Specual Moment : ลอยกระทง (ต่อ)
เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความสูญเสียครั้งใหญ่ของประเทศไทย งานเทศกาลที่เคยจัดอย่างใหญ่โตถึงถูกลดขนาดและแสงสีลงมาให้เหมาะสม เพลงครื้นเครงทำนองโจ๊ะโดนใจวัยรุ่นถูกแทนด้วยบทเพลงในพระราชนิพนธ์ ถึงจะอวลไปด้วยความเศร้าแต่ก็ผสมด้วยความหวานในบรรยากาศของความคิดถึง
ถึงนรกรจะบอกว่าไปลอยที่ไหนก็ได้ แต่วินทร์คิดแล้วว่าครั้งแรกควรจะเลือกที่ใกล้ๆ ดีกว่าจึงพามางานที่จัดขึ้นโดยชุมชนที่อยู่ใกล้ๆ กับโรงพยาบาล
“คนเยอะจัง” นรกรกระซิบเขาไม่คิดว่าชุมชนเล็กๆ ที่เงียบสงบแท้จริงแล้วจะมีคนอาศัยอยู่มากมายขนาดนี้
“นี่ว่าเลือกจุดที่คนไม่น่าจะเยอะแล้วนะ” วินทร์กวาดตามองไปรอบๆ ซึ่งผู้คนยังค่อนข้างหนาตาแม้การประกวดบนเวทีจะจบไปแล้วตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ แถมจุดนี้ยังเป็นต้นน้ำที่ต้องขับรถย้อนขึ้นมาอีกไกลพอสมควร
“ไม่เป็นไรครับ” นรกรรีบบอกพร้อมกับปั้นยิ้มสนับสนุน “เราไปกันเถอะครับ” ถึงจะเป็นยิ้มเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้ดูเสแสร้งจนเกินไป กลับกันวินทร์เห็นถึงความพยายามที่จะเข้าใจและเรียนรู้ในสังคมและสิ่งที่เขาชอบ เพราะปกติแค่ออกไปกินข้าวกับน้องๆ นรกรยังคิดแล้วคิดอีก นั่นยิ่งทำให้วินทร์รู้สึกประทับใจจนนึกอยากขอขมาพระแม่คงคาแค่ตรงริมถนนนี่แล้วลากนรกรขึ้นรถพากลับบ้านซะตอนนี้เลย
จิตคิดอกุศล แต่สมองยังมีสติคิดดีอยู่บ้าง เขาจึงรีบก้าวมายืนข้างกันและรีบเอ่ยชวนก่อนที่สมองจะยอมตามใจ “ไปกันเถอะ”
ถึงจะดึกแล้วแต่ร้านแผงลอยเล็กๆ ที่เปิดเฉพาะกิจเพื่อขายกระทงก็ยังเรียงรายเต็มสองข้างทาง พวกเขาเลือกแวะร้านหนึ่งที่คนขายเป็นหญิงสูงวัยร่างท้วมท่าทางใจดี
“ชอบแบบนี้เหรอ” วินทร์ถามคนที่ดูจะสนอกสนใจกระทงใบหนึ่งเป็นพิเศษ มันทำจากหยวกกล้วยประดับด้วยใบตองพับเป็นรูปกลีบผกาแปะรอบฐานและใส่ดาวเรืองดอกใหญ่ไว้ตรงกลาง
“เห็นแล้วนึกถึงสมัยเรียนน่ะครับ ตอนทำประกวดเพื่อนผู้หญิงที่เก่งงานฝีมือมักจะเรียกให้ผมไปช่วยบ่อยๆ”
“โห นี่นายทำกระทงเป็นด้วยเหรอ ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย”
“เปล่าครับ” นรกรตอบ “ผมแค่ไปช่วยเช็ดใบตองกับทาน้ำมันมะกอกให้ขึ้นเงาสวยๆ น่ะครับเพราะเพื่อนผู้ชายคนอื่นหนีไปเตะบอลกันหมด”
“ว่าแล้ว” วินทร์ขำในลำคอแล้วหันไปหาแม่ค้า “เอาใบนี้ครับคุณป้า”
“กระทงใบตองเหลือใบเดียวนะพ่อหนุ่ม” คุณป้าเจ้าของร้านบอกเพราะเห็นมากันสองคน “อีกใบเอาแบบขนมปังไปแทนไหม หรือจะเอาแบบที่ทำจากกะลามะพร้าวนี่ก็เก๋ดีนะจ๊ะ”
“งั้นเอา...” นรกรกำลังจะหันไปเสนอความเห็นว่าเอาแบบไหนก็ได้ที่เหมือนกันสองใบ วินทร์ก็แทรกขึ้นเสียก่อน
“ไม่เป็นไรครับเอาใบนี้ใบเดียวเดี๋ยวลอยด้วยกันครับ” บอกพร้อมกับส่งธนบัตรสีแดงให้ใบหนึ่งโดยไม่รับเงินทอนก่อนจะรับกระทงใบตองมา
“ปกติเขาต้องลอยกันคนละใบไม่ใช่เหรอครับ” นรกรถามเมื่อเดินพ้นออกมาจากร้าน
“โบราณเขาถือน่ะ ถ้าคนเป็นแฟนกันมาลอยกระทงคนละใบแล้วน้ำพัดกระทงหลงไปคนละทางจะเป็นลางว่าต้องเลิกกัน” วินทร์แต่งเรื่องตอบไปเรื่อยเปื่อย แต่พอเห็นคิ้วเรียวที่มุ่นเข้าหากันของคนคงแก่เรียนจึงต้องรีบเฉลย “ล้อเล่นน่ะ ก็นายอยากได้ใบนี้แต่มันมีใบเดียวแล้วฉันไม่อยากได้กระทงไม่เหมือนนาย เลยตัดปัญหาซื้อใบเดียวลอยด้วยกัน แบบนี้ก็ประหยัดดีแถมยังช่วยลดโลกร้อนด้วย”
“ครับ” แก้มขาวซับสีเข้มขึ้นเล็กน้อยด้วยรู้สึกดีใจที่คนที่มาด้วยกันคิดเหมือนกัน
ทางเดินลงไปชายน้ำไม่ไกลเท่าใดนัก แต่ก็ค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควรเพราะฝูงชนมีทั้งที่เดินสวนกันขึ้นมาและเดินเบียดเสียดกันลงไป นอกจากจะต้องคอยระวังไม่ให้พลัดหลงกันแล้วยังต้องระวังกระทงในมือไม่ให้พังอีก แต่ไปๆ มาๆ ที่น่ากลัวจะช้ำมากกว่าเห็นจะเป็นคนซึ่งไม่คุ้นชินกับการมาในที่ที่มีคนเยอะๆ
ทีแรกพวกเขาก็เดินมาด้วยกันดีๆ แต่หลังจากที่นรกรโดนคนดันไปทางนั้นทีทางโน้นทีจนวินทร์ต้องเดินย้อนกลับมาตามเป็นครั้งที่สาม เขาก็แก้ปัญหาด้วยการคว้ามือจูงให้มาเดินข้างกัน ถึงจะมีคนแอบมองมือที่กุมกันไว้หลายครั้งจนนรกรต้องสะกิดให้ปล่อย แต่ที่วินทร์ทำคือยิ้มให้และบีบมือแน่นขึ้นอีก
ทว่า ดูเหมือนปัญหาจะไม่จบง่ายๆ เมื่อคนตัวเล็กกว่าก็ยังคงโดนชนอยู่เนืองๆ หากปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือการวินทร์สังเกตเห็นว่าหลายครั้งที่นรกรหันไปขอโทษทั้งที่ไม่มีใครแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร จนครั้งล่าสุดที่หันไปยิ้มกับความว่างเปล่าข้างตัวเขาคงแกล้งทำเป็นไม่เห็นต่อไปไม่ได้
“พี่วินทร์เขยิบไปหน่อยได้ไหมครับ เขาบอกว่าเราเบียด”
กำลังจะเอ่ยปากถามว่า ‘เบียดใคร?’ คนที่มองเห็นในสิ่งที่เขาไม่เห็นก็รีบบอก
“เอ่อ... ขอโทษครับ” นรกรหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเพราะแบบนี้แหละถึงไม่อยากมา เขาไม่ได้กลัวหรือรังเกียจที่จะทักทายและคุยด้วย แต่มันไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะรับได้
ยิ่งได้ยินเสียงถอนหายใจแม้จะแผ่วค่อยจากคนข้างๆ ยิ่งรู้สึกไม่ดีจนอยากกลับบ้านเสียตอนนี้
เมื่อจู่ๆ มือใหญ่ที่จับไว้ก็คลายออกแล้วยกขึ้นวาดข้ามไหล่มาคล้องลงรอบเอวและดึงไปชิดจนเหมือนกับกอด
“พี่วินทร์?”
“จะได้ไม่ไปเบียดกับใครไง” วินทร์บอก “นายเลิกเกรงใจฉันด้วยเรื่องนี้สักทีเถอะ”
“ก็พี่วินทร์กลัวผี”
“ก็ถ้ามาหลอกแบบหลอนๆ หน้าเหี่ยวๆ ทำคอยื่นคอยาวหรือมาแต่เสียงอย่างพี่สาวในห้องล็อกเกอร์นั่นมันไม่ไหวจะเคลียร์นี่นา” คิดถึงภาพนั้นทีไรก็อดขนลุกขนพองไม่ได้ “แต่เอาจริงๆ นะ ตอนนี้ฉันน่ะกลัวผีเพราะ ‘หึง’ มากกว่า”
“หึง?” นรกรทวนคำงงๆ “ยังไงครับ”
“ก็เพราะฉันมองไม่เห็นไง แบบนี้ใครมาคุยอะไรกับนายฉันจะรู้ได้ไง ดูสิขนาดจับมือตัวติดกันไว้ซะขนาดนี้ยังกล้ามาทักอีกแน่ะ”
“พี่วินทร์” นรกรเน้นเสียง อยากจะขำแต่ก็ไม่กล้าเพราะอีกฝ่ายดูจริงจังเกินกว่าจะล้อเล่น “ผมจะไปชอบผีได้ยังไงครับ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงเป็นเชิงให้คิดดูอีกครั้ง “จริงเหรอ?”
นรกรเข้าใจในที่สุด ไม่รู้จะตอบว่าอะไรเลยแกล้งทำเป็นหัวเราะแก้อาการเขินของตนเอง เชื่อแล้วว่าเป็นคนขี้หึงจริงๆ อย่างที่เจ้าตัวเคยบอก
“ถือสิ” วินทร์บอกพร้อมกับยัดกระทงใส่มือ
“แล้วทำไมพี่วินทร์ไม่ถือเองล่ะครับ”
“มือไม่ว่าง จับคนบางคนอยู่ไม่เห็นเหรอครับ”
คำตอบที่อยู่ในใจดังออกมาหากไม่ใช่เสียงของตน ทำให้ทั้งสองหันไปมองคนต่างวัยสองคนที่กำลังทุ่มเถียงกันอยู่ข้างๆ
ถึงจะไม่มีแสงไฟ แต่เพราะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงที่ปราศจากเมฆมาบดบังทำให้เห็นหน้าคนพูดชัด หนึ่งในนั้นเป็นแพทย์รุ่นพี่ที่โรงพยาบาลในขณะที่อีกคนเป็นชายหนุ่มที่ถึงจะแต่งกายด้วยชุดดูภูมิฐานเสื้อเชิ้ตสีสุภาพกางเกงสแลคเหมือนเพิ่งเลิกงานแต่เขาก็ยังดูอ่อนเยาว์กว่าคนที่มาด้วยกันหลายปี จะบอกว่าเป็นน้องชายก็หน้าตาไม่ละม้ายคล้ายกันเสียเลย
“แล้วจับทำไม” ปาวัสม์บ่นพลางยกมือข้างหนึ่งที่ถูกอีกคนจับไว้แน่นเป็นตีนตุ๊กแกถึงจะแกล้งสะบัดแรงยังไงก็ไม่ยอมปล่อย
ชายหนุ่มที่มาด้วยกันฉีกยิ้มกว้าง นานๆ จะได้มีโอกาสหาเรื่องแต๊ะอั๋งนอกสถานที่ทั้งที เขาก็ต้องรีบฉวยโอกาสนี้ไว้สิ “คนเยอะแยะ ไม่จับไว้เดี๋ยวลุงก็หลงทางน่ะสิ”
“ฉันบอกนายแล้วว่าให้กลับไปลอยในอ่างอาบน้ำที่บ้านก็ไม่เชื่อ”
“อันนั้นมันลอยเป็ดยางก้าบก้าบแล้วครับ ต้องมาลอยในคลองแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าขอขมาพระแม่คงคา”
“สร้างขยะเพิ่มให้พระแม่ท่านปวดใจล่ะไม่ว่า” ปาวัสม์อ่อนใจจะเถียง
“เพราะแบบนี้เขาถึงได้รณรงค์ให้ใช้วัสดุธรรมชาติกับของที่ปลากินได้อย่างขนมปังนี่ไงครับ” ภาวัฒน์บอกพร้อมกับยกกระทงในมือขึ้นอวดด้วยความภาคภูมิใจ “ผมอุตส่าห์ตั้งใจทำนะ หมอปืนนี่ล่ะก็ไม่โรแมนติกเอาเสียเลย”
“อยากโรแมนติกมีวิธีที่ดีกว่าชวนฉันมาลอยกระทงตั้งเยอะ”
“ลอยอะไรครับ? โคม? เขารณรงค์กันให้รึ่มว่าห้ามลอยในเขตกทม.นี่เคยฟังข่าวดูทีวีบ้างหรือเปล่าเนี่ย”
“จะสนใจทำไมก็มีนายช่วยอัพเดตให้แล้วนี่ไง” พลันคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อคนหน้าทะเล้นฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับแบสองมือออกตรงหน้า “อะไร”
“ทำดีต้องมีรางวัลสิครับ”
ปาวัสม์พ่นลมหายใจออกอย่างแรงจนจมูกบานครั้งหนึ่งพร้อมกับยกมือขึ้น “เอาไปเลย”
“โอ๊ย! หมอปืนทำอะไรน่ะ ผมเจ็บนะ” ภาวัฒน์ร้องเสียงหลงเมื่อรางวัลที่ได้รับคือมะกอกดอกใหญ่ที่ดีดป้าบเข้ากลางแสกหน้า จนหน้าผากแดงแปร๊ด
“ก็รางวัลไง”
“เจ็บจัง” ชายหนุ่มยกสองมือขึ้นกุมหน้าผากทำตารื้น คะแนนความเจ็บแค่ห้าแต่ลีลาออเซาะเต็มสิบ
“อ้าวเหรอ โทษๆ มาเป่าให้” ปาวัสม์หัวเราะในลำคอ และถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งแต่ก็ยอมตามน้ำคว้าหลังศีรษะดึงเข้าเป่าลมที่ดูคล้ายๆ กับพ่นน้ำลายใส่มากกว่า “แหม~ แค่นี้ทำเป็นงอแงนะเจ้าตัวแสบ”
“พี่ปืน สวัสดีครับ” วินทร์ที่หาจังหวะอยู่นานเอ่ยออกไปในที่สุดพร้อมกับยกมือไหว้หลังจากชั่งใจว่าควรแกล้งทำเป็นไม่เห็นหรือเปล่า แต่เพราะอยู่ใกล้กันเกินไปถ้าจะไม่ทักกันเลยก็คงจะน่าเกลียด
“เอ่อ...” ปาวัสม์หันมารับไหว้ กำลังจะเอ่ยทักทายไปตามเรื่อง แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นอีกคนที่อยู่ในวงแขนและกำลังยกมือไหว้เขาเช่นกันจึงเปลี่ยนใจเป็นพูดเรื่องอื่น “นี่พวกนายน่ะ ทำแบบนั้นไม่คิดว่าประเจิดประเจ้อไปหน่อยเรอะ”
วินทร์สบตาแพทย์รุ่นพี่ก่อนจะตวัดลงมองมือของเจ้าตัวที่จับมืออีกคนไว้ไม่ยอมปล่อยแม้จะรู้ว่าเขามองอยู่ก็ตาม “แล้วแบบนั้นล่ะ เรียกว่าอะไรครับ”
ปาวัสม์ก้มลงมองฝ่ามือที่จับไว้ก่อนจะเลื่อนขึ้นสบตาคนที่มาด้วยแล้วจึงตอบคำถาม “ก็หมอนี่มันชอบมึน ไม่จับไว้เดี๋ยวก็หลงกันน่ะสิ”
“อ๋อเหรอออ~ ครับ” วินทร์แกล้งลากเสียงล้อเลียน หลังจากลอบมองอยู่อึดใจเขาก็นึกออกแล้วว่าเคยเห็นผู้ชายคนนี้ที่ไหน ที่แท้ก็เป็นคนที่แวะเวียนเอาข้าวเอาน้ำมาส่งเจ้าหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินบ่อยๆ เห็นว่าเคยทำงานเป็นกู้ชีพแล้วลาออกไปเรียนต่อ แต่ดูท่าว่าปัจจุบันจะมีตำแหน่งอื่นพ่วงมาด้วย
“อะไรกันหมอปืน” ภาวัฒน์ร้องเสียงหลงเมื่อรู้ตัวว่าโดนใส่ร้าย “ทำเป็นมาว่าผม ตัวเองน่ะแหละที่ชอบหลงทาง”
“พี่วินทร์ครับ!” นรกรกระซิบเรียก
“อะไรล่ะเนี่ยดึงแขนเสื้อฉันยิกๆ อยู่ได้เดี๋ยวก็จับหอมแก้มซะเลยนี่” วินทร์หันมาเอ็ดคนในอ้อมแขนเบาๆ
“ไปแซวอะไรพี่เขาแบบนั้นครับ” นรกรบ่นพลางทำมือให้ลดเสียงลง แต่วินทร์ไม่สนใจ
“พี่ปืนไม่โกรธหรอก” เขาบอกพลางพยักเพยิดไปทางแพทย์รุ่นพี่กับชายหนุ่มคนนั้น “ดูสิ ฉันพูดขนาดนี้ยังไม่ปล่อยมือเลยแถมยังมาทำสวีทโชว์อีก ดูเขาไม่ได้อายหรือปิดปังอะไรนี่ ก็คงเหมือนกับพวกเราน่ะแหละ ไม่ได้อยากป่าวประกาศให้ใครรู้แต่ถ้าถามก็บอกตรงๆ ใช่ไหมล่ะ”
“เหรอครับ” นรกรทำเสียงประชดเพราะเจ้าตัวเป็นคนออกปากเองว่าอยากอวดให้ทุกคนรู้ใจจะขาด แล้วก็ทำไปแล้วด้วย จนไม่รู้ว่าตอนนี้เรื่องไปถึงหูพ่อของเขาหรือยัง พวกเขาเพิ่งจะเริ่มปรับความเข้าใจกันได้ไม่นานจึงยังไม่อยากให้มีเรื่องอะไรมาทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงอีกเพราะคนหัวโบราณอย่างศาสตราจารย์สรวิชญ์ไม่มีทางรับได้แน่ๆ ถึงจะรู้มานานแล้วว่าเขาไม่มีวันชอบผู้หญิง แต่นั่นก็คนละเรื่องกับการเปิดตัวแฟนที่เป็นผู้ชาย
เพราะแก้ตัวไม่ได้ วินทร์จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “เลิกสนใจคนอื่นแล้วหันมาสนใจฉันได้แล้ว”
“พี่วินทร์น่ะแหละที่เอาแต่สนใจคนอื่นไม่สนใจผม”
“อ้าวเหรอ โทษๆ” วินทร์หัวเราะกลบเกลื่อน เขาปล่อยให้ปาวัสม์กับชายหนุ่มเถียงกันต่อและประคองหลังคนในอ้อมแขนย่อตัวลงนั่งลงข้างแม่น้ำ “นายอธิษฐานเสร็จหรือยัง จะได้ลอยกระทงกันเสียที”
“ไม่ต้องมาเร่งผมเลยครับ” นรกรค้อนไปครั้งหนึ่งก่อนยกกระทงในมือขึ้นจบเหนือศีรษะพร้อมกับหลับตาตั้งจิตอธิษฐานกับกระทงใบแรกในชีวิตที่ตั้งใจมาลอยด้วยตัวเองจริงๆ “เรียบร้อยแล้วครับ”
แล้วทั้งสองก็ช่วยกันประคองกระทงใบตองวางลงในน้ำ ใช้มือพุ้ยน้ำให้ลอยออกจากฝั่ง เพียงแค่อึดใจเมื่อกระทงของเขาจับกระแสน้ำได้ก็ลอยตามกระทงใบอื่น เห็นเป็นดวงไฟสีอมส้มรายเรียงไปเป็นสายบนผิวน้ำสีนิลที่เป็นเงาวาววับยามคลื่นกระทบกับแสงจันทร์ถึงจะรู้ว่าปลายทางของแม่น้ำสายนี้จะไปจบลงที่ใด แต่ในใจลึกๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่าอยากให้มันลอยต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ ให้แสงเทียนไม่มีวันดับ และนำพาคำอธิษฐานของทุกคนไปส่งให้ถึงให้คนที่อยู่ฟ้า
ไม่นานกระทงของพวกเขาก็ลอยไปจนลับตา วินทร์จึงถอนสายตากลับมาหาคนข้างกาย “เมื่อกี้นายอธิษฐานนานจัง ขออะไรเหรอ”
“ไม่บอกครับ”
“บอกหน่อยน่า” วินทร์ยังไม่ละความพยายาม “เอางี้ แลกกันก็ได้ ฉันขอให้ปีหน้าได้มาลอยกับนายอีก แล้วนายขออะไร”
“ไม่บอกครับ”
“อ้าวเฮ้ย! ขี้โกงนี่”
“ผมยังไม่ได้ตอบตกลงสักคำนะ พี่วินทร์พูดเองเออเองอยู่คนเดียว ใบ้ให้นิดหนึ่งก็ได้ ไม่ใช่เรื่องไม่ดีแน่ๆ ครับ”
“โห นั่นช่วยได้เยอะเลย”
นรกรยิ้มขันพลางยกมือขึ้นลูบแก้มที่เป่าลมเข้าจนป่องของหมีตัวโตให้หายงอน ถึงจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ แต่ก็ยังไม่คิดจะบอกสิ่งที่อธิษฐานกับพระแม่คงคาออกไป
นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้าที่ส่องแสงสกาวราวกับจะเป็นพยานให้
ขอให้ความรักครั้งนี้เป็นเหมือนสายน้ำ หัวใจที่ให้ไปอย่าได้ถูกปฏิเสธเหมือนน้ำที่ไม่ไหลย้อนกลับ ไม่มีวันแห้งเหือด และส่งต่อความสุข สร้างรอยยิ้มให้คนรอบข้าง เหมือนน้ำที่พาเอาความอุดมสมบูรณ์ไปส่งให้ทุกที่ที่ไหลไปถึง
เขาตวัดสายตากลับลงมาหาคนข้างกาย ถึงจะทำเป็นเบือนหน้าหนีไปอีกทางหากมือยังกอดเอวเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
บอกไม่ได้หรอก ใครจะไปกล้าบอกเรื่องน่าอายขนาดนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขากล้าพูดเต็มปากเต็มคำ
ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้างขึ้น นรกรวางมือข้างหนึ่งทาบมือข้างที่วางอยู่รอบเอวและเอ่ยออกไป “ปีหน้าจะมาด้วยกันแน่ๆ ครับ”
เพียงเท่านั้นก็ทำให้หน้าที่ตูมอยู่คล่อยคลายออกและยอมหันกลับมาสบตากันตรงๆ อีกครั้ง “สัญญาแล้วนะ”
“ครับ”
...
...
...
...
...
ถึงจะได้คำสัญญาอื่นมาทดแทน แต่จนกลับมาถึงบ้าน อาบน้ำอาบท่าใส่ชุดนอนเรียบร้อยวินทร์ก็ยังคงไม่หายติดใจว่านรกรขออะไรไป ร่างสูงนั่งกางสองแขนแผ่เต็มโซฟาตัวยาว ทีวีตรงหน้าก็เปิดทิ้งไว้อย่างนั้นไม่ได้ให้ความสนใจอะไร นัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่คนซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่อีกฟากหนึ่งของโซฟาตัวเดียวกัน
“ตกลงนายขออะไรไป” เอ่ยถามเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ในค่ำคืนนี้
นรกรพลิกกระดาษไปหน้าถัดไป เพราะเบื่อจะพูดแล้วครั้งนี้รูปประโยคจึงถูกปรับเปลี่ยนไปนิดหน่อย “ขอเหมือนพี่วินทร์น่ะแหละ”
คนรอฟังคำตอบตาโตขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าการอ้อนสัมฤทธิ์ผล “แน่ใจเหรอ?”
“ครับ”
“ไม่ใช่มั้ง เพราะถ้าขอแค่นั้นทำไมนายไม่ยอมบอกดีๆ แต่แรกล่ะ มีอะไรอีกบอกมาให้หมดนะ”
“พี่วินทร์เองก็ไม่ได้ขอแค่นั้นสักหน่อย” นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบขึ้นมองคนที่ดูจะอึ้งไปเล็กน้อยแต่ก็แก้เกมได้ทัน
“นายพูดจริงๆ เหรอเพราะฉันขอให้คืนนี้เรา...” คนที่กำลังคิดเรื่องลามกกรีดยิ้มมีเลศนัยน์ “ถ้านายคิดเหมือนฉันจริง... อ๊ะ! อ๊ะ! เห็นเงียบๆ แบบนี้นี่ทะลึ่งไม่เบานะ เราน่ะ”
คนโดนแซวไม่สนใจและก้มหน้าลงอ่านหนังสือในมือต่อพร้อมกับเอ่ยถามเสียงเรียบ “แน่ใจเหรอครับว่าใช่”
“ใช่สิ” วินทร์ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมก่อนจะเขยิบเข้าไปนั่งเบียดจนชิดแล้วทำเล่นหูเล่นตาให้เป็นสัญญาณชวนเข้านอน
“งั้นก็ได้ครับ”
"หืมมม" คำตอบสั้นๆ อย่างตรงไปตรงมา ทำให้คนชวนกลายเป็นฝ่ายแปลกใจเสียเอง พร้อมกับจ้องตาเขม็งเพื่อย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด
นรกรผ่อนลมหายใจออกจมูกพร้อมกับปิดหนังสือในมือแล้วหันมาสบตากันให้ชัดๆ ก่อนจะเอ่ยคำที่คนบางคนอยากจะฟังใจแทบขาดแต่กลับไม่ยอมถามคำถามนั้นออกมาตรงๆ เอง “รักนะครับ”
วินทร์นั่งมองตาปริบๆ แก้มแดงไปจนถึงหู “ฮาร์ฟ~ เล่นตัวหน่อยสิ”
“ชอบแบบนั้นมากกว่าก็ไม่บอก” นรกรมุ่นคิ้วทำเป็นครุ่นคิด โวยวายก็ว่าตามใจก็บ่นคนอะไรเอาใจยากจริงๆ “ตกลงจะทำไหมครับ ถ้าไม่ทำผมนอนแล้วนะ”
เขาลุกขึ้นเตรียมจะไปนอน แต่แล้วก็ร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ วงแขนแข็งแรงของคนตัวโตกว่าตวัดเข้ารอบเอวแล้วรวบตัวเขายกลอยขึ้นพาดบ่า
“พี่วินทร์จะทำอะไรครับ” จะดิ้นก็ไม่กล้าเพราะกลัวตกนรกรจึงทำได้เพียงเกาะเสื้อด้านหลังอีกฝ่ายไว้แน่น
“วันนี้วันลอยกระทง ฉันก็จะพานายไปลอยนี่ไง”
“แต่เราลอยกันไปแล้ว!”
“ยังเหลืออีกใบ” วินทร์ตอบพร้อมกับผิวปากเดินไปห้องนอนพลางครุ่นคิดในใจว่ากระทงใบนี้จะใช้อะไร ‘จุดไฟ’ ดี
************************************************
ก็ว่าจะไม่เขียนแล้วนะ แต่ก็อดใจไม่ได้เลย
สำหรับคนที่รอเล่ม ข่าวดีคือตอนนี้เราส่งต้นฉบับทั้งหมดให้สนพ.แล้วค่ะ ทีนี้ก็เหลือรอกระบวนการของสนพ.เนอะ^^
ปล. เค้าฝากเรื่องใหม่ที่แต่งกับ คุณพี่ถ้าเธอเป็นท้องฟ้าด้วยนะคะ ช่วยเชียร์ #หมอโมหัวเถิก ให้จีบหนุ่มจิตรกรท่ามากติดด้วยนะคะ
Once กาลครั้งหนึ่งเมื่อแรกเจอ