【嫦娥 ลิขิตจันทรา】[พีเรียดจีนโบราณ] ตอนที่๑๓ ๔/๔/๕๙
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 【嫦娥 ลิขิตจันทรา】[พีเรียดจีนโบราณ] ตอนที่๑๓ ๔/๔/๕๙  (อ่าน 57180 ครั้ง)

ออฟไลน์ PiSCis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
ท่านเหมยเชื่อแล้ววว  :mew4:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
ลี่ฉางสู้ๆ อดทนเข้าไว้นะ

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
ค้างงงฮืออ ท่านเหมยยอมเชื่อแล้ว
บางทีร่างใหม่ของลี่ฉางถ้ารักษาแผลให้หายอาจจะดูดีก็ได้นะเหวยยยย

ออฟไลน์ Veesi3

  • coHon3 {ต้นฝ้าย}
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 715
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
น้ำตาซึมตอนที่หลีฉางกินอาหารฝีมืออาจารย์ รอจ้าา สนุกมากๆ เลย

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อยากรู้จักอีกฝั่งแล้ว เขาเป็นใคร อะไรชักนำให้สลับร่างกัน

ออฟไลน์ leefever

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รอตอนต่อไป พลีสส มาต่อด่วนๆ

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
ยิ่งอ่านยิ่งสนุกค่า :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
 :hao5:ดีใจกับลี่ฉาง ชีวิตพอมีความหวังล่ะ

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
เราหวังว่าจะให้ลี่ฉางได้ร่างคืนนะ คือไม่ใช่ว่าอยู่ร่างนี้แล้วจะได้ดีไม่ได้
แต่ไม่ชอบที่คนอืนจะใช้ประโยชน์จากร่างเดิมลี่ฉางอะ :mew5:

ออฟไลน์ duaenmaysa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0

ตอนพิเศษ : ราตรีบุปผาผลิบาน


รัชสมัยจักรพรรดิหย่งเต๋อ ปีที่ 25
สองวันก่อนเทศกาลชุนเจี๋ย  ณ หอเหมย ตำหนักหมื่นวสันต์



เงาร่างงดงามน่าเอ็นดูร่างหนึ่งกำลังทำท่าทีหลบๆซ่อนๆเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง  จื่อหรงมุ่นคิ้วคราหนึ่งมองเงาร่างคุ้นตาแล้วสะดุ้งตกใจแทบสิ้นสติรีบถลันตัวไปหานายน้อยผู้กำลังวิ่งเร็วรี่ลัดเลาะไปยังสวนเหมย  ที่แท้เวลานี้นายน้อยลี่ฉางต้องอยู่ในห้องหนังสือคัดอักษรเพราะถูกนายท่านเหมยลงโทษมิใช่ดอกหรือ พี่เลี้ยงหนุ่มใช้วิชาตัวเบาสะกิดเท้าก้าวหนึ่งประชิดตัวเด็กหนุ่มผู้งามวิลาศรั้งร่างนั้นมาไว้กับตัว

“อ๊ะ!” เหวินฉีลี่ฉางสะดุ้งตกใจราวกับมุสิก[1]น้อย  เมื่อพบว่าเป็นผู้คุ้นเคยก็ผลิยิ้มราวกับดอกเหมยแรกผลิบานในยามเหมันต์คราหนึ่ง  ท่าทีตกใจเหือดหายเป็นรอยยิ้มอันประจบประแจงอย่างน่ารักน่าเอ็นดู

“พี่จื่อหรงที่แท้เป็นท่าน” จื่อหรงมุ่นคิ้ว เส้นเลือดที่ขมับสายหนึ่งเต้นตุบคล้ายกำลังอดทนอดกลั้นอย่างมาก  เหวินฉีลี่ฉางเห็นดังนั้นก็ยิ้มออดอ้อนอีกคราหนึ่งราวกับเบญจมาศเฉิดฉายกลางใบไม้ผลิ  ผู้เป็นพี่เลี้ยงจำต้องหลับตาลงคราหนึ่งจึงค่อยลืมขึ้นเสมองไปยังลำคอระหงงดงามราวถูกพู่กันวาดเป็นเส้นสายอันอ่อนช้อยน่ามอง  มิอาจมองสบใบหน้าล่มหล้าของนายน้อยที่ตนดูแลอยู่ได้โดยตรงเพราะเสน่ห์เย้ายวนนั้นอันตรายเสียจนแทบลืมหายใจ

“นายน้อยทุกวันนี้ท่านคัดซุนจื่อปิงฝ่า[2]ยังเหนื่อยไม่พอหรือ หรือต้องให้นายท่านเหมยสั่งท่านคัดไตรปิฎกเช่นเมื่อปีก่อนจึงจะยอมสงบเรียบร้อยขึ้นบ้าง” หน้าตางดงามของนายน้อยแห่งหอเหมยบิดเบี้ยวเหยเกคล้ายถึงใครบังคับให้ดื่มยาขม  เมื่อเห็นว่าพี่เลี้ยงมีที่ท่าไม่โอนอ่อน  เด็กหนุ่มเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีคราหนึ่ง  ริมฝีปากแดงกระจับราวลูกอิงเถา[3]ยู่เข้าหากันอย่างเอาแต่ใจ

“พี่จื่อหรงใจร้าย  ไม่รักลี่ฉางแล้วหรือ”

“ไม่ขอรับ” จื่อหรงไม่มองหน้าตาน่ารักน่าชังชวนให้อยากพะเน้าพะนอเอาใจใบหน้านั้น  ทำใจแข็งจับร่างน้อยๆพาดบ่าสะกิดเท้าขึ้นไปยังชั้นสูงสุดแห่งหอเหมยด้วยความเงียบเชียบ  เหวินฉีลี่ฉางมองค้อนแผ่นหลังของชายใจแข็งผู้นี้อย่างทำอันใดมิได้

ท้ายที่สุดแล้วนายน้อยแห่งหอเหมยจึงต้องมานั่งกอดอกนิ่งคล้ายกำลังประท้วง  ดวงตาหงส์มองเมินไปยังนอกหน้าต่างทัศนาคนในหอที่กำลังวุ่นวายตกแต่งนิวาศสถานรอรับแขกสำคัญในวันนี้  โคมประดับรูปปลาน้อยถูกแขวนอยู่บนกิ่งต้นเหมยต้นหนึ่ง  เด็กรับใช้จอมซุ่มซ่ามพลัดร่วงตกบ่อน้ำท่าทีน่าขบขันยิ่งนักจนลี่ฉางหลุดหัวเราะเสียงใสคราหนึ่ง

“นายน้อยวันนี้นายท่านเหมยจะมาตรวจดูความคืบหน้าของการคัดอักษร  ท่านควรเร่งมือเสียหน่อย อย่างน้อย..” ลี่ฉางตวัดตามองผู้ที่ฝนหมึกให้ตน  ริมฝีปากกลับมาง้ำงออย่างเอาแต่ใจ

“พี่จื่อหรง ลี่ฉางเบื่อ..” เด็กน้อยจะอย่างไรก็เป็นเด็กน้อย  ชายหนุ่มลอบถอนใจเบาๆมองเรียวขาเล็กๆใต้ชุดแพรไหมแกว่งไปมาอย่างเบื่อหน่าย  เขาขยับเข้าไปใกล้หวังจะปลอบใจนายน้อยที่ทะนุถนอมเลี้ยงดูมาแต่กำเนิด  มิคาดว่าอีกฝ่ายจะเอียงศีรษะมาแนบกับหน้าท้องของเขา  จื่อหรงมิหาญกล้าแม้แต่หายใจเข้าออกได้แต่ก้มลงมองดวงหน้าเพริศพริ้งแลแพขนตายาวขยับขึ้นลงแผ่วเบาราวปีกผีเสื้อต้องสายลมละมุนด้วยใจที่เต้นแรงราวจะหลุดออกจากอก

เพียงชั่วพริบตานายน้อยแสนซนก็ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว  สะบัดชายเสื้อคราหนึ่งวางท่าสุขุมอย่างมีสง่าราศี  จับพู่กันจุ่มกับหมึกที่ถูกฝนไว้ คว้ากระดาษที่เขียนค้างมารังสรรค์ตัวอักษรอ่อนช้อยดั่งมังกรเหินหงสาร่อนถลาวิจิตรงามสง่าเป็นระเบียบยิ่งนัก

จื่อหรงยังคงยืนนิ่งราวกับท่อนไม้กระทั่งมีสติรู้ตัวเมื่อถูกดวงตาหงส์ชายมามองคราหนึ่งคล้ายกับเตือนสติ  นายท่านเหมยเปิดประตูเข้ามาทันกับที่เขาไปยืนประจำยังแท่นฝนหมึกด้วยท่าทีสงบนิ่งแม้ดวงใจจะยังรุ่มร้อนมิหาย  สายลมพัดโชยอ่อนกลิ่นดอกเหมยหอมฟุ้งอวลตลบ  นายน้อยผู้เลิศล้ำคลี่ยิ้มเฉิดฉายประจบประแจงอย่างยิ่ง

“ท่านเหมย ลี่ฉางคัดตำราใกล้เสร็จแล้ว” นายท่านเหมยผู้ดูแลหอยิ้มอย่างสงบนิ่ง  ท่าทีนุ่มนวลอ่อนโยน  ใกล้ชิดทว่าห่างเหินราวกับหมอกจางลางเลือนมิอาจแตะต้องได้ในยามอรุณ  ท่านเหมยผู้มากด้วยเสน่ห์ผู้นี้เองที่ครองอันดับหนึ่งแห่งตำหนักหมื่นวสันต์แม้วัยจะล่วงเลยมาถึงสามสิบสามปี

ท่วงท่าย่างก้าวสง่างามนุ่มนวลราวกลีบบุปผาร่อนแตะผืนธารา  ยามก้มหน้าลงชมอักษรเส้นผมสีดำปลอดสยายลงราวกับม่านน้ำตกสายหนึ่ง  ภาพคนงามสองคนเคียงข้าง  จื่อหรงมิอาจทำใจกล้ามองโดยตรง  มือที่ฝนหมึกสั่นระริก  จะทำอย่างไรก็ไม่ชินเสียทีกับความงามเลิศล้ำทั้งสองนี้

“อักษรเจ้างดงามดีแต่ยังไม่สงบนิ่งเพียงพอ  ตัวอักษรบ่งบอกนิสัย..ลี่ฉางหากเจ้ามิอาจคุมจิตใจยังหวั่นไหวกับสิ่งเย้ายวนภายนอก  ตัวอักษรเจ้าก็มิอาจสมบูรณ์” ท่านเหมยหรี่ตามองนายน้อยผู้ทรงโฉมด้วยแววตาคมกริบคราหนึ่งก่อนจะย้ายร่างไปยังตั่งไม้ปูด้วยขนจิ้งจอกไม่ไกลนัก  เฝ้ามองศิษย์รักหนึ่งเดียวด้วยแววตาเยือกเย็น  จื่อหรงรู้หน้าที่ดีอย่างยิ่งจัดหาชาดอกสายน้ำผึ้งมาให้แก่นายท่านเจ้าของหอ

นายน้อยลี่ฉางตั้งอกตั้งใจคัดอักษรด้วยท่าทีสงบนิ่งสุขุมอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเอกบุรุษแห่งหมื่นวสันต์ แววตาดื้อดึงเอาแต่ใจลดลงไปมาก    กลิ่นหอมของชาดอกสายน้ำผึ้งอวลอ่อนในห้องอุ่น  สายลมวสันต์พัดพลิ้ว  ความสุขสงบแผ่กำจายไปทั่วห้องอักษร ผู้เป็นพี่เลี้ยงฝนหมึกอยู่เคียงข้างซึมซับภาพจำอันงดงามนี้ไว้ในหัวใจ กระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงรายงานจากภายนอก  ทั้งสามคนในห้องจึงทราบว่าล่วงเลยจากยามเซิน[4]สู่ยามอิ่ว[5]เสียแล้ว

“ลี่ฉางเปลี่ยนชุดเสียแล้วตามข้าไปยังห้องโกเมน” นายน้อยแห่งหอเหมยวางมือจากพู่กันราคาสูงลิ่ว แปรงอันอ่อนนุ่มถูกทำขึ้นจากขนด้านในหูจิ้งจอกแลด้ามที่ทำจากหยกสลักประณีตอ่อนช้อยกลิ้งอยู่บนพื้นโต๊ะอย่างไม่ได้รับความใส่ใจ  เด็กน้อยคลี่ยิ้มเบิกบานถอดชุดตัวนอกออกอย่างไม่สำรวม  จื่อหรงร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยความตระหนกคว้าสายคาดเอวและชุดชั้นนอกที่กำลังร่วงหล่นสู่พื้นมาไว้ในมืออย่างทันท่วงที

ร่างกึ่งเปลือยเปล่าอันขาวนวลราวกับสำลีทำให้ชายหนุ่มหน้าแดงก่ำ  ทำเป็นมองไม่เห็นความผุดผาดเลิศล้ำยืนนิ่งอย่างสำรวมอยู่ข้างเตียง  เหวินฉีลี่ฉางแม้จะวัยเพียงสิบสองปีแต่กลับสูงราวเจ็ดฉื่อ[6]  ร่างกายไร้รอยไฝฝ้าราคีสมบูรณ์แบบ มีเพียงความนุ่มลื่นราวกับแพรไหมชั้นเลิศราวถูกบรรจงสร้างจากสวรรค์    กลิ่นหอมหวานจากร่างกายงามงดราวบุปผาแดนเซียน เป็นกลิ่นจางๆกลิ่นหนึ่งที่ทำให้ผู้คนคลั่งไคล้หลงใหล  ยามที่นายน้อยเบิกบานกลิ่นหอมหวานสดใสราวอรุณแรกวสันต์  ยามโศกเศร้าเสียใจกลิ่นโศกนวลอวลคลุ้งพลอยอยากให้น้ำตาไหลร่วงริน

“พี่จื่อหรง ลี่ฉางสวมชุดไหนดี” ชุดล้ำค่ามากมายวางเรียงรายอวดโฉมมิอาจเทียบเทียมร่างกายขาวโพลนใต้ผ้าไหมสีพิสุทธิ์บางเบาชุดนั้น  เส้นสายอ่อนช้อยของร่างกายงดงามทำให้จื่อหรงนึกอยากรู้ว่าหากเขาทาบทับมือที่เอวบางค่อยลูบไล้ไปทั่วร่างงามร่างนั้น  กลิ่นหอมของนายน้อยจะแปรเปลี่ยนเป็นเช่นไร  จะหอมฉุนอย่างเกรี้ยวโกรธหรือจะกลายเป็นหอมหวานยั่วยวนอย่างที่เขาไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน  พี่เลี้ยงหนุ่มสะบัดหัวคราหนึ่งเอาความคิดพิสดารนั้นออกไปจากสมอง  จะทรยศต่อความไว้วางใจของนายท่านเหมยได้อย่างไร..

“พี่จื่อหรง!” เหวินฉีลี่ฉางเชิดหน้าขึ้นอย่างเอาแต่ใจเมื่อไม่ได้รับความสนใจ  สุดท้ายก็มองค้อนคราหนึ่งแล้วตัดสินใจหยิบชุดผ้าไหมสีกลีบบัวปักลายวิหคน้อยน่ารักบนกิ่งเหมยมาสวม  เด็กรับใช้ด้านนอกเข้ามาช่วยเกล้าผมยาวราวม่านไหมอย่างประณีตบรรจง  ใบหน้างามเฉิดฉายถูกชาดแดงบางเบาแต้มบนริมฝีปาก  ผู้เป็นพี่เลี้ยงทำได้เพียงก้มหน้ามองชายผ้าอันวิจิตร  ความงามอันเลอเลิศยิ่งกว่าเทพีฉางเอ๋อร์ของเหวินฉีลี่ฉางนั้นอันตรายต่อหัวใจเกินไป



“อาเตีย[7]!” นายน้อยผู้เลิศล้ำแย้มยิ้มเบิกบานเมื่อพบแขกประจำของหอเหมย  ร่างอรชรโผถลาสู่อ้อมกอดชายผู้งามสง่าผู้หนึ่ง  ชายผู้นั้นอยู่ในวัยกลางคนหน้าตายังคงองอาจหล่อเหลา  ริ้วรอยปรากฏอยู่บ้างประปราย โดยเฉพาะร่องรอยหยักลึกตรงหว่างคิ้วที่แสดงถึงความตรากตรำมาเนิ่นนาน แม้จะอยุ่ในชุดอันหรูหราเรียบง่ายแต่รัศมีสูงส่งเหนือผู้คนแผ่กำจาย ฝ่ามือกว้างใหญ่มั่นคงลูบหัวเหวินฉีลี่ฉางอย่างเอื้อเอ็นดู  บอกผู้ใดคงไม่เชื่อกระมังจักรพรรดิหย่งเต๋อผู้เย็นชากลับกลายเป็นชายผู้อบอุ่นมีเมตตาเมื่ออยู่ภายในหอคณิกาแห่งนี้

“ลี่ฉางระหว่างที่อาเตียไม่อยู่ เจ้าดื้อกับอาเหนียงหรือไม่” นายน้อยโฉมงามส่ายศีรษะระรัว ท่าทีเช่นนั้นน่ารักน่าชังสมวัย 

“ลี่ฉางไม่ดื้อเลยสักนิดเดียว  ไม่เชื่ออาเตียลองถามอาเหนียง[8]ดู” หย่งเต๋อหวงตี้ทอดสายตามองผู้ที่รินชายังด้านขวามือ  คนในดวงใจคลี่ยิ้มละไมอบอุ่นคราหนึ่งมองดูหนึ่งบิดาหนึ่งบุตรด้วยความรักล้นปริ่มในแววตาแสนหวาน

“ช่วงนี้เจ้าซูบผอมลงนะเสวี่ยหลิน” โอรสสวรรค์ตบบนหลังมือบอบบางคราหนึ่ง  อยู่ใกล้กันเพียงนี้ทำได้เพียงฝากข่าวผ่านจดหมายน้อย  แม้หวังจะพบหน้าทุกวันคืนแต่กลับยากยิ่งนัก  อำนาจมากล้นในมือมิอาจใช้ได้ตามประสงค์..ที่แท้อำนาจบัดซบนี้ยังมีประโยชน์อะไร?

“ผอมลงที่ไหนกัน  ฟู่จวินท่านดูผิดไปเสียแล้วล่ะ” รอยยิ้มอ่อนจางราวสีของกลีบเหมยงดงามยิ่งนัก  จักรพรรดิพิศมองความงามราวเหมยฮวาดอกนี้แล้วถอนใจ  คล้ายกับช่วงเวลาสองเราได้พบยามแรกเหมันต์ หนึ่งดอกเหมยผลิบานทระนง  หนึ่งมังกรปีกหักถลาร่อน  ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายกลับมีมือหนึ่งมาฉุดให้รอดพ้น  หลงจื้อคลี่ยิ้มคราหนึ่งกุมมือบอบบางอย่างรักใคร่

“อย่างนั้นคืนนี้เห็นทีต้องพิสูจน์เสียแล้ว” บุรุษผู้สูงศักดิ์คลี่ยิ้มหยอกล้อกระซิบแผ่วเบาเรียกสีระเรื่อบนใบหน้างดงาม 

จะมีคนกี่มากน้อยที่ทราบว่าหวงตี้ผู้นี้ชิงชังครอบครัวในวังหลวงเพียงไร  มีเพียงสองคนในโลกที่เขารักด้วยความจริงใจไร้ความระแวงสงสัย  ถนอมปกป้องยิ่งกว่าชีวิตตน  หนึ่งคือคณิกาชายผู้ต้อยต่ำ  หนึ่งคือเด็กน้อยกำพร้าผู้ไร้บิดามารดา  ท่ามกลางสนมนางในมากมายนับร้อยพัน  เหล่าลูกชายเก่งกาจลูกสาวงามล้ำ  ครอบครัวจอมปลอมนี้กลับทำให้ชีวิตโอรสสวรรค์อันเปลี่ยวเหงาเดียวดายรู้สึกอบอุ่นแลมีหัวใจอีกครั้ง  ทำให้เขากลับกลายเป็นสามีแลบิดาธรรมดาผู้หนึ่งมิใช่หวงตี้ผู้ชี้เป็นชี้ตายคนอยู่บนบัลลังค์มังกร

แม้มิอาจผ่านพ้นวันปีใหม่ร่วมกันเช่นครอบครัวสามัญ  แต่สองวันก่อนถึงปีใหม่หอเหมยปิดตัวมิรับแขกเพื่อรอคอยจักรพรรดิ์หย่งเต๋อเสด็จเป็นการลับทุกปี  การร่วมทานอาหารค่ำและผ่านพ้นโส่วซุ่ย[9]ไปกับครอบครัวเล็กๆนี้ราวกับเป็นความฝันอันลางเลือน  ในคืนนี้หนึ่งครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเฝ้ารอเวลาผันผ่านไปอย่างสงบสุข  เด็กน้อยลี่ฉางนอนทอดเหยียดยาวเล่าเรื่องต่างๆในหอเหมยบนตักหวงตี้   นายท่านเหมยคลี่ยิ้มอยู่ข้างๆแกะเมล็ดแตงบ้างพัดให้สองพ่อลูกบ้างยามที่มีแมลงหลงบินเข้ามา ผ่านไปซักพักหนึ่งจึงมีเสียงกู่ฉิน[10]นุ่มลึกกังวานดังขึ้นสลับกับเสียงท่องกลอนร้องเพลงใสกระจ่างราวหยกพิสุทธิ์  เม็ดหมากขาวดำของหนึ่งบิดาหนึ่งบุตรกระทบกระดานไม้เกิดสำเนียงอันสงบสุขสายหนึ่ง  ชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้ราวกับหมอกอันลางเลือน  ยามเที่ยงคืนผ่านพ้นหนึ่งสามีภรรยาส่งบุตรชายเข้าห้องนอน  นั่งลงข้างเตียงเล่านิทานเรื่องหนึ่งกล่อมเด็กน้อยให้หลับใหล

เมื่อเห็นลี่ฉางตัวน้อยตาปรือจักรพรรดิก็ทรงสรวลเบาๆจุมพิตที่กระหม่อมบางอย่างอ่อนโยนประคองฟุเหริน[11]ตนกลับห้อง  เมื่อลับแผ่นหลังทั้งสองดวงตาประกายดาราก็ลืมขึ้น  ภาพของเด็กดีเมื่อครู่ลบเลือนหายกลายเป็นเด็กน้อยแสนซนผู้หนึ่ง

 



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-01-2016 11:05:56 โดย duaenmaysa »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ duaenmaysa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0

เหวินฉีลี่ฉางคว้าเสื้อคลุมสีดำสนิทจากใต้เตียงมาคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างมิดชิด  ลอบออกไปด้านนอกหออย่างเร็วรี่  ด้วยห้องนอนของนายน้อยอยู่ด้านในสุดต้องผ่านหน้าห้องท่านเหมยอย่างมิมีทางเลี่ยง  เสียงอันรัญจวนใจเสียงหนึ่งที่ดังลอดออกมาทำเอาเด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำกลั้นใจเดินผ่าน  เสียงครวญครางหวานแผ่วทวีความวาบหวามจนใบหน้างามไม่อาจทำเป็นสงบนิ่ง  ความรู้สึกปั่นป่วนในอกจนใจสะท้านยามได้ยินสองเสียงประสานในห้องนั้นทำเอาแทบพลิกตกบันไดอยู่หลายครา

ผ่านพ้นความยากลำบากมาได้ลี่ฉางที่ขาสั่นเทาตรงรี่ไปยังห้องพี่จื่อหรง  มิคาดกลับได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังมาจากด้านใน  เด็กน้อยยืนกระวนกระวายมิทราบจะทำเช่นไร  อยากจะออกไปด้านนอกแทบขาดใจก็อยาก  แต่ก็ขลาดกลัวมิกล้าเรียกพี่เลี้ยงคนสนิท  จนกระทั่งรวมรวบความกล้าได้สายหนึ่งลอบเปิดประตูห้องนอนของชายหนุ่มเข้าไป  จึงพบเงาอันแข็งแกร่งหลบซ่อนอยู่หลังม่านเตียง   ลี่ฉางหน้าแดงก่ำอีกครา

มารดามันเถอะ! นี่มันคืนอะไรกันทำไมใครๆถึงได้ขยันทำเรื่องเช่นนี้กันนัก  แม้แต่พี่จื่อหรงยัง...ยัง...  ลี่ฉางกลืนน้ำลายมองภาพเงาของแท่งขนาดเขื่องถูกรูดขึ้นลง  เด็กน้อยที่เติบโตในหอคณิกามีหรือจะไร้เดียงสาจนไม่ทราบว่าที่เห็นอยู่คือสิ่งใด  เรียวขาสั่นเทาพาตัวเองออกมาจากห้องของพี่เลี้ยงหนุ่มได้เช่นไรไม่ทราบ  เสียงครางหอบกระเส่าเสียงนั้นคล้ายยังดังอยู่ข้างหู  มือเรียวเกาะบันไดพาตัวเองลงมาถึงด้านล่างที่เงียบเชียบ  วันนี้หอเหมยไม่รับแขกเด็กรับใช้พากันเข้านอนไปหมด  ภายในหอจึงมีเพียงคนทั้งสามซึ่งกำลังปฏิบัติกิจกรรมหรรษาในห้อง

ลี่ฉางพาตัวเองลัดเลาะเข้ามาด้านในสวนเหมย  ด้วยอยู่ที่นี่มานับแต่ลืมตาดูโลกจึงจดจำหนทางได้อย่างแม่นยำ  ตอนแรกตั้งใจจะให้พี่จื่อหรงนำทางมาคงประหยัดเวลายิ่งนัก  วิชาตัวเบาพี่เลี้ยงของเขาเลิศล้ำสะกิดเท้าไม่กี่ครั้งก็พาไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็ว   เด็กหนุ่มกระชับผ้าคลุมสีดำมิดชิดพาตัวเองเข้ามายังสวนเบญจมาศที่เชื่อมต่อกับอาณาเขตของสวนเหมย  แสงไฟจากหอเบญจมาศที่อยู่ไม่ไกลส่องสว่าง  ดนตรีสอดประสานบรรเลงได้น่าฟังอย่างยิ่ง

แสงจันทราสาดส่องลงยังพิภพเบื้องล่าง  เผยให้เห็นกลีบดอกเบญจมาศบอบบางหลากสีสันอวดโฉมงามฉูดฉาด  น้ำตกเทียมที่กลางสวนสาดละอองกระเซ็นสายต้องกลีบดอกไม้จนหวั่นไหวราวโฉมงามถูกโลมเล้าด้วยประกายธารา  หยดน้ำกลิ้งกลอกไปมายังกลีบบุปผาเค้าคลึงจนกิ่งก้านดอกสั่นไหวสะท้าน

ลี่ฉางสะบัดหัวคราหนึ่งเมื่อทราบว่าตัวเองคิดเลยเถิดไปถึงไหนไม่ทราบ  ดวงหน้างามแดงซ่านเร่งฝีเท้าแทรกตัวเข้าไปหลังน้ำตก  ถ้ำเล็กๆปรากฏแก่สายตา  ที่นี่เป็นสถานที่ที่นายน้อยแห่งหอเหมยแลคุณหนูน้อยแห่งหอเบญจมาศมักพบปะเพื่อทำการค้ากันสม่ำเสมอ  ลี่ฉางควานหาหีบไม้เล็กๆใบหนึ่งในความมืด  แสงจันทร์ทอประกายให้เห็นเงาอันลางเลือนเงาหนึ่งที่ถูกแอบซ่อนไว้มิดชิด

ภายในนั้นมีหนังสือปกขาวเรียบง่ายเล่มหนึ่งมีลวดลายดวงอาทิตย์แลเบญจมาศ  อีกเล่มหนึ่งเป็นหนังสือปกขาวเช่นกันไร้ลวดลายใดๆทั้งสิ้นเมื่อพลิกดูด้านในเพื่อตรวจสอบ  ใบหน้างามล่มหล้าก็พลันเกิดรอยอุธัจขัดเขิน  ภาพวาดที่จารึกกิจกรรมหรรษาอันหลากหลายทำให้เหวินฉีลี่ฉางต้องปิดตาลงคราหนึ่ง  พ่นลมหายใจอันอุ่นร้อนผ่านทางริมฝีปากอย่างเชื่องช้า  ลองหรี่ตาลงอีกคราพลิกไปยังหน้าแรกมองภาพของชายผู้หนึ่งถูกจับโก้งโค้งอย่างหวาดเสียว..

น...นี่  นี่..มัน

เด็กหนุ่มหลับตาปี๋  ไม่ทราบเลยว่ากลิ่นหอมหวานที่ติดตรึงบนร่างตัวเองกรุ่นกำจายไปทั่วสวนเบญจมาศ  กลายเป็นกลิ่นหนึ่งที่หอมสะท้านไปทั่วกายทำให้ผู้อื่นรุ่มร้อนจนแทบคลั่ง  ไม่ทราบว่าเป็นพรหมลิขิตหรือชะตากลั่นแกล้ง องค์ชายเจ็ดผู้กำเนิดจากนางกำนัลชั้นปลายแถวบังเอิญกลับมาจากแนวหน้าในวันนี้พอดี  ประจวบเหมาะกับที่เป็นวันเกิดคุณชายพระประยูรญาติผู้หนึ่งจึงถูกเชิญเข้าร่วมงานฉลองยังหอเบญจมาศแห่งตำหนักหมื่นวสันต์



องค์ชายเจ็ด หลงจิ่นสือผู้นี้องอาจกล้าหาญแต่ไม่เป็นที่โปรดปรานของจักพรรดิเพราะนิสัยเถรตรงเกินไป  คนผู้นี้กล้าวิจารณ์แม้แต่ผู้เป็นบิดาของตัวเองจึงกลายเป็นลูกชังของหย่งเต๋อหวงตี้ไปโดยปริยาย  โดยปกตินั้นองค์ชายผู้นี้มิได้อยู่ในนครหลวงบ่อยนัก  บ้านที่แท้จริงของเขาอยู่ในสนามรบ  อำนาจแผ่ขยายเกรียงไกรทั่วชายแดน  แต่เมื่อหวนกลับคืนเมืองหลวงกลับกลายเป็นเพียงคนเถื่อนแลตัวตลกผู้หนึ่งเท่านั้น

ครานี้เมื่อมาร่วมงามจึงถูกเหล่าองค์ชายแลคุณชายพระประยูรญาติผู้เกรกมะเหรกเกเรหลายคนรวมหัวกันกลั่นแกล้งให้ดื่มสุราผสมยาปลุกกำหนัด   คนเหล่านั้นหวังใจว่าจะละลายใบหน้าเรียบเฉยราวน้ำแข็งก้อนหนึ่งนี้ให้ได้  หวังใจจะเห็นองค์ชายผู้เป็นแกะดำถูกทำลายศักดิ์ศรีจนราบคาบกลายเป็นสุนัขติดสัดที่น่าขบขันตัวหนึ่ง

จิ่นสือแม้เป็นคนเถรตรงแต่มิใช่คนโง่  เขาเป็นแม่ทัพหน้าด่านมาหลายปีมีความเหี้ยมโหด ดุดัน เด็ดขาดอยู่มาก นิสัยอย่างชายชาตรีนี้ทำให้เป็นคนไม่ละเอียดอ่อนอยู่บ้างจนลืมสังเกตท่าทีอย่างหมาป่าที่กระหยิ่มยิ้มย่องมองเหยื่อของเหล่าคนพาล เมื่อไม่ทันระวังตัวดื่มสุราผสมยาปลุกกำหนัดเข้าไป  ยามที่ร่างกายเริ่มรุ่มร้อนก็ทราบโดยทันทีว่าถูกกลั่นแกล้งเข้าเสียแล้ว  แต่องค์ชายผู้นี้ทะนงในศักดิ์ศรียิ่งนัก มิอาจล้มต่อหน้าคุณชายหน้าขาวเหล่านี้ได้

โชคดีที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์จึงระงับอาการร้อนรุ่มเอ่ยลามาด้วยท่าทีองอาจอ้างว่ามีงานราชการติดพันมิสามารถรั้งอยู่นาน  ต่อให้คนพวกนั้นเพียรรั้งเขาแค่ไหนก็มิสามารถต้านทานความแข็งแกร่งของคนเถื่อนผู้นี้ได้  ดวงตาแดงก่ำปูดโปนราวกับปีศาจทำให้เหล่าคุณชายหน้าขาวผวาหวาดกลัวถอยห่าง  จิ่นสือหอบร่างใหญ่โตออกมาจากหอเบญจมาศ  จดจำความอับอายในวันนี้ไว้ในหัวใจมิอาจลบเลือน  ศักดิ์ศรีที่พวกมันคิดทำลายเขาจักทวงคืนอย่างสาสมแน่นอน!

ร่างกายแข็งแกร่งสั่นระริกมิอาจขึ้นม้ากลับตำหนักของตนได้  มองเห็นสวนเบญจมาศที่เงียบสงบไร้ผู้ย่างกรายจึงเข้าไปหลบเพื่อให้พ้นผู้คน  เดินเข้าไปได้ไม่ไกลก็พบกับน้ำตก  แม่ทัพหนุ่มจุ่มใบหน้าลงกับบ่อน้ำเทียมแห่งนั้นเพื่อคลายความร้อนรุ่มแข็งเกร็งไปทั่วร่าง  สิ่งที่ผงาดอยู่เบื้องต่ำมันอึดอัดจนแทบระเบิดออกมา  จู่ๆกลิ่นหอมเย้ายวนสายหนึ่งก็ลอยคละคลุ้ง  องค์ชายเจ็ดมิอาจต้านทานกลิ่นอันกระตุ้นกำหนัดสายนั้นถูไถร่างกายไปกับพื้นอย่างน่าอดสู  ดอกเบญจมาศงามงดถูกดึงทึ้งเพื่อคลายความตรึงเครียดในจิตใจ  แต่มิอาจบรรเทาสิ่งที่ตื่นตัวอยู่ตอนนี้ได้แม้แต่น้อย

ราชนิกูลหนุ่มพยามยามยันตัวขึ้นตะเกียกตะกายไปตามกลิ่นอันยั่วเย้ากลิ่นนั้น  แทรกตัวเข้าสู่โพรงที่หลบซ่อนอยู่เบื้องหลังน้ำตกเทียมอย่างทุลักทุเล  ในที่สุดก็พบกับต้นตอของสิ่งที่กระตุ้นกำหนัดเขาให้โหมทวีเสียจนตาพร่าพราย

ร่างหนึ่งในชุดดำที่กำลังนั่งคุกเข่ากับพื้นเปิดอ่านหนังสือปกขาวมีท่าทีผวาดผวาเมื่อเห็นคนแปลกหน้าเช่นเขา  จิ่นสือมองคนที่ถลันกายหนีไปติดชิดกับผนังของถ้ำด้วยลำคอที่แห้งผาก  ขอร้องให้อีกฝ่ายช่วยด้วยเสียงอันเหือดระโหย

“ท...ท่านบาดเจ็บตรงไหน” เสียงนั้นน่ารักอย่างยิ่ง  ราวกับเสียงของหยดน้ำอันพิสุทธิ์กระทบยอดหญ้ายามอรุณรุ่ง  ใสราวกับแก้วผลึก  กังวานหวานราวกับระฆังใบหนึ่ง 

"ด...ได้โปรด ช..ช่วยที" จิ่นสือรั้งมือของอีกฝ่ายไว้  อึดอัดจนแทบบ้าคลั่ง  รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นปีศาจราคะที่มิอาจควบคุม  มือหนาปลดเสื้อตัวนอกลงอย่างเร็วรี่  ฉีกทึ้งกางเกงตัวในอย่างบ้าระห่ำ  เสียงน่ารักเสียงนั้นอุทานเบาๆเมื่อเห็นว่าแก่นกายของเขามันจวนเจียนจะระเบิดเต็มทีแล้ว  จิ่นสือคล้ายได้ยินเสียงตัวเองครวญครางราวสุนัขตัวผู้ในฤดูกาลผสมพันธุ์แม้จะอดกลั้นกัดลิ้นจนเลือดไหลหยดจากริมฝีปากมิขาดสายก็มิสามารถปิดกลั้นเสียงอันน่าละอายนี้ไว้ได้

เด็กหนุ่มผู้หลบอยู่ใต้ชุดคลุมดำตัดสินใจจะช่วยเหลือ  มือบางนั้นค่อยขยับมาหาแก่นกายอันตรึงเครียดอย่างขลาดกลัว  กอบกุมขึ้นลงอย่างเงอะงะราวกับเด็กไม่รู้ประสา  จิ่นสือคำรามในลำคอด้วยความรัญจวนใจ  สัมผัสนุ่มละมุนราวสำลี  ชวนให้ละลายอยู่บนฝ่ามืออุ่นร้อนนั้นยิ่งนัก  เขาคว้าเอวบางเข้ามาใกล้ชิด  ร่างน้อยอุทานหวิวเมื่อถูกมือหนาตระโบมโลมเล้า

จิ่นสือทึ้งชุดสีดำสนิทของอีกฝ่ายออกไปจึงได้พบว่าที่แท้ในอ้อมกอดตนเองมีนางฟ้าผู้งดงามอยู่ผู้หนึ่ง  นางฟ้าผู้นั้นน่ารักไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อยยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างอับอาย  แต่มิอาจบดบังความงามจนจันทราอับอายหม่นแสง  องค์ชายเจ็ดพยายามรั้งสติ ตระกองกอดร่างงดงามในมืออย่างทะนุถนอมที่สุดที่จะทำได้ ถูไถแก่นกายตรึงเครียดไปทั่วร่างขาว  เด็กหนุ่มตัวสั่นระริกราวดอกเฉ่าฮวา[12]ที่ถูกสายลมวสันต์กรีดกรายหยอกล้อ

 

เหวินฉีลี่ฉางถดร่างกายหนีพยายามฝืนตัวออกจากอ้อมกอดชายแปลกหน้าแต่กลับถูกจุมพิตหนึ่งคร่าสติสัมปะชัญญะไปสิ้น  หนึ่งวาตคลั่งพัดโหมจนคลื่นทะเลกระฉอกสั่นไหว  ธรณีมิอาจทานทนอ่อนระทวยลงราวกับสำลี  ร่างกายอันบอบบางถูกทอดวางบนพื้นเย็นยะเยียบ  ไม่ทราบเมื่อใดไร้อาภรณ์ปิดกาย  ลี่ฉางมิทราบจะทำเช่นไรใจหนึ่งอยากร้องตะโกนหลบหนีกลับสู่ห้องนอนอันอบอุ่น  ใจหนึ่งมันดื้อรั้นอยากลองก้าวเดินไปยังเส้นทางแห่งกฤษณาอันมืดดำ  คล้ายมีเสียงกระซิบจากที่ไหนซักแห่งในหัวใจบอกให้ลองเหยียบย่างบนเส้นทางเส้นนั้นอาจจะพบปลายทางแสนหฤหรรษ์

 หนึ่งดอกไม้แย้มกลีบเบ่งบานยามที่ถูกหยดน้ำกลิ้งกลอกโลมเล้าก็หุบกลีบหวั่นไหว  น้ำเย็นยะเยือกค่อยๆซึมหายยังกลีบดอกไม้  มิทันได้ตัดสินใจสะโพกงามงอนก็ถูกช้อนขึ้นจนชิดกับริมโอษฐ์อันหยาบกระด้าง  หนวดเคราของชายเถื่อนผู้นั้นทำให้เนื้ออ่อนถูกบาดระคายขึ้นสีแดง  ลี่ฉางกรีดร้องครวญครางคราหนึ่งเมื่อเขาชำแรกลิ้นเย็นเฉียบมาในร่างกาย  เด็กหนุ่มตาพร่าพรายมือหนึ่งผลักไสศีรษะคนผู้นั้นออกแต่มือหนึ่งกลับดึงรั้งไว้ด้วยใจอันสับสน

“ข..ขอข้าได้หรือไม่” ชายผู้นั้นกระซิบเสียงพร่า  เด็กหนุ่มมึนงงในทีแรกแต่ก็ได้สตินึกรู้ทันทีที่ความอุ่นร้อนถูไถอยู่บนกลีบเบญจมาศราวกับเว้าวอนหวังจะเคล้าคลึงเกสร  ลี่ฉางถอยกระถดตัวหนีออกจากอ้อมกอดหยาบโลนอย่างลนลาน  คว้าเสื้อคลุมมาคลุมกาย  หยาดน้ำตาพร่างพรูราวเม็ดมุกด้วยความหวาดกลัว

“อ..อย่า  ฮึก..อย่าเข้ามา”

“ด..ได้โปรด  ข..ข้าสัญญา ข้าจะรับผิดชอบ จะแต่งเจ้าเป็นเมีย  ด..ได้โปรด” ลี่ฉางส่ายหน้าระรัว  กำเนิดในหอคณิกาแล้วอย่างไร  ได้ชื่อว่าเป็นคณิกาชายแล้วอย่างไร  คณิกาชายเองก็มีศักดิ์ศรีเช่นกัน  หากเขาถูกย่ำยีก่อนวันประมูลพรหมจรรย์..น...นี่นับว่า...นับว่าเป็นเรื่องอันบัดซบอย่างยิ่ง!

เด็กหนุ่มถลันตัวหนีออกจากถ้ำยามที่ชายแปลกหน้าผู้นั้นมิทันระวัง  แต่กวางน้อยกลับมิสามารถหลีกพ้นบ่วงแร้วของนายพราน  ข้อเท้ากลมกลึงถูกมือหยาบกระด้างดึงรั้ง  ลี่ฉางสะท้านใจเฮือกหวั่นกลัวจะถูกย่ำยี  แต่ชายผู้นั้นกลับทำเพียงซบใบหน้าลงที่ข้อเท้าเขาอย่างเงียบเชียบ โค้งศีรษะแนบชิดกับปลายเท้ายอมจำนนสิ้นทุกสิ่งอย่าง  โลมจูบลงที่ข้อเท้าเขาอย่างอ้อนวอน  ดวงตาหงส์หรี่ตามองบุรุษเถื่อนอย่างเวทนา  แม้จะอายุสิบสองและยังติดนิสัยเด็กซุกซนอยู่บ้างแต่ลี่ฉางก็เป็นผู้สืบทอดหนึ่งเดียวของหอเหมยย่อมมิใช่คนโง่งมดังนั้นเห็นการแต่งกายอันเป็นเอกลักษณ์จึงพอคาดเดาฐานะของคนผู้นี้ได้บ้าง  เมื่อเห็นคนผู้นี้มาถอดศักดิ์ศรีมาร้องขอจึงอดเวทนาสงสารไม่ได้

“ข..ข้าเป็นคณิกาชาย  พรหมจรรย์ก่อนวันประมูลนับเป็นศักดิ์ศรีอันสำคัญท่านทราบเรื่องนี้หรือไม่” ลี่ฉางพยายามสงบนิ่งเยือกเย็นอย่างอาจารย์  แต่พยายามเพียงไรน้ำเสียงก็ยังมีร่องรอยสั่นเทาอย่างชัดเจน

“ข..ข้าทราบ”

“เช่นนั้น..”

“ข..ข้าให้สัญญา ม..มิล่วงเกินพรหมจรรย์ท่าน” ชายเถื่อนผู้นั้นกระซิบเสียงระโหย  เหวินฉีลี่ฉางมิทราบจะทำเช่นไร  ใจหนึ่งก็อยากสะบัดมือคู่นั้นทิ้งไป  แต่ใจหนึ่งกลับอ่อนยวบเมื่อสบดวงตาเว้าวอน  ท่ามกลางความเงียบเชียบแลเสียงหอบหายใจครู่หนึ่งเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดปลดชุดคลุมดำออกด้วยมือระริกสั่นราวดอกไม้ต้องวาตโหม

 

ค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนที่มิอาจลืมเลือน  สัมผัสของฝ่ามืออุ่นร้อนที่เคล้นคลึงไปทั่วเรือนร่าง  จุมพิตที่ตระโบมโหมจูบทั่วกายบอบบาง  บุปผาดอกหนึ่งสั่นไหวระริกยามที่ถูกเย้าหยอกคราแล้วคราเล่า ถูกหยาดน้ำรดรินจนชุ่มโชก  บางคราสาดกระเซ็นเข้าสู่เกสรโดยมิตั้งใจ  ลี่ฉางสะดุ้งทุกครายามรับรู้ถึงหยาดหยดอันระอุอุ่นซึมเข้าสู่กลีบอ่อนบาง  ดอกไม้น้อยหุบกลีบอย่างรัญจวนอ่อนหวานน่ารักน่าใคร่ไปทั้งตัวจนถูกคนผู้นั้นจูบย้ำๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เม็ดทับทิมงามล้ำคู่หนึ่งถูกโลมเล้าเอาใจจนฉ่ำแฉะแดงก่ำเสียจนคล้ายสีโกเมนเอก  ลี่ฉางทึกทักเอาว่าทราบถึงความรู้สึกของมารดายามให้นมแก่บุตรแจ่มกระจ่างแล้วพลันรู้สึกสำนึกบุญคุณแม่นมของเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น  ความเจ็บปวดรัญจวนเช่นนี้ทำให้อยากร่ำไห้แลกรีดร้องครวญครางในคราเดียว  อยากเอามือปิดกั้นยอดโกมุทคู่งามให้ห่างจากปากแสนร้ายนั่นเสียแต่ก็อยากยืดอกเสนอสนองให้อีกฝ่าย  เด็กหนุ่มมิทราบว่าควรจะทำเช่นไรจึงได้แต่ปิดตาแลส่งเสียงครวญครางเบาหวิวผ่านปากจิ้มลิ้มน่ารัก

ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่ชายเถื่อนผู้นี้ยังมิคลายกำหนัดเสียที  ลี่ฉางที่ถูกจับโก้งโค้งอย่างท่าในหนังสือพลันรู้สึกเหนื่อยอ่อนจนแทบสลบลงแต่มิอาจทำได้  หยาดน้ำถูกปลดปล่อยจนชุ่มโชกไปทั่วเรือนกายขาวเสียแล้ว  ในที่สุดเด็กน้อยมิอาจทานทนไหวยอมรับความร้อนเร่าขนาดเขื่องเข้ามาภายในริมฝีปากอ่อนบางอย่างจำยอม

ใบหน้าอันแสนสุขยามที่คนแปลกหน้าปลดปล่อยทะลักทะลายอยู่ในปากเขาเป็นสิ่งที่ยากบรรยาย  รังเกียจหรือชอบใจไม่อาจบอก  เด็กหนุ่มได้แต่สำลักน้ำขาวขุ่นออกมาอย่างน่าสงสาร  บางส่วนที่คายออกมาไม่ทันก็ถูกกลืนลงไปเสียแล้ว  รสชาติอันแปลกประหลาดทำให้ใบหน้างามล้ำเหยเก  ชายหนุ่มผู้นั้นส่งเสียงสรวลเบาๆโอบกอดร่างกายเล็กมาไว้บนตัก  โลมลูบนวลเนื้ออ่อนบางคล้ายปลอบขวัญเด็ก

“พ..พอหรือยัง” ลี่ฉางเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม  เกรงว่าหากไม่พอตัวเขาคงสลบไปเสียก่อน  แม่ทัพเถื่อนผู้นั้นยิ้มจางๆจุมพิตตามร่างกายขาวผ่องที่มีร่องรอยรักกระซิบว่าพอแล้วทั้งที่มือยังโลมลูบอย่างเอาแต่ใจ

“ขอบคุณเจ้าอย่างยิ่ง  ข้าติดหนี้น้ำใจของเจ้า” คนงามเชิดหน้าคราหนึ่งอย่างถือดี ร้องเฮอะตอบด้วยท่าทีหยิ่งยโส

“ข้าเพียงแต่เมตตาต่อสัตว์ผู้ตกยาก  อ..อ๊ะ!” ชายหนุ่มจูบริมฝีปากแสนร้ายกาจอย่างหยอกล้อ  ลี่ฉางหน้าแดงระเรื่อมองค้อนคนที่ทำให้ได้อายเสตาหลบมิกล้าสบตา  สองร่างอันเปลือยเปล่าพัวพันกอดรัดกันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

สังเกตท้องฟ้าเมื่อใกล้ยามอิ๋น[11]ลี่ฉางรีบหยิบชุดมาสวมใส่อย่างลวกๆ  เรือนกายที่เปรื้อนเปรอะด้วยน้ำกามทำให้เด็กหนุ่มหน้าแดงซ่านหลบตาผู้ที่จ้องมองมาอย่างร้อนแรง  รีบรวบเส้นผมที่สยายหลุดลุ่ยให้เข้าที่  คว้าชุดคลุมสีดำที่เป็นผ้ารองทั้งสองร่างยามกอดรัดพัวพันขึ้นมาจะสวมแต่เมื่อมองสภาพอันยับเยินจึงได้แต่ถอนใจและทิ้งมันลงเสีย  เด็กหนุ่มหมุนกายจะวิ่งกลับคืนหอเหมยแต่ถูกมือหยาบกระด้างอันคุ้นเคยรั้งไว้อีกคราเสียก่อน

“ข้าขอทราบนามเจ้าได้หรือไม่” ลี่ฉางเชิดหน้าขึ้นตอบอย่างทันท่วงที

“ไม่..ท่านคิดว่าคืนนี้เป็นเพียงฝันหนึ่งตื่นเสียเถิด  เราสองมิเคยพบปะ  อย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจ”

"จะอย่างไรเจ้าก็เสียหาย  ให้ข้าได้รับผิดชอบเจ้าเถิด" มือเขารั้งกอดไว้ ดวงตาคมกริบในยามนี้ทอประกายอ่อนหวานราวกับมธุรสแรกคิมหันต์ทำให้เด็กหนุ่มอดใจสั่นสะท้านมิได้  ถึงอย่างนั้นความถือดีแลเจ้าทิฐิที่มีอยู่เต็มเปี่ยมก็ยิ่งทำให้ลำคอระหงเชิดสูงขึ้นชายตามองอีกฝ่ายเพียงหางตา

"ไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรทั้งนั้น  ท่านได้ยินที่ข้าพูดไม่ชัดพอหรือ  นับแต่นี้ท่านกับข้าไม่เคยพบปะกันมาก่อน  หากพบหน้าก็อย่าเข้ามาทักทาย  มองผ่านคิดว่าข้าเป็นสายลมสายหนึ่งไปเสียก็ได้  หากยังมาวอแวข้าจะเล่นงานท่านให้หนักเลยคอยดู!" ลี่ฉางเม้มปากแน่นเอ่ยคำขู่ออกไปด้วยใบหน้าขึงขังแต่มิได้ทำให้อีกฝ่ายมีท่าทีสำนึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย

“เจ้ามิอยากบอกก็มิเป็นไร  แต่ข้ามีนามว่าหลงจิ่นสือ  หากเปลี่ยนใจให้นำหยกนี้ไปมอบแก่โรงฝึกขององค์ชายเจ็ดอยู่ห่างจากที่นี่ไปสองช่วงถนน  ข้าพำนักอยู่ที่นั่น” ลี่ฉางมิตอบความ  ชายตามองหยกนั้นคราหนึ่ง ในใจรู้สึกสั่นไหวขึ้นมา  แม้จะบอกว่าเป็นเพียงฝันลางเลือนแต่ใจเขาจะลืมมันได้อย่างหมดจดจริงหรือ  มืองามถูกยัดเยียดหยกไว้ในมือ  ริมฝีปากสีจางเม้มเข้าหากันคล้ายตัดสินใจ  สุดท้ายก็รับหยกไว้สะบัดชายเสื้อเดินจากไปไม่หวนกลับ 




เชิงอรรถ
[1] มุสิก - หนู
[2] ซุนจื่อปิงฝ่า [孫子兵法] - เป็นตำรายุทธศาสตร์การทหารหรือตำราพิชัยสงครามของจีน ซึ่งถูกเขียนขึ้นเมื่อราวหกร้อยปีก่อนคริสตกาลโดยซุนวู นักยุทธศาสตร์คนสำคัญในยุคจ้านกว๋อ  เนื้อหาในตำราพิชัยสงครามฉบับนี้มี 13 บท แต่ละบทเน้นถึงแต่ละแง่มุมของการสงคราม
[3] อิงเถา - เชอรี่
[4] ยามเซิน - เวลา 15.00-16.59 นาฬิกา
[5] ยามอิ่ว - เวลา 17.00 - 18.59 นาฬิกา
[6] ฉื่อ[尺] - หน่วยวัดความยาวของจีนโบราณ  ในแต่ละยุคสมัยถูกกำหนดไว้แตกต่างกัน  ในยุคปัจจุบัน 1 ฉื่อ ยาวประมาณ 33 เซนติเมตร  แต่โบราณ 1 ฉื่อ มีค่าประมาณ 23 เซนติเมตร  โดย 1 ฉื่อสามารถแยกย่อยเป็น 10 ชุ่น [寸] , ความสูงของเหวินฉีลี่ฉางในตอนนี้อยู่ที่ เจ็ดฉื่อ หรือก็คือ 160 เซนติเมตร
[7] อาเตีย - บิดา
[8] อาเหนียง - มารดา
[9] โส่วซุ่ย -   ในคืนก่อนวันตรุษจีน ทุกบ้านจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เพื่อส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ตลอดทั้งคืนนี้ก็จะไม่หลับไม่นอน ลักษณะแบบนี้ชาวจีนเรียกว่า “โส่วซุ่ย” ทั้งนี้ สมาชิกในบ้านจะไม่ได้นั่งรอคอยเวลากันเฉยๆ แต่มีกิจกรรมร่วมกันมากมาย
[10] กู่ฉิน - พิณจีนโบราณชนิดหนึ่ง มี 7 สายไม่ทราบยุคที่ปรากฏแน่ชัดแต่พบในจารึกกระดองเต่ายุคราชวงศ์โจวมีการกล่าวถึงแล้ว
[11] ฟุเหริน[夫人] - ภรรยา
[12] เฉ่าฮวา - ดอกหญ้า





ทักทายนักอ่าน
ความจริงแล้วตอนนี้เป็นตอนพิเศษปีใหม่  แต่มาลงตอนนี้ก็ยังทันเนอะ 555555  นานๆที่หวงช่างของเราจะโผล่มา  เมื่อมีเงินจ่ายค่าตัวหวงช่างแล้วต้องใช้ให้คุ้ม ตอนหน้าหวงช่างก็จะโผล่มาอีกนะคะ คราวนี้โผล่ถาวรไม่ผลุบๆโผล่ๆเพราะว่าตอนนี้สถานะทางการเงินดีมีตังค์จ่ายค่าตัวเต็มเม็ดเต็มหน่วย 5555555  ขอแจ้งข่าวด้วยว่าตอนนี้นิยายหมดสต็อกเรียบร้อยแล้วค่า T____T ดังนั้นสปีดการอัพก็กลับมาเป็นเต่าคลานดั่งเดิม  กำหนดการอัพของเราคือวันศุกร์ เสาร์ หรืออาทิตย์วันใดวันหนึ่งนะคะ  ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ ทุกคอมเม้นท์ ทุกการติดตามนะคะ อ่านคอมเม้นท์ทีไรมีแรงปั่นตอนใหม่ทุกทีเลย ^^





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-01-2016 11:06:30 โดย duaenmaysa »

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ชะอะ! อาเตียของลี่ฉางที่แท้คือฮ่องเต้หรอคะ!?
(หรือมีบอกไว้ก่อนหน้านี้แต่เราอ่านข้ามไปหว่า?)
แหมๆ จิ่นสือ นี่ท่านกินน้องตัวเองสินะท่าน... (แต่สายเลือดไม่เกี่ยวกันก็ไม่เป็นไรหรอก เนอะ)
แถมยังกินมาตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้วด้วย!!!
สามคนพ่อแม่ลูก แลดูเป็นชีวิตครอบครัวที่หวานนิดๆภายใต้รสชาติขมเฝื่อน
พี่จื่อหรงนี่ดูรันทดนะ5555 น้องสวยเกินไปทำคุณพี่เลี้ยงหวั่นไหวจนต้องแอบไปช่วยตัวเองเลยหรอเนี่ย แหมๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อิโรติกแต่เล็กแต่น้อยเลย  :-[

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
กรี๊ด เขิน :ling1:

รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
โอวววว เป็นอดีตรักฝังใจกันมาก่อนนี่เอง แต่แล้วทำไม ตอนหลังมาผิดใจกันได้นะ ถึงต้องถูกขังไว้ และทรมานแทบแย่ ในช่วงแรกที่อยู่ด้วยกัน ต้องติดตามๆ

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
อ้าว งี้จิ่นสือฆ่าอาเตียของลี่ฉางอะสิ :a5:

ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 931
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1

ออฟไลน์ Veesi3

  • coHon3 {ต้นฝ้าย}
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 715
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
ไม่แปลกใจที่หลี่ฉางปฏิเสธจิ่นสือตลอดมา แหมมม ช่วยแบบนั้นมันก็กระไรๆ อยู่ แต่แบบ....แซ่บเว่อร์ บรรยายออกมาให้เราจินตนาการความอีโรติกไกลมากอ่ะ เซอร์ไพรสมากที่อาเตียนางคือฮ่องเต้ โม้เม้นครอบครัวสุขสันต์ยามอยู่กันสามคนนี่คืออบอุ่นมากๆ เลบเข้าใจเลยว่าทำไมหลี่ฉางถึงเสียใจมากแค่ไหนตอนที่ท่านเหมยไม่ยอมรับนาง รออ่านตอนต่อไปค่ะ สนุกมากๆ

ออฟไลน์ runtothemoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบเวลาหวงตี้องค์ก่อน ท่านเหมย กับน้องหนูลี่ฉางอยู่ด้วยกัน รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในใจ แต่แอบตกใจนิดๆไม่คิดว่าน้องหนูกับเจอกับจิ่นสือในสถานการณ์แบบนั้น55555555555555555แหม่แอบออกไปนั่งอ่านหนังสือปกขาวอยู่ดีๆเป็นไงละเจอกับตัวเลย ปากบอกเขาว่าลืมๆเรื่องวันนี้ไปซะ แต่ใจนี่แอบปันให้เขาแบบไม่รู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นแน่น๊อนนนนนนคนปากแข็ง จิ่นสือเขาก็รักของเขามานานเนอะไปทำไงให้ตอนหลังน้องเกลียดขี้หน้าได้ล่ะเอ้อ ;A;

เป็นตอนพิเศษที่เข้ากับอากาศเย็นๆสุดสัปดาห์จริงๆ*-*

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
ตอนที่เจอกันครั้งแรกนี่ทำให้คิดว่าต่อไปคงแสนหวานแน่ๆ  แต่ๆๆๆๆเรื่องหลักลับไม่เป็นเช่นนั้น :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ duaenmaysa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0




ตอนที่ ๙ คนผู้มิอาจไม่ชิงชัง


ล่วงเข้าสู่ชิงหมิง อากาศสดใสอาทิตย์ฉายแสงอบอุ่นสายลมพัดม่านคลุมพลิ้วไหวเผยให้เห็นว่าวน้อยลอยเกลื่อนฟ้า  เสียงของกลุ่มเด็กน้อยดังอยู่ไม่ไกลกำลังสนุกสนานเพลิดเพลินกันยิ่งนัก  ข้าเอนกายอยู่บนรถม้าเฝ้ามองว่าวสีสันงามตระการลอยละล่องอยู่บนนภา  ใบหลิวเอนไหวสายป่านต้องลมแรงขาดสะบัดว่าวน้อยขาดลอย  ถอดทอนหายใจคราหนึ่ง...วันหนึ่งอยู่บนจุดสูงสุดทอดสายตามองคนทั่วหล้าในชั่วพริบตากลับร่วงลงแทบธรณีกลายเป็นเศษซาก  ที่แท้ชีวิตคนเรามีอันใดแตกต่างกับว่าวเหล่านี้

 

ผ่านเขตถนนเมฆมังกรอันครึกครื้นเข้าสู่ถนนหลวงที่เงียบสงบ  อาณาเขตของเคหาสน์ผู้ดีที่โออ่าอลังการโดยส่วนมากมักเป็นบ้านของเหล่าพระประยูรญาติ  ต้นไม้ตัดแต่งงดงามบุปผาผลิบานสะพรั่งเฉิดฉาย  ประตูวังหลวงอยู่ไม่ไกลกำแพงใหญ่กางกั้นราวกับไท่ซานบรรพต[1]  รถม้าของจวนสกุลหลี่หยุดลงอย่างนิ่มนวล  ข้าจับหน้ากากเงินอีกครั้งเมื่อมั่นใจแล้วว่ายังอยู่ดีมิเลื่อนหลุดไปไหนจึงลุกขึ้นเปิดม่านรถม้า  บุรุษผู้สวมชุดขุนนางบู๊ลายพยัคฆ์องอาจน่าเกรงขามยืนรออยู่อย่างสงบนิ่งคนผู้นี้ย่อมต้องเป็นหลี่ฮุ่ยเหอ  กงกงจากตำหนักหลวงยืนคอยอยู่ไม่ไกล  ข้าจัดชุดขาวสะอาดปักลายเหมยฮวาสีขาวพิสุทธิ์ที่ท่านเหมยเป็นผู้มอบให้  ทั่วทั้งร่างปกคลุมด้วยสีขาวราวหิมะตอนพิศดูในกระจกรู้สึกว่าดูเยือกเย็นงามสง่าขึ้นมาหลายส่วน  นี่เรียกว่าอาภรณ์ส่งเสริมชนโดยแท้

 

กงกงหนุ่มเหล่านั้นรู้งานดีอย่างยิ่ง พวกเขาคำนับฮุ่ยเหอแลข้าด้วยท่วงท่าพอเหมาะพอเจาะมิดูประจบประแจงเกินไปแต่ก็มิแข็งกระด้างเกินไปเจรจาปราศรัยพอเป็นมารยาทแล้วจึงเดินนำไปยังตำหนักหลวง  ข้าและแม่ทัพหลี่สบตากันคราหนึ่งเดินตามหลังกงกงไปอย่างเงียบเชียบ ในใจข้านั้นทราบดีว่าฮุ่ยเหอยังคงเหลือคลางแคลงในตัวข้าอยู่บ้าง แต่อย่างไรเขาก็สนับสนุนข้าโดยไม่บิดพลิ้วเมื่อได้รับคำยืนยันจากท่านเหมย

 

ในคราแรกหลังจากบอกแผนการแก่เขาฮุ่ยเหอนิ่งสงัดไปครู่ใหญ่พลันถอนหายใจออกมาอย่างสับสนตกปากรับคำทำตามแผนข้า  ตอนนั้นข้าซาบซึ้งต่อน้ำใจเขาอย่างยิ่ง  ทั้งที่ทราบดีว่าต่อจากนี้สกุลหลี่จักถูกนำมาพัวพันในวังวนอันยุ่งเหยิงกระนั้นก็สนับสนุนข้าด้วยใจจริง  เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าในมือข้ากำชะตาของสกุลหลี่เอาไว้ ยามรุ่งโรจน์ก็รุ่งโรจน์ด้วยกันยามเป็นตายก็เป็นตายด้วยกันจะหุนหันพลันแล่นไม่ได้โดยเด็ดขาดมิเช่นนั้นมิใช่เพียงตัวข้าที่เดือดร้อนแต่จักเป็นสกุลหลี่ทั้งสกุล

 

คิดถึงตรงนี้ก็อดจะนึกถึงคุณชายรองผู้นั้นมิได้ ในตอนที่ต้องจากลาเขาเพียงยิ้มน้อยๆเอ่ยคำอวยพรด้วยท่าทีสงบสำรวม แต่สายตาตัดพ้อของฮุ่ยเหอทำให้ข้าละอายใจอย่างยิ่ง  เขามอบไมตรีให้ข้าด้วยความจริงใจเป็นมิตรแท้ที่สวรรค์ชักพามาให้ยามตกยาก  สวนไผ่และเรือนเล็กของเขาเป็นดั่งแดนสวรรค์อันสุขสงบทำให้จิตใจอันทุกข์ตรมผ่อนคลาย  แต่ข้ากลับเป็นผู้ชักนำเรื่องยุ่งยากสู่สกุลหลี่..ต่อจากนี้ไม่ทราบเมื่อใดจะได้พบกับเขาอีกครา

 

 ส่วนเจ้าดำน้อยนั้นชาญฉลาดยิ่งนัก  ราวกับมันจะรู้ว่าข้าต้องจากไกลจึงคอยคลอเคลียวนเวียนอยู่รอบตัวข้าตั้งแต่ในวันแรกที่กลับจากหมื่นวสันต์  เด็กน้อยตัวนี้กระสับกระส่ายอยู่ไม่เป็นสุขกินไม่ได้นอนไม่หลับจ้องมองดูข้าตลอดวันตลอดคืน  ข้าลูบหัวมันคราหนึ่งรักและอาลัยอย่างยิ่งแต่จักให้ติดตามไปในวังหลวงได้อย่างไร แม้แต่ในยามจากลามันก็ยังดื้อดึงอย่างยิ่ง  ข้าลอบนำยาสลบใส่ในชามอาหารระวังให้เจือจางที่สุดเพื่อไม่ให้เจ้าสุนัขฉลาดตัวนี้จับได้  ที่ไหนได้มันกลับเมินชามอาหารมาติดตามข้าต้อยๆไม่ยอมห่าง  ข้าถอนหายใจคราหนึ่งจะล่อลวงอย่างไรก็ไม่ยอมกิน  จนต้องเอ่ยปากสั่งมันถึงได้ร้องครางประท้วงอย่างน่าสงสารถึงอย่างนั้นก็ยอมเดินโซเซไปกินอาหาร  เพียงชั่วหนึ่งก้านธูปเผาสุนัขน้อยก็หลับใหล  สายตาตัดพ้อของมันจะลืมได้อย่างไร  ข้าจุมพิตที่ศีรษะเล็กๆนั้นคราหนึ่งสะบัดชายชุดขาวขึ้นรถม้าจากมา  เก็บวันคืนในสวนไผ่นั้นไว้ใจความทรงจำ ถึงเวลาต้องทดแทนบุญคุณสกุลหลี่ให้จงได้

 





ในยามนี้ทุกก้าวเดินจึงล้วนแต่เต็มไปด้วยความมุ่งมันตั้งใจมิอาจถอยกลับไปได้อีกแล้ว..  ข้าแหงนพักตร์มองตำหนักอันประณีตงดงามที่คุ้นเคยหยุดคิดเรื่องยุ่งยากใจ สูดลมหายใจคราหนึ่งเดินตามก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดหินอย่างเยียบเย็น  ภายในตำหนักมังกรเหินยังคงเดิมไม่มีที่ไหนแปรเปลี่ยนนับระยะเวลาที่ข้าจากไปยังไม่ทันสองมาสเลยกระมัง 

 

หนึ่งก้าวย่างเหยียบ..หนึ่งความทรงจำปรากฏ บนตำหนักล้วนแต่มีภาพความทรงจำมากมายทั้งขื่นขมแลอบอุ่นอ่อนหวาน  เหล่าขันทีน้อยที่กำลังปัดกวาดบันไดคำนับกายอย่างน่ารักเรียบร้อย  เด็กเหล่านั้นล้วนดูคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างมาก  รอยยิ้มไร้เดียงสาและเสียงเสนาะราวนกน้อยของพวกเขาทำให้วันคืนในตำหนักแห่งนี้สดชื่นยิ่งนัก  ที่ระเบียงยังคงมีตั่งไม้ตัวหนึ่งที่ข้ามักชอบมานั่งมองพวกเขาหยอกล้อเล่นกันและหวนคิดถึงตอนยังเล็กที่เป็นมารน้อยซุกซนไปทั่ว ในตอนนั้นวันเวลาผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้าน่าเบื่อสุดจะพรรณนาเสียจนต้องลุกมาวาดภาพให้เด็กน้อยในตำหนักรอบหนึ่ง  ยามวาดจนครบทุกคนก็ยังไม่คลายความรู้สึกเบื่อหน่ายจึงลงมือวาดอีกรอบ  ข้าคลี่ยิ้มให้เหล่าขันทีที่คุ้นหน้าคุ้นตา หากบอกว่าหมื่นวสันต์คือบ้านเกิด ที่นี่ก็เป็นเรือนนอนที่คุ้นเคยอย่างยิ่ง

 

ผ่านเข้ามาในห้องโถงกว้างมองตั่งหยกที่ข้าเคยนั่งเคียงข้างเขา  โต๊ะน้ำชามุกหรูหราเคยเป็นที่นั่งดื่มชาทอดอารมณ์ยามเบื่อหน่าย  รูปวาดมังกรล้อเมฆสำราญที่ประดับอยู่ด้านข้าง  ลายอักษรมังกรหงส์อันอ่อนช้อยงดงามเขียนเป็นคำมงคล กลิ่นกำยานหอมที่ปรุงแต่งจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของตำหนักมังกรเหินเหล่านี้ล้วนแต่เป็นฝีมือข้าทั้งสิ้น เหม่อมองสิ่งของเหล่านั้นคิดถึงแววตาอบอุ่นแลรอยยิ้มอ่อนโยนหัวใจข้าก็สั่นสะท้านถึงเพียงนี้  แค่คิดว่าต้องพบเจอใบหน้าของเขา..ข้าไม่อาจทราบได้เลยว่าหทัยดวงนี้จะทานทนได้เพียงไหน

 

“ท่านหมอ” ข้าออกจากภวังค์ความคิดรักษาท่าทีสุภาพเยือกเย็นหันไปมองฮุ่ยเหอแลกงกงที่หยุดรออยู่แล้วคลี่ยิ้มจางๆคราหนึ่ง  ดวงตาเขาดูห่วงใยคล้ายจะไต่ถามที่เห็นข้าชะงักฝีเท้า

 

“ขออภัย ข้ามิเคยพบความโอ่อ่าอลังการเช่นนี้จึงแสดงท่าทีน่าละอายเสียแล้ว” ฮุ่ยเหอพยักหน้าคราหนึ่งรั้งฝีเท้ารอคอยจนกระทั่งกงกงพวกนั้นเดินห่างไปหลายจ้าง[2]

 

“ไหวหรือไม่” คำถามดังเพียงเสียงกระซิบนี้ทำให้ข้าคลี่ยิ้มอ่อนจางพยักหน้าแทนคำตอบ  ฝีเท้าของเหล่ากงกงหยุดลงที่หน้าประตูอันคุ้นเคยอย่างยิ่ง  ข้าแลฮุ่ยเหอสบตากันคราหนึ่งสลัดทิ้งซึ่งความหวั่นไหวในจิตใจรักษาท่าทีให้สุขุมสำรวม ก้าวผ่านประตูนี้ไปก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขอีกแล้ว

 

“คุณชายลี่ฉางกำลังนิทรา ขอพวกท่านระมัดระวังด้วย” กงกงหนุ่มกระซิบบอก  ข้าทอดสายตามองประตูห้องนอนที่เห็นจนชินชาเพ่งมองราวกับจะฉีกกระชากมันลงให้กลายเป็นเศษซาก วาดยิ้มขึ้นที่มุมปากเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดินมองบานประตูที่ถูกเปิดออกอย่างระมัดระวังทั้งที่มือเย็นเฉียบแลระริกสั่นราวถูกแช่ไว้ในหิมะ

 

ห้องบรรทมอันกว้างใหญ่ที่เคยคุ้นปรากฏกลิ่นหอมหนึ่งกำจายอ่อนต้องนาสิก  บนเตียงมังกรถูกบดบังด้วยม่านมุกขาว  แผ่นหลังอันลางเลือนของเขาข้ายังจดจำได้  ความรู้สึกโหยหาล้นปริ่มอยู่ในอกเฝ้ามองเงาอันอบอุ่นของเขาจนอัสสุชลคลอคลอง  แม่ทัพหลี่ลอบมองข้าคราหนึ่งจับเบาๆที่ชายเสื้อเพื่อดึงสติแล้วจึงคุกเข่าลงห่างจากเตียงอยู่หลายฉื่อข้าเองก็ปฏิบัติตามคุกเข่าลงก้มหน้าซ่อนแววตาที่ระริกไหวไม่อาจปิดบังน้ำตาหล่นลงบนหลังมือเม็ดหนึ่ง เป็นน้ำตาแห่งความคะนึงหาอยู่ทุกเชื่อวัน  อาการปวดแปล็บในอกทำให้ต้องสูดลมหายใจลึกๆคราหนึ่งระงับความปั่นป่วนให้สงบลง

 

“กระหม่อมหลี่ฮุ่ยเหอถวายพระพรฝ่าบาท” เสียงราวกับกระซิบของฮุ่ยเหอทำให้ม่านมุกนับร้อยสายสั่นไหว  เงาร่างของบุรุษผู้นั้นชัดเจนขึ้นทีละน้อย  ท่าทีองอาจเข้มแข็งแลใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาเป็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นมาเนิ่นนานยิ่งทำให้ต้องก้มหน้างุดราวมุสิก  ข้าไม่อาจทนมองใบหน้าเขาได้นานไม่เช่นนั้นความโหยหาอย่างบ้าคลั่งที่บังเกิดขึ้นในอกนี้อาจทำให้ต้องเสียการ

 

“มาแล้วหรือแม่ทัพหลี่” น้ำเสียงเขาฟังดูสุขุมห่างเหิน ในกาลก่อนเขาเรียกแม่ทัพหลี่ว่าพี่สี่ยามอยู่ต่อหน้าข้า ปฏิบัติต่อกันอย่างพี่ชายน้องชายที่รักใคร่สนิทสนมภาพเช่นนั้นมีเพียงเหวินฉีลี่ฉางที่ได้เห็น มิคาดเลยว่าวันหนึ่งกลับต้องกลายมาเป็นคนนอก ข้าพลันหลับตาลงกลืนความขมขื่นที่แล่นมายังนัยน์ตาเก็บกลืนไว้ให้ลึกที่สุด เป็นเช่นนี้ล้วนถูกต้องแล้วเขาจะปฏิบัติต่อข้าซึ่งเป็นเพียงหมอแปลกหน้าผู้หนึ่งไม่เคยสนทนาปราศรัยกันแม้แต่ครึ่งคำ

 

“พะย่ะค่ะฝ่าบาท วันนี้กระหม่อมพาท่านหมอเทวดาที่ฝ่าบาทปรารถนาจะพบมาด้วย” สิ้นคำแนะนำของฮุ่ยเหอพลันดวงตาคมกริบคู่นั้นก็เลื่อนมามองข้าอย่างพิจารณา แม้จะก้มหน้าหลบตายังคงรู้สึกได้สึกดวงตาคู่นั้นอย่างชัดเจน ข้าสูดลมหายใจเข้าในอกฝืนคลี่ยิ้มเยือกเย็นคำนับเบื้องหน้าเขาอย่างนอบน้อม

 

“กระหม่อมจิ่วเมิ่งหมอผู้ต่ำต้อยขอถวายพระพรฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆปี” คำพูดพิธีรีตองเช่นนี้ไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งจะได้เอ่ยมันออกมา ข้าแค่นยิ้มในอกสายตาของเขายังไม่ละไปราวกับจะจ้องให้ทะลุหน้ากากเงินที่ปิดบังอยู่ ข้าอาจหาญมองสบตาเขาพิศดูนัยน์ตาสีนิลกาฬลึกล้ำคู่นั้น  ความรู้สึกมากมายเอ่อท้นจนเกือบเผลอหลุดปากเอ่ยนามเขาเช่นกาลก่อน  โชคดีที่เสียงขยับตัวของคนบนเตียงทำให้จิ่นสือมุ่นคิ้วคราหนึ่งหันไปมองผู้หลับใหลหลังม่านมุกอย่างห่วงหาอาทร ข้าเฝ้ามองแววตาเช่นนั้นรู้สึกหวงแหน ในอกตีร้อนรุ่มจนอยากฉีกกระชากคนบนบรรจถรณ์ให้ขาดวิ่นในมือคู่นี้

 

“ลุกขึ้นเถิด” เขาเอ่ยอนุญาตเสียงเบา ท่าทางระมัดระวังไม่ให้ร่างงามใต้ม่านมุกนั้นตื่นขึ้น  ข้าแค่นหัวเราะอยู่ในอกตอบเขาด้วยความสุภาพนุ่มนวล

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

 

“ท่านหมออย่าได้มากพิธีรีตองเลย แม่ทัพหลี่บอกเราว่าท่านมีฝีมือรักษาเก่งกาจเลิศล้ำ  เรื่องที่ท่านจำเป็นต้องสวมหน้ากากนั้นเราให้อนุญาต ขอเพียงแต่ต้องรักษาคนผู้นี้ให้หายเรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ เราพูดเช่นนี้ท่านเข้าใจแล้วใช่หรือไม่” ข้าพลันคลี่ยิ้มขื่นขม คำว่า‘เรา’นี้ฟังดูห่างเหินอย่างยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยถือพิธีรีตองกับข้าทุกกฎเกณฑ์ล้วนแต่ไร้ความหมายไม่อยู่ในสายตา มาบัดนี้เมื่อฟังคำว่า ‘เรา’ ในอกรู้สึกปวดแปลบจนไม่อาจทานทน

 

“ขอฝ่าบาทอย่าทรงกังวล กระหม่อมจะรักษาคนสำคัญผู้นี้เป็นอย่างดี” ข้าฝืนคลี่ยิ้มเยือกเย็นแผ่นหลังตั้งตรงอย่างทระนงเฝ้ามองเขาที่พยักหน้าพึงพอใจ จิ่นสือเลิกม่านมุกเผยให้เห็นร่างกายอันงดงามที่จมอยู่ในนิทรารมย์ ใบหน้าเลิศล้ำที่เคยพบเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันปรากฏแก่สายตา ข้าจิกนิ้วลงบนฝ่ามืออย่างอดกลั้นมองร่างสูงใหญ่ทรุดลงนั่งข้างคนที่หลับใหล ไต่ถามอาการตามหน้าที่หมอ

 

“ไม่ทราบอาการของคุณชายเป็นเช่นไรหรือพะย่ะค่ะ”

 

“เขาไม่พูดจากับใคร มีท่าทางหวาดกลัวผู้อื่น ท่าทางแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงไม่คล้ายเหวินฉีลี่ฉางที่ข้ารู้จัก” ข้าพยักหน้าคราหนึ่ง มองนิ้วแกร่งกระด้างเพราะจับดาบลงสู่สมรภูมิตัั้งแต่ยังเล็กไล้ตามใบหน้างดงามราวกับทะนุถนอมหยกล้ำค่า ดวงตาของเขามิได้เย็นชาห่างเหินแต่กลับกลายเป็นแววตาอ่อนโยนที่ข้าเคยพบเห็นจนชินตา ตอนนี้ทำได้เพียงจ้องมองสัมผัสแผ่วเบาที่เต็มไปด้วยความรัก น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งหล่นลงมาโชคดีที่มีหน้ากากกั้นไม่เช่นนั้นคงเป็นที่น่าสงสัย ความแสบร้อนที่ปลายจมูกทำให้เผลอย่นคิ้วไปหลายครา

 

“เช่นนั้นกระหม่อมขอบังอาจทูลเชิญฝ่าบาทเสด็จออกไปรอด้านนอก กระหม่อมจะได้ตรวจดูอาการของคุณชายอย่างถี่ถ้วน” นิ้วแกร่งกร้านคู่นั้นหยุดชะงัดลงที่ข้างแก้มนวล ใบหน้าเขาพลันเคร่งเครียดดูคล้ายไม่วางใจข้าอยู่หลายส่วนแม้จะซ่อนไว้ใต้ใบหน้าเยือกเย็นอย่างมิดชิดแต่คนที่ร่วมหมอนกับเขามีหรือจะไม่ทราบได้

 

“ทำไมเราต้องทำตามที่เจ้าบอก”

 

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมจำเป็นต้องวินิจฉัยอาการของของคุณชายให้ประจักษ์ชัดจึงจะรักษาได้อย่างแม่นยำ กระหม่อมกังวลหากฝ่าบาทประทับอยู่ด้วยอาจทำให้การวินิจฉัยคาดเคลื่อนได้”

 

“ฝ่าบาททำตามที่ท่านหมอบอกดีกว่าพะย่ะค่ะ ”แม่ทัพหลี่ที่อยู่ด้านข้างรีบออกหน้าช่วยเหลือ 



"ดูแลเขาให้ดี" จิ่นสือมองข้าอย่างเยียบเย็นครู่หนึ่งเอ่ยประโยคนี้เสร็จสิ้นแล้วจึงหันไปมองใบหน้าที่หลับพริ้มก้มลงจรดจูบเบาๆที่หน้าผากงามอย่างห้่วงใยแล้วจึงหมุนกายออกจากห้องไป  ข้ารอจนเสียงประตูปิดลงมือที่กำแน่นหากันจึงได้คลายออก  หรี่ตามองร่างกายของตนผ่านม่านมุกขาวกระตุกยิ้มชิงชังคราหนึ่ง

 

ใยมันจึงได้หลับสนิทอย่างเป็นสุข  ในขณะที่ข้าต้องฝันร้ายทุกวันทุกคืน!

 





“พี่จื่อหรง” ทันทีที่สิ้นเสียงกระซิบของข้า บุรุษในชุดดำก็เผยตัวออกจากเงาอย่างเงียบเชียบ เขาติดตามข้ามาตั้งแต่วันที่กลับจากหมื่นวสันต์  บุรุษผู้นี้ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนม็หลับพักผ่อนเฝ้าดูแลข้าอยู่ไม่ห่าง  จนต้องบอกให้เขาเพลาความขยันนี้ลงบ้างถึงได้ยินยอมไปพักผ่อน  ข้าทราบดีว่าเขาห่วงใยข้าไม่แพ้ท่านเหมย  เราทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน ในตอนเด็กมีเขาปกป้องคุ้มครองข้ายังต้องกลัวสิ่งใดอีกเมื่อยอดยุทธของตำหนักหมื่นวสันต์แลแผ่นดินคือพี่เลี้ยงของข้าผู้นี้  ข้าเพียงสบตาเขาคราหนึ่งต่างรู้ความนัยกันทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยแม้ซักครึ่งคำ 

 

“ที่นี่ไม่มีองครักษ์เงาแล้ว” ข้าคลี่ยิ้มจางๆ องครักษ์เงาล้วนมาจากตำหนักหมื่นวสันต์ นอกจากจิ่นสือที่ควบคุมเขาได้ยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่สามารถสั่งการพวกเขานั้นง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ ได้ท่านเหมยมาหนุนหลังข้ายังจะต้องกังวลเรื่องใดอีก สบตากับพี่จื่อหรงอีกคราร่างสูงใหญ่ของเขาก็เลี่ยงหลบไปเงามืด

 

ข้าหย่อนตัวลงนั่งข้างเตียงกว้าง  หรี่ตามองคนที่หลับอย่างเป็นสุขด้วยแววตารังเกียจ ใบหน้าของข้า ร่างกายของข้า ความรักของข้า...มันกล้าดีอย่างไรจึงมาแย่งชิงจากมือของข้าไป  ข้าพิศดูร่างกายตนเอง กลิ่นหอมสายหนึ่งกำจายอ่อนจากร่างนี้ ความงามอันเป็นเลิศก่อเกิดความรู้สึกหวงแหนมากล้นในอก ใช้นิ้วมือกระด้างดำของร่างนี้ลากไล้ตามผิวอ่อนนุ่มของตนอย่างระมัดระวังสำรวจความเปลี่ยนแปลงของร่างตน  เฝ้ารอกระทั่งแพขนตายาวกระพริบขึ้นลง ดวงตาหงส์คู่นั้นลืมขึ้นอย่างงัวเงีย

 

"อ๊ะ!" ใบหน้าตื่นตระหนกลนลานอย่างกระต่ายน้อยตื่นผู้คนทำให้ข้าเหยียดยิ้มคราหนึ่ง  มันกระถดร่างถอยห่างอย่างขลาดกลัวขณะที่เหวินฉีลี่ฉางมีหรือจะทำตัวอ่อนแอเช่นนี้ แม้เวลาที่ข้าจนตรอกยังไม่ยอมเผยความหวาดหวั่นให้จิ่นสือได้เห็นสักคราประสาอะไรกับผู้อื่น  เจ้าขโมยนี่จะถูกท่านเหมยสงสัยก็ไม่แปลกนักดอก แค่ยิ้มมองทะลุร่างนี้อย่างชิงชัง มือที่ลูบอยู่ยังข้อมือบางพลันจับแน่นขึ้นจนขึ้นรอยแดงจางๆ

 

“คุณชายท่านตกใจสิ่งใดกัน อย่าเพิ่งตกใจให้มากไปนักเลย ยังมีอีกหลายอย่างที่เปิดหูเปิดตาท่านมากกว่านี้” ข้าคลี่ยิ้มเย็นมองคนที่ดิ้นรนถอยร่างเข้าสู่มุมเตียง มือเลื่อนไปที่เยียบเย็นปลดหน้ากากเงินออกเผยโฉมหน้าอัปลักษณ์สังเกตท่าทีของคนในร่าง มองดวงตาหงส์ตื่นตระหนก ข้ารู้ได้ทันทีท่าท่างตกใจเช่นนี้ไม่ใช่ตกใจที่เห็นใบหน้าอัปลักษ์ แต่เป็นการตกใจที่มากเกินกว่านั้น...ข้ากระตุกยิ้มประจักษ์ในใจแล้วว่าคนตรงหน้าคือผู้ใด

 

“ทำไมถึงตกใจเล่า นี่มันร่างเจ้ามิใช่หรือ หืม จะถอยหนีข้าไปทำไมกัน” ข้าเอ่ยวาจาเยือกเย็นรุกคืบเข้าไปดวงตาจับจ้องมองร่างกายตัวเองอย่างแข็งกร้าว เจ้าขอทานนั่นริมฝีปากสั่นระริก ท่าทางลนลานหวาดกลัวคล้ายจะเสียสติ ทำท่าทางเช่นนี้ในร่างกายข้ายิ่งรู้สึกชวนสมเพช

 

“ท...ทำไม ม..ไม่จริง..ฮึก..ม..ไม่” ท่าทางราวเด็กขวัญเสียทำให้ข้าหัวเราะเยียบเย็นคราหนึ่ง  มือค่อยยื่นไปลูบไล้ที่ใบหน้างามเลิศของตัวเองแผ่วเบา  ท่าทางน่าสงสารชวนทะนุถนอมปกป้องเช่นนี้ทำให้หัวใจคนทั่วหล้าไหวหวั่นแต่ไม่ใช่กับข้าแน่นอน!

 

“ทำไมจะไม่จริงเล่าหรือจำใบหน้าอัปลักษณ์ของตนเองมิได้ อยู่ในร่างข้าไม่ทันไรเจ้าลืมร่างนี้ไปแล้วเช่นนั้นหรือ!?” ข้าคลี่ยิ้มเย็นจับเส้นผมของมันกระชากเข้าหาตัว ใบหน้าอัปลักษณ์โน้มหาใบหน้างาม แลดูคล้ายภาพวาดเปรียบเทียบของเทพเซียนแลปีศาจ  คนที่ไม่ทันตั้งตัวละล่ำละลักหนีอย่างขวัญเสีย  ข้ากระตุกยิ้มคราหนึ่งแค่นยิ้มสมเพชเวทนา

 

“ข้าอยากรู้นัก ขอทานสกปรกเช่นเจ้าใช่เล่ห์เพทุบายใดจึงแย่งชิงร่างของข้าไปได้  หืม..ตอบมาสิ เจ้าใช้เล่ห์อันใดแย่งชิงร่างข้า! ตอบ!!”

 

“ข..ข้าไม่รู้  อ..อยู่ๆก็ตื่นมาในร่างนี้แล้ว ข้าไม่รู้ว่าทำไม ข้าไม่รู้จริงๆ” ข้าแค่นหัวเราะ มองใบหน้างดงามที่กำลังร่ำไห้ น้ำตากลิ้งกลอกร่วงรินลงอย่างน่าสงสารราวกับกลีบดอกหลีต้องสายฝนโปรยปราย เข้าใจความรู้สึกของจิ่นสือขึ้นมาบ้างว่าทำไมจึงไม่อาจทนมองข้าร่ำไห้ได้ แต่ว่าตอนนี้คนที่สมควรร่ำไห้ให้ฟ้าถล่มให้กำแพงเมืองล่มสลายนั้นสมควรเป็นข้าผู้นี้! ข้าผู้นี้ต่างหาก!! ข้าไม่อาจข่มกลั้นความรู้สึกอัดอั้นไว้ในอกน้ำตาร่วงหล่นลงอย่างไม่ขาดสายดวงตาแดงฉานราวกับปีศาจร้าย ความรู้สึกเจ็บปวดของข้าใครจะเข้าใจบ้าง  ความรู้สึกที่ต้องสูญเสียทั้งชีวิตให้ผู้อื่น  ผู้ใดเล่าจะเข้าใจข้าบ้าง! ตัวมันมีสิ่งใดให้ทุกข์ทเวษจนต้องร้องไห้โศกา ทั้งที่ชิงทุกสิ่งไปจากข้ากลับมาร่ำไห้น่าเวทนา!

 

“ไม่รู้? ตอบได้แค่ไม่รู้หรือ เจ้าแย่งชิงร่างข้าไป แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไป เจ้ากล้าตอบคำบัดซบเช่นนี้ออกมาหรือ!” ข้าตวาดอย่างเกรี้ยวโกรธ มือกระชากผ้าห่มอันอ่อนนุ่มบนเตียงมาคลุมใบหน้าเขาบีบคอนั้นอย่างโกรธแค้นเขย่าจนม่านมุกสั่นไหวคล้ายเสียสติไปแล้ว กระทั่งถูกมือหนากุมไว้พี่จื่อหรงออกจากเงามืดดึงข้าเข้าสู่อ้อมกอดกระซิบดุเบาๆให้สงบจิตใจ ข้าสูดหายใจลึกรวบรวมสติคลายมือที่บีบคอร่างงามนั้นออกหลับตาปล่อยสายอัสสุชลให้ร่วงรินเพียรสะกดกลั้นเสียงสะอื้นไว้ในอก รอกระทั่งรู้สึกสงบลงบ้างแล้วจึงกระซิบตอบเขาว่าไม่เป็นไรให้เห็นข้าคืนสติพี่เลี้ยงประจำกายจึงหมุนกายหายไปในเงาดั่งเดิม 



ข้าหย่อนตัวนั่งลงข้างเตียงอีกครากระชากผ้าห่มออกก้มลงมองใบหน้างดงามที่บิดเบี้ยวเปรอะเปื้อนด้วยน้ำตาด้วยความสงบเยือกเย็นขึ้นบ้าง ข่มกลั้นอารมณ์มองคนบนเตียง “ตอบข้ามาเจ้ามาอยู่ในร่างข้าได้อย่างไร”

 

“ข..ข้าไม่รู้ ฮึก ข..ข้าขอโทษ ข..ข้าไม่รู้” ข้าเฝ้ามองเขาร่ำไห้ราวกวางน้อยพลัดฝูง อารมณ์โมโหคล้ายถูกกวนให้ขุ่นอีกครา

 

“เล่ามา..จงเล่ามาว่าเจ้าเป็นผู้ใด ใยจึงมาอยู่ในร่างข้า!”ข้าตวาดด้วยเสียงดุจริงจัง จ้องมองเขาขเม็งจนร่างกายนั้นไม่อาจทนทานสั่นไหวราวดอกหลีต้องลม  ริมโอบฐ์น้อยขบเม้มเข้าหากันหลายคราครู่หนึ่งศศกขี้ขลาดจึงค่อยรวบรวมความกล้าโผล่หัวจากโพรง

 

“ข..ข้าชื่อซีหยาง...หลิวซีหยาง”

 

 



“เป็นเช่นไรบ้าง” ทันทีที่เปิดประตูออกมาก็พบกับแม่ทัพหลี่ มองไปรอบข้างพบว่าจิ่นสือไม่อยู่แล้ว  ฮุ่ยเหอคล้ายจะทราบสิ่ที่ข้าต้องการรู้จึงรีบพูดต่อ “มีเรื่องเร่งด่วนฝ่าบาทจึงต้องเสด็จไปยังท้องพระโรง”

 

ข้าร้องอาพยักหน้าคราหนึ่งถูกความเคร่งเครียดทั้งวันเล่นงานจนเมื่อยล้าทั้งกายใจเผลอเซไปเล็กน้อยขณะก้าวเดิน ฮุ่ยเหอเข้ามาจะช่วยพยุงข้าพลันกระแอมคราหนึ่งแผ่นหลังกลับมาตั้งตรงวางท่าทระนง

 

“ขออภัยวันนี้ข้ารู้สึกไม่สบาย พรุ่งนี้ค่อยมาพบกันได้หรือไม่” แม่ทัพหลี่พยักหน้าอย่างรู้ความ ไม่พูดอะไรมากเพียงบอกให้ขันทีน้อยเดินนำข้าไปยังเรือนพักเล็กๆที่จัดเตรียมไว้ให้ไม่ห่างจากตำหนักมากนัก  ข้าเดินตามไปอย่างว่าง่ายไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ถึงพาร่างอันไร้ซึ่งวิญญาณมาถึงเรือนพักได้ กลอกตามองเรือนพักน้อยที่แม้ไม่กว้างขวางแต่เครื่องเรือนล้วนหรูหราล้ำค่าสมกับที่เป็นเรือนในอาณาเขตตำหนักหลวง  ข้าหย่อนตัวลงกับเตียงหัวใจอ่อนล้าจนไม่อาจทานทนไหว



"พี่จื่อหรง  คนไร้หัวนอนปลายเท้าผู้หนึ่งกำเนิดจากคณิกาในซ่องชั้นต่ำถูกจับไปเป็นทาสพิษตั้งแต่ยังเล็ก หลังจากเป็นทาสพิษก็ถูกโยนทิ้งข้างกองขยะกลายเป็นขอทานแลอดตายด้วยความหิวโหย  หลังจากนั้นเขากลับไม่ตายกลายเป็นคนผู้งามเลิศท่านเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อนหรือไม่" ข้าเอ่ยถามความว่างเปล่าหัวเราะร่วนขบขันกับละครฉากนี้อย่างยิ่ง เป็นเสียงหัวเราะร้าวรานสายนี้ทำให้บุรุษชุดดำผู้ปรากฎกายอยู่ด้านข้างคุกเข่าลงแลลูบมือข้าราวกับจะปลอบ



"ข้าทราบดีว่าเขาไม่ผิดแต่ว่าข้าอดชิงชังเขาไม่ได้  ใยสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งข้าเช่นนี้...ต..ต้องรังแกข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ" ข้าไม่อาจอดทนไหว ดึงหน้ากากเงินออกทอดร่างคว่ำลงกับหมอนร่ำไห้จนสาแก่ใจ  หรือเพราะเทพเซียนชิงชังข้า ต้องการจะลงโทษข้าจึงส่งบทลงโทษอันทุกข์ทรมานนี้มาให้  ต้องเฝ้ามองร่างกายเป็นของผู้อื่น เฝ้ามองคนที่รักรักใคร่ผู้อื่นอย่างลึกซึ้งโดยไม่อาจปริปากเอ่ยสิ่งใดได้เลย  สิ่งที่เคยเป็นของข้าถูกแย่งชิงไปจนสิ้นเช่นนี้จะทนได้เช่นไร...ความเจ็บปวดเช่นนี้จะทนไหวได้อย่างไร

 

“นายน้อยท่านร่ำไห้ให้พอ  เหนื่อยล้าก็หลับไหลเสียก่อน พรุ่งนี้จึงค่อยลุกขึ้นมาสู้ใหม่ อย่าลืมว่าข้าแลนายท่านอยู่เคียงข้างท่านเสมอ” เจ้าของมืออุ่นคู่นั้นแตะลงที่ไหล่อย่างปราณีดึงข้าเข้าสู่อ้อมกอด  ข้าทอดกายอยู่กับอกพี่เลี้ยงคนสนิทอย่างอ่อนล้า เพียงได้ยินคำพูดปลอบประโลมแลนามท่านเหมยก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง  ก่อนที่ร่างกายจะจมสู่ห้วงนิทราได้แต่บอกตัวเองว่าพรุ่งนี้หากตื่นมาขอให้อย่าอ่อนแอเช่นนี้อีก











เชิงอรรถ

[1] ไท่ซาน - ภูเขาไท่ซาน ตั้งอยู่ที่เมืองไท่อาน ทางชายฝั่งตะวันออกของประเทศจีน ยอดบนสุดของ ภูเขาไท่ซาน มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,545 เมตร มีหินผาตั้งเรียงรายจำนวนมาก กวีเอกแห่งจีนหลายท่านเคยจารึกบทกลอนมากมายไว้ที่ภูเขาไท่ซานแห่งนี้ จนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และศิลปะกลางแจ้งที่สะท้อนสัญลักษณ์แห่งอารยธรรมเก่าแก่ของจีน และภายหลังยูเนสโกได้ยกย่องให้ ภูเขาไท่ซานเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1987

[2] จ้าง - หน่วยวัดความยาวของจีนโบราณ 1 จ้าง = 10 ฉื่อ ประมาณ 2.27 – 2.31 เมตร





ทักทายนักอ่าน

     เมื่อวานนี้เพิ่งกลับจากการไปทำค่ายจิตอาสาให้น้องๆประถม บอกเลยว่าสนุกมาก...จริงๆนะT____T เด็กวัยประถมที่กำลังซนพี่ๆจะเป็นลมกันเลยทีเดียว 5555  ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ตอนนี้มาช้า เราตัดสินใจแล้วว่าจะอัพวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ วันใดวันหนึ่ง  นักอ่านแวะมาเช็คตอนกันได้ทุกวันอาทิตย์นะคะ   สำหรับตอนนี้ตอนอ่านนั่งหาอะไรมาบิ้วท์พอได้ฟังเพลง 爱殇 รู้สึกเลยว่ามันใช่  ตอนนี้เหมือนมันเป็นตอนที่มันปล่อยความอัดอั้นตันใจอะไรซักอย่างออกมา มันเป็นความคับแค้นใจด้วยส่วนหนึ่ง เสียใจด้วยส่วนหนึ่ง  ทุกข์ทรมานด้วยอีกส่วนหนึ่ง  คงเป็นตอนที่สะท้อนนิสัยของเหวินฉีลี่ฉางให้ทุกคนได้เห็นได้ดีอีกตอนหนึ่ง  อย่างที่บอกว่าในเรื่องนี้ไม่มีตัวละครไหนดีหรือเลวเต็มร้อย  แม้แต่ตัวเอกเองก็ยังพยายามสร้างให้เป็นคนเทาๆ ถึงรู้ว่าหนูซีหยางก็ไม่ผิดแต่มันก็อดเกลียดไม่ได้จริงๆ  พูดถึงหนูซีหยางในที่สุดก็มีชื่อให้ทุกคนเรียกซักที  เรียกขอทานกันมาตั้งนาน 555555 เจอกันใหม่อาทิตย์หน้าค่า^^





ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ตอนนี้มา เข้ากับอากาศกรุงเทพช่วงนี่มาก หม่นๆเทาๆเย็นๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ PiSCis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
หลงเสน่ห์เรื่องนี้อย่างจริงจัง

มองจากมุมของลี่ฉางย่อมเคืองแค้นอย่างยิ่ง
แถมพื้นฐานนิสัยไม่ยอมใคร เอาแต่ใจ ยิ่งทำให้อารมณ์รุนแรงใหญ่

ซีหลางเองก็น่าเห็นใจ

รอดูต่อไป


ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ลี่ฉางต้องเข้มแข็งนะ!
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ววว
 :hao5:

ออฟไลน์ waza

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
มิน่าล่ะ ฮ่องเต้ มีที่มาที่ไป หลงลี่ฉางน้อยตั้งแต่เด็ก ก็แหม สเน่ห์ยั่งยวนซะขนาดนั้น
แต่ก็น่าคิดว่าอะไรเป็นเหตุให้จิ่นสือฆ่าพี่น้องตัวเอง จนได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เพราะยังไม่ปักใจเชื่อซะทีเดียวว่าจิ่นสือเป็นคนแบบนั้น  อยากรู้เรื่องราวหลังจากเหตุการณ์ในถ้ำด้วย ที่ทั้งสองเจอกันครั้งที่สอง อ่านจบแล้วมโนหนักไปอีก กิ๊บกิ้วใจได้สักพักกลับสู้เนื้อเรื่องหลักดร่าม่าอย่างแรง อ่านเรื่องนี้ทีไร หยุดไม่อยู่ อย่างกับหลุดเข้าไปเป็นตัวละคร ลุ้นๆสุดๆ เมื่อไหร่จะมีฉากเจอกับฮ่องเต้ ได้พูดคุยกัน เพราะถ้าหวังให้กลับคืนร่าง คงจะอีกนาน ว่าไปสวรรค์นี่ก็ร้ายทำกับลี่ฉางได้ลงคอ ส่วนหนูน้อยที่อยู่ในร่างลี่ฉางอย่าสร้างเรื่องนะลูก เดี๋ยวเราจะได้เป็นศัตรูกัน ทีมลี่ฉาง หงส์ก็ยังเป็นหงส์อยู่วันยังค่ำ o13:กอด1: คนเขียนขยันเราชอบ

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


เราได้อ่านเรื่องนี้เพราะคุณ alternative แนะนำมา...
สรุปว่าเราชอบมากเลยค่ะ ^^

คุณคนเขียนเก่งจัง ภาษาดี สำนวนงดงาม แถมยังทำให้ตัวละครโลดแล่นออกมาเหมือนมีชีวิตจริงได้อีกต่างหาก
รอติดตามตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อเลยค่ะ ^^  :กอด1:


ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
ทาสพิษคืออะไรหรอคะ :hao4: :hao4:

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
เป็นตัวทดลองพิษนี่เอง..หน้าเลยเฟะซะ..


เราเข้าใจอารมณ์หลี่ฉางนะ รู้หรอกว่าเขาไม่ผิด แต่ที่รู้สึกเกลียดมันก็ห้ามไม่ได้จริงๆ แต่หลี่ฉางก็ทำตัวเองนะคะลูก ไม่ฆ่าตัวตายคงไม่เป็นแบบนี้หรอก... ขอทานน้อยนี่น่าสงสาร...เกิดมาก็ชีวิตแย่ พอมาเข้าร่างใหม่ก็ทำท่าจะได้เข้าไปในวังวนแย่ๆอีก...


หลี่ฉางถึงเบ้าหน้าตอนนี้แย่แต่พิษร้ายสารพัดความสามารถก็มาก ติดอยู่เรื่องเดียวคือความรักมันโอนถ่ายให้ร่างใหม่กันแบบอัตโนมัติไม่ได้นี่แหละค่ะ ก็ได้แต่ดูต่อไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด