【嫦娥 ลิขิตจันทรา】[พีเรียดจีนโบราณ] ตอนที่๑๓ ๔/๔/๕๙
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 【嫦娥 ลิขิตจันทรา】[พีเรียดจีนโบราณ] ตอนที่๑๓ ๔/๔/๕๙  (อ่าน 57239 ครั้ง)

ออฟไลน์ duaenmaysa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************










ตัวข้าเหวินฉีลี่ฉาง ยิ้มคราหนึ่งล่มเมือง ยิ้มอีกคราล่มแผ่นดิน
กลับกลายมาเป็นตัวอัปลักษณ์ตัวหนึ่ง!
ที่แท้โชคชะตาเล่นตลกอะไรกับชีวิตข้ากันแน่!



คืนนี้ร่ำสุราเดียวดายใต้ต้นเหมย
ผู้เคยเชยชิดเล่ากลับจรหาย
จันทราลางเลือน ตัวข้าเดียวดาย
ยวนยางคู่สูญสลาย..เหลือเพียงเถ้าเปล่าดายในพริบตา




ทักทายนักอ่าน
     สวัสดีค่ะนักอ่านชาวเล้าเป็ดทุกคน ^^  ขอแนะนำตัวก่อนนะคะว่าเราชื่อเมษา หรือ เดือนเมษา หากตามนามปากกาสำหรับนิยายแนวจีนโบราณคือ ‘น้ำค้างหยกวสันต์’  เราชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่จำความได้  อ่านแนวบอยเลิฟมานานค่ะเกือบเก้าปีแล้ว สิงที่เล้ามาก็นานมากจนเป็นเหมือนบ้านหลังหนึ่งดังนั้นจะไม่มาลงนิยายเรื่องนี้ในเล้าคงเป็นไปไม่ได้
     ลิขิตจันทราเป็นนิยายแนวจีนโบราณเรื่องแรกที่เราเขียน  บอกตามตรงว่าไม่ใช่นิยายแนวที่ถนัดเพราะเขียนในมุมมองบุรุษที่ 1   ดังนั้นทุกบรรทัดทุกตัวอักษรเราจึงใส่ใจมากในการเขียนเลยอาจทำให้แต่ละตอนออกมาล่าช้า   กำหนดการอัพของเราจะอยู่ที่อาทิตย์ละ 1-2 ตอน
     ตัวเอกในเรื่องนี้คือเหวินฉีลี่ฉาง  ลี่ฉางเป็นตัวเอกในแบบที่เราไม่ได้เขียนนานแล้วค่ะ คือเป็นคนสวยชนิดว่าสวยกว่าผู้หญิง (บอกไว้ก่อนเพราะอาจไม่ถูกจริต) นิสัยของลี่ฉางไม่ได้ดีพร้อม  เป็นคนที่มีจุดบกพร่อง  มีมุมมืดอยู่ในตัวเหมือนคนอื่นทั่วไป  จริงๆต้องบอกว่าทุกตัวละครในเรื่องล้วนมีข้อบกพร่องและไม่สมบูรณ์ค่ะ  เพราะเราทุ่มเทที่จะสร้างเขาให้เป็นเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง  มนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจไม่ใช่แค่ตัวละครจากปลายนิ้วเราเท่านั้น  จึงอยากให้ช่วยติดตามกันไปเรื่อยๆจนถึงตอนสุดท้ายนะคะ (ซึ่งอีกหลายตอนเลย T__T)



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-04-2016 01:31:40 โดย duaenmaysa »

ออฟไลน์ duaenmaysa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0

ตอนที่ ๑ เมื่อเทียนเล่มนั้นราแสง


แสงเทียนสีทองส่องสว่างจ้าเสียจนทำให้ดวงตาของข้าต้องหลับตาลงคราหนึ่งรับรู้ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอยู่รอบข้าง  เสียงคร่ำครวญของพี่จื่อหรง  สัมผัสอันอ่อนโยนของท่านเหมยที่ค่อยๆลูบเบาๆยังเส้นผมนุ่มสลวยดำขลับราวปีกกา  คลับคล้ายคลับคลาว่าเขาพร่ำกระซิบอะไรซักอย่างอยู่ริมใบหู  สติอันลางเลือนสุดท้ายมิอาจฉุดรั้ง  ข้าจมลงในห้วงแห่งภวังค์อันมืดดำ  ไม่อาจทราบว่าที่แท้กำลังอยู่ในความฝันหรือความจริง

เมื่อลืมตาตื่นก็พบดวงตางดงามสีน้ำตาลส่องประกายเจิดจรัสเพริศพริ้งราวกับน้ำผึ้งสีทองที่หยาดกระทบแสงตะวันฉาย  เส้นผมยาวทิ้งตัวลงราวกับม่านน้ำตก สีของราตรีคลี่ขจายคลุมทั่วเรือนกายอันงดงามที่นอนเอนอยู่บนเตียงอุ่น  แสงจันทร์อ่อนละมุนลาดไล้ร่างบอบบางขาวนวลราวงาช้าง  ดั่งเทพเซียนจากสรรค์แปลงกายมายังโลกหล้า พิสุทธิ์เลอค่าราวกับไข่มุกของสองมังกรหงส์[1]  ทุกอย่างบนใบหน้าล้วนประกอบกันเป็นความงามเลิศล้ำ หนึ่งยิ้มล่มเมือง  เมื่อคลี่ยิ้มอีกคราถึงกับล่มแผ่นดิน  ฉางเอ๋อร์[2]หลีกลี้มิกล้ากล้ำกรายเยี่ยมเยือน

 ข้ามองตัวเองที่กำลังทอดกายบนตั่งเตียงด้วยท่วงท่าดุจเดิม  นิ้วเรียวยาวแตะที่ถ้วยชาอันวิจิตร  สีสันความงามบนถ้วยชาเลิศหรูนั้นราวกับถึงดูดให้จางหาย  มีพี่จื่อหรงคนดีคอยพัดวี  มีท่านเหมยนั่งอยู่ข้างกายคลี่ยิ้มอ่อนโยนดุจมารดาเกลี้ยกล่อมข้าให้นอนเร็วหน่อย

ตัวข้า..ตัวข้า...ตัวข้า...

ครั้นเมื่อข้าก้มลงมองตัวเอง สีแดงของเลือดฉายฉานซึมลึกทั่วชุดขาวอันปักลายดอกเหมยอย่างประณีตย้อมให้ชุดขาวพิสุทธิ์กลับกลายแดงฉาน  น้ำตาหยดร่วงลงบนฝ่ามือหยดแล้วหยดเล่ากลับกลายเป็นสีแดงก่ำดั่งเลือดนก  ข้าคร่ำครวญหวนไห้ราวเสียงอันน่าสังเวชดังก้องไปมาราวกับเสียงโหยหวนของปีศาจ

ตัวข้าแสนสกปรก เปรอะเปื้อนแลอัปลักษณ์ยิ่ง  จุดเริ่มต้นแห่งโศกนาฏกรรมนี้ที่แท้เริ่มขึ้นในคืนนั้น..

 


ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง คุณชายผู้เลิศล้ำอันดับหนึ่งแห่งหอดอกเหมย ตำหนักหมื่นวสันต์  ส่วนหลงจู๊[3]ผู้ดูแลหอนั้นคือท่านเหมยผู้ชุบเลี้ยงข้ามาตั้งแต่ยังแบเบาะ  ตัวข้าฉายแววความน่ารักตั้งแต่ยังเล็ก ท่านเหมยถนอมข้ากว่าผู้ใดราวกับว่าเป็นตุ๊กตาน้ำตาลปั้นอันเปราะบางหากประคองไว้ในฝ่ามือก็กลัวตกแตก  อมไว้ในปากก็กลัวจะละลายหาย  เขารักข้ายิ่งนักนั่นจึงเป็นสาเหตุให้ข้ากลายเป็นอันธพาลน้อยในหอ  แต่ยามใดที่พวกเขาโกรธข้าจะออดอ้อนด้วยความน่ารักจึงไม่มีผู้ใดโกรธเคืองข้าลง 

ครานั้นข้าอายุได้หกขวบ  ท่านเหมยเล่าว่าตัวข้าขาวราวหิมะดั่งเพียงพอนขาว[4] ปากช่างฉอเลาะเจรจาราวกับนกน้อย ท่าทีน่ารักยิ่งกว่าลูกแมว  เดือนเจ็ดปีนั้นอ๋องสามเบิกบานยิ่งนักที่ลูกชายเขาแต่งงานถึงกับจัดงานเลี้ยงที่ตำหนักหมื่นวสันต์อย่างยิ่งใหญ่สามวันสามคืน  จักรพรรดิเสด็จในค่ำคืนหนึ่งเป็นการลับ  ท่านเหมยออกไปต้อนรับพร้อมข้าที่ย่องไปเที่ยวเล่นในงานเลี้ยง  ลูกแมวน้อยหรือจะรอดพ้นสายตามังกร  จักรพรรดิ์โปรดข้าเสียจนออกโอษฐ์อยากได้ไปเลี้ยงเสียในวัง  ท่านเหมยแสร้งบีบน้ำตาปิ้มว่าจะขาดใจตัดพ้อง้องอนกันอยู่หลายยกหวงตี้[5]จึงได้อนุญาตให้ข้าอยู่กับท่านเหมยต่อได้

สิบสองวสันต์ผันผ่าน ตัวข้าที่ฝึกฝนทั้งศิลปะทั้งสี่จนแตกฉาน  ท่องอ่านทะลุปรุโปร่งสิ้นทุกตำราก็กลายเป็นที่หนึ่งในทำเนียบแห่งหมื่นวสันต์โดยไร้ข้อกังขาใด    ตั้งแต่คนกวาดถนนจนถึงจักรพรรดิ์ บุรุษใดในเมืองหลวงจักไม่รู้จักเหวินฉีลี่ฉางแห่งตำหนักหมื่นวสันต์  ชื่อเสียงขจรขจายหอมหวานยิ่งกว่ากุ้ยฮวา[6]รัญจวนไปไกลหมื่นลี้  ยามนั้นข้าหยิ่งผยองยิ่งนัก จะมีผู้ใดบ้างเล่าอยู่ในสายตา  แม้แต่รัชทายาทจะพบปะข้ายังต้องเกรงใจยามส่งเทียบเชิญ  องค์ชายทั้งสิบข้าล้วนมิชายตาแล  ในยามนั้นตัวข้าผู้โง่เขลาหลบหลู่คนไปมากเพียงใด  เหยียบย่ำคนไปมากเท่าไหร่ไม่อาจนับได้  ครานี้หวนคิดถึงจึงได้เจ็บปวดใจยิ่งนัก
 
ยามอายุได้สิบเจ็ด  หวงตี้เสด็จสู่สวรรค์  รัชทายาทผู้โง่เขลาถูกลอบวางยา  องค์ชายทั้งสิบเข่นฆ่ากันจนเลือดกลายเป็นสายน้ำ  แผ่นดินกลายเป็นเปลวไฟ  ข้าแยกกันหลบหนีกับท่านเหมยนัดพบกันที่หอชื่นคิมหันต์ ณ หังโจว[7]  นั่นเป็นความฝันของข้ามาเนิ่นนานที่อยากไปทัศนาซีหู[8]ทะเลสาบแสนสวยแห่งนั้นดูซักครา  ค่ำคืนที่หลบหนีออกจากเมืองหลวงเป็นค่ำคืนเดือนดับ  องค์ชายเจ็ด โอรสของสนมชั้นผินผู้ต่ำต้อยก็กลับกลายเป็นฮ่องเต้  ส่วนพี่น้องของเขาที่เหลือ ไม่ตายก็กลายเป็นคนวิปลาสไปสิ้น  เป็นคนผู้เหี้ยมโหดยิ่งนัก

ตอนนั้นข้ารู้ตัวมิอาจหวนคืนหมื่นวสันต์ได้อีกแล้ว  ในตอนที่ข้ารุ่งเรืองเคยหักหน้าเขาไปไม่รู้กี่มากน้อย  ปฏิเสธเขาไปไม่รู้กี่หน  กลั่นแกล้งให้เขาได้อายคราแล้วคราเล่า  มิคาดยังไม่พ้นเมืองดีทั้งข้าก็ถูกจับได้  ที่แท้มีคนของเขาจับตาดูเราอยู่ทุกฝีก้าว  ต่อให้ข้ากลายเป็นนกก็มิอาจโผบินจากกรงแค้นของปีศาจร้ายไปได้

 

 
เขาในชุดมังกรนั่งอยู่บนบัลลังค์  ผิวกร้านดำด้วยกรำศึกมาหลายสมรภูมิ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยไม่บ่งบอกว่ามีอะไรซ่อนไว้ในใจ  มือที่จับทวนเปลี่ยนเป็นจับจอกเหล้าทองคำ  ท้องพระโรงร้างไร้ผู้คนมีเพียงเสียงหายใจของข้าและเขา

“รับคำเชิญของข้าได้แล้วหรือเหวินฉีลี่ฉาง” เขาหยักยิ้มที่มุมโอษฐ์  ข้าเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว ที่แท้ต้องถามว่าข้าหรือเคยเกรงกลัวผู้ใด

“เป็นคำเชิญที่รุนแรงจริงนะฝ่าบาท” ข้าแสร้งทำความเคารพเขาราวลิงหลอกเจ้าชูข้อมือที่ถูกมัดด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน  เขากวักมือเรียกข้าไปหาแต่ตัวข้าผู้นี้มีหรือจะไป

“ถึงตอนนี้เจ้าก็ยังแข็งข้อกับข้าอีกหรือ?” เขาเป็นฝ่ายลงมาหาข้า  ตัวเขาสูงใหญ่จนร่างข้ากลายเป็นเด็กน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้า  ต้องแหงนคอมองถึงจะพอรู้สึกทัดเทียมได้บ้าง

“ตัวข้ามีหรือจะกล้าแข็งข้อกับฝ่าบาท” น้ำเสียงแสนหวานอย่างยั่วเย้าเช่นนั้น คนโง่เง่าก็รู้ว่าหาความจริงใจไม่ได้  มิคาดคิดเขาหัวเราะดังก้องท้องพระโรงเอ่ยมาเพียงสามคำ

“ดี ดีมาก เจ้าช่างดีนักเหวินฉีลี่ฉาง!”

ข้าหวีดร้องเมื่อเขาจับข้าพาดบ่าโยนลงโครมบนบัลลังค์ทองอย่างไม่คาดฝัน  ดวงตาแข็งกร้าวดุดันแดงก่ำ  ใบหน้าเขาคล้ายปีศาจร้าย  ข้าผวาหนีลงจากบัลลังค์มังกรแต่มิอาจพ้นมือกร้านดำที่จับรอบเอวแล้วกระชากกลับสู่เบาะทอง  อาภรณ์ไหมชั้นเลิศจากซูโจว[9]ถูกฉีกทึ้งจนกลายเป็นเศษผ้าเช่นเดียวกับตัวข้าที่กลายเป็นดั่งแพรไหมนั้น  ถูกย่ำยีจนขาดวิ่นและร่วงรินสู่พื้นโดนเหยียบย่ำจนเปรื้อนเปรอะซักล้างเท่าไหร่ปะชุนเพียงใดก็มิอาจมาสวมกายใส่ได้ดั่งเดิม
 


 
มิทราบว่ากี่เดือนที่ถูกล่ามโซ่ไว้กับเตียงของเขาทุกวันทุกคืนจนข้าแทบวิปลาส  เขามีสนมนับพันแต่กลับหมกหมุ่นอยู่กลับข้า  เหวินฉีลี่ฉางกลายเป็นชื่อของต๋าจี่[10]คนใหม่ที่มาทำลายแผ่นดินต้าหลง  พวกเขาล้วนพูดกันว่าผู้ที่ทำให้องค์ชายเจ็ด หลงจิ่นสือลุกขึ้นมาจับทวนเข่นฆ่าพี่น้องคือตัวข้าผู้นี้   ผู้ที่ล่อหลอกและจูงจมูกเจ้าฮ่องเต้เดรัจฉานนั่นก็คือตัวข้าผู้นี้อีกเช่นกัน  ข้าหัวร่อจนแทบไร้เสียงยามที่ได้ยินเรื่องนี้จากขันทีน้อย  เงาในกระจกมิอาจสะท้อนตัวข้าผู้ผลิบานราวกับดอกเหมย  ข้ากำลังโรยราคล้ายดอกสาลี่พร่างพรูลงสู่พื้นจนสิ้น  มิเหลือซึ่งความงามใดๆให้ชื่นชมเช่นนี้หรือจะเป็นต๋าจี่ คนงามผู้ล่มแผ่นดิน

“เจ้าร้องไห้หรือฉางเอ๋อร์?” เขาหยุดขยับตัวจ้องมองข้าที่ถูกพันธนาการอยู่บนเตียง  เชือกสีแดงขึงอยู่ด้านบนมัดมือข้าจนไม่อาจขยับ  ขาข้างหนึ่งถูกโซ่เส้นใหญ่ล่ามอีกข้างหนึ่งเป็นเขาที่พันธนาการมันไว้ด้วยมืออันแข็งแกร่งไว้ที่ข้างเอว  ข้ามิตอบคำเพียงแต่เงยหน้ามองลายมังกรด้านบน  อา..งดงามจริงๆ หากกลับไปหมื่นวสันต์ข้าจักสั่งให้ช่างมาสลักลายงดงามเช่นนี้เหนือเตียงบ้างดีไหมนะ
 
“ฉางเอ๋อร์ตอบข้า..มองข้า.. เจ้าจะเป็นเช่นนี้ไม่ได้ มองข้าเดี๋ยวนี้!” เขาคำรามกระแทกกระทั้นเข้ามาจนเตียงสั่นคลอน  ข้ามิอาจมองลายสลักแสนสวยได้อีกต่อไปเพราะความรุนแรงของเขาทำข้าวิงเวียนไปหมด  ข้าถูกบังคับให้มองใบหน้ากร้านแดดที่กำลังบิดเบี้ยว  เขากำลังเฆี่ยนตีข้าด้วยกามาเหมือนเช่นเคย  แต่ตัวข้าชินชากับรสชาติของเขา  ความเจ็บปวดจุกเสียดอย่างเดือนแรกๆไม่หลงเหลือ  นั่นเป็นปัญหาใหญ่ของคณิกาเชียวนาเรื่องหลวมไม่หลวมเนี่ย  ข้าคิดอย่างอดสูถ้าพี่น้องหมื่นวสันต์รู้ข้าคงโดนล้อเป็นแน่
 
“ฉางเอ๋อร์..ฉางเอ๋อร์” ข้าขมวดคิ้ว จะเรียกทำไมนักหนารีบๆทำให้เสร็จๆไปเถิดข้าง่วงจะแย่อยู่แล้ว  หรือว่าของข้ามันหลวมเกินไปกันแน่...ข้าขมวดคิ้วอีกครา  เหนื่อยเกินกว่าจะเอาอกเอาใจให้เขาเสร็จสม  หลับตาลงทอดถอนใจตกลงภวังค์แห่งความดำมืด




ผันผ่านไปหนึ่งปี ตัวข้ากับเขาเริ่มสมานฉันท์กันมากขึ้น  ยามอยู่บนเตียงข้ายอมตอบสนองโอนอ่อนแก่เขามากหน่อย เขาเองก็ผ่อนปรนและเอาใจข้าอย่างยิ่ง  เหตุที่ทำให้ข้ายอมใจอ่อนกับเขาเป็นเพราะเมื่อคราวก่อนข้าอดข้าวหวังจะตายให้พ้นจากขุมนรกนี้ไปเสีย  เราสองทะเลาะกันรุนแรงเสียจนตำหนักมังกรเหินของเขาแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

"ข้าอยากตายๆไปให้พ้นจากปีศาจบัดซบอย่างท่านเสีย!!" ข้าหวีดร้องยามถูกโยนขึ้นเตียงอีกครา  คราวนี้เขาชะงักชะงันราวโดนแสงอสุนีบาตฟาดลงกลางศีรษะ  ท่าทางตะลึงทึมทื่อเช่นนั้นข้ามิเคยพบเห็นมาก่อนจากปีศาจไร้ใจเช่นเขา 

"เกลียดข้า..จนอยากตายเลยหรือ?" เสียงของเขาพร่าสั่น  มือที่กุมต้นแขนข้าไว้ระริกจนน่าประหลาด มิทราบว่าด้วยอารมณ์อันใดกันแน่  ใบหน้าของจักรพรรดิ์พระองค์ใหม่นี้บิดเบี้ยวเหยเกราวถูกบังคับให้กินยาขม  เขาสะบัดชายเสื้อคลุมจากไปทิ้งข้าไว้ในให้อยู่ในความงุนงงบนเตียง  นั่นเป็นคืนแรกที่เขามิอยู่ร่วมห้องกับข้า  ข้าดีใจเสียจนลิงโลดและเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างสบายใจยิ่งนัก

เช้าวันต่อมาข้าตื่นเร็วว่าทุกวันด้วยอารมณ์ปลอดโปร่งแจ่มใส เหล่าขันทีน้อยรายล้อมช่วยหวีผมและแต่งตัว  ข้าส่องกระจกทองเหลืองด้วยความเบิกบานคลี่ยิ้มละไมให้แก่พวกเขาเป็นบุญตา  ทว่าเด็กโง่งมพวกนี้กลับทำหน้าทุกข์โศกราวกับสวรรค์ล่มพิภพจะทลายวันนี้วันพรุ่งเสียอย่างนั้น

"เป็นอะไรกันไปหมด? ใยพวกเจ้าทำท่าหดหู่เช่นนั้น" ข้าถามพวกเขาด้วยท่าทีนิ่งเฉยเยือกเย็นอย่างยิ่งแต่ดวงตาแอบปรายมองกระจกทองเหลืองอย่างแนบเนียน  ใยหนึ่งยิ้มล่มเมืองของข้าทำผู้อื่นหดหู่หรืออดอาหารไปหนึ่งวันใบหน้าซูบผอมจนไม่น่ามองกันแน่?

"ค..คุณชาย  ฮ..ฮึก" พวกเขาทำหน้าคล้ายจะสะอื้นไห้  เด็กน้อยบางคนแอบหันหน้าเบือนหนีไปร่ำไห้ตัวสั่นระริกอยู่ผู้เดียว  ส่วนเจ้าคนที่สนิทสนมกับข้าที่สุดทำหน้าตาคล้ายถูกบังคับให้กินยาพิษอย่างไรอย่างนั้น

"ถ้ามิบอกกล่าวแก่ข้ามาตามตรง ข้าจะเล่นงานพวกเจ้าทั้งหมดให้หนักเลยเทียว" ข้าแสร้งขมวดคิ้วทำหน้าขุ่นเคืองใจ  เด็กน้อยทั้งหลายลนลานคุกเข่าร่ำไห้ขอร้อง  สุดท้ายจึงได้เรื่องว่าเจ้าปีศาจนั่นโบยตีขีนทีน้อยผู้หนึ่งของข้าปางตาย  ข้าโกรธจนแทบเป็นลมให้เด็กๆนำทางไปหาเขา  วันนี้ตายเป็นตาย!

มิคาดเขาไม่ได้ไปตำหนักสนมนางใดนางหนึ่งแต่กลับมานอนพักอยู่ที่ห้องหนังสือในตำหนักข้านี่เอง...หรืออันที่จริงนี่คือตำหนักเขาต่างหากข้าเป็นเพียงผู้อาศัยคนหนึ่งเท่านั้น  เมื่อถึงหน้าประตูก็มองมันอยู่ครู่หนึ่งไตร่ตรองว่าควรทำอย่างไรระหว่างเตะประตูเข้าไปอย่างองอาจกับค่อยๆเจรจากับหวงตี้ปีศาจผู้นี้

ที่สุดแล้วเมื่อคิดตกจึงตั้งใจใช้ท่าทีห้าวหาญเพื่อข่มขวัญเขา ถีบประตูเข้าไปด้วยท่วงท่าแข็งแรง มิคาดเขาดันเปิดประตูออกมาพอดีด้วยท่าทีง่วงงุน  ทั้งร่างข้าล้มโครมทับเขาเจ็บและจุกจนมิอาจพูดอะไรได้  เขาดูจะตกใจไม่น้อยค่อยๆพยุงข้าขึ้นและดึงไปกอดไว้ในอ้อมอกเขา  เราทั้งสองยังนั่งอยู่บนพื้นด้วยทีท่าไม่สำรวมอย่างยิ่ง  เขามองข้าอย่างปวดใจคราหนึ่ง ลูบปรางค์งามทั้งสองอย่างเชื่องช้า

"เจ้าซูบผอมลงนะลี่ฉาง วันนี้ก็อย่าใจแข็งเลย กินอะไรบ้างเถิด" อดอาหารหนึ่งวันจะซูบผอมลงได้กี่มากน้อยกัน  ข้าร้องฮึปรายตามองเขาอย่างเย็นชา

"หากข้าไม่กินท่านจะโบยตีเด็กน้อยของข้าหรือ" เขานิ่งเงียบไปคราหนึ่งคล้ายจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบลง ท้ายสุดก็วาจาอันเย็นเยียบไร้ใจอย่างยิ่ง

"หากเจ้าอดข้าวหนึ่งมื้อ ข้าจะฆ่าขันทีน้อยหนึ่งคน หากเจ้าคิดสั้นจะตายให้ได้ ข้าจะฆ่าพวกมันทั้งตำหนักลงปรโลกไปเป็นเพื่อนเจ้า" ข้าสะท้านใจไปเยือกหนึ่งตัวแข็งเกร็ง  เขาอุ้มข้าไปนั่งที่ตั่งหยกทั้งที่เอ่ยประโยคใจร้ายเช่นนั้นแต่กลับลูบเส้นผมข้าอย่างอ่อนโยนยิ่ง  พึมพำอยู่สองสามคำข้างหู  "ใยแต่งตัวไม่เรียบร้อยเช่นนี้"

ตอนนั้นข้าตาพร่ามัวด้วยน้ำตามิอาจทราบถึงความอ่อนโยนของเขา  รู้อีกทีก็ตอนที่เขากำลังใช้หวีงาช้างอันประณีตหวีเส้นเกศาดำปลอดให้ข้า  น้ำตาข้าร่วงรินลงหนึ่งหยดเขาจึงจับข้าอิงไว้ที่อกกว้างนั้นด้วยสีหน้าปวดใจอย่างยิ่ง

"อย่าร้องไห้ฉางเอ๋อร์  อยู่กับข้าอย่าร้องไห้ให้ข้าเห็นอีกเลย" ริมฝีปากเขาซับน้ำตาให้ข้าอย่างนุ่มนวล ข้าเม้มปากแน่น ลงโทษเขาด้วยการมิพูดสิ่งใด สาบานกับตัวเองไว้ว่าจะมิใจอ่อนเอ่ยวาจาใดๆแก่เขา จะมิให้อภัยเขาง่ายๆ  บนเตียงข้ายอมโอนอ่อน  อยู่นอกเตียงข้าก็ไม่ขัดใจ เพียงแต่ไม่เอ่ยอันใดกับเขาก็เท่านั้น

แต่เขากลับยิ่งเอาอกเอาใจก็มากขึ้นกว่าเดิม  เขาจูบข้าอย่างอ่อนหวาน  กอดข้าอย่างถนอม  แตะต้องตัวข้าราวกับข้าเป็นกลีบดอกบัวน้อยดอกหนึ่ง  ข้ามักตื่นมากลางดึกบ่อยๆเพราะเขาจุดตะเกียงอ่านฎีกา  โต๊ะเล็กๆข้างเตียงและแผ่นหลังของเขาที่พิงขอบเตียงกลายเป็นภาพจำหนึ่งในการตื่นของข้าไปเสียแล้ว  เมื่อเขาทราบว่าข้าตื่นจากนิทราจะละมือจากฎีกามากมายดับตะเกียงไปครู่หนึ่งแล้วปีนขึ้นเตียง กอดข้าไว้ในอ้อมอกลูบเส้นผมของข้าอย่างแสนรักและโยกตัวเบาๆคล้ายเห่กล่อมให้ข้านอนหลับ

"หลับเถิดฉางเอ๋อร์ ข้าอยู่นี่แล้ว" เขากระซิบแผ่วเบา  ข้าพยักหน้าและหลับไปในอ้อมกอดเขา เป็นเช่นนี้อยู่เสมอๆ

ข้ามักตื่นสายกว่าเขาจึงมิอาจร่วมโต๊ะกับเขาในตอนเช้า ยามตื่นมาขันทีน้อยก็กำลังแต่งตัวให้เขาอย่างเงียบเชียบไม่กล้าปริปาก  เขามักส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนเชยคางข้าขึ้นมาจูบเบาๆ เขาบอกว่านั่นเป็นการขอกำลังใจก่อนต้องออกไปประชุมกับขุนนางทั้งหลาย  ข้าเฝ้ามองแผ่นหลังนั้นเดินออกไปนับวันยิ่งรู้สึกเหว่ว้ามากขึ้นเสียจนบางครั้งนึกอยากให้เขาอยู่ต่อนานกว่านี้อีกหน่อย

เมื่อข้าเบื่อกับการใช้ชีวิตในตำหนักของเขา ถอนหายใจเข้าหลายครา นอนเอื่อยเฉื่อยเข้าหลายครั้ง เหล่าเด็กน้อยของข้าคงไปรายงานเรื่องนี้กับเขากระมัง  เขาจึงมอบกู่ฉินโบราณให้ ยามบ่ายเขานั่งตรวจฎีกาข้านั่งเล่นพิณ ยามค่ำโต๊ะหยกตัวใหญ่ถูกวางข้างเตียง ข้ากับเขานั่งเคียงกันประลองหมากล้อมหนึ่งตา  ก่อนจะเข้านอนเขามักจะลงมือหวีผมให้ข้า ทำอย่างนี้เสียจนเคยชิน  เขารักเส้นผมของข้าอย่างมาก  บำรุงดูแลเสียจนมันนุ่มนิ่มราวกับแพรไหม ถึงอย่างนั้นหวีไปก็เสียเวลาเปล่า ทุกคืนเขาก็เป็นฝ่ายทำให้เส้นผมข้ายุ่งเหยิงพันกัน  วันไหนเขาครึ้มอกครึ้มใจก็พาข้านั่งไปในเรือเล็กลำหนึ่งลอยละล่องในสระบัวกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา 

"จำได้หรือไม่ เราพบกันที่นี่ในงานเลี้ยงชมบุปผา" เขากอดข้าจากด้านหลังคางวางไว้ที่ไหล่  ท่าทีไม่สำรวมเช่นนี้ข้าเห็นจนเคยชินเสียแล้ว 

"วันนั้นข้าโดนเสด็จพ่อตำหนิ มิมีผู้ใดกล้าออกหน้าช่วยเหลือ เหล่าองค์ชายต่างทับถมดูแคลน  มิคาด...คนที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือจะเป็นเหวินฉีลี่ฉางผู้เลิศล้ำแห่งหมื่นวสันต์" เขาย้อนเล่าเรื่องราวในอดีตคล้ายคนละเมอผู้หนึ่ง "เจ้าที่เย่อหยิ่งยโสกลับยื่นมือเข้าช่วยเหลือ  มิคาดเลยจริงๆ"

เขาพึมพำเช่นนั้นหลายครั้ง  จับมือข้าขึ้นจูบเบาๆอย่างใจลอย  ข้าหวนนึกถึงเรื่องนั้นแล้วจึงเพิ่งทราบว่าการออกหน้าช่วยเหลือองค์ชายชั้นต่ำที่มักโดนรังแกผู้หนึ่งกลับกลายเป็นเรื่องฝังจิตฝังใจเขาถึงเพียงนี้  แต่เมื่อมานึกๆดูข้าเองก็เคยช่วยเหลือเขาอยู่หลายครั้ง ค่อนข้างปฏิบัติต่อเขาอารีกว่าองค์ชายผู้อื่นอยู่หน่อยเพราะทราบดีว่าเขาน่าสงสารกว่าพี่น้องอยู่บ้าง  เมื่อคราวอยู่กับหวงตี้รัชกาลก่อนเคยเอ่ยชมเขาอยู่ไม่กี่ประโยค  มิคาดกลับทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นจวิ้นอ๋อง  แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็เคยหักหน้าปฏิเสธเขาไปหลายที ทำให้เขาอับอายบ้างก็มี  เมื่อมาคิดๆดูแล้วข้าสร้างหนี้ดอกท้อไว้เยอะเสียจริง



 
เมื่อหวนรำลึกถึงเขาผู้นั้นแห่งนั้นหัวใจกลับรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาบ้างเล็กน้อย  ข้าถอนหายใจอย่างปลดปลงเมื่อทราบว่าใกล้ถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต    หลังจากเทศกาลปีใหม่สิ้นสุดลงตัวข้าผู้เป็นชายบำเรอหนึ่งเดียวของเขาก็ได้สิทธิตามเสด็จประพาสซีหู  เรื่องนี้มาจากตอนที่เขาทราบว่าข้าอยากไปเห็นทะเลสาบแห่งนั้นดูซักครา จึงไม่ลังเลจะเคลื่อนขบวนจากพระราชวัง

ข้านอนอยู่บนระเบียงเรือมังกรลำใหญ่ทอดสายตามองยังทะเลสาบ  เขากกกอดกายข้าอยู่ไม่ห่างจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างอ่อนหวาน  อาภรณ์ของเราสองคือสายลมวสันต์ยามตัวข้าสะท้านหนาวเขาก็ให้ความอบอุ่นด้วยเนื้อกาย 

“เจ้าจะไม่พูดกับข้าหน่อยหรือฉางเอ๋อร์” เขากระซิบโอบกอดข้ายามที่ตัวข้าสั่นระริก  ผ้าห่มขาวผืนเดียวห่อกายสองเราไว้  ราตรีนี้ไร้แสงจันทร์มีเพียงดวงดาวที่เดียรดาษอยู่ทั่วท้องฟ้า  เราทั้งคู่ต่างก็คล้ายยวนยางคู่หนึ่งที่กกกอดพลอดรักกันอยู่กลางทะเลสาป
 
“เอาเถอะ ไม่พูดก็ไม่เป็นไร” เขาโยกตัวเบาๆราวกับเห่กล่อมเด็ก  จุมพิตลงที่ไหล่ราวกับแมลงปอร่อนแตะผิวน้ำ  เส้นผมข้าที่เขาหวีให้ถูกจรดจูบอย่างทะนุถนอมยิ่งนัก

“เป็นข้าที่ผิด” เขาจุมพิตที่ขมับด้านขวา “ข้าเองที่ทำร้ายเจ้า ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้” นิ้วมือนั้นไล้ตามตัวข้าด้วยความอ่อนโยน  สัมผัสแสนรักของเขาทำให้ข้าไม่อาจกลั้นน้ำตาที่ไหลรินอยู่ในอก  บอกตัวเองเสมอว่าจงอย่าใจอ่อนกับเขา  ข้าจะจงชังเขาไปชั่วชีวิต  แต่ถึงตอนนี้ตัวข้ากลับไม่มีแรงจะไปเคียดแค้นผู้ใดได้อีก  เหนื่อยล้าจนอยากนอนพักหลับใหลไปนิรันดร์  ข้าเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครา ครานี้เมื่อตื่นมากลับเจอเขาทำหน้าตระหนกตกใจอย่างยิ่ง ด้านข้างมีหมอหลวงชราผู้ทำหน้าอมทุกข์ราวกับเพิ่งกินดีขมเข้าไป

“เป็นข้าไม่ดีเอง..ฉางเอ๋อร์ข้าผิดต่อเจ้า  เป็นข้าที่ไม่อาจปกป้องเจ้าไม่ได้” เขาโศกเศร้าทำไมกันหนอ  ใบหน้านั้นทุกข์ทรมานบิดเบี้ยวดูน่าสงสารยิ่งนัก  หัตถ์กร้านแกร่งคว้ามือข้าไปจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร่ำเอ่ยแต่คำขอโทษ “ข้าจะหาตัวคนที่มันวางยาเจ้ามาให้ได้  ข้าจะฆ่ามัน! ถลกหนังมัน! ให้มันตายไม่ได้กลบฝัง!”

“ร..รู้แล้วหรือจิ่นสือ?” เสียงข้าใยแห้งแล้งนักเพียงไม่ได้พูดมาไม่กี่เดือน  ข้าคลี่ยิ้มจางๆลูบเส้นผมดำปลอดอย่างแผ่วเบา  พิษนิทราวสันต์..ตัวข้าที่ศึกษาตำราแพทย์จนแตกฉานมีหรือจะไม่รู้จัก
 
“จ..เจ้ารู้?” ใบหน้าเขาตื่นตระหนก ข้าหัวเราะแผ่วเบาในลำคอตอบคำถามด้วยคำถาม

“ท่านรักข้าหรือไม่จิ่นสือ”

“ย่อมรัก  ข้ารักเจ้าอย่างยิ่ง” เขาโอบกอดข้า จุมพิตข้าอย่างถนอมซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับหวาดกลัวว่าข้าจะหลุดลอยจากอ้อมกอดเขา  ข้าคลี่ยิ้มละไมอ่อนจางยิ่งกว่าสีอิงฮวา[11] ที่กำลังโรยรา

“ดียิ่งนัก” ข้าหัวเราะ ร่างกายนี้มิอาจทนพิษได้ไหวอีกต่อไป ตัวเขาจะต้องเจ็บปวดยิ่งนักหากชีวิตน้อยๆของข้าหลุดลอยไป  ข้าฆ่าเขาไม่ได้และมิอาจหลุดออกจากกรงอันแน่นหนาของเขา ตลอดหนึ่งปีที่ผันผ่านแม้เขาจะปฏิบัติต่อข้าอย่างดียิ่งแต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะต้องอภัยให้เขา ในเมื่อข้ารู้หัวใจเขาชัดเจนแล้ว  สิ่งเดียวที่ข้าจะทรมานบุรุษผู้นี้ได้คงเป็นวิธีนี้เท่านั้น  ..ถือว่าข้าเอาคืนท่านเล็กๆน้อยๆเถิดจิ่นสือ  สองปีนี้บนเตียงท่านข้าไม่อาจลืมชั่วชีวิตและตัวตนของข้านับจากนี้จักฝังอยู่ในความทรงจำของท่านไปตลอดเช่นกัน...เช่นนี้ยุติธรรมดีหรือไม่

“ท่านจะฆ่าล้างวังหลังเลยหรือไม่หากข้าตายไป” เขาคำรามในลำคอราวกับสัตว์บาดเจ็บที่เกรี้ยวโกรธ ข้ายิ่งหัวเราะแผ่วเบาชอบใจ  ไล้มือตามโครงหน้าเข้มคมอย่างโรยแรง “ข้าเต็มใจโดนวางยาพิษเอง อย่าได้โทษใครเลย”

“เจ้า!!” เขาโมโหแต่กลับไม่กล้าตวาดข้ารุนแรง  ท่าทีอัดอั้นช้ำใจอยากลงไม้ลงมือของเขาข้ารู้ดีแก่ใจจนอดขบขันไม่ได้  ปีแรกเขารังแกข้าจนแทบวิปลาส เนื้อตัวข้ามีจุดไหนที่ไร้รอยช้ำจากจูบของเขา หมอหลวงเข้าออกห้องนอนเป็นว่าเล่น  ปีที่สองเขากลับถนอมข้าราวหยกล้ำค่า น่าเสียดายไม่อาจทราบว่าปีที่สามปีศาจผู้นี้จักเปลี่ยนไปเช่นไรอีก

“พิษนิทราวสันต์ไร้ทางแก้  ยกเว้นแต่ได้ยาจากตำหนักหมื่นวสันต์” ข้าทอดกายในอ้อมกอดเขาอย่างสบายอารมณ์  ความง่วงงุนมาเยือนอีกคราจนเกือบเผลองีบหลับ  “ท่านเหมยอยู่ที่หอชื่นคิมหันต์ ห่างจากที่นี่ไปยี่สิบลี้”  ใบหน้ารวดร้าวของเขาเองก็เช่นกัน..ข้าไม่อาจลืมไปชั่วชีวิต
 


 
การฟื้นตื่นครานี้ข้าได้พบปะท่านเหมยอีกครั้ง ส่งยิ้มให้เขาอย่างแสนคิดถึง  พี่จื่อหรงร่ำไห้อยู่ด้านซ้ายโผเขากอดข้าเต็มแรง  ข้าหัวเราะเบาๆกอดพวกเขาทั้งสองอย่างแสนรักเป็นครั้งสุดท้าย เพียงเท่านี้แค่ได้หลุดออกจากกรงของเขาซักเสี้ยวนาทีข้าก็พอใจมากแล้ว

“นิทราวสันต์เมื่อถูกใช้ติดต่อกันเนิ่นนานมิอาจรักษา เจ้าก็รู้ดีใยถึงกินยาพิษนั่นเข้าไป!” ข้าคลี่ยิ้มละไมทอดกายสู่อ้อมกอดที่คุ้นเคย กลิ่นดอกเหมยจางๆระรื่นชื่นนาสิก...สุขสงบยิ่งนัก  เสียงรอบข้างดังแผ่เบาและห่างไกลออกไป เมื่อครู่ท่านเหมยเพิ่งพูดสิ่งใดกับข้านะได้ไม่ยินมิค่อยชัดนัก  ตอนนี้ดวงตากำลังจะปิดลงอีกคราเพราะความง่วงงุนที่ถาโถม

“ท่านเหมยข้าง่วงอย่างยิ่ง” ข้ากระซิบเพิ่งตื่นทำไมถึงง่วงได้ปานนี้หนอ อ้อ..คงจะเป็นผลจากพิษนิทราวสันต์ เวลาของข้ากำลังจะสิ้นสุดหรือทั้งที่เพิ่งจะได้พานพบความสุข...ช่างเป็นความสุขสงบที่แสนสั้นยิ่งนัก น่าเสียดาย..น่าเสียดาย
 
“ไม่! ลี่ฉางเจ้าอย่าหลับ ตื่นขึ้นมา! ตื่น!” ข้าหัวเราะร่วน  ท่านเหมยผู้สงบนิ่งกลับร้อนรนได้ถึงเพียงนี้  ข้ากระซิบพึมพำด้วยความง่วงงุน

“รักท่านยิ่งนัก..อาเหนียง”

 

 
แสงเทียนสีส่องสว่างจ้าเสียจนทำให้ดวงตาของข้าต้องหลับตาลงคราหนึ่งรับรู้ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอยู่รอบข้าง  เสียงคร่ำครวญของพี่จื่อหรง  สัมผัสอันอ่อนโยนของท่านเหมยที่ค่อยๆลูบเบาๆยังเส้นผมนุ่มสลวยดำขลับราวปีกกา  คลับคล้ายคลับคลาว่าเขาพร่ำกระซิบอะไรซักอย่างอยู่ริมใบหู  สติอันลางเลือนสุดท้ายมิอาจฉุดรั้ง  ข้าจมลงในห้วงแห่งภวังค์อันมืดดำ  ไม่อาจทราบว่าที่แท้กำลังอยู่ในความฝันหรือความจริง  ข้าพบเจอกับจิ่นสือ เขาดูร้อนรนยิ่งนักโอบกอดข้าไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา  น้ำตาเขาพร่างพรู  ดวงตาแดงก่ำร้องคร่ำครวญโหยหวนราวกับจอมปีศาจที่ถูกควักเอาหัวใจไป

ก่อนลมหายใจสุดท้ายจะหลุดลอย จู่ๆความรู้สึกอันแปลกประหลาดอย่างหนึ่งก็บังเกิดขึ้นมาในอกข้า  ตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวว่าหลังจากหลับตาครานี้มิอาจพบเจอเขาอีก  ความรู้สึกเช่นนี้แล่นมาจุกที่คอทำให้ข้านึกอยากจะเอ่ยคำพูดซักหลายประโยคแก่เขา คล้ายมีเรื่องมากมายที่ยังไม่บอกกล่าวฉุดรั้งใจให้อาวรณ์ในตัวเขาผู้นี้ยิ่งนัก  อยากจะกอดร่างแข็งแกร่งเอาไว้แน่นๆซุกหาความอบอุ่นอยู่ในอกกว้าง  อยากหลบอยู่หลังแผ่นหลังอันเข้มแข็งให้เขาเป็นปราการปกป้อง  อยากอยู่บนฝ่ามือใหญ่ให้เขาทะนุถนอมประคอง  ความรู้สึกนั้นมันล้นปรี่มาที่ดวงตาและไหลรินลงมาอย่างช้าๆ  แสงเทียนในห้องแจ่มจ้ายิ่งนักเช่นเดียวกับความรู้สึกข้าที่เพิ่งแจ่มจรัสวาบมาในอก  อบอุ่น..อ่อนหวานและขมปร่าที่ปลายลิ้น..อา เป็นเช่นนี้เองความรู้สึกของความรัก
 
..ความรักที่ข้าเพิ่งรู้จักในคราที่แสงเทียนชีวิตข้ามอดดับลง..

ข้ารวบรวมพลังอันอ่อนล้าได้ครั้งสุดท้าย ยกมือที่โรยแรงลูบใบหน้าเขา  ยิ้มอย่างแผ่วเบากระซิบคำพูดนึงแสนลางเลือน

“ข้าช่าง..โง่งมยิ่งนัก”


..ความรักท่านมอบให้ข้า ข้าประจักษ์ชัดแก่ใจนานแล้ว

..ความรักข้าให้ท่าน  ข้าเพิ่งตระหนักในวาระสุดท้ายที่เราต้องพลัดพราก
 
..หากมีโอกาสอีกครา...ข้าจะตอบแทนความรักของท่านอย่างแน่นอน

..หากมีโอกาสอีกครา...ข้าจะเป็นฝ่ายรักท่านก่อนบ้าง
 
...หากมีโอกาสอีกครา..

..หากมีโอกาสอีกครา..

 
 



 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2016 19:04:40 โดย duaenmaysa »

ออฟไลน์ duaenmaysa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0

เชิงอรรถ

[1] ไข่มุกของสองมังกรหงส์ - เรื่องเล่าปรัมปราของจีนเกี่ยวกับกำเนิดทะเลสาปซีหู เมื่อบรรพกาลมีสองเซียนรักใคร่สนิทสนมกัน เซียนมังกร อวี้หลงและหงส์ทอง จินเฟิ่งครอบครองไข่มุกซึ่งส่องประกายงดงามเลิศล้ำที่สุดในแผ่นดิน  มุกวิเศษนี้ถูกชิงไปโดยเจ้าแม่ซีหวังมู่และร่วงหล่นสู่พื้นก่อกำเนิดทะเลสาปซีหูเช่นปัจจุบัน

[2]  ฉางเอ๋อร์ – เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ตามความเชื่อปรัมปราของจีน เป็นคนรักของโฮ่วอี้ผู้ยิงธนูดับอาทิตย์ทั้งเก้าดวง  มีชื่อเสียงเรื่องความงาม

[3] หลงจู๊ – ผู้จัดการร้าน  [สืบค้นจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน]

[4] เพียงพอนขาว - เพียงพอน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในสกุล Mustela ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงศ์ Mustelidae เป็นสัตว์ขนาดเล็กกินเนื้อเป็นอาหาร มีรูปร่างเพรียวยาว ส่วนขาทั้งสี่ข้างสั้น มีนิ้วเท้า 5 นิ้ว เล็บมีความแหลมคม แต่พับเก็บเล็บไม่ได้ ปากแหลม ภายในปากมีฟันแหลมคม  ในอดีต เพียงพอนมักถูกมนุษย์ล่า เพื่อนำขนและหนังไปทำเป็นเสื้อขนสัตว์ที่เรียกว่าเสื้อขนมิ๊งค์ ในปัจจุบัน ในบางชนิดนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง [สืบค้นจากวิกิพีเดีย]

[5] หวงตี้ [皇帝] - หวงตี้เป็นสำเนียงจีนกลางแปลว่าผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ โดยปกติคนไทยมักเรียกฮ่องเต้ตามสำเนียงฮกเกี้ยน

[6] กุ้ยฮวา - ดอกหอมหมื่นลี้ ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Osmanthus fragrans Lour. เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก 1-7 เมตร มีกลิ่นหอมเย็น นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ [สืบค้นจากฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษาศาสตร์]

[7] หังโจว [杭州] -  เป็นเมืองหลวงของมณฑลเจ้อเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมืองหังโจว ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ 1 ใน 6 ของประเทศจีน หังโจวจึงเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่า เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ มีวัฒนธรรมที่ยาวนาน และเป็นเมืองที่มีทัศนียภาพที่สวยสดงดงามเมืองหนึ่งของประเทศจีน [สืบค้นจากวิกิพีเดีย]

[8] ซีหู - ทะเลสาบซีหู หรือ ทะเลสาบตะวันตกได้สมญาว่าไข่มุกแห่งเมืองหังโจว ซีหูเป็นทะเลสาบที่สวยและมีชื่อเสียงที่สุดของจีน เมื่อได้ผลโฉมซีหูกวีจีนในสมัยโบราณถึงกับเปรียบเทียบความสวยของซีหูว่างดงามดังไซซี [สืบค้นจาก  http://www.about108.com]

[9] ซูโจว [蘇州] - เป็นเมืองสำคัญทางตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลเจียงซู ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศ เป็นเมืองประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโดยมีชื่อเสียงไม่ว่าจะเป็นสายน้ำ ภูเขา และโดยเฉพาะสวนโบราณ  เป็นเมืองที่มีความงดงามมากจนได้รับฉายาว่าเป็น เมืองสวรรค์ในโลกมนุษย์ ผ้าไหมเมืองซูโจวเป็นผ้าไหมที่มีคุณภาพสูงมาก และมักใช้ในราชสำนักจีนยุคโบราณสำหรับสมาชิกราชวงศ์ ในช่วงศตวรรษที่ 13 เมืองซูโจวยังเป็นศูนย์กลางการค้าขายผ้าไหมอีกด้วย [สืบค้นจากวิกิพีเดีย]

[10] ต๋าจี่ - ต๋าจี่คือหญิงสาวที่กำลังจะถวายตัวเข้าวัง หนึ่งคืนก่อนที่บิดาจะพานางเข้าถวายตัว ปิศาจจิ้งจอกได้มาสิงร่างต๋าจี่ทำให้พระเจ้าโจ้วแห่งราชวงศ์ซางลุ่มหลงจนละเลยราชการ และบริหารบ้านเมืองอย่างโฉดเขลาข้าราชการผู้ใดว่ากล่าวทัดทานพระองค์ ก็โปรดให้ลงโทษถึงตายด้วยวิธีต่าง ๆ ตามคำนางต๋าจี่ บ้านเมืองร้อนเป็นไฟ ไพร่ฟ้าก่นด่าทั่วหัวระแหง ท้ายที่สุดราชวงศ์ซางก็ล่มสลาย [สืบค้นจากวิกิพีเดีย]

[11] อิงฮวา - ดอกซากรุะ

* เพิ่มเติ่ม - ตามปกติแล้วผู้ที่ต้องมาดูแลเหวินฉีลี่ฉางสมควรเป็นขันทีรุ่นหนุ่มค่ะ  แต่ที่หวงตี้ให้เหล่าขันทีน้อยมาปรนนิบัติรับใช้เนื่องจากความหวงส่วนตัว  ดังนั้นในตำหนักมังกรเหินแม้จะเป็นตำหนักที่พำนักของโอรสสวรรค์จึงไม่มีขันทีหรือนางกำนัลรุ่นหนุ่มสาวเลย ยกเว้นหัวหน้าขันทีเท่านั้นซึ่งเป็นขันทีประจำตัวหวงตี้แต่มักไม่ค่อยได้อยู่ตำหนักเพราะต้องตามเสด็จ




เชิงอรรถรูปภาพ

[2]  ฉางเอ๋อร์ –
[4] เพียงพอนขาว -

[6] กุ้ยฮวา -

[8] ซีหู -

[10] ต๋าจี่ -

[11] อิงฮวา -

 


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-01-2016 02:11:18 โดย duaenmaysa »

ออฟไลน์ Nam-Ing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

กรีดร้อง ฮือออออออ!!
ขอให้เขาได้รักกันคู่กันแบบแฮปปี้เถอะนะ
นี่แค่ตอนแรกแต่ทำร้ายตับเรามากเลย
ชอบค่ะ เรื่องภาษาค่อนข้างวางได้ดีทีเดียว
จะรอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
เรื่องนี้เคยจิ้มเข้าไปในเด็กดี รอดูนะคะ

ออฟไลน์ mochimanja2

  • มึน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกน่าติดตามมากค่ะ รอตอนต่อไปน๊า   o13

ออฟไลน์ duaenmaysa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0




ตอนที่ ๒ เทียนน้อยเล่มนั้นถูกจุดอีกครา


ข้าลืมตาขึ้นมาในความลางเลือน  กลิ่นของความอับชื้นและเหม็นเน่าคละคลุ้งไปทั่วจนต้องสำลักหายใจ  เสียงผู้คนภายนอกพลุกพล่านไปมาราวกับว่ากำลังอยู่ในตลาดสด  แต่สำนึกสุดท้ายของข้าจำได้แม่นยำว่าอยู่ท่านเหมย  พี่จื่อหรงและเขาในห้องอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง  ข้าเกยคางขึ้นจากพื้นที่เฉอะแฉะมองตามแสงสว่างที่ส่องลอดเข้ามา  ร่างกายอ่อนแรงและปวดระบมไปหมดถึงอย่างนั้นก็พยายามลากสังขารอันร่วงโรยนี้ไปตามแสงที่ปลายทาง มิอาจทราบว่าเป็นทางออกสู่นรกหรือสวรรค์แต่ก็มิมีทางให้เลือกเดินมากนัก

ข้ารวบรวมพลังกายพาร่างระบมคลานออกมาจากความมืดดำ ต่อสู้กับความทุกข์ทรมานเพื่อมาพบว่าสถานที่ที่ข้าทุรนทุรายคลานออกมาเป็นซอกสกปรกสำหรับทิ้งขยะแห่งหนึ่งและแสงสว่างที่ปลายทางมิได้ส่องเพื่อนำข้าไปสู่สวรรค์หรือนรกแต่เป็นตลาดอันพลุกพล่านด้วยผู้คน

ข้าเฝ้าถามตัวเองอย่างงุนงง..ที่แท้ข้าตายแล้วหรือว่าข้ายังมีชีวิตอยู่หรือสิ่งที่ข้าประสบนี้เป็นเพียงฝันร้ายตื่นหนึ่งหรือมันเกิดเรื่องพิกลใดขึ้นกับชีวิตข้ากันแน่  ก่อนจะได้คำตอบนั้นท้องของข้าก็ร้องครวญครางหิวโหยและกระหายน้ำยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น   ข้าไม่เคยพบเจอความรู้สึกทรมานเช่นนี้มาก่อน ตอนอยู่หมื่นวสันต์ชีวิตข้าสุขสบายยิ่งนัก มีเด็กรับใช้รายล้อม ท่านเหมยดูแลละเอียดถี่ถ้วน  เมื่ออยู่กับเขา อาหารที่อยู่บนโต๊ะจักพรรดิ์ล้วนเลิศล้ำ  ยามข้าอดข้าวประชดเขาหนึ่งมื้อเขาก็มุ่นคิ้วหนึ่งครา  ต่อมาข้าอดข้าวไปหนึ่งวันเขาถึงกับสั่งประหารคน  มีหรือข้าจะเคยได้ประสบพบความหิวโหยแสนสาหัสเช่นนี้

ข้าอยากจะลุกขึ้นอย่างหยิ่งทะนงเช่นที่เคยทำ  ใช้ตาชายมองคราหนึ่งชายทั้งเหลาอาหารก็พร้อมใจเสมอไมตรีเลี้ยงอาหารเลิศหรู  ทว่าในตอนนี้แม้แต่จะส่งเสียงพูดยังทำมิได้แล้วจะมีแรงอะไรไปชายตาล่อบุรุษ  ดังนั้นข้าจึงพยายามที่จะคลานไปหาร้านหมั่นโถว[1]ที่อยู่ไม่ไกลนัก  ท่อนแขนที่ถูกไถไปกับพื้นเพื่อให้ร่างอ่อนแอนี้เคลื่อนไหวได้ถลอกปอกเปิกไปหมดยามมาถึงด้านหน้าร้าน

เถ้าแก่ร้านหมั่นโถวสบถหลายคำไล่ข้าให้ถอยห่าง  ปากข้าแห้งผากจนไม่อาจเอ่ยวาจาได้แต่ส่งสายตาอ้อนวอนร้องขอแก่เขา

..ให้หมั่นโถวซักลูกเถิด ข้าจะตอบแทนท่านซักร้อยชั่งเลยเทียว..
 
กลิ่นหมั่นโถวหอมหวานยิ่งนัก ข้ากำซาบกลิ่นอันรัญจวนชวนรับประทานส่งสายตาอ้อนวอนเขาอีกครา  ท้องร้องหิวโหยราวฟ้าลั่น  คนบางคนส่งเสียงหัวเราะร่วนบางคนส่งเสียงสมเพชยามเดินผ่านข้า  ทว่าตอนนี้มิอาจรักษาหน้าตามิเช่นนั้นอาจได้ตายเพราะความหิวโหยเป็นแน่แท้
 
“เพ้ย![2] เจ้าขอทานสกปรกออกไปจากหน้าร้านข้าเดี๋ยวนี้!” เถ้าแก่ร้านหมั่นโถวโวยวายหยิบไม้กวาดมาเขี่ยข้าออกไปให้พ้นทาง  ข้ากลืนความอัปยศอดสูลงสู่ท้อง  มิอาจตอบโต้เพราะสภาพร่างกายระโหยโรยราเป็นอย่างยิ่ง

“..ข...ขอ...ขอ..” นี่..นี่เป็นเสียงข้าแน่หรือใยจึงไม่น่าฟังเช่นนี้  เหวินฉีลี่ฉางถูกสรรญเสริญว่าแม้เสียงยังไพเราะจนกล่อมบุปผาให้เบ่งบานกล่อมโลกให้หลงใหล  แต่จะกล่อมดอกไม้หรือกล่อมโลกตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเล่า  ท้องอันน่าสังเวชร้องลั่นครานี้คล้ายเสียงกลองรบที่ลั่นตึงตึงอย่างดุดันในสมรภูมิ  ข้าหิวจนตาลายจนไร้ละอายที่จะละศักดิ์ศรีมือสั่นระริกคว้าขาเถ้าแก่ผู้นั้นอย่างอ้อนวอน

“ห...หิ..หิว ด..ได้..โปรด..” เสียงอันคล้ายภูตผีนี้ช่างน่าสังเวชยิ่งนัก เถ้าแก่ร้านหมั่นโถวส่งเสียงฮึอย่างดูแคลนเตะข้าออกไปนอกร้าน  ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างเข้ามามุงดูส่งเสียงต่อว่าเถ้าแก่ผู้นั้นบ้างก็ร้องดูแคลนข้า  สุดท้ายแล้วเถ้าแก่ร้านหมั่นโถวมิอาจทนเสียงคนสบถด่าโยนหมั่นโถวออกมาลูกหนึ่งอย่างเสียไม่ได้  หมั่นโถวลูกนั้นอวบขาวอย่างยิ่งส่งกลิ่นหอมที่ทำให้ตัวข้าสั่นระริก   มันลอยหวือมาตกอยู่ตรงหน้าข้าเปื้อนดินไปหน่อยแต่ยังกินได้  ทว่าไอ้หมาขี้เรื้อนผอมโซตัวหนึ่งกลับโผล่มาจากทิศไหนไม่ทราบฉกฉวยมันไปต่อหน้าต่อตา

มารดามันเถอะ!!

  ราวกับคนเสียสติ..ข้าตรงเข้าไปดึงทึ้งแย่งหมั่นโถวลูกนั้นออกจากปากมัน  แรงพลังจากไหนไม่ทราบทำให้ข้าต่อสู้แย่งชิงมันมาได้แม้จะโดนคมเขี้ยวร้ายกาจกัดเป็นแผลหลายที่  ผู้คนทั้งหลายล้วนสังเวชภาพอันน่ารันทดนี้อย่างยิ่ง  ช่างปะไรข้าได้หมั่นโถวครึ่งก้อนอันชุ่มโชกด้วยน้ำลายสุนัขเลวตัวนั้นมากินก็พอแล้ว
 
มรรยาทและจรรยาที่พึงปฏิบัติหรือ...ข้าลืมสิ้นเสียแล้ว  รู้แต่ว่ารสชาติหมั่นโถวอร่อยเสียจนต้องร่ำไห้  มันอร่อยยิ่งว่าอาหารเลิศหรูประณีตในวังหรืออาหารจากเหลาชั้นเลิศของเมืองหลวงเสียอีก

เมื่อกินหมั่นโถวเสร็จก็กระหายเป็นอย่างมาก  เจ้าหมาเลวที่มันเฝ้ามองข้ากินจู่ๆก็ลุกไปซอกแห่งหนึ่งที่อยู่ระหว่างร้านผ้าไหมเลิศหรูไม่ไกลนัก  ข้ากระเสือกกระสนคลานตามมันไปอย่างสงสัย พวกสัตว์ย่อมมีสัญชาติญาณการหาอาหารเก่งกาจยิ่งกว่ามนุษย์  โชคดียิ่งนักที่คาดเดาถูกสุนัขแสนรู้ตัวนั้นมันกำลังเลียน้ำในรางน้ำข้างร้านผ้าอย่างกระหาย 

หลังจากกินหมั่นโถวเสร็จแล้ว ปากข้าก็แห้งผากราวกับทรายจนแทบจะป่นเป็นผง มิอาจปฏิเสธความเย้ายวนของน้ำดื่มนั้นได้แม้ในรางน้ำจะมีตะไคร่จับเขรอะมีฝุ่นลอยคลุ้ง  ข้าโจนเข้าหารางน้ำ ดื่มด่ำกับความชุ่มฉ่ำด้วยท่าทีไม่น่ามอง  หากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาต้องบอกว่า...ด้วยท่าทีบัดซบอย่างยิ่ง

อร่อยยิ่งนัก!...น้ำดื่มสกปรกยังรสเลิศถึงเพียงนี้!

“ขอบใจเจ้า” ข้าเอ่ยขอบใจสุนัขน้อย แขนขาพอมีแรงขยับได้บ้าง เสียงข้าเริ่มกลับมาทว่ามันฟังดูทุ้มต่ำแลกระด้างไม่เหมือนเสียงใสพิสุทธิ์ราวหยาดน้ำค้างของข้าเลยซักนิด  เมื่อท้องเริ่มอิ่มพละกำลังก็เริ่มคืนกลับ สติก็หวนมา ข้าค่อยๆพิจารณาเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน

ข้าจำได้แม่นยำว่าตัวเองสิ้นชีพเนื่องจากได้รับพิษนิทราวสันต์มายาวนานครึ่งปี  มิใช่ฮองเฮาก็คงเป็นไท่ผินหรือสนมคนใดคนหนึ่งของเขาที่ตั้งใจจะวางยาข้า  นิทราวสันต์นับเป็นยอดพิษที่ถูกปรุงอย่างลับๆจากตำนักหมื่นวสันต์ ซึ่งแม้ภายนอกจะดูเหมือนหอเริงรมย์ชั้นเลิศแต่ภายในนั้นตำหนักหมื่นวสันต์เป็นประหนึ่งเงาแห่งจักรพรรดิมาหลายรัชสมัยมีหน้าที่สืบทอดต่อกันมาเนิ่นนาน  เครือข่ายของตำหนักหมื่นวสันต์กว้างใหญ่อย่างยิ่งราวกับรากไม้ที่ทะลุชอนไชไปทั่วสารทิศ  ข่าวกรอง  นักฆ่า  ยาพิษ สามสิ่งนี้ล้วนแต่เป็นงานถนัดของตำหนัก

หอเหมยเราเลิศล้ำเรื่องปรุงยาที่สุด  หัวหน้าหอรุ่นก่อนเป็นผู้คิดค้นนิทราวสันต์ยาพิษอันตรายไร้สีไร้กลิ่นไร้รสไม่ทำให้เจ็บปวดแม้แต่น้อย  เพียงแต่ผู้รับผิดจะง่วงเหงาหาวนอนมากผิดปกติท้ายที่สุดก็จะหลับไปและไม่ตื่นอีกเลย  หากตรวจพบแต่เนิ่นๆย่อมแก้ไขได้ทว่าหากรับยาติดต่อกันเกินสามเดือนก็มิอาจพ้นความตาย

ในตอนนั้นหัวข้ามีแต่ความคิดทดท้ออยากตายจึงได้ยอมดื่มพิษนั้นอย่างว่าง่ายมาเกือบครึ่งปี  ซ้ำยังคิดปลอบใจตัวเองอย่างขบขันว่าคุ้มค่าที่ได้ตายด้วยนิทราวสันต์ของอาจารย์ปู่  ..แต่หากรู้ใจตัวเองก่อนมีหรือจะยอมให้ยาพิษนั้นล่วงลงคอไปได้  เมื่อคิดถึงเขาคราหนึ่งข้าก็ปวดใจอย่างยิ่ง  น้ำตามังกรพร่างพรูลงกระทบใบหน้าข้าในตอนนั้น..มันเย็นเยียบและกร่อนหัวใจข้าอย่างสาหัส เป็นความรู้สึกที่ขมปร่าทว่าแสนหวาน  ความรู้สึกที่ปั่นป่วนวนเวียนอยู่ในอกนี้มันช่างทุกข์ทรมานและแสนสุข
 
ข้าอยากหวนคืนสู่อ้อมกอดเขาให้เขากอดข้าไว้และบอกข้าทีว่าข้ากำลังฝันร้าย  เหวินฉีลี่ฉางผู้หยิ่งยโสกำลังกระทำตัวราวกับสุนัขขี้เรื้อน  แม้เมื่อครู่จะไม่อับอายเพราะความหิวโหยบังตาแต่เมื่อคิดถึงความอัปยศนี้อีกครั้งกลับยิ่งหดหู่สังเวชตนเองอย่างยิ่ง  ข้าวักน้ำในรางน้ำขึ้นล้างหน้าเพื่อให้สติปลอดโปร่งขึ้นกว่าเดิม  บางทีมีสติมากขึ้นอาจทำให้หลุดพ้นจากปัญหาที่ประสบเร็วขึ้น..


..ทว่า..


“อ๊ากกกกกกกกกกก!!!”

 
สุนัขดำตัวนั้นเผ่นหนีอย่างตระหนกเมื่อได้ยินเสียงข้ากรีดร้อง  ข้าลนลานถอยออกห่างจากรางน้ำลูบคลำใบหน้าตัวเองอย่างตื่นตกใจ  ..เมื่อครู่...ใบหน้าเมื่อครู่..

 
..นี่ไม่ใช่ข้า


..นี่ไม่ใช่ร่างกายของข้า!!


..เป็นภูติผีปีศาจตัวใดกัน!!!


ข้าลองทดสอบอีกคราหนึ่งเหลือบมองเงาในรางน้ำแล้วยิ่งหวาดผวาหนัก  เหวินฉีลี่ฉางผู้งามสะคราญ หนึ่งยิ้มล่มเมือง ยิ้มอีกคราล่มแผ่นดิน..ไม่..ไม่มีทาง..ไม่มีทางกลายมาเป็นตัวอัปลักษณ์ที่ผิวหน้าบวมพองยิ่งกว่าคางคก มีรอยกรีดลึกจากหางคิ้วด้านซ้ายจรดลงสู่ลำคอ  ยิ้มหนึ่งที่ทำผู้คนขวัญผวา  ผิวที่ขาวราวหิมะอ่อนนุ่มยิ่งกว่าแพรไหมกลับกลายเป็นดำกระด้างยิ่งกว่าก้อนดินแห้งแล้ง  รูปร่างสูงสง่าอรชรกลับเป็นเตี้ยแคระแกร็น  อัปลักษณ์..อัปลักษณ์อย่างยิ่ง

ข้าผวาตัวเข้าหาผนังอันเย็นเฉียบขดตัวราวกับลูกสุนัขส่งเสียงสะอื้นราวกับภูติผีปีศาจ  เจ้าหมาดำมิทราบหวนคืนมาตั้งแต่เมื่อไหร่มันคาบถังหูลู่[3]เปื้อนดินอันหนึ่งมาวางตรงหน้า  ลิ้นสากๆเลียที่ตัวข้าราวกลับจะปลอบใจ  ข้าผลักไสมันออกร่ำไห้อย่างขมขื่น...สภาพเช่นนี้จะให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร  ด้วยสภาพเช่นนี้ข้าจะกล้ากลับไปพบหน้าเขาได้อย่างไร

ตัวข้าในตอนนี้อัปลักษณ์จนแม้แต่ข้ามองตัวเองก็แทบสิ้นสติไปเสียแล้ว  ที่แท้เรื่องราวทั้งหมดมันเป็นเช่นไรกันแน่  ใยข้ากลับกลายมาเป็นปีศาจเช่นนี้  ร่างกายแสนงดงามของข้าไปอยู่ที่ไหน  ใยข้ากลับกลายมาเป็นขอทานแทนที่จะอยู่ในห้องเลิศหรู  ใยข้าจึงต้องมากอดตัวเองในความเหน็บหนาวเดียวดายแล้วเขาเล่าไปอยู่ที่ไหน  เขาที่เคยสัญญาจะปกป้องข้าชั่วชีวิต  จิ่นสือช่วยข้าที  ช่วยข้าด้วย ข้าคิดถึง...คิดถึงท่านเหลือเกิน

ไม่ว่าจะพิสูจน์เช่นไรใบหน้าราวกับภูติผีก็ยังคงเป็นใบหน้าของข้า  ข้าจะร่ำไห้อ้อนวอนต่อฟ้าแต่ความงามล่มแผ่นดินที่ครอบครองก็ไม่หวนกลับ  ในตรอกอันเดียวดายเสียงคร่ำครวญหวนเทวษราวกับบทเพลงสู่ปรภพดังก้องไปมา  ทั้งท่าน  ท่านเหมยและพี่จื่อหรงไปอยู่หนใด  ข้าภาวนาให้พวกท่านโผล่ออกมาแล้วบอกข้าว่าตื่นเถิดลี่ฉาง เจ้าหลับมานานพอแล้ว  ข้าร่ำไห้จนสลบไสลไปสามครั้งสามครา  เมื่อตื่นมาข้ายังคงอยู่ในตรอกอย่างเดียวดายเช่นเดิม  และยังต้องยอมรับความจริงว่าใบหน้าอันสวยงามแปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ไปเสียแล้ว



ยามนี้อาทิตย์ราแสงลงเสียแล้วราตรีได้มาเยือน  ข้าหวนคิดถึงท่านยิ่งนักจิ่นสือ สองปีมานี้ท่านกกกอดข้าอยู่ทุกค่ำคืน พร่ำพลอดบอกรักข้าอยู่ทุกชั่วยาม  กลิ่นไอท่านอบอุ่นองอาจราวกับแสงอาทิตย์อันอ่อนโยนที่ลูบประโลมข้าอย่างช้าๆ  ในอ้อมกอดท่านข้าไม่เคยนึกกลัวสิ่งใด  ข้าเคยเป็นอันธพาลน้อยของท่าน ทุบตีท่านยามไม่พอใจ  ท่านหัวเราะอย่างเจิดจ้าสำราญยิ่งนักยามเย้าหยอกข้า  กำปั้นข้าถูกท่านจูบร่างกายข้าถูกท่านจุมพิต    ตอนนี้ว้าเหว่เดียวดายจึงได้รู้ว่ามิอาจหลับลงเมื่อขาดอ้อมกอดอุ่นของท่าน

จิ่นสือข้าเพิ่งนึกรู้..ในตอนนั้นหากเปิดใจแก่ท่านข้าคงเป็นสุขยิ่งราวกับได้ครอบครองโลกไว้ทั้งใบ  ทว่าตอนนี้โลกใบน้อยๆกลับหลุดลอยจากมือข้าไป  ท่านอยู่แห่งหนใดกันแน่...ลืมข้าแล้วหรือไม่..ยังรักข้าอยู่หรือไม่  จิ่นสือ...จิ่นสือ...รักท่านยิ่งนัก...ข้ารักท่านอย่างยิ่ง  หรือทุกอย่างเป็นบทลงโทษจากสวรรค์ที่ข้าสมควรได้รับ  ข้าหยิ่งผยองในความเลิศล้ำของตน หมางเมินแก่ใจของท่าน มิตอบรับและเย็นชาแก่ท่านอย่างมาก มาวันนี้จึงได้แต่สำนึกเสียใจอยู่เพียงผู้เดียวเช่นนี้

ราตรีที่ไม่มีท่านผ่านไปอย่างเชื่องช้า  ช่วงเวลาบนเตียงที่ข้านึกชังกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ข้าหวนหา  อ้อมกอดที่มิปรารถนากลับเป็นอ้อมกอดที่กระหายอยาก  จิ่นสือคืนนี้ข้าฝันร้ายยิ่งนัก  ฝันว่าท่านชิงชังข้าขับไล่ข้าเรียกข้าว่าปีศาจอัปลักษณ์  ในยามที่ตื่นมามีเพียงสุนัขดำขี้เรื้อนตัวหนึ่งเป็นเพื่อน  ถังหูลู่ถึงมดตอมเสียแล้วแต่ท้องข้าครวญครางเช่นนี้ยังเลือกได้อีกหรือ  ข้าหยิบมันเข้าปาก  รสชาติหวานยิ่งนักแต่ใยกลับมีรสขมปร่าและเค็มปะแล่มที่ปลายลิ้น...อ้อ  ที่แท้ไม่ใช่รสชาติถังหูลู่

..เป็นรสชาติน้ำตาตัวอัปลักษณ์เช่นข้านี่เอง...



 



เชิงอรรถ

[1] หมั่นโถว [饅頭] - ซาลาเปาที่ไม่มีใส้ใดๆอยู่ภายใน

 [2] เพ้ย - การขู่ตวาดหรือต่อว่า และเป็นคำขับไล่เปล่งเสียงแรงๆ ให้สัตว์เช่นไก่หนีไป

 [3] ถังหูลู่ - ขนมชนิดหนึ่งของจีน โดยจะนำลูกซานจาซึ่งมีรสชาติเปรี้ยวไปเสียบไม้และจุ่มลงในกระทะน้ำตาลเคลือบ




ออฟไลน์ duaenmaysa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0



ตอนที่ ๓  วาสนาในคราเคราะห์


“โฮ่งๆ”

ข้าเดินตามเสียงเห่าของเจ้าดำไปยังตรอกทิ้งขยะแห่งหนึ่ง  อา..ช่างโชคดีจริง มีผลไม้รวมถึงเศษหัวหมูเซ่นไหว้ที่ถูกทิ้งไว้อยู่ในตรอก  นี่นับว่าเป็นโชคอีกคราของวันโดยแท้!

“เก่งมากเจ้าดำ” ข้าลูบหัวมันอย่างรักใคร่เอ็นดู สี่วันมานี้มันกลายเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายของข้า  แบ่งปันอาหารน้ำดื่มยามข้าเหน็บหนาวมันก็มาให้ความอบอุ่น   ขนของเจ้าดำสั้นเกรียนและขึ้นบางเบาทว่ายังคงพอสังเกตได้ว่าเป็นสีดำปลอดทั้งตัว ซ้ำยังเป็นขี้เรื้อนเป็นหย่อมๆบนร่างกายแลดูน่าสงสารยิ่งนัก  สุนัขน้อยตัวนี้สูงใหญ่เพียงหัวเข่าข้าชอบทำหน้าตามู่ทู่  ร่างกายมันซูบผอมแต่มันก็ยังเอื้ออารีแบ่งอาหารแก่ข้าบ่อยๆ สีข้างที่บาดเจ็บทุเลาลงบ้างเล็กน้อย  ข้าคลี่ยิ้มให้มันคราหนึ่ง ป้อนเศษหัวหมูเข้าปากมันด้วยความเอ็นดูอย่างยิ่ง

 

ตลอดสี่วันนอกจากหาอาหารมาประทังชีวิตอีกอย่างที่ข้าทำคือหมกมุ่นพิเคราะห์เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับข้า  สุดท้ายแล้วตัดสินได้แต่เพียงว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ร่างกายของข้าเป็นแน่ชะรอยระหว่างดวงวิญญาณกำลังเดินทางไปปรโลกอาจหลงทางมาสิงสู่ร่างขอทานอัปลักษณ์ผู้นี้ก็เป็นได้

สี่วันมานี้นับว่าเป็นสี่วันที่ยากลำบากยิ่งนักของข้า  ความทุกข์ใดตลอดสิบเจ็ดปีต้องบอกว่ามิมีทางเทียบสี่วันที่หนักหนาราวกับขุมนรกนี้ได้  ความยากลำบากทั้งหลายทำให้ยางอายและความหยิ่งยโสของข้าลดน้อยถอยลงมากโขทีเดียว ชีวิตขอทานวนเวียนกับการหาอาหารเพื่อต่อชีวิตเป็นสิ่งที่ข้าเหวินฉีลี่ฉางไม่เคยประสบมาก่อน  เมื่อหวนนึกถึงความอัปยศอดสูทั้งหลายก็รู้สึกว่าตัวเองยังพอเข้มแข็งอยู่บ้าง

 

 ถึงแม้วันแรกข้าจะร่ำไห้และสลบไสลไปสามครั้งสามครา  มีเพียงหมั่นโถวครึ่งลูกตกถึงท้อง คร่ำครวญถึงจิ่นสือ ท่านเหมยและพี่จื่อหรงไปเสียมาก  ลืมตาก็เห็นหน้าพวกเขาหลับตาก็เห็นหน้าพวกเขา  เมื่อคิดดูแล้วจึงรู้ว่าตัวเองอ่อนแออย่างยิ่ง  ถึงอย่างนั้นก็อดชื่นชมตัวเองไม่ได้ อย่างน้อยข้าก็ไม่ผลีผลามโขกหัวตัวเองกับผนังไปเสียก่อน  ยังถือว่าครองสติไว้ได้อยู่บ้าง  ถ้าเป็นผู้อื่นอาจกลั้นใจตายไปเสียแล้วก็ได้ 

ค่ำคืนนั้นตัวข้ามิอาจหลับได้สนิท  ราตรีผันผ่านไปอย่างยากลำบากยิ่งนัก  หนาวจับใจจนฟันสั่นกระทบกันเสียงดังกึกๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีผ้าขี้ริ้วที่เรียกว่าเสื้อผ้าอยู่ชุดหนึ่งสกปรกมอมแมมกลิ่นเหม็นชวนคลื่นเหียน  คิดถึงค่ำคืนในหมื่นวสันต์ที่อบอุ่นแม้ในหน้าหนาวด้วยผ้าห่มขนห่านฟ้าปักด้วยด้ายทองก็ร่ำไห้คราหนึ่ง  คิดถึงค่ำคืนในตำหนักมังกรเหินที่ไม่เคยสัมผัสความเหน็บหนาวเพราะมีเขากอดอยู่ตลอดราตรีก็คร่ำครวญอีกคราหนึ่ง  ในตอนนั้นเจ้าดำนอนหมอบอยู่ข้างรางน้ำเก่าๆเฝ้ามองข้าอยู่เงียบๆ  มันคงแปลกใจอยู่มากกระมังที่มนุษย์ผู้นี้ประเดี๋ยวร่ำไห้ประเดี๋ยวคร่ำครวญประเดี๋ยวลุกขึ้นมาด่าทอชคชะตาเสียอย่างนั้น

 

วันที่สองทดท้อจนมิมีแรงพอจะลุกเดิน เมื่อตื่นมาก็ได้แต่นั่งทอดอาลัยมองกำแพงทึบทึมด้วยดวงตาเหม่อลอยไร้วิญญาณ  หิวจัดก็มีเพียงถังหูลู่ไม้เล็กๆจากเมื่อวานมาพอประทัง  รสชาติหวานอมขมกลืนเช่นนี้เฝื่อนลิ้นยิ่งนัก  ข้าเฝ้ามองเจ้าดำมันออกจากตรอกไปในยามกลางวันและวิ่งกลับมาด้วยท่าทีแตกตื่นในยามหัวค่ำ ดูท่าวันนี้คงชวดอาหารกระมัง  เจ้าขี้เรื้อนตัวน้อยร้องครางหงิงๆอย่างหิวโหยมีร่องรอยโดนทุบตีทำร้าย  มันโผเข้าหารางน้ำเก่าๆอย่างเร็วรี่ดื่มกินน้ำเข้าไปหลายอึกและฟุบหลับลงอย่างเหนื่อยล้า   ข้าทอดถอนใจมีความคิดอยากตายให้พ้นๆไปเสียอยู่ทุกขณะจิต  หิวนักแต่เลือกมิปริปากเอ่ย นอนหลับไปทั้งน้ำตาที่ยังรินไหล

ในราตรีนั้นฝันเห็นช่วงเวลาในหอเหมย  คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นวันก่อนเทศกาลชุนเจี๋ย[1]เมื่อสี่ปีที่แล้ว  อาหารเลิศรสมากมายเรียงรายนับร้อยเมนู  อาเตียนั่งอยู่หัวโต๊ะท่าทีเบิกบานสำราญอย่างยิ่ง  ท่านเหมยอยู่เคียงข้างคีบอาหารให้เราพ่อลูกด้วยรอยยิ้มน้อยๆแต่แสนหวานราวกับมธุรส[2]แห่งคิมหันต์  ตอนนั้นตัวข้าอายุสิบขวบเป็นช่วงเวลาที่กำลังเจริญเติบโต  งับน่องไก่ไปชิ้นหนึ่ง  อีกคำหนึ่งคีบเป็ดน้ำแดง  มือไม้เรียกว่ามิได้ว่างเว้นจากอาหาร  ขณะกำลังเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยก็พลันตื่น  มองนิ้วมือที่ชุ่มน้ำลายในปากก็พลันอนาถนัก  มิอาจข่มตาหลับได้ตลอดคืน

 

วันที่สามร่างกายข้าร่วงโรยอย่างยิ่ง  เรี่ยวแรงสูญหายไปเริ่มคล้ายคลึงกับวันแรก  ข้าคลานไปเกาะรางน้ำ  พิจารณาดูน้ำด้านในก็พบว่าพร่องลงไปกว่าครึ่ง  วสันต์อากาศแจ่มใสไร้เมฆฝน  คงหวังรอให้ฝนหยาดลงมามิได้กระมัง  เจ้าหมาดำที่ดื้อรั้นหายไปตั้งแต่เช้ามืดคงออกไปหาอาหารอีกตามเคย  ข้ายังคงนั่งอยู่ที่เดิมอย่างเหม่อลอย  ริมฝีปากแห้งผากท้องร้องคร่ำครวญน่าเวทนา  แม้จะดื่มน้ำแก้กระหายไปหลายอึกแต่ก็มิอาจประทังความหิวนี้ได้  ในใจมีแต่ความคิดอยากจะตายๆไปให้พ้นๆจากที่นี่เสีย  ข้ามิอยากใช้ชีวิตต่ออีกแล้ว  ข้ามิอยากกลับกลายเป็นเจ้าตัวอัปลักษณ์ที่น่าเกลียดน่าชังนี่  คิดได้เพียงเท่านี้ก็สลบไปเพราะความหิวอีกคราหนึ่ง

            ในยามค่ำ จันทราแลอาทิตย์ต่างแขวนอยู่บนฟากฟ้าพร้อมกัน  แสงในตรอกสลัวราง  เจ้าดำมันหวนกลับมาที่ตรอกด้วยท่าทีตื่นตระหนกยิ่ง  สีข้างของมันมีแผลโดนทำร้ายจนโลหิตไหลออกมิหยุด  ปากมันคาบน่องไก่ชิ้นหนึ่งไว้อย่างหวงแหน  เสียงเอ็ดตะโรบนถนนดูท่าทีแล้วคงเป็นของพวกเด็กรับใช้จากเหลาอาหารแห่งหนึ่ง  คนเหล่านั้นไล่ตามหาเจ้าดำในมือมีมีดทำครัวกันถ้วนหน้าคงหวังจะฆ่ามันให้ตาย  หนึ่งคนหนึ่งสุนัขทำตัวลีบอยู่ข้างๆรางน้ำหวังว่าจะช่วยให้หลบพ้นสายตาคนใจดำได้ไม่มากก็น้อย  โชคดีที่พวกมันหลงลืมที่จะเข้ามาค้นในตรอกเล็กๆแห่งนี้และวิ่งเลยผ่านไป

            ข้าถอนหายใจเฮือกใหญ่มองเจ้าหัวขโมยที่เกือบชักนำเภทภัยมาให้กัดทึ้งน่องไก่อย่างเอร็ดอร่อยไม่สนใจผู้ใดก็นึกขวางหูขวางตาอยู่บ้าง  กินไปไม่กี่คำเจ้าหมาตัวนี้ก็เงยหน้ามองข้าคราหนึ่งสลับกับมองน่องไก่คล้ายกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง  ครู่หนึ่งเมื่อมันคิดตกแล้วจึงใช้อุ้งเท้าฟันอันแหลมคมฉีกทึ้งเนื้อไก่มาวางไว้ยังตักข้า  ที่รู้สึกขวางหูขวางตากลับเป็นความละอายขึ้นมาในใจเสียอย่างนั้น

            แม้จะซาบซึ้งในน้ำใจสัตว์หน้าขนตัวนี้ แต่เมื่อมองไก่ดิบมียังมีเลือดสดๆ ก็รู้สึกนึกเดียดฉันท์ที่จะหยิบเข้าปากอยากจะอาเจียนขึ้นมา  ข้าจึงนั่งพิงผนังคิดฟุ้งซ่านไปไกลแต่ท้องเจ้ากรรมกลับยังหิวโหยเสียจนแทบเป็นลม  ดื่มน้ำแก้กระหายจนน้ำในรางจนแทบแห้งขอดก็มิอาจขจัดความอยากไปได้  ร่างผอมโซของข้าเกลือกกลิ้งกับพื้นจนตัวงอด้วยความกระหายหิวทรมานยิ่งนัก  ท้องไส้ปั่นป่วนหวนหันจนสำรอกออกมาเป็นน้ำสีขุ่นคาวชนิดหนึ่ง  ตาข้าพร่าพรายจนรอบข้างกลายเป็นสีขาวจัดจ้า  มือสั่นระริกมิอาจหยุดยั้ง

 ไก่ดิบชิ้นนั้นร่วงหล่นบนพื้น  ข้าตะเกียกตะกายคลานไปหา  ถึงอย่างนั้นกลับแทบอาเจียนเมื่อคิดจะเอามันเข้ามาก แม้ร่างกายมันร้องขออาหารแต่จิตใจกลับกรีดร้องไม่ให้ข้าแตะต้องไก่ดิบชิ้นนี้  ด้วยสำนึกว่าตนยังคงเป็นมนุษย์มิอาจกินอาหารดิบที่โชกเลือดได้สำราญเช่นเดรัจฉาน  จนกระทั่งเมื่อกระเพาะโหยหวนครวญครางอาเจียนเอาน้ำย่อยสีขุ่นออกมาอีกคราหนึ่ง ฝ่ายจิตใจจึงแพ้พ่ายไปราบคาบ  มือข้าสั่นระริกยามที่หยิบเนื้อไก่ชิ้นนั้นเข้าปาก  คาวเลือดไก่อวลตลบจนแทบสิ้นสติ  พยายามกลั้นหายใจและหลับหูหลับตาเคี้ยวกลืนลงท้อง  ข้ากลืนเข้าไปได้ไม่กี่เพลาก็ไม่อาจฝืนทนต่อได้   ขย้อนอาหารออกมาจนหมดไส้หมดพุงด้วยความทรมานอย่างยิ่ง  และถึงจะกล่าวว่าหมดไส้หมดพุงแท้จริงแล้วมีเพียงเศษซากเนื้อไก่ที่กองอยู่บนพื้นอย่างไม่น่าดูเท่านั้น  ร่างกายอันน่าสังเวชนี้ได้แต่ทอดกายทรมานอย่างนึกสมเพชตัวเอง

            เจ้าดำเงยหน้าขึ้นมาจากน่องไก่ชิ้นที่มันำลังแทะเล็ม มันจ้องมองข้าคล้ายจะตำหนิติเตียน เดินกระเผลกตรงไปที่กองอาเจียนของข้า  ค่อยๆเล็มกินอาจมด้วยท่าทีเอร็ดอร่อยยิ่งนัก  ที่สีข้างของมันเลือดยังคงไหลออกมาไม่หยุด  ข้าทอดร่างมองความพยายามมีชีวิตอยู่อย่างดื้อดึงของมัน  หัวเราะขบขันทั้งน้ำตาราวกับคนวิปลาส  มือทุบพื้นสกปรกด้วยความทุกข์ทรมานในใจที่สุมอยู่คล้ายคนสติฟั่นเฟือนผู้หนึ่ง  ตัวข้าที่เป็นมนุษย์ยังไม่อาจทนรับสภาพน่าอดสูเช่นนี้ได้  เดรัจฉานเช่นมันกลับกระเสือกกระสนจะใช้ชีวิตต่อ

            เจ้าดำมันกวาดล้างกองอาเจียนนั่นลงท้องเสร็จแล้วจึงหันไปคาบน่องไก่มาวางลงตรงหน้าข้าอีกครา  ข้ามิอาจกลั้นน้ำตายันตัวขึ้นมากอดมันร้องไห้โฮราวกับเด็กน้อย  สมเพชตัวเองก็สมเพช แต่หิวโหยทรมานก็หิวโหยทรมาน  ร่ำไห้เสียจนสาแก่ใจราวกับผีบ้าตัวหนึ่ง จึงวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างตาคราหนึ่งยังพบเห็นปีศาจอัปลักษณ์เช่นเคย  มิอาจเปลี่ยนแปลงความจริงได้อีกแล้ว  ยังทำอะไรได้อีกหรือนอกจากก้มหน้ารับชะตากรรมอันบัดซบนี่เสีย  เมื่อปลงได้แล้วจึงหยิบน่องไก่ที่เหลือเพียงกระดูกชิ้นนั้นมาแทะเล็มพร้อมกับน้ำมูกน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาด  สภาพน่าอดสูเช่นนี้ยังมีอะไรให้ข้าอับอายอีกหรือ  เคยสวยงามจนล่มหล้าแล้วอย่างไร  ตอนนี้จะอัปลักษณ์ก็ช่าง  เป็นเดรัจฉาน ขอทานหรือปีศาจก็เป็นไปเถิด เพียงแต่ชีวิตน้อยๆนี่ข้ามิอาจทอดอาลัยตกตายให้อายสุนัขตัวหนึ่งได้  มันดิ้นรนอย่างยิ่งที่จะเอาชีวิต ส่วนตัวข้านั้นเล่า...ข้าเหม่อมองสองมือสองขาตัวเองในท้ายสุดก็คิดตก

            ตัวข้าเหวินฉีลี่ฉางเป็นคนดื้อดึงผู้หนึ่ง  มากทิฐิผู้หนึ่ง  มิยอมพ่ายแพ้ผู้หนึ่ง  คนล้ำเลิศเช่นข้าหากยังยอมแพ้แม้แต่สุนัข  ต่อให้ตายสิบครั้งลงปรโลกก็มิอาจอวดอ้างว่าตัวเองคือเหวินฉีลี่ฉางผู้เลิศล้ำโด่งดังไปหมื่นลี้ได้  เขา ท่านเหมย พี่จื่อหรงมิมาหาข้าก็ช่าง  ข้าก็จะเดินไปหาพวกเขาด้วยสองเท้าของข้าเอง  ในเมื่อสวรรค์ส่งบททดสอบบัดซบเช่นนี้มาให้ก็คอยดูเอาเถิด...ข้าจักมิมีวันยอมพ่ายแพ้! อัปลักษณ์แล้วอย่างไร! คอยดูเอาเถิดตัวอัปลักษณ์ผู้เลิศล้ำที่สุดในใต้หล้า!



ในวันที่สี่ ข้าตื่นมาแต่เช้าเพราะความเหน็บหนาว   เจ้าดำร้องครวญครางหงิงๆเพราะพิษบาดแผลที่สีข้าง  กลิ่นอายความฮึกเหิมเมื่อคืนยังคงอยู่ แม้แสงจันทร์ส่องทางสลัวรางข้าค่อยๆย่างก้าวออกมาจากตรอกที่ใช้พักพิง  โซซัดโซเซคุ้ยหาอาหารไปตามถนน  เจ้าดำที่บาดเจ็บกลับเดินตามออกมาต้อยๆ ขาโขยกเขยกอย่างน่าสงสาร  ไล่กลับไปเท่าไรมันก็มิยอมถอย  ดังนั้นจึงได้แต่ยอมให้มันมาด้วย  เจ้าดำมันเดินราวกับคุ้นเคยเส้นทาง  เข้าออกตรอกนั้นซอกนี้อย่างชำนาญ ข้าเห็นแผลมันปริแล้วก็ปวดใจยิ่ง ฉีกเสื้อตัวเองเพื่อห้ามเลือดให้มันด้วยความสงสาร

โชคดีที่เดินไปครึ่งชั่วยามก็พบเข้ากับชามอาหารสุนัขที่หลังบ้านแห่งหนึ่ง  เจ้าของบ้านคงเป็นผู้อารีอย่างมากถึงได้วางชามไว้ให้อาหารหมาจรเช่นนี้  นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่โชคดีอย่างยิ่ง  สวรรค์คงจะเห็นใจข้าอยู่บ้างกระมัง  หนึ่งคนหนึ่งสุนัขแบ่งปันข้าวคลุกเศษอาหารอย่างเอร็ดอร่อย

อาศัยที่ยังพอมีแรงหลังจากกินข้าวจึงเดินสำรวจเมืองแห่งนี้ในความสลัวราง  จัดว่าคุ้นเคยอย่างยิ่งหากคาดเดาไม่ผิดที่นี่คงเป็นเมืองหลวงแห่งต้าหลงอย่างแน่นอน  ถึงแม้ตำหนักหมื่นวสันต์แยกตัวโดดเดี่ยวทางตะวันออก  แต่ทางตะวันตกของเมืองหลวงก็เคยสัญจรอยู่บ้างยังคงพอจำได้  ตรอกที่ข้าไปหลบอาศัยอยู่ไม่ไกลจากผ้าไหมแห่งหนึ่งถ้าจำมิผิดเถ้าแก่ผู้นั้นแซ่จาง เขาค่อนข้างกว้างขวางในการจัดหาผ้าไหมจากต่างแดน เคยติดต่อทำการค้ากับหมื่นวสันต์เราอยู่หลายครา

เมื่อเป็นเช่นนี้ตัวข้าก็ยังพอมีทางจะติดต่อท่านเหมยอยู่บ้าง  อย่างแรกข้านั้นผูกพันกับตำหนักหมื่นวสันต์ยิ่งนัก  สิบห้าปีอาศัยอยู่ในตำหนักจนรู้สึกซอกมุมและรายละเอียดอย่างทะลุปรุโปร่งสิ้นเช่นเดียวกับลายบนฝ่ามือตัวเอง  แม้ว่าเบื้องหน้าตำหนักหมื่นวสันต์จะค่อนข้างซบเซาแต่เบื้องหลังคงกำลังยุ่งจนหัวปั่นเลยกระมัง  การเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ในครานี้ยังความวุ่นวายไปทั่วทุกหัวระแหง  หอเบญจมาศที่ควบคุมการข่าวคงยุ่งจนมิอาจสนใจรับคนรับใช้ใหม่ได้  หอเหมยในตอนนี้ไร้ผู้ควบคุมเพราะท่านเหมยไปดูแลหอชื่นคิมหันต์ที่หังโจวและตัวข้าเหวินฉีลี่ฉางก็ถูกชิงไปเป็นสมบัติของจิ่นสือ  มิมีผู้ดูแลหอตอนนี้คงปิดหอเหมยเป็นการชั่วคราว

 ที่ยังพอคาดหวังอยู่ได้นั้นคือหอบัว  ท่านเหลียนเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยนและมีเมตตาอย่างยิ่ง แม้หอเหลียนฮวา[3]มิเป็นที่นิยมนักในบรรดาคุณชายหนุ่มผู้ชมชอบท่องราตรี  แต่ก็เป็นสถานที่ประลองปัญญาของบรรดาบัณฑิตและปัญญาชนมากมาย  พวกเขาวางท่าสูงส่งดีงามต่อกลอนฟังฉินประลองหมากล้อม  ตัวข้าเคยไปที่หอเหลียนฮวาบ่อยครั้ง  เพราะรู้สึกว่าเหล่าคุณชายที่นั่นค่อนข้างสำรวมกว่าลูกค้าหออื่นอยู่มาก แต่กระนั้นลูกค้าหอบัวก็นับว่ายังเป็นเหล่าหมาป่าที่ห่มหนังแกะ บุรุษอย่างไร้ก็ไม่ทิ้งเชิงบุรุษ ระหว่างที่ข้าครุ่นคิดหาวิธีเข้าหอบัวเจ้าดำกลับส่งเสียงเห่าออกมาคราหนึ่ง


“โฮ่งๆ”

 
ข้าเดินตามเสียงเห่าของเจ้าดำไปยังตรอกทิ้งขยะแห่งหนึ่ง  อา..ช่างโชคดีจริง มีผลไม้รวมถึงเศษหัวหมูเซ่นไหว้ที่ถูกทิ้งไว้อยู่ในตรอก  นี่นับว่าเป็นโชคอีกคราของวันโดยแท้!

“เก่งมากเจ้าดำ” ข้าลูบหัวมันอย่างรักใคร่เอ็นดู  ป้อนเศษหัวหมูเข้าปากมันด้วยความเอ็นดูอย่างยิ่ง  เจ้าดำถูไถหัวมันกับไหล่ข้าราวกับจะอ้อนดูน่ารักน่าชังยิ่งนัก  ระหว่างที่ข้ากำลังเก็บผลไม้ม้วนเข้าในเสื้อผ้า  เจ้าดำก็เห่าขึ้นอีกคราติดกัน

“โฮ่งๆ” ข้าตื่นเต้นอย่างยิ่ง น...นี่..อย่าบอกนะว่าวันนี้มีโชคติดกันถึงสามครั้งสามครา! สวรรค์ท่านเมตตาข้าตบรางวัลเสียยกใหญ่ติดกันหลายครั้งเพียงนี้เรียกว่าดีงามอย่างยิ่ง  ที่เคยบริภาษสวรรค์เก้าชั้นฟ้านั้นเพราะขาดสติ  จริงๆแล้วเหล่าเทพเซียนล้วนแต่มีเมตตาธรรม  เอื้ออารีต่อสัตว์โลกยิ่งนัก  ประจบประแจงอยู่ในใจเสียจนเกิดรอยยิ้มกว้างดูไม่จริงใจบนใบหน้ายิ้มหนึ่ง

เมื่อเดินเข้าไปในตรอกเห็นเจ้าดำนั่งยองๆอยู่ข้างของชิ้นใหญ่  ข้าดีใจจนตัวสั่นระริก  ชะโงกหน้ามองเจ้าของชิ้นนั้น  เมื่อมองคราหนึ่งแล้วก็ขยี้ตามองอีกครา  มองอีกคราจนพอใจแล้วก็หลับตาลงครั้งหนึ่ง  ลืมตาอีกครั้งหนึ่งพิจารณาจนถ้วนถี่จึงหันไปเอ่ยกับเจ้าดำด้วยท่าทีราวกับโพธิสัตว์ผู้อารีแต่น้ำเสียงติดจะห้วนจัดอยู่ไม่น้อย

“เจ้าดำดูท่าเจ้าจะค่อนข้างสับสนแล้วกระมัง  ตัวข้าขอทานผู้นี้แม้กินไก่ดิบได้ ใช่จักทนกินศพมนุษย์ได้หรอกนะ!” หน็อยแน่ะ! คิดว่าข้ากลายเป็นเดรัจฉานตัวหนึ่งไปแล้วหรือ  ข้าหมุนตัวกลับไปหวังจะเก็บผลไม้ที่ตกอยู่บนพื้น ไม่คิดมีใจเมตตาอารีเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากในตอนนี้  คิดแต่เพียงว่าวันนี้เดินต่ออีกหน่อยหาอาหารพอประทังไปได้ถึงเย็น  พรุ่งนี้คาดว่าจะไปหาลู่ทางยังฝั่งตะวันออกของเมือง  คิดได้อย่างนั้นก็เรียกเจ้าดำออกมาจากตรอก  ทว่ากลับได้ยินเสียงเรียกหนึ่งรั้งไว้เสียก่อน

“จ..เจ้า ช..ช่วยที” เสียงนั้นแผ่วเบานัก  แต่ในตรอกแคบเพียงนี้และมีหนึ่งคนหนึ่งสัตว์จะมิได้ยินเสียงเขาก็คงมิได้  ข้าถอนหายใจทีหนึ่งคราแรกมิเข้าไปตรวจดูเพราะคาดว่าเป็นศพ  แต่ถึงเป็นมนุษย์ก็มิอาจช่วยเหลือเพราะตอนนี้แม้แต่ชีวิตตัวเองก็ร่อแร่ไม่น้อย

“บ..บ้านหลี่  ต..ตะวันออก” เสียงนั้นดังติดต่อกัน  ข้ามุ่นคิ้วหนึ่งคราคราวนี้จึงนั่งลงข้างเขาพิจารณาชายผู้นี้อย่างถี่ถ้วน  เขาเป็นชายที่เปลือยกายล่อนจ้อนมีเพียงกางเกงชั้นในชายปกปิดความอุจาดเท่านั้น  ทั้งเนื้อทั้งตัวล้วนขาวโพลนน่าดูอย่างยิ่ง  แต่มานอนสภาพเช่นนี้ออกจะอนาจารไปหน่อยรึไม่

“ห..ลี่..ฮุ่ย..หรง” ข้าขมวดคิ้ว..นามนี้คุ้นอย่างยิ่ง..หลี่ฮุ่ยหรง...หลี่ฮุ่ยหรง...หลี่ฮุ่ยหรง

ทันใดนั้นราวกับมีสายฟ้าแห่งปัญญาฟาดลงมากลางศีรษะ  บ้านสกุลหลี่แห่งถนนตะวันออก  คุณชายรองหลี่ฮุ่ยหรง  ที่แท้...ที่แท้เขาเป็นน้องชายของแม่ทัพใหญ่หลี่ฮุ่ยเหอ!  หลี่ฮุ่ยเหอผู้นั้นข้าเคยพบปะอยู่บ้าง  แม้จิ่นสือจะหวงข้าอย่างมากแต่แม่ทัพทั้งสี่ผู้สนิทสนมดั่งเป็นครอบครัวของเขาเป็นคนกลุ่มเดียวที่ได้พบปะข้า  พวกเขาล้วนแต่เคยเรียกข้าอาซ้อบ้างน้องสะใภ้บ้างทั้งนั้น   ดวงตาที่ไร้ความหวังกลับเปล่งประกายเจิดจ้า  ข้าคลี่ยิ้มละไมให้แก่เจ้าดำ

“เด็กดี เจ้านี่มันตัวนำโชคของข้าแท้ๆ”

 

 



เชิงอรรถ

[1] เทศกาลชุนเจี๋ย [春節] - เทศกาลชุนเจี๋ยหรือเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ โดยมากคนไทยรู้จักกันในนามวันตรุษจีน ป็นวันหยุดตามประเพณีของจีนที่สำคัญที่สุด ซึ่งเป็นวันแรกในทางสุริยคติของปีปฏิทินจีน วันดังกล่าวยังเป็นวันสิ้นสุดฤดูหนาว  เทศกาลนี้เริ่มต้นในวันที่ 1 เดือน 1 (ในปฏิทินจีนโบราณ) และสิ้นสุดลงในวันที่ 15 ด้วยเทศกาลโคมไฟ

[2] มธุรส - น้ำผึ้ง รสหวาน อ้อย

[3] เหลียนฮวา - ดอกบัว



ทักทายนักอ่าน

สวัสดีค่าทุกคน ตอนที่สามมาแล้วน้าา ตอนนี้เป็นตอนที่เขียนยากตอนหนึ่งเลย
เขียนลบ เขียนลบ เขียนลบ ไปไม่รู้กี่รอบเพราะมันออกมาไม่ตรงใจ
  ตอนแรกเขียนไว้ค่อนข้างดราม่าอ้วกแตกกันไปข้าง แต่ต้องปรับให้มันซอฟต์ลง
กระซิบเบาๆว่า จริงๆฉากกินไก่ ตอนแรกมันไม่ใช่ไก่ แต่มันเป็นซากหนู
ตอนเขียนที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก รู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมากะทันหันเสียอย่างนั้นเลย 555




ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
แวะมาอ่านสามตอนรวดเดียวเลยครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
ส่วนตัวเป็นแฟนนิยายจีนโบราณ
อ่านเรื่องนี้แล้วประทับใจสำนวนภาษามากๆ
ถ้าไม่รู้มาก่อนคิดว่าเป็นนิยายแปลซะแล้วเนี่ย
กลิ่นอายบรรยากาศแบบจีนแท้ๆมาเอง
แถมพล็อตเรื่องก็น่าสนใจอีก
มาอัพอีกเรื่อยๆนะ จะคอยติดตาม :กอด1:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
ติดตามค่ะชอบอ่านนิยายจีนที่มีกลิ่นอายของจีนแบบนี้

ออฟไลน์ tempo_oil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
เข้ามาปักไว้ก่อน เป็นคนชอบแนวแบบนี้อยู่แล้ว

ช่วงนี้ติดนิยายจีนโบราณมาก พอเห็นก็รีบวิ่งโร่เข้ามาจับจองพื้นที่

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-01-2016 15:26:33 โดย tempo_oil »

ออฟไลน์ runtothemoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เนื้อเรื่องชวนติดตามมากเลย ชอบภาษากับการวางเรื่องมากๆ*-* เอาใจช่วยหนูลี่ฉาง;___; สงสาร ยิ่งฉากที่อ้วกนะโหย มาค่ะมาอยู่กับพี่;______;อยากกินอะไรจะหาให้ฮือ

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

อ่านแล้วเห็นภาพเลย... ชีวิตนายเอกนี่รันทดดีจริงๆ รู้ว่าเขารักแต่ก็ไม่รักเขา พอรู้ตัวว่ารักเขาก็ดันเป็นตอนกำลังจะตายแล้ว เมื่อฟื้นขึ้นมาจากความตายอย่างปาฏิหารย์คิดจะกลับไปหาเขาก็กลายเป็นว่ามาอยู่ในร่างขอทาน ไม่มีบ้าน ไม่มีข้าว หน้าตาอัปลักษณ์ซะอย่างนั้นอีก โชคชะตา(คนเขียน)กลั่นแกล้งจริงๆ  :hao5:

ออฟไลน์ duaenmaysa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0


ตอนที่ ๔ ฝันลางเลือนในเรือนไผ่

ทิวาราตรีผันผ่านไปชั่วพริบตา  หนึ่งต้นไผ่ยืนต้นสง่างามผลิดอกพราวสะพรั่งร่วงโรยและตายจาก หน่อไผ่แทงยอดอ่อนวนเวียนเป็นวัฎจักร ชีวิตคนสูงสุดสู่สามัญผันแปรเฉกนี้ราวกับกงเกวียน  ตัวข้าทอดกายอยู่บนตั่งไม้ไผ่ทอดมองสระโกมุทอย่างสุขสงบยิ่งราวกับว่าสี่วันนั้นเป็นเพียงฝันร้ายตื่นหนึ่ง  จากเหวินฉีลี่ฉางผู้เลิศล้ำกลับกลายเป็นขอทานอัปลักษณ์ตัวหนึ่ง  จากขอทานอัปลักษณ์ตัวหนึ่งกลายเป็นแขกคนสำคัญของจวนสกุลหลี่  เช่นนี้เรียกสูงสุดสู่สามัญหรือมิใช่

 คิดฟุ้งซ่านเช่นนี้จนเผลอหลับไปครู่หนึ่งจมอยู่ในห้วงฝันแสนหวานอันลางเลือน  เมื่อลืมตาขึ้นเผลอแตะใบหน้าตนได้สัมผัสกับความเย็นยะเยียบของหน้ากากและหยาดน้ำตาที่หล่นกลิ้งลงมาหยาดหนึ่งจึงทราบว่าที่แท้ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องจริง  ..ช่วงนี้ข้ามักฝันบ่อยอย่างยิ่ง..ฝันถึงยามอยู่ในหอเหมยและวังหลวง  บางคราละเมอเพ้อพกสะอื้นไห้ระหว่างกำลังนิทราเสียจนผู้อื่นตกใจอยู่หลายครั้งหลายครา

ผู้อื่นนี้มิใช่ใครที่ไหนไกล  คือเจ้าศพอนาจารศพนั้นในตรอกผู้กลับกลายเป็นคุณชายรองแห่งคฤหาสน์สกุลหลี่  ข้าสู้ทนอุตส่าห์เดินตามหาจวนสกุลเขาจนขาแทบหัก  จากยามเช้ามืดจนกระทั่งจันทราลับลาตะวันฉายส่องตรงหัวจึงได้พบ  แท้จริงแล้วจวนสกุลหลี่ค่อนข้างโดดเด่นอย่างยิ่ง  เป็นจวนของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้หนึ่งแต่ลักษณะกลับคล้ายสำนักฝึกวิชาเสียมากกว่า

ข้าเข้าไปรายงานเรื่องคุณชายหลี่กับผู้เฝ้ายามหน้าประตูกว่าจะได้พบปะพูดคุยกับท่านพ่อบ้านก็เสียเวลาไปมากโข  แดดร้อนแรงจนปากแห้งผากวิงเวียนจนแทบจะเป็นลม  ชายชราผู้หนึ่งจึงโผล่หัวออกมา  ดูเหมือนว่าพวกเขาพึ่งจะทราบว่าคุณชายรองหลี่ฮุ่ยหรงมิได้อยู่ในจวน  เมื่อแรกพบปะจึงหน้าตาแตกตื่นอย่างยิ่ง

คราแรกต้องเดินเท้าจากฟากหนึ่งของเมืองมายังอีกฝั่งทำให้ข้าต้องหยุดพักหลายคราหลงทางอยู่หลายครั้ง  แต่คราวนี้เพราะท่านพ่อบ้านชรามิอาจเดินเหินได้ถนัดจึงได้อาศัยใบบุญร่วมรถม้าคันเดียวกัน  ยามอยู่ร่วมรถม้ากับข้าท่านพ่อบ้านสกุลหลี่ถึงกับอาเจียนไปคราหนึ่งรีบเผ่นแน่บออกไปนั่งด้านหน้า  ข้ารู้สึกผิดอย่างยิ่งจึงได้แต่ตอบแทนน้ำใจของพ่อบ้านหลี่ด้วยการเหยียดตัวนอนบนเบาะรถม้าเสพความนุ่มนวลของเบาะอย่างเต็มคราบ  สุขสันต์เสียจนแทบเคลิ้มหลับดีที่ท่านพ่อบ้านชะโงกหน้าร้องเตือนเข้ามาให้ข้าบอกทาง  ตัวข้าถึงได้สะดุ้งขึ้นมาจากภวังค์อันแสนสุข



โดยแท้จริงแล้วการจะหาตรอกแห่งนั้นไม่นับว่ายากเท่าใดนัก  แต่เพราะข้าค่อนข้างสับสนงุนงงเรื่องถนนหนทางอยู่บ้างเล็กน้อยกว่าจะพบตรอกแห่งนั้นก็เนิ่นนานเอาการอยู่  ทันทีที่พบข้ารีบถลันลงมาดูอาการเจ้าดำ  มันนั่งอย่างสงบนิ่งอย่างยิ่งเฝ้าอยู่เคียงข้างคุณชายรองผู้นั้นไม่ขยับแม้แต่น้อยราวกับรูปปั้นสุนัขตัวหนึ่ง  เมื่อพบข้ามันกระดิกหางริกๆวิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทางดีใจ

 หนึ่งคนหนึ่งสุนัขโผเข้าหากันคล้ายกับว่ามิพบหน้ากันนาน  ขาดเจ้าดำไปข้ารู้สึกชีวิตค่อนข้างลำบากขึ้นโขอยู่  อย่างน้อยมันก็ดูคล้ายว่ารู้เส้นทางทะลุปรุโปร่งยิ่งนัก  เพียงแต่จะให้มันนำทางไปจวนสกุลหลี่นั้นออกจะตรากตรำสังขารของสุนัขตัวน้อยนี้อยู่มาก ข้าตรวจดูแผลเจ้าดำที่มีเศษเสื้อพันอยู่พบว่ามีเลือดซึมเพียงเล็กน้อยจึงค่อยวางใจขึ้น

ทางด้านท่านพ่อบ้านผู้นั้นตรงไปหาคุณชายรองของเขาอย่างเร็วรี่  ปลุกเท่าไหร่หลี่ฮุ่ยหรงก็มิตื่นขึ้นโดยง่าย ข้าขมวดคิ้วคราหนึ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มิสมเหตุสมผลอยู่บ้างจึงเข้าไปนั่งข้างร่างของบุรุษผู้เกือบเปลือย  พ่อบ้านเขาถอยห่างด้วยท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์แต่ข้าหาใส่ใจไม่คว้าข้อมือชายกึ่งเปลือยขึ้นมาตรวจชีพจรรู้สึกว่าชีพจรเขาปั่นป่วนราวกับทะเลยามมรสุมโหมกระหน่ำ เปิดเปลือกตาขึ้นดูแล้วพบว่าดวงตาเขามีสีม่วงขุ่นจางๆปรากฎ  กลิ่นสุราฉุนจัดชนิดหนึ่งโชยชายจากตัวเขาคาดว่าเป็นสุราม่วงมรกต  ดูท่าคุณชายรองผู้นี้คงโดนพิษเล่นงานเสียแล้วกระมัง

“ท่านพ่อบ้าน ที่แท้คุณชายท่านถูกวางยา” ชายชรามองข้าอย่างประหลาดใจอย่างยิ่ง

“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?” เขานิ่งอยู่เกือบเค่อ ที่แท้กับพ่นคำจำพวกนี้ออกมา? ข้าเหยียดสายตามองเขาคราหนึ่งอย่างตำหนิ หากเป็นดวงตาคมกริบของเหวินฉีลี่ฉางคงทะลุทะลวงอกเขาจนแหว่งว่างไปเสียแล้ว  พ่อบ้านสะอึกไปคราหนึ่งข้านึกขึ้นได้ว่าใช้สายตาเช่นนั้นในร่างอัปลักษณ์นี้คงทำให้เขาขวัญเสียด้วยความหวาดกลัวอยู่มากโขจึงเอ่ยต่อผู้ชราด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นส่วนหนึ่ง

“ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะเป็นขอทาน  แต่ก่อนที่จะตกยากเช่นนี้ข้าก็เป็นชนชั้นบัณฑิตผู้หนึ่งเช่นกัน  วิชาแพทย์ก็ศึกษาจนแตกฉานเช่นนี้พอจะเชื่อได้หรือยังว่าที่ข้าพูดเป็นความจริง” พ่อบ้านเผลอหลุดสีหน้าตกตะลึงอย่างเปิดเผย ปากเขาอ้าหุบๆอยู่หลายครั้งพิศมองแล้วคล้ายหอบกาบตัวหนึ่งอย่างยิ่ง  ข้าถอนหายใจทราบดีว่าอยู่ในสภาพเช่นนี้คงเชื่อได้ยากอยู่

“มิเชื่อข้าก็มิเป็นไรดอก  แต่ชีวิตคุณชายท่านท่านก็ลองตรองดูเอาเถิด” เขากลับมามีสติรีบเรียกคนขับรถม้ามาพยุงคุณชายของเขาขึ้นไป  ข้าจะเข้าช่วยเหลือแต่พวกเขากลับส่งสายตาคล้ายบอกให้ถอยห่าง เอาเถิดเมื่อมีน้ำใจแล้วมิรับก็ช่าง  หลังจากพาคุณชายของเขาเข้าไปด้านในรถม้า พ่อบ้านผู้นั้นมีท่าทีลังเลอยู่มากคล้ายกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง  เขามองหน้าข้านิ่งนานสุดท้ายจึงเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง

“เช่นไรเจ้าก็เป็นผู้มีพระคุณของคุณชาย  อย่างไรก็กลับจวนสกุลหลี่ด้วยกันเสียเถิด” ข้าเก็บอาการปิติยินดียิ่งไว้ในใจ  ขึ้นรถม้าด้วยท่าทีสงบนิ่งให้สมกับที่บอกเขาว่าก่อนหน้าจะมาเป็นขอทานเคยเป็นชนชั้นบัณฑิตมาก่อน  ผู้ชราคล้ายมีเรื่องจะซักถามข้าอยู่หลายประโยคสุดท้ายได้แต่ถอนใจเฮือกหนึ่งและก้มหน้าก้มตาดูแลคุณชายของเขาต่อ



ทันทีที่กลับมาถึงหลี่ฮุ่ยหรงถูกนำตัวไปยังเรือนพักของเขา  ส่วนตัวข้าถูกสั่งให้ชำระร่างกายเสียยกใหญ่  คาดว่าพ่อบ้านหลี่คงมิอาจทนกลิ่นอันรัญจวนที่ตามหลอกหลอนเขามาตลอดทางได้กระมัง  หลังจากชำระร่างกายเกือบชั่วยามหนึ่งคราบไคลทั้งหมายจึงได้มลายหาย  ข้าสวมใส่ชุดผ้าฝ้ายสีน้ำเงินชุดหนึ่งดูเรียบง่ายสง่างามขึ้นมาไม่น้อย
 
เมื่อพิจารณาอย่างถ้วนถี่บนกระจกทองเหลือง  นับว่าร่างกายนี้ค่อนข้างเล็กกว่าร่างกายข้าอยู่มาก  ร่างกายของเหวินฉีลี่ฉางสูงราวเจ็ดฉื่อห้าชุ่น  แต่ดูท่าร่างนี้คงสูงเพียงเจ็ดฉื่อเท่านั้นกระมัง  ผิวดำกระด่างดูดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อยแต่ยังค่อนข้างคล้ำและแตกระแหงหยาบกร้านด้วยความตรากตรำ  เส้นผมเหนียวเหนอะหนะกลับกลายเป็นผมยาวระแผ่นหลังมิได้ดกดำสวยงามราวแพรไหมล้ำค่า  ข้าทอดถอนใจคราหนึ่งมิอาจหักใจมองหน้าตัวเองได้จึงเร่งฝีเท้าเดินตามหญิงรับใช้ไปยังเรือนคุณชายรอง



เรือนคุณชายฮุ่ยหรงผู้นี้เป็นเพียงเรือนขนาดไม่ใหญ่หลังหนึ่งถูกสร้างไว้ในป่าไผ่ติดกับกำแพงด้านหลังบ้านสกุลหลี่   เป็นเรือนที่สมถะ  สันโดษและแปลกแยกอย่างยิ่ง  จวนสกุลหลี่นั้นเป็นจวนที่ตกแต่งอย่างทหาร  ดูเคร่งขรึมดุดันมิเน้นความประณีตสวยงาม..หากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาต้องบอกว่าไร้รสนิยมอย่างยิ่ง แตกต่างจากเรือนไผ่นี้อยู่มาก แม้จะดูเล็กกะทัดรัดแต่แฝงไว้ด้วยความสงบสูงค่าอย่างชนชั้นบัณทิต  ภายในบ้านมีห้องโถงห้องหนึ่ง ห้องหนังสืออีกห้องหนึ่งและห้องนอนสองห้อง  เครื่องเรือนโดยมากล้วนทำขึ้นจากต้นไผ่  ตกแต่งภายในเรือนด้วยภาพวาดพู่กันทิวทัศน์อันงดงามและกลอนที่ถูกรจนาขึ้นอย่างไพเราะ  เป็นเรือนที่สวยงามเรียบง่ายเช่นนี้เอง

เมื่อข้าไปถึงคุณชายหลี่ยังไม่ได้สติ  พ่อบ้านดูร้อนใจอยู่มากปรึกษาบางอย่างกับท่านหมออยู่กลายคำสุดท้ายทั้งสองก็ทำหน้าดำคร่ำเครียดตรงรี่มาหาข้า

“ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าคุณชายของเราโดนวางยาพิษหรือมิใช่” มาถึงก็เข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง

“ถูกแล้วท่านพ่อบ้าน  ข้าเห็นคุณชายหลี่มีชีพจรปั่นป่วน ดวงตามีจุดม่วง มีกลิ่นสุราม่วงมรกตจากลมหายใจ เบื้องต้นสันนิษฐานได้ว่าโดนพิษ” ท่านหมอชราที่อยู่ด้านข้างพยักหน้าคราหนึ่งลูบเคราคล้ายเห็นด้วย

“ตัวข้าผู้ชราก็วินิจฉัยเช่นนี้  เมื่อตรวจอย่างละเอียดที่ปลายลิ้นเขาด้านชาและสีซีดคล้ำลง ดวงตาเหม่อลอย  ชีพจรบางคราสับสน บางครากลับลอยมิพบราก  กลิ่นสุราชนิดหนึ่งยังติดอยู่ที่ปลายลมหายใจ  ข้าค่อนข้างแน่ใจว่าดื่มสุราม่วงมรกตประสมกับปีกจั๊กจั่นเข้าไป” ข้าพยักหน้าพิจารณาตามคำพูดของท่านหมอ

 

สุราม่วงมรกตนี้เป็นสุราที่กลั่นจากข้าวสีม่วงจากหยุนหนานหมักกับน้ำพุบ่อมรกตของหมู่บ้านเมฆคล้อยนานสิบปี  กรรมวิธีมิได้ดูแปลกพิสดารจากสุราทั่วไปเท่าใดนัก เพียงแต่สุราม่วงมรกตรสชาติรุนแรงอย่างยิ่ง กลิ่นค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์  หากผู้ไม่ประสงค์ดีผสมปีกจั๊กจั่นป่นละเอียดเข้ากับเหล้าม่วงมรกตนี้จะเกิดพิษชนิดใหม่ชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ผู้ดื่มรู้สึกมึนเมาอย่างหนัก  อ่อนเปลี้ยเพลียแรง  ลมปราณประเดี๋ยวพลุ่งพล่านประเดี๋ยวอ่อนจาง  เกิดจุดม่วงจางที่ดวงตาขาว

“เช่นนั้นคงมิน่าห่วง  พิษชนิดนี้ไม่อันตราย เพียงแต่ทำให้มึนเมาสลบไสลไปเป็นเวลานาน  ใช้เปลือกส้มกิกเผาคั้นน้ำออกมาผสมกับน้ำหนิงเหมิงแลขิงให้เขาดื่มทุกหนึ่งเค่อ ครบสี่ครั้งจึงเปลี่ยนเป็นดื่มน้ำโสมร้อนทุกหนึ่งเค่อ อีกสี่ครั้ง  อย่างเร็วครึ่งชั่วยาม อย่างช้าหนึ่งชั่วยามเขาย่อมฟื้นอย่างแน่นอน”

“ที่ผู้เยาว์ท่านนี้กล่าวล้วนถูกต้องเพียงแต่ข้าเองก็ใช้วิธีแก้เช่นนั้น  ผ่านมาหนึ่งชั่วยามสองเค่อ คุณชายก็ยังมิฟื้น...” ข้าขมวดคิ้วหรือว่าร่างกายคุณชายหลี่มีอะไรผิดแปลกไป  คนที่แข็งแรงหน่อยดื่มยาเข้าไปเค่อแรกก็ลุกขึ้นมาได้แล้ว  บางรายอาจต้องดื่มน้ำโสมให้ร่างกายปรับสมดุลซักพักจึงลุกขึ้นมาได้  แต่นี่เขาออกจะนอนนานเกินไปหน่อยกระมัง  ข้าพิจารณาใบหน้าผู้ชราทั้งสองที่ดูปริวิตกจึงเอ่ยออกไปหนึ่งประโยค

“ผู้เยาว์พอมีวิชาแพทย์ติดตัวอยู่บ้าง มิทราบผู้เยาว์ขอลองวินิจฉัยอาการคุณชายหลี่ได้หรือไม่” ท่านหมอรีบเชื้อเชิญ ท่านพ่อบ้านผายมือส่งให้ข้าเข้าไปด้านในเตียงไผ่อันเรียบง่ายของคุณชายรองผู้นั้นอย่างเต็มอกเต็มใจ  ร่างกายน้องชายแม่ทัพใหญ่มีค่าราวกับหยก  หากวินิจฉัยผิดชีวิตน้อยๆของท่านหมอแลพ่อบ้านหนึ่งคนก็มิพอชดใช้ ท่านหมอผู้นี้ข้าคุ้นหน้าอย่างยิ่ง  จำมิผิดคงเป็นท่านหมอโจวผู้โด่งดังมักรักษาแต่ตระกูลขุนนางกระมัง   

 ข้าหย่อนร่างลงข้างเตียงจับชีพจรชายหนุ่มผู้นี้คราหนึ่งพบว่าชีพจรเขายังคงพลุ่งพล่านสับสนเช่นเดิม  ตรวจดูนัยน์ตาของเขาเหม่อลอยเคลิ้มฝันมีจุดม่วงจางยังตาขาว   นี่มันออกจะผิดปกติอยู่บ้าง  เมื่อมีจุดม่วงที่ดวงตามิได้ดูเข้มขึ้นแต่กลับขยายจนครอบคลุมเกือบทั่วตาขาว ปลายเล็บกลับมีสีม่วงแจ่มชัดขึ้นนี่นับว่าแปลกอย่างมาก  ข้ามุ่นคิ้วคราหนึ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นสุราที่อวลอายจากร่างเขา  ครุ่นคิดมิตกว่าทำไมถึงป่านนี้เขายังไม่ตื่น  ซ้ำร้ายอาการยังดูทรุดลงเสียอย่างนั้น  ลิ้นของเขาค่อนข้างชาด้านก็จริงแต่กลับเป็นสีขาวซีดแทนที่จักเป็นม่วงคล้ำ นับว่าผิดแปลกเป็นประการที่สอง  ปลดเสื้อผ้าเขาตรวจดูร่างกาย กดลงไปคราหนึ่งมิมีรอยม่วงจางปรากฏ นับว่าผิดแปลกเป็นประการที่สาม  ตรวจดูลมหายใจของเขาค่อนข้างเบาบางแทนที่จะอุ่นร้อน  แม้จะหลับแต่สีหน้าเขาดูทุกข์ทรมานยามหายใจเข้าออก นับว่าผิดแปลกเป็นประการที่สี่

พลันหัวใจข้ากระตุกวาบ เมื่อคิดถึงพิษชนิดหนึ่งก็รู้สึกเย็นยะเยียบ  แม้ร่างกายเขาจะมีกลิ่นสุราฉุนจัดแต่หากพิษนี้มิใช่มาจากสุราม่วงมรกตแลปีกจั๊กจั่นเล่า  ข้าเร่งจรดปลายจมูกลงใกล้กับใบหูเขา ทั่วใบหน้าแลเส้นผมของเขา  คล้ายได้กลิ่นอะไรบางอย่างที่ไม่ควรปรากฏลอยเข้าจมูกพลันลืมตาขึ้นด้วยความตระหนกถลันตัวไปยังหน้าต่างสูดอายอากาศบริสุทธิ์ทรุดตัวลงข้างหน้าต่าง  อากาศปวดหัวราวกับโดนทุบทำให้มึนงงสับสนรุนแรงจนแทบอาเจียน

“ที่แท้ท่านทราบหรือไม่คุณชายข้าเป็นอะไรกันแน่”

“ผู้เยาว์วินิจฉัยได้แล้วหรือไม่” สองผู้ชราประสานเสียง  ข้าพยักหน้าตอบเขาพยายามชะโงกหน้าออกไปหายใจภายนอก ลบล้างกลิ่นที่ติดตรึงออก

“เขาโดนพิษจริง แต่พิษนั้นกลับมิได้มาจากสุราม่วงมรกตและปีกจักจั่น ที่แท้หลังจากข้าตรวจแล้วพบความผิดปกติบางอย่างจึงทราบว่าคุณชายท่านได้รับยาพิษมิใช่จากการดื่มกินสิ่งใด  แต่เป็นเพราะการดมกลิ่นต่างหาก” ข้าแตะเบาๆที่จมูกบนเอง  กลิ่นอันฉุนจัดและขมฝาดยังติดอยู่ที่ปลายจมูก

“ด..ดมกลิ่น?” ข้าพยักหน้าคราหนึ่งสะบัดหัวแรงๆให้พ้นจากความมึนงงที่เกาะกุม

“จากกลิ่นที่ยังติดตัวเขาอยู่ค่อนข้างบางเบา แต่ข้าคาดว่าเขาคงโดนควันพิษของกำยานร้อยปีศาจเข้ากระมัง  กำยานร้อยปีศาจนี้ทำจากเกสรดอกไม้ร้อยชนิดแช่กับน้ำแช่ศพหนึ่งร้อยวัน  นอกจากนั้นยังมีส่วนผสมของไม้กฤษณาดำและไม้หอมอื่นอีกมากมาย  กรรมวิธีค่อนข้างคล้ายการทำกำยานหอมอื่นแต่ส่วนผสมล้วนแล้วแต่หายากยิ่ง กำยานร้อยปีศาจนี้นับเป็นสิ่งต้องห้ามสูญหายไปจากแผ่นดินหลายสิบปีแล้ว

ผู้ใดเผลอสูดดมเข้าไปจะรู้สึกล่องลอยเพ้อฝันคล้ายโดนหลอนวิญญาณ  ชีพจรสับสนอลหม่าน จากกระฉับกระเฉงเปลี่ยนเป็นหลับใหล  บางทีอาจจะหลับใหลนานกว่าหนึ่งวันนับเป็นเรื่องปกติ  มิมีความต้องการทั้งอาหารแลน้ำดื่ม ลิ้นกลับกลายเป็นดั่งศิลา  มิรู้สึกเจ็บปวดร่างกาย หากสูดดมมากๆเข้าจักมิสามารถขาดมันได้  ร่างกายจะซูบเซียวลงเหลือหนังหุ้มกระดูก  ตาขาวล้วนแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงจัด  ริมฝีปากกลายเป็นสีเขียวคล้ำ  ลักษณะนิสัยเปลี่ยนผันราวพลิกฟ้าเปลี่ยนดิน  อยู่กับความฝันมิตอบสนองความจริง  มิยินดียินร้ายต่อทุกสิ่งบนโลก สุดท้ายก็ตกตายลงอย่างน่าอนาถ

 แต่ดูท่าคุณชายท่านคงไม่โชคร้ายถึงเพียงนั้นกระมัง  ลักษณะอาการเช่นนี้คงดมกลิ่นกำยานร้อยปีศาจไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  แต่ถึงจะเล็กน้อยก็นับว่าอันตราย  ท่านต้องให้สาวใช้ทำความสะอาดร่างกายเขาให้หมดจดจนแน่ใจว่ามิมีกลิ่นกำยานร้อยปีศาจติดตัวเขาอยู่  เมื่อเสร็จแล้วให้ย้ายที่นอนของเขาในที่ๆอากาศถ่ายเทได้สะดวก  ข้าจะคอยเฝ้าดูอากาศเขาเป็นระยะ  หนึ่งเดือนนี้เขาต้องดื่มสมุนไพรให้ตรงต่อเวลาเพื่อขจัดพิษของกำยานที่ปะปนอยู๋ในเลือดของเขา”

ข้าเอ่ยอย่างรวดรัดตัดความ  ท่านพ่อบ้านสีหน้าตระหนกแตกตื่นสบตากับท่านหมอชราราวกับต้องการให้เขายืนยันคำวินิจฉัย  ท่านหมอผู้นั้นตรงรี่ไปตรวจร่างกายคุณชายหลี่สุดท้ายส่งเสียงอาขึ้นมาคราหนึ่ง  สำทับคำวินิจฉัยของข้าพร้อมยกย่องสรรเสริญข้าอีกหลายครา

“กลิ่นของกำยานร้อยปีศาจมีลักษณะเฉพาะ เบาบางและจางง่ายจึงแยกแยะยากยิ่งนัก  หากไม่เพ่งพิจารณาดีๆคงมิทราบว่าเป็นกำยานร้อยปีศาจ มิคาดว่าผู้เยาว์เช่นเจ้าจะรู้จักพิษชนิดนี้  ตัวข้าผู้ชรายังวินิจฉัยเลอะเลือนสับสนน่าละอายคนรุ่นหลังอย่างยิ่งแล้ว” เอ่ยทีหยอกทีจริงเช่นนี้ข้ามีหรือจะกล้ารับความดีความชอบ

 

กำยานร้อยปีศาจมีกลิ่นลึกลับหาผู้เยาว์จะรู้จักได้ยากยิ่ง  เพียงแต่ท่านเหมยกลับเป็นผู้รู้วิธีปรุงกำยานอย่างละเอียด  ในหอเหมยข้าเคยปรุงมันคราหนึ่ง  เผลอดมกลิ่นมันเข้าไปสลบไสลไปสามวันเมื่อฟื้นตื่นท่านเหมยนั่งอยู่ตรงหน้าคลี่รอยยิ้มเยือกเย็น  เขามิบอกวิธีแก้ให้แก่ข้าเพียงแต่ให้ข้าดิ้นรนหาทางรอดเอาเอง  ข้าตาพร่าพรายต่อสู้กับฤทธิ์กำยานแทบจะพลิกตำราทั้งหอเหมยหาวิธีแก้  ใช้เวลาเกือบสองสัปดาห์กว่าจะผ่านพ้นวิกฤตินี้มาได้  เป็นความทรงจำหนึ่งที่ฝังใจอยู่มิรู้ลืม

“ที่แท้ต้องยกความดีให้แก่อาจารย์ของข้า  เพราะเขาสั่งสอนข้าได้ดีอย่างยิ่ง จึงรู้ฤทธิ์ของกำยานร้อยปีศาจอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนแก่ใจ”  ท่านหมอซักไซ้ไต่ถามข้าอยู่ครู่ใหญ่ใคร่จะรู้นามของอาจารย์  สุดท้ายเมื่อข้ายืนยันมิบอกเขาด้วยรอยยิ้มนิ่งสงบจึงต้องเป็นฝ่ายล่าถอยไปเอง

ข้าพิศมองร่างคุณชายหลี่ฮุ่ยหรงที่สลบไสลอย่างสงสัย  ใยเขาจึงต้องฤทธิ์กำยานแลไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ ที่แท้เกิดอะไรในตรอกนั้นกันแน่
 



“คิดอันใดอยู่หรือน้องเมิ่ง” ข้าละสายตาจากคลื่นน้ำที่พลิ้วระลอก  เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอใจลอยไปไกลแล้วอีกคราหนึ่ง  คลี่ยิ้มให้เจ้าของร่างสูงสง่าผู้นั้นจางๆ  เจ้าดำที่ติดตามหลี่ฮุ่ยหรงไปยังเรือนใหญ่กระโจนมาหาข้าด้วยท่าทีระริกระรี้ยิ่งนัก  ขนของมันยาวขึ้นมาก  ร่องรอยขี้เรื้อนหายไปกลายเป็นสุนัขตัวอวบอ้วนตัวหนึ่ง

จะว่าไปแล้วก็แปลกนัก  เมื่อขนมันขึ้นยาวข้าถึงได้สังเกตว่าที่แท้เจ้าดำเป็นสุนัขพันธุ์จ้างอ้าว  สุนัขพันธุ์นี้หายากยิ่งในเมืองหลวง  ราคาแพงลิบลิ่ว  ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีนิสัยดุร้ายอย่างยิ่ง  ใยจึงกลายเป็นหมาขี้เรื้อนนิสัยชมชอบออดอ้อนประจบประแจงตัวหนึ่งไปก็มิทราบ  คล้ายจะทราบว่าถูกนินทาในใจ  เจ้าดำวางหัวของบนตักข้า  หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูส่งเสียงร้องงี้ดๆ ลักษณะเช่นนี้ต่างจากในตำราที่เคยศึกษาอย่างสิ้นเชิง

“เจ้าดำมันคงชอบน้องเมิ่งอย่างมาก ถ้าเป็นผู้อื่นมันจะหยิ่งยโสอย่างยิ่ง” จะอย่างไรก็ยากจะคุ้นชินกับชื่อใหม่  ชื่อจิ่วเมิ่งนี่คิดกะทันหัน ตัวจิ่วที่หมายถึงโชคชะตา  ตัวเมิ่งคือความฝัน สองตัวอักษรที่ล้วนเปี่ยมไปด้วยความหมาย  ข้าถอนใจคราหนึ่งกำซาบกลิ่นอ่อนหวานที่ลอยละล่องมาจากสระบัวตรงหน้า

“มันและข้าล้วนเคยผ่านความยากลำบากมาด้วยกันกระมัง  ความสัมพันธ์จึงแน่นแฟ้นอย่างยิ่ง” ข้าลูบเส้นขนเจ้าดำตั้งที่หัวกลมป้อมของมันจรดปลายหาง  สุนัขน้อยทำหน้าเคลิ้มฝันดูน่าขบขัน 

เมื่อคิดดูแล้วมาอยู่บ้านสกุลหลี่ได้สิบห้าวัน  ตัวข้าอยู่ติดกับหลี่ฮุ่ยหรงแทบทุกชั่วยาม  เขาต้องดื่มยาตรงเวลาทุกๆสองชั่วยามเพื่อขจัดพิษที่ปะปนอยู่ในกระแสโลหิต  เมื่อแรกพ่อบ้านหลี่อยากในเขาไปรักษาตัวที่เรือนใหญ่  แต่หลี่ฮุ่ยหรงแม้ดูสุขุมอ่อนโยนที่แท้ภายในกลับเป็นเด็กหัวรั้นคนหนึ่ง  ลำบากพ่อบ้านหลี่ต้องสร้างเรือนสมุนไพรขึ้นมาข้างๆเรือนไผ่

เรือนสมุนไพรที่สร้างจากไม้ไผ่เสร็จสิ้นภายในสองวัน  นี่เรียกว่าอำนาจเงินบันดาลโดยแท้  ภายในเรือนมีตู้เก็บสมุนไพรตู้ใหญ่   เตาไฟสองเตา  และตั่งไม้ไผ่อีกตัว  มีสาวใช้ผู้หนึ่งคอยดูแลเรื่องการต้มยา สับเปลี่ยนเวียนกันทุกสามชั่วยาม  เรือนสมุนไพรเป็นสถานที่ที่เรียบง่ายอย่างยิ่ง  กระนั้นก็เป็นเรือนที่ข้าไปขลุกอยู่บ่อยที่สุด  ตกกลางคืนจึงกลับไปพักผ่อนที่เรือนไผ่

“ตอนแรกข้านึกว่าท่านจะอยู่ทานข้าวเย็นกับฮูหยินแม่ทัพหลี่  มิคิดว่าจะกลับมาเรือนไผ่”

“ข้ากลัวเจ้าเหงา” มือที่ลูบเส้นขนเจ้าดำหยุดชะงักลง

 

ข้าทอดสายตามองสระบัวขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กบ่อหนึ่ง  ผิวน้ำเต้นระริกส่องสะท้อนแสงระพี  บุษบงส่งกลิ่นหอมเย็นสายหนึ่งชวนให้ผ่อนคลาย  เสียงเม็ดหมากกระทบกระดานไม้ช่างน่าฟังอย่างยิ่ง  ชาหลงจิ่งแรกใบไม้ผลิกลิ่นหอมอ่อนหวาน เขาอยู่ตรงหน้าข้า กำลังครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอดจากกระดานหมากนี้   ข้าชายตามองเด็กน้อยที่ยืนสงบกันอยู่นอกศาลาคราหนึ่ง  เด็กที่สนิทสนมกับข้าที่สุดเดินเข้ามาใกล้  ข้ายกชายเสื้อขึ้นกระซิบกระซาบ  เขาพยักหน้ารับรู้อย่างสงบเสงี่ยมยิ่งนัก เมื่อฟังจบแล้วจึงถ่ายทอดวาจา

“ทูลฝ่าบาท  คุณชายลี่ฉางประสงค์จะไต่ถามว่าทำไมพระองค์ไม่เข้าร่วมประชุมเสนาบดียามบ่ายพะย่ะค่ะ” เขาเงยหน้าจากกระดานหมาก  จ้องตรงมายังข้าด้วยรอยยิ้มละไมสายหนึ่ง  ดวงตาเขาดูกลิ้งกลอกกรุ้มกริ่มน่าชังยิ่งนัก  ข้าเม้มปากเชิดหน้านิ่งขึ้นหรี่สายตามองโกมุทหลากสีที่ชูช่อประชันกลางสระบัว

“ข้ากลัวเจ้าเหงา” น้ำเสียงเขาผ่อนคลายนุ่มนวลราวกับแมลงภู่ภมรตัวหนึ่งบินร่อนลงกลีบอ่อนของนิโลบล อยู่ๆก็รู้สึกว่าอากาศวันนี้ร้อนอย่างยิ่ง  คลี่พัดหยกออกมาพัดสองสามทีจึงหยุดลง  ทำเป็นมองไม่เห็นรอยยิ้มของเขาเสียเท่านี้ก็คงไม่ร้อนแล้วกระมัง

 

“เมิ่ง..น้องจิ่วเมิ่ง" ข้าสะดุ้งคราหนึ่ง หลี่ฮุ่ยหรงนั่งลงข้างๆข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ  ดวงตาเขาดูกังวลและแฝงแววห่วงใยอย่างยิ่งเมื่อเห็นข้าหลุดลอยเข้าภวังค์ไปอีกแล้ว  "หากเจ้ามีเรื่องอันใดคับข้องใจโปรดบอกข้า  ให้ข้าได้ตอบแทนบุญคุณของเจ้าเถิด”

..หากเอ่ยไปจริงๆก็ยากจะเชื่อ  สู้เก็บไว้เอ่ยเมื่อถึงเวลาอันสมควรย่อมดีกว่า..

“ข้าไม่เป็นไร  ว่าแต่ท่านเถิดใยเรือนใหญ่จึงเรียกตัวคนป่วยของข้าไป  ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่”  ฮุ่ยหรงยิ้มอย่างเบิกบานอย่างยิ่งเมื่อข้าเอ่ยถึงเรื่องธุระในเรือนใหญ่วันนี้

“น้องเมิ่ง  ตอนนี้พี่ใหญ่ข้าใกล้ถึงเมืองหลวงเต็มทีแล้ว  วันพรุ่งนี้ขบวนเสด็จของฝ่าบาทจะถึงเมืองหลวง  พี่สะใภ้ข้าตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง ดูท่าพรุ่งนี้บ้านเราคงวุ่นกับงานเลี้ยงต้อนรับพี่ใหญ่ทั้งวันเลยกระมัง”

ข้านิ่งไปครู่ใหญ่  จิตใจวุ่นวายสับสนความรู้สึกต่างๆ ความปิติยินดีระคนความคิดถึง  ความโศกเศร้าเคล้ากับความคะนึงหา  อารมณ์เหล่านี้ล้วนพลุ่งพล่านขึ้นมาหยุดที่นัยย์ตาบังเกิดน้ำตาหยดหนึ่งร่วงรินลงมาราวไข่มุกเม็ดงาม  แม้จะพยายามมินึกถึงเขามิคาดเมื่อได้ยินชื่อเขากลับรู้สึกปวดใจอย่างยิ่ง  ซากเศษความทรงจำแห่งอดีตหวนคืนมาทีละนิดร้อยเรียงเป็นเส้นใยที่โอบอุ่นร้อยรัดอยู่ทั่วร่างกาย  หยดน้ำตาหยดหนึ่งเป็นดั่งตัวแทนของความฝันอันลางเลือน

“น้องเมิ่ง เจ้า..ร้องไห้?” ข้าเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้นายน้อยสกุลหลี่ผู้จับจ้องมองมาทุกกิริยาอาการของข้า  แสร้งทำราวกับว่าน้ำตาเมื่อครู่เป็นเพียงม่านหมอกอันเลือนราง  เขาทำท่าทีคล้ายอยากเอ่ยถามว่าใยข้าจึงร่ำไห้  แต่ก็หักใจเงียบลงอย่างรู้มรรยาท

“ข้าเพียงแต่ยินดีมากไปหน่อยกระมัง” ข้าลูบหัวเจ้าดำอย่างเหม่อลอย  มันวางหัวที่ตักข้าอย่างแผ่วเบา น้ำตาอีกหนึ่งหยดร่วงรินลงกระทบเส้นจนสีรัตติกาลและซึมหายไปราวมิเคยปรากฎ 


..ไป่ถามท่านซักครา  คิดถึงข้าบ้างหรือไม่ 

..ไป่ถามท่านซักครา  เคยหวนหาข้าบ้างหรือไม่


..ตัวข้าคิดถึงข้าอย่างยิ่ง  หวนหารอยยิ้มของท่าน  คนึงถึงอ้อมกอดของท่าน

..แต่ข้ากลับหวาดกลัวนักจิ่นสือ  ทั้งรักแลหวั่นกลัว  อยากพบพานแลอยากถอยห่าง

..จู่ๆความอ่อนแอเช่นนี้ก็บังเกิดขึ้นมาเสียเฉยๆ  กลัวยิ่งนักว่ามิอาจหวนคืนอยู่เคียงข้างท่านเช่นวันวาน..





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2016 19:02:15 โดย duaenmaysa »

ออฟไลน์ duaenmaysa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ตอนที่ ๕  หวนคืนสู่ความจริง


กลางวสันต์ผ่านผันไม่นานจะถึงเทศกาลชิงหมิง  สายลมพัดอ่อนบรรยากาศรื่นรมย์พากลิ่นอันสงบสูงค่าราวปัญญาชนผู้ผ่านผันวันวานมาเนิ่นนานจากป่าไผ่สู่ห้องนอนอันเรียบง่าย  ข้าไล้มือดำกระด้างตามชุดสีน้ำเงินแลเขียวบนเตียงอย่างพิจารณา  ทั้งสองชุดนี้นับว่าเป็นอาภรณ์ที่ไม่เลวเลยหากเทียบกับผ้าขี้ริ้วห่อตัวอันสกปรกโสมม  แต่มิอาจเทียบกับผ้าไหมอันเลิศหรูจากซูโจว   ผ้าไหมเบาบางในยามวสันต์ปักลวดลายห่ายถังแลเบญจมาศผลิบานสวยงามสมจริงอย่างยิ่ง  ข้าพลันคิดถึงรอยจูบของเขาที่แต้มแตะบนอาภรณ์อย่างอ่อนหวาน  อ้อมกอดอบอุ่นบนเตียงกว้างของเขายามที่ผ้าไหมล้ำค่าเลื่อนหลุดจากกาย  เรื่องราวเหล่านั้นเป็นดั่งความฝันอันแจ่มชัดอย่างยิ่งในความทรงจำ

ข้าหลับตาลงครู่หนึ่งเมื่อรู้สึกว่าหัวใจสั่นไหวราวกับลมวสันต์อ่อนละมุนได้แปรเปลี่ยนเป็นวาตโหมซัดอยู่ในอก  ภาพนัยน์ตาคมกริบที่พิศมองด้วยความกรุ้มกริ่มตราตรึงอยู่ในความทรงจำทำให้อึดอัดจนหายใจมิใคร่สะดวก  เหลือบมองกระจกทองเหลืองคราหนึ่งจึงได้ตระหนักรู้ว่าร่างกายเช่นนี้ต่อให้สวมผ้าทอด้วยทองคำก็คงมิได้ดูดีขึ้นดอกกระมัง  จึงคว้าชุดน้ำเงินเรียบง่ายมาผลัดเปลี่ยน

เส้นผมสีดำสนิทที่แตกแห้งถูกรวบมัดสูงมิให้มาระอยู่ริมหน้ากากเงิน   หน้ากากที่เรียบง่ายเช่นนี้ฮุ่ยหรงเป็นผู้มอบให้ แท้จริงต้องบอกว่าชีวิตอันสุขสงบราวฝันเลือนรางนี้เขาก็เป็นผู้หยิบยื่นให้เช่นกัน  เมื่อผูกแพรน้ำเงินรัดผมเรียบร้อยแล้วจึงชายตามองเงาของชายสวมหน้ากากในกระจกอีกครา....วันนี้สมควรจะตื่นจากฝันอันสงบสุขได้เสียที

เจ้าดำที่วิ่งไล่ผีเสื้ออยู่ยังลานดินหน้าเรือนวิ่งมาหาข้าอย่างกระตือรือร้น  สุนัขน้อยคล้ายกำลังส่งรอยยิ้มอันประจบประแจงสายหนึ่ง  ข้าคลี่ยิ้มตอบบางเบาลูบหัวมันอย่างเอ็นดู  สุรีย์สาดแสงจ้าเช่นนี้คงเป็นยามอู่แล้วกระมัง..เขาใกล้มาถึงเมืองหลวงแล้ว  ในใจข้ายิ่งสั่นไหว

หลี่ฮุ่ยหรงนั่งรออยู่ที่ห้องโถงอันโอ่อ่าที่ถูกตกแต่งอย่างทหาร  กลิ่นอายของเขาดูแปลกแยกจากความแข็งกร้าวห้าวหาญยิ่งนักเป็นรัศมีแห่งความสุขุมน่าเลื่อมใส  เขาคลี่ยิ้มให้ข้าคราหนึ่งเป็นดั่งยิ้มยามแรกอรุณอบอุ่นสว่างไสวขับไล่ความเหน็บหนาว

“ขบวนเสด็จล่วงเข้าสู่ประตูนครหลวงแล้ว  ข้าให้บ่าวไปจองที่ยังเหลาร้อยเหรียญทอง  ไปถึงคงประจวบเหมาะพอดีกระมัง” ข้าคลี่ยิ้มจางๆตอบเขาอย่างซาบซึ้ง  เพียงแค่เอ่ยปากว่าอยากชมขบวนเสด็จอย่างใกล้ชิดเขาก็เร่งรีบจัดหาที่นั่งยังเหลาอาหารซึ่งชิดติดกับถนนเมฆมังกรที่สุดมาให้  การได้มิตรสหายอย่างคุณชายหลี่ผู้นี้นับว่าประเสริฐอย่างยิ่ง



ยามอู่เช่นนี้ในเหลาร้อยเหรียญทองพลุกพล่านยิ่งนัก  ข้าเดินตามแผ่นหลังสง่างามของฮุ่ยหรงไปยังชั้นสอง  ห้องอันงดงามกว้างขวางแลอาหารหลากชนิดปรากฏแก่สายตาแต่ใจข้ามิใยดีพวกมันแม้แต่น้อย  ผู้คนเริ่มตั้งแถวเรียงรายเมื่อได้ยินว่าขบวนเสด็จเข้าสู่ถนนเมฆมังกรหากจากเหลาไปเพียงไม่กี่หลี่  ใจข้าสั่นไหวแลเต้นระรัว  มือมิอาจประคองถ้วยชาได้ต่อไปอีกแล้ว  ความอึดอัดในอกเช่นนี้ประดังเสียจนต้องขยุ้มอกด้านซ้ายคราหนึ่ง  หลับตาลงสูดหายใจเพื่อเรียกสติ

“น้องเมิ่ง  เจ้าไม่สบายหรือ?” ข้าส่ายหน้าลูบขนเจ้าดำที่มานอนพาดที่ตักอย่างรู้ความ  มืออันเย็นเฉียบทำให้สุนัขน้อยสะดุ้งคราหนึ่ง

“ข..ข้าสบายดี” เจ้าตอบไปเช่นนั้นมิใยเสียงเจ้าถึงสั่นเทานักเล่าเหวินฉีลี่ฉาง  คนเช่นเจ้าเคยกลัวสิ่งใดด้วยหรือ  ..ข้าสูดลมหายใจอีกครา เลื่อนมือขึ้นแตะเบาๆที่หน้ากากสัมผัสถึงโลหะอันเย็นเยียบยอมรับกับตนเอง....ใช่....ข้ากำลังหวาดกลัว  หากเขาพบหน้าข้าจะชังข้าหรือไม่หนอ  จะเชื่อหรือไม่หนอว่าตัวอัปลักษณ์เช่นนี้คือฉางเอ๋อร์ของเขา  คิดถึงตรงนี้ก็พลันใจหายหน้านิ่วขึ้นมาคราหนึ่งด้วยความเจ็บปวดในอก

“น้องเมิ่ง..” ข้าคลี่ยิ้มจางๆให้เขาคราหนึ่งเป็นรอยยิ้มที่สั่นระริก   เสียงฝีเท้าม้าย่ำพื้นหินดังกึกก้องใกล้เข้ามาแล้ว มันสั่นสะท้านไปทั้งไปใจข้า  เสียงผู้คนจอแจอยู่ด้านล่างราวกับฝูงผึ้ง  ข้าขยับตัวขึ้นอยากจะลุกจากโต๊ะอาหารแต่ขากลับแข็งราวกับธาราน้ำแข็งยามเหมันต์

“สีหน้าเจ้าดูไม่ดี  กลับจวนไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่”

“ไม่!” ข้าส่ายหน้าตอบด้วยเสียงมั่นคงยิ่งพยายามยันตัวลุกขึ้นด้วยขาอันสั่นระริก  สะบัดชายเสื้อไปยืนยังริมหน้าต่าง  ร้อยธงแดงพัดปลิวไสวปรากฎแก่สายตา  ทหารองค์รักษ์ใต้หลวกเหล็กสีหน้าเคร่งขรึมเรียงแถวองอาจ  ผู้คนที่แตกตื่นพลุกพล่านเมื่อครู่ถูกทหารกันไว้ให้สงบเสงี่ยมยืนเรียงแถว  ทอดสายตามองหารถม้าสีทองอันโอ่อ่าคันหนึ่งอยู่ไกลลิบสุดตา  ข้ามิอาจหายใจได้อีกแล้ว...ความรู้สึกอันปั่นป่วนมันจุกอยู่ในอก  มือสั่นระริกคว้ากรอบหน้าต่างไว้แน่นทอดสายตามองยังม่านทองที่กั้นยังหน้าต่างรถม้าเอาไว้  พลันหนึ่งความทรงจำแสนหวานก็สาดซัดมาราวระรอกคลื่นน้ำขมขื่นสายหนึ่ง



“ฉางเอ๋อร์ เสี่ยวเอี้ยนจื่อบอกว่าเจ้าอยากไปชมทะเลสาปซีหูหรือ” ข้าในตอนนั้นนอนแนบอยู่บนอกกว้างแกร่ง  ทอดกายเปลือยเปล่าแอบอิงเขาด้วยท่าทีไม่สำรวมยิ่งนัก  มือหนาหยาบกระด้างม้วนเส้นผมข้าเล่นอย่างทะนุถนอม  ความอ่อนหวานละมุนเมื่อครู่ยังล่องลอยอวลอ่อนในอากาศ

“เช่นนั้นเราไปพักผ่อนที่นั่นหลังเทศกาลโคมดีหรือไม่  ไปซักหลายๆวันหน่อย ข้าเองอยากตรวจดูที่นาของราษฎรแถบหังโจวเช่นกัน” ข้าพยักหน้าแทนเขาตอบแก่เขาด้วยความกระตือรือร้น เขาแย้มสรวลน้อยๆคราหนึ่งจุมพิตข้างขมับอย่างอ่อนโยน ในตอนนั้นคิดเพียงแต่อยากบินหนีจากอ้อมกอดเขา  อยากพบเจอท่านเหมยซักคราก่อนที่ชีวิตน้อยๆจะสูญสิ้น...เพียงแต่ตอนนี้เมื่อคิดถึงความอบอุ่นของท่านก็มิอาจกลั้นน้ำตา  หัวใจข้าราวกับมีเหมยแดงนับพันดอกผลิบานอยู่ในนั้น  อ้อมกอดที่ข้าไม่เคยใยดีวันนี้กลับหวนหา  รอยยิ้มที่นึกชังกลับคิดถึงยิ่งนัก  ความดีของท่านตอนนั้นไม่เคยเห็นเวลานี้กลับประจักษ์แจ้ง 

 

รถม้าของท่านใกล้เข้ามาทุกที  ข้าไม่ทราบจะทำเช่นไรได้แต่ยืนร่ำไห้อยู่ข้างกรอบหน้าต่าง  หัวใจรู้สึกเจ็บปวดจนมิอาจทานทน  ยิ่งทิวธงเคลื่อนมาสู่สายตายิ่งรู้สึกคล้ายอยากจะโผบินไปหา  ตอนนั้นท่านอยู่ในอุ้งมือข้า  ตอนนี้เล่าท่านอยู่สุดสายตามิอาจเอื้อมถึง  ข้าเฝ้ามองรถม้าท่านเคลื่อนผ่าน  มิอาจปล่อยท่านไป....มิอาจปล่อยท่านไปได้

“จิ่นสือ!!!”ท่ามกลางเสียงผู้คนที่คุกเข่าร่ำร้องสรรเสริญเสียงร่ำร้องราวขาดใจนี้ท่านได้ยินหรือไม่  นามท่านเป็นคำต้องห้ามใครเอ่ยออกมาล้วนต้องอาญาประหาร  แต่นามนี้กลับเป็นนามที่ข้ามิสิทธิ์เรียกอย่างมิต้องกลัวฟ้ากลัวฝน  ท่านเคยแย้มสรวลน้อยๆเสมอมิใช่หรือเมื่อข้าเรียกนามจิ่นสืออย่างสนิทสนม  ในตอนนั้นท่านเองก็เรียกข้าว่าฉางเอ๋อร์มิใช่หรือ  ข้าไม่เคยชอบนามฉางเอ๋อร์นี้เลยซักครา  เคยบอกท่านไปกี่หนก้อนหินอย่างท่านเคยจดจำได้บ้างหรือไม่ 

"เจ้าไม่ชอบที่ข้าเรียกฉางเอ๋อร์ก็ไม่เป็นไร  ข้าชอบเจ้าก็เพียงพอแล้ว" แต่ตอนนี้จิ่นสือ..เรียกข้าว่าฉางเอ๋อร์อีกครา  กอดข้าอีกครั้งเถิด  ตอนนี้ข้าชอบนามนี้อย่างยิ่ง...เช่นเดียวกับที่ข้ารักท่านหมดใจแล้ว..  รักท่านถึงเพียงนี้จะให้ท่านหลุดลอยไปจากมือได้เช่นไร....จะให้ปล่อยท่านไปได้เช่นไร!

"จิ่นสือ!! ฉางเอ๋อร์ของท่านอยู่ที่นี่ จิ่นสือข้าคือลี่ฉาง!!!!"

“น้องเมิ่ง!” มือหนึ่งรั้งข้าไว้หลบอยู่ข้างหน้าต่าง สีหน้าตื่นตระหนกท่าทีหวาดกลัวของเขามิได้อยู่ในสายตาข้า  ดวงตาที่พร่าพรายด้วยน้ำตานี้เห็นเพียงท่านเท่านั้นจิ่นสือ  ขบวนม้าคล้ายหยุดชะงัก  ม่านทองคล้ายกำลังสั่นไหว  ผู้คนต่างเงียบกริบมิอาจหาญส่งเสียง  ข้าดิ้นหนีออกจากอ้อมกอดของฮุ่ยหรง  โผไปเกาะที่หน้าต่าง  กรีดร้องชื่อท่านราวกับกำลังจะขาดใจลงตรงนี้แล้ว

“จื่นสืออ!!!!!” ผู้คนเงียบสงัดลงพร้อมกันคราหนึ่ง  คล้ายฟ้าดินเป็นใจ  เสียงของข้าคราวนี้ท่านได้ยินชัดเจนใช่หรือไม่  ม่านทองถูกเปิดออกดวงตากร้าวแกร่งตวัดมองขึ้นมาเบื้องบนข้าจดจำได้แม่นยำอย่างยิ่ง  หยดน้ำตาพร่างพรูลงเบื้องล่างราวกับหยาดพิรุณ  หัวใจของข้าเต้นระรัวราวหลุดออกมาจากอก  หนึ่งดวงตาที่สามารถปลิดหัวใจผู้คนเช่นนี้คงมีเพียงท่านเท่านั้น

ดวงหน้าคมคร้ามแกร่งกระด้างที่ข้าเคยลูบไล้  คิ้วดาบสีเข้มที่ดำให้ใบหน้าดูดุยิ่งนัก  แต่ยามท่านยิ้ม..ยามท่านยิ้ม..หัวใจข้าสั่นไหวกี่คราท่านทราบบ้างหรือไม่  ริมฝีปากท่านข้าก็เคยครอบครอง  ร่างกายท่านทุกตารางนิ้วล้วนแต่เคยแตะต้อง  แผ่นหลังท่านมีรอยแผลกี่สิบรอยข้าจำได้ขึ้นใจ  ยามที่เล็บข้ากรีดรอยข่วนจนเป็นสีแดงก่ำท่านไม่เคยถือสา  มือนั้นของท่านเคยประคองแลรองน้ำตาและหวีผมให้ข้ากี่ครั้งกี่คราท่านจดจำได้หรือไม่  จิ่นสือ...จิ่นสือ..

ราวกับสวรรค์เล่นตลกข้าอยากร่อนถลาลงไปหาท่านทว่ามิอาจก้าวเดิน  เมื่อเห็นมือขาวสะอาดมือหนึ่งโผล่พ้นมานอกม่านทอง  ม่านอีกข้างถูกมืองามคู่นั้นเปิดออกอย่างนุ่มนวล แผ่วเบาถึงเพียงนั้นแต่ราวกับว่ามือคู่นั้นได้ชำแรกควักดวงใจข้าไปทั้งดวงอย่างโหดร้ายทารุณ   หนึ่งดวงตาหงส์อันงดงามล่มฟ้า  หนึ่งใบหน้าล่มแผ่นดินหรือแม้แต่เพียงเส้นผมเส้นหนึ่งมีหรือข้าจะลืมได้ลง  ร่างกายอันงดงามที่ครอบครองมาตลอดสิบเก้าปี  ยามลืมตาตื่นใบหน้าที่พบเห็นคราแรกของวันมาตลอดสิบเก้าปี ...ร่างกายของข้าเหวินฉีลี่ฉาง  ตัวข้า...ร่างกายของข้า...ทำไม....ทำไม....

"อ๊ากกกกกก!!!!"ความเจ็บปวดถึงขั้นนี้ข้ามิอาจทานทนได้  โลหิตอุ่นร้อนไหลรินจากโอษฐ์แลนาสิก  ราวกับได้ยินเสียงเส้นสติอันตึงเครียดขาดสะบั้น  ดวงตาแดงก่ำเพราะเลือดแห่งความคับแค้นที่คั่งขุ่นในอก  ข้าตะปบหน้ากากอันเย็นยะเยียบ... นี่มิใช่เรื่องจริง  ไม่จริง!..มันเรื่องบัดซบอันใดกัน!!  นี่มันเรื่องบัดซบอันใดกัน!!!

"ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง" ใช่แล้ว! ตัวข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง...แต่มัน..มันเป็นผู้ใดทำไมอยู่ในร่างข้า หรือว่า...น..นี่หรือว่าเจ้าของร่างอันอัปลักษณ์นี้  เจ้าคนอัปลักษณ์นี้กลับกลายไปอยู่ในร่างของข้างั้นหรือ  หรือว่าเป็นวิญญาณบัดซบตัวใดมาสิงสู่  นี่มัน...นี่มันอะไรกัน...สวรรค์...สวรรค์ท่านคงสนุกมากใช่หรือไม่!! ชมละครโรงใหญ่เช่นนี้คงสนุกสุขสันต์กันมากใช่หรือไม่!!

“อ๊ากกกกกกกก!!”

“น้องจิ่วเมิ่ง!!” ฮุ่ยหรงรั้งข้าไว้ในอ้อมกอดด้วยแรงทั้งหมดที่เขามี ข้ากรีดร้องราวกับคนเสียสติ  หน้ากากเงินหลุดออกโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ปรากฏ  หนึ่งมือใหญ่ปิดริมฝีปากข้าไว้มิให้ส่งเสียง  ข้ายอมไม่ได้! ยอมไม่ได้!!!  ข้ารวบรวมแรงทั้งหมดกัดลงบนมือเขาจนเลือดหลั่งริน  ฮุ่ยหรงมิยอมปล่อยข้าออกจากอ้อมกอด  ข้าทำได้เพียงกรีดร้องเสียงอู้อี้

เสียงของขบวนเสด็จกำลังห่างออกไป  ข้ามิมีวันปล่อยเขาไป!! ไม่มีวัน!!  อาศัยจังหวะที่เขาอ่อนแรงสะบัดร่างออกจากอ้อมกอดที่แข็งแกร่งราวกับตรวน เจ้าดำวิ่งมาขวางทางแต่ถูกข้าผลักจนติดผนัง   ข้ามิมีเวลาสนใจมันที่ร้องเสียงอู้อี้   เขากำลังจะจากข้าไป!...กำลังจะจากข้าไป!!

 

ข้าวิ่งลงมาจากชั้นบนของเหลาอาหาร  ผู้คนต่างมองข้าราวกับตัวประหลาดตัวหนึ่ง  ท่าทางคงแปลกมากอยู่กระมัง  กระเซอะกระเซิงราวคนวิปลาสผู้หนึ่งทั้งยังร่ำไห้มิยอมหยุดพร่ำเพ้อคำว่า 'ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง'  รถม้าสีทองของเขาอยู่ไกลลิบเสียแล้ว  ร่างกายอันงดงามของข้า  อ้อมกอดอบอุ่นแลหัวใจรักของท่าน...ทุกสิ่งที่เป็นของข้าเลื่อนลอยห่างไกลออกไปทุกที

"จิ่นสือออออ!!" ข้าวิ่งตามทิวธงสีแดงที่ยิ่งห่างไกล  ผู้คนสับสนพลุกพล่านจนมิอาจตามทันท่านได้แต่ก็ยังพยายามดึงดันแทรกตัวผ่านทหารองครักษ์ที่กั้นเป็นรั้วมนุษย์  เมื่อมิอาจฝ่าไปได้จึงเพียงแต่แทรกตัวตามคลื่นฝูงชนมุดลอดหว่างขาทหารองครักษ์ไล่ตามรถม้าท่านไป

“จิ่นสือ!!” ข้ารวบรวมเสียงที่แหบแห้งเพื่อเรียกท่านอีกครา  ตะโกนเสียจนคนทั้งถนนหันมามองผู้ที่มันขวัญกล้าเอ่ยนามเจ้าแผ่นดิน  ทหารองครักษ์ที่กรูเข้ามากันข้าไม่ให้ไปหาท่าน  ข้าโผตามรถม้าหรูหราที่อยู่ไกลสุดตาคันนั้นแม้จะถูกทหารเตะล้มกลิ้งไปกับพื้นคราแล้วคราเล่า  จะปล่อยท่านไปได้อย่างไร..จะปล่อยไปได้อย่างไรกัน

“จิ่นสือ..ได้โปรด...ข้าอยู่นี่...ข้าเหวินฉีลี่ฉาง..เป็นข้าเอง” หนึ่งฝ่าเท้ากดข้าไว้กับถนน  ฝุ่นดินคละคลุ้งเข้าปากแลตาจนสำลักไอรุนแรง  หนึ่งกระบองระดมพาดบนแผ่นหลังร่างกายที่บอบช้ำมีหลายแห่งที่ถูกทุบตีอย่างไม่เบามือ  กระอักเลือดออกมาคราหนึ่ง  แต่ความเจ็บปวดเท่านี้หรือจะสู้ความเจ็บปวดในอกได้  ข้าตะเกียกตะกายจะไปหาท่านที่ลับสายตาหายไป  หวนไห้ดังก้องฟ้ายิ่งกว่าเมิ่งเจียงหนีว์

เสียงหัวเราะเยาะขบขันดังก้องแผ่นดิน  ตลกมากใช่หรือไม่  ตัวข้าเองก็รู้สึกขบขันอย่างยิ่งแต่ว่า...ตัวอัปลักษณ์เช่นข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง  คนงามล่มแผ่นดินคนนั้นคือข้าเอง...คือตัวอัปลักษณ์เช่นข้านี่เอง  ข้าหัวเราะทั้งน้ำตาที่หลั่งรินซบใบหน้าลงกับพื้นถนนอุ่นร้อน  โพรงจมูกแสบไปด้วยหยาดเลือดที่ยังมิหยุดไหล  เฝ้ามองทิวธงที่ไกลห่างออกไปลิบ

  กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าม้าใกล้เข้ามาจึงค่อยมีความหวัง  เพ่งพินิศบุรุษสวมชุดเกราะที่อยู่บนหลังม้าอย่างอ่อนล้า  หยาดโลหิตจากขมับหยดลงสู่ดวงตาจนตาพร่าพราย  เพื่อพบว่าเป็นคนคุ้นหน้าจึงยินดีอย่างยิ่งรีบพาร่างอันยับเยินตะเกียกตะกายไปหา

"ทหาร! จับเจ้าคนร้ายที่ขัดขวางขบวนเสด็จฝ่าบาทไปโบยเดี๋ยวนี้!!" น้ำเสียงอันคุ้นเคยนี้ทำให้ร่ำไห้ทั้งน้ำตา  ท่าทีซื้อบื้อของเขายามอยู่ต่อหน้าข้าเมื่อก่อน  ในตอนนี้กลับขึงขังองอาจได้ถึงเพียงนี้เชียว  ข้าคลี่ยิ้มออกมาคราหนึ่งแม้ไม่อาจนับว่าเป็นรอยยิ้มที่น่าดูชมแต่ก็เป็นรอยยิ้มที่ถูกจุดจากความหวังอันเลือนราง

"ฮ..ฮุ่ยเหอ...ฮุ่ย..เหอ...ข..ข้า..ลี่ฉาง...เหวิน..ฉี..ลี่..ฉาง"

"เพ้ย! ที่แท้เป็นคนวิปลาสนี่เอง  ใบหน้าอัปลักษณ์เช่นนี้ยังกล้าบอกว่าตัวเองเป็นเหวินฉีลี่ฉาง เพ้ย!เพ้ย!เพ้ย!" ข้าสติเลือนลางมิอาจต่อล้อต่อเถียงกับคนซื้อบื้อเช่นเขาได้อีกแล้ว  ทำได้เพียงเงยหน้ามองเขาพึมพำคำหนึ่งอย่างอ่อนล้าทั้งกายใจ

"น..น้อง...สะใภ้...น้อง...สะใภ้" พลันเสียงเคลื่อนไหวอันปุปปับก็ดังขึ้นไม่ไกล  ข้ารวบรวมสติสุดท้ายตะเกียกตะกายไปหาเขาที่อยู่ไม่ไกล  มืออันสั่นเทาจับที่ปลายรองเท้าสีน้ำตาลเปื้อนดินคู่นั้น

"ท..ท่าน..เรียก..ข้า..น..น้อง..สะ..ใภ้" ดวงหน้าตื่นตระหนกอันน่าขบขันของเขาทำให้ข้าคลี่ยิ้มแผ่วจางยิ้มหนึ่ง  สายลมวสันต์หนาวเหน็บยิ่งนักพัดมาคราหนึ่งแสงเทียนเล่มน้อยก็สั่นระริก  ก่อนสติจะเลือนหายข้าเพียงอยากทราบ..เมื่อตื่นอีกครั้ง จะตื่นในอ้อมกอดท่านหรือไม่จิ่นสือ..





ทักทายนักอ่าน

ตอนนี้แต่งยากอยู่แล้วเพราะเป็นพาร์ทอารมณ์ล้วนๆ  นั่งทำอารมณ์บิ้วท์อารมณ์จนจิตตกอยู่สองวันกว่าตอนนี้จะเสร็จสิ้น สำหรับนักอ่านที่ไม่นิยมดราม่า  ขอแสดงความยินดีด้วยฮ้าบ ท่านผ่านพ้นพาร์ทที่ดราม่าที่สุดในองก์แรกกันไปแล้ว  ในตอนถัดๆไปเนื้อเรื่องจะเดินกันอย่างจริงจังเพื่อเข้าสู่องก์สองเสียที  ต่อไปจะมีดราม่ามาแจมพอกรุบกริบๆ  ถ้าเข้าสู่พาร์ทดราม่าแบบฮาร์ดคอร์อีกครั้งจะมาเตือนให้หยิบทิชชู่นะคะทุกท่าน  ช่วงนี้ขอติดเชิงอรรถไว้ก่อนเพราะไม่ค่อยว่างจริงๆ เดี๋ยวจะมาใส่เชิงอรรถเพิ่มเติมให้ทีหลังนะคะ^^



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2016 19:27:29 โดย duaenmaysa »

ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
มาม่าชามใหญ่ยกมาเมื่อไหร่ คงต้องเตรียมซับน้ำตา

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
ฮืออออิ สงสารฉางเอ๋อ
ตกลงใครอยู่ในรถม้ากับจิ่นสือล่ะ!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
งืออออสงสารลี่ฉาง บางทีโชคชะตาก็เล่นตลก

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ถ้าบอกว่าร่างเดิมถูกเผาถูกฝังไปแล้วยังไม่เจ็บเท่านี้อ่ะจริงๆ คือคิดความรู้สึกได้เลยว่าถ้าวันหนึ่งเรามองเห็นใครก็ไม่รู้มาแทนที่เรา อยู่ในที่ของเรา ใช้ชีวิตด้วยใบหน้าและร่างกายของเรา อยู่ข้างๆคนของเราโดยที่ไม่มีใครรู้เลย เป็นเรา เราก็สติแตกนะ

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
สลับวิญญาณกันหรือ? :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
สนุกมากๆเลยค่ะ ติดตามๆ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
สนุกจริง ๆ

เย่อหยิ่งจนไม่ชายตา

เห็นค่าเมื่อหลุดลอยเกินไขว่คว้า

สวรรค์ลงโทษได้โหดร้ายนัก

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :mew5: เฮ้ยยยย เวรกรรม
สลับวิญญาณกันเฉย อย่างนี้ก็เหมือนจิ่นสือกอดคนอื่นอยู่ป่ะ
ถ้าไม่รู้สึกแปลกๆหรือสงสัยอะไรเลยอย่างนี้ก็แปลว่าจิ่นสือชอบเหวินฉีลี่ฉางแค่ที่ภายนอกอะดิ
ยังไงเนี่ย อยากรู้ต่อ :katai4:

ออฟไลน์ เปลว แว๊บแว๊บ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :hao5: โอ้ยยยยย ตื่นเต้นเแทนลี่ฉาง ชอบมากๆค่ะ รออ่านตอนต่อไปอยู่น้า

ออฟไลน์ tempo_oil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
โอ๊ยยยยย สวรรค์

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สนุกมากเลยคะ อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว

ออฟไลน์ duaenmaysa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0


ตอนที่ ๖  ผู้เลิศล้ำหรือจะเป็นดั่งสุกร

ข้าลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมความเลือนรางหันมองรอบกายก็พบว่าไร้ผู้ใดอยู่ในห้อง ความขื่นขมสายหนึ่งแล่นมาจุกอกจนต้องหลับตาลงคราหนึ่งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสาเหตุอันใดทำให้ต้องมานอนป่วยอยู่เช่นนี้  ตลอดหลายวันผันผ่านข้าพอมีสติรู้ตัวบ้างในบางครั้ง  ได้ยินเสียงแพทย์ชราผู้หนึ่ง  พ่อบ้านสกุลหลี่แลฮุ่ยหรงเข้าออกห้องนี้บ่อยยิ่งนัก  กลิ่นสมุนไพรอันคุ้นเคยหลากชนิดอวลอ่อนอยู่ในห้องสีแดงกว้างขวางการตกแต่งเรียบง่ายห้าวหาญอย่างทหาร ห้องนี้คงเป็นห้องใดห้องหนึ่งในจวนสกุลหลี่กระมัง

 เสียงอึกทึกจากภายนอกดังเข้ามาถึงในเรือน โดยปกติจวนสกุลหลี่ที่ข้ารู้จักเป็นเรือนที่เงียบเหงาหลังหนึ่ง ไม่มีอนุภรรยามากมายเช่นจวนขุนนางสกุลอื่น มีเพียงฟุเหริน[1]ใหญ่ที่อยู่ดูแลเรือนใหญ่แลฮุ่ยหรงที่ปลีกวิเวก ณ เรือนไผ่เท่านั้น  เมื่อเจ้าเรือนกลับมาบ่าวไพร่คงคึกคักอย่างยิ่ง  ข้าขยับกายลงจากเตียงพยายามประคองตัวเองไปยังกรอบประตู ความเจ็บร้าวยังคงปรากฏอยู่บ้างแต่นับว่าไม่มากเท่าที่คาดไว้

จวนสกุลหลี่มีลักษณะคล้ายโรงฝึกอย่างยิ่ง  ตอนนี้ข้าพอทราบว่าตัวเองอยู่ยังเรือนรับรองปีกตะวันออกซึ่งมองเห็นลานฝึกซ้อมกลางจวนได้ชัดเจน  หลี่ฮุ่ยเหออยู่ตรงนั้นกำลังฝึกวิชายุทธ์ให้เด็กรับใช้  แต่ไม่ทราบว่าเป็นวิชายุทธ์สายใดกันจึงให้เด็กพวกนั้นนั่งยองๆบนหัวเทินถังน้ำตะเบ็งเสียงดังพร้อมเพรียง  ทั้งน่าสงสารแลน่าขันในเวลาเดียวกัน  พลันคิดถึงตอนอยู่ที่ท่านเหมยลงโทษให้ข้าคัดไตรปิฎกตอนอายุสิบเอ็ด  ตอนนั้นได้แต่ตัดพ้อน้อยใจก้มหน้าก้มตาคัดพระธรรมจนแทบละเมอออกมาเป็นพระสูตรได้ครบถ้วน  หวนคิดดูแล้วจึงรู้ว่าเป็นความทรงจำที่ทั้งน่าขันแลแสนสุขยิ่งนัก

“เจ้าฟื้นแล้วหรือ..” ข้าหันไปมองคุณชายหลี่คนน้องผู้ประคองถาดยาสีขุ่นเข้ามา  ด้านหลังเขาเป็นเจ้าดำที่วิ่งเหยาะๆส่งยิ้มแป้นแล้นมาแต่ไกล  ข้าย่อตัวลงเพื่อรับสุนัขน้อยมาไว้ในอ้อมกอด  อาการเจ็บที่แผ่นหลังร้าวรานเสียจนเผลอหลุดเสียงครางเบาๆคราหนึ่ง

“อย่าฝืนตัวเองน้องเมิ่ง  เจ้ายังไม่หายดี” เขาทำท่าจะเข้ามาช่วยประคอง  ข้าเบี่ยงตัวหนีแตะลงที่ถาดไม้ด้วยยิ้มละไมสายหนึ่ง

“เกรงใจคุณชายรองแล้ว  ข้ายังไหวอยู่ดอก ขอท่านอย่ากังวล”

“เจ้าเรียกข้าคุณชายรองหรือ?” คิ้วเรียวนั้นเลิกขึ้นเหมือนไม่พอใจ  สีหน้าไม่สบอารมณ์ของเขาในยามนี้ก็ยังดูสุขุมน่าเลื่อมใสชวนให้เกรงอกเกรงใจอย่างยิ่ง  คนผู้นี้นับว่ามีรัศมีผู้ทรงภูมิทุกท่วงท่ากิริยาโดยแท้ 

“ข้า..” มิทันจะได้แก้ตัว  เจ้าเรือนก็เดินดุ่มๆรี่มาจากลานฝึก  ข้ามองใบหน้าอันคุ้นเคยของหลี่ฮุ่ยเหอแฝงแววยุ่งยากวุ่นวายใจสายหนึ่งทำให้ดูเคร่งขรึมน่าเกรงขามยิ่งนัก  หลี่ฮุ่ยเหอผู้นี้นับว่าเป็นคนที่ใกล้ชิดกับข้าที่สุดในกลุ่มสี่แม่ทัพผู้เป็นพี่น้องร่วมสาบานของจิ่นสือ แม่ทัพหลี่เป็นน้องสี่ ได้รับตำแหน่งแม่ทัพสยบอุดรผู้องอาจห้าวหาญอย่างรวดเร็วในวัยย่างเข้าสามสิบ   

ภรรยาของเขาเกิดในตระกูลบัณทิตมีนิสัยสงบเสงี่ยมเรียบร้อย  หน้าตาหมดจดงดงาม  เก่งกาจด้านโคลงกลอนแลเย็บปัก  ตอนที่ข้าอยู่ตำหนักของจิ่นสือ  มีโอกาสได้พบเขาหลายครา บ่อยครั้งที่แม่ทัพใหญ่ผู้นี้ชอบนำกลอนมาให้ช่วยตรวจทานก่อนจะนำไปมอบให้ภรรยา  ทุกคราที่อ่านกลอนของฮุ่ยเหอ ข้ามิอาจกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้ บทกลอนของเขามิไพเราะล้ำลึก  ตัวอักษรบิดเบี้ยวราวกับเด็กหัดเขียน  ทั้งที่ตัวก็โตพละกำลังก็เยอะมิคาดกลับมาพ่ายแพ้ให้กับการเขียนกลอนง่ายๆเช่นนี้  ข้าเคยช่วยแนะนำเขาอยู่หลายครั้ง  การอ่านบทกลอนอันแปลกประหลาดพิสดารของเขากลับทำให้ใจข้าที่แห้งเหี่ยวรู้สึกชุ่มชื้นขึ้นราวกับต้นไม้น้อยที่ได้รับน้ำฝน  ความรักมากล้นที่เขามีให้แก่ฟุเหรินทำให้ข้าเลื่อมใส ชายผู้หนึ่งจะรักมั่นต่อนางเดียวนั้นหาได้ยากยิ่งนัก

“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” เขามีท่าทีระแวดระวังระแวงสงสัยแต่คงไม่กล้าเสียมารยาทเมื่อยู่ต่อหน้าน้องชาย  ฐานะข้าตอนนี้จะอย่างไรถือว่าเป็นผู้มีพระคุณของหลี่ฮุ่ยหรง ข้าคลี่ยิ้มจางๆคราหนึ่งพยักหน้าแทนคำตอบ

“พวกท่านรับประทานอาหารเช้าหรือยัง” ข้าเอ่ยถามสองพี่น้องอย่างใจเย็นยิ่ง  เจ้าดำวนเวียนอยู่แถวชายชุดข้าออดอ้อนด้วยท่าทีน่ารักยิ่งนัก

“พวกเรารับข้าวเช้าไปแล้วล่ะน้องเมิ่ง  หากเจ้าหิวข้าจะให้ตั้งโต๊ะด้านใน  ร่างกายเจ้ายังอ่อนแอกลับไปนอนพักต่อเถิด” ข้าส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนจาง  แผ่นหลังยืดตรงจ้องมองไปยังหลี่ฮุ่ยเหอที่ทำหน้าแคลงใจอยู่ด้านข้างผู้น้อง

“รบกวนตั้งสำรับที่ศาลาด้านนอกเถิด  อยู่ในห้องรู้สึกอึดอัดหายใจมิใคร่ออก” ฮุ่ยหรงรับคำรีบปลีกตัวออกไปจัดเตรียม  เหลือเพียงข้าแลแม่ทัพใหญ่สองคนเท่านั้น  ท่าทีอึกอักมากมารยาทต่อหน้าน้องชายกลับกลายเป็นโผงผางกร้าวแกร่ง

“เจ้าเป็นใครกันแน่! ใยถึงกล้าขัดขวางขบวนเสด็จของฝ่าบาท  ดูท่าทีเจ้าตอนนี้ไม่เหมือนคนวิปลาสอย่างเมื่อวันก่อนโน้น  ตอบข้ามาให้ชัดเจนอย่าได้บิดพลิ้ว มิเช่นนั้นข้าจะจับเจ้าขังลืมมิให้เห็นเดือนเห็นตะวัน!” ข้าหรี่ตามองเขาคราหนึ่ง วางตัวดั่งที่เคยชินยามเป็นเหวินฉีลี่ฉาง เชิดหน้าสะบัดชายเสื้อเดินไปยังศาลาที่อยู่ไม่ไกลจากลานฝึกนัก  ศาลาไม้ของเขาสลักลายพยัคฆ์คำรามคงหวังให้น่าเกรงขามล่ะสิ  ข้ากระตุกยิ้มทีหนึ่ง ไร้รสนิยมอย่างยิ่ง

“แม่ทัพหลี่  มิใช่ข้าเคยบอกท่านดอกหรือว่าให้ขุดสระบัวมาดูเล่นซักสองสามสระ  บ้านท่านจะได้ดูมีรสนิยมขึ้นบ้าง” ข้าส่ายหัวอย่างจนใจกับความไร้ศิลปะของเขา  ทอดสายตามองไปทางไหนก็เจอแต่ลานฝึกลานประลอง..นี่มันออกจะแห้งแล้งเกินไปหน่อยกระมัง

“เจ้า! กล้าดีอย่างไรมาวิจารณ์บ้านข้า” แม่ทัพผู้นั้นโมโหจนหน้าแดงก่ำ  ข้าคลี่ยิ้มเย้าคราหนึ่งเหมือนอย่างที่เคย  เป็นรอยยิ้มที่ยั่วโทสะคนซื่อบื้ออย่างเขาได้ดียิ่ง  ยิ่งทำในร่างอัปลักษณ์เช่นนี้คงทำให้เขาโกรธแทบสิ้นสติเลยกระมัง  ฮุ่ยเหอตั้งท่าจะกระโจนใส่แต่พลันดวงตาซื่อตรงของเขาก็ตื่นตระหนกตกใจขึ้นมา  ข้าคลี่ยิ้มอีกครา

“ผ้าเช็ดหน้าลายยวนยาง[2]คู่รักที่ฟุเหรินท่านปักให้มิทราบท่านหาพบหรือยังเล่า”

“ท..ทำไมเจ้าถึงรู้!!” เขาแทบจะจับข้าขึ้นมาเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอน  ข้าหัวเราะร่วนด้วยเสียงแหบแห้ง

“อยากได้คืนหรือไม่เล่า  ถ้าอยากได้คืนก็ไปขอที่เสี่ยวซุ่นจื่อ  เด็กน้อยของข้าอุตส่าห์เก็บมันไว้ให้ท่านอย่างดีเทียวนะ”

“จ..เจ้า! เจ้าพูดบ้าอันใด” เขาพุ่งตรงมาจับไหล่ข้า  แรงพลังของเขาทำข้าเจ็บปวดแต่ไม่ปริปากเงยหน้าสบตาเขาอย่างไม่หลบหนี  คลี่ยิ้มออกมาอีกครา

“ไม่เรียกข้าน้องสะใภ้ห้าแล้วหรือหลี่เกอเกอ[3]”

“บัดซบ!!” เขาผลักข้าลงกับพื้นผงะถอยห่างราวกับต้องของร้อน  ข้าค่อยๆลุกขึ้นอย่างสงบนิ่ง  มองข้ามความเจ็บแปลบก้าวไปหาบุรุษที่เผยรอยสับสนหวั่นไหวในแววตาด้วยความนิ่งสงบ  เกือบหนึ่งมาส[4]ที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในฐานะขอทานน้อยผู้นี้มีหรือจะไม่เตรียมใจพบกับเรื่องเช่นนี้

“ในใจท่านคงคิดว่าข้าวิปลาสล่ะสิ  ตอนนี้ข้าก็อยากวิปลาสให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย...อยากทราบหรือไม่เล่าความรู้สึกทุกข์ทรมานของข้า  ความรู้สึกที่ต้องตื่นมาในร่างกายอัปลักษณ์แทนที่จะเป็นร่างกายของข้าเหวินฉีลี่ฉาง”

“จ..เจ้า! ไม่จริง! เจ้ามันบ้าวิปลาสไปแล้ว  คนอัปลักษณ์อย่างเจ้า..คนอัปลักษณ์เช่นเจ้าน่ะหรือจะเป็น..”

“หน้าตาอัปลักษณ์เช่นนี้น่ะหรือจะเป็นเหวินฉีลี่ฉาง  จะพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่” ข้าคลี่ยิ้มเยาะหยันโชคชะตาคราหนึ่ง  มองใบหน้าแม่ทัพใหญ่ที่เดี๋ยวพลันเขียวพลันแดงก็หัวเราะเบาๆ

"ฟังให้ดีเถิดแม่ทัพหลี่  ข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง”

เราสองคนต่างนั่งจ้องหน้ากันอยู่พักหนึ่ง  หน้าตาของเขายามนี้น่าขันอย่างยิ่ง  ปากอ้าบ้างหุบบ้างราวกับหอยกาบตัวหนึ่ง  สีหน้าพลันเปลี่ยนเขียวเหลืองชมพู  ข้าทราบดีว่าเรื่องราวเช่นนี้มิอาจใจร้อนได้  ในคราแรกข้ายังยอมรับเรื่องบัดซบเช่นนี้ไม่ได้ประสาอะไรกับแม่ทัพจอมบื้ออย่างเขาเล่า  ไม่นานนักฮุ่ยหรงก็เดินนำเด็กรับใช้ถือถาดอาหารมา  คุณชายรองก้าวมาหาข้าด้วยสีหน้าเป็นกังวลสลับกับมองพี่ชายเขาราวกับจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นใยสถานการณ์จึงดูกระอักกระอ่วนเช่นนี้  ข้าคลี่ยิ้มให้เขาจางๆสายหนึ่งคล้ายจะบอกว่าให้สบายใจเถิด  เจ้าดำวิ่งเล่นอยู่นอกศาลามันไปวนเวียนรอบเด็กน้อยที่ฝึกวิชากันอยู่อย่างคึกคัก  วิ่งวนไปมาจนน่าเวียนหัว  ข้าหัวเราะเบาๆร้องเรียกมันคราหนึ่งให้กลับมาหา  หลี่ฮุ่ยเหอยังคงมองข้าด้วยแววตาประหลาดไม่ยอมหยุดแม้น้องชายเขาจะกระแอมกระไออยู่หลายครั้ง

“พี่ฮุ่ยหรงน้ำชาวันนี้รสชาติดีนัก” ข้าคลี่ยิ้มยามจิบน้ำชา  กลิ่นหอมราวกับน้ำค้างที่กลิ้งกลอกอยู่บนยอดหญ้า  ราวกับกำซาบรสชาติของแรกอรุณ  ฮุ่ยหรงคลี่ยิ้มสุขุมดูเหมือนเขาจะพอในอย่างยิ่งที่ได้ยินข้าเรียกอย่างสนิทสนม

“ชานี้เป็นชาแรกใบไม้ผลิจากหยุนหนาน  ใบชาไม่อาจเก็บไว้ได้นานเช่นชาอื่นเพราะจักเสียรสชาติ” ข้าพยักหน้าวางถ้วยชาลง  เด็กรับใช้ค่อยๆบรรจงรินชาให้อย่างสงบเสงี่ยมพอคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง  คงเป็นเด็กรับใช้จากเรือนไผ่

“น้ำจะอย่างไรก็คือน้ำมีรสชาติอะไรที่ไหนกัน” บุรุษผู้พี่เอ่ยสอดขึ้นมา  ข้าแอบหัวเราะในใจเขามักเป็นเช่นนี้เสมอยามต้องมานั่งดื่มชาเป็นเพื่อนข้า  มักบอกว่าชามีรสชาติฝาดลิ้นดื่มเท่าไหร่ก็ไม่สามารถแก้กระหายได้เช่นน้ำเปล่า  ข้าจึงชมชอบเรียกเขาว่ากระบือน้ำยิ่งนัก

“นั่นเพราะท่านแม่ทัพไม่นิยมดื่มชาถึงได้แยกรสชาติของชากับน้ำเปล่าไม่ออก” ข้าหยักยิ้มที่มุมปาก  จ้องหน้าเขาพร้อมเอ่ยคำหนึ่งออกมาโดยไร้เสียงเหมือนเมื่อก่อนนี้ 

“จ...เจ้ามันตัวร้าย!! เจ้า!!” แม่ทัพใหญ่ทุบโต๊ะโมโหแทบจะเป็นลม  ข้าหัวเราะเบาๆกับอากัปกิริยาที่คาดว่าจะได้เห็น คลี่ยิ้มให้แก่ฮุ่ยหรงที่ทำหน้างุนงงกับอาการของพี่ชายคราหนึ่ง

“พี่ใหญ่  น้องจิ่วเมิ่งเป็นแขกแลผู้มีพระคุณของข้า ขอท่านโปรดรักษามารยาท” ฮุ่ยหรงสะบัดชายเสื้อขึ้นยืนออกหน้าปกป้อง  ข้าพลันนึกเลื่อมใสเขาขึ้นมาอย่างมาก  เพื่อตัวข้าที่ไร้หัวนอนปลายเท้าแถมเป็นเพียงขอทานตกยากในสายตาผู้อื่นเขายังปฏิบัติต่อข้าอย่างให้เกียรติออกหน้าปกป้องเสียหลายต่อหลายครั้ง  ทำให้ในจวนสกุลหลี่ไม่มีผู้ใดกล้าเสียมรรยาทต่อข้าทำเป็นมองข้ามหน้าตาอัปลักษณ์ไปเสียปฏิบัติต่อข้าอย่างเกรงอกเกรงใจยิ่ง  เช่นนี้จะไม่ให้ซาบซึ้งในน้ำใจเขาได้อย่างไร

“พี่ฮุ่ยหรง แม่ทัพหลี่แท้จริงไม่ได้ตั้งใจเสียมารยาท  เพียงแต่ข้ากับเขาเมื่อก่อนเคยรู้จักสนิทสนมกันมาก่อนบ้างเท่านั้น”

“ท่านทั้งสองรู้จักกันมาก่อน?” ข้าคลี่ยิ้มจางๆทอดสายตามองหลี่ฮุ่ยเหอ  สีหน้าเขายังคงสับสนสุดท้ายไม่ได้ตอบอะไรกระทั่งมีทหารรับใช้เข้ามากระซิบรายงานจึงหมุนกายออกไปจากศาลาทิ้งข้าและคุณชายรองไว้เบื้องหลัง  ข้าลูบเส้นขนของเจ้าดำอย่างเหม่อลอย  สิ่งที่ทำได้ก็ทำแล้วทุ่มเทใช้กลทรมานสังขารโดนทุบตีถึงเพียงนี้อย่างน้อยคำพูดข้าคงมีน้ำหนักขึ้นบ้างกระมัง

 

ราตรีเคลื่อนมาข้านั่งอยู่บนเตียงถือหนังสือเล่มหนึ่งเปิดอ่านอย่างสงบ  เส้นผมสีดำแห้งแตกระแหงถูกชะโลมด้วยน้ำมันหอมกลิ่นกุหลายสายหนึ่งอบอวลอ่อนหวาน  เจ้าดำนอนหมอบอยู่ข้างกายข้าอย่างเกียจคร้านหาวอย่างน่ารักน่าชังทำตาปรือปรอยหลับไปเสียแล้ว

 เมื่อกลางวันตรวจอาการฮุ่ยหรงแล้วพบว่าร่างกายเขาดีขึ้นมากไม่มีอาการปวดหัวมึนงงเช่นในตอนแรกๆ  พิษของกำยานร้อยปีศาจที่เจือจางจนแทบไม่เหลือตกค้างในกระแสโลหิต  ระหว่างตรวจร่างกายให้ฮุ่ยหรงเขามีสีหน้าอึดอัดใจชัดเจน  ดูท่าคงอยากทราบความสัมพันธ์ระหว่างข้าแลพี่ชายเขา  ข้าแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสุดท้ายเขาก็ถอนหายใจคราหนึ่ง  เอ่ยประโยคอบอุ่นอย่างยิ่ง

“น้องเมิ่ง  ข้าไม่ทราบว่าเรื่องในอดีตเจ้าเป็นเช่นไร  แต่ว่าหากต้องการความช่วยเหลือ..เจ้ายังมีข้าอยู่ข้างเจ้าเสมอ” ข้าคลี่ยิ้มจางๆให้แก่เขา  จู่ๆก็รู้สึกว่าเขาเหมือนกับพี่จื่อหรงยิ่งนัก  พูดน้อย สุภาพและมากด้วยน้ำใจ รู้สึกสนิทสนมกับเขาขึ้นมาอยู่หลายส่วน

“พี่ฮุ่ยหรง..มิใช่ข้ามิเชื่อใจท่านเพียงแต่เรื่องในอดีตของข้าพูดแล้วยาวยิ่งนักอีกทั้งพูดออกไปก็ยากจะเชื่อ   เรื่องราวซับซ้อนแลอันตรายเช่นนี้จะให้ข้าดึงท่านลงมาในวังวนนี้ได้เช่นไร”

“น้องเมิ่งชีวิตของข้าได้เจ้าช่วยเหลือไว้  นับแต่ตื่นมาข้าสาบานกับตัวเองจะดูแลช่วยเหลือเจ้าชั่วชีวิต  เช่นนั้นอย่าได้เกรงใจให้ข้าได้ช่วยเจ้าบ้างเถิด” นัยน์ตามุ่งมันเปล่งประกายห้าวหาญเช่นนั้นทำให้ข้าทราบว่าเขากับพี่ชายเหมือนกันอย่างยิ่ง  กล้าหาญองอาจสมกับที่กำเนิดในตระกูลทหาร  ข้าคลี่ยิ้มคราหนึ่งตบที่หลังมือเขาเบาๆอย่างอ่อนโยนให้รับรู้ว่าข้าซาบซึ้งน้ำใจเขาอย่างยิ่ง

 

เผลอคิดเรื่องนี้อย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งเจ้าดำที่หลับอยู่ข้างๆผุดลุกขึ้นมาแยกเขี้ยวคำรามข้าถึงได้ทราบว่าในห้องนี้มีผู้บุกรุก  ไฟตะเกียงวูบวาบสั่นไหวแล้วดับลงอย่างกะทันหัน  ข้ากอดตัวเจ้าดำไว้กับอกอย่างสั่นเทา  มือหนึ่งเผลอกระชับหน้ากากสีเงินบนใบหน้า แม้จะทราบดีว่าผู้มาเยือนเป็นผู้ใดแต่ก็อดหวั่นกลัวความมืดเช่นนี้มิได้

“ต้องทำให้ข้าอกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้ด้วยหรือหลี่เกอเกอ”  อึดใจต่อมาไฟในตะเกียงก็ถูกจุดขึ้นอีกครา  เงาร่างสายหนึ่งปรากฏที่โต๊ะไม่ไกลจากเตียงนอน  แม่ทัพผู้องอาจนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้ายากจะคาดเดา  ข้าลูบหัวเจ้าดำที่ยังคงคำรามไม่หยุดเบาๆคราหนึ่งกระซิบบอกมันว่าไม่เป็นอะไร  มันจึงค่อยสงบลงกลับไปนอนหมอบบนเตียงต่อแต่ดวงตายังจับจ้องที่แม่ทัพใหญ่ไม่วาง

“เมื่อบ่ายนี้หวงช่าง[5]มีบัญชาให้ข้าเข้าวังอย่างลับๆ” ข้านั่งฟังเขาอยู่บนเตียงอย่างตั้งใจ มือหนึ่งลูบขนเจ้าดำอย่างอ่อนโยน  “ให้ข้าตามหาหมอมาช่วยรักษาอาการเขา”

ข้ากระตุกยิ้มคราหนึ่ง  เงยหน้าจ้องมองเขาผ่านความสลัวรางของตะเกียง  กลิ่นกุหลาบหอมหวานตรลบ  กระจ่างแจ้งในใจว่า 'เขา' ที่ว่านั้นคือใคร

“เขารอดชีวิตมาคราหนึ่งคงเป็นเพราะการรักษาของท่านเหมยแห่งตำหนักหมื่นวสันต์  มีหมอเทวดาเช่นนั้นอยู่ข้างตัวยังต้องการผู้ใดอีก?” ใบหน้าแม่ทัพสยบอุดรปรากฎร่องรอยสันสนคลางแคลงใจสุดท้ายก็ถอนหายใจหนักหน่วงคราหนึ่ง

“เขายังไม่เอ่ยอันใดกับใครทั้งนั้นทั้งยังมีท่าทีประหลาด...ไม่เหมือนคนเดิมที่ข้ารู้จัก”   

“ไม่เอ่ยอันใดกับเอ่ยอันใดไม่ได้มันต่างกัน  ท่านก็ทราบแม่ทัพหลี่” ข้าจ้องมองเขาอย่างแน่วแน่  มองความหวั่นไหวบนใบหน้าเขาก็พอทราบว่าใจเขาคงเอนเอียงเชื่อข้าบ้างแล้วบางส่วนแต่อย่างไรก็ไม่อาจทำใจเชื่อเรื่องนี้ได้โดยง่าย

“ข้าจะเชื่อเจ้าได้เช่นไรว่าเจ้าเป็นเหวินฉีลี่ฉางตัวจริง  หากเป็นตัวจริงใยเจ้ากลับกลายมาอยู่ในร่างนี้ได้  ที่แท้มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ตอบข้ามาให้กระจ่าง”  ข้าลุกขึ้นจากเตียงนั่งลงตรงข้ามกับเขา  หวนคิดถึงเรื่องราวชีวิตอันซับซ้อนแล้วจึงถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง

“ท่านคงทราบแล้วว่าข้าถูกวางยาพิษมาครึ่งปีแลประจักษ์ชัดถึงฐานะที่แท้จริงของท่านเหมยแล้วกระมัง"

"ใช่ข้าทราบแล้วว่านายท่านเหมยแห่งหอเหมยเป็นหมอเทวดาที่รักษาหวงตี้รัชกาลก่อนเป็นการลับมาโดยตลอด" ข้าพยักหน้าคราหนึ่งเขาสมควรทราบเพียงแค่นั้น  เรื่องตำหนักหมื่นวสันต์ถือเป็นเรื่องลับที่สุดจะอย่างไรจิ่นสือก็ไม่อาจแพร่งพรายให้พี่น้องร่วมสาบานของเขาได้มากไปกว่านี้

" ตัวข้าเหวินฉีลี่ฉางเป็นศิษย์คนเดียวของนายท่านเหมยแห่งตำหนักหมื่นวสันต์  ดังนั้นมีหรือจะไม่ทราบว่าตัวเองถูกวางยาพิษนิทราวสันต์แต่ตอนนั้นท้อแท้สิ้นหวังคิดอยากจะตาย  ในตอนนั้นคิดว่าความตายคงเป็นเพียงอิสระเดียวที่ข้าจะได้รับจึงยอมกินยาพิษนั้นอยู่เกือบครึ่งปี  ตอนอยู่ที่ซีหูข้าคิดว่าตัวเองคงตายแน่แล้วแต่ไม่คิดเลยว่าจู่ๆก็ลืมตาตื่นขึ้นมาในร่างขอทานผู้หนึ่ง  ข้าใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่สี่วันที่ตรอกอันมืดดำกับสุนัขน้อยตัวนี้  โชคดีวันที่สี่ระหว่างหาอาหารมาประทังชีวิตได้พบกับน้องชายท่านนอนสลบ  ข้าจึงพาเขากลับจวนสกุลหลี่และช่วยรักษาอาการเขาจนเกือบครบหนึ่งมาสแล้ว” แม้จะมีเพียงจันทราสลัวรางแลตะเกียงไฟที่ไหววูบวาบก็ยังพอสังเกตสีหน้าพิสดารของเขาได้ เขาฟังเรื่องราวแล้วนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายจึงค่อยเอ่ยวาจา

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน  เจ้าไม่ได้แต่งเรื่องหลอกข้าแน่นะ?”

“ทุกอย่างที่ข้าเล่าล้วนเป็นคำสัตย์  ท่านจะสอบถามอันใดจากข้าก็ได้  ข้ามั่นใจว่าสามารถตอบได้  อยากจะทดสอบฝีมือศาสตร์ศิลป์ของข้าก็เชิญ  ข้าบอกท่านแล้วว่าตัวข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง...ตัวข้าก็คือตัวข้า  ต่อให้อยู่ในร่างอัปลักษณ์เช่นนี้  คนเลิศล้ำอย่างข้าจะกลายเป็นสุกรไปได้อย่างไร”

พลันบุรุษหนุ่มเผยสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเกมาคราวหนึ่ง  เหมือนกำลังจะด่าว่าข้าผ่านทางสายตาว่าเจ้านี่มันหลงตัวเองไม่เปลี่ยนเลย  ข้าหัวเราะเบาๆลูบขนเจ้าดำที่เงยหน้ามองข้าด้วยตาซื่อใสเห่าเบาๆแล้วเข้ามาคลอเคลียราวกับจะสนับสนุนคำพูดของข้า

“เหวินฉีลี่ฉางเป็นคนชนิดใด  ชื่อเสียงของเขาดังไกลไปพันลี้ นิสัยของเขาเป็นเช่นไร ความชอบไม่ชอบของเขาล้วนไม่ใช่ความลับ  ถามเจ้าไปแล้วได้ประโยชน์อะไรในเมื่อหลายคนก็ประจักษ์นิสัยใจคอเขาดี  ฝีมือศาสตร์แลศิลป์ของเช่นนี้ฝึกเอาเสียก็ได้  หากข้าเชื่อเจ้าอย่างนั้นหากมีคนมาอ้างตัวว่าเป็นเหวินฉีลี่ฉางซักร้อยคนข้าก็สมควรเชื่อเขาเช่นกันด้วยหรือ”

เขาเอ่ยประโยคเช่นนี้ยาวติดกันจนไม่ได้พักหายใจด้วยท่าทีอัดอั้นตันใจ ข้าพลันถอนหายใจเบาๆทราบดีว่าเรื่องราวเช่นนี้ยากจะเชื่อ  จึงได้แต่ยิ้มละไมสายหนึ่งจ้องมองเขา

“เช่นนั้นยังมีผู้หนึ่งที่น่าจะรู้จักตัวข้าดีกว่าผู้อื่น”

“ใคร?”

“ท่านเหมยแห่งตำหนักหมื่นวสันต์” เขาพลันร้องอาขึ้นมาคราหนึ่งพยักหน้าเห็นด้วย

"เขาเป็นอาจารย์ที่เลี้ยงดูเหวินฉีลี่ฉางตั้งแต่เป็นทารก  เช่นนั้นเขาย่อมสนิทสนมผูกพันกันมากกว่าข้า  หากเป็นเขาย่อมตัดสินได้ดีกว่า"

“หากเขารับรองว่าข้าเป็นเหวินฉีลี่ฉางถึงตอนนั้นท่านยังจะมีข้อโต้แย้งหรือไม่” ข้าจ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ  เขานิ่งอีกคราหนึ่งจนกระทั่งถูกเจ้าดำน้อยเห่าใส่  แม่ทัพผู้องอาจสูดหายใจคราหนึ่งจ้องมองข้าตอบด้วยความแน่วแน่มั่นคง

“ในเมื่อเขารับรอง ข้าเองก็จะไม่โต้แย้ง” ข้าคลี่ยิ้มกว้างพลันความรู้สึกโล่งใจอุ่นวาบขึ้นมาในอก

“ดี  เช่นนั้นก็ดียิ่ง  ข้าจะมอบจดหมายให้ท่านหนึ่งฉบับมอบให้แก่เขา  ถึงตอนนั้นเขาจะเป็นฝ่ายต้องการพบข้าเอง” แม่ทัพหลี่พยักหน้าสะบัดชายเสื้อเดินออกนอกห้อง  ทว่าจู่ๆก็หยุดชะงักไปได้ยินเขากระซิบบางอย่างคล้ายพึมพำกับตัวเองแต่ข้ากลับได้ยินอย่างชัดเจน

"ขอบคุณเรื่องผ้าเช็ดหน้า"

ข้ามองแผ่นหลังเขาที่พ้นสายตาไปพลันรู้สึกคิดถึงท่านเหมยยิ่งนัก  กรุ่นกริ่นแห่งเหมันต์อันสงบเยือกเย็นดอกเหมยแดงเบ่งบานสงบสูงค่า  เวลาเนิ่นนานในหมื่นวสันต์มีเขาคอยดูแลประคับประคอง  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พร่ำสอน รอยยิ้มเยือกเย็นแต่กลับอบอุ่น  แววตาอ่อนโยนและมือที่นุ่มนวลราวกับมารดาคู่นั้น  ความหวาดกลัวเบาบางสะท้านอยู่ในใจ  ข้าหลับตาลงเพื่อไล่ความหวั่นไหวออกจากอก  ลืมตาขึ้นมาคลี่ยิ้มให้เจ้าดำที่มาเคลียคลอ  บอกตัวเองว่าตัวข้าคือเหวินฉีลี่ฉาง ต่อให้อยู่ในร่างใดคนเลิศล้ำย่อมเป็นผู้เลิศล้ำอยู่วันยังค่ำ..



เชิงอรรถ
[1] ฟุเหริน - ภรรยา
[2] ยวนยาง - ยวนยางหรือนกเป็ดน้ำ หากยวนยางตัวหนึ่งตาย คู่ของมันจะตรอมใจตายตายไม่มีคู่ใหม่เป็นสัญลักษณ์ความรักของคนจีน
[3] เกอเกอ[哥哥] -  พี่ชาย
[4] มาส - เดือน
[5] หวงช่าง - คำเรียกจักรพรรดิ , ฮ่องเต้


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด