรกรจะไม่ตื่นยังมุดหน้าหนีจนแทบจะจมหายลงไปในอก ยิ้มกว้างระบายเต็มหน้า เขากดจูบลงบนกลางหน้าผากอีกครั้งแล้วสอดแขนเข้าโอบรอบเอวสอบรั้งให้คนตัวเล็กกว่าเขยิบมานอนหนุนแขนในท่าที่สบายขึ้น พลางลูบมือลงบนเรือนผม

“ฝันดีนะ”

กระซิบข้างหูราวกับมันเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พูดคำนี้ออกไป

(ต่อข้างล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2016 19:33:31 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“พี่วินทร์!”

“ไม่เห็นต้องตกใจขนาดนั้นเลย” วินทร์ขยับลุกขึ้นนั่งบ้างพลางยกมือปิดปากหาว “นายเมามากฉันก็เลยมาส่งที่ห้อง”

“เรื่องนั้นผมเดาได้ แต่ว่า… ทำไมพี่วินทร์ถึง…”

วินทร์ก้มลงมองท่อนบนของตัวเองซึ่งเปลือยเปล่า “ก็อากาศมันร้อนแถมตัวก็เหม็นเลยถอดเสื้อน่ะ”

“แล้ว…”

“ขี้เกียจเดินกลับห้อง” ตอบทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้ฟังคำถาม

ไม่คิดจะบอกความจริงว่าโดนรั้งไว้เพราะตัวเองก็ผิดที่ห้ามใจไว้ไม่ไหว แต่สาเหตุที่ถอดเสื้อนั่นไม่ได้โกหก ถึงจะแอบฉวยโอกาสแต่ก็ไม่คิดรังแกคนเมาหรอกนะ

วินทร์ลุกขึ้นยืนและก้มหยิบเสื้อขึ้นสวมพลางเดินไปที่ประตู “ฉันไปก่อนนะ”

“จะไปไหนก็ไปเลยครับ”

ร่างสูงหยุดกึกที่กรอบประตู และเหลียวมามองคนที่นั่งหันหลังให้เขาอยู่บนเตียง “ฮาร์ฟ ฉันไปจริงๆ นะ”

“ครับ”

“ไม่คิดจะไปส่งกันหน่อยเหรอ” วินทร์แกล้งกระเซ้า

“ไม่ครับ”

“อืม” วินทร์ส่งเสียงในลำคอ เขากำลังจะปิดประตูอยู่แล้วเมื่อพูดขึ้นอีกครั้ง “ขอโทษนะถ้าทำให้นายไม่พอใจ”

คนบนเตียงไม่ตอบและไม่หันหน้ามา วินทร์จึงหมดแรงจะฝืนยิ้ม เขาดึงประตูปิดและจากไปเงียบๆ

ทันทีประตูปิดสนิท นรกรก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงพร้อมทั้งดึงผ้าห่มขึ้นคลุมศีรษะจนมิด เขาไม่ได้โกรธวินทร์ แต่เขาโกรธตัวเอง ทั้งที่เคยบอกว่าไม่คิดอะไรแต่ทำไมหัวใจกลับเต้นแรง กลิ่นกายที่ไม่ใช่ของตัวเองซึ่งยังคงติดอยู่ที่ผืนผ้ายิ่งทำให้จินตนาการถึงไออุ่นที่โอบรัดร่างไว้ทั้งคืน และทั้งที่ไม่น่าจะเคยสัมผัสมาก่อนแต่ทำไมกลับคุ้นชินจนรู้สึกโหยหา มันเป็นเพราะอะไร เพราะรักเหรอ?

ไม่สิ! มันต้องไม่ใช่แบบนั้น

นรกรตะโกนในใจ และทั้งที่พยายามปฏิเสธแต่สองมือกลับขยุ้มผืนผ้าแน่นพร้อมกับฝังจมูกลงกับเตียง ราวกับจะดูดซับอุณหภูมิและความรู้สึกนี้ไว้

oooooo

“โจ้ เห็นพี่วินทร์ไหม” นรกรถามนายแพทย์รุ่นน้องเพราะไม่เห็นเจ้าตัวนับตั้งแต่ออกจากห้องไปเมื่อเช้าและนี่ก็เที่ยงกว่าแล้ว

“พี่วินทร์ไปแล้วครับ”

“ไปไหน”

“กลับไปใช้ทุนที่ต่างจังหวัดไงครับ พวกผมไปส่งขึ้นรถแต่เช้าแล้ว”

“ไปวันนี้เหรอ”

“พี่วินทร์บอกว่าลาพี่ฮาร์ฟแล้วนี่ครับ” จิงโจ้ถามกลับ “เมื่อคืนพี่วินทร์ก็แบกพี่ฮาร์ฟไปส่งที่ห้องนี่นา ไม่ได้คุยกันหรอกเหรอ”

นรกรไม่ตอบ สองมือกำหนังสือในมือแน่นด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ แต่ก็พยายามทำเหมือนไม่มีอะไรและพยายามเปลี่ยนเรื่อง “จิงโจ้”

“ครับ”

“นายพอจะรู้ไหมว่าฉันจะไปซื้อแซนด์วิชไส้ไข่ชีสได้ที่ไหนอีก พอดีซื้อจากเซเว่นมาแล้วมันไม่อร่อยเหมือนที่เคยกินน่ะ” เขาถามพลางชูถุงพลาสติกในมือให้ดู

“ผมไม่เคยเห็นมีที่ไหนขายอีกนะครับ”

“มีสิ พี่วินทร์ซื้อมาฝากฉันตั้งหลายครั้ง”

“อ้อ” จิงโจ้ทำหน้านึกขึ้นได้พร้อมกับเปิดกระเป๋าของตนและหยิบเอาถุงพลาสติกใบหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะแล้วหยิบของที่อยู่ข้างในออกมา “หมายถึงอันนี้หรือเปล่าครับ”

“ใช่ๆ แล้วบอกว่าไม่มีไง”

“ไม่มีขายจริงๆ ครับ” จิงโจ้ยืนยัน “เพราะพี่วินทร์ทำเองรวมทั้งข้าวกล่องพวกนี้ด้วย เมื่อเช้าก่อนจะไปพี่วินทร์ฝากให้ผมเอามาให้พี่ฮาร์ฟ”

“ทำเอง” นรกรทวนคำ

“จริงๆ แล้วพี่วินทร์ห้ามผมบอกพี่ฮาร์ฟนะ ให้โกหกว่าซื้อมาจากร้านที่คาเฟ่เพราะนี่เจ้าตัวก็อุตส่าห์ลงทุนไปซื้อกล่องต่อจากพ่อค้าเขามาเพื่อไม่ให้พี่ฮาร์ฟสงสัย” จิงโจ้เว้นวรรคไปเล็กน้อย “แต่ผมว่าพี่ฮาร์ฟควรจะรู้นะ”

นรกรนึกถึงรายการอาหารมากมายที่หอบหิ้วมาฝากทุกวัน เขารู้ว่าหน้าตามันไม่เหมือนปกติ แต่ก็แค่คิดว่าเป็นเพราะวินทร์สั่งทำพิเศษมาให้ เขาสัมผัสมือไปบนกล่องของพวกนั้นก่อนจะเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง “ทำไมพี่วินทร์ถึงทำแบบนี้ล่ะ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” จิงโจ้บอก “อาจจะแค่อายมั้งครับ หรือไม่ก็กลัวพี่ฮาร์ฟไม่กิน แต่ผมกล้าพูดเลยว่าพี่วินทร์มีความสุขมากที่ได้ทำ และผมคิดว่านี่แหละคือเหตุผล”

นรกรนึกถึงสิ่งที่อทิฏฐ์เคยบอก ไม่ว่าจะเรื่องปลุกตอนเช้าและทำอาหารให้กิน หรือที่ทำไปทั้งหมดนี่แค่เป็นเพราะอยากทำความฝันให้เป็นจริงก่อนที่จะจากไปอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ

“พี่ฮาร์ฟครับ” จิงโจ้เรียกเบาๆ พร้อมกับเอาของอย่างสุดท้ายที่ฝากไว้ออกมาจากกระเป๋า มันเป็นกระดาษโน้ตที่พับมาและติดสก๊อตเทปไว้ป้องกันไม่ให้คนอื่นแอบอ่าน

“ขอบใจมาก”

เมื่อจิงโจ้กลับออกไป นรกรจึงเปิดจดหมายออก หัวใจเต้นระรัวอยากรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่วินทร์อยากจะบอกเป็นครั้งสุดท้าย


กินให้อร่อยนะ แล้วอย่าใส่น้ำปลาเยอะล่ะ

“นึกว่ามีอะไรสำคัญซะอีก นี่ใจคอจะไปโดยไม่ยอมบอกลากันเลยใช่ไหม” มือเรียวกำจนเล็บฝังแน่นลงในเนื้อหากมันก็เทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกเจ็บในหัวใจ “ไม่ว่าจะเป็นใครก็เลือกที่จะทิ้งฉันไปอยู่ดีสินะ”

อยากจะไปตามก็ไม่รู้จะไปทำไม ในเมื่อจนถึงตอนนี้ยังไม่เข้าใจหัวใจตัวเองว่ารักคนไหน และมันก็ไม่แฟร์กับใครเลยถ้าจะคบแบบครึ่งๆ กลางๆ โดยเฉพาะกับวินทร์ ถ้าหากตอนนี้หัวใจที่เอนเอียงเป็นเพราะรู้ว่าเป็นคนเดียวกัน ถ้าหากสุดท้ายแล้วคำตอบของหัวใจยังไม่ใช่เขา

ยิ่งคิดถึงยิ่งเจ็บ และเขาแทบขาดใจเมื่อนึกถึงรอยยิ้มสุดท้ายที่ส่งให้มาทั้งที่เขาเอ่ยปากไล่ให้ไป นรกรวางจดหมายลง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรหา ถึงไม่รู้จะพูดอะไร แต่อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้ขอโทษเรื่องเมื่อเช้าเถอะนะ

***********************TBC********************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2016 19:45:09 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ May@love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 827
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-2

เสียใจแทนพี่วินทร์ ฮือๆๆๆต้องจากไป
แม้แต่รอยยิ้มส่งจากฮาร์ฟก็ไม่มี

เข้าใจเหตุผลของฮาร์ฟที่ยังไม่ตอบรับ
แต่บางครั้งการกระทำก็ทำร้ายกันเกินไป

ออฟไลน์ janehh

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
ไม่รู้จะเม้นอะไรเลย
ทำไมมันหน่วงงง สงสารวินทร์  :hao5:

ออฟไลน์ nijikii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ฮาร์ฟ นรกร นี่เป็นทั้งคนใจร้ายและใจดีในเวลาเดียวกันเลยนะ ทำได้ยังไงเนี่ย

พึ่งเข้ามาอ่าน
ก็อ่านรวดเดียวเลย
แอบงุนงงนิดหน่อยแต่คิดว่าพอเข้าใจ
สรุปตามความคิดเรา วินทร์ที่นอนป่วยอยู่แปดปี วิญญาณของวินทร์มาหานรกร พอตื่นมาก็รู้ตัวทุกอย่าง และเหมือนการช่วยเหลืออะไรหลายๆอย่างจากหลายๆคน ก็ทำให้อธิฏษ์(พิมพ์แบบนี้มั้ย..ลืม แหะๆ) กลับมาอีกครั้ง อาจจะเรียกว่าโชคชะตาฟ้าลิขิตหรือกรรมที่ทั้งคู่มีต่อกันมา ทำให้ต่างคนต่างได้มาช่วยเหลือกันจนพบรักกัน และวินทร์ในช่วงนี้ก็ฝันถึงเรื่องของอธิฎษ์ตลอดทำให้รู้ทุกอย่างแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนกับเพราะถูกลิขิตมาแบบนี้ที่ทำให้ต่างคนต่างต้องผ่านอุปสรรคไปให้ได้จนกว่าจะเกิดรักที่แท้จริง

ต้องขอบคุณอธิฎษ์ที่ทำให้วินทร์กลับมา
ต้องขอบคุณนรกรที่ช่วยให้อธิฎษ์มีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่อย่าใจร้ายกับวินทร์นักเลย วินทร์ไม่ผิดอะไร ถึงวินทร์ไม่ใช่ทิด แต่วินทร์คือคนที่รักนรกรมาตลอด5ปี คนที่หวังดี คนที่ห่วงใย
ไม่ว่านรกรจะรักวินทร์หรือไม่
แต่อย่าใจร้ายด้วยการไม่บอกอะไรถึงความรู้สึกของตัวเองให้วินทร์รู้เลย
ไม่รักคือไม่รัก ไม่ใช่ไม่รักแต่ยังลังเล
ยังไงก็ต้องมีคนแพ้อยู่แล้ว แม้จะต้องแข่งกับตัวเอง เราเชื่อว่าวินทร์รับได้ มากกว่าอยู่อย่างไม่รู้ว่าจะแพ้หรือชนะตัวเองอย่างไร

ทีมหมอวินทร์ที่พ่อตากดไฟเขียวค่ะ #ห้ะ
 :hao7:

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
โห้ยยยยย...ทำไมถึงทิ้งกันอีกแล้วละเนี๊ย บอกลาดีเป็นไหม ทำไมต้องต้องไปแบบคาค้างทุกทีเลย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
วินทร์ อบอุ่น น่ารักมาก กลัวฮาร์ฟเกลียด ไม่กล้าล่วงเกิน
ฮาร์ฟ รู้ใจตัวเองเร็วๆซะที

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
ฮือออ อ่านอะไรหน่วงๆ เจ็บปวดๆ แล้วมันพาลเจ็บจี๊ดๆ ที่ฝ่ามือทุกทีเลย  :katai1:

ลากันไม่ค่อยดีเลย แบบนี้ :mew2:
พี่วินทร์ก็พูดไม่ออก ฮาร์ฟก็สับสนกับตัวเอง

ฮาร์ฟอย่าไปคิดเยอะเลย ยังไงคนเดียวกันก็คือคนเดียวกัน แค่อยู่ต่างสถานการณ์เอง  :กอด1:


----
เจอที่ผิดค่า~
อ้างถึง
“พี่ชายนายดุฉันล่ะฮาร์ฟ” วินทร์ทำเป็นตีหน้าเศร้า

ตรงนี้น่าจะ “น้องชายดุฉัน...” นะคะ
พี่วินทร์สับสนเล็กน้อย เจอฮาร์ฟฉบับแมวเข้าไป  :hao3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด