▼ツ▼หนุ่มเขี้ยวเปรี้ยวใจ ☂ My Canine Loverตอนที่ 17 รักคำแรกของผม เป็ง...ผมกับกัญชพรทานอาหารด้วยกันเสร็จก่อนสองคนนั้นที่ยังคงนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน
แม้ว่าจะร้อนรุ่มใจแค่ไหน แต่ด้วยมารยาทของสุภาพบุรุษ ผมก็ต้องไปส่งเธอขึ้นรถ
ก่อนขับรถออกไป กัญชพรก็ไม่ลืมโบกมือลาและยิ้มให้ ไม่ใช่ลาครั้งสุดท้ายหรอก
ผมยังคงมีงานที่ต้องทำกับหน่วยงานของเธออีกอย่างน้อยสองครั้งสำหรับปีนี้
โดยธรรมชาติของผู้ชาย ก็อาจชอบมองผู้หญิงสวยบ้างเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
แต่สำหรับคนที่รู้หัวใจของตัวเองอย่างผม การมองก็เป็นเพียงแค่การมองแค่นั้น
ผมคิดว่ากัญชพรก็คงพอจะรู้แล้วเพราะผมกันตัวเองไว้ด้วยการทำให้เธอเข้าใจว่า...
ผมน่าจะมีแฟนแล้ว แม้ผมแอบหยอดๆ ไปบ้าง แต่เธอก็รู้ดีว่ามีเส้นแบ่งกั้นไว้
ผมส่งยิ้มและโบกมือลาพร้อมกับรถของเธอที่ค่อยๆ เคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ
พอรถของกัญชพรหายลับไปตรงทางออกแล้ว ผมก็รีบวิ่งแจ้นกลับมาที่ร้าน
ไม่ได้เข้าไปในร้านอีกครั้งหรอก แต่ทำทีเป็นเดินเล่นไปมาอยู่แถวๆ นั้น
รออยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง เจกับคานินก็ยุติอาหารเย็นมื้อพิเศษของทั้งสองคน
ผมแอบหลบตรงร้านหรือน่าจะเรียกว่าซุ้มขายไอศครีมเล็กๆ เพื่อไม่ให้สองคนนั้นเห็น
พอเจกับคานินเดินออกมาแล้วผมจึงย่องตามไป คอยเตือนตัวเองให้ใจเย็นๆ ไปด้วย
จนกระทั่งสองคนนั้นเดินผ่านประตูกระจกออกไปยังลานจอดรถของห้าง
ผมก็เข้าชาร์จด้วยการวิ่งไปดักข้างหน้าทันที
"คุณเป็ง!/พี่เป็ง!" คานินกับเป็งอุทานพร้อมกันอย่างตกใจและหยุดกึกอยู่กับที่
สองคนนั้นหน้าถอดสีจนดูซีดอย่างเห็นได้ชัด ก็ยังดีที่ยังรู้สึกอะไรกันอยู่บ้าง
"ตกใจมากเหรอ นี่ใช่ไหมที่เจบอกพี่ว่าเจมีธุระ มีธุระกับแฟนพี่เนี่ยเหรอ!"
ผมชักเดือดจึงไม่แทบไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตัวเองได้
จ้องสายตาของทั้งสองคนสลับกันไปมา ทั้งคู่ต่างหลบตาเป็นพัลวัน
"ทำอะไรกันรู้ตัวหรือเปล่า! ไม่เห็นหัวพี่เลยเหรอ! พี่กับคานินยังไม่เลิกกันซะหน่อย"
เจกับคานินทำหน้าเลิ่กลั่กเหมือนคนทำผิดแล้วถูกจับได้เลย หน้าซีดเผือดยังกับไก่ต้ม
"ว่ายังไงล่ะ!" ผมขึ้นเสียงดัง เจกับคานินถอยกรูดไปสองสามก้าว
ผมย่างเท้าตามไปอย่างช้าๆ ดีหน่อยที่แถวนี้คนไม่พลุกพล่านผมจึงไม่ต้องกังวลใดๆ
"คานิน...คานินเห็นผมเป็นอะไรเหรอ ถ้าจะไม่ให้โอกาสผมแก้ตัว...ก็บอกผมตรงๆ สิ
ถ้าจะไม่รักกันแล้ว บอกผมสิ! ถ้าอยากไปจากผมจริงๆ ผมก็คงห้ามไม่ได้อยู่แล้ว"
ผมเปลี่ยนเป้าหมายไปที่หนุ่มเขี้ยวของผมบ้าง ตอนนี้หน้าหดเหลือสองนิ้วแล้ว
"เอ่อ...ผม..." คานินตะกุกตะกัก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
"ตกลงจะเอายังไง คานิน เจ" ผมมองหน้าทีละคนตามชื่อที่เรียก
"คือผม..." เจอึกอัก ไม่ว่ารู้ว่าผมทำหน้าดุขนาดไหนแต่ดูเจกลัวมากทีเดียว
"ตอบไม่ได้เหรอ!" ผมขึ้นเสียงอีก จ้องหน้าสองคนสลับกันไปมา
"ว่าไงคานิน จะคบกับเจหรืออัญก็เลือกเอาละกันนะ ผมขอแค่ให้เราสองคนจบกันก่อน
แค่บอกผมเท่านั้นแหละ บอกผมมาสิคานิน เราสองคนจบกันแค่นี้ใช่ไหม แค่นี้ใช่ไหม!"
ผมคาดคั้นด้วยอาการโกรธระคนผิดหวัง มือไม้และริมฝีปากสั่นพอๆ กัน
"คุณเป็ง" คานินทำหน้ารู้สึกผิด ดูเหมือนอยากพูด แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่เอ่ยปาก
"คานินอาจจะโกรธผมที่ผมเคยลังเลใจ ผมก็ไม่ว่าอะไร แต่ผมจะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง...
ผมไม่เคยลังเลว่าผมรักคานินหรือเปล่า ผมแค่สงสัยว่าความรู้สึกกับผู้หญิงคนนั้น...
คืออะไรกันแน่ ใช่ความรักหรือเปล่า หรือว่า...เป็นแค่ความหลงใหลชั่วคราว
ผมพิสูจน์ตัวเองแล้ว ผมเอาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้ผู้หญิงในแบบที่ผมฝังใจ แต่รู้ไหม...
ผมยอมเป็นคนกะล่อน ทำทีเล่นทีจริง ทำเป็นอยากอยู่ใกล้ชิดกับผู้หญิงคนนั้น
ทำเป็นหมาหยอกไก่ ทำเป็นสนใจเขา จ้องตาเขา คอยเฝ้ามองเขี้ยวเสน่ห์ของเขา
แต่คำตอบสุดท้ายของผม...ไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น คำตอบสุดท้ายของผมก็คือ...คานิน!"
"คุณเป็ง" คานินอุทานด้วยเสียงเบาหวิวจนผมแทบฟังไม่ได้ยิน
แต่ก่อนที่ผมจะระเบิดอารมณ์ไปมากกว่านี้ จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน
"ไอ้เป็ง ใจเย็นๆ ก่อนเพื่อน"
ผมหันไปมองตามเสียงที่ดังมาจากข้างหลัง พอเห็นว่าเป็นเพื่อนรักก็แปลกใจ
ไม่รู้ว่ามายืนดูตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงได้รู้ว่าผมกำลังระเบิดอารมณ์ใส่สองคนนี้อยู่
"ไอ้ภู"
เพื่อนรักผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ทำไมเรื่องต่างๆ ถึงบังเอิญมากขนาดนี้ น่าแปลกจริงๆ
แต่ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกหรอกเพราะกำลังโมโหอยู่ ก็เลยไม่เอะใจแม้แต่น้อย
"มึงมานี่กับกูก่อนไอ้เป็ง"
ภูริชตรงเข้ามาจับแขนแล้วลากผมเดินออกไป
"ไอ้ภู มึงจะพากูไปไหน กูขอจัดการกับสองคนนี้ก่อนได้ไหม" ผมพยายามขืนตัวไว้
"มึงไม่ควรจัดการปัญหาตอนที่มึงกำลังอารมณ์ร้อนนะเว้ยไอ้เป็ง ไปคุยกับกูก่อน"
ภูริชพูดเสียงดังและทำหนักแน่นอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน บวกกับคนเริ่มมอง
สุดท้ายผมจึงยอมให้เพื่อนรักลากไปที่รถ แต่ก็ไม่วายหันไปมองเจกับคานินเป็นระยะๆ
"เดี๋ยวมึงค่อยมาเอารถมึงละกัน ไปกับกูก่อน" ภูริชพูดเหมือนออกคำสั่ง
แม้จะรู้สึกขัดใจพอสมควร แต่การปรากฎตัวของภูริชก็ทำให้ผมได้สติมากขึ้น
ก็จริงอย่างที่เพื่อนรักบอก ผมไม่ควรแก้ปัญหาในขณะที่ตัวเองยังควบคุมอารมณ์ไม่ได้
ผมเข้าไปนั่งในรถของเพื่อน พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองเอาไว้
พอรถแล่นออกไปแล้ว ผมกับเพื่อนก็ไม่ได้คุยกันเลยตลอดทาง
ภูริช...ผมพาเป็งมาที่คอนโดของผมตอนเกือบสามทุ่ม เจ้าตัวยังคงเงียบอยู่
แต่พอเข้ามาในห้องผมแล้วก็เริ่มกระฟัดกระเฟียด ทิังตัวลงนั่งแล้วก็ระเบิดต่อ
"มึงก็เห็นใช่ไหมไอ้ภูว่าคานินทำอะไร เดี๋ยวก็เจ เดี๋ยวก็อัญ แล้วกูเป็นอะไรวะ"
จะว่าสงสารก็สงสารเพราะผมไม่เคยเห็นเป็งเป็นอย่างนี้เลย
แต่ผมก็ไม่อยากให้เพื่อนใช้อารมณ์ของตัวเองมากนัก
"ใจเย็นๆ ก่อนเพื่อน เดี๋ยวแป๊บนึงนะ กูขอโทรศัพท์ธุระแป๊บนึงก่อน
ไม่เกินครึ่งนาที เดี๋ยวกูจะคุยกับมึงทุกเรื่องเท่าที่มึงต้องการเลย"
เป็งดูจะหงุดหงิดแต่ก็ไม่ว่าอะไรผมหยิบโทรศัพท์มาแล้วกดเบอร์โทรออกไป
พูดคุยสองสามคำแล้วก็ยุติการสนทนา หันมาหาเป็ง พยายามยิ้มให้
"โอเค กูพร้อมจะฟังมึงแล้ว"
ผมนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามกับเพื่อนรัก เป็งนั่งตัวตรงแล้วก็ระบายความรู้สึกต่อ
"กูโคตรเจ็บเลยนะเว้ยไอ้ภู มึงก็รู้ใช่ไหมว่าคานินเป็นรักแรกของกู กูไม่เคยรักใคร
เกิดมาในชีวิตนี้ นอกจากครอบครัว นอกจากเพื่อนอย่างมึง กูก็รักคานินเป็นคนแรก
กูชอบเขาตั้งแต่แรกเห็น อยากคุย อยากรู้จัก อยากอยู่ใกล้ๆ กูไม่เคยเป็นแบบนี้เลย
กูไม่เคยคิดว่าจะรักผู้ชายด้วยกันได้ แต่กูก็รักเขาได้ ก็อย่างที่มึงบอกนั่นแหละไอ้ภู...
ถ้ากูไม่รู้สึกกับเขามากขนาดนั้น กูก็ไม่น่าจะบ้าทำไปถึงขนาดนั้นหรอก แต่กูชอบเขา
ชอบเขามากๆ ด้วย อะไรที่ไม่เคยทำกูก็ทำ ทำทุกอย่างเพราะกูอยากมีเขาอยู่ข้างๆ"
เป็งหยุดเว้นจังหวะ ถ้าดูไม่ผิด ดูเหมือนมีหยดน้ำตาเล็กๆ ซึมออกมาจากสองตาด้วย
"ที่กูสับสน ไม่ได้แปลว่ากูไม่รักเขาซะหน่อย กูผิดมากเหรอที่กูแค่สงสัย กูถูกลงโทษ
ทั้งๆ ที่ยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าคำตอบของกูคืออะไร ทำไมล่ะไอ้ภู กูผิดเลยมากเหรอ
กูก็เป็นคนธรรมดานะเว้ย ทำไมกูถึงจะสับสนไม่ได้ กูฝังใจกับเรื่องนี้มาตั้งนาน มึงก็รู้
กูแค่ขอเวลาหาคำตอบที่ชัดเจนให้ตัวเองแค่นั้น ไม่ให้โอกาสกูหน่อยเลยเหรอวะ
ความจริง...กูก็ได้คำตอบตั้งแต่คุยกับมึงวันนั้นแล้ว มึงช่วยพูดให้กูเข้าใจตัวเองแล้ว
กูรู้แล้วว่ามันเป็นแค่...infatuation ไม่ใช่ความรัก แต่คานินไม่ให้โอกาสกูแก้ตัวเลย"
พอเห็นเพื่อนเศร้าและเจ็บปวด ความสงสารที่แท้จริงก็บังเกิดในใจผม
นานๆ ทีผมจะเห็นเป็งบ่นและคิดลบมากขนาดนี้ แม้จะแปลกใจแต่ก็พอเข้าใจได้
"เอางี้...มึงตอบคำถามกูให้ชัดๆ อีกทีได้ไหมไอ้เป็ง"
เป็งหยุดมองหน้าผม ครุ่นคิด อาการดูสงบลงเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้า
"เรื่องกัญชพร ความรู้สึกของมึงกับผู้หญิงคนนี้...คืออะไรกันแน่" ผมยิงคำถามแรก
"กูไม่ได้รักเค้า" เป็งตอบมาแทบจะทันที "เขาสวย เขาน่ารัก กูไม่ปฏิเสธว่าชอบมอง
แต่ชอบมองก็ไม่ได้แปลว่ากูรักเขานะเว้ย ตามประสาผู้ชาย...มันก็ต้องมีบ้าง"
"แน่ใจใช่ไหม" ผมถามย้ำ
"แน่ใจสิวะ กูเคยโกหกมึงเหรอ กูไม่ได้รักเขา...ล้านเปอร์เซ็นต์" ย้ำหนักแน่นแล้วพูดต่อ
"กูทำตามที่มึงกับเจแนะนำแล้ว พยายามอยู่ใกล้ชิดกับคุณกัญ ก้อล้อก้อติกเขา
ไม่รู้ว่าเขามองกูว่าเป็นคนกะล่อนหรือเปล่า แต่มันก็ได้ผล เพราะมันทำให้กูรู้ว่า...
กูไม่ได้รักเขาเลย มันเป็น infatuation อย่างที่มึงว่าจริงๆ"
ผมพยักหน้าเข้าใจอย่างช้าๆ ยิ้มพอใจเล็กน้อยกับคำตอบของเพื่อนรัก
"แล้ว...ตอนที่คานินไปกับเจ อ้อ...ไปกับอัญด้วย มึงหึงเขาหรือเปล่า"
"มึงยังจะถามกูอีกเหรอวะ เมื่อกี้ก็เห็นอยู่ เรายังไม่ได้เลิกกันนะเว้ย ทำไมกูจะไม่หึง
แล้วที่สำคัญ...กูรักคานิน กูไม่อยากให้เขาไปกับคนอื่น กูกลัวว่ากูจะเสียเขาไป
ยิ่งรู้ว่ากูทำให้เขาเสียใจ ยิ่งรู้ว่ากูทำผิดกับเขา กูก็ยิ่งกลัวว่าเขาจะทิ้งกูไป"
"สรุปว่ามึงหึงเขาใช่ไหม" ผมถามย้ำ
"เออสิวะ ถามแปลกๆ นะมึงน่ะ" เป็งค่อนขอดเล็กน้อย
"หึงมากหรือเปล่า" ผมถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจจริงๆ
"อะไรของมึงวะไอ้ภู มึงก็เห็นแล้วนี่ ถ้ามึงไม่ลากกูมา กูคงได้ต่อยกับไอ้เจแน่ๆ"
ผมสะดุ้งตกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าเพื่อนผมจะมีมุมโหดๆ อย่างนี้ด้วย
"แล้วอัญล่ะ มึงหึงคานินกับอัญไหม"
เป็งคงรู้สึกว่าผมชักเริ่มแปลกๆ เพราะขมวดคิ้วและมองผมอย่างสงสัย
"กูก็หึงหมดแหละ มึงรู้ไหมว่าตอนที่กูเห็นรูปคานินกับอัญที่ผับอะไรสักอย่างน่ะ
หัวใจกูแทบสลาย ผู้หญิงกับผู้ชายสองคน เมาขนาดนั้น คงไปถึงไหนกันแล้วมั้ง"
"แสดงว่า...มึงเข้าใจความรู้สึกของคานินตอนที่คานินรู้ว่ามึงสับสนแล้วใช่ไหม"
"ก็เออดิ โคตรจะเข้าใจเลย แต่มึงรู้ไหมว่ากูก็สงสารเขา ช่วงที่กูยังหาคำตอบไม่ได้
กูก็ไม่อยากให้เขารู้หรอก สำหรับกูนะ...รู้ว่าไม่รักยังไม่เจ็บเท่าไม่รู้ว่ารักหรือเปล่า
เพราะฉะนั้น ตอนที่กูยังไม่มีคำตอบ กูก็ไม่อยากให้เขารู้ แต่คานินก็บังเอิญรู้จนได้"
ผมพ่นลมหายใจ มองหน้าเพื่อนอย่างใช้ความคิด จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าไปใหม่
รวบรวมความกล้าเมื่อมาถึงจุดสำคัญที่สุดที่ผมต้องพูดเสียที
"เรื่องที่คานินไปผับกับอัญ มึงไม่ต้องห่วงหรอก เขาสองคนไม่ได้ทำอะไรเสียหาย"
"แล้วมึงรู้ได้ไงวะ อย่าบอกนะว่ามึงไปกับเขามา" เป็งถามคล้ายประชด
"เออ กูไปกับเขามา แล้วกูก็เป็นคนไปส่งคานินเองถึงอพาร์ทเมนต์ของเขาเลย
เพราะฉะนั้นกูถึงกล้ายืนยันว่าคานินไม่โดนผู้หญิงคนนั้นงาบอย่างแน่นอน"
เป็งขมวดคิ้วแน่น ท่าทางสงสัยสุดขีด ผมทำใจนิ่งๆ สักพักจึงพูดต่อ
"กูไม่รู้ว่ามึงจะโกรธกูหรือเปล่านะ มึงจะโกรธกูก็ได้ แต่อย่าถึงกับเลิกคบกูนะเว้ย
คืออย่างงี้...เรื่องทั้งหมดที่ทำให้มึงหัวเสียอยู่ตอนนี้...เป็นแผนของกูเองแหละ"
เป็งหน้าเหวอและดูงุนงงมากกว่าเดิม "มึงพูดอะไรของมึงวะไอ้ภู กูไม่เข้าใจ"
"ก็กูอยากช่วยมึงสองคนไง" ผมเกริ่นก่อนอธิบายจริง
"ช่วยเหรอ ช่วยยังไง" เป็งยังคงขมวดคิ้ว
ผมรวบรวมความกล้าอีกครั้ง แม้กลัวเพื่อนโกรธแค่ไหนก็ต้องพูดความจริง
"อย่างแรก กูอยากให้มึงแน่ใจตัวเองจริงๆ ว่ามึงรักคานิน และรักเขามากจริงๆ
อย่างที่สอง...กูอยากให้คานินรู้แล้วก็มั่นใจว่ามึงรักคานินจริงๆ เขาจะได้ไม่สงสัยอีก"
"ยังไงวะ" เป็งดูไม่คลายสงสัยลงไปเลยแม้แต่นิด
"ก็...อย่างแรก ที่กูให้มึงทำตามคำแนะนำของเจน่ะ เพราะกูอยากให้มึงค้นพบหัวใจตัวเอง
มึงสับสนว่ามึงรู้สึกยังไงกับกัญชพรใช่ไหม แทนที่มึงจะหนีมันไป มึงต้องวิ่งเข้าหามัน
ไปอยู่ใกล้เขา คุยกับเขา รู้จักกับเขา แต่ก็มีระยะห่างไว้ป้องกันตัวเอง มึงถึงจะรู้ด้วยตัวเองไง
ว่าสุดท้าย...ความรู้สึกที่มึงมีให้เขา...ใช่ความรักหรือเปล่า มึงก็ได้คำตอบแล้วนี่"
ผมหยุดเว้นจังหวะ เพราะเรื่องต่อไปสำคัญมากและเสี่ยงที่ผมจะถูกเพื่อนด่าที่สุด
"ส่วนอีกเรื่อง กูเป็นคนขอให้เจ อัญแล้วก็คานิน...ทำอย่างที่มึงเห็นนั่นแหละ
เจกับอัญเขาไม่คิดจะแย่งแฟนมึงหรอก กูแค่ขอให้สองคนนี้มาช่วยทำให้มึง...หึงคานิน
มึงจะได้รู้ใจตัวเองไงว่ามึง...รักคานินมากแค่ไหน กูไม่มีเจตนาอย่างอื่นเลย"
"มึงหยุดเลยนะเว้ยไอ้ภู!" เป็งพูดสวนขึ้นมาก่อนผมพูดจบ ท่าทางดูโกรธอย่างเห็นได้ชัด
ผมหยุดพูดหรือจะเรียกว่าหยุดชะงักก็ได้ ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ รู้สึกใจคอไม่ดี
เป็งลุกขึ้นยืนแล้วก็พูดใส่อารมณ์เสียงดังกับผม
"พวกมึงเห็นกูเป็นอไรเหรอวะ ไม่เชื่อใจกูกันเลยเหรอถึงต้องทำกันแบบนี้
คำพูดของกูไม่มีความน่าเชื่อถืออย่างงั้นเหรอ ถ้ากูบอกว่ารัก ไม่มีใครเชื่อใช่ไหมว่ากูรัก
กูไม่สนุกด้วยนะเว้ยไอ้ภู ถึงกูจะเข้าใจความหวังดีของมึง แต่กูก็ไม่สนุก กูเจ็บนะเว้ย
เห็นกูเป็นตัวอะไรวะ ถ้าไม่เชื่อคำพูดกัน ก็บอกมาเลย ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้"
พูดจบแล้วเป็งก็พรวดพราดออกไปจากห้องผม ผมทำท่าจะวิ่งตามไปแต่ก็หยุดและนั่งลง
เป็งโกรธผมไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะไปอธิบายตอนนี้ คงต้องรอให้สงบสติอารมณ์ก่อน
ผมก็เสียใจเหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อเป็งเน้นย้ำว่า "กูไม่สนุกด้วย"
ด้วยความที่อยากช่วยก็เลยลืมคิดถึงข้อนี้ไปเลย ถ้าผมโดนแบบนี้บ้างก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
กูขอโทษนะเพื่อน!
คานิน...ผมได้ยินการสนทนาทั้งหมดแล้วเพราะภูริชโทรศัพท์มาหาผมตอนที่คุยกับเป็ง
จากนั้นก็เปิดสายไว้เพื่อให้ผมได้ฟังว่าเป็งพูดอะไรกับภูริชเรื่องผมบ้าง
ผมรู้สึกผิดมากทีเดียว ถ้าผมเป็นเป็งก็คงรู้สึกแย่ที่โดนคนรักลองใจอย่างนี้
ก็อย่างที่เป็งว่า ถ้าไม่เชื่อใจกันก็บอกกันตรงๆ ไม่ควรทำอย่างนี้ให้เสียความรู้สึก
ผมนึกถึงเรื่องที่ผมคุยกับภูริชวันนั้น ตอนที่เป็งไปจัดงานอบรมที่นครนายกสามวัน
ตอนนั้นผมเองก็เคว้งเพราะกลัวว่าเป็งจะไปจากผมเพราะได้เจอคนที่ใช่มากกว่า
แต่สิ่งที่ภูริชบอกทำให้ผมอยากให้โอกาสตัวเองและเป็งอีกสักครั้ง
"คานินไม่ต้องเสียใจหรอก ผมเป็นเพื่อนเป็งมาเป็นสิบๆ ปี รู้จักเขาดี เขารักคานินนะ
เขาไม่รักผู้หญิงคนนั้นหรอก เข้าใจเป็งเขานิดนึง เขาฝังใจกับผู้หญิงมีเขี้ยวมานาน
เขาเลยแยกไม่ออกว่าความหลงกับความรักต่างกันยังไง แต่คานินคงรู้ว่ามันต่างกัน
อีกอย่าง...เป็งก็ไม่เคยมีความรักมาก่อน ก็เลยสับสนอยางที่เห็นนั่นแหละครับ
ถ้าคานินอยากพิสูจน์ ก็ทำตามที่ผมแนะนำ แล้วคานินจะเห็นด้วยตาของคานินเอง"
ผมยอมรับว่าพอได้ฟังแล้วก็ยังไม่มั่นใจเสียทีเดียว แต่ก็อยากพิสูจน์ให้แน่ใจ
จนวันนี้ผมก็ได้รู้แล้ว เป็งรักผมจริงๆ ด้วย ผมไม่น่าไปลองใจเป็งอย่างนั้นเลย
ไม่ได้การแล้ว ผมต้องไปหาเป็ง ต่อให้เป็งโกรธเกลียดยังไงผมก็ต้องไปหาให้ได้
ว่าแล้วผมก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าและลงไปเรียกมอเตอร์ไซค์ไปปากซอย
พอถึงถนนใหญ่ก็นั่งรถเมล์ไปลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่ผมแทบไม่เคยใช้บริการเลย
จากนั้นจึงต่อบีทีเอสไปยังสถานีที่อยู่ใกล้ร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่
พอออกจากสถานีบีทีเอส ผมก็เดินลิ่วเข้าไปในซอยที่เป็นที่ตั้งของคอนโดของเป็ง
จนกระทั่งในที่สุดผมก็พาตัวเองมาอยู่ที่ล็อบบี้ของคอนโดสุดหรูใจกลางเมืองจนได้
ผมพยายามโทรหาเป็งแต่ก็ไม่ติด ส่งไลน์ไปก็ไม่อ่าน ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ
สุดท้ายผมจึงต้องพึ่งเจ้าหน้าที่ของคอนโดให้ช่วยโทรไปที่ห้องของเป็ง
น้องผู้หญิงจัดการโทรให้ผมอย่างกุลีกุจอ แต่โทรไปหลายรอบก็ไม่มีใครรับสาย
"คุณป้องเกียรติยังไม่ได้ออกไปไหนใช่ไหมครับ" ผมถามย้ำ
"เพิ่งเห็นเข้ามา ยังไม่น่าจะออกไปนะคะ" เจ้าหน้าที่สาวสวยบอก
"ช่วยโทรอีกทีได้ไหมครับ" ผมขอความเห็นใจอีกครั้งเพราะเหลือเพียงทางเลือกเดียว
เจ้าหน้าที่สาวสวยยิ้มให้ แล้วจัดการโทรเข้าเบอร์ห้องของเป็งอีกครั้งตามที่ผมร้องขอ
หลังจากที่พยายามโทรไปสองสามรอบ ในที่สุดก็มีคนรับสายเสียที
"คุณป้องเกียรติคะ มีแขกชื่อคานินมารอพบที่ล็อบบี้ค่ะ"
ผมรู้สึกโล่งใจมากทีเดียวที่เจ้าหน้าที่สามารถติดต่อเป็งได้และบอกว่าผมมารออยู่
"ขอบคุณมากครับ" ผมยิ้มให้เธอแล้วก็กลับมานั่งรอตรงที่นั่งบริเวณล็อบบี้ตามเดิม
แม้ว่าจะกลัวเป็งโกรธแค่ไหน แต่สิ่งที่ผมกลัวมากกว่านั้นก็คือการเสียเป็งไป
เพราะฉะนั้น ผมจะไม่ยอมเสียเป็งไปเด็ดขาด ถ้าจะต้องอ้อนวอนก็ยินดีทำ
ในที่สุดเป็งก็ลงมาหาผมด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แต่ก็ออกจะดูบึ้งตึงไม่น้อย
มาถึงปุ๊บก็พาผมเข้าไปยังบริเวณส่วนในของคอนโดทันทีโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง
พอเข้ามาในห้อง เป็งก็เดินไปยืนกลางห้อง หันหลังให้ผมที่เดินเข้ามาอย่างหวั่นๆ
"สนุกกันมากไหม!" เป็งพูดขึ้นโดยไม่หันมามอง
ผมหยุดชะงักกึก แค่น้ำเสียงก็ทำเอาผมใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว คงโกรธผมน่าดู
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากผมเพราะชักทำตัวไม่ถูก พูดกับคนโกรธใช่เรื่องง่ายที่ไหน
"ไม่เชื่อใจผมเหรอ ผมไม่เคยโกหกสักครั้ง สับสนก็ยอมรับว่าสับสน ทั้งๆ ที่โกหกก็ได้
แต่ผมก็ไม่ทำ รู้อย่างงี้...ผมโกหกซะบ้างก็น่าจะดี แปลกนะ...คนสมัยนี้ชอบคนโกหก"
ผมสะอึกไปเลย เพราะที่ผมทำอยู่ตอนนี้ก็คือการโกหกหลอกลวงดีๆ นี่เอง
แม้ว่าจะมีเจตนาเพื่อพิสูจน์หรือลองใจอีกฝ่ายก็เถอะ
"คุณเป็ง ผมขอโทษ" ผมบอกด้วยน้ำเสียงและสีหน้ารู้สึกผิด แต่เป็งก็ไม่หันมามอง
"ไม่ต้องขอโทษผมหรอก ผมเอง...ก็ทำให้คานินเจ็บตั้งเยอะ แต่ผมจะบอกให้รู้นะ
คนอย่างผม...ไม่เคยลองเชิง ไม่เคยลองใจใคร ผมไม่ทำแบบนี้กับคนที่ผมรัก"
นั่นไงล่ะ เป็งโกรธเรื่องนี้อย่างที่ผมเข้าใจจริงๆ ด้วย
กระนั้น ผมก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยตอนที่ได้ยินคำว่า "คนที่ผมรัก" นี่แหละ
"เดี๋ยวผมจะกลับไปอยู่เชียงรายสักเดือน ขอเวลาไปสงบจิตใจสักหน่อย"
ใจผมหายวาบ เป็งจะห่างผมไปตั้งหนึ่งเดือนเลยหรือ ผมคงขาดใจตายแน่ๆ เลย
คงยอมปล่อยให้เป็งไปทั้งๆ ที่เรายังไม่เข้าใจกันแบบนี้ไม่ได้หรอก
"คุณเป็ง...อย่าเพิ่งไปเลยนะครับ" ผมทำเสียงอ้อนวอนสุดฤทธิ์
"ผมอยู่ไม่ไหวหรอก ผมยอมรับว่าผมโกรธมาก เหมือนตัวเองเป็นตัวตลกไงไม่รู้
ผมไม่รู้นะว่าคานินเชื่อใจผมแค่ไหน หนึ่งอาทิตย์อาจจะไม่พอที่ผมจะพิสูจน์ตัวเอง
จะลองสักหนึ่งเดือนดูไหมล่ะ เผื่อเราสองคนจะชัดเจนกับความรู้สึกตัวเองมากกว่านี้
เผลอๆ เราจะได้รู้ว่า...เราสองคน...ไม่ใช่คำตอบของกันและกันอยู่หรือเปล่า"
ใจผมหายวาบอีกครั้ง ผมไม่ต้องการเวลาพิสูจน์หัวใจเพิ่มเพราะผมได้คำตอบแล้ว
คนอย่างเป็งมีทางเลือกที่ดีกว่ามากมาย แต่ก็ยังยืนยันว่ารักผม แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้ว
ผมค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปหาเป็ง มองดูแผ่นหลังที่ผมเคยกอดกระหวัดในค่ำคืนนั้น
ผู้ชายที่แสนอบอุ่น จริงใจและรักผมจริงอย่างนี้จะไปหาได้ง่ายๆ ที่ไหน
ผมย่างเท้ามาจนเกือบประชิดตัว มือไม้สั่นด้วยความกลัว แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจ...
วงแขนของผมรวบตัวเป็งไว้ กอดแน่นแนบชิดกันจนจมูกได้สัมผัสกลิ่นกายที่คุ้นเคย
"คุณเป็ง...อย่าไปเลยนะครับ ผมไม่อยากให้คุณเป็งไป"
ผมสัมผัสได้ถึงอาการยืนตัวแข็งทื่อของเป็ง คล้ายกับเจ้าตัวยังไม่พร้อมจะอ่อนลง
"ทำไมล่ะครับ" น้ำเสียงของเป็งฟังดูสั่นไหว
"ผม..." ผมหยุดเว้นจังหวะ รวบรวมความกล้าเท่าที่มีพูดเรื่องสำคัญที่สุดออกไป
"ผมรักคุณเป็ง" สารภาพแล้วผมก็ซบหน้าลงที่แผ่นหลังของเป็งพร้อมกับร้องไห้เบาๆ
"ผมขอโทษที่ผมลองใจคุณเป็ง ผมรู้ว่ามันไม่ดี แต่ผมแค่อยากพิสูจน์ให้มั่นใจ
ผมรู้ว่ามันไม่ใช่วิธีที่ถูกหรอก แต่ตอนนั้น...ผมไม่รู้จะหาวิธีไหน ไม่รู้จะทำยังไง
ผมก็เลยต้องทำอย่างงั้น แต่ถึงมันจะไม่ค่อยดี ผมก็ได้พิสูจน์แล้วว่าคุณเป็ง...
รักผมมากแค่ไหน ขอบคุณที่ยังรักผมนะครับคุณเป็ง ผมก็รักคุณเป็งเหมือนกัน
แล้วก็คิดถึงคุณเป็งทุกวันเลย คุณเป็งก็คิดถึงผมใช่ไหมครับ ผมรู้ว่าคุณเป็งคิดถึงผม"
เป็งนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกตะลึงหรืออะไรกันแน่ที่ได้รู้ความในใจจากผม
"ถ้าคุณเป็งโกรธผม คุณเป็งจะเตะ จะต่อย จะทำอะไรผมก็ได้ ผมยอมทุกอย่าง
ขออย่างเดียว...คุณเป็งอย่าเพิ่งไปนะครับ อยู่กับผมก่อน ผมอยากอยู่กับคุณเป็ง"
เป็งยังคงเงียบและไม่แสดงอาการตอบสนอง แต่ก็พอสัมผัสได้ว่าตัวเริ่มอ่อนลงแล้ว
ผมกอดเป็งแน่นขึ้นเพื่อให้เป็งรู้ว่าผมอยากอยู่กับเป็งสองคนมากแค่ไหน
"ผมขอโทษนะครับพี่เป็ง ขอโทษจริงๆ ยกโทษให้ผมได้ไหม"
ผมจงใจเรียกเป็งว่าพี่เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่ผมมอบให้ไป
ได้ผลเสียด้วย เป็งตอบสนองด้วยการแกะมือผมออกแล้วหันมาเผชิญหน้ากัน
แต่แล้วผมก็ต้องตกใจที่พบว่าเป็งยังคงมีสีหน้าบึ้งตึงอยู่ บึ้งตึงกว่าเดิมด้วยซ้ำ
"จะให้ผมทำโทษยังไงก็ได้ใช่ไหม" เป็งถามย้ำด้วยเสียงเข้มและหนักแน่น
"ครับ...ยังไงก็ได้" ผมพยักหน้ายืนยัน แต่ในใจรู้สึกหวั่นๆ อย่างบอกไม่ถูก
"ดี...งั้นก็เตรียมตัวรับโทษให้ดีละกันนะครับ!"
TBC...