♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59  (อ่าน 42410 ครั้ง)

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 10.2 มิได้ถูกกำหนด

 

            ราตรีที่ผ่านไปในคืนนี้ดูไม่ยาวนานเท่าใดนัก มิทันไรแสงตะวันก็ลอดผ่านเข้ามาในถ้ำ คนที่ตื่นนอนแล้วยังคงกระปรี้กระเปร่าเห็นทีจะมีแต่ไป๋เซ่อและหงลิ่ว ผิดกับชายหนุ่มทั้งสองที่สีหน้าทะมึน ไม่ยิ้มแย้ม นั่งกุมขมับอยู่คนละฟากฝั่ง

          ซวนหยวนหมิงไท่ค่อยๆยังกายลุกขึ้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่าบาดแผลที่หน้าท้องไม่เจ็บอย่างที่เคยแล้ว เห็นทีเจ้าเด็กหงลิ่วผู้นี้แม้อายุยังน้อยแต่ฝีมือทางการแพทย์กลับดีมิใช่ย่อย คิดได้ดังนั้นเขาก็เดินไปหาอีกฝ่ายที่กำลังนั่งบดสมุนไพรด้วยหิน

          “หงลิ่ว บาดแผลของข้า ใช้เวลาอีกนานไหมถึงจะหายขาด”

          “กินยาสมุนไพรนี่อีกสักสามมื้อก็หายสนิทแล้ว” หงลิ่วตอบอย่างมั่นใจ แม้เขาจะมิใช่หมอ แต่ก็ตนก็เสมือนยาพิษเคลื่อนที่ได้ ไม่มีอะไรร้ายแรงไปกว่าเขี้ยวของอสรพิษเกร็ดดำ ดังนั้นไม่ว่าจะพิษแบบใด เขาย่อมถอนออกได้ทั้งนั้น

          เขาฟังแล้วก็ครุ่นคิด นี่ก็เข้าวันที่สามแล้วนับจากที่โดนซุ่มโจมตี ไม่แน่ว่ากลุ่มขององค์รักษ์จิ้งอาจจะไปสบทบกับองครักษ์เงาแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องส่งข่าว หากหายตัวไร้ร่องรอยไปนาน พวกเขาอาจจะใจร้อนบุ่มบ่าม กระทำการเคลื่อนไหวจนเป็นเหตุตัวตนเปิดเผย

          แต่มาตรว่าคิดเช่นนั้นก็ยังคงมีอีกห่วงหนึ่ง “แล้วไป๋เซ่อ เขาอาการแย่มากรึไม่ ต้องใช้เวลารักษานานไหม แล้วจะกลับมาเป็นเช่นเดิมได้รึเปล่า” ถามถึงอาการของร่างเล็ก จะอย่างไรต้นสายปลายเหตุที่ทำให้สายตาของไป๋เซ่อทื่อลงก็เป็นเพราะเขา

          “จะใช้เวลารักษานานไหม ท่านต้องลองถามพี่ใหญ่ข้าเอง แต่ข้ารับรองได้ว่าสายตาของเขาจะกลับมาใสแจ๋วดุจเดิม ดีไม่ดีจะยอดเยี่ยมกว่าเดิมด้วยซ้ำ ฮึ ฮึ” ก็เล่นบำรุงด้วยดอกพราวแสง สมุนไพรวิเศษหายาก แค่กลีบดอกเพียงกลีบเดียวก็เพิ่มพูนตบะฟื้นฟูร่างกายได้สูงส่งยิ่ง

          ยิ่งฟังที่เด็กน้อยกล่าว รัชทายามหนุ่มก็ยิ่งขมวดคิ้วหนัก ทว่ายังมิทันได้คิดอะไรต่อ เสียงของไป๋เซ่อก็ดังจากภายนอกถ้ำ

          “หงลิ่วๆ เจ้าจะไปเล่นน้ำที่ลำธารกับข้ารึไม่”

          “ไปๆ” ตอบรับเสร็จหงลิ่วก็วิ่งออกไปอย่างร่าเริง

          ทิ้งไว้ให้ชายหนุ่มสองคนต้องหูผึ่ง หงเว่ยที่ใช้กิ่งไม้แห้งเขี่ยกองขี้เถ้าถึงกับชะงักค้าง กิ่งไม้ในมือร่วงลงกับพื้น พลันหันไปจ้องหน้าจ้องตาฟาดฟันกับอีกฝ่าย รอจนพักใหญ่ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบชิงติดตามออกไปก่อน แต่ทว่าจู่ๆเงาร่างสีม่วงอมดำกลับลอยพลิ้วข้ามตัวเขาไปโดยไว

          “เจ้า” เขาสบถก่อนจะเร่งฝีเท้าให้ทัดเทียมกับหงเว่ย แลไม่นานนักก็เกิดเป็นเสียงร้องดังขึ้นที่เบื้องหน้า

          “ว๊ากกก นี่มันพวกคนร้ายนี่” ไป๋เซ่อส่งเสียงร้องโหวกเหวกเมื่อเห็นคนชุดดำที่วิ่งสะเปะสะปะ ตรงเข้ามาหาเขากับหงลิ่ว          ในสภาพเนื้อตัวมอมแมม
         
          “ช่วยข้าด้วย ปีศาจๆ จะฆ่าข้า” คนชั่วร่ำร้องกอดขาเด็กหนุ่มผู้มีดวงตาสีฟ้าอมเขียวราวกับคนเสียสติ ม่านตานั้นเบิกกว้างราวกับพึ่งพบเจอภูติผีมามิปาน

          “เพ้ย ก่อนหน้านี้เจ้าคิดจะฆ่าข้าแท้ๆ” ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็ตวาดอย่างมีโทสะ เวลานั้นเขาเกือบจะถูกลูกธนูยิงเสียจนตัวพรุนแล้วหากซวนหยวนหมิงไท่มิเข้ามาช่วยเสียก่อน ว่าแล้วเขาก็ระรัวหมัดทุบตีคนผู้นี้จนหน้าเขียวหน้าแดง

          ใช่แล้วๆ ก่อนหน้านี้เจ้าคนผู้นี้ก็เคยมองตนอย่างหยามหยัน ด้านหงลิ่วเองก็ไม่น้อยหน้าประเคนฝ่าเท้าน้อยๆเข้ากระทืบจนอีกฝ่ายต้องร้องโอดครวญ

          “หยุดก่อน” เป็นเสียงของซวนหยวนหมิงไท่ที่ร้องมาแต่ไกล กระทั่งไป๋เซ่อและหงลิ่วหยุดฝีมือฝีเท้ามองเขาอย่างสงสัย เขาก็ทะยานตัวไปคว้าตัวคนชุดดำผู้นี้ออกมา

          ผลักมันไปจนแผ่นหลังกระแทกกับต้นไม้ ท่อนแขนพาดกดไว้ที่ลำคอจนลมหายใจของอีกฝ่ายติดขัด รัชทายาทกัดฟันเค้นกล่าวอย่างดุดัน “บอกข้า ใครส่งพวกเจ้ามา”

          “......” ครั้นเห็นสีหน้าบุรุษหนุ่มผู้สง่างามผู้นี้ ดวงตาของนักฆ่าผู้นี้ก็กลับมามีศูนย์รวมอีกครั้ง คำสั่งและเนื้อหาของภารกิจลับพลันก้องอยู่ในสมอง

          “สารภาพมา” ซวนหยวนหมิงไท่ตวาดอีกครั้ง ครานี้ยังเพิ่มระดับด้วยกลิ่นอายสังหารรุนแรง “ยังมีคนของข้า พวกเขาปลอดภัยรึไม่”

          “ข้าจะบอกเพียงอย่างเดียว พวกมันตายหมดแล้ว ตายอย่างน่าอนาจ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แม้ภารกิจจะไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็สามารถตัดแขนขาขององค์รัชทายาทได้ เพียงเหลือที่พึ่งสำคัญอีกเพียงหนึ่งเดียว...แม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟง

          ถ้อยคำของนักฆ่าจบลง มือของเขาก็สั่นสะท้านทั้งยังกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ดวงตาสีดำของเขานิ่งค้างหากแต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความคับแค้นชนิดหนึ่ง จะอย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวลู่ หัวหน้าองครักษ์จิ้ง หรือองครักษ์คุ้มกันคนอื่นๆ ต่างก็เปรียบเสมือนครอบครัวเขาทั้งสิ้น เป็นเช่นนี้แล้วเขาจะไม่รู้สึกรู้สาได้อย่างไร

          “หมิงไท่” ไป๋เซ่อพึมพำเสียงอ่อนด้วยความสะท้อนใจ แม้เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่เขาก็สนิทสนมกับเสี่ยงลู่ และองครักษ์ผู้อื่นไม่น้อย

          “เอาสิ ฆ่าข้าเลยสิ” จุดจบของนักฆ่าที่ทำงานไม่สำเร็จ มันย่อมรู้ดีกว่าใคร

          คนชุดดำเหยียดยิ้มอย่างบ้าคลั่ง ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ยิ่งถูกครอบงำไปด้วยความโกรธ แต่ในขณะที่กำลังควบคุมตัวเองไม่อยู่นั้น น้ำเสียงเข้มก็พลันดังขึ้น

          “อยู่หรือมิสู้ตาย แต่ตัวเลวร้ายเช่นเจ้าสมควรตายทั้งเป็น” คำพูดกล่าวจบก็สาดสายตาอำมหิต ถึงกับกล้าทำร้ายเสี่ยวอวิ๋นสมควรทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป์

          ด้านนักฆ่าเพลากลับยิ้มมิออกแล้ว มันสังเกตเห็นบุรุษผู้มาใหม่ที่มีดวงตาราวอสรพิษ ความทรงจำที่เลวร้ายก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง “ป่ะ ปีศาจๆ อย่าฆ่าข้าเลย ข้ากลัวแล้ว”

          มาตรว่าคิดจะหลบหนี หากแต่มันกลับสายไปแล้ว เป็นเพียงพริบตาเดียวที่รู้สึกถูกล่วงล้ำเข้าไปในก้นบึ้งจิตใจที่ซึ่งซุกซ่อนไว้ด้วยความอ่อนแอ ขลาดเขลา บีบคั้นเสียงมันต้องส่งเสียงร้องอย่างทรมาน

          “อ๊ากกก”

          จู่ๆคนตรงหน้าก็ส่งเสียงร้องราวกับคนเสียสติ ดวงตาฉายให้เห็นถึงความกลัวสุดขีด เห็นดังนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบเค้นถาม “บอกข้า ใครส่งเจ้ามา”

          “ตวน...ตวนผิงซางอ๋อง” ในที่สุดก็ยอมเอ่ยปาก “ข้าบอกพวกเจ้าแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตข้า” บางทีการตายด้วยน้ำมือของปีศาจร้ายผู้นั้นแล้ว มันน่ากลัวเกินกว่าที่เขาจะรับได้

          ครั้นได้รับคำตอบแล้วองค์รัชทายาทก็ลดแขนลงอย่างช้าๆ นักฆ่าผู้นี้พอเป็นอิสระก็วิ่งหนีลนลานไปทางด้านหนึ่ง หากแต่กลับไม่รู้ตัวสักนิดว่านับแต่นี้ไป ชีวิตของมันตนจะมิอาจเป็นอิสระจากมายาหลอกหลอนหนึ่งไปได้ตลอดกาล

          “หึ ตวนผิงซางอ๋อง” เสียงพึมพำเบาๆของซวนหยวนหมิงไท่ดังขึ้น

          เห็นทีว่าครานี้เขาต้องไปเยือนเหลียวตงสักครั้งแล้ว



***********************************************



          อัพช้าบ้างไรบ้างก็อย่าว่ากันเลยนะ เเฮะๆ

 

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
เย้มาต่อแล้ว ไม่ว่าค่าา ตวนผิงซางอ๋องนี่ใครอ่า

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 11 ตวนผิงซางอ๋อง



          ในเรือนอักษรที่หรูหราโอ่อ่า คนผู้หนึ่งกำลังตวัดพู่กันลงบนกระดาษสีขาวชั้นดี ท่วงท่าที่ใช้ออกล้วนแฝงไว้ด้วยความหนักแน่น แลในพริบตาเดียวภาพม้าศึกขับเคลื่อนท่ามกองทัพศัตรูก็เสร็จสรรพ ทุกองค์ประกอบของภาพต่างหาได้มีที่ติ มันดูมีชีวิต ทรงพลัง และหาญกล้า

          พอดิบพอดีกับที่บุรุษร่างใหญ่ในชุดเกราะก้าวเข้ามาอย่างแข็งขัน ครั้นถึงจุดหนึ่งก็หยุดตัวย่อกายคำนับ “ท่านอ๋อง”

          “เตรียมงานไปถึงไหนแล้ว” น้ำเสียงทุ้มดังขึ้น หากแต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ภาพ

          “พรุ่งนี้แจกจ่ายเทียบก็แล้วเสร็จ พะย่ะค่ะ”

          “ดี” ถ้อยคำเอ่ยออกมาพร้อมกับเหยียดยิ้ม ก่อนที่ดวงตาจะเปล่งประกายเหี้ยม “เรื่องนั้น”

          “ท่านอ๋อง อย่าได้กังวล ข้าน้อยจัดการเรียบร้อย นับตั้งแต่นี้ไปพวกมันจะไม่มีวันได้เปิดปากพูดอีกแน่นอน” ประโยคนี้กล่าวแล้วก็บังเกิดเป็นกลิ่นอายสังหาร คละคลุ้งไปด้วยโลหิต

          “ฮึ ฮึ” ผู้เป็นอ๋องแค่นเสียงหัวเราะ จากนั้นโบกมือคราหนึ่งทหารคนสนิทก็ร่นถอยออกไป เขาหันกลับไปชื่นชมภาพม้าศึกอีกครั้ง แลไม่นานนักเสียงฝีเท้าอีกคู่ก็ย่ำเข้ามาใกล้ ฟังดูแล้วผู้มาใหม่อารมณ์มิสู้ดีนัก “เป็นไรไป ไม่สำเร็จรึ”

          “เฮอะ ถูกคนช่วงชิงไปแล้ว” นางตอบกลับอย่างเกรี้ยวกราด

          “มีคนร้ายกาจเยี่ยงกว่าเจ้า?” น้ำเสียงบอกชัดถึงความประหลาดใจ แต่กระนั้นก็ยังปนเยาะหยันอยู่ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้ใบหน้าของปีศาจสาวบิดเบี้ยว ดวงตาสีดำเปล่งประกายสีแดงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

          วั่นอู่หงจ้องมองบุรุษที่แม้จะล่วงเข้าสู่วัยสี่สิบ แต่ยังคงเค้าใบหน้าหลอเหลาสุภาพ รูปร่างกำยำสะท้อนถึงความองอาจ มิต่างกับบุรุษวัยสามสิบกว่าก็พลันส่งยิ้มยวน “เกรงว่าต้องรบกวนท่านอ๋องอีกครั้ง”

          “ย่อมได้” ผู้เป็นอ๋องยิ้มมุมปาก “แต่เจ้าควรรู้ว่าทุกอย่างย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน”

          “ข้าจะทำสุดความสามารถ” นางยอบกายลงอย่างอ่อนช้อย เสร็จแล้วจึงกล่าวต่อ “ว่าแต่นางเป็นเช่นไรบ้าง”

          “ยังคงดื้อด้านท่าเดียว”

          เมื่อพูดถึงนางสีหน้าของท่านอ๋องก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ทำให้วั่นอู่หงต้องเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดท่านอ๋องมิทำให้ข้าวสารเป็นข้าวสุกเสีย พอถึงตอนนั้นแล้วนางจะดื้อรั้นอย่างไรก็ไร้ประโยชน์”

          “ช่างเถอะ ถึงอย่างไรอีกไม่กี่วันนางก็ต้องแต่งให้ข้าอยู่ดี”

          ฟังแล้วนางก็กลั้วหัวเราะ “มิคิดว่าท่านอ๋องจะรักหยก ถนอมบุปผา” ใช้น้ำเสียงออดอ้อนพลางโน้มตัวไปพิงอกกว้าง “เช่นนั้นท่านมิคิดปลอบใจสาวงามอย่างข้าบ้างหรือ ก่อนหน้านี้ข้ามิอาจช่วงชิงดอกพราวแสงมาได้ ข้าเจ็บใจแทบแย่”

          ร่างแกร่งมิได้หลบหลีก เขาปล่อยให้ปีศาจสาวหยอกเย้าอยู่พักหนึ่งจึงค่อยผละตัวออก จากนั้นก้าวออกไปโดยที่มิได้เอ่ยวาจาใด วั่นอู่หงเห็นอีกฝ่ายมิเล่นด้วยก็ให้รู้สึกเบื่อหน่าย เบ้ปากคราหนึ่งก็สะบัดปลายเสื้อโดยแรง พริบตาเดียวร่างของนางก็พลันหายไป หลงเหลือเพียงขนนกสีสดเส้นหนึ่งที่ร่วงหล่นบนพื้น

          คล้อยออกจากเรือนอักษร เขาก็ย่างก้าวไปยังเรือนหลังเล็กซึ่งตั้งอยู่ท้ายจวนอันตระการตา สถานที่อันเงียบสงบทั้งห่างไกลสายตาจากคนภายนอก

          จวบจนมาถึงที่หมาย สตรีในชุดสีขาวก็กำลังนั่งเหม่อลอยมองกำแพงที่สูงชัน เหนือขึ้นไปยังมีดวงจันทร์ที่คอยส่องแสงสลัว ขับดันให้นางดูงดงามราวกับภูติดอกโบตั๋น เรือนร่างเปล่งปลั่งจนมิอาจละสายตาแม้ขณะเดียว

          การมาของเขาคล้ายมิได้ทำให้นางรู้สึกตัว ยังผลให้ต้องก้าวเข้าไปยืนอยู่ด้านหลังของร่างอรชร สองมือประสานไขว้ไว้ด้านหลังอย่างสุขุม พลันยื่นออกไปลูบไล้เรือนผมสีเงินที่เรียบลื่นดุจแพรไหม “คิดอะไรอยู่”

          สิ้นเสียงดังกล่าวเจ้าของเรือนผมสะดุดตาก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก ลุกขึ้นหันไปประจันหน้ากับผู้มาใหม่อย่างระแวดระวัง “ท่านอ๋อง” ริมฝีปากน้อยร้องขึ้น สองขาก็นำพาตนไปให้ไกลโดยปริยาย

          หากแต่นางก้าวถอยหลังไปเพียงก้าวหนึ่งก็เกิดเป็นเสียงดังกรุ๊งกริ๊งก้องกังวาน เตือนสติให้รู้ว่าตอนนี้นางตกอยู่ในกำมือของคนผู้นี้ แต่กระนั้นนางก็มิอาจห้ามให้ตนเองต้องถอยหลังไปอีก ถึงครานี้น้ำเสียงเข้มก็พลันดังขึ้น

          “หยุด” เพียงคำเดียวก็ทำให้ร่างของนางต้องชะงักนิ่งค้าง มิอาจทำได้แม้แต่จะขยับปลายก้อย เขาก้มลงมองกำไลข้อเท้าที่มีกระดิ่งเล็กๆประดับอยู่ เห็นทีไม่เสียแรงที่ตนทุ่มเทส่งคนออกตามหาของวิเศษชิ้นนี้เป็นนับสิบปี

          กำไลข้อเท้าวิเศษนี้มีอิทธิฤทธิ์สามารถควบคุมมนุษย์ แลไปจนถึงปีศาจ คิดสั่งการใดหรือออกปากสั่งให้ไปตาย ผู้ที่สวมใส่ต่างมิอาจขัดขืน ทว่าสรรพสิ่งใดในโลกล้วนต่างมีข้อดีข้อเสีย กำไลวิเศษนี้ก็เช่นกัน จะดีไม่น้อยหากของวิเศษนี้สามารถควบคุมไปถึงจิตใจคนได้

          “เย่วเซียง” เอ่ยน้ำเสียงอ่อนพลางไล้ดวงหน้านุ่มนวล

          เจ้าของดวงสีน้ำตาลอ่อนหลุบตาลงอย่างมียินยอม ดวงหน้าสีขาวซีดถึงกับระเรื่อไปด้วยสีแดง เพลานี้นางอับอายถึงที่สุด กระทั่งจะเลี่ยงใบหน้าก็ทำมิอาจทำได้ ได้แต่ปล่อยให้คนผู้นี้ต้องกระทำตามอำเภอใจ

          “อีกสามวันที่จะถึงนี้เจ้าจะเป็นชายาของข้าแล้ว” ผู้เป็นอ๋องยิ้มกล่าว ทำให้ดวงตาที่หลุบลงต้องกลับมาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง “มิต้องห่วง ข้าจะทะนุถนอมเจ้าเป็นอย่างดี” เขารวบตัวนางเข้ากอดจนได้กลิ่นอ่อนๆของดอกโบตั๋น

          ถึงตอนนี้หยาดน้ำตาแวววาวของเย่วเซียงก็ค่อยๆหลั่งไหล หยกสีเขียวอ่อนในกำมือนั้นเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ เงาร่างอบอุ่นของบุรุษผู้หนึ่งฉายอยู่ในความทรงจำอย่างรางเลือน

          “เจ้ากำอะไรอยู่” เมื่อรู้สึกถึงแขนที่แข็งเกร็งเครียดขึงกว่าปกติก็ต้องนึกสงสัย ครั้นเห็นสิ่งของในมือเรียวก็เอื้อมไปแกะมันออก แล้วยกมันขึ้นดูท่ามกลางแสงจันทรา

          ดูว่าตัวหยกเป็นสีเขียวอ่อน ทั้งยังมีขนาดเล็กดูไม่สะดุดตากระไร แต่ทว่าเมื่อพลิกอีกด้านหนึ่งขึ้นมา ดวงตาคู่นี้ก็ต้องเบิกกว้าง ภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนและสุภาพพลันสลายไป เขาตวาดถามทั้งยังถลึงตาดุดัน “เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับรัชทายาท”

          เป็นเพราะหยกชิ้นนี้มีลวดลายมังกร อันบ่งบอกถึงสัญลักษณ์ขององค์รัชทายาท และยังมีเพียงชิ้นเดียวในโลกนี้

          “ได้โปรดคืนให้ข้า” เย่วเซียงอ้อนวอน ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่เป็นสิ่งของชิ้นเดียวที่ทำให้นางระลึกถึงเขาได้

          ด้วยท่าทีอาลัยอาวรณ์ของนางเช่นนี้ยังผลให้เขาเจ็บแค้น “ฮึ ฮึ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ามีความสัมพันธ์กับเขา” กล่าวจบก็แลเห็นความตื่นตะลึงบนใบหน้าของนาง ยิ่งทำให้เขามั่นใจ มุมปากพลันคลี่ยิ้มเหี้ยม “รู้เช่นนี้น่ายินดียิ่ง ในที่สุดสวรรค์ก็เปิดโอกาสให้ข้า... ตวนผิงซางอ๋องได้ทำลายคนตระกูลซวนหยวนได้อย่างน่าคับแค้นที่สุดแล้ว”

          สิบปีก่อนเป็นเพราะพวกมันทำให้เขาตายทั้งเป็น สิบปีให้หลังเขาจะเอาคืนมันบ้าง จักต้องให้พวกมันได้รับรู้รสชาตินี้อย่าสาสม

          ได้ฟังเช่นนั้นใบหน้าของเย่วเซียงก็ซีดลง นางกล่าวถามน้ำเสียงสั่น “ท่าน...หมายความเยี่ยงไร”

          “อยากรู้? ได้ข้าจะบอก ตอนนี้ไอ้คนที่เจ้าห่วงหามันได้ทอดกายตายอยู่ในป่าเขาอันแร้นแค้นไปแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

          สิ้นเสียงตวนผิงซางอ๋องก็หมุนกายจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่ง ผลักดันให้หัวใจของเย่วเซียงตกลงสู่ห้วงมืด สองขาสิ้นเรี่ยวแรงทรุดกับพื้น ก่อนที่ดวงตาอันเลื่อนลอยจะทอดมองเห็นหยกชิ้นเล็กที่ตกอยู่ไม่ไกล นางยื่นมือไขว่คว้ามันไว้ จากนั้นแนบมันไว้ที่หน้าอกอย่างทะนุถนอม ริมฝีปากน้อยพึมพำน้ำตาคลอ “ไม่จริง นี่ไม่ใช่เรื่องจริง”

 

*************************************************

 

          เช้าตรู่ที่หน้าประตูเมืองเหลียวตง ทหารสองนายแง้มเปิดประตูใหญ่ จนเรียบร้อยดีแล้วก็ทำการตรวจแผ่นป้ายประจำตัวของผู้ที่มายืนรอเข้าเมืองแต่ละคน ไม่นานนักชาวบ้านชายหญิงทั้งกลุ่มทั้งเดี่ยวต่างก็ทยอยเข้าไปด้านในเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงรถม้าโทรมๆคันหนึ่งที่เคลื่อนที่มาหยุดลงตรงหน้า

          ทหารผู้ตรวจตราหน้าประตูเมืองจ้องมองสารถี ดูว่าคนผู้นี้มีเค้าใบหน้าเย็นชา สวมอาภรณ์สีม่วงตัดดำดูสง่างามแล้วก็ต้องหันกลับไปมองรถม้าที่ดูไม่น่าใช้การได้อีกครั้ง “พวกเจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่เหลียวตง ตอบมาตามตรงเสีย” ด้วยภาพรวมที่ขัดแย้งเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกผิดปกติยิ่ง

          หงเว่ยเงียบจนทหารนายนี้ต้องขมวดคิ้วหนัก ก่อนจำใจเปิดปากเอ่ยเสียงเรียบที่เจือปนไปด้วยความรำคาญส่วนหนึ่ง “พวกข้าเป็นพ่อค้าเดินทางมาจากเขตเจียงหนาน แต่ระหว่างทางถูกโจรผู้ร้ายดักซุ่มโจมตี ข้าวของมีค่าทั้งหมดจึงถูกกวาดต้อนไป เหลือเพียงรถม้าเก่าๆคันนี้ และยังมีพี่น้องที่บาดเจ็บสาหัสจำต้องรีบไปที่โรงหมอ” พูดจบก็ยื่นตราประจำตัวให้

          ทหารตรวจตราเองก็รับป้ายประจำตัวของอีกฝ่ายมาแล้วจึงยกขึ้นดู จากนั้นใช้ด้ามกระบี่เลิกผ้าม่านที่ขาดวิ่นหน้าโถงรถม้าขึ้น

          ภายในปรากฏเงาร่างของคนสามคน หนึ่งในนั้นเป็นบุรุษที่นอนไม่ได้สติ หน้าท้องมีผ้าพันแผลที่มีเลือดซึมพันไว้อย่างลวกๆ ถัดจากข้างกายของคนผู้นี้ยังมีเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดกับเด็กชายตัวจ้อยที่ดูอายุไม่เกินสิบสี่ปี

          ด้วยสังเกตเห็นสายตาที่ดูจับผิด สถานการณ์ดูไม่น่าไว้ใจ ไป๋เซ่อก็รีบตีความ...เห็นทีเขาต้องออกโรงแล้ว “โถ ท่านพี่อดทนอีกนิด ประเดี๋ยวก็จะถึงโรงหมอแล้ว ท่านหมอที่นั่นต้องรักษาโรคริดสีดวงให้ท่านได้แน่นอน”

          ฉับพลันนั้นน้ำเสียงแหลมทุ้มก็คร่ำครวญปานใจจะขาด ทว่ารัชทายาทเช่นเขารับฟังแล้วก็แทบจะกระอักเลือดเสียตรงนั้น โรคมีตั้งมากมาย ทำไมจึงจำเพาะเจาะจงเป็นริดสีดวงด้วย

          แลเพื่อให้สมจริงไป๋เซ่อทำทีเป็นใช้ปลายแขนเสื้อซับที่หางตา ระหว่างนั้นก็นึกชื่นชมตนเองในใจ ดีที่วันนั้นไปเดินเที่ยวเล่นที่ตลาดตงหัว แล้วจึงบังเอิญพบท่านป้าผู้หนึ่งซึ่งกำลังประคองสามีที่ริดสีดวงกำเริบจนหน้าดำหน้าเขียวไปโรงหมออย่างทุลักทุเล ระหว่างทางที่คับคั่งด้วยผู้คน นางสามารถร่ำร้องคร่ำครวญจนชาวเมืองต่างสงสารต้องหลีกทางให้อย่างรวดเร็ว เขาจึงนึกเลียนแบบ

          ด้านหงลิ่วเห็นไป๋เซ่อร่ำร้องครึกครื้นก็ไม่พลาดโอกาส แสร้งทำสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร “ท่านพ่อ อย่าตายนะ” พูดจบก็ซบหน้าใส่คนที่นอนแน่นิ่ง ก่อนจะมีเสียงสูดน้ำมูกดังยาวตามมา

          สมจริงเกินไปแล้ว...ดูว่าคนหนึ่งรับคนหนึ่งส่งตีบทแตกกระจาย แต่ก็เล่นเอาเส้นเลือดบนหน้าผากของซวนหยวนหมิงไท่ปูดโปน หงเว่ยต้องจ้องมองคนทั้งสองอย่างตะลึงๆไปพักใหญ่

          โชคดีที่เสียงร่ำไห้แหลมปรี๊ดนั้นเป็นที่บาดหูแก่ผู้รับฟัง นำพาให้ผู้คนที่ต่อท้ายแถวต้องชะโงกหน้ามองอย่างอยากรู้อยากเห็น คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็หยุดมองให้ความสนใจ ฝูงชนเริ่มมุงกันวุ่นวายทำให้ทหารคนดังกล่าวต้องรีบไล่ให้พวกเขาเคลื่อนรถจากไปโดยเร็ว

          ย้อนกลับไปเมื่อสองวันก่อน หลังจากที่นักฆ่ารับสารภาพบอกนามของผู้ที่อยู่เบื้องหลังแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ก็ตัดสินใจมายังเมืองเหลียวตง ด้านไป๋เซ่อเองก็ดึงดันจะไปด้วย แม้ว่าชายหนุ่มจะกังวลถึงความปลอดภัยและดวงตาที่ยังคงต้องรักษา หงเว่ยในฐานะหมอก็เพียงพูดว่า คนไข้อยู่ที่ใด เขาย่อมต้องอยู่ที่นั่น ได้ยินเช่นนั้นหงลิ่วก็กระโดดเกาะติดพี่ชายไปด้วย

          ผ่านด่านแรกมาแล้วพวกเขาก็พลอยโล่งใจ เดิมทีรถม้าที่ดูมิได้คันนี้เป็นคันเดียวกับที่ถูกนักฆ่าโจมตีเมื่อหลายวันก่อน ส่วนม้าที่ใช้ก็เป็นม้าป่าที่หงเว่ยพบและปราบพยศได้

          ครั้นเข้าเมืองมาแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องทำประการแรกคือหาที่ปักหลักค้างแรม ประการที่สองหาทางติดต่อไปยังกลุ่มขององครักษ์เงา ระหว่างนั้นก็สืบความเป็นไปของอ๋องแห่งเหลียวตง

          รถม้าหยุดจอดหน้าโรงเตี๊ยมอยู่หลายแห่ง จวบจนมาถึงแห่งที่ห้าจึงสามารถหาห้องพักได้ เสี่ยวเอ้ออายุไม่เกินยี่สิบ ผู้มีใบหน้าตกกระ มือไม้คล่องแคล่ว ฝีปากเจรจาพาที เป็นฝ่ายนำพาพวกเขาไปยังห้องพักที่ชั้นสอง

          “นายท่าน หากมีอะไรขาดเหลือสามารถเรียกหาคนของที่นี่ได้ทุกเมื่อ” เสี่ยวเอ้อยิ้มแย้มให้ก่อนผลักประตูเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่า

          ด้านในปรากฏเป็นห้องที่ไม่กว้างนัก ผนังสีหม่น ตัวห้องสะอาดสะอ้านใช้ได้ ที่กลางห้องวางไว้ด้วยโต๊ะเก้าอี้ไม้กลมและชุดน้ำชาเล็กๆ นอกจากนี้ยังมีเชิงเทียนและของใช้จำเป็นบางอย่าง คนทั้งสี่กวาดตามองเพียงแวบเดียวก็รู้สึกพึงพอใจ เว้นเพียง...

          “ขอถามยังมีห้องอื่นที่เตียงใหญ่กว่านี้หรือไม่” ซวนหยวนหมิงไท่ถามเสี่ยวเอ้อ จากที่เห็นนี่เป็นเพียงเตียงที่ทั้งเล็กทั้งแคบ

          “ต้องขออภัยนายท่าน ตอนนี้ที่โรงเตี๊ยมชุนหลัวของเราเหลือสองห้องเล็กสุดท้ายแล้ว” เสี่ยวเอ้อตอบตามตรง ครั้นแลเห็นสีหน้าลำบากใจของแขกเหรื่อก็พอจะเดาได้ บุรุษสองคนนอนเบียดกันบนเตียงเล็กจะนอนหลับได้สบายสักแค่ไหนกันเชียว แต่มาตรว่ามีที่คุ้มหัวย่อมดีกว่าไม่มีเลยทีเดียว ดังนั้นจึงเอ่ยด้วยความหวังดี “อีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้เหลียวตงจะมีงานมงคลอันยิ่งใหญ่ เกรงว่าในเวลาแบบนี้โรงเตี๊ยมอื่นๆก็คงรองรับแขกเต็มที่แล้วเช่นกัน”

          “งานมงคล แสดงว่าที่นี่จะคึกคัก มีของกินเยอะแยะสินะ” ดวงตาสีฟ้าอมเขียวของไป๋เซ่อเบิกกว้างทอประกาย จากที่อดอยากกินแต่ผลไม้ป่ามานานในที่สุดเขาก็จะได้หลุดพ้น ด้านหงลิ่วก็ตื่นเต้นอดที่จะส่งเสียงมิได้

          “ข้าอยากได้โคมแดง ข้าอยากได้โคมแดง”

          ร่างเล็กตกอยู่ในภวังค์ มุมปากมีน้ำลายซึมอยู่เล็กน้อย ส่วนเด็กน้อยกระโดดโลดเต้น ผู้อ้างตัวเป็นหมอก็ไม่ยินดียินร้าย ผิดกับรัชทายาทหนุ่มที่ต้องขมวดคิ้ว

          ความจริงตั้งแต่เข้าเมืองมาเขาก็สังเกตเห็นโคมแดงที่จัดวางเรียงรายตลอดทาง ให้บรรยากาศราวกับอยู่ในเทศกาลหนึ่ง “งานมงคลของผู้ใดกัน เหตุใดจึงเอิกเกริกเช่นนี้”

          เสี่ยวเอ้อกลั้วหัวเราะ “แน่นอนว่าต้องเป็นของท่านอ๋องตวนอยู่แล้ว”

          “ท่านอ๋องตวนที่เจ้าหมายถึงเป็นตวนผิงซางอ๋อง” เขาย้ำถาม

          ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ย้ำถามจริงจังเช่นนี้ แต่กระนั้นเสี่ยวเอ้อก็ยังคงตอบ “ขอรับนายท่าน”

          ความจริงข้อมูลลับๆของตวนผิงซางอ๋องที่ได้จากองครักษ์เงาเมื่อปีก่อนนั้นระบุเพียงว่า ตวนผิงซางถือกำเนิดในตระกูลขุนนางฝ่ายบู้ขั้นสูง เป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากภริยาเอก จึงทำให้เจ้าตัวพลอยมีหน้ามีตาในราชสำนัก มิหนำซ้ำยังโดดเด่นด้วยฝีมือและสติปัญญาที่เฉียบแหลม อุปนิสัยสุขุมนิ่งลึก เป็นกำลังสำคัญของเสด็จพ่อ ตั้งแต่สมัยพระองค์ขึ้นครองราชย์

          กระทั่งตวนผิงซางครบวัยยี่สิบห้าอันเป็นวัยมีครอบครัว ก็ประจวบเหมาะกับแคว้นทางเหนือเข้ารุกราน ฮ่องเต้มีรับสั่งหาผู้นำทัพ และเป็นตวนผิงซางที่เสนอตัวอาสานำทัพเข้าต่อสู้กับศัตรู ซึ่งศึกใหญ่ในครั้งนี้กินระยะเวลายาวนานถึงสี่ปีจึงสงบลง และเป็นศึกที่ทำให้ตวนผิงซางได้รับความไว้วางพระทัยและพระกรุณาธิคุณให้รั้งตำแหน่งอ๋องเหลียวตงในที่สุด

          ทว่าน่าแปลกนักที่เขายึดมั่นครองตัวเป็นโสดอยู่เรื่อยมา แม้ฮ่องเต้ประทานสมรสให้ เขาก็เพียงก้มหน้าขอบพระทัยแล้วเอ่ยปฏิเสธ ทั้งยังมิเคยมีข่าวว่าเขาใกล้ชิดสนิทสนมหรือเหลียวแลสตรีคนไหนจนล่วงมาถึงบัดนี้ สรุปได้ว่าตวนผิงซางอ๋องวางตัวห่างไกลจากเรื่องรักใคร่เป็นที่สุด

          ฉะนั้นซวนหยวนหมิงไท่จึงแปลกใจไม่น้อยที่ได้รับทราบข่าวมงคลเช่นนี้ ดูแล้วสตรีผู้ครอบครองหัวใจอ๋องตวนได้นั้นย่อมไม่ธรรมดา และจะดีที่สุดหากมิใช่เป็นการแต่งงานเพื่อเอื้ออำนวยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

          “หากนายท่านไม่มีกระไรแล้ว ข้าน้อยจะพาอีกทั้งสองท่านไปชมดูอีกห้องหนึ่ง” เสี่ยวเอ้อกล่าวขัดจังหวะความคิด ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่พลันได้สติ หงเว่ยที่เดินไปรอบๆห้องต้องชะงักฝีเท้า

          แต่ทั้งนี้กลับไม่มีใครไหลลื่นได้ไวเท่ากับไป๋เซ่ออีกแล้ว “ดี เราไปดูห้องของเรากันเถอะหงลิ่ว”

          น้ำเสียงสดใสดังขึ้นพร้อมกับหงลิ่วที่พยักหน้าหงึกหงัก ทั้งสองกอดคอย่ำเท้าตามเสี่ยวเอ้อร์ไปอย่างร่าเริง ปล่อยให้สองหนุ่มต้องทวนคำว่า ห้องของเรา... ห้องของเรา... ในสมองเนิ่นนานจนหันมาสบตากันแล้วผงะแตกตื่น แลชั่วประเดี๋ยวก็มีเสียงรัชทายาทหนุ่มร่ำร้องอย่างที่มิสนใจภาพลักษณ์ กระทั่งหงเว่ยที่มักสงบปากสงบคำก็ต้องโพล่งกล่าวออกมา

          “ช้าก่อน ข้าไม่นอนกับเขา”

          “ข้าก็ไม่นอนกับเขา”


 

*************************************************
   

 

          เมื่อตะวันขึ้นตรงกลางศีรษะ ชั้นแรกของโรงเตี๊ยมชุนหลัวซึ่งเปิดเป็นร้านอาหารก็เต็มไปด้วยแขกเหรื่อ เสี่ยวเอ้อร์ในร้านต่างรับรองลูกค้ากันให้หัวหมุน แลในอีกมุมหนึ่งก็บังเกิดความวุ่นวายไม่แพ้กัน

          “ไยพวกเจ้าจึงพูดมิรู้เรื่องเช่นนี้”

          “คือ...” ซวนหยวนหมิงไท่และหงเว่ยต่างนั่งก้มหน้าก้มตาคอตก

          “ดูพวกเจ้าสิ ตัวใหญ่อย่างกับพ่อวัวแล้วยังจะมานอนกับพวกข้าเพื่อกระไร มิเห็นหรือว่ารูปร่างของข้ากับหงลิ่วเหมาะจะนอนด้วยกันที่สุด” ไป๋เซ่อตวาดยกใหญ่ หากยอมแม้แต่ก้าวเดียวเขามิต้องเปลี่ยนไปนอนพื้นหรอกหรือ

          “ใช่ๆ” ฝ่ายผู้ถูกพาดพิงอย่างหงลิ่วนั่งฟังแล้วกัดหมั่นโถวคำโต ประเมินมองภาพรวมแล้วจึงสรุปในใจ กาลเวลาล้วนทำให้ทุกอย่างแปรเปลี่ยน มาตรว่าน้ำหยดลงหินทุกวัน หินยังสึกกร่อน ดังนั้นไม่ว่าจะมองดูในแง่มุมไหน ในเพลานี้พี่ชายไป๋ก็ใหญ่ที่สุด กระทั่งพี่ใหญ่ของเขายังต้องลงให้หลายส่วน

          เมื่อมีคนให้ท้ายไป๋เซ่อ เรื่องราวก็จำต้องจบลงแต่โดยดี มื้อเช้าในวันนี้จึงหวนคืนสู่ความสงบที่แทรกด้วยเสียงซดน้ำเต้าหู้ของไป๋เซ่อ บุรุษหนุ่มอีกสองคนได้แต่กัดหมั่นโถวกันอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่กระนั้นสีหน้ากลับฉายแววขมขื่นอยู่หลายส่วย

          ครั้นกินส่วนอาหารของตัวเองหมด ไป๋เซ่อก็ชะโงกหน้ามองโต๊ะอื่นด้วยความระทมทุกข์ ไฉนโต๊ะข้างๆจึงมีบะหมี่น้ำชามโตกับขนมเม็ดบัวชิ้นใหญ่ ผิดกลับเขาที่ต้องรองท้องด้วยหมั่นโถกับน้ำเต้าหู้จืดชืด ขณะที่คิดอย่างเศร้าใจก็พลันบังเกิดเป็นเสียงร้องดีใจของคนผู้หนึ่ง

          “เสี่ยวไป๋” ผู้มาใหม่กลับเป็นบุรุษหนุ่มเจ้าสำอางในชุดสีฟ้าสด ซึ่งติดตามด้วยข้ารับใช้ผู้หนึ่ง

          “พี่เสิ่น” ไป๋เซ่อร้องเรียก ดูว่าเขาช่างมาได้เหมาะเจาะเสียจริง

          เสิ่นอันหวางตรงรี่เข้าหาก่อนจะเบียดนั่งที่ข้างๆกายร่างเย้ายวนได้สำเร็จ ระหว่างนั้นกลับมิได้สังเกตเห็นสายตาสองคู่ที่ลุกโชนดุจดั่งเพลิงนรกขุมที่สิบแปด “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้กระไร รู้รึไม่ว่าจากไปไม่ลาเช่นนี้ ผู้แซ่เสิ่นเสียใจเพียงใด”

          เดิมทีก่อนหน้าจะมาเหลียวตงนี้ เขาได้แวะไปหาไป๋เซ่อที่จวนตระกูลมู่ หากแต่บ่าวไพร่กลับบอกว่าขบวนท่านผู้ตรวจราชการได้ออกเดินทางไปหลายวันแล้ว ครั้นขอเข้าพบมู่อิงเอ๋อร์กลับได้ความว่านางถูกบิดาสั่งกักบริเวณนานนับเดือน จะด้วยเหตุผลอันใดก็มิทราบได้ ดังนั้นเขาจึงมิอาจสอบถามที่อยู่ของร่างเล็กได้อีก ทว่าการได้บังเอิญพบกันเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เสิ่นอันหวางเชื่อมั่นในพรหมลิขิตระหว่างตนและคนงาม

          “คุณชายเสิ่นท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” เป็นซวนหยวนหมิงไท่ที่กล่าวขัดจังหวะสายตาอันหยาดเยิ้มของอีกฝ่าย

          “ครั้งนี้ข้าเป็นตัวแทนของบิดามาทำการค้าและส่งมอบของขวัญมงคลให้กับท่านอ๋องตวน มิคาดฝันจะได้พบกันอีก ช่างบังเอิญจริงๆ” เสิ่นอันหวางหัวเราะ ครั้นสังเกตเห็นอาหารเรียบง่ายทั้งชุดเสื้อผ้ามอมแมมของท่านผู้ตรวจหมิงก็เกิดสงสัย “ครั้งนี้ท่านผู้ตรวจราชการหมิงลงทุนปลอมตัวตรวจสอบผู้ใดอยู่ หากมิใช่เสี่ยวไป๋โดดเด่น ข้าคงมิเห็นได้แน่ๆ”

          อีกฝ่ายพูดทีเล่นทีจริง ทว่ารัชทายาทหนุ่มฟังแล้วริมฝีปากก็กระตุก “ล้อกันเล่นแล้ว ความจริงระหว่างทางพวกเราโดนโจรป่าดักปล้น พวกเราจึงเป็นเช่นนี้”

          “จริงรึ? ช่างเหิมเกริมยิ่งนัก พวกมันเห็นกฎหมายเป็นอันใด” ผู้แซ่เสิ่นถลึงตาโตพร้อมทั้งตบโต๊ะด้วยความโมโห ทำเอาชามน้ำเต้าหู้บนโต๊ะถึงกับสั่นสะเทือน “ว่าแต่เสี่ยวไป๋ เจ้าบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า”

          ดูว่าอีกฝ่ายปรับเปลี่ยนอารมณ์ได้ไวยิ่งกว่าโกหก หงเว่ยที่นิ่งเงียบมานานครั้นเห็นไป๋เซ่อกำลังจะอ้าปากก็เป็นฝ่ายชิงกล่าว “เขามิเป็นไร”

          ด้วยน้ำเสียงห้วนที่ดังออกมา ทำให้เสิ่นอันหวางต้องหันไปสบเข้ากับประกายตาอำมหิตแล้วจึงผงะตัวหน้าซีด ทำไมตนไม่สังเกตเห็นคนผู้นี้แต่แรกกัน “จะ...เจ้าเป็นใครรึ”

          ซวนหยวนหมิงไท่มองท่าทีหวาดๆของเสิ่นอันหวางแล้วก็ลอบยิ้ม ดูว่ามิต้องถึงมือเขา หงเว่ยก็ออกหน้าจัดการแล้ว

          “ข้าเป็นหมอของไป่ไป๋ หากสงสัยในอาการใดของเขา ข้าจะตอบเอง”

          ประโยคดังกล่าวทำเอาหงลิ่วที่นั่งด้านตรงข้ามถึงกับสำลักน้ำเต้าหู้ ด้วยต้องกลั้นขำอย่างสุดกำลัง พี่ใหญ่ถึงกับกล้าเรียกไป่ไป๋ ไหนจะยังประโยคนั้น เท่ากับมิเปิดโอกาสให้บุรุษเจ้าสำอางผู้นี้สนทนากับไป๋เซ่อสักประโยค

          “หือ ทำไมจึงเป็นไป่ไป๋” ไป๋เซ่อเลิกคิ้วอย่างสงสัย

          “เพราะ...เพราะว่า...น่ารักดี” หงเว่ยกล่าวแล้วหน้าก็แดงก่ำ

          ไป๋เซ่อเห็นท่าทีขัดเขินก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมิใช่คนหเย็นชาอย่างที่เห็นภายนอก อดยิ้มขึ้นมามิได้
         
          ไป่ไป๋...น่ารัก เฮอะ ซวนหยวนหมิงไท่ลอบแค่นเสียงประชด ลองโดนโขกสับถีบก้นแบบเขาดูสิ ยังจะกล่าวคำว่าน่ารักออกมาเช่นนี้ได้รึไม่ คิดเสร็จก็พลันหันไปกล่าวกับบุคคลที่ยังเรียกขวัญกลับมามิได้ “ว่าแต่คุณชายเสิ่น ท่านทำการค้ากับจวนอ๋อง คงจะมีเส้นสายไม่น้อย ถ้าเช่นนั้นท่านพอจะรู้เรื่องงานมงคลของท่านอ๋องตวนบ้างรึไม่ว่า ว่าที่พระชายาเป็นใคร”

          เสิ่นอันหวางยิ้ม “เรื่องนี้ก็พอรู้มาบ้าง การแต่งงานของท่านอ๋องตวนนับว่ารวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ฝ่ายว่าที่พระชายานั้นเป็นสตรีที่โดดเด่น ข้าได้ยินมาว่าท่านอ๋องช่วยนางไว้ในครั้งออกล่าสัตว์ราวเจ็ดแปดวันก่อน ทหารที่ติดตามเล่าลือกันว่าเพียงแค่นางชายตามอง ท่านอ๋องก็ตกหลุมรักนางหัวปักหัวปำแล้ว แม้แต่ขุนนางเก่าแก่คัดค้านเพียงใดท่านก็มิสน”

          “หือ งดงามมากเลยหรือ” ไป๋เซ่อก็ตาโตด้วยความอยากรู้อยากเห็น พลอยทำให้เสิ่นอันหวางกระตือรืนร้นพูดต่อ

          “แน่นอน นอกจากหน้าตาที่ชวนให้คนรู้สึกปกป้อง นางยังมีเส้นผมสีเงินราวกับเส้นไหม ไม่ว่าสตรีใดก็มิอาจเทียบเคียง”

          “ผมสีเงิน” ผู้แซ่เสิ่นพูดถึงตรงนี้ทั้งซวนหยวนหมิงไท่และไป๋เซ่อก็อุทานขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะหันมาสบตากันอย่างรู้ความ

          “ท่านแน่ใจว่าเป็นสตรีผมเงิน?” ซวนหยวนหมิงไท่ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

          เสิ่นอันหวางเลิกตาโต “แน่ใจสิ เรื่องนี้แม้แต่ชาวเมืองเหลียวตงก็เป็นพยานได้ เพราะหลังจากท่านอ๋องกลับจากล่าสัตว์ ที่หลังม้าของท่านอ๋องก็เพิ่มขึ้นมาด้วยสตรีผมสีเงินนางหนึ่งแล้ว”

          รับฟังแล้วรัชทายาทหนุ่มก็สูดหายใจลึก “คุณชายเสิ่น ขอถามท่านคิดไปเยือนจวนอ๋องเมื่อใด”

          “อีกสองวันที่จะถึงนี้”

          “เช่นนั้นรบกวนคุณชายเสิ่น ข้าต้องการเข้าไปในจวนอ๋อง ท่านพอจะช่วยข้าได้รึไม่”

          ชายหนุ่มกล่าวถึงตรงนี้ไป๋เซ่อก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น คล้ายมีความไม่พอใจก่อตัวในอกลึกๆ มือน้อยกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว แต่กระนั้นก็มิอาจรับรู้แลอธิบายได้ว่าความรู้สึกนี้เป็นเช่นไร แลไม่นานก็ได้ยินเสิ่นอันหวางตอบรับคำ

          “ขอเพียงท่านผู้ตรวจราชการหมิงสั่งมา ข้าย่อมกระทำตาม” เสิ่นอันหวางยิ้มกว้างจนเห็นเหงือก สันดานพ่อค้ามีหรือจะปล่อยให้ปลาตัวใหญ่หลุดมือ
[/size]


*************************************************



เพราะมีคนถามว่าตวนอ๋องผิงซางคือใคร เค้าเลยจับมาตั้งชื่อตอนเสียเลย 5555+

ถถถถ ความจริงก็เพราะตั้งชื่อตอนไม่ออกชัดๆ เเฮ่


 :katai5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2016 20:28:46 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
อะโถ่พ่อรัชทายาทแสนดี... พอรู้ว่าแม่นางที่เจอในป่าครานั้นจะออกเรือนก็ระริกระรี่จะไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาตัวเอง
ทำเอาไป๋เซ่อที่นั่งฟังถึงกับจึ้ก! เดี๋ยวเถอะน้าๆ เดี๋ยวงูขาวตัวน้อยก็หนีไปอยู่กับพลพรรคงูดำหรอก เขายิ่งผูกสมัครรักใคร่เอ็นดูไป่ไป๋อยู่ด้วย โดยเฉพาะหงเว่ยเนี่ย ไม่เก็บไว้ดีๆจะโดนงาบไปไม่รู้ด้วย

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 12.1 ความฝัน



           หลังจากตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย เสิ่นอันหวางก็แสดงความใจกว้างราวกับแม่น้ำฮวงโห อาหารเลิศหรูถูกสั่งมาวางเรียงรายบนโต๊ะ หงลิ่วเมื่อได้ลาภปากก็ตาโตเป็นประกายใช้ตะเกียบจ้วงโดยไว

          ด้านไป๋เซ่อเพียงก้มหน้าชิมอาหาร ทว่ากินไปคำหนึ่งก็พลันรู้สึกไร้รสชาติ อารมณ์และรอยยิ้มสดใสจางหายลงไปหลายส่วน เขาวางตะเกียบเงียบๆ แลไม่นานน่องไก่ชิ้นโตก็ถูกวางแหมะลงบนชาม

          “ไป่ไป๋ กินเยอะๆ” หงเว่ยจ้องมองร่างเล็กอย่างอ่อนโยน

          เมื่อรับรู้ถึงความเป็นห่วงไป๋เซ่อก็ยิ้มไปจนถึงดวงตา “ขอบคุณเจ้ามาก หงเว่ย” กล่าวจบก็หยิบน่องไก่ขึ้นมากัดคำโต ประจวบเหมาะกับที่หงลิ่วร้องโวยวาย

          “เฮ้ๆ ข้ายังไม่ได้กินเลย”

          เป็นเสิ่นอันหวางลอบมองคนทั้งสองก็รู้สึกว่าจะเสียหน้ามิได้ จึงยกเอาจานเป็ดน้ำแดงที่ยังคงมีตะเกียบคู่หนึ่งจิ้มอยู่ไปวางไว้ที่ด้านหน้าร่างเล็ก “เสี่ยวไป๋ ลองกินจานนี้ ข้าสั่งให้เจ้าโดยเฉพาะ”

          น้ำเสียงหวานนั้นทำเอาคนทั้งโต๊ะต้องทำหน้าปูเลี่ยน ไป๋เซ่อคีบชิ้นเป็ดเข้าปากก็ส่งเสียง “อร่อย” เขาชำเลืองตาไปที่อีกฟากของโต๊ะ ก็เห็นชายหนุ่มเอาแต่พลุ้ยข้าวต้มเข้าปาก

          พอดีกับที่ซวนหยวนหมิงไท่ลดชามลงก็รู้สึกถึงสายตาจับจ้องเอาเรื่อง เขามองสบดวงตาสีฟ้าอมเขียว จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตากินต่อ

          ด้วยท่าทีเมินเฉยเช่นนี้ยังผลให้ไป๋เซ่อริมฝีปากกระตุก หันไปคว้าฉีกน่องเป็ดน่องไก่แล้วกัดทึ้งพร้อมกันอย่างมีโทสะ...ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้ามันคนใจร้าย เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลชัดๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเอาใจข้าอยู่แท้ๆ

          กระทั่งอาหารบนโต๊ะเริ่มร่อยหรอ เสิ่นอันหวางก็ขอตัวกลับไปตรวจรายการข้าวของที่จะนำไปยังจวนอ๋อง ก่อนไปยังทิ้งเงินก้อนโตให้กับเถ้าแก่ร้าน ทั้งไม่ลืมกำชับกำชาให้ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี

          คล้อยหลังหนึ่งนายหนึ่งบ่าวจากไป ซวนหยวนหมิงไท่ก็ลุกขึ้นเอ่ยจะออกไปทำธุระ ตามติดด้วยน้ำเสียงของเฉื่อยชาของหงเว่ยที่คิดออกไปสำรวจรอบๆเมือง ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อและหงลิ่วก็แทบจะตะโกนเป็นเสียงเดียวกันว่า “ข้าไปด้วย”

          ทว่ารัชทายาทหนุ่มกลับขมวดคิ้วกล่าวเสียงแข็งกับร่างเล็ก “ไม่ได้ เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่” ต่อให้ครานี้ไป๋เซ่อดื้อดึงเช่นไร เขาก็ใจอ่อนอีกไม่ได้ เพลานี้เขาอยู่ใกล้ศัตรูเกินไป อีกฝ่ายจะล่วงรู้ถึงจุดอ่อนเขามิได้ ฉะนั้นเคลื่อนไหวตามลำพังจะดีกว่า

          “แต่...” ไป๋เซ่อทักท้วง ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับรีบตัดบท
         
          “ข้าไปครู่เดียว อย่าได้งอแง”

          สิ้นเสียงร่างสูงก็หันกายเดินดุ่มออกจากโรงเตี๊ยมไปโดยไม่คิดจะเหลียวกลับมามองสักครั้ง ไป๋เซ่อตัวแข็งค้าง คนผู้นี้กล้าใช้คำว่าอย่างอแงกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไหนจะท่าทีที่ห่างเหินนั่นอีก

          อีกด้านหนึ่งหงลิ่วเกาะขาหงเว่ยไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกโยนตุบกลับไปที่เดิม ครั้นตะเกียกตะกายจะถลาไปจับตัวพี่ชายใหม่ ร่างที่เย็นชาก็เดินตัวปลิวไปไกลแล้ว เด็กน้อยตะโกนไล่หลัง “พี่ใหญ่ ท่านทิ้งขว้างข้าเช่นนี้ คอยดูหากกลับถึงเจียงหนานเมื่อไหร่ ข้าจะฟ้องหงอู่ว่าท่านไม่ดูแลข้าให้ดี”

          ทิ้งขว้าง? มองดูเด็กน้อยตะโกนปาวๆ ก็ต้องสะอึกอยู่ลึกๆ ด้วยท่าทีที่ชายหนุ่มแสดงออกยังผลให้พลันสงสัย...รึข้าจะโดนทิ้ง คิดได้ดังนั้นใจก็เริ่มไม่สงบ ทำได้แต่เบือนหน้ามองไปยังทิศทางที่เจ้าตัวลับไปอยู่เงียบๆ

          ครั้นกลับถึงห้องพัก ไป๋เซ่อก็นั่งกอดอกเหยียดขาวางบนกรอบหน้าต่างพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สายตาจับจ้องมองคนที่เดินขวักไขว่อยู่ด้านล่าง เฝ้ารอการกลับมาของรัชทายาทหนุ่มคนผู้หนึ่งอย่างหงุดหงิด ทว่ารออยู่เนิ่นนานก็หาได้มีวี่แววแม้แต่เงาของเจ้าตัว

          ผ่านไปพักใหญ่หน้าท้องที่ตึงแน่นก็เริ่มส่งผลให้เปลือกตาบางหนักอึ้งลงไปทุกที ไป๋เซ่อพยายามปรือตาอยู่นาน หากแต่ในที่สุดก็มิอาจทนฝืน

          .............

          .......

          ...

          บนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ฟากฟ้าประดับด้วยประกายแสงของหมู่ดวงดารา งูตัวน้อยสีขาวแหงนมองท้องฟ้าพลางเลื้อยไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย กระแสลมเย็นฉ่ำแทรกผ่านต้นหญ้าจนเกิดเป็นเสียงหวีดหวิว ให้ความรู้สึกหงอยเหงาอย่างไรบอกไม่ถูก

          อากาศของภูเขาเริ่มหนาวเย็นจนเกิดเป็นหิมะตก สัตว์น้อยใหญ่จึงพากันอพยพไปยังสถานที่ที่ดูจะอบอุ่นกว่า ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนไปเป็นฝูงหรือกลุ่มครอบครัวเล็กๆ เว้นเพียงมันที่เคลื่อนตัวไปอย่างโดดเดี่ยวในภายหลัง

          เป็นมันไร้ญาติขาดพี่น้อง นับตั้งแต่จำความได้ก็ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังแล้ว ทว่าอสรพิษส่วนใหญ่ก็ปลีกวิเวกมิต่างกับมันมิใช่หรือ ยังดีที่สัตว์ทั้งหลายบนภูเขาแห่งนี้ดูจะเกรงกลัวมันเป็นพิเศษ แค่เห็นมันปรากฏตัวที่ใดก็พลันหลบลี้หนีหน้าไปให้ไกลทันที

          อืม ดูท่าทางแล้วมันเองก็คงจะดูน่าเกรงขามมิใช่น้อย

          “ฟุ ฟุ” คิดได้เช่นนั้นงูเผือกน้อยก็ฉีกยิ้มแฉ่ง แค่นหัวเราะอย่างหลงตัวเอง สรุปโดยรวมแล้วมันใช้ชีวิตไม่ลำบากสักเท่าไหร่นัก เว้นเพียงมีบางเวลาที่รู้สึกอ้างว้างอยู่บ้าง

          มาตรว่าเลื้อยตัวมาทั้งวันในที่สุดเสียงท้องร้องก็ดังขึ้น ศีรษะที่เคยเชิดอย่างภาคภูมิถึงกับตกลง รอยยิ้มแฉ่งกลับกลายเป็นรอยยิ้มแหย แม้แต่ลำตัวก็ยังค่อยๆห่อเหี่ยวขดม้วนเป็นวงกลม

          หิว...หิวจะตายอยู่แล้ว

          มันตัดสินใจอ้าปากงับต้นหญ้าประทังชีวิต ต่อให้ภายหลังต้องท้องเสีย มันก็มิเลือกตายอย่างหิวโหย และในขณะที่มันกลืนหญ้าลงคอที่แห้งผาก ฉับพลันนั้นก็บังเกิดเสียงสวบสาบ ดวงตาวิบวับสีฟ้าอมเขียวหันขวับไปยังต้นเสียงในทันที

          ไม่ไกลนักเงาร่างหนึ่งเดินวนเวียนไปตามจุดต่างๆ สองมือแหวกหญ้าสูงคลับคล้ายกำลังมองหาบางสิ่งอยู่ มันสังเกตดูก็พบว่าเงาร่างนี้มีเรือนร่างสีขาวละมุน ชวนให้รู้สึกถึงความบริสุทธิ์อ่อนโยนดุจดั่งดอกบัว งูน้อยฉีกยิ้ม ถึงตอนนี้อีกฝ่ายจะดูน่าชมมองแค่ไหนก็มิอาจห้ามให้สมองของมันผุดคำๆหนึ่งตามสัญชาตญาณกระหายหิว

          เหยื่อ...ในที่สุดมันก็เจอเหยื่อแล้ว มันถ่มหญ้าที่รสชาติเหม็นเขียวในปากทิ้ง จากนั้นเลื้อยตัวไปยังของกินที่ดูน่าอร่อยกว่า จวบจนเข้าใกล้ในระยะสามฉื่อ มันก็เตรียมอ้าปากกว้าง เผยเขี้ยวแหลมสีขาวประดุจดั่งงาช้าง ซึ่งเคลือบไปด้วยน้ำลายแวววาว จะให้ดีมิเปลืองแรงมากนัก มันต้องเขมือบเหยื่อในขณะที่ไม่รู้ตัว เพียงงับสักคำแล้วกลืนลงไป อาจจะต้องรัดพัวพันมิให้หลุดมืออีกสักหน่อยแค่นี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี

          แต่มาตรว่าวางแผนไว้เสร็จสรรพ ที่เหนือศีรษะกลับปรากฏเป็นฝ่าเท้าข้างหนึ่งยกขึ้นเหนือตัวมันแล้ว มันเงยหน้างุนงงอยู่ครู่หนึ่งจึงตระหนักได้ถึงข้อเท็จจริงบางประการ

          ...ดูมันเลือกเหยื่อตัวใหญ่เกินไปหน่อยกระมัง

          “อั่ก” ฉับพลันนั้นน้ำหนักที่ราวกับช้างสารก็ประทับลงบนตัวมันอย่างเลี่ยงมิได้ ทว่าอีกฝ่ายเองก็ดูจะมิได้สังเกตเห็นว่าเผลอย่ำมัน เพียงเดินผ่านเลยไปอย่างง่ายๆ ราวกับมิเคยมีอันใดเกิดขึ้น

          งูเผือกสีขาวนอนแดดิ้นด้วยอาการจุกอก หางฟาดตีไปมากับพื้น ลำตัวบิดไปมาซ้ายขวาอย่างเจ็บใจ มันหรี่สองตาจับจ้องเหยื่อไม่ลดละ แลหากคิดว่ามันจะยอมแพ้ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ก็ในเมื่ออีกฝ่ายตัวโตดูน่าอร่อยถึงเพียงนี้ หากได้ลิ้มลองคงจะอิ่มท้องไปอีกหลายสัปดาห์ เหยื่อที่มันหมายตามีหรือที่มันจะปล่อยไปอย่างง่ายๆ

          เช่นเดียวกับอุปนิสัย จะรักหรือเกลียด มันก็ดื้อดึงจนถึงที่สุด

          “ฟุ ฟุ” มันพยายามแค่นเสียงหัวเราะลอดริมฝีปาก จากนั้นไต่ตามหินก้อนเล็กก้อนน้อยติดตามเงาร่างสีขาวขึ้นไป ระหว่างนั้นก็นึกเบิกบานยินดี ด้วยไม่ว่าอย่างไรวันนี้อีกฝ่ายมิพ้นกำมือมันได้แน่นอน

          “เจอแล้วๆ”

          จู่ๆร่างสีขาวงดงามก็หยุดตัวเปล่งเสียงร้องยินดีบนหินผาที่มีลักษณะไล่เรียงเป็นชั้นๆ ส่งผลให้มันต้องชะงักหยุด แหงนหน้ามองคนที่อยู่ห่างขึ้นไปอีกหลายช่วง อาจเป็นเพราะคืนนี้ดวงจันทร์กระจ่างจึงทำให้มันสังเกตเห็นใบหน้าของเจ้าตัวได้ชัดถนัดตา

          ดวงหน้าเล็กขาวใส แก้มระเรื่อด้วยเลือดฝาด รอยยิ้มบางคลี่ออกดูมีชีวิตชีวา ไหนจะยังดวงตาสีน้ำตาลระคนทองน่าหลงใหล เส้นผมยาวเฉกเช่นเดียวกับสีตา เหยียดยาวอ่อนนุ่มสะบัดพัดไหวไปตามสายลม มือเรียวผ่องกำลังประคองลูกแก้วสีโปร่งใสลูกหนึ่งออกจากซอกหลืบเล็กๆ

          คล้ายว่ามันถูกดึงดูดไปกับเรือนร่างนี้ ปากน้อยๆอ้าค้างอย่างโง่งม แต่แล้วมันก็เห็นเต็มสองตาว่าฝีเท้าที่เคยเหยียบย่ำมันกลับเผลอสะดุดขาตัวเอง ส่งผลให้ลูกแก้วใสในมือเลื่อนหลุด สีหน้าเจ้าของมีอันตื่นตะลึงไป

          ทว่าใครจะไปคาดคิดว่าลูกแก้วลูกหนึ่งสามารถสร้างความวิบัติได้รุนแรงเพียงนี้ ลูกแก้วใสเพียงตกกระทบก้อนหินที่ปลายเท้าของเจ้าตัวคราหนึ่งก็บังเกิดเสียงดังเปรี๊ยะ ตามมาด้วยอาการร้าวไปทั่วบริเวณ แลในชั่วอึดใจก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่พอเพียงแค่นั้นส่วนฐานที่ลดหลั่นกันไปตลอดทั้งแนวถึงกับสั่นครืนยกใหญ่ จากนั้นพร้อมใจกันถล่มลงมาตรงบริเวณที่มันอยู่อย่างรวดเร็ว

          งูเผือกตัวน้อยอ้าปากกว้างแล้วกว้างอีก หากกว้างกว่านี้อีกสักนิดหินเหล่านี้คงจะร่วงใส่ปากมันแล้ว ทันใดนั้นเองเงาร่างสีขาวตรงหน้าก็หายวับไป แทนที่ด้วยหินก้อนใหญ่ รวมถึงฝุ่นควันคละคลุ้งที่เบื้องหน้า

          ชักจะผิดท่าแล้วสิ...ดวงสีฟ้าอมเขียวถลนเหลือกลาน ทุกส่วนของร่างกายแข็งทื่อ กระทั่งลมหายใจยังขาดห้วง

          หลังจากเสียงครืนขนานใหญ่สงบลง มันจึงรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่แสนสาหัส เลือดหย่อมเล็กๆทะลักออกจากริมฝีปาก ลิ้นแฉกสีแดงห้อยตก ดูว่าลำตัวของมันถูกหินก้อนใหญ่กระแทกทับไปถึงครึ่งส่วน ดวงตาทั้งสองข้างพร่ามัวเลือนราง แต่กระนั้นก็ยังเห็นฝีเท้าคู่หนึ่งที่ก้าวมาหยุดยืนเบื้องหน้า ไม่นานนักก็รู้สึกเบาหวิวคล้ายหินก้อนที่หล่นทับถูกผลักออกไปทางด้านข้าง

          “ข้าขอโทษ เป็นอะไรมากรึไม่” ตัวการเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด พลางยื่นส่งมือไปทางงูน้อยที่ดูร่อแร่

          “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” เจ้าโง่ ข้าถูกทับเสียแบนเรียบขนาดนี้จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไรกันเล่า แฮ่ๆ มันขู่ตวาดอย่างฉุนเฉียว เมื่อสบโอกาสก็พุ่งเข้ากัดข้อมือนวลที่ส่งมาให้อย่างเต็มเขี้ยว อย่างน้อยตอนนี้มันก็บรรลุความต้องการล่าเหยื่อบรรเทาความหิวแล้ว

          กลับกันเจ้าของร่างสีขาวเผยสีหน้าประหลาด ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองข้อมือที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำลายก็ต้องยิ้มขัน “คิดไม่ถึงว่าจะยังมีแรงขนาดนี้” ว่าแล้วก็แกว่งข้อมือที่เกาะติดด้วยงูน้อยที่ห้อยต่องแต่งไปมา

          ฝ่ายอสรพิษถึงกับชะงักกึก พึ่งสังเกตได้ว่าตั้งแต่มันจมเขี้ยวอันแหลมคมเหยื่อตรงหน้าก็ยังมิได้ส่งเสียงร้องสักแอะ ดังนั้นมันได้แต่ใช้ไม้ตายรวบรัดอีกฝ่ายในวงรัด แต่ครั้นคิดขยับตัวกลับพบว่าส่วนลำตัวพลันไร้ความรู้สึกไป ยังผลให้สีหน้าของซีดยิ่งกว่าไข่ต้ม ดวงตาเรียวสั่นไหว

          “ไม่เป็นไรความตายมิได้น่ากลัวอย่างที่เจ้าคิดหรอก” ร่างสีขาวกล่าวปลอบโยน ทว่างูเผือกเบิกตากว้างตกใจ

          ตาย...มันจะตายงั้นหรือ เป็นครั้งแรกที่มันรู้สึกใจหาย หวาดกลัวไปถึงก้นบึ้งจิตใจ มันกระทั่งใบหน้าของผู้ให้กำเนิดก็ยังไม่เคยพบ แม้แต่ความทรงจำแรกเกิด ชื่อเสียงเรียงนามก็ยังไม่มี วันๆได้แต่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย หาได้รู้ไม่ว่าตนเกิดมาเพื่ออะไร

          ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันก็ต้องตายอย่างอ้างว้าง โดดเดี่ยว เงียบเหงาเช่นนี้น่ะหรื

          โฮ...มันไม่ยอม ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น น้ำตาหยดใหญ่ร่วงหล่นผ่านดวงตาสีสวย มันสะบัดหัวไปมาพลางขย้ำกัดข้อมือเรียวในปากต่อ บางทีหากได้กินอะไรสักหน่อย ชีวิตมันก็อาจจะมิดับสูญก็เป็นได้

          “ก็ได้ในเมื่อเจ้ามิประสงค์ความตาย อีกทั้งเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดข้า เช่นนั้นข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสาดประกายตาสีทอง นิ้วเรียวลูบไล้ไปที่ศีรษะอันเรียบลื่นอย่างเอ็นดู จากนั้นกล่าวกระซิบ “ไป๋เซ่อ จำไว้ให้ดี สักวันหากเจ้าพบเจอคนที่เจ้าพร้อมจะเสียสละทุกอย่างให้ กระทั่งชีวิตและตรงนี้” นิ้วพลันจิ้มไปที่อกของมันเบาๆ “จงอย่าได้ปล่อยเขาไปง่ายๆ ไม่ว่าจะเจ้าจะพบเจออุปสรรคใดก็ตาม”

          ต่อเมื่อเสียงกระซิบจบลง ริมฝีปากบางของเรือนร่างสีขาวก็เหยียดยิ้ม ทว่าคำพูดเหล่านั้นมันกลับรับฟังอย่างไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ เพียงรู้สึกว่าสายตาคู่นั้นทำให้มันคลายหวาดกลัว

          งูน้อยยอมคลายริมฝีปากออก สองมือคู่อบอุ่นประคองมันลง แลไม่นานร่างสีขาวก็พร่ามัวไป มันขยี้ตาอยู่หลายครั้งก็พบร่างของมันกลับกลายเป็นมนุษย์ เงาร่างสีขาวที่อยู่ตรงหน้ากลับแทนที่ด้วยบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งใช้สายตานิ่งเรียบจ้องมองมันราวกับทะลุไปถึงจิตใจ

          “ไป๋เซ่อ”

          น้ำเสียงทุ้มที่แม้จะเอ่ยเพียงแค่ชื่อ แต่กลับทำให้รู้สึกตื่นเต้นยินดี ไป๋เซ่อฉีกยิ้มแฉ่ง หากแต่ริมฝีปากงามนั้นก็ขยับเอ่ยสืบต่อ

          “ข้าขอโทษ ข้าเลือกเจ้ามิได้”

          ราวกับมีฟ้าผ่าไปทั่วร่าง รอยยิ้มบนใบหน้าถึงกับแข็งทื่อ จู่ๆในอกก็เจ็บราวกับถูกมีดกรีด ไป๋เซ่อได้ยินเสียงของตัวเองเอ่ยถาม “เพราะอะไร”

          “เพราะชะตาของข้าผูกติดอยู่ที่นาง มิใช่เจ้า”

          ร่างสูงปริปากตอบด้วยถ้อยคำเย็นชา ก่อนจะถอยหลังออกไปยืนเคียงข้างเรือนร่างบอบบางทางด้านหลัง หากแต่เขากลับมองเห็นนางไม่ชัดนัก รู้เพียงมือที่ตนคุ้นเคยกำลังโอบกอดนางไว้อย่างทะนุถนอม สีหน้าของทั้งสองดูรักใคร่กันอย่างสุดซึ้ง

          “ม่ายยย” ภาพตรงหน้าทำให้มันกรีดร้องสุดเสียง หัวใจแตกออกเป็นเสี่ยงๆ มันตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

          “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าเป็นของข้า ของข้าแต่เพียงผู้เดียว”


 

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 12.2 ความฝัน



             .............

          .......

          ...

          “พี่ชายไป๋ๆ”

          เสียงเรียกปลุกสติให้ตื่นขึ้น ไป๋เซ่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตนอยู่บนเตียงแล้ว เขายันกายขึ้นนั่งอย่างงงๆ “ข้าเผลอหลับไปหรือ”

          “โธ่ พี่ชายไป๋ ท่านหลับลึกไปตั้งหลายชั่วยาม ทำข้าตกใจแทบแย่ ก่อนหน้านี้พี่ชายข้าก็พึ่งเข้ามาตรวจร่างกายท่าน บอกว่าท่านตรากตรำร่างกายจนเหน็ดเหนื่อยเกินไป ให้ท่านพักผ่อนเยอะๆ”

          “ถ้าเช่นนั้น เขาก็กลับมาแล้วหรือยัง” มาตรว่าหงลิ่วกล่าวด้วยสีหน้าแตกตื่น แต่เขากลับถามเสียงสูง มิได้รับฟังคำก่อนหน้านี้สักกะผีก

          รับฟังแล้วหงลิ่วก็เงียบไปพักหนึ่ง ดูว่าพี่ใหญ่คงเจอคู่แข่งอันน่ากลัวแล้ว “พี่ชายหมิงเองก็กลับมาถึงเมื่อหลายชั่วยามก่อน เห็นท่านหลับจึงกลับไปพักผ่อนแล้ว”

          “หนอย เจ้าลูกเต่านี่ ข้าป่วยเช่นนี้แต่กลับนอนสบายใจเฉิ่ม”

          “เอาน่า พี่ชายไป๋อย่าได้หงุดหงิดไป เดี๋ยวจะเสียสุขภาพ” พูดจบเด็กน้อยก็ลุกขึ้นไปยกชามบะหมี่บนโต๊ะ จากนั้นหันไปคะยั้นคะยอ “นี่เป็นน้ำแกงไก่ที่พี่ชายข้าสั่งไว้ให้ท่าน รีบกินตอนร้อนๆเถอะ”

          ไป๋เซ่อรับชามบะหมี่ที่ยัดใส่มือ คิดถึงความใจดำของซวนหยวนหมิงไท่แล้วใบหน้าก็เบ้อย่างเห็นได้ชัด

          “ว่าแต่พี่ชายไป๋ ก่อนหน้านี้ท่านฝันร้ายหรือ เหตุใดจึงละเมอนัก”

          “หือ” ไป๋เซ่อหูผึ่ง ความฝันก่อนหน้านี้คล้ายย้อนกลับเข้ามาในสมอง ไม่เว้นแม้แต่ประโยคสุดท้ายที่เขาตะโกนอย่างรวดร้าว

          ‘ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าเป็นของข้า ของข้าแต่เพียงผู้เดียว’

          เดี๋ยวๆ ว่าไงนะ...เขาถลนตาแทบจะกรีดร้องออกมาสุดเสียง ประโยคดังกล่าวทำให้เขาหน้าแดง

          ไฉนจึงเหมือนคำกล่าวของภรรยาที่หึงหวงสามีกันนักเล่า

          แทบอยากจะกระอักเลือดมันให้รู้แล้วรู้รอด จะว่าไปแล้วตนฝันถึงท่านมหาเทพแท้ๆ ไยในตอนท้ายจึงมั่วซั่วกลับกลายเป็นซวนหยวนหมิงไท่เข้าไปได้ นอกจากนี้ยังมี...

          ต่อเมื่อนึกถึงร่างที่เลือนราง ฉับพลันนั้นภาพของเย่วเซียงที่ผุดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ไป๋เซ่อพลันรู้สึกหายใจติดขัด พอดีกับเสียงเคาะประตูถี่ๆ ส่งผลให้ร่างเล็กหลุดออกจากภวังค์ หันไปมองหงลิ่วที่วิ่งไปเปิดประตูห้อง จากนั้นเสี่ยวเอ้อร์ผู้ซึ่งช่างเจรจาก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับห่อกระดาษที่มีควันฉุย

          “ซาลาเปาไส้เนื้อห่อนี้ นายท่านห้องข้างๆให้ข้านำมาให้พวกท่าน”

          “จริงหรือ เป็นพี่ใหญ่สั่งมาแน่ๆ โอ สวรรค์ในที่สุดเขาก็รู้สึกผิดที่ทิ้งข้าไปเสียที ฮ่า ฮ่า” หงลิ่วพูดเองเออเองแล้วโห่ร้องดีใจ ก่อนจะตะครุบเอาห่อซาลาเปาในมือของเสี่ยวเอ้อร์มา

          ด้านเสี่ยวเอ้อร์เมื่อทำหน้าที่เสร็จก็กลับออกไปนอกห้อง ครั้นจะปิดประตูก็มีท่าทีฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง “จริงสินายท่าน ไม่นานมานี้ในเมืองมักเกิดคดีคนหนุ่มที่มิใช่ชาวเมืองเหลียวตงถูกลักพาตัวไปบ่อยๆ ล่าสุดเป็นกลุ่มบุรุษสี่คนที่เข้าพักในโรงเตี๊ยมชุนหลัวของเรา แม้แต่ข้าวของพวกเขายังถูกทิ้งไว้ที่นี่อยู่เลย ดังนั้นหากเป็นไปได้พวกท่านก็อย่าได้ออกไปไหนหลังเที่ยงคืนจะดีกว่า”

          สิ้นเสียงของเสี่ยวเอ้อร์ประตูก็งับปิดสนิทลง ใจของไป๋เซ่อกลับคล้ายมีบางสิ่งตีกันปั่นป่วนวุ่นวาย เกรงว่าที่เมืองเหลียวตงนี่จะไม่ธรรมดาอย่างที่คิดเสียแล้ว

          เช้าวันต่อมา ที่ด้านล่างของโรงเตี๊ยมก็บังเกิดเสียงทุ่มเถียง ลูกค้าที่มาเยือนเพียงมองไปทางต้นเสียงแวบหนึ่งก็มิได้สนใจ อาจเป็นเพราะโรงเตี๊ยมเป็นสถานที่ที่ซึ่งคนมักหาเรื่องกันบ่อยๆ พวกเขาจึงมิใคร่ใส่ใจอะไรให้มากความ

          “เจ้าคิดว่าสถานที่นั้นเป็นที่ใดกัน ข้าไม่อนุญาต” ซวนหยวนหมิงไท่ที่พึ่งดื่มชาไปไม่ถึงครึ่งถ้วยก็ต้องขึ้นเสียงดุ การไปจวนอ๋องตวนครานี้ นับเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ หากโชคดีเป็นเขาโค่นล้มตวนผิงอ๋อง แต่หากโชคร้ายก็กลายเป็นเขาที่มอดม้วยไร้ที่ฝัง เช่นนั้นแล้วเขาจะให้ไป๋เซ่อจะติดตามไปด้วยได้อย่างไรกัน

          “ข้าจะไป ทำไมต้องขออนุญาตเจ้า” ไป๋เซ่อโต้กลับ แม้ไม่สามารถอธิบายได้ แต่ลึกๆแล้วก็ไม่ต้องการเห็นซวนหยวนหมิงไท่ใกล้ชิดกับสตรีนางใด ยิ่งเป็นเย่วเซียงด้วยแล้ว เขา...สังหรณ์ใจพิกล กลัวว่าจะต้องสูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไป

          “ดี ถ้าเช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าขึ้นรถม้ากลับจวนตระกูลเซียวเดี๋ยวนี้” มาตรแม้นมิสามารถควบคุมไป๋เซ่อได้ แต่ยังมีคนอีกผู้หนึ่งกระทำได้

          “นี่เจ้าขู่ข้าเหรอ” ไป๋เซ่อถึงกับตบโต๊ะเสียงดัง จากนั้นตวาดผ่านสายตา “กล้าใช้ท่านมหาเทพมาขู่ข้าเชียวหรือ”

          “ข้ามิได้ขู่ แต่ข้าคิดทำจริง” รัชทายาทตอบเสียงกร้าว เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องของเขา จะปล่อยให้ไป๋เซ่อพลอยรับเคราะห์ไปอีกด้วยมิได้

          “เจ้า...” ไป๋เซ่อพูดไม่ออกด้วยโกรธจนตัวสั่น ทว่าก็ทำได้เพียงจ้องซวนหยวนหมิงไท่ตาเขม็ง กระทั่งมีน้ำเสียงที่สามแทรกขึ้นมา

          “หากไป่ไป๋ไม่อยากกลับไปที่นั่น เช่นนั้นเจ้ากลับไปเจียงหนานกับพวกเรามิดีกว่าหรือ”

          “ใช่ๆ ไปด้วยกันเถอะพี่ชายไป๋ ข้าจะพาท่านไปชมไร่นาของหงอู่กับพี่เขย” หงลิ่วเสริมกล่าวอย่างคึกคัก

          คราวนี้ดวงตาสีดำถึงกับวาวโรจน์ ถึงทีหงเว่ยสอดคำก็คล้ายตบหน้าเขาอย่างจัง ซวนหยวนหมิงไท่แค่นเสียงในลำคอ ประสานมือคำนับ “ไม่รบกวนพวกท่าน เดิมทีเป็นข้าได้รับไหว้วานให้ดูแลไป๋เซ่อ จึงถือเป็นความรับผิดชอบของข้า ไม่อาจผลักภาระให้ผู้อื่น”

          มาตรว่าจะตอบกลับอย่างสุภาพ ทว่าความหมายที่บอกเป็นนัยๆว่ามิยอมปล่อยร่างเล็กไปกลับทำให้สีหน้าของหงเว่ยทะมึนไปเป็นแถบ กระทั่งบรรยากาศก็แปรเปลี่ยนไปอึดอัดจนแทบหายใจมิออก

          หงลิ่วที่มิรู้อิโหน่อิเหน่ได้แต่ก้มหน้ากัดหมั่นโถในมือเงียบกริบ สองตาลอบมองสีหน้าบึ้งตึงของแต่ละคนแล้วก็ต้องบ่นในใจ...มารดามันเถอะ มื้อเช้านี้จะร้อนระอุไปหน่อยกระมัง

          คนทั้งสี่นั่งอึมครึมอยู่นาน ไป๋เซ่อก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อนใครเพื่อน “ได้ เจ้าอยากไปช่วยสาวงามที่ไหนก็ไปเลย ข้าไม่ยุ่งเกี่ยวกับเจ้าแล้ว เจ้าคนงี่เง่า” กล่าวด้วยสายตาแดงก่ำ จากนั้นกระทืบเท้ากลับห้องพักโดยที่ไม่แตะต้องอาหารใดๆ

          สาวงาม? ซวนหยวนเลิกตาโต ทันสังเกตเห็นร่างเล็กน้ำตาซึมก็พลันเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิด แต่แม้คิดอยากรั้งตัวอีกฝ่ายไว้แล้วบอกกล่าวสักหลายคำ แต่กลับมิทันแล้ว

          “พี่ชายหมิง ท่านจะไปไหน” หงลิ่วทักขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มผุดลุกขึ้นจากโต๊ะ

          “ข้ามีธุระ” ตัดสินใจปล่อยไป๋เซ่อไว้ ด้วยรู้นิสัยอีกฝ่ายดี หากตอนนี้เขาโอนอ่อนให้สักประโยค สุดท้ายแล้วไป๋เซ่อจะดื้อดึงติดตามเขาไปยังจวนอ๋องตวนจนได้ ซึ่งครั้งนี้มิอาจให้เป็นเช่นนั้น เนื่องเพราะเขามิกล้ารับผลที่จะตามมา หากเรื่องราวออกมาเลวร้าย

          หลังจากซวนหยวนหมิงไท่ลุกออกไป บุรุษหนุ่มที่สะกดกั้นโทสะไว้อย่างเงียบๆมาตลอดก็เอ่ยขึ้นมา “หงลิ่ว เจ้าเฝ้าไป่ไป๋ไว้ให้ดี หากข้าพบว่าเขาหายไปข้าจะแขวนเจ้าไว้ใต้ต้นเหมยสามวันสามคืน”

          “หา” หงลิ่วร้องลั่น “ทะ ท่านจะออกไปอีกแล้ว” ยังมิทันพูดจบหงเว่ยก็สะบัดชายเสื้อจ้ำอ้าวออกไปอีกคน เด็กน้อยพลันเข้าใจความรู้สึกของไป๋เซ่อขึ้นมาทันใด ลองเป็นฝ่ายถูกทิ้งไว้ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ หากไม่เบื่อตาย เขาจะยอมให้ตบหัวทิ่มเลยเออ


 

****************************************************

 

          ที่ร้านเฟิ่งหยูอันเป็นร้านที่ไม่ผิดแผกไปจากร้านแลกเงินทั่วๆไป บุรุษผู้ไว้หนวดเคราหลอมแหลมใต้คางกำลังนับตั๋วเงินปึกหนึ่งที่ได้จากลูกค้าที่พึ่งก้าวออกจากร้าน กระทั่งบุรุษในชุดสีน้ำเงินก้าวเข้ามา สีหน้าที่ดูละโมบก็พลันเปลี่ยนในฉับพลัน

          ผู้เป็นเจ้าของร้านหันซ้ายขวา แล้วสั่งให้ลูกน้องทำการปิดประตูหน้า ทั้งแขวนป้ายปิดร้านไว้ จากนั้นจึงหมุนตัวไปยังหลังร้าน ใช้มีดสั้นที่แนบกับรองเท้างัดเอาแผ่นไม้ธรรมดาบนพื้นขึ้นมา จนเผยให้เห็นบันใดที่ทอดลงไปยังด้านล่างที่มืดมิด

          ฝีเท้าที่ย่ำหนักบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของร้านผู้นี้มิใช่ชนชั้นธรรมดา หากประเมินให้ดีๆจะพบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายเป็นเพียงคนหนุ่มอายุไม่เกินสามสิบ เจ้าของร้านเฟิ่งหวงจุดเชิงเทียนแล้วเดินนำเขาลงไปด้านล่าง แลไม่นานนักห้องใต้ดินแห่งนี้ก็สว่างไสว ทำให้สังเกตเห็นชุดโต๊ะเก้าอี้ที่วางไว้กลางห้อง และผนังที่แขวนไว้ด้วยอาวุธจำนวนหนึ่ง

          “ได้มารึไม่” ซวนหยวนหมิงไท่นั่งลงแล้วเอ่ยถาม

          เจ้าของร้านเฟิ่งหยู หรือหนึ่งในองครักษ์เงาคำนับเสร็จก็ยื่นส่งกระดาษแผ่นหนึ่งไปให้ “นี่เป็นแผนที่จวนอ๋องตวนพะย่ะค่ะ”

          รัชทายาทหนุ่มรับแผนที่มาก็คลี่ออก สักพักจึงกล่าวสืบต่อ “เจ้าได้ข่าวของหัวหน้าองครักษ์จิ้งและคนอื่นๆแล้วรึไม่”

          “ยังพะย่ะค่ะ สองวันก่อนที่องค์รัชทายาทจะเสด็จมาหากระหม่อม หัวหน้าองครักษ์จิ้งได้สั่งการให้กลุ่มองครักษ์เงาจำนวนหนึ่งค้นหาพระองค์ หากแต่ในคืนที่สอง หัวหน้าองครักษ์จิ้งกับคนอื่นๆกลับหายตัวไป จนบัดนี้ยังหาร่องรอยมิได้ กระหม่อมเกรงว่านี่อาจจะเกี่ยวข้องกับคดีที่คนหนุ่มหายตัวไปในช่วงนี้”

          ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว คนอยู่ๆดีจะหายตัวไปได้อย่างไร ทั้งจำเพาะเจาะจงต้องเป็นบุรุษหนุ่ม “เจ้าแน่ใจรึไม่ ว่าก่อนที่พวกเขาจะหายไป พวกเขาได้เข้าไปสอดแนมในจวนอ๋องตวน”

          “แน่ใจพะย่ะค่ะ หัวหน้าองครักษ์จิ้งกล่าวกับกระหม่อมเอง”

          “เจ้ารับคำสั่ง พรุ่งนี้ข้าจะไปพบตวนผิงอ๋อง หากรุ่งสางข้ามิได้กลับออกมา จงสั่งการองครักษ์เงาให้บุกเข้าสังหารตวนผิงซางอ๋องเสีย” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเสียงเย็น

          อีกด้านหนึ่งหงเว่ยยืนอยู่เหนือเมฆสีขุ่น ซึ่งนับตั้งแต่เข้าเมืองมาเขาก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ มาตรว่าชาวบ้านจะใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ ทว่าเหนือตัวเมืองแห่งนี้กลับปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายปีศาจรุนแรง

          กระทั่งวันนี้สืบเสาะไปถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ด้านในประดับด้วยโคมแดงและอักษรมงคล กระนั้นที่นี่กลับเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้าย หงเว่ยวนเวียนไปรอบๆคราหนึ่งก็ทะยานตัวลงสู่เรือนหลังเล็กที่ท้ายจวน

          น่าแปลกที่สถานที่แห่งนี้ยังคงสะอาดไร้สิ่งแปดเปื้อน เขาไล้ปลายนิ้วไปตามโต๊ะหินอ่อนสีขาว มองพุ่มดอกไม้สีชมพูที่เบื้องหน้า ฉับพลันนั้นเสียงกระพรวนก็ดังขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงแว่วหวานจากทางด้านหลัง

          “ท่านเป็นใคร”

          หงเว่ยหมุนกายปรายตามองเจ้าของเสียงผู้ซึ่งมีรูปร่างเพรียวบาง ดวงหน้าอ่อนหวาน เส้นผมสีเงินปละปล่อยมิได้เกล้าเป็นทรง ก็พลันนึกถึงสตรีที่บุรุษแซ่เสิ่นเคยเอ่ยถึง...รึจะเป็นนาง

          “ท่านเข้ามาถึงที่นี่ได้?” สีหน้าของเย่วเซียงฉายแววประหลาดใจ ครั้นสัมผัสได้ว่าบุรุษแปลกหน้ามิใช่พวกเดียวกับเจ้าของจวนและนางปีศาจวั่นอู่หง นางก็ลุกลี้ลุกลนอ้อนวอน “ได้โปรดพาข้าออกไปจากที่นี่ด้วย”

          ทว่าร่างสูงใหญ่ฟังแล้วก็ยังคงนิ่งเฉย สีหน้ามิได้บ่งบอกอารมณ์ใด นางก็ยิ่งวิงวอน “ได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้าจำเป็นต้องไปหาเขา”

          ประจวบเหมาะกับที่ฝีเท้าคู่หนึ่งใกล้เข้ามา หงเว่ยได้ยินชัดแล้วก็ถอยหลัง ร่างกลับกลายเป็นหมอกควันสีดำจางๆ แต่แลดูว่าสตรีนางนี้ยังคงดื้อรั้น นางวิ่งไล่ตามเขามาด้วยสีหน้าเจ็บปวด น้ำตาที่รินรดบนใบหน้างามขับดันให้ดูน่าสงสารยิ่ง กระนั้นเขาก็ยังตัดสินไปโดยที่มิคิดจะช่วยเหลือ

          มาตรว่ากระทำเช่นนี้ดูอำมหิต ไร้เมตตาต่อผู้อื่น ทว่าเรื่องราวบนโลกมนุษย์เขาจำเป็นต้องยื่นมือยุ่งเกี่ยวด้วยหรือ ต่อให้นางตายอยู่ที่นี่ ต่อหน้าต่อตาเขา ก็ถือเป็นชะตาชีวิตของนางหาได้เกี่ยวข้องกับเขาไม่

          เพราะสองมือคู่นี้มีไว้ช่วยคนเพียงคนเดียวเท่านั้น




****************************************************



          - บทนี้อัพช้ากว่าที่เคยเป็นเพราะตอนเเรกเรื่องเรียบเรื่อยมาก อ่านเเล้วไม่ได้ดั่งใจ เราเลยเพิ่มเติมความซับซ้อนเข้าไปหน่อย เเต่ถ้าอ่านตอนนี้ยังไม่รู้หรอกว่าคืออะไร เเต่คงได้ไปเฉลยในบทอื่นๆ เเต่ก็ไม่ได้ซับซ้อนมากนะ 5555+

          - ขอบ่นเรื่องสุดท้ายและ ก่อนหน้านี้เราไปเจอนิยายวายพีเรียด เขียนได้สละสลวย ภาษาดี๊ดี คนอ่านนี่เยอะมากก หลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับเรา ทำเอาเรารู้สึกท้อไปเลย เเบบว่าเราก็อยากเขียนได้เเบบนี้บ้าง สรุปท้อไปสิบนาทีเเล้วก็เงยหน้าขึ้นใหม่ เราว่านิยายของใครก็ของมัน มันต้องมีเอกลักษณ์ของตนเองอ่ะนะ เลียนเเบบไปก็ใช่ว่าจะดี เอาเป็นว่าค่อยๆพัฒนาไปล่ะกัน

          ขอบคุณที่ยังติดตามนิยายหมิงไป๋ (ย่อชื่อเลยล่ะกัน) ที่ค่อนข้างจะใช้เวลาเขียนนานนะคะ


 

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
ตัวเองก็เขียนได้ดีน้า มีพัฒนาจากตอนแรกของภาคแรกทากๆเลยด้วยค่ะ
ขอบคุณที่ยังไม่ย่อท้อ แล้วก็ยังพยายามเขียนออกมาให้นักอ่านได้อ่านกันนะคะ :L1:

ปอลิง ขออนุญาตกัดหัวซวนหยวนหมิงไท่สักทีได้มั๊ยยยยย ฮ่วยยยยยยย

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 13.1 บุกรุก

 

          นับตั้งแต่มีปากเสียง ไป๋เซ่อก็ปั้นปึ่งใส่จนซวนหยวนหมิงไท่ต้องปวดขมับ สุดท้ายทำได้เพียงปล่อยให้ร่างเล็กสงบอารมณ์โกรธลง ด้านหงเว่ยเมื่อกลับจากสำรวจตัวเมือง ตกเย็นก็เข้าไปตรวจอาการให้กับร่างเล็ก พร้อมจัดการป้อนกลีบดอกพราวแสงที่คงเหลืออยู่ไม่มากให้อย่างทุกที

          ความหอมหวานอบอวลไปทั่งโพลงปาก เปลือกตาบางหลับลงแล้วลองขับเคลื่อนพลังในกาย ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงพลังบริสุทธิ์ที่หมุนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งทุกครั้งที่ได้รับการรักษา ผลลัพธ์ก็มักจะเช่นนี้เสมอ จนบัดนี้ดวงตาที่ทื่อด้านกลับกระจ่างใสยิ่งกว่าที่เคย

          “หงเว่ย เจ้าได้ดอกไม้ชนิดนี้มาจากที่ใด” คิ้วน้อยๆของไป๋เซ่อขมวดมุ่นสงสัย สมุนไพรวิเศษที่เกรงว่าจะมีสรรพคุณเพิ่มพูนตบะนี้ คงจะหาไม่ได้ง่ายนัก ยิ่งกับคนธรรมดาด้วยแล้ว นับว่าเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว

          หงเว่ยหลุบตาลง คาดเดาแต่แรกแล้วว่าไป๋เซ่อจะต้องสงสัย เพียงรอเวลาเจ้าตัวเอ่ยขึ้นมาก็เท่านั้น หากแต่ครุ่นคิดดูแล้วเพลานี้กลับไม่เหมาะสมที่จะเปิดเผยตัวตน อาจเป็นเพราะเขาต้องการรู้ให้แน่ชัด ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น...วันที่คลื่นอาคมถาโถม และเมื่อคิดว่าร่วมพันปีที่ผ่านมาไป๋เซ่อต้องตกระกำลำบากอยู่ที่ไหนสักแห่ง เขาก็กล่าวน้ำเสียงเศร้า “เพียงแค่สมุนไพรธรรมดา ข้าหาได้ลำบากไม่...ข้าเต็มใจ”

          ลิ่วที่รับฟังอยู่อีกด้านหนึ่งถึงกับปากกระตุก มิเห็นด้วยกับคำกล่าวของพี่ชายนัก...ดอกพราวแสงเนี่ยนะ สมุนไพรธรรมดา อีกอย่างท่านเป็นใคร เหตุใดจึงไม่บอกความจริงออกไปเลยกันเล่า รู้ไหมว่าคู่แข่งนำท่านไปก้าวหนึ่งแล้ว

          เป็นเพราะดูออกว่าหงเว่ยบ่ายเบี่ยงมิยอมไม่อธิบายให้ชัด ไป๋เซ่อก็ไม่อยากเซ้าซี้ให้อีกฝ่ายลำบากใจ ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็นับเป็นผู้มีพระคุณ คงมีสักวันที่เจ้าตัวยินยอมเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง เขาเชื่อมั่นเช่นนั้น

          เมื่อเห็นรอยยิ้มระบายบนใบหน้า หงเว่ยก็กระวีกระวาดจัดแจงให้ร่างเล็กนอนลงบนเตียงพร้อมทั้งเหน็บผ้านวมให้ “ดึกแล้ว รีบพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ข้าจะมาดูอาการให้เจ้าอีกครั้ง” รอจนไป๋เซ่อพยักหน้า เขาก็ยิ้มเก้อเขิน ก่อนจะกลับมาตีสีหน้าตายหันไปทางน้องชายตัวดี “เจ้าคงยังไม่ลืมที่ข้าสั่งกระมัง”

          “ม่ะ ไม่ลืม” หากลืมก็บ้าแล้ว หงลิ่วส่งเจ้าของสายตาอำมหิตที่หน้าห้อง ปากก็เบ้อย่างงอนๆพลางคิดในใจ...พี่ใหญ่ท่านเปลี่ยนได้ไวเยี่ยงนี้ จะลำเอียงกันมากเกินไปแล้วนะ

          มาตรว่าหงเว่ยจะกลับห้องไปแล้ว หากแต่คนในห้องก็ยังมิได้ดับแสงเทียน เขากับหงลิ่วต่างพากันคุยเล่นจนเพลิน กระทั่งผ่านเลยไปราวเค่อหนึ่งเสี่ยวเอ้อร์ก็มาเคาะประตู พร้อมกับนำซาลาเปาเนื้อสามสี่ลูกที่พวกเขามิได้สั่งมาให้เช่นคืนก่อน

          ระหว่างที่กินรองท้อง จู่ๆไป๋เซ่อก็พลันรู้สึกปวดท้องมวนๆขึ้นมา เขากุมท้องรีบผละตัวลงจากเตียง ทันใดนั้นหงลิ่วกลับถลึงตาขึ้นเสียงที่ฟังดูตกใจ

          “พี่ชายไป๋ ท่านจะไปไหน” 

          ไป๋เซ่อถูกดวงตาวิบวับฉายแววจริงจังจับจ้องจนต้องขนลุกซู่ ให้รู้สึกผิดแปลกจนทำตัวไม่ถูก เขาเกาแก้ม “เอ่อ ข้าจะไปปลดทุกข์” ไม่รู้ว่าดวงตาคู่นี้ดีขึ้นเกินไปรึเปล่า จึงสังเกตเห็นแววตาของหงลิ่วเป็นประกายมาดหมาย ปากที่ยังเคี้ยวซาลาเปาครึ่งลูกแก้มตุ้ยๆยังแสยะยิ้ม

          “ดี เช่นนั้นข้าไปปลดทุกข์ด้วย”

          “........”


 

**********************************************************

 

          เช้าวันต่อมา ทั่วทั้งเหลียวก็เต็มไปด้วยเสียงปะทุของประทัดมงคล รวมถึงเสียงเครื่องเป่าที่ดังจังหวะ คนในเมืองต่างมุงดูขบวนแห่เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ยาวเหยียดเต็มสองข้างทาง แม้แต่ชั้นบนของร้านค้าก็ยังเบียดเสียดแน่นขนัดไปด้วยผู้คน

          กระทั่งถึงหัวมุมถนน ขบวนอันสมเกียรตินี้จึงเคลื่อนผ่านหน้าโรงเตี๊ยมชุนหลัว แลไม่ไกลจากเกี้ยวหรูหราที่กลางขบวนปรากฏเป็นชายรูปร่างองอาจควบขี่อาชาทรงพลัง มาตรแม้นว่าชายผู้นี้อยู่ในชุดเจ้าบ่าวสีแดงสด แต่ท่วงท่ากลับคล้ายแม่ทัพขุนศึกที่เจนสนามรบ ยังมีผู้ที่เคลื่อนขบวนล้วนอยู่ในชุดเกราะ บันดาลให้ผู้คนรู้สึกต้องมนต์ขลัง อดที่จะพากันเอ่ยถึงวีรกรรมอันโด่งดัง เมื่อครั้งที่อ๋องกินเมืองผู้นี้เข้ารบราขับไล่กองทัพข้าศึกจากแคว้นทางเหนืออย่างเลื่อมใสมิได้

          “บุรุษผู้นั้นคือท่านอ๋องตวน” เสิ่นอันหวางเอ่ยขึ้นพลางเบนสายตามองเจ้าของชื่อที่อยู่ด้านล่าง

          ใช่แล้ว บุรุษบนหลังม้าศึกเป็นตวนผิงซางอ๋องไม่ผิด ซวนหยวนหมิงไท่ทอดสายตาเพียงแวบเดียวก็จดจำได้ คนด้านล่างนี้รูปร่างหน้าตาแทบไม่เปลี่ยนไปจากความทรงจำของเขามากนัก ผิดก็แต่ความน่าเกรงขามที่ดูจะเพิ่มพูนขึ้น นอกเหนือไปจากความสุขุมนิ่งลึกอันเป็นเอกลักษณ์

          ครั้นย้อนนึกกลับไปอีกครั้งก็ตระหนักได้ว่า แท้จริงแล้วตนมิได้พานพบคนผู้นี้สักเท่าไหร่ เป็นเพียงความบังเอิญครั้งสองครั้งในวัยเด็ก แต่ทว่าท่าทีของตวนผิงซางในตอนนั้นกลับเป็นที่สะกิดใจเขาจนถึงทุกวันนี้

          สิบสี่ปีก่อนในห้องทรงพระอักษร ณ วังหลวงฉางอัน ซวนหยวนหมิงจงหรือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจับจ้องมองสารลับเปื้อนเลือดบนโต๊ะอย่างเคร่งเครียด ถัดลงไปเป็นองค์รัชทายาทน้อยที่ยืนนิ่งเงียบขรึม ส่วนที่กลางห้องปรากฏถ้วยชาที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ขันทีที่ถวายการรับใช้ต้องก้มหน้างุดด้วยหวั่นเพลิงพิโรธจากโอรสสวรรค์

          ไม่ช้าไม่นานตวนผิงซางในชุดเกราะเต็มยศก็ก้าวเข้ามาอย่างเร่งรีบ กระทั่งหยาดเหงื่อหลั่งไหลแนบแก้มก็มิสนใจได้ปาดเช็ด ซวนหยวนหมิงจงไม่รอให้แม่ทัพหนุ่มถวายบังคมก็ผุดลุกขึ้นเอ่ย

          “เจ้าคงได้ยินข่าวแล้ว”

          “เพลานี้แคว้นทางเหนือเข้ารุกราน แม่ทัพเติ้งมิอาจต้านทานข้าศึก เมืองหน้าด่านจึงถูกยึดไปแล้ว” ตวนผิงซางในวัยยี่สิบหกประสานมือกล่าวทูลด้วยสีหน้าวิตก

          เมื่อยืนยันว่าข่าวนี้หาได้เป็นความเท็จ ซวนหยวนหมิงจงก็ทรุดนั่งพิงเก้าอี้กว้าง มือข้างหนึ่งกุมขมับด้วยอาการปวดศีรษะ ในยามนี้แคว้นซวนหยวนหาได้แข็งแกร่งดั่งภายนอกที่เห็น แม่ทัพขุนศึกส่วนใหญ่ที่มีก็หาได้มีฝีมือ ส่วนที่ใช้การได้ก็มีเพียงหยิบมือเท่านั้น ทำให้หลายสิบปีมานี้แคว้นข้างเคียงต่างหาโอกาสเข้าก่อกวนโจมตีอยู่บ่อยครั้ง

          ครั้นเห็นองค์เหนือหัวนิ่งงันไป ผู้เป็นแม่ทัพก็พอเข้าใจในความคิดของพระองค์ “ฝ่าบาท เหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ โปรดทรงแต่งตั้งกระหม่อมเป็นแม่ทัพหน้า นำทัพต้านข้าศึกชิงคืนดินแดนกลับมาด้วยเถิด” กล่าวจบคนก็คุกเข่า

          ซวนหยวนหมิงจงในชุดมังกรสีเหลืองอร่ามเงยหน้าขึ้นมองร่างของสหายที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก แล้วกล่าวน้ำเสียงอ่อน “ตวนผิงซาง ข้ารู้ว่าเจ้ามีใจปกป้องบ้างเมือง แต่ดูจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เกรงว่าศึกครั้งนี้จะมิจบง่ายๆ อย่างน้อยเจ้าอาจจะมิได้กลับเมืองหลวงราวสองสามปี”

          “ท่านก็รู้ว่าข้ามิสนใจเรื่องนั้น” ตวนผิงซางผุดลุกขึ้น มิสนใจใช้วาจาเช่นนายกับบ่าว

          “แต่เพลานี้ตระกูลตวนเหลือเพียงบุตรชายเพียงคนเดียวก็คือเจ้า อีกทั้งเจ้าก็หาได้มีครอบครัวหรือทายาทสืบสกุลไม่ หากศึกครั้งนี้ร้ายแรงเกินกว่าที่คิด ข้ามิผิดต่อคนตระกูลตวนที่จงรักภักดีต่อตระกูลซวนหยวนมาสามชั่วคนหรอกหรือ”

          “เช่นนั้นหากกระหม่อมได้ชัยชนะกลับมา ก็ขอพระองค์ทรงพระราชทานสมรสให้กับคนที่กระหม่อมเลือกแทนเถอะ” ตวนผิงซางยิ้มบาง เห็นดังนั้นแล้วซวนหยวนหมิงจงก็แค่นพระสุรเสียง

          “เฮอะ ยังมิทันออกรบ กลับกล้าถามถึงความดีความชอบเชียวรึ มิกลัวเราสั่งโบยรึอย่างไร”

          ตวนผิงซางหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะทิ้งคำพูดไว้แล้วหันหลังเดินออกไปโดยไม่รอฟังคำตอบ “ข้าจะกลับมา ลั่วจิ่นหลงรอข้าอยู่”

          ประโยคดังกล่าวทำให้องค์รัชทายาทน้อยได้ยินเสียงพระสรวลของพระบิดา ทั้งยังทันสังเกตเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนยามเมื่อแม่ทัพตวนกล่าวถึงสตรีสกุลลั่ว ทว่าใครจะคาดคิดว่าแผ่นหลังที่จากไปนี้กลับต้องใช้เวลาถึงสี่ปีจึงจะสามารถกลับมายังเมืองหลวง

          ตวนผิงซางในสี่ปีให้กลังกลับเป็นบุรุษหนุ่มในชุดเกราะที่องอาจโดดเด่นสะดุดตาแก่ผู้พบเห็น กระนั้นสีหน้าของเขาหาได้มีแม้แต่เศษเสี้ยวดุจดั่งผู้ชนะศึก ดวงตาที่แน่วแน่คู่นั้นกลับปนไปด้วยความเศร้าหมอง ทั้งยังแฝงด้วยโทสะที่สกัดกั้นไว้ส่วนหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่ในวัยเด็กที่บังเอิญอยู่ในเหตุการณ์ด้วยรู้สึกเช่นนั้น

          “ด้วยคุณความดีปกป้องบ้านเมือง เราขอแต่งตั้งให้แม่ทัพใหญ่ตวน ดำรงตำแหน่งอ๋อง กินเมืองเหลียวตงตลอดชั่วลูกชั่วหลาน พร้อมทั้งพระราชทานสมรสกับบุตรีสกุลจวง” ซวนหยวนหมิงจงรับสั่งเมื่อตวนผิงซางเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรง พระสุรเสียงที่ใช้นั้นออกแกมบังคับ

          “เป็นพระกรุณาธิคุณ ฝ่าบาท”

          ตวนผิงซางนิ่งเงียบไปพักหนึ่งในที่สุดก็คุกเข่าน้อมรับ ยังผลให้ซวนหยวนหมิงจงที่เคร่งเครียดอยู่นานพลอยผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

          “แต่กระหม่อมมิอาจน้อมรับพระราชทานสมรสครั้งนี้”

          “เจ้ากล้าปฏิเสธ” ทว่ายังไม่ทันพรั่งพรูความลำบากใจได้หมดโอรสสวรรค์ก็ต้องตวาดพร้อมกับเขวี้ยงแท่นหมึกลงมา

          ตวนผิงซางมิได้หลบหลีก ทำให้กลางศีรษะบังเกิดเป็นโลหิตไหลลงมาสาย “หากพระองค์ไม่มีอะไรให้กระหม่อมรับใช้ กระหม่อมทูลลา”

          “เจ้า ทำไมไม่เข้าใจเราบ้าง”

          กล่าวจบผู้เป็นแม่ทัพก็เดินออกไปทันที มิสนคำทัดทานตำหนิที่ดังไล่หลัง พร้อมกันนั้นยังทิ้งไว้ด้วยสายตาที่แผดเผาลุกโชนราวกับเปลวไฟ ซึ่งแววตานี้เองที่ทำให้องค์รัชทายาทน้อยมิอาจลืมเลือน ว่าสายตาคู่นั้นลึกล้ำสุดที่จะหยั่งอย่างไร

          เมื่อขบวนบ่าวสาวเคลื่อนที่ผ่านไปจนหมดสิ้น ซวนหยวนหมิงไท่ก็หันไปย้ำเตือนร่างเล็กที่ยังคงชะโงกมองไม่หยุด “ไป๋เซ่อ รอข้าที่นี่ อย่าได้ซุกซน”

          “เฮอะ” เจ้าของชื่อรับฟังแล้วก็กลอกตาไปมา เสิ่นอันหวางส่งสายตาหวานเยิ้มให้เขาคราหนึ่งก็ถูกซวนหยวนหมิงไท่ฉุดลากออกไป ครั้นเหลียวกลับไปมองขบวนบ่าวสาวที่ยังไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ จู่ก็พลันรู้สึกถึงบรรยากาศเย็นวาบที่แผ่ออกมาจากบุรุษอีกผู้หนึ่ง

          ไป๋เซ่อมองตามสายตาสีม่วงอมดำที่ไม่กะพริบ ไล่เรียงไปแล้วก็หยุดลงที่เกี้ยวเจ้าสาว “มีอันใดผิดปกติหรือ”

          “ไม่...ไม่มี” ตราบใดที่กลิ่นอายชั่วร้ายไม่สำแดงเดชไปมากกว่านี้ ทั้งไม่กระทบต่อคนของเขา หงเว่ยก็ไม่คิดจะลงมือ เพียงคิดออกไปดูลาดเลาเบื้องต้นไว้ก่อน “ข้าจะออกไปข้างนอกสักครู่”

          คิดแล้วเชียว...ไป๋เซ่อนับหนึ่งสองสามในใจ แล้วในที่สุดร่างของหงเว่ยที่พุ่งตัวออกไปอย่างที่คิด เขายิ้มกริ่ม ดูว่าช่วงนี้หงเว่ยมักจะออกไปข้างนอกเพียงลำพังราวสองสามชั่วยามอยู่บ่อยๆ ทั้งไม่มีใครทราบว่าอีกฝ่ายออกไปทำกระไร แต่เพราะเป็นเช่นนี้จึงทำให้เขาสะดวกขึ้นมิใช่หรือ

          ทีนี้ก็เหลือเพียง...ว่าแล้วตวัดสายตาไปยังดวงตากลมโตคู่หนึ่งที่ลอบมองอยู่ก่อนแล้ว ครั้นหงลิ่วสบสายตาเขาเข้าอย่างจัง เด็กน้อยก็แสยะยิ้มที่ดูไม่เป็นธรรมชาติกลบเกลื่อน

          ชัดเจนว่าเขาโดนจับตามองอยู่ ไป๋เซ่อเหยียดยิ้ม ประสบการณ์เช่นนี้มิใช่เขาพบเจอครั้งแรก ขอเพียงมีเวลา มีช่องโหว่ มีโอกาสเท่านั้น เขาจะสลัดหลุดให้ดู หึ หึ “กลับห้องกันเถอะหงลิ่ว”

          “อื้อ” หงลิ่วตอบรับคำชวนอย่างงงๆ ไฉนวันนี้พี่ชายไป๋จึงตัดใจง่ายกว่าปกติกัน ยังมิทันคิดจบมือเรียวข้างหนึ่งก็ดุนดันหลังเขาให้ออกเดิน เด็กชายเบนหน้ากลับไปหาเจ้าของมือก็พบรอยยิ้มแฉ่งที่ส่งกลับมา

          จวบจนสองเท้าก้าวไปถึงหน้าห้อง เสียงฝีเท้าที่เบาบางก็กลับเงียบกริบลงไปกะทันหัน แย่แล้ว หงลิ่วอุทานในใจก่อนจะรีบเหลียวหลัง ทว่าก็ต้องพบกับความว่างเปล่าแล้ว สีหน้าของหงลิ่วซีดเผือดโดยพลัน

          ไฉนจึงลืมไปว่าอสรพิษนั้นไหลลื่นเสียยิ่งกว่าปลาไหล

          “พี่ชายไป๋ ให้ตายเถอะ” หงลิ่วแผดเสียงดังลั่น แค่คิดว่าพี่ใหญ่จะเอาเรื่อง เขาก็แตกตื่นวิ่งลงบันไดไปแล้ว หาได้สังเกตเห็นงูเผือกเกร็ดสีขาวที่แค่นเสียงหัวเราะหลบอยู่หลังกระถางต้นไม้ของระเบียงชั้นสอง

          “ฟุ ฟุ ฟุ”

          ต่อเมื่อเลื้อยออกมาถึงกลางถนน งูเผือกตัวน้อยก็หยุดตัวลงทำท่าสูดดม มาตรว่ามันไม่รู้จวนอ๋องตวนอยู่แห่งหนใด แต่จมูกของมันจัดว่ายอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่ง โดยมันสามารถจำแนกกลิ่นได้นับเป็นหมื่นๆกลิ่น

          ในเมื่อดูแคลนฝีมือข้านัก ข้าจะทำให้เจ้าประจักษ์เอง ไป๋เซ่อลั่นเสียงหัวเราะอันดัง แต่หาได้มีใครสนใจรับฟังมันไม่ ครั้นสะใจดีแล้ว มันก็กระแอมไออย่างเจ็บคอ ก่อนจะเลื้อยตัวไปยังจุดมุ่งหมาย

 

**********************************************************

 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 13.2 บุกรุก

 

          ขบวนแห่มาถึงคฤหาสน์จวนอ๋อง เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็เริ่มพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพเจ้าเตาไฟตามลำดับ จากนั้นหันไปกราบไหว้บรรพบุรุษยังทิศทางหนึ่งก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีในตอนเช้า จะขาดก็แต่คู่ยวนยางยกน้ำชาให้กับญาติผู้ใหญ่ที่มีเพียงเก้าอี้ว่างเปล่า

          ท่ามกลางประเพณีเหล่านี้ เสิ่นอันหวาง ผู้เป็นตัวแทนของตระกูลเสิ่นกลับอ้าปากหาวหวอดๆ ผิดกับผู้ติดตามในชุดสีน้ำเงินเรียบง่ายที่คงความตื่นตัวอยู่เสมอ ผมสีดำเงานั้นปล่อยปรกปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งรวบมัดไว้ราวกับจอมยุทธ์ผู้สันโดษ

          แน่นอนว่าคนผู้นี้ย่อมต้องเป็นซวนหยวนหมิงไท่ ซึ่งติดตามเสิ่นอันหวางเข้ามายังจวนอ๋องทางประตูหน้าโดยไม่มีผู้ใดสงสัย รอจนบ่าวสาวกินขนมอี๋เสร็จ แม่สื่อก็แยกตัวเจ้าสาวออกไป ถึงตอนนี้เขาจึงผละตัวออก

          “ขอให้ท่านผู้ตรวจการโชคดี” เสิ่นอันหวางกระซิบบอกเมื่อเห็นอีฝ่ายกำลังล่าถอย ด้วยหลักการของพ่อค้าที่คิดกระทำการใดย่อมยึดถือผลประโยชน์ แต่ทว่าการช่วยอีกฝ่ายลักลอบเข้ามายังจวนอ๋องครั้งนี้ แม้นับเป็นการสร้างบุญคุณ กลับกันก็ถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงไม่น้อย

          นึกๆดูแล้วหากบิดารู้ว่าเขาตัดสินใจเช่นนี้ มิรู้ว่าท่านจะหัวเราะรึร้องไห้กันแน่นะ คิดไปคิดมาเสิ่นอันหวางก็ทอดถอนใจรำพึงรำพันถึงร่างเย้ายวน “เฮ้อ ข้าทำเพราะเจ้าเลยนะ เสี่ยวไป๋”

          เนื่องเพราะตำหนักใหญ่จัดพิธีมงคลยิ่งใหญ่ ทหารเฝ้ารักษาการณ์ที่ตำหนักหลังอื่นจึงถูกลดหลั่นจำนวนลงไป ส่วนทหารยามที่ทำหน้าที่เองก็พลอยผ่อนปรนท่าทีเคร่งครัด ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่หลบเลี่ยงสายตาแล้วแอบเข้าไปยังห้องที่ไร้ซึ่งเงาผู้คนได้อย่างไม่ยากเย็น

          เมื่อเข้าสู่ในเรือนอักษร สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตากลับเป็นภาพเขียนตรงผนังที่บ่งบอกถึงความทระนง ม้าศึกที่แม้จะถูกล้อมด้วยกองทัพศัตรูก็ยังคงห้อตะบึงอย่างไม่ลดละ นัยน์ตาแน่วแน่หาได้ยอมแพ้ต่อสิ่งใด ดูว่าภาพทรงพลังนี้วาดโดยตวนผิงซางอ๋อง ทั้งยังเป็นภาพที่เขียนขึ้นใหม่ไม่นานนัก เห็นทีกาลเวลาที่ร้างลาสนามรบนับสิบปี มิอาจลดทอนความห้าวหาญของคนผู้นี้ลงไปได้แม้แต่น้อย

          มาตรว่าเขาชื่นชมบุคคลประเภทนี้ แต่ทั้งนี้หาได้เกี่ยวข้องกับความผิดฐานลอบปลงพระชนม์ สร้างความปั่นป่วนให้กับราชสำนัก ซึ่งการจะเอาผิดอ๋องกินเมืองผู้หนึ่ง ย่อมมิใช่อาศัยเพียงลมปาก ยกอ้างคำเลื่อนลอย หากต้องมีหลักฐานกระทำความผิดที่แน่ชัด

          เขาค้นดูเอกสารต่างๆ เป็นเวลาพักใหญ่ก็ยังคงไม่พบหลักฐานความผิดใด กระนั้นก็ยังไม่ถอดใจ อาจเป็นเพราะมั่นใจว่าการที่หัวหน้าองครักษ์จิ้งและคนอื่นๆหายตัวไปหลังจากที่แฝงตัวสอดแนมย่อมต้องมีสาเหตุ ไหนยังจะคดีคนหายในช่วงนี้ที่ประจวบเหมาะเกินไป บางทีจวนอ๋องแห่งนี้อาจจะซ่อนเร้นความลับประการใดก็เป็นได้

          กระนั้นแล้วยังจะมีสถานที่ใดในจวนที่สามารถซ่อนผู้คนจำนวนหนึ่งไว้ได้อย่างไร้ร่องรอย ขณะที่รัชทายาทหนุ่มยังคิดไม่ตก เสียงของทหารยามก็ดังขึ้นแล้ว

          “มีผู้บุกรุกๆ เร็วเข้า ไปทางนั้นแล้ว”

          สองเท้าว่องไวรีบทะยานตัวออกจากทางหน้าต่างด้านหลัง อ้อมไปด้านข้างกลับเห็นทหารสองสามนายวิ่งไปอีกฟากหนึ่ง คล้ายว่าผู้บุกรุกที่ทหารตามจับมิใช่ตน

          ใครกันที่กล้าบุกรุกจวนอ๋อง คงไม่ใช่ว่า...คิดใคร่ครวญเพียงไม่นาน สมองก็แวบนึกถึงคนผู้หนึ่ง เขาพึมพำเบาๆ “คงไม่ใช่หรอกกระมัง” กล่าวดังนั้นแต่ฝ่ามือกับชื้นด้วยเหงื่อ สุดท้ายตัดสินใจกระโดดขึ้นไปบนหลังคา ทอดมองลงจากที่สูง ฉับพลันที่กวาดตามองก็พบเงาร่างที่หันรีหันขวาง ชุดดำชุดนั้นเขาคุ้นเคยยิ่งกว่าใคร ไม่ไกลนักยังมีทหารกลุ่มหนึ่งไล่ตาม

          เฮอะ แค่เผลอทำเสียงดังนิดเดียว ไก่ตื่นเลยรึเนี่ย...เป็นไป๋เซ่อที่ก่นด่าในใจ ก่อนหน้านี้เขาลอบปีนกำแพงตำหนัก ยังไม่ทันจะคืนร่างเป็นงูเผือกก็ถูกจับได้เสียแล้ว ยังผลให้เขาต้องวิ่งหน้าตาตื่น

          โอ๊ย คิดๆดูแล้วเขาก็โกยแนบไวถึงเพียงนี้ ไฉนจึงยังไม่สลัดหลุดจากทหารน่าโง่พวกนี้สักทีนะ

          “ถอดชุดออกเร็ว”

          แลในช่วงที่กำลังตกที่นั่งลำบาก ไป๋เซ่อก็พลันได้ยินเสียงที่ดังขึ้นในสมอง เพียงแวบเดียวก็จดจำน้ำเสียงของคนน่าชังได้ เขาสวนกลับทันที “ไม่ ชุดดำนี้ข้าอุตส่าห์สั่งตัดเย็บอย่างดี ทำไมข้าต้องถอดทิ้งด้วย”

          แทบอยากจะตบหน้าผากตัวเองอย่างจัง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายลืมพกสมองมาด้วยรึไง ร่างสูงถึงกับตวาดกลับ “เจ้าต้องบ้าแล้วแน่ๆ ใส่ชุดดำกลางวันแสกๆล่อเป้าเช่นนั้น มิกลัวเขาจะรู้กันหมดรึว่าเป็นผู้บุกรุก”

          “หนอย ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าอย่ามัวปากดีเป็นเต่าหดหัวไป แน่จริงก็ออกมาสู้กับข้าสักตั้งสิมา” ไป๋เซ่อออกปากท้าปาวๆ ฝีเท้าก็เลี้ยวเข้าไปยังหลังตำหนัก ระหว่างนั้นก็ลั่นสาบานหากวันนี้ตนมิได้ตายดี ก็จะขอลากรัชทายาทน่าชังผู้นี้ไปยมโลกด้วยกันให้จงได้

          “ได้”

          ถ้อยคำตอบรับมั่นคงดังออกมาใกล้เสียจนใกล้ ไม่นานนักไป๋เซ่อก็คล้ายถูกคนอุดปาก ร่างถูกรั้งขึ้นไปกะทันหัน “อื้อ อื้อ”

          “ทางนั้นๆ ทางนั้นเป็นทางตัน”

          ทันเห็นหลังสีดำไวๆ ทหารที่วิ่งนำหน้าก็ตะโกนบอกคนอื่นๆ มือก็ชักดาบหวังรุกไล่ผู้บุกรุกให้จนมุม ทว่าเมื่อฝีเท้าเลี้ยวตามไปจนสุดทางทหารผู้นี้ก็ต้องมีอันโง่งมไป เนื่องเพราะทางตันดังกล่าวหลงเหลือเพียงชุดสีดำที่กองอยู่กับพื้น ไร้ซึ่งเงาร่างใดๆแล้ว

          “เอาไว้ ข้าจะสั่งตัดชุดดำให้เจ้าใส่จนเบื่อเลย ไป๋เซ่อ”


 

**********************************************************

 

          เมื่อกลุ่มทหารคลาดสายตาจากผู้บุกรุก ต่างก็แยกย้ายกันไปตามล่าหาที่อื่นเป็นเวลาครู่หนึ่งแล้ว ทว่าไป๋เซ่อที่ถูกรวบตัวกอดอยู่บนหลังคาตำหนักหลักเล็กๆกลับยังคงถูกมือหนึ่งปิดปากไม่ปล่อย สุดท้ายก็พูดเสียงอู้อี้ประท้วง “จะปล่อยข้าได้รึยัง”

          กระแสไอเย็นที่กระทบกับฝ่ามือ ยังผลให้ซวนหยวนหมิงไท่รู้สึกจักกะจี้อยู่น้อยๆ เขาค่อยๆปละปล่อยร่างที่คงเหลือแต่ชุดตัวในสีขาวอย่างเสียดาย ก่อนกระแอมกระไอกล่าว “เจ้าตามข้ามาทำไม”

          “เฮอะ” ไป๋เซ่อแค่นเสียงในลำคอ คืนที่ผ่านมาตนรึสู้เค้นหัวสมองคิดแผนชิงตัวเจ้าสาวตัดหน้าแทบตาย แต่สุดท้ายกลับมาเจอชายหนุ่มเสียก่อนจะลงมือซะได้ น่าเจ็บใจจริงๆ “ทำไม เจ้ามาได้ ข้ามาไม่ได้?”

          “ไป๋เซ่อ ข้าว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว เหตุใดเจ้ายังรั้นจะทำเช่นนี้อีก” ซวนหยวนหมิงไท่สูดหายใจลึก สีหน้าลำบากใจ

          จากท่าทีและน้ำเสียงที่ชายหนุ่มแสดงออก ไป๋เซ่อก็พอจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายระอาใจ เขาพลันขึ้นเสียง “ก็ข้าอยากมานี่” ตวาดจบดวงตาก็แดงก่ำราวกับคนจะร้องไห้

          ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องเจ็บเเปลบในใจ “เฮ้อ ช่างเถอะ หลายวันมานี้เจ้าบึ้งตึงกับข้ายิ่งนัก ไหนบอกมาสิข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจกัน” กล่าวน้ำเสียงอ่อนพลางใช้มือก็ปัดฝุ่นบนเส้นผมสีดำเทาออกอย่างอ่อนโยน

          เมื่อสัมผัสถึงความอบอุ่นที่ห่างหายไปนาน ความรู้สึกอัดอั้นของไป๋เซ่อจึงเป็นดั่งเขื่อนทำนบที่แตกออก เขาโพล่งกล่าว “เจ้าไม่แยแสข้า วันนั้นเสิ่นอันหวางหรือแม้แต่หงเว่ยยังยกน่องเป็ดน่องไก่ให้ข้า มีแต่เจ้าที่ไม่ใส่ใจข้าเลยสักนิด”

          ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับหลุดยิ้ม อธิบาย “นี่มิใช่เป็นเพราะข้าไม่อยากเอาใจเจ้า แต่พวกเขาล้วนเอาใจเจ้ากันหมด ไม่มีที่เหลือให้ข้าก็เท่านั้น” ที่แท้แล้วไป๋เซ่อก็งอนที่เขาไม่เอาอกเอาใจนี่เอง 

          โกหก หลังจากนั้นเจ้ายังใจดำ ไม่สนใจว่าข้าจะหิวเป็นงูตากแห้งรึไม่ ขนาดข้าไม่สบาย เจ้ายังข่มตานอนหลับได้เลย” ร่างเล็กยังคงท้วง

          รับฟังคำบริภาษนี้แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้ว “เจ้ามิได้รับซาลาเปาเนื้อบ้างเลยรึ”

          หือ ซาลาเปาเนื้อ...ไป๋เซ่อเลิกตาโต “อ้าว มิใช่หงเว่ยหรอกหรือ”

          เห็นสีหน้าที่งุนงงของอีกฝ่าย ซวนหยวนหมิงไท่ก็พอจะเข้าใจเรื่องราวได้บางส่วน แต่ถึงเป็นเช่นนั้นก็อดจะหงุดหงิดขึ้นมามิได้ “นี่เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร ไหนลองบอกมาสิ” เขาขึ้นเสียงวางท่ากอดอกจริงจัง

          “ได้” ไป๋เซ่อรับคำก่อนจะบรรยายเป็นหางว่าว “คนเจ้าเล่ห์ ขี้แกล้ง แล้งน้ำใจ เนรคุณ เอาเปรียบ ฉวยโอกาสแล้วก็...เอ่อ” เขาขมวดคิ้วน้อยๆ กรอกตาเค้นความคิด จนนึกถึงคำหนึ่งก็เปล่งเสียง

          “ลูกเต่า!”

          ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังจนหน้าดำหน้าแดง เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน สรุปว่ารัชทายาทเช่นเขาไม่มีดีในสายตาเจ้างูน้อยเลยใช่รึไม่ ครั้นเห็นไป๋เซ่อฉีกยิ้มแฉ่ง เขาก็ยื่นนิ้วไปดีดกะโหลกน้อยทีหนึ่ง

          “โอ๊ย เจ้าทำอะไรเนี่ย” ไป๋เซ่อร้องลั่น ยกมือลูบศีรษะแล้วแยกเขี้ยวใส่เป็นการใหญ่ ทว่าซวนหยวนหมิงไท่กลับตีหน้าเรียบ

          “ใช้อำนาจบาตรใหญ่” ไหนๆก็ไม่มีอะไรดีแล้วก็เพิ่มข้อเสียอีกสักข้อสองข้อ ก็คงจะไม่แย่ไปกว่าเดิมเท่าไหร่กระมัง

          “ใช่ๆ ใช้อำนาจบาตรใหญ่” ร่างเล็กพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง ก่อนจะรู้สึกว่าซวนหยวนหมิงไท่เอาแต่ยิ้มจ้องหน้าตนเงียบๆ แล้วจึงรู้สึกอึดอัดไปกับแววตาอบอุ่น เขาแสร้งทำเฉไฉ “แล้วอย่างไรเล่า จะไล่ข้าไปอีกใช่รึไม่” กล่าวจบก็หมุนตัวกลับ ทว่าไม่นานปลายแขนเสื้อก็ถูกรั้งไว้

          ถึงขั้นนี้เขายังจะกล้าไล่อีกหรือ เจ้างูซุกซนตัวนี้หากคลาดสายตาสักนิดเป็นต้องเกิดเรื่องทุกที “เฮ้อ เจ้าอยู่ข้างกายข้าดีที่สุด” ซวนหยวนหมิงไท่ถอนหายใจตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ ทว่าน่าแปลกนักที่ประโยคนี้กล่าวออกไปในใจกลับรู้สึกดียิ่ง คล้ายหินที่หนักอึ้งภายในใจสลายหายไปจนหมดสิ้น

          ด้านไป๋เซ่อก็ยิ้มออกแล้ว ก่อนจะถามต่อด้วยน้ำเสียงร่าเริง “แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อไป”

          อืม เดิมทีเขาคิดหาเบาะแสหลักฐานความคิดของตวนผิงซางอ๋อง รวมถึงค้นหาร่องรอยของหัวองครักษ์จิ้งและคนอื่นๆ แต่ดูจากเวลาที่เหลือน้อยนิดเห็นทีคงเหลือเพียงหนทางเดียว “ไปหาเย่วเซียง”

          ที่แท้เจ้าก็มาที่นี่เพราะนางจริงๆด้วย…ไม่ผิดไปจากที่คิดจริงๆ ฉับพลันที่ได้ยิน ไป๋เซ่อก็ยิ้มค้าง รู้สึกฝาดขมในใจ

          จู่ๆสีหน้าของร่างเล็กก็เปลี่ยนไปกะทันหัน ยังผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องรีบเอ่ยอีกสักหลายประโยค “เดิมทีเสี่ยวลู่ หัวหน้าองครักษ์จิ้งและคนอื่นๆหายไปหลังจากเข้ามาสอดแนมที่นี่ บางทีเย่วเซียงอาจจะรู้อะไรบางอย่างก็เป็นได้”

          “เจ้าบอกพวกเสี่ยวลู่กับคนอื่นๆยังมิตาย” ดวงตาของไป๋เซ่อเปล่งประกาย

          “ใช่ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ติดตามข้ามานาน ข้าจะเมินเฉยไม่ใส่ใจความเป็นความตายของพวกเขาไม่ได้ ส่วนเย่วเซียง ข้าคิดว่ามันเเปลกที่จู่ๆนางก็ยินยอมออกจากเขตเเดนจ้าวคฤหาสน์ดิน ทั้งที่ท่าทีของนางก่อนหน้านี้ไม่เป็นเช่นนั้น เเต่ถ้าหากนาง...” ซวนหยวนหมิงไท่หยุดเสียงกะทันหัน คล้ายไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อไปดี ครู่หนึ่งจึงกล่าว “หากนางเลือกติดตามตวนผิงซางอ๋องด้วยความเต็มใจ ก็แล้วแต่นางเถิด”

          “.......” ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็เงียบงันไป เพียงมองชายหนุ่มอย่างมีคำถาม แต่กระนั้นก็มิได้เอ่ยวาจาใดออกมา

 

****************************************************



- อัพช้าอีกล่ะ เเฮะๆ ช่วงนี้สมาธิหดหายเลยเเต่งช้ามากก บทนี้คิดอยู่นานว่าจะเลือกเดินเรื่องเเบบ A หรือ B ดี เเต่พอเลือกเเล้ว เขียนไปเขียนมากับต้องคิดเเบบใหม่ซะงั้น สุดท้ายเลือกจบบทลงทั้งที่เเอบรู้สึกว่าเรื่องไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไหร่ เเต่บทหน้าวางแผนไว้ว่าคงถึงเวลาปะทะกันสักที ถ้าใครรู้สึกว่าเรื่องอืดก็เตือนกันไหนน้อ อย่าพึ่งทิ้งกันไปไหนนะ ฮือ ฮือ

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 14 พลาดท่า

 

          เพราะเหลือเพียงเสื้อตัวในสีขาวบางๆ จะอย่างไรซวนหยวนหมิงไท่ก็ไม่ยอมให้ร่างเล็กเพ่นพ่านแบบนี้ โชคดีที่ใต้หลังคาเป็นห้องตัดเย็บจึงพอจะมีเสื้อสำรองให้ผลัดเปลี่ยน มิต้องให้พวกเขาเปลืองแรงรอดักชิงเสื้อผ้ามาจากผู้ใด

          ไป๋เซ่อเลือกชุดสีเขียวทะมัดทะแมงพอดีกับตัวมาสวมใส่ จัดการรวบผมมัดด้วยเชือกผ้าเป็นทรงหางม้า ทำให้เมื่อยืนเคียงคู่กับชายหนุ่มจึงดูคลับคล้ายคู่หูจอมยุทธ์พเนจร

          ครั้นเรียบร้อยดีแล้ว ทั้งสองก็ลอบไปยังตำหนักใหญ่ อาศัยความรวดเร็วหลบหลีกทหารรักษาการณ์ที่เพิ่มกำลังคนและกวดขันเวรยามเคร่งครัด กระทั่งมาถึงที่หมาย บรรยากาศโดยรอบก็แปรเปลี่ยนเป็นสงบ ผิดแผกกับภายนอกที่ดูวุ่นวาย ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

          เรือนหอในตำหนักใหญ่แห่งนี้แขวนเรียงรายไว้ด้วยโคมหรูหรา ตัวเรือนติดกระดาษมงคลสีแดงประณีตสวยงาม กลิ่นกำยานหอมลอยฟุ้งให้ความรู้สึกผ่อนคลายแก่ผู้มาเยือน

          ซวนหยวนหมิงไท่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ ใช้นิ้วดีดก้อนหินเล็กๆเข้าใส่แม่สื่อและสาวใช้สองสามคนที่ยืนรอรับใช้อยู่หน้าห้อง พริบตาเดียวก็สามารถจี้จุดสตรีเหล่านี้ให้สลบไป รอจนร่างของพวกนางอ่อนระทวยล้มลง ไป๋เซ่อก็โผล่พรวดออกจากต้นไม้ วิ่งไปลากร่างที่ไร้สติไปหลบอยู่ในมุมมืด

          คนทั้งคู่ลงมือด้วยความเงียบเชียบว่องไว ต่อเมื่อไร้คนขัดขวางซวนหยวนหมิงไท่ก็ผลักประตูห้อง ร่างอรชรที่นั่งนิ่งบนเตียงเพียงลำพังจึงปรากฏสู่สายตา

          มาตรว่าใบหน้างามถูกปกปิดด้วยผ้าคลุม กระนั้นลำคอและมือสีขาวกลับตัดกับอาภรณ์เจ้าสาวสีแดงสด ขับดันให้นางดูมีเสน่ห์ชวนน่าหลงใหล ทว่าฝีเท้าที่ก้าวเข้าไปพลันหยุดชะงัก คล้ายมีบางอย่างที่แปลกออกไป

          “เย่วเซียง” รัชทายามหนุ่มเอ่ยขึ้น

          มาตอนนี้สตรีในชุดเจ้าสาวจึงค่อยๆขยับตัว คล้ายพึ่งได้ยินเสียงเพรียกจากคนภายนอก นางหันใบหน้าที่ยังมิได้ปลดผ้าคลุมไปทางเสียงเรียก “เป็นท่าน?”

          น้ำเสียงนั้นติดออกจะแปลกใจ ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ผ่อนคลายท่าทีลง “ข้ามีเรื่องต้องการถามเจ้า”

          “ในที่สุดท่านก็มา” ไม่รอให้ชายหนุ่มเอ่ยจบ นางก็โพล่งกล่าวด้วยความยินดี ก่อนจะใช้น้ำเสียงบีบคั้นหัวใจยิ่งแก่ผู้รับฟัง “ข้า...รอท่านมาตลอด”

          ใจพลันหล่นตุ้บไปที่ตาตุ่ม ไป๋เซ่อจ้องมองสตรีเบื้องหน้า จู่ๆก็รู้สึกไม่ถูกชะตา ไม่เหมือนคราแรกที่ได้พบ ราวกับมีตรงไหนที่ผิดปกติไปสักแห่ง

          “ท่านจะช่วยมาพยุงข้าได้รึไม่”

          “เจ้าบาดเจ็บหรือ” ซวนหยวนหมิงไท่เลิกคิ้วตรงเข้าไปจะประคอง หากแต่เมื่อฝีเท้าหยุดลงตรงหน้านาง ทันใดนั้นร่างเล็กก็ตะโกนขึ้น

          “ถอยออกมา นางมิใช่เย่วเซียง” ไป๋เซ่อร้องลั่น หยิบเอากาบรรจุเหล้ามงคลที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกลางห้องเขวี้ยงใส่ร่างบอบบาง

          พริบตานั้นดวงตาสีดำก็พลันเห็นรอยยิ้มแสยะที่ใต้ผ้าคลุมนั้น ซวนหยวนหมิงไท่คืนสติรีบเบี่ยงกายถอยเท้ากลับ เป็นเวลากันกับที่ปลายเสื้อสีแดงยกขึ้นตวัดใส่กาเหล้าสีขาวอย่างไม่สะทกสะท้าน

          เพล้ง ทันทีที่มันตกแตกก็บังเกิดเป็นเสียงหัวเราะหวีดแหลม ร่างอรชรพลิ้วตัวไปลุกขึ้น ผ้าคลุมสีแดงพลันเลื่อนหลุดจากศีรษะ เผยให้เห็นเส้นผมที่มิใช่สีเงิน

          วั่นอู่หงชำเลืองตามองบุรุษรูปร่างสง่างามที่เคยตกเป็นเหยื่อของนางมาก่อน ริมฝีปากเอ่ยอย่างเย้ายวน “ ดูว่าเรามีวาสนาต่อกันจริงๆ องค์รัชทายาท”

          “เฮอะ ปีศาจจริงๆด้วย” ไป๋เซ่อขมวดคิ้วแค่นเสียงในลำคอ ก่อนหน้านี้หากมิใช่รู้สึกผิดปกติ ด้วยมิได้รับกลิ่นอายใดๆจากสตรีผู้นี้ พวกเขาอาจตกหลุมพรางของนางปีศาจไปแล้ว

          “โอ๊ะ หนุ่มน้อยเจ้าก็อยู่ด้วย มิเสียแรงที่ข้าลงทุนเล่นละครฉากนี้” วั่นอู่หงแสร้งทำเป็นตกใจก่อนจะเหยียดยิ้มกว้าง ก่อนจะกล่าวสืบต่อ “จะว่าไปแล้วเจ้าเองก็มิธรรมดา ถึงกับรู้ว่าข้ามิใช่นังเด็กนั่น” นางสู้อุตส่าห์เปลี่ยนน้ำเสียงให้เป็นดั่งเย่วเซียง เก็บซ่อนกลิ่นอายปีศาจ มิคิดว่าจะถูกมองออกอย่างง่ายดาย

          “แน่นอน ข้าเป็นถึงงูเผือกแห่งพิภพสวรรค์ มือขวาของท่านมหาเทพเชียวนะ มีหรือจะหลงกลปีศาจอย่างเจ้าได้ง่ายๆ”

          อืม ซวนหยวนหมิงไท่ส่งเสียงในลำคอ ดูว่าประโยคที่ไป๋เซ่อพึ่งกล่าว เขาแทบมิได้ยินมาตั้งนานแล้ว แต่มันออกจะผิดเวลาไปหน่อยไหม

          “ช่างอวดอ้างยิ่งนัก ดูสิจะร้ายกาจอย่างที่พูดจริงรึไม่”

          วั่นอู่หงเมื่อถูกยั่วยุก็กระทืบเท้าทีหนึ่ง ฉับพลันนั้นร่างในอาภรณ์แดงก็ถลาเข้าหา ไป๋เซ่อตั้งรับอยู่ก่อนแล้ว ทว่านางปีศาจยังมิทันบรรลุถึง ชายหนุ่มที่ถอยกลับมาตั้งหลักก็โผเข้าแทรกกลาง

          “ยังไม่ถึงตาเจ้าลงมือ” ซวนหยวนหมิงไท่ลั่นเสียง มิเปิดโอกาสให้ไป๋เซ่อแสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมแม้แต่น้อย เขาเข้าประมือกับวั่นอู่หงเสียก่อน “อย่าลืมสิเจ้าถูกสะกดพลังอยู่ จะไปสู้นางได้เยี่ยงไร” ทั้งไม่ลืมกระซิบสื่อผ่านทางจิต ยังผลให้ร่างเล็กต้องกัดฟันคำรามเสียงฮึ่ม

          ปีศาจสาวหลบหลีกฝ่ามือของชายหนุ่มไปทั่วห้องอย่างไม่จริงจังนัก ระหว่างนั้นริมฝีปากก็เอื้อนเสียงหวาน “องค์รัชทายาท ท่านใจร้อนเสียจริง อยากจะเล่นกับข้าแล้วก็มิบอก”

          “หุบปาก” เมื่อโดนหยอกเย้า รัชทายาทหนุ่มก็ขึ้นเสียงไม่พอใจ

          “หึ หึ อยากจะรู้นัก ถึงคราท่านแนบเนื้อกับข้าแล้ว ท่านยังจะกล้าเย็นชาเช่นนี้อีกรึไม่” ถึงตอนนั้นนางจะทำให้อีกฝ่ายลุ่มหลงมัวเมากระทั่งชีวิตยังต้องยอมมอบให้

          “หน้าไม่อาย”

          ครานี้เป็นไป๋เซ่อที่ตะโกนด่า เขาทนฟังคำพูดไร้ยางอายนี้ต่อไม่ไหว ร่างพลันแปรเปลี่ยนงูเผือก กระโจนเข้าใส่สตรีตรงหน้า ยังผลให้วั่นอู่หงรับมือซวนหยวนหมิงไท่อยู่จึงมิทันระวัง ถูกปลายหางอันเย็บเฉียบตบฉาดเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง

          เพี้ยะ เสียงที่ดังสนั่นพร้อมกับแรงตบทำให้วั่นอู่หงต้องหยุดมือนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะได้รับคำด่าทอระรัวจากอีกฝ่าย

          “หน้าท้องเขามีไว้ให้ข้าลูบได้เท่านั้น นางปีศาจอัปลักษณ์อย่างเจ้าชาตินี้อย่าได้หวัง” ไป๋เซ่อเหวี่ยงตัวกลับพร้อมกันนั้นก็คืนร่างมนุษย์อย่างฉับไว แล้วยืนบังเจ้าของหน้าท้องงาม

          ไฉนจึงฟังดูลวนลามมิแตกต่างไปจากปีศาจสาวกันนะ

          ด้วยคำพูดและท่าทางเฉกเช่นเดียวกับงูที่หวงไข่ ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องผุดรอยยิ้มขึ้น ผิดกับอีกคนที่ยืนโกรธตัวสั่นระริก มือเรียวแนบแก้มที่ร้อนลวกเป็นรอยอย่างมิอยากจะเชื่อ

          อัปลักษณ์...อัปลักษณ์อย่างนั้นเรอะ

          “เจ้างูปากพล่อย วันนี้ข้าวั่นอู่หงจะฉีกปากเจ้า” นางแผดเสียงลั่นไปทั่วบริเวณ...ให้รู้กันไปแค่งูปากดีตัวเดียว นางจะจัดการมิได้

          ปีศาจสาวรวบรวมกระแสพลังจากทั่วร่าง ก่อนปลดปล่อยใส่ร่างสีเขียวเป็นระลอกคลื่นไม่หยุดหย่อน

          พริบตาที่คลื่นพลังใกล้เข้ามา สัญชาตญาณของซวนหยวนหมิงไท่ก็บอกให้ตนรวบไป๋เซ่อที่เบิกตากว้างนั้นหนี ทว่าวิถีพลังกลับกว้างเกินไป พลอยทำให้ทั่วทั้งห้องต้องพังพินาศ กระทั่งพวกเขายังถูกปะทะจนกระเด็นออกจากห้องหอ โดยมิทันต้านรับ


 

******************************************************



          เมื่อโดนเข้าไปยกหนึ่ง ไป๋เซ่อที่ถูกร่างสูงทับติดกับพื้นก็ลืมตาสีฟ้าอมเขียว ไม่ไกลนักเห็นเป็นรองเท้าสีดำคู่หนึ่ง ยังผลให้เขาต้องผงกศีรษะขึ้นมองอย่างสงสัย

          เจ้าของรองเท้าสีดำสวมใส่ชุดแดงสง่างาม ใบหน้านิ่งเรียบสุขุม ร่องรอยที่หางตาบ่งบอกถึงประสบการณ์ที่มีไม่น้อย ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรง สองมือไขว้ไว้ที่ด้านหลัง

          อีกด้านหนึ่งท่ามกลางห้องที่มีฝุ่นควันคละคลุ้ง เงาร่างในชุดเจ้าสาวกลับเยื้องย่างออกมาจนเด่นชัด วั่นอู่หงยิ้มย่อกายให้บุรุษองอาจ ดูว่าวันนี้นางสร้างผลงานได้ไม่น้อย “คารวะท่านอ๋อง”

          ตวนผิงซางอ๋องเพียงโบกมือให้ จากนั้นหันไปออกคำสั่งกับทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านหลัง “กุมตัวองค์รัชทายาทเสีย”

          “พวกเจ้า...พวกเจ้าจะทำอะไร” ไป๋เซ่อร้องลั่นเมื่อทหารองครักษ์สองคนตรงเข้ามา กระนั้นร่างที่ทับอยู่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะขยับ “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าตื่นสิ เร็ว”

          ครั้นรู้สึกเหมือนถูกฉุดกระชาก รัชทายาทหนุ่มจึงค่อยๆคืนสติ เห็นดวงตาที่ลุกโชนทอดมองลงมาก็พลันเข้าใจสถานการณ์ทันที “ตวนผิงซางอ๋อง มิคิดว่าท่านจะตกต่ำถึงขนาดร่วมมือกับปีศาจได้”

          เจ้าของนามยิ้มเย็น ไม่ถือสาคำพูดเย้ยหยัน “อีกประเดี๋ยวท่านจะตกต่ำยิ่งกว่าข้าเสียอีก”

          “ปล่อยเขานะเจ้าพวกคนชั่ว”

          เสียงดังโหวกเหวกที่ขัดจังหวะสนทนา ทำให้ตวนผิงซางอ๋องต้องหันมาให้ความสนใจ ประเมินมองร่างเล็กที่กำลังหน้าชี้ด่า ก็พบว่ามีใบหน้าเย้ายวนทรงเสน่ห์ เขาแค่นเสียงเอ่ยปากชม “เป็นสุนัขรับใช้ที่ไม่เลวเลยจริงๆ” 

          “หนอย ขุนนางกังฉินว่าใครเป็นสุนัขรับใช้กันหา” ไป๋เซ่อถลึงตาโต ก่อนจะกระโจนเหวี่ยงหมัดเข้าใส่อย่างเต็มที่

          “อย่าไป๋เซ่อ” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องห้าม รู้ดีว่าไป๋เซ่อมิอาจสู้คนผู้นี้ได้ ทว่ามันกลับสายเกินไป

          ตวนผิงซางอ๋องรวบรับหมัดที่เหวี่ยง แม้แต่ขนตาสักเส้นก็หาได้สั่นสะเทือน ถึงตอนที่ไป๋เซ่อคิดขยับดึงมือออก ก็มิอาจทำได้อย่างใจนึก ขณะเดียวกันก็รู้สึกแรงบีบมหาศาล ส่งผลให้ต้องเผยสีหน้าบิดเบี้ยวเจ็บปวด

          “เสียแต่ไร้มารยาท มิรู้จักที่ต่ำที่สูง” ผู้เป็นอ๋องกล่าวสำทับด้วยใบหน้านิ่งเฉย

          “ท่านอ๋องมิต้องกังวล” วั่นอู่หงพูดขึ้น ประโยคต่อมากลับหันไปแสยะยิ้มให้กับร่างเล็ก “อีกไม่นานเขาจะมิอาจกล่าวล่วงเกินผู้ใดได้อีก”

          “ตวนผิงซางอ๋อง นี่เป็นเรื่องระหว่างท่านกับข้า ปล่อยเขาไปซะ” ซวนหยวนหมิงไท่ซึ่งถูกพันธนาการด้วยเชือกรั้นตัวขึ้นเอ่ย ทั้งพยายามกลบเกลื่อนน้ำเสียงที่กระวนกระวายไว้ภายใจ

          ผู้เป็นอ๋องได้ฟังแล้วก็ต้องชำเลืองตามองคนที่คุกเข่า เลิกคิ้วขึ้นอย่างเหยียดๆ “ท่านออกคำสั่งใครกัน?” มาตอนนี้องค์รัชทายาทตกอยู่ในกำมือเขา ยังนับเป็นตัวกระไรได้อีก ว่าแล้วคลายแรงบีบจากมือ ร่างของเล็กก็ถูกเขาสะบัดจนล้มลง

          “เจ้า” ซวนหยวนหมิงไท่แค่นเสียงคำราม ก่อนจะหันไปสำรวจดูไป๋เซ่อที่ลงไปงอตัวดั่งกุ้ง กุมมือที่เริ่มกลายเป็นสีม่วงคล้ำ เปลือกตาบางข่มปิดลงแน่น หยาดเหงื่อผุดผาดเต็มหน้าผาก

          มาตรว่าเจ้าตัวจะเจ็บปวดเพียงใด ตั้งแต่ต้นก็หาได้ร้องสักนิดไม่ กระนั้นกลับทำให้หัวใจเขารวดร้าว จำได้ว่าก่อนหน้านี้เพียงดีดนิ้วใส่ศีรษะเบาๆ เจ้าตัวก็ร้องลั่นแล้ว มิรู้ว่าที่ผ่านมาอีกฝ่ายต้องกล้ำกลืนความเจ็บปวดไว้มากมายเท่าไหร่

          ชายหนุ่มคิดอยากจะเอื้อมไปสัมผัสเกาะกุมมือน้อย ให้คลายความทรมานลงบ้าง ทว่าบัดนี้สองมือเขากลับถูกลิดรอนไป ได้แต่มองดูร่างเล็กถูกมัด พลันให้รู้สึกคับแค้นตนเองอย่างที่สุด

          ซวนหยวนหมิงไท่ผู้นี้ แม้เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาๆก็หาได้ดีไม่ กระทั่งเป็นถึงรัชทายาทก็ยังมิอาจปกป้องคนที่รักได้อีก

          ...เขาช่างไม่ได้เรื่องเสียจริง


 

******************************************************

 

          ที่เรือนอักษร ตวนผิงซางอ๋องก้าวเข้าไปด้านในแล้วจึงหยุดมองที่ภาพม้าศึก ปล่อยให้วั่นอู่หงยื่นมือเรียวไปหมุนเชิงเทียนซึ่งดูไม่สะดุดตาบนหิ้งหนังสืออย่างรู้หน้าที่

          ไม่ช้าไม่นานก็บังเกิดเสียงครืดคราด ภาพเขียนดังกล่าวพลันขยับเคลื่อนที่ เผยให้เห็นเส้นทางลับที่มีแสงสลัวจากเทียน รอจนท่านอ๋องและปีศาจสาวก้าวย่างต่อ ทหารองครักษ์ก็ผลักดันองค์รัชทายาทและเด็กหนุ่มที่ถูกปิดตาปิดปากให้เดินเข้าไป

          ตลอดทางมานี้ซวนหยวนหมิงไท่มองไม่เห็นแสงสว่าง ทำได้เพียงนับจำนวนฝีเท้าในแต่ละก้าว ครั้นหยุดตัวลงก็พอจะเดาออกว่าเป็นที่ใด ทว่าหลังจากที่ถูกผลักให้เดินอีกครั้ง คราวนี้เขาก็ต้องงงงันแล้ว

          ผ่านไปราวหนึ่งเค่อดูเหมือนว่ากลุ่มคนได้มาถึงที่หมาย ทหารองครักษ์นายหนึ่งยกขาขึ้นถีบขาพับองค์รัชทายาทและเด็กหนุ่มให้คุกเข่าลง ก่อนจะปลดผ้าปิดตาปิดปากสีดำให้

          ทันทีดวงตาเป็นอิสระ ก็พบเสิ่นอันหวางถูกมัดราวกับเป็นดักแด้ ปากถูกอุดด้วยก้อนผ้าร้องอู้อี้ไม่ได้ศัพท์ สายตาบ่งบอกความช่วยเหลือภายในห้องขัง ซวนหยวนหมิงไท่แค่นเสียงในลำคอ “หึ ที่แท้ท่านก็รู้ว่าข้าต้องมาหาท่าน” คนผู้นี้รู้อยู่แล้วว่าตนยังไม่ตาย ทั้งยังต้องมาที่นี่อีกด้วย

          ตวนผิงซางอ๋องมิได้ตอบกลับ หากแต่ยิ้มรับ ก่อนหน้านี้นักฆ่าที่ส่งไปกลับมาเพียงแค่คนเดียว ทั้งยังเสียสติพูดจามิรู้เรื่อง ประกอบกับคนสนิทของรัชทายาทแอบเข้ามาสอดแนมในจวน เขาก็ทราบแล้วว่าภารกิจล้มเหลว

          “คนของข้าอยู่ที่ใด” ซวนหยวนหมิงไท่มั่นใจแล้วว่าคนของเขาถูกจับไปจริงๆ แต่จะเป็นหรือตายนั่นยังไม่ทราบแน่ชัด

          “องค์รัชทายาท ท่านอย่าพึ่งใจร้อนไป ก่อนหน้านี้ท่านพึ่งตรวจค้นตำหนักของข้าไป มิอยากทราบหรือว่าข้าคิดกระทำเรื่องใดกัน”

          ซวนหยวนหมิงไท่จ้องใบหน้านิ่งเรียบของตวนผิงซางอ๋อง ครู่หนึ่งจึงเปิดปาก “หรือท่านคิดจะก่อการกบฏ” เขาคาดเดาเรื่องราวไปในทางที่เลวร้ายที่สุด

          “องค์รัชทายาทเฉลียวฉลาดมิผิดไปจากที่ร่ำลือ ถูกแล้ว ข้าต้องการทำให้ตระกูลซวนหยวนล้มจมสาบสูญ”

          “เสียทีที่เสด็จพ่อเห็นท่านเป็นสหาย”

          “สหาย...เขาน่ะหรือเห็นข้าเป็นสหาย ฮ่า ฮ่า” จู่ๆตวนผิงซางอ๋องก็หัวร่ออย่างขมขื่น ก่อนจะตวาดเสียงแข็ง “เหลวไหลทั้งเพ สหายประเภทใดกันที่ไม่รักษาคำพูด ทั้งยังบีบบังคับคนของข้า ทำให้นางต้อง...” แต่งให้กับผู้อื่น

          นับครั้งที่แรกซวนหยวนหมิงไท่เห็นอ๋องผู้มีภาพลักษณ์นิ่งขรึมตกอยู่ในอาการควบคุมตัวเองมิได้ ดวงตาแดงก่ำของอีกฝ่ายนั้นเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้น

          ครั้นรู้สึกตัวว่าเสียการควบคุมตวนผิงซางอ๋องก็หันหลังให้ ต่อจากนั้นจึงกล่าวสืบต่อ “ท่านมิต้องห่วง ข้ายังไม่คิดฆ่าท่านตอนนี้ เพราะอย่างไรท่านก็ยังมีประโยชน์อยู่ หึ หึ” สิ้นเสียงลงอ๋องจากแดนเหลียวตงก็ออกเดินต่อ โดยมีวั่นอู่หงสั่งการทหารองครักษ์ให้นำตัวคนเข้าไป

          ต่อจากนั้นซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่สังเกตไปรอบๆ ก่อนจะสรุปได้อย่างคร่าวๆว่าที่นี่เป็นทางลับที่อยู่ใต้จวนอ๋อง ทว่าก็เป็นทางลับที่ดูมิปกติสักเท่าไหร่ เพราะสองข้างทางเรียงรายไปด้วยห้องขังที่กักตัวคนไว้มากมาย

          บ้างเป็นคนธรรมดา บ้างก็เป็นจอมยุทธ์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษหนุ่มรูปร่างหน้าตาแข็งแรงเข้าที เว้นเพียงดวงตาที่เลื่อนลอยไม่รับรู้สิ่งใด รวมทั้งสัญลักษณ์นาบไฟบางอย่างที่ลำคอ

          “พวกเจ้าช่างบังอาจนัก คิดท้าทายสวรรค์ ควบคุมจิตวิญญาณมนุษย์พวกนี้อย่างนั้นรึ” ไป๋เซ่อกวาดตามองดูคนพวกนี้แล้วก็ต้องตวาดอย่างมีโทสะ

          “สุนัขรับใช้ผู้นี้ของท่านไม่เลวเลยทีเดียว ถึงกับดูออกว่าคนของข้าเล่นเล่ห์กระไร” ตวนผิงซางอ๋องเลิกคิ้ว

          “อย่ายุ่งกับเขา” ซวนหยวนหมิงไท่ขึ้นเสียงขรึม

          รับฟังแล้วผู้เป็นอ๋องก็ยิ้ม หันไปมองเหล่าตุ๊กตาที่สูญเสียความรู้สึกนึกคิดในห้องขัง จากนั้นจึงกล่าวต่ออย่างไม่ใส่ใจ “นี่เป็นคนของท่านยังไงล่ะ เหล่าทหารผู้ร่วมอุดมการณ์ของท่าน”

          “ท่านคิดให้ข้าเป็นตัวการก่อการกบฏ หวังชิงราชบัลลังก์จากเสด็จพ่ออย่างนั้นรึ” เขาหัวเราะน้อยๆ “ท่านคิดว่าข้าจะยอมให้ท่านจูงจมูก กระทำตามทุกอย่างที่ท่านสั่งอย่างนั้นหรือ ท่านคิดง่ายเกินไปหน่อยกระมัง”

          “แน่นอนข้าก็ไม่คิดว่าองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง ยึดมั่นในความถูกต้องเช่นท่านจะกระทำตามข้าโดยง่าย” ตวนผิงซางอ๋องหลุบตาลงก่อนจะหยิบกำไลสีเงินชิ้นหนึ่งออกจากแขนเสื้อขึ้นลูบไล้ “แต่หากมีของชิ้นนี้ แม้ท่านไม่คิดก็มิอาจไม่กระทำ”

          กล่าวถึงตรงนี้ดวงตาของอีกฝ่ายก็ทอประกายวูบ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ยังผลให้รัชทายาทหนุ่มเคร่งเครียด มิอาจหายใจได้ทั่วท้อง สัญชาตญาณบอกว่าคนผู้นี้มิได้พูดเล่น

          วั่นอู่หงรับกำไลดังกล่าวจากผู้เป็นนายแล้วหันมาแสยะยิ้ม นางตรงเข้ามาหาองค์รัชทายาทที่รูปงาม เลิกแขนเสื้อของอีกฝ่ายขึ้น จากนั้นบรรจงสวมมันใส่ที่ข้อมือของเขา

          “จากนี้ไปท่านจะได้รับรู้ถึงรสชาติที่กลืนก็มิได้ แม้อยากจะคายก็คายมิออก” ตวนผิงซางอ๋องเน้นย้ำ ดวงตาฉายให้เห็นถึงความบ้าคลั่งชนิดหนึ่ง กระทั่งถูกขัดจังหวะด้วยทหารองครักษ์คนสนิท

          “ท่านอ๋อง นี่ก็นานแล้ว เกรงว่าใต้เท้าเสียนยังคงรอท่านอยู่ที่ห้องโถงขอรับ”

          “อืม” คิ้วพลันย่อย่น ตั้งแต่ตนสั่งกำจัดตระกูลที่ไม่เข้าพวกกับตนอย่างลับๆ คนแซ่เสียนที่เคยรั้นจนหัวชนฝาก็เปลี่ยนเป็นประจบประแจงจนน่ารำคาญ

          “เช่นนั้นท่านอ๋องเห็นสมควรจัดการพวกเขาอย่างไรดี” เห็นทีท่าว่าท่านอ๋องจะจากไป วั่นอู่หงก็รีบทักขึ้นเสียก่อน

          “ในเมื่อองค์รัชทายาทต้องการพบคนของเขา ก็ให้เขาสมปรารถนา นอกเหนือไปจากนี้เป็นเจ้ารับผิดชอบ อยากจะทำอะไรก็เชิญ” กล่าวจบคนก็ออกไป

          “ขอบคุณท่านอ๋อง วางใจข้าได้” ปีศาจสาวเอ่ยขึ้น ดวงตาเปล่งประกายอำมหิต รอยยิ้มฉีกกว้างดูน่ากลัว นางรอประโยคพวกนี้อยู่นานแล้ว


 

******************************************************

 

          ในเรือนหลังเล็กอันสงบเงียบปราศจากผู้คน ซึ่งตั้งอยู่ท้ายจวนอ๋อง สตรีผู้มีเส้นผมสีเงินกระจ่างตากำลังนั่งซึมเซาที่ข้างหน้าต่าง เรือนร่างที่ขาวดุจดั่งกระดาษเซวียนจื่ออยู่ใต้อาภรณ์เจ้าสาวสีแดงสด ตามปลายกระโปรง ปักด้วยดิ้นทองลวดลายดอกโบตั๋นอย่างประณีต

          มาตรว่าอีกไม่กี่ชั่วยามนี้ นางจะกลายเป็นหญิงที่มีมลทิน ถูกครอบครองด้วยชายผู้เป็นสามี ทว่าในใจของนางกลับไพล่คิดถึงบุรุษอีกผู้หนึ่ง อยากได้ยินเสียงที่อบอุ่น อยากเห็นแววตาที่อ่อนโยน

          ...บางทีหากตอนนั้นนางรั้งมิให้เขาไป เอ่ยปากขอติดตามเขา เรื่องราวจะยังคงเลวร้ายอยู่อีกรึไม่

          วันนั้นหลังจากที่เขาหันหลังให้ นางได้แต่จดจำแผ่นหลังสง่างามไว้ในส่วนลึกของหัวใจ แต่แล้วคืนวันต่อนางกลับได้ยินเสียงผู้บุกรุกในเขตที่ตนเฝ้าดูแล เสี้ยวหนึ่งนางคิดว่าเป็นเขา จึงได้ออกวิ่งไปโดยมิได้ฟังคำไล่หลังของบรรดาบริวารของท่านจ้าวคฤหาสน์ดิน

          ท้ายที่สุดก็ต้องหลงกลถูกนางปีศาจวั่นอู่หงลอบทำร้าย ก่อนจะถูกทหารกลุ่มหนึ่งพาตัวไปที่กระโจมหลังหนึ่ง ที่นั่นบุรุษที่ผู้คนเรียกขานว่าท่านอ๋องตวน เพียงมองนางครั้งหนึ่งก็มีสีหน้าตกตะลึง นามของคนผู้หนึ่งหลุดออกจากริมฝีปากเขา ซึ่งนางก็หาได้รู้จักไม่ แต่กระนั้นก็ยังคงจำมาถึงบัดนี้

          ...ลั่วจิ่นหลง

          นับจากนั้นท่านอ๋องตวนก็พานางมาที่นี่ ทั้งยังปฏิบัติกับนางราวกับเป็นคนรัก ทว่านางกลับไร้ซึ่งความรู้สึกที่มีต่อเขา ครั้นเมื่อนางเอ่ยปากต้องการกลับไปยังดินแดนที่จากมา นางก็ถูกเขาบังคับโดยกำไลวิเศษ แลไม่กี่วันเรื่องราวก็เลยเถิดไปจนถึงขั้นแต่งงาน

          แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนางมิอาจรู้ว่าเขาเป็นปรปักษ์กับคนผู้นั้น คนที่อบอุ่นราวกับแสงตะวันที่สาดแสงอบอุ่น กระทั่งตอนนี้นางก็ยังมิรู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร

          ระหว่างที่กำลังคิดอย่างเศร้าสร้อยก็บังเกินเป็นเสียงเอะอะโวยวายที่ด้านนอก เย่วเซียงถึงกับผุดลุกขึ้นอย่างแปลกใจ เนื่องเพราะเรือนที่นางพักอาศัยนี้ นอกจากจากท่านอ๋องตวนแล้วก็ไม่มีใครสามารถเหยียบย่างเข้ามาได้อีก เช่นนั้นเสียงที่นางได้ยินเป็นผู้ใดกัน

          แวบแรกนางนึกถึงชายแปลกหน้าที่ปรากฏกายภายใต้เขตอาคมของวั่นอู่หง ทั้งจากไปโดยที่ปีศาจสาวไม่รู้สึกระแคะระคายสักนิด

          ...บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีม่วงตัดดำ ผู้มีท่าทีเย็นชาสง่างามเหนือโลกีย์

          “พี่ใหญ่ ท่านบอกว่าพี่ชายไป๋อยู่ในจวนอ๋อง แต่ดูว่าที่นี่ออกจะเป็นเรือนร้างอย่างมิต้องสงสัย” หงลิ่วในร่างอสรพิษเกร็ดดำซึ่งถูกหิ้วคอน้ำมือของพี่ใหญ่ทำสีหน้าฉงน

          “เขาย่อมต้องอยู่ในจวนนี้ แต่มิใช่ที่นี่ หงลิ่ว เจ้ามิเห็นรึว่ารอบๆจวนแห่งนี้รายล้อมไปด้วยกลิ่นอายปีศาจชั่วร้าย เว้นเพียงที่นี่” หงเว่ยตอบกลับน้องชายที่ดีแต่เที่ยวเล่น มิรู้จักใช้เวลาฝึกตนบำเพ็ญเพียร ขนาดคนหายไปยังมิรู้จักใช้จมูกค้นหา ดีที่เขาเจอเจ้าตัวที่สติแตกกลางตลาดระหว่างทาง มิฉะนั้นกว่าจะรู้เรื่องราวก็คงผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว

          “เอ๊ะ จริงหรือ ไหนๆ” ดวงตากลมโตของหงลิ่วเพ่งมองท้องฟ้า ก่อนจะถูกแทรกด้วยเสียงของสตรีนางหนึ่ง

          “พวกท่านผ่านเขตอาคมมาได้อย่างไร” เมื่อเห็นเป็นคนผู้เดียวกับที่นางพบ เย่วเซียงก็รีบปรากฏตัวออกมา

          หงเว่ยเงยหน้ามองหญิงสาวที่เคยร้องขอให้เขาพานางไป แม้ว่าวันนี้นางจะสวมใส่อาภรณ์งดงามเพียงใดก็มิอาจปกปิดสีหน้าที่หมองเศร้าของนางได้ ทว่าเขาจำเป็นต้องใส่ใจด้วยหรือ “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

          “ข้าขอร้อง ได้โปรดพาข้าไปด้วย” เย่วเซียงอ้อนวอน คล้ายยึดถือคนผู้นี้เป็นฟางเส้นสุดท้าย

          “ไม่”

          “เอ๋ ทำไมล่ะ พี่ใหญ่ดูนางน่าสงสารถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านจึงใจดำกับนางนัก บางทีนางอาจจะรู้ว่าพี่ชายไป๋อยู่ที่ใดก็ได้” หงลิ่วแย้ง

          ”ข้าไม่อยากมีตัวถ่วง” หงเว่ยโต้กลับเสียงเย็น จวนอ๋องใหญ่โตเพียงแค่นี้ เขาไม่เชื่อว่าจะหาตัวไป๋เซ่อไม่เจอ

          “ข้าให้สัญญา หากข้าเป็นตัวถ่วงท่านเมื่อใด ท่านสามารถทิ้งข้าไว้ ข้าจะไม่กล่าวโทษสักคำ” เย่วเซียงรีบบอก ใจเริ่มพองโตอย่างมีความหวัง

          หากแต่หงเว่ยกลับขมวดคิ้ว “เจ้ารู้ดีว่าเจ้ามิสามารถออกจากเขตอาคมนี้ได้ และถ้าหากข้าทำลายเขตอาคมเสีย แน่นอนว่าเจ้าของกลิ่นอายชั่วร้ายจะต้องรู้ตัวในอีกไม่ช้า นี่มิเท่ากับทำให้ข้าเสียการเสียเวลาหรอกรึ”

          รับฟังคำกล่าวแล้วนางก็ถึงกับคอตก ดวงตาคู่สวยรื้นไปด้วยน้ำตา ที่เขากล่าวมามิผิด ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นตัวถ่วงให้พวกเขาอยู่ดี

          “โอ๊ย พี่ใหญ่ท่านอย่าไร้หัวจิตหัวใจอย่างนี้จะได้ไหม หากพี่ชายไป๋รู้ว่าท่านใจดำ มิช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน เขาต้องไม่ชอบท่านแน่ๆ” หงลิ่วทนมองน้ำตาสาวงามไม่ไหวโพล่งออกมาในที่สุด

          “หือ” หงเว่ยเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เขาจะไม่ชอบจริงๆรึ”

          “ข้าเอาหัวเป็นประกัน” จากที่ฟังไป๋เซ่อพูดกรอกหูเรื่องวีรกรรมของเจ้าตัวนั้น หงลิ่วก็สามารถสรุปได้ว่าเรื่องทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องผดุงความยุติธรรม ถึงแม้จะแหวกแนวไปหน่อยก็เถอะ อย่างเรื่องที่อีกฝ่ายยื่นมือให้ความช่วยเหลือบุรุษงี่เง่าที่ต้องบุกฝ่าเข้าไปในปราสาทมาร ชิงตัวผู้เป็นที่รักออกมา

          “ได้” เมื่อหงลิ่วยืนกรานดังนั้น หงเว่ยก็ตอบเสียงหนักแน่น พลอยทำให้คนที่สิ้นหวังไปแล้วต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาใหม่ “จำคำพูดของเจ้าไว้ให้ดี” เขาเน้นย้ำ

          “......” เย่วเซียงพูดอะไรไม่ออกได้แต่รีบผงกศีรษะ

          ด้านหงเว่ยก็ไม่รอช้าอีกต่อไป ยกฝ่ามือขึ้นปลดปล่อยพลังขุมหนึ่งขึ้นใส่เหนือท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นกำแพงอากาศที่มองไม่เห็นก็ค่อยๆร้าวเป็นวงกว้าง ก่อนจะแตกออกในชั่วพริบตา




******************************************************



         ปกติเเล้วงูมีจมูกเเต่ไม่สามารถรับกลิ่นได้มาก จึงให้ลิ้นเป็นตัวในการรับกลิ่นนะจ้ะ ดึกไปหน่อยเเต่พยายามปั่นให้ เจอคำผิดที่ใดก็เตือนกันได้น้า 



ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 15.1 ช่วยเหลือ

 

          ต่อเมื่อเห็นเค้าใบหน้าซูบตอบในห้องขังอันทะมึน รัชทายาทหนุ่มก็ต้องสูดหายใจลึก แม้จะทำใจอยู่ก่อนว่าคนของเขาตกอยู่ในกำมือศัตรู ผลลัพธ์ย่อมร้ายมากกว่าดี แต่กระนั้นภาพเบื้องหน้ากลับทำให้เขาต้องตกตะลึงวูบ กระทั่งไป๋เซ่อก็ยังต้องเงียบงันไป 

          ขันทีน้อยผู้มีภาพลักษณ์กระตือรือร้นอยู่เสมอ ในเพลานี้ดูราวกับหลงเหลือเพียงครึ่งชีวิต ท่อนล่างเปราะเปื้อนไปด้วยโลหิตแห้งกรัง ดวงตาเหม่อลอยไปยังที่ไกลแสนไกล

          “เสี่ยวลู่” เขาอุทานร้องเรียกเบาๆ ทำให้ใบหน้าที่ดูอาลัยตายอยากค่อยๆผินมองมาช้าๆ

          เจ้าของชื่อมองเงาร่างอันพร่าเลือนตรงหน้า พลันรู้สึกตกอยู่ภายใต้ความฝัน กระนั้นก็ยังเอ่ยเสียงแหบแห้ง “องค์รัชทายาทหรือ”

          “นี่ข้าเองเสี่ยงลู่”

          สุ้มเสียงดังกล่าวทำให้ดวงตามืดหม่นฟื้นคืนประกายอีกครั้ง จวบจนมั่นใจว่ามิใช่ภาพลวงตา เสี่ยวลู่ก็รีบตะเกียกตะกายเข้าหา ทว่าด้วยสองขาที่ถูกโบยตีสาหัส ทำให้มิอาจใช้การได้อีก ได้แต่ใช้สองแขนอันไร้เรี่ยวคืบคลานเข้าไปอย่างยากลำบาก “ดี...ดีจริงๆ ที่กระหม่อมยังสามารถพบพระองค์”

          ขันทีน้อยเอ่ยด้วยสภาพน้ำตานองหน้า บันดาลให้ผู้คนต้องรู้สึกสงสารเวทนา ซวนหยวนหมิงไท่เห็นดังนั้นก็ก้มตัวลง ยื่นมือลอดผ่านลูกกรงเหล็ก จับกุมมือเล็กๆที่แห้งกร้านเอาไว้ กลั้นโทสะที่พวยพุ่งในใจ “ที่ผ่านมาลำบากเจ้าแล้ว”

          “ไม่พะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ลำบาก ไม่ลำบากเลยจริงๆ” เสี่ยวลู่สะอื้นไห้พร่ำกล่าวไม่หยุด สองมือปาดเช็ดน้ำมูกน้ำตาเป็นพัลวัน แต่ในเวลาเดียวกันนั้นกลับบังเกิดเป็นเสียงปรบมือดังแปะๆ

          วั่นอู่หงมองหนึ่งนายหนึ่งบ่าวตรงหน้าแล้วจึงแสร้งแสดงท่าทีซาบซึ้ง “ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจจริง”

          ถึงตอนนี้เสี่ยวลู่จึงพึ่งสังเกตเห็นเงาร่างของเสี่ยวไป๋ รวมถึงปีศาจสาวซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก หน้าเขาพลันซีดเผือด ร่างกายสั่นเทิ้ม ยังคงจดจำคืนแล้วคืนเล่าที่ต้องทนมองเหล่าองครักษ์ถูกนางทำร้าย จนแทบจะเสียสติอยู่รอมร่อ

          ท่าทีหวาดกลัวเด่นชัดส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องตวาดถามวั่นอู่หง “เป็นเจ้าทำร้ายเสี่ยวลู่?”

          รับฟังแล้วนางก็ถึงกับเบิกตาโต หวีดเสียงหัวเราะขบขัน เดิมทีบุรุษหนุ่มที่ถูกลักพาตัวมา ล้วนเป็นนางที่เลือกสรร เว้นเพียงเจ้าเด็กน่ารังเกียจที่หญิงก็มิใช่ชายก็มิเชิง กระทั่งหางตานางก็ไม่คิดจะเหลือบแล ดังนั้นจึงมีแต่คนของจวนอ๋องที่จัดการทรมานตัวไร้ประโยชน์ผู้นี้

          “อย่างเขาน่ะรึ มิคู่ควรให้ข้าวั่นอู่หงต้องลงมือหรอก หากเปลี่ยนเป็นองครักษ์ของท่าน ยังนับว่าพอให้ข้าใช้กล้อมแกล้มได้บ้าง” พูดจบก็พยักพเยิดใบหน้าไปทางด้านหนึ่งซึ่งปกคลุมด้วยเงาดำมืดทึบ จากนั้นจึงฉีกยิ้มกล่าว “นั่นไงล่ะ ผลงานที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ของข้า ท่านเห็นเป็นเช่นไร”

          ข้างในห้องขังปรากฏร่างกำยำซึ่งถูกตรึงไว้กับไม้ ผมเผ้าสีดำยุ่งเหยิงบดบังใบหน้า ข้อมือข้อเท้าถูกตรวนด้วยเชือกป่านหนา ทั่วทั้งร่างชโลมไปด้วยเลือด มีเพียงหน้าอกที่ยังคงสะท้อนขึ้นลง บ่งบอกให้รู้ว่ายังคงมีลมหายใจ หากแต่ก็แผ่วเบายิ่ง คนผู้นี้แวบแรกเป็นเพียงคนแปลกหน้า ครั้นหรี่ตาเพ่งมองให้ชัดเจนอีกครั้ง กลับเป็นคนที่พวกเขารู้จักดี

          “หัวหน้าองครักษ์จิ้ง” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องเรียกเบาๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุดเงาร่างของบุรุษอีกสองคนซึ่งถูกปิดตาปิดปาก ร่างถูกตรึงในแต่ละฟากฝั่งซ้ายขวาของกำแพง ดูแล้วคงไม่แคล้วเป็นองครักษ์ติดตาม
         
          “ดูดีใช่ไหมล่ะ อีกไม่นานพวกเขาก็จะเป็นดั่งตุ๊กตาเชื่องๆที่คอยรับใช้ข้าทั้งวันทั้งคืน” วั่นอูหงยังคงแสดงความเห็นอย่างอารมณ์ดี

          “ชั่วช้าสามานย์ สวรรค์ต้องไม่ปราณีเจ้าแน่นอน” ไป๋เซ่อกัดฟันกรอด ดวงตาจับจ้องมองนางปีศาจอย่างคับแค้น

          “ขอน้อมรอรับการสั่งสอน” วั่นอู่หงเหยียดยิ้มรับ ทั้งตอบกลับโดยมิหวั่นเกรง ก่อนจะสั่งให้ทหารองครักษ์จำนวนหนึ่งจัดการลากคนทั้งสองไป ท่ามกลางเสียงร้องกระวนกระวายไล่หลังของเสี่ยวลู่


 

****************************************************

 

          ประตูเปิดออก มีเพียงห้องอันมืดมิดที่อยู่ตรงหน้า ถึงตอนที่ก้าวย่างเข้าไป กระแสไอเย็นเฉียบก็พวยพุ่งโลมเลียเรือนร่าง ไม่นานนักเทียนสีขาวก็ถูกจุด มันส่องแสงสีเหลืองนวลเผยให้เห็นคลื่นอารมณ์ไม่ปกติบนใบหน้าของสตรีสาวในชุดสีแดง

          “ที่นี่จัดไว้ให้องค์รัชทายาทโดยเฉพาะ”

          วั่นอู่หงกระซิบที่ริมใบหู ระหว่างที่แขนขาของเขาถูกคนตรวนโซ่ไว้แน่นหนา อีกด้านหนึ่งไป๋เซ่อร่ำร้องโวยวาย ทั้งดีดดิ้นไปมาก่อนจะโดนตีตรวนที่ด้านตรงข้ามเช่นกัน

          รอจนทหารองครักษ์ล่ามพวกเขาเสร็จ ต่างก็ล่าถอยออกไปอย่างรู้ความ เหลือไว้เพียงหนึ่งคนหนึ่งอสรพิษและหนึ่งปีศาจในห้องขังปิดตายที่เงียบสนิท ชนิดที่เข็มเล่มหนึ่งตกก็ยังได้ยินชัด

          ร่างกายถูกพรากอิสระ ทั้งยังหนักอึ้งไปด้วยโซ่ตรวน แม้แต่จะยืนก็ยังลำบาก ในเวลานี้ไป๋เซ่อได้แต่ซ่อนงำประกาย ไม่คิดหุนหันพลันแล่นอีก แม้ยังพอมีพลังเปลี่ยนรูปเป็นอสรพิษ แต่เกรงว่าเพลานี้ตนมิใช่คู่มือของนางปีศาจ

          “เป็นไรไป ก่อนหน้านี้ยังปากดีอยู่มิใช่หรือ” เห็นเด็กหนุ่มสิ้นพิษสงไปเสียดื้อๆ วั่นอู่หงก็ยืนมือไปตบใบหน้าเล็กอันเย้ายวนเบาๆเป็นการสัพยอก “อ่อ เจ้าหาว่าข้าอัปลักษณ์สินะ แต่น่าแปลกที่ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้างดงามแปลกตายิ่ง จะดีรึไม่หากข้าถลกใบหน้านี้มาเป็นของข้าเสียเอง”

          ถึงประโยคสุดท้ายดวงตาสีแดงก็ฉายแววอำมหิต เล็บยาวแหลมคมลากไล้ไปตามโครงหน้ารูปไข่ ทิ้งรอยแผลและโลหิตซึมไว้บนผิวขาวเนียน ไป๋เซ่อทนรับการกระทำนี้ ซ้ำโต้ตอบด้วยการกะพริบตามองปริบๆ สีหน้าปราศจากความขลาดเขลา ไร้ซึ่งคำพูดด่าทอใดๆ

          กลับกลายเป็นซวนหยวนหมิงไท่ที่ร้อนรนยิ่งกว่า สมองขบคิดอย่างรวดเร็ว “นางปีศาจ มิใช่เจ้าต้องการข้าหรอกหรือ ไยจึงปล่อยให้ข้ารู้สึกเบื่อหน่ายเช่นนี้”

          น้ำเสียงที่ฟังดูยานคางราวกับแมวที่เกียจคร้าน ยังผลให้ปีศาจสาวต้องชะงักหยุดมือ หันหน้ามาส่งรอยยิ้มหยาดเยิ้ม “องค์รัชทายาท ท่านทำเช่นนี้มิใช่ต้องการปกป้องเขาหรอกกระมัง”

          นางมิใช่คนตาบอด จึงจะไม่เห็นสายสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างคนทั้งสอง แม้แต่ตอนที่นางระเบิดพลัง องค์รัชทายาทผู้นี้ไม่เพียงหนีเอาตัวรอด กลับเลือกที่จะคว้าร่างเล็กเอาไว้เพื่อรับความเสียหายนั้นเอง กระทั่งความเป็นตายของตนเองก็หาได้สนใจไม่

          ซวนหยวนหมิงไท่เม้มปาก ตระหนักว่ามิอาจใช่ลูกเล่นกันอีกฝ่ายได้ ที่สุดแล้วคงได้แต่ใช้ตนเองเดิมพัน “ความจริงข้าเคยได้ยินมาว่า บุตรของโอรสสวรรค์นั้นมีปราณชีวิตแตกต่างจนปุถุชนทั่วไป เรียกขานกันว่าปราณมังกร หากปีศาจตนใดได้ครอบครอง ไม่เพียงสามารถเพิ่มพูนตบะ กระทั่งพลังฝีมือยังเทียบเท่ากับเทพเซียน เฮ้อ มิรู้ว่าเป็นจริงกี่ส่วน เป็นเท็จเสียกี่ส่วน”

          ถึงตรงนี้ดวงตาของปีศาจสาวก็ทอแววกระหิวกระหาย ไป๋เซ่อที่รับฟังอยู่เนิ่นนานต้องรีบโพล่งออกมา “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าบ้าไปแล้ว”

          “ใช่ ข้ายอมเป็นคนบ้า ดีกว่าต้องทนเห็นเจ้าถูกทรมาน” ซวนหยวนหมิงไท่ตอบผ่านสายตาที่ห่วงใย ครั้นเห็นไป๋เซ่อถลึงตาอย่างไม่เข้าใจ มุมปากก็พลันผุดรอยยิ้ม มิรู้ว่าร่างเล็กมีอิทธิพลกับเขามากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ครั้นเมื่อรู้ตัวก็กลับกลายเป็นว่าเขา...

          มิอาจเสียเจ้าตัวไปได้อีก

          “ท่านอยากรู้” นางกระหยิ่มยิ้มย่อง ขาก้าวเข้าไปหาองค์รัชทายาท ละเลยเด็กหนุ่มไปโดยสิ้นเชิง “เช่นนั้นข้าจะพิสูจน์ให้ท่านเห็นเอง” ในเมื่อเสนอตัวเอง นางก็ไม่คิดจะปฏิเสธ

          จังหวะที่ร่างสีแดงย่างก้าวสามขุม ก็บังเกิดเสียงโซ่ตรวนกระทบพื้นดังก้องไปมาไม่หยุด เขาเห็นไป๋เซ่อดิ้นตัวอย่างคลุ้มคลั่ง ก่อนที่สายตาจะถูกใบหน้าเปื้อนยิ้มของวั่นอู่หงเคลื่อนที่เข้าบดบังจนหมดสิ้น

          แม้เดิมพันครั้งนี้ออกจะเสี่ยงไปสักหน่อย แต่ตราบใดที่ตนยังมีประโยชน์ต่อตวนผิงซางอ๋อง นางย่อมมิให้เขาตายตอนนี้เป็นแน่ ซวนหยวนหมิงไท่คาดการณ์ในใจ

          วั่นอู่หงเอียงศีรษะ หมายลิ้มลองปราณมังกรอันยอดเยี่ยม แต่แล้วเมื่อนางเคลื่อนที่เข้าใกล้จนห่างจากริมฝีปากชายหนุ่มราวหนึ่งหุน ก็มีอันต้องหยุดชะงัก สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นยุ่งยาก ซ้ำระคนไปด้วยความหงุดหงิด

          “ตัวเลวร้ายที่ไหน บังอาจมาก่อกวนข้า” นางแค่นเสียงอย่างมีโทสะ สัมผัสได้ถึงขอบข่ายพลังที่ถูกทำลาย แม้มิอยากใส่ใจ แต่เรื่องราวเกี่ยวข้องกับเรือนพำนักของเย่วเซียง หนำซ้ำคืนนี้ยังเป็นคืนเข้าหอ หากตวนอ๋องพบว่าเจ้าสาวหายตัวไปในสถานที่ที่นางรับผิดชอบ นางยังจะแก้ตัวได้อย่างไรกัน

          ท้ายที่สุดนางก็ตัดสินใจผละตัวออกจากองค์รัชทายาทอย่างไม่ค่อยยินยอมนัก ปีศาจสาววาดปลายแขนเสื้อขึ้น สะบัดวูบหนึ่งร่างก็อันตรธารหายลับไป บังเกิดเป็นความเงียบงันในห้องอีกครั้ง จนกระทั่งมีเสียงถอนหายใจโล่งอกดังขึ้น

          “รัชทายาทงี่เง่า ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะสิ้นไร้ความคิดขนาดนี้” ไป๋เซ่อตวาดใส่ ทว่าคนถูกด่ากลับหัวเราะแห้งๆ โชคยังดีที่จู่ๆปีศาจสาวก็ผละตัวไปกะทันหัน มิเช่นนั้นหากช้าไปกว่านี้ ตนที่กลายเป็นงูเผือกคงกระโจนเข้าสู้อย่างไม่คิดชีวิตแล้ว

          นึกถึงตรงนี้ร่างเล็กก็เปลี่ยนเป็นอสรพิษสีขาว โซ่ที่เคยพันธนาการไว้พลันร่นไปกองกับพื้น มันชูคอเลื้อยตรงไปยังร่างชายหนุ่ม ก่อนจะสับร่างกลับเป็นมนุษย์ดังเดิม

          ไป๋เซ่อรีบคว้าดึงโซ่ที่ล่ามติดอยู่ตามข้อมือข้อเท้าของร่างสูง แล้วออกแรงทำลายจนหน้าดำหน้าแดง ตอนนี้นับว่าอยู่ในภาวะคับขัน ปีศาจสาวมีสิทธิ์ย้อนกลับมาได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเขาจึงยิ่งลุกลี้ลุกลน กระทั่งเหงื่อซึมไปทั่วแผ่นหลัง

          เห็นสองมือบอบบางกระชากโซ่ตรวนจนถลอกปอกเปิก เขาก็ขมวดคิ้ว ร้องบอกร่างเล็ก “ไป๋เซ่อ เจ้าพอเถอะ”

“อย่ามากวนข้า”

          “.......” ซวนหยวนหมิงไท่โดนตวาดจนต้องเงียบงันไป ครั้นแลเห็นสีหน้าแน่วแน่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ก็คล้ายถูกดึงดูดให้ต้องตกอยู่ในภวังค์ เหม่อมองหยาดเหงื่อประดุจมุกงามซึ่งไหลรินตามหน้าผากน้อย จนในที่สุดก็เปล่งเสียง “เด็กดี เข้ามาใกล้ๆข้า”

          ด้วยสุ้มเสียงกระซิบแฝงความอบอุ่นปลอดภัย กลับล่อลวงให้คนที่มือไม้ปั่นป่วนต้องหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีดำกระจ่าง สองขาก้าวเข้าไปประชิดร่างสูงโดยไม่รู้ตัว แลในพริบตานั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ก้มหน้าลง ประทับริมฝีปากบางโดยไม่บอกไม่กล่าว

          ดวงตาสีฟ้าอมเขียวถึงกับตะลึงวูบ คิดจะผลักอีกฝ่าย กระนั้นสัมผัสที่ชายหนุ่มมอบให้กลับแว่วหวานยากตัดใจ แลถึงตอนที่จุมพิตอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นลึกซึ้ง ไป๋เซ่อก็หลับตาลงตอบรับอย่างเต็มใจ

          รสหวานกำจายในโพรงปาก ลิ้นอุ่นละมุนนุ่มลึก ซวนหยวนหมิงไท่เคลิบเคลิ้มไม่เป็นตัวของตัวเอง ทั้งมิอาจผละออกจากริมฝีปากบางแม้ชั่วครู่ชั่วยาม ผิดกับไป๋เซ่อที่หัวใจตกอยู่ในความระส่ำระสาย หากทำได้มันคงกระดอนออกจากอกไปนานแล้ว ยังมีทั่วร่างที่หมุนเวียนด้วยกระแสพลัง ส่งผลให้รู้สึกราวกับล่องลอยอยู่กลางสายลม

          ผ่านไปพักใหญ่ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ถอนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง เปลี่ยนมาจ้องมองแผงขนตาที่สั่นระริก จวบจนเปลือกตางามแอบหยีขึ้นมองก็ต้องหลุดเสียงหัวเราะ

          “เจ็บตาหรือ” เขาเอ่ยหยอกท่าทางน่ารัก

          ครานี้ไป๋เซ่อถึงกับลืมตาพรึ่บ สบถกล่าว “บ้านเจ้าสิ เจ้าคนหน้าหนา” รู้ทั้งรู้ยังจะมีหน้ามาถาม รัชทายาทผู้นี้หน้าด้านเกินเยียวยาแล้วจริงๆ “เป็นเพลาใดแล้วยังทำเล่นอีก มิกลัวนางปีศาจจะกลับมาแทะกระดูกเจ้ารึ”

          “หือ ใคร...ใครทำเล่น”

          ซวนหยวนหมิงไท่เลิกคิ้วตีสีหน้าเหรอหรา ยังผลให้ใบหน้าเขาต้องแดงเถือก คงมิใช่ว่าชายหนุ่มตั้งใจหรอกนะ ไป๋เซ่อคิดอย่างสับสน ก่อนสัมผัสถึงพลังขุมหนึ่งที่หมุนเวียนในร่างกาย ที่แท้เจ้าตัวทำเช่นนี้ก็เพราะมีเหตุผล ฉับพลันนั้นก็แอบรู้สึกผิดหวังแกมเสียดายอยู่นิดๆ

          อืม...นิดเดียวจริงๆนะ ไป๋เซ่อแย้งในใจ


 

*******************************************


ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 15.2 ช่วยเหลือ

 

          ชายกระโปรงสีแดงสะบัดไหวไปตามกระแสลมแรง วั่นอู่หงที่พึ่งเสร็จจากการตรวจเรือนท้ายจวนเสร็จ ก็ต้องเร่งรุดหาคนอย่างหงุดหงิดใจ ระหว่างทางได้แต่ขบคิดสงสัย ใครกันที่ให้ความช่วยเหลือเย่วเซียง? และใครกันที่มีพลังมากมายถึงขนาดทำลายอาคมของนางได้?

          แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะใครหน้าไหนก็ล้วนมิอาจออกไปจากที่นี่ได้ นางหลับตาลงเพ่งสมาธิ ด้วยอาคมปราการใหญ่ที่นางกางไว้รอบจวนอ๋อง ย่อมมิมีสิ่งใดรอดพ้นไปจากสายตานางได้

          อีกทางด้านหนึ่ง ตะวันลาลับขอบฟ้า แขกเหรื่อในห้องโถงใหญ่ยังคงดื่มกินอาหารที่จัดเตรียมอย่างสบายใจ มิได้สังเกตเห็นทหารมากมายที่ทำการเข้าห้อมล้อม ซ้ำยังมีบางคนที่แวะไปทำธุระด้านนอกแล้วมิได้กลับมาอีก

          ไม่ไกลออกไปบนต้นไม้ใหญ่ ปรากฏเงาร่างของบุรุษและสตรี เพิ่มเติมด้วยงูน้อยสีดำอีกตัวหนึ่งที่กำลังขู่ฟ่อๆ

          “ไม่มี ที่นี่ก็ไม่มี” หงลิ่วร้องบอก น่าแปลก ไม่ว่าจะเป็นพี่ชายไป๋ พี่หมิงไท่หรือคนแซ่เสิ่น ล้วนหายตัวไปอย่างร่องรอยทั้งนั้น

          หงเว่ยย่นหัวคิ้วน้อยๆ เดิมทีคิดรับตัวคนกลับไปเงียบๆ แต่ด้วยกลิ่นอายร่างเล็กหรือคนอื่นๆถูกลบออกไปจนหมดสิ้น เกรงว่าปีศาจที่ควบคุมที่นี่ร้ายกาจพอตัว

          “ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจถูกจับตัวไว้ที่ห้องลับในเรือนอักษรก็เป็นได้” ขณะที่สองพี่น้องนิ่งใช้ความคิด เย่วเซียงก็ตัดสินใจออกความเห็น มาตรว่าไม่รู้ว่าพวกเขากำลังตามหาผู้ใด แต่จากท่าทางที่เป็นกังวล นางก็พอเดาได้ว่าคนผู้นี้จะต้องสำคัญยิ่ง

          “เจ้ารู้?” หงเว่ยขึ้นเสียงสูงเป็นเชิงถาม สีหน้ายังคงความเย็นชาไม่แปรเปลี่ยน

          เย่วเซียงพยักหน้าแล้วกล่าวอธิบายต่อ “ก่อนที่ข้าจะถูกกักตัว ข้าเคยหลงเข้าไปในห้องลับของท่านอ๋องตวน ที่นั่นซ่อนตัวบุรุษไว้หลายคน แต่ล้วนถูกวั่นอู่หงควบคุมจิตวิญญาณเอาไว้” บางทีอาจเป็นเพราะนางรู้ความลับนี้จึงเป็นเหตุให้ถูกตวนผิงซางอ๋องควบคุมตัวไว้ก็เป็นได้

          “ดี พาเขาไป” หงเว่ยเอ่ยถ้อยคำห้วนๆ ก่อนจะดึงอสรพิษน้อยที่เลื้อยอยู่รอบคอไปยัดใส่มือบอบบาง ทำเอาเย่วเซียงที่รับร่างเย็นเฉียบ ต้องเผยสีหน้าอย่างงงงันไปชั่วขณะ ฝ่ายหงลิ่วเองก็ไม่ต่างกัน

          “พี่ใหญ่แล้วท่านเล่า”

          “ไปกับนาง หากคับขัน เจ้ารู้ว่าต้องทำเยี่ยงไร” หงเว่ยเน้นย้ำ ทั้งยังคงไร้คำอธิบายใดๆ กล่าวจบก็กระโดดลงจากต้นไม้ เพียงแต่ปลายเท้ายังมิทันสัมผัสถึงพื้น ร่างของเขาก็พลันหายไปราวกับลมหอบหนึ่ง

          ร่างสีม่วงตัดดำปรากฏตัวอีกครั้งในสวนพฤกษา ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางคฤหาสน์ที่กว้างใหญ่ เบื้องหน้ามีน้ำตกจำลองให้บรรยากาศชุ่มฉ่ำ ไม่ไกลกันนักปลูกไว้ด้วยเก๋งหกเหลี่ยมอันเป็นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ

          แต่กระนั้นที่นี่ ในตอนนี้...กลับไร้ผู้คน

          เป็นเพราะก่อนหน้านี้สัมผัสถึงดวงตามุ่งร้ายคอยจับจ้อง หงเว่ยก็รีบละจากหงลิ่วจนมาถึงที่นี่ ต่อจากนั้นจึงส่งเสียงตวาด “ออกมา”

          ทันทีที่ถ้อยคำดังออกมา บรรยากาศเย็นยะเยียบไปถึงขั้วหัวใจก็กระจายตัวรอบๆบริเวณ วั่นอู่หงที่หลบซ่อนอยู่ถึงกับเสียวสันหลังวาบ คิดไม่ถึงว่าคนที่ทำลายอาคมของนางจะเป็นคนผู้นี้...

          นึกถึงตอนที่ถ่อไปทะเลสาบตงไห่เพื่อชิงดอกพราวแสง แต่แล้วต้องกลับมามือเปล่า นางก็ขยี้เท้าด้วยความเจ็บใจ ไหนยังจะต้องเสียหน้า เนื่องเพราะอีกฝ่ายมิยอมชายตามองนางสักกะผีก กระทั่งนามก็มิคิดรับฟัง ทำเอาเสน่ห์ของนางป่นปี้ย่อยยับ ณ ตรงนั้น

          “หึ หึ” แต่แน่นอนครานี้ย่อมไม่เป็นเช่นเก่า นางฉีกยิ้มกว้าง แม้มิอาจครอบครองสมุนไพรวิเศษเพิ่มพูนตบะ ทว่านางก็ได้สิ่งทดแทนอย่างจิตวิญญาณบุรุษหนุ่มเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้อิทธิฤทธิ์เพิ่มพูนขึ้นหลายส่วน มิจำเป็นต้องหวั่นเกรงบุรุษลึกลับผู้นี้อีก คิดได้ดังนั้นก็ก้าวออกไปเผชิญหน้า

          “มิคิดว่าจะได้เจอท่านอีก” นางเชิดหน้าเอ่ย เผยรอยยิ้มที่ยั่วยวนที่สุดตั้งแต่มีมา

          “.......” ร่างแกร่งถึงกับขมวดคิ้ว เพ่งมองสตรีตรงหน้าอย่างจริงจัง

          วั่นอู่หงเห็นดังนั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ในที่สุดนางก็ทำให้คนผู้นี้มองนางได้อย่างเต็มตาเสียที แต่ทว่า...

          “เราเคยเจอกันมาก่อนหรือ?” หงเว่ยถามอย่างงุนงง ความทรงจำที่มีต่อปีศาจสาวผู้นี้ช่างเลือนรางยิ่ง หรืออาจกล่าวได้ว่าไม่มีแม้แต่ในเศษเสี้ยวของสมองเลยก็ว่าได้

          ประโยคดังกล่าวคล้ายเสียดแทงใจดำของปีศาจสาวอย่างหนัก ขนาดที่ริมฝีปากที่ฉีกยิ้มยวนต้องกระตุกถี่ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอันกราดเกรี้ยว “กรี๊ด ข้าคือคนที่ต้องการดอกพราวแสงจากเจ้าอย่างไรกันเล่า”

          “........”

          ผ่านไปราวครึ่งเค่อ ดวงตาสีแดงก็ต้องถลึงอย่างเอาเรื่อง จนในที่สุดหงเว่ยก็เปล่งเสียงออกมาคำหนึ่ง

          “อืม”

          นี่มันจะสั้นเกินไปหน่อยไหม... วั่นอู่หงแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเป็นฝ่ายซักถามต่อ “ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับนังเด็กเย่วเซียง”

          “เย่วเซียง” ใครคือเย่วเซียง? ร่างสีม่วงอมดำคล้ายขบคิดอย่างหนัก ครั้นไม่เห็นความจำเป็นต้องตอบก็นิ่งเงียบไปอีกหน

          โอ๊ย แค่จะสนทนากับนาง มันยากเย็นนักหรือ... เป็นอีกครั้งที่นางถูกเมิน ปีศาจสาวหน้าแดงก่ำไปด้วยความโกรธ แทบอยากฉีกทึ้งคนตรงหน้าให้เป็นชิ้นๆ “หากท่านไม่ตอบข้าลงมือ”

          ว่าแล้วปีศาจสาวก็สะบัดแขนขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่าทางของนางราวกับเริงระบำที่ดุเด็ดเผ็ดร้อน ฉับพลันนั้นอาวุธกลุ่มหนึ่งก็ถูกซัดออกมา หงเว่ยหมุนตัวตลบหนึ่งก็สามารถหลบหลีกการโจมตีได้ทั้งหมด ทั้งยังคว้าอาวุธที่กำลังลอยผ่านไปได้ทันท่วงที

          มองดูสิ่งของในมือก็พบว่าเป็นขนนก ปลายก้านมีขนาดยาว ทั้งแหลมคมประดุจเข็ม ส่วนปลายแพนขนหางพลิ้วไหวมีลักษณะเป็นสีเขียวสด ตรงกลางยังมีดอกดวงสีน้ำเงินแกมดำดูงดงามยิ่ง

          “ที่แท้เป็นปีศาจนกยูง” หงเว่ยพึมพำ

          ในชั่วลัดนิ้วดีดอาภรณ์สีแดงของวั่นอู่หงก็แปรเปลี่ยนเป็นชุดสีน้ำเงิน นอกจากนี้ยังคลุมด้วยขนนกยูงยาวสง่างามไว้ชั้นหนึ่ง ผลักดันให้เจ้าของร่างเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล

          “พี่ชาย ท่านมิคิดว่าข้าสวยบ้างหรือ” กล่าวจบก็วางท่าอ่อนช้อย ทรวดทรงองค์เอวอ่อนเฉกเช่นเดียวกับเหล่าสนมนางวัง ด้วยมั่นใจว่าไม่มีใครทนทานกระบวนท่านี้ของนางได้

          “......”

          หากแต่ชายหนุ่มกลับยังคงหนักแน่นไปกับท่าทีเดิมๆ หรือได้แต่มองแล้วนิ่งเงียบไปหนึ่งอึดใจ วั่นอู่หงต้องฝืนแข็งค้างกายอยู่นานจนเหงื่อตก จนในที่สุดเขาก็ยอมเปิดปาก

          “สวย”

          ครานี้ดวงตาของนางถึงกับเลิกกว้าง มิอาจห้ามรอยยิ้มที่แทบฉีกไปถึงจนใบหู นางมิได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่ บุรุษเย็นชาผู้นี้กำลังเอ่ยชื่นชมน่ะ…

          “จะสวยมากหากคลุมอยู่บนร่างไป่ไป๋” 

          ...นาง

          เปรี้ยง ใบหน้าพลันแตกร้าวเสียยิ่งกว่ากระจกทองเหลือง วั่นอู่หงมิทันได้ลิ้มรสปลื้มปริ่ม ตัวนางก็คล้ายดิ่งลงเหว ดวงตากลายเป็นดั่งโลหิตแตกซ่าน ครั้นจะระเบิดพลัง เบื้องหน้าของนางก็ปรากฏพลังขุมหนึ่งแล้ว

          “กรี๊ด” นางร้องเสียงแหลมปรี๊ด

          มาตรว่าเบี่ยงกายหลบ แต่ปลายเท้ากลับหลบมิทัน จึงปรากฏเป็นลูกไฟสีม่วงเข้มแผดเผาปลายหางของนาง ร่างอรชรพลันกระโดดโหยงเหยงดับไฟร้อนที่ตัวพัลวัน หมดสภาพความสง่างามก่อนหน้านี้สิ้นเชิง

          “อืม ไม่ได้สินะ เสื้อคลุมจะมีตำหนิ” หงเว่ยประเมินมองแล้วจึงใช้น้ำเสียงบางเบาพึมพำบอกตัวเอง ทว่ามิอาจเล็ดรอดสองหูของปีศาจสาว

          เดี๋ยว เขาคิดจะถอนขนอันงดงามของข้า เพียงเพื่อไปทำเสื้อคลุมอย่างนั้นรึ... ครานี้โทสะถึงกับทะยานถึงจุดขีดสุด นางโกรธจนลมออกหู ได้แต่รวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่ฝ่ามือ ครั้นจะใช้ออกลูกไฟสีม่วงอ่อนกลับลอยลิ่วๆตรงมาหานางอีกระลองหนึ่งแล้ว

          “กรี๊ด” นางกรีดร้องเป็นคันรบที่สอง พลังทั้งหมดเปลี่ยนมาใช้ต้านรับ ระหว่างนั้นหยาดเหงื่อต้องหลั่งไหลยิ่งกว่าสายน้ำ แลไม่นานก็บังเกิดเป็นแสงสว่างจ้าแล้วตามมาด้วยเสียงดังก้อง

          ตูม


 

*******************************************

 

          ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดครึ้มพลันบังเกิดเป็นแสงสว่างวาบคราหนึ่งก็หายไป แต่กระนั้นกลับทิ้งเสียงที่ดังกึกก้องอันน่าตกใจ แขกเหรื่อในงานมงคลพากันร่ำร้องแตกตื่น ทั้งวิ่งพล่านแทบเหยียบกันตาย

          ครั้นวิ่งมาถึงหน้าห้องโถง ตวนผิงซางอ๋องในชุดเจ้าบ่าวกลับยืนขวางทางอยู่ก่อนแล้ว สีหน้าของเจ้าตัวดูขุ่นมัวยากแก่คาดเดา ไม่นานนักทหารที่โอบล้อมก็ก้าวเข้ามาใช้ทวนไล่ต้อน ทำเอาบรรดาแขกเหรื่อซึ่งล้วนเป็นขุนนางพ่อค้าหน้าซีดรีบถอยเท้ากลับเข้าอย่างจำใจ

          ...อาจกล่าวได้ว่ากว่าที่พวกเขาจะรู้ซึ้งถึงความผิดปกติ ขาข้างหนึ่งก็ก้าวเข้าสู่เส้นทางนรกไปเรียบร้อยแล้ว

          ที่ห้องลับใต้ดิน หลังจากเกิดเสียงระเบิด ไป๋เซ่อก็ตั้งหน้าตั้งตาเสกมนตร์คลายตรวนข้อเท้าข้างหนึ่งของซวนหยวนหมิงไท่ต่อ กระทั่งมีเสียงคลิ๊กดังขึ้นเขาก็โห่ร้องดีใจ

          ด้านรัชทายาทหนุ่มรีบยันตัวลุกขึ้น ด้วยเสียงที่ดังอยู่ข้างนอก ไม่ช้าคนของอ๋องตวนจะต้องเพิ่มจำนวนเฝ้ากวดขันที่นี่มากขึ้นเป็นแน่ “รีบไปเถอะ”

          ทว่ากล่าวจบภาพตรงหน้าก็พลันดับมืด สองขาไร้เรี่ยวแรงจึงทรุดฮวบลงกะทันหัน โชคดีที่ไป๋เซ่อไหวตัวทันเข้าประคองร่างสูงไว้ได้ทัน แต่ ระหว่างนั้นก็มิวายบ่นกระปอดกระแปด

          “สมน้ำหน้าใครใช้ให้เจ้าถ่ายเทปราณมังกรเกินตัวขนาดนี้”

          เพลานี้ซวนหยวนหมิงไท่กุมขมับ ข่มปิดตาแน่นด้วยความวิงเวียน “เอาเถอะ ข้าถ่ายเทให้เจ้าจนหมดตัว ยังดีกว่าให้นางปีศาจมิใช่รึ”

          “เฮอะ ก็จริง”

          ร่างเล็กไม่ปฏิเสธ ทั้งช่วยพยุงตัวรัชทายาทหนุ่มไปที่ประตูทางออก แต่แล้วภายนอกกลับมีเสียงฝีเท้าที่ดูเร่งรีบ ส่งผลให้คนทั้งสองมองหน้ากันวูบหนึ่ง ต่างรีบหลบฉากไปที่ข้างประตู

          ฝีเท้าของผู้มาใหม่วนไปวนมาที่ด้านนอก ต่อจากนั้นจึงเกิดเป็นเสียงกระแทกประตูห้องอย่างรุนแรง ซึ่งกินเวลาชั่วลัดนิ้วดีดประตูที่ทำด้วยเหล็กก็ต้องลอยหวือไปอีกฟากฝั่ง

          ซวนหยวนหมิงไท่และไป๋เซ่อจับจ้องมองแสงสว่างที่พาดทอกับพื้น ทันทีที่มีคนเหยียบย่างเข้ามา พวกเขาก็พร้อมลงมือ ทว่ารออยู่นานก็ยังไม่เห็นใคร จวบจนผ่านพ้นไปครู่หนึ่งเงาร่างสีดำเล็กๆก็เลื้อยเข้ามา

          “เสี่ยวเฮย” ไป๋เซ่อร้องเรียกพลางตะครุบร่างสีดำยาวมาซุกไซ้กับใบหน้าอย่างแสนคิดถึง “ไฉนเจ้าถึงมาอยู่ในสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้ แล้วบิดาเจ้าเล่า”

          “โอ๊ยๆ ปล่อยข้าทีเถอะ พี่ชายไป๋ ข้าปวกเปียกจนจะเป็นก้อนแป้งอยู่แล้ว” งูน้อยร่ำร้องบอกอย่างอึดอัด ปลายหางพยายามดันดวงหน้ารูปไข่ของอีกฝ่ายออกไป

          “หือ” ด้านไป๋เซ่อกลับอุทาน ดึงเจ้างูตัวน้อยที่พยายามเลื้อยหนีอย่างเอาเป็นเอาตายออกมาจ้องหน้า เสียงนี้ หรือจะเป็น... “หงลิ่ว”

          “ใช่ ข้าเองหงลิ่ว” ว่าแล้วก็ดีดตัว เปลี่ยนรูปเป็นเด็กชายตากลมโต

          “ฮา ที่แท้เจ้าก็เป็นอสรพิษ” เพลานี้ไป๋เซ่อยังหัวเราะออก ต่อจากนั้นจึงค่อยถามน้ำเสียงจริงจัง “ว่าแต่เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร คงมิใช่ว่าหงเว่ยก็มาด้วยหรอกนะ” กล่าวจบร่างเล็กก็ชะโงกหน้าออกดู ทันใดนั้นร่างบอบบางชวนทะนุถนอมก็วิ่งผ่านเขาไปหน้าต่อหน้าต่อตา

          “คุณชายหมิง”

          น้ำเสียงแม้ไม่ออดอ้อนแต่ชวนให้ติดตรึงใจ ทว่ามันกลับบีบรัดหัวใจเขายิ่ง ไป๋เซ่อนิ่งค้างในท่าเดิม จนกระทั่งได้ยินเสียงของชายหนุ่ม

          “แม่นางเย่วเซียง” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเสียงเบา ออกจะตกใจที่นางวิ่งมาหา

          “ที่แท้ท่านก็ถูกจับตัวมา” ดีที่เขามิได้ถูกทำร้ายเช่นที่ตวนผิงซางอ๋องบอก เย่วเซียงโพล่งกล่าวอย่างดีใจ ดวงตาระยิบระยับ กระทั่งลืมตัวจับแขนของรัชทายาทหนุ่ม

          หงลิ่วมองท่าทีคนทั้งสาม ไหนยังจะมีพี่ใหญ่ คิดดูแล้วช่างเป็นความสัมพันธ์ที่น่าปวดหัวยิ่งนัก ว่าแล้วเด็กน้อยก็กระตุกชายเสื้อของไป๋เซ่อซึ่งจมอยู่ในภวังค์ “มนตร์สะกดข้าอยู่ได้อีกไม่นาน รีบไปกันเถอะ”

          “อืม ไปกันเถอะ” ซวนหยวนหมิงไท่ได้ทีกล่าวเสริม เขาดึงมือที่นุ่มนวลออกพลางยิ้มให้เย่วเซียงอย่างสุภาพ สองขาก้าวตามหงลิ่วที่จูงมือไป๋เซ่อลิ่วๆไป

          ด้านเย่วเซียงได้แต่มองเงาหลังอบอุ่นที่ตอนนี้ดูเหินห่าง มิรู้ว่านางคิดเองหรือไม่ว่าคล้ายมีกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างนางและเขาอยู่

          ดูว่าด้วยมนตร์สะกดของหงลิ่วใช้การได้ดี ทหารผู้คุมที่เฝ้ายามจึงยังคงสลบไสลมิได้สติ ทำให้ซวนหยวนหมิงไท่พอมีเวลาช่วยเหลือเสี่ยวลู่และองค์รักษ์ทั้งสาม

          เด็กน้อยตรวจดูอาการให้คร่าวๆก็แนะนำว่าควรรีบส่งโรงหมอ โดยเฉพาะหัวหน้าองครักษ์จิ้งที่หายใจรวยริน และเสี่ยวลู่ที่สองขาหักหากปล่อยทิ้งไว้นานจะพิการได้ นอกเหนือไปจากนี้องครักษ์ทั้งสองยังพอมีแรง จึงช่วยกันประคับประคองร่างของหัวหน้าองครักษ์จิ้งออกไป เหลือเพียงเสี่ยวลู่ที่ถูกซวนหยวนหมิงไท่แบกขึ้นหลัง

          “ปล่อยกระหม่อมเถอะ เช่นนี้ไม่สมควร พระองค์จะลดตัวทำเช่นนี้ได้อย่างไร” เสี่ยวลู่ร้องคร่ำครวญ

          “เวลานี้อย่าได้พูดมาก ข้ามิอาจเสียพวกเจ้าไปได้แม้แต่คนเดียว” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยดุ ทำเอาขันทีน้อยต้องสะอื้นไห้ซาบซึ้งไปตลอดทาง

          ท้ายที่สุดคนทั้งหมดรีบร้อนพากันกลับไปยังปากทางเข้าห้องลับ โดยมีเย่วเซียงเป็นผู้นำทาง แต่ทว่าเมื่อใกล้ถึงทางออกพวกเขากลับถูกขัดด้วยเสียงร้องโวยวายของคนผู้หนึ่ง

          “นี่ๆ พวกเจ้าลืมข้าไปรึเปล่า”

          เป็นเสิ่นอันหวางที่นอนเป็นดักแด้ร้องบอกอย่างร้อนใจ ครั้นพอคนทั้งหมดมองเห็นตนก็ถอนใจ รอจนถูกแก้มัดแล้วเขาก็มิวายปากหวาน “ดีใจๆจริงที่เสี่ยวไป๋ยังมิลืมข้า” ได้ทีสองมือก็คว้ามือเรียวอันนุ่มนิ่มขึ้นจับ ความเย็นเฉียบทำให้เขางุนงงไปเล็กน้อย

          “ยังจะจับอีกนานไหม มิรีบไปอีก” ครานี้ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเสียงดุ ทั้งคว้ามือเรียวของไป๋เซ่อมาจับเสียเอง

          ด้วยแรงบีบน้อยๆทำให้ไป๋เซ่อเงยหน้ามองชายหนุ่ม ต่อเมื่อสังเกตเห็นสายตาของเย่วเซียง เขาก็สะบัดหลุดหันไปจูงมือหงลิ่วแทน ท่าทีเช่นนั้นเอาซวนหยวนหมิงไท่ไร้คำพูดจาใดๆ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าให้เสิ่นอันหวางจับกุมอยู่ดี

          ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ พวกเขาก็เร่งรีบมาถึงปากทางเข้า ดูแล้วห้องลับใต้ดินแห่งนี้อยู่ในเรือนอักษรอย่างที่รัชทายาทหนุ่มคิดไม่ผิด ทว่าในเพลานี้กลับยังไม่เห็นทหารคนใด จวบจนก้าวออกไปยังนอกเรือน พวกเขาก็มาถึงทางตัน

          “จะไปไหนรึ เย่วเซียง” ตวนผิงซางอ๋องเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มซึ่งแฝงแววเย็นชา ที่ด้านหลังเขายังตามมาด้วยกลุ่มทหารองครักษ์จำนวนหนึ่ง

          เสียงทุ้มที่ดังออกมาผลักดันให้เย่วเซียงต้องก้าวถอยหลัง หลบอยู่ด้านหลังเขา ซวนหยวนหมิงไท่ประเมินมองสถานการณ์ตรงหน้าก็รู้ว่ามิอาจหลีกเลี่ยงการปะทะได้อีก เขาหันไปกระซิบบอกคนทั้งหมด “ทางซ้ายมือห่างออกไปสามก้าว พวกเจ้ารีบฝ่าออกไปซะ”

          “ข้าไม่ไปหรอกนะ ข้าจะรอคิดบัญชีกับขุนนางกังฉิน” ไป๋เซ่อแย้งขึ้น เจ้าคนผู้นี้บังอาจเปรียบเทียบเขาเป็นสุนัขรับใช้ เขาต้องเอาคืนแน่นอน

          “หากพี่ชายไป๋ไม่ไป ข้าก็ไม่ไป” หงลิ่วก็ร้องบอก เขารับหน้าที่ดูแลไป๋เซ่อ หากพี่ใหญ่รู้ว่าเขาทิ้งอีกฝ่ายไว้ เขามิโดนตีก้นจนลายหรอกหรือ

          “กระหม่อมก็ไม่ไป”

          เสี่ยวลู่เองก็กล่าวอย่างกล้าๆกลัว ครั้นมองเย่วเซียงนางก็ส่ายหน้าให้เช่นเดียวกัน “พวกเจ้า” ซวนหยวนหมิงไท่ขมวดคิ้วขึ้นเสียง สุดท้ายได้แต่มองไปที่เสิ่นอันหวาง

          “เช่นนั้นข้ารับหน้าที่นี้เอง” บุรุษหนุ่มเจ้าสำอางเอ่ยขึ้น ยังไงตระกูลเสิ่นจำเป็นจะต้องมีเขา ดังนั้นเขาได้แต่อาสารับหน้าที่นี้ ว่าแล้วก็รับร่างของเสี่ยวลู่มาจากรัชทายาทหนุ่ม พลางมองร่างเล็กอย่างอาลัยอาวรณ์

          ด้านองครักษ์ทั้งสองแม้มิอยากไป แต่รู้ว่าสถานการณ์คับขันจำเป็นต้องออกไปเรียกกำลังสมทบจึงย่อกายลง “พวกกระหม่อมจะกลับมาให้เร็วที่สุด”

          “ข้าจะรอเจ้า เสี่ยวไป๋”

          รอจนเสิ่นอันหวางเอ่ยประโยคทิ้งท้าย ทหารของตวนผิงซางอ๋องก็ตรงเข้ามา ไม่ช้าก็เกิดเป็นการปะทะกันดุเดือด พ่อค้าหนุ่มแบกร่างขันทีน้อยวิ่งตามองครักษ์ทั้งสองอย่างไม่คิดชีวิต แม้บางครั้งต้องเผชิญหน้ากับทหารกลับคล้ายมีพลังบางอย่างกระแทกอีกฝ่ายให้ถอยห่างออกไป

          จวบจนกลุ่มของเสิ่นอันหวางหลุดออกจากวงล้อมเป็นระยะไกล บรรยากาศรอบด้านก็เปลี่ยนเป็นเงียบกริบ ทั้งให้ความรู้สึกเย็นยะเยียบอย่างไรบอกไม่ถูก ซึ่งระหว่างนี้ก็หาได้มีทหารคนใดเข้าขัดขวางอีก พวกเขาจึงสามารถตรงออกจากประตูใหญ่โดยใช้เวลาไม่มากนัก

          “คุณชาย นี่ท่านเล่นตลกอะไรกันเนี่ย”

          ข้ารับใช้คนสนิทของเสิ่นอันหวางซึ่งรออยู่ด้านนอกถึงกับร้องขึ้นอย่างตกใจ เมื่อเห็นคุณชายแบกร่างที่โชกเลือดออกมา ซ้ำยังมีบุรุษอีกสองคนพยุงร่างที่ดูใกล้หมดลมหายใจตามออกมาด้วย

          “อย่าพึ่งพูดมาก รีบพาพวกเขาขึ้นรถม้าเร็ว” เสิ่นอันหวางตะโกนบอก ข้ารับใช้หนุ่มได้แต่อือเอออย่างงุนงง ก่อนจะช่วยเขานำพาคนทั้งหมดขึ้นรถม้าไป ครั้นเสร็จเรียบร้อยดีก็กระโดดขึ้นนั่งด้านหน้า เร่งให้คนสนิทไปโรงหมอโดยด่วน

          แลในระหว่างรถม้าเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วนั้น ก็สวนเข้ากับกลุ่มคนสามสี่คนที่แต่งกายราวนักพรตกลุ่มหนึ่ง ดูว่าพวกเขามุ่งตรงไปยังที่ที่ตนพึ่งจากมา เสิ่นอันหวางกวาดตามองเพียงครั้งก็พบเห็นนักพรตเต้าเหยียน หรือนักต้มตุ๋นที่เคยถูกทางการตงหัวจับตัวไป

          พวกเขาไปที่นั่นทำไมกัน... ได้แต่เหลียวหลังมองอย่างแปลกใจ ก่อนจะทิ้งความสงสัยไว้ หันไปสั่งเร่งม้ายิ่งกว่าเดิม

          “ต้นกำเนิดกลิ่นอายชั่วร้ายมาจากที่นี่สินะ”

          ต่อเมื่อมาถึงหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ซึ่งอบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือด นักพรตเฒ่าผู้หนึ่งก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง พลอยทำให้นักพรตคนอื่นๆลูบเคราพยักหน้าลงความเห็นไม่ต่างกัน




****************************************************************



แฮะ ๆ อัพช้าเเต่เนื้อเรื่องก็ยาวกว่าเดิมอยู่น้าาาา  ฝากเม้นท์ ติชม กันบ้างน้า

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
 :hao7: เค้าเขินนนนนฉากจูบมาก ตอนแรกๆอ่านจะด่าองค์รัชทายาทบะ แบบไม่ชัดเจนอ่ะ เหมือนอ่อยๆแบบไม่ได้คิดไร แต่ไป๋ไป๋เขาจริงจังอ่ะ แทบจะเชียร์หงเว่ย แต่ฉากจูบมานี่เคลิ้มมมมมม ฉากไม่จับมือเยว่เซียงก็ดีงามมมมมม เริ่มจะจริงจังขึ้นบ้างแล้วอ่ะเนอะ 55555

รอตอนถัดไปค่าา  :กอด1:

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 16.1 ความพยาบาท



          คล้อยหลังจากที่กลุ่มของเสิ่นอันหวางฝ่าวงล้อมออกไปได้สำเร็จ การปะทะกันก็ยิ่งทวีความหนักหน่วง ในไม่ช้าไม่นานทั้งสองฝ่ายบ้างก็เริ่มแสดงท่าทีอ่อนล้า กระนั้นไป๋เซ่อกลับโห่ร้องฮึกเหิม ฝีเท้าอันฉับไวจู่โจมอย่างรวดเร็ว ประเดี๋ยวปรากฏตัวทางซ้าย ประเดี๋ยวปรากฏตัวทางขวา ปั่นหัวให้ทหารเหล่านี้ก้าวเข้าไปคนหนึ่งก็ต้องพลาดท่าล้มลง

          “ฮ่า ฮ่า เข้ามาให้บิดาถีบก้นพวกเจ้าซะ” นี่เป็นผลจากการได้รับปราณมังกรจากชายหนุ่มไปส่วนหนึ่ง บวกกับอาการเก็บกดที่พลังถูกสะกดไว้เนิ่นนาน ไป๋เซ่อจึงใช้ฝีมือออกอย่างเต็มที่ โดยมีหงลิ่วที่กลายเป็นงูตัวน้อยคล้องอยู่รอบคอ คอยส่งเสียงเชียร์ไม่หยุด

          ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่เหวี่ยงปลายเท้าใส่ลำคอของทหารที่ดาหน้าเข้ามา ฝ่ามือยังซัดเข้าใส่คนด้านข้างอย่างไม่หยุดพัก ครั้นแว่วเสียงหัวเราะกังวานสะใจต่อเนื่องอันคุ้นเคย ก็คลายความกังวลไปได้ส่วนหนึ่ง

          ทว่าไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ร่างบอบบางกลับถูกทหารต้อนให้จนมุม เส้นผมสีเงินสลวยราวเส้นไหมสะบัดไปมา ใบหน้าของเย่วเซียงแดงเรื่อ นางหอบหายใจติดขัด กระบวนท่าไม่มั่นคงเช่นแรกเริ่มอีกต่อไป

          ขณะนี้นางพึ่งจะสลัดหลุดจากทหารผู้หนึ่ง แต่เมื่อหันหลังกลับ ฝ่ามือหนาก็ดิ่งลงมาอย่างกระชั้นชิด แลในจังหวะที่กำลังจะปะทะถึงตัว ทันใดนั้นเงาร่างสูงเพรียวสง่างามก็รุดเข้ามาใช้แขนต้านเอาไว้

          “อย่าอยู่ห่างจากข้า” พูดจบเจ้าของฝ่ามือก็ถูกฝ่าเท้าของซวนหยวนหมิงไท่กระแทกตัวลอยละลิ่วไป

          “คุณชายหมิง” ด้วยการปกป้องเช่นนี้ ยังผลให้เย่วเซียงรู้สึกตื้นตันใจ ความห่างเหินที่สัมผัสได้ก่อนหน้าสลายหายไปจนหมดสิ้น นางจ้องมองบุรุษที่ยื่นมือช่วยเหลืออย่างเลื่อนลอย พลันตัดสินใจแล้ว

          ...ขอเพียงชีวิตนี้ได้อยู่เคียงข้างกายเขา ไม่ว่าต้องต้านลมต้านฝนกระหน่ำเพียงใด นางก็พร้อมจะเผชิญ

          อีกด้านหนึ่ง มาตรว่าไม่ว่าใครเห็นเจ้าสาวของตนเปล่งประกายตาลึกซึ้งให้กับบุรุษอื่น ย่อมมิอาจทนความกราดเกรี้ยวในใจได้ ตวนผิงซางอ๋องกำหมัดแน่น พริบตานั้นก็คล้ายกับมีภาพซ้อนทับ

          ที่หน้าจวนตระกูลไป๋ สาวใช้นางหนึ่งกำลังประคองสตรีในอาภรณ์สีชมพูอ่อนให้ก้าวลงมาจากรถม้าอย่างระแวดระวัง หลังม่านสีไข่ไก่นั้นค่อยๆเผยให้เห็นใบหน้าที่มีรอยยิ้มเจิดจ้าสว่างไสว

          ดวงตาสีดำค่อยๆเบิกกว้างด้วยความตกใจ ภาพเบื้องหน้าราวกับเป็นฝันร้าย หญิงสาวซึ่งเปรียบดั่งดอกไม้แรกแย้มกลับเกล้าผมเช่นเดียวกับสตรีที่ออกเรือน

          แรกเริ่มได้ยินว่านางแต่งให้กับบุรุษอื่น เขาก็มิอยากเชื่อหู จึงมิสนใจคำทัดทานของมารดา เร่งร้อนควบม้าไปที่สกุลลั่ว หากแต่พวกเขากลับปิดประตูหนี ได้แต่ตัดสินใจมาที่นี่ หวังถามไถ่ให้เรื่องราวกระจ่างชัด แต่ทว่าในตอนนี้

          เขาได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว...

          นางมิใช่บอกว่ารักเขา? จะรอเขากลับมาหรอกหรือ?


          เท้าก้าวตรงเข้าไปอย่างยากเย็น คลับคล้ายมีหินนับพันชั่งถ่วงอยู่ในใจ ซึ่งพอดีกับที่บุรุษในชุดขุนนาง ผู้ซึ่งมีเครื่องหน้าใจดีก้าวออกมาจากจากด้านในเรือน ฝีเท้าของเขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพบาดตาตรงหน้า

          ไป๋จวิ้นเข้าโอบล้อมร่างบอบบางไว้ ว่ากล่าวอยู่หลายประโยค หญิงสาวก็หัวเราะสดใส มือของชายหนุ่มจะเลื่อนไปสัมผัสหน้าท้องของนางอย่างแผ่วเบา ทั้งสองเผยสีหน้าอันเปี่ยมสุขซึ่งฉายแววรักใคร่ลึกซึ้ง จนกระทั่งนางสังเกตเห็นเขา

          ลั่วจิ่นหลงหรือไป๋จิ่นหลงในตอนนี้ เผลอสบสายตาบุรุษองอาจในชุดเกราะที่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไป ดูว่าผิวขาวของเขาได้เปลี่ยนเป็นสีคล้ำแตกต่างไปจากความทรงจำไม่กี่ปีที่ผ่านมา แววตายังมีร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมองเศร้า

          สีหน้าของนางค่อยๆซีดเผือดลง รอจนไป๋จวิ้นสัมผัสถึงความผิดปกติก็เงยหน้าขึ้นพบผู้มาใหม่ ทั้งสามจ้องมองกันอย่างไร้วาจา ท้ายที่สุดฝ่ายสามีก็สั่งให้สาวใช้พาฮูหยินเข้าจวนไป

          ตวนผิงซางอ๋องจ้องมองสตรีที่ครั้งหนึ่งเคยสัญญาจะร่วมชีวิต กระทั่งร่างของนางหายลับไป บุรุษแซ่ไป๋ หรือหรือทั่นฮวา[1]ผู้มีความสามารถในราชสำนักก็หยุดลงตรงหน้าเขาพอดิบพอดี

          “ท่านอ๋องตวน จิ่นหลงกับข้าเป็นสามีภรรยากันมาหกเดือนแล้ว ถึงตอนนี้ระหว่างท่านกับนาง...” ไป๋จวิ้นเงียบเสียงลง         คล้ายลำบากใจที่ต้องเอ่ย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกล่าว “ก็ถือเสียว่าสิ้นสุดวาสนาต่อกันเถิด”

          ...สิ้นสุดวาสนาอย่างนั้นหรือ

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เขาถึงกับหัวร่ออย่างขมขื่น กดน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ข้ากับนางผูกพันกันมากว่าสิบปี เราต่างคนต่างรู้ใจกันดี ไหนเลยจะสิ้นเยื่อใยได้ง่ายดายปานนั้น?”

          ฟังแล้วไป๋จวิ้นก็ย่นคิ้ว สองมือประสาน ค้อมศีรษะลง กล่าววิงวอน “ขอท่านอ๋องโปรดส่งเสริม จิ่นหลง ภรรยาข้าตั้งครรภ์แล้ว”

          ตั้งครรภ์...คล้ายมีสายฟ้าฟาดตกกระทบร่างเขา ดวงตาของตวนผิงซางเลิกกว้าง ห้วงลมหายใจติดขัด ปลายนิ้วจิกลงบนฝ่ามือ ใจเจ็บปวดราวกับมีดกรีดเฉือน เขากัดฝันเอ่ยถาม “นางตั้งครรภ์แล้ว?”

          “เรียนท่านอ๋อง นางตั้งครรภ์ลูกของข้าสามเดือนกว่าแล้ว” ไป๋จวิ้นเน้นย้ำ ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นคนรักเก่าของภรรยา

          ทว่าวันเวลามิคอยท่า กาลเวลามิอาจหวนกลับ

          แม่ทัพใหญ่ตวนจากเมืองหลวงเพื่อออกรบถึงสี่ปี กระนั้นปีก่อนกลับไร้ซึ่งข่าวคราว เป็นหรือตายไม่มีใครล่วงรู้ ทำให้ราชสำนักต้องส่งคนสืบหา ไม่นานนักก็เลื่องลือไปทั่วแคว้นว่า แม่ทัพผู้องอาจตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกนับแสน และเพื่อมิให้ตกเป็นตัวประกัน จึงพลีชีพในสนามรบอย่างห้าวหาญ

          ยังผลให้ลั่วจิ่นหลงที่ทนรออยู่หลายปี อีกทั้งสูญเสียวัยออกเรือนที่ดีที่สุด ต้องตรอมใจโศกเศร้า กระทั่งล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงแทบลาจากโลกนี้ไป สุดท้ายสกุลลั่วมิอาจทนดูบุตรสาวตายได้ จึงร่วมกับสกุลไป๋ขอพระราชทานสมรสให้แต่งกับเขา...ไป๋จวิ้น

          แต่แล้ววันหนึ่งแม่ทัพใหญ่ตวนก็หวนกลับมา

          “หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าน้อยขอตัว” 

          ทั่นฮวาตรงหน้าคำนับกายให้เขาอีกครั้งก่อนกลับเข้าจวนไป ส่วนเขาได้แต่ยืนเหม่อ ทั่วทั้งร่างชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มิอาจบรรยายรสขมที่อัดอั้นในอก และในคืนนั้นจดหมายฉบับหนึ่งก็ถูกส่งมา

 

          ทุกอย่างเป็นความผิดข้า มิเกี่ยวกับไป๋จวิ้น ขอท่านอย่างได้ขัดเคืองเขา ชาตินี้เป็นข้าเองที่ไร้วาสนา มิอาจร่วมเรียงเคียงหมอนกับท่าน ขอชดใช้ให้ท่านอ๋องชาติหน้า

จิ่นหลง


          ...เมื่อใดกันที่คำสัญญากลับกลายเป็นสิ่งไร้ค่า

          จดหมายถูกขยำจนไม่เป็นชิ้นดี เช่นเดียวกับใจที่แหลกสลาย ความเจ็บปวดแทรกซึมลึกถึงกระดูก เขากับนางเป็นเพื่อนที่เติบโตกันมาตั้งแต่เด็ก จากความสนิทสนมก่อเกิดเป็นความรัก เขาเคยเชื่อว่าเข้าใจนางดียิ่งกว่าใคร แต่ทว่าสตรีที่เขาได้พบในวันนี้ กลับมิใช่จิ่นหลงที่เขารู้จักและทำความเข้าใจได้อีกต่อไป

          นางคือจิ่นหลงที่เคียงคู่ไป๋จวิ้น

          จิ่นหลงที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข แม้จะไม่มีเขา

          จิ่นหลงที่เป็นคนของสกุลไป๋...ไป๋จิ่นหลง

          มิใช่ลั่วจิ่นหลง ที่รักเขาอีกต่อไป


          สุดท้ายความเกลียดชังก็อยู่ใกล้กว่าที่คิด เพียงแค่หลับตาก็สัมผัสได้ถึงมัน ทว่าเยื่อใยสายสัมพันธ์รักหาใช่จะตัดขาดกันได้ง่ายๆ หากชะตาฟ้าลิขิตให้เขากับนางไร้วาสนา มิอาจครองคู่กันได้ เขาคนนี้ก็จะเป็นผู้ลิขิตมันใหม่เสียเอง

          ตวนผิงซางลืมตาที่ฉาบไปด้วยความเย็นเยียบขึ้น ยื่นจดหมายจ่อที่เปลวไฟ พลางนึกถึงเมื่อใดกันที่นางเปลี่ยนไปจากที่ตนรู้จัก

          ใช่เป็นเพราะเวลาสี่ปีที่ตนหายไปใช่หรือไม่? หรือเป็นเพราะไป๋จวิ้น และพระราชทานสมรสที่ทำให้วาสนาระหว่างเขาและนางต้องขาดสะบั้นลง?

          “ฆ่าเขาซะ”

          เสียงกระซิบหนึ่งดังขึ้น สายตาซึ่งติดตรึงบนแผ่นหลังอบอุ่นได้ละออกแล้ว ก่อนสบเข้ากับบุคคลที่มิต้องการเผชิญหน้าแทน เย่วเซียงตกตะลึงวูบ กายถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง จากนั้นสองมือจึงสัมผัสถึงบางสิ่งที่เยียบเย็น

          “ไป”

          สิ้นเสียงดุดัน ร่างก็นางก็ถูกผลักให้พุ่งตรงไปข้างหน้า ครั้นเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือเต็มตา นางก็ต้องกรีดร้องสุดเสียง

          “ม่ายยย”
[/size]

 

**************************************************

 

          ขุมพลังสีม่วงอ่อนปะทุ บังเกิดระเบิดขนาดใหญ่ ลำแสงสว่างวาบล้อมรอบคฤหาสน์วูบหนึ่งก็หายไป แทนที่ด้วยกลุ่มควันคละคลุ้งจำนวนหนึ่ง วั่นอู่หงปะทะถูกพลังเข้าอย่างจัง ยังผลให้ร่างลอยไปกระแทกกับศาลาหกเหลี่ยม นางบาดเจ็บภายในสาหัสถึงกับต้องกระอักเลือดออกมาคำโต ระหว่างนั้นหางตาเหลือบเห็นเงาร่างสูงใหญ่ใกล้เข้ามา นางก็กัดฟันฝืนกระโจนขึ้นฟ้าไปยังทิศทางหนึ่ง

          ข้าต้องการพลังชีวิต ต้องการมัน...เพลานี้นางรีบร้อนต้องการพลังอย่างเร่งด่วน จะเป็นพลังชีวิตจากบุรุษหนุ่มรึแก่ก็หาได้สนใจแล้ว

          สตรีในเสื้อคลุมนกยูงทะยานมาถึงตำหนักหลังใหญ่ ณ ที่แห่งนี้นางสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตอันมากมาย น่าจะเพียงพอให้นางสามารถฟื้นฟูพลังได้ส่วนหนึ่ง ว่าแล้วมือเรียวซึ่งมีเล็บแหลมคมก็โบกสะบัด บังเกิดเป็นเสียงร้าวครืนใหญ่ พร้อมกันนั้นกระเบื้องหลังคาก็ถูกคลื่นพลังซัดปลิวหายไป เศษซากบางส่วนยังตกลงไปยังด้านล่าง

          แสงจันทร์สว่างส่องทาบทอลงไปยังห้องโถง บรรดาแขกเหรื่อที่ถูกทหารโอบล้อมกักขังต่างแหงนมองขึ้นไปอย่างหวั่นๆ ครั้นเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ที่เบื้องบนแล้วก็พากันร่ำร้องขลาดเขลา

          ดวงตาของวั่นอู่หงทอแววหิวกระหาย สองมือวาดเป็นวงกลมแล้วปละปล่อยกระแสพลัง ทันใดนั้นบุรุษน้อยใหญ่ก็ต้องรับรู้ถึงความกระอักกระอ่วน กายค่อยๆอ่อนเปลี้ยเหนื่อยล้า จิตใจดิ่งฮวบจมตกอยู่ภายใต้ความมืดมิดที่ไร้ทางออก

          “เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้มีประโยชน์”

          เสียงกระซิบที่ทุ้มต่ำไร้ความรู้สึกลอยทะลุโสตประสาท วั่นอู่หงผงะไปเล็กน้อย กัดฟันสูบพลังต่ออย่างเจ็บใจ พลังฝีมือของบุรุษผู้นี้เกินกว่าที่นางจะหยั่ง ได้แต่เสียใจที่ตนถือมั่นเข้าไปพัวพันตอแหยอีกฝ่าย

          หงเว่ยมองปีศาจนกยูงที่กระเสือกกระสนหาทางรอดชีวิต จากนั้นมองเหล่ามนุษย์ผู้เคราะห์ร้ายที่น่าเวทนา ทว่าทุกชีวิตล้วนก้าวไปตามครรลอง ต่างมีเคราะห์กรรมเป็นของตนเอง มิมีความจำเป็นให้เขาต้องยุ่งเกี่ยว แต่ว่าแปลกนักที่ครั้งนี้กลับมีน้ำเสียงของหงลิ่วดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าในใจ

          ‘หากพี่ชายไป๋รู้ว่าท่านใจดำ มิช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน เขาจะต้องไม่ชอบท่านแน่ๆ’

          “เพื่อไป่ไป๋” เขาพึมพำ เอาเป็นว่าเพื่อเจ้าของรอยยิ้มยียวนน่าเอ็นดูผู้นั้น เขาก็จะยอมทิ้งหลักการมิยุ่งเกี่ยวนี้สักคราก็แล้วกัน ว่าแล้วหงเว่ยก็เหยียดแขนตั้งฝ่ามือ ปลดปล่อยพลังบริสุทธิ์ที่กลั่นกรองจากจิตใจที่ขาวสะอาด ตรงเข้าชะล้างความดำมืดชั่วร้ายดั่งขุมนรกที่เบื้องล่าง

          พลังของหงเว่ยโอบล้อมครอบคลุมไปตามตำหนักหลังใหญ่ สัมผัสที่ร้อนเกิดทนผลักดันให้วั่นอู่หงต้องผละตัวถอยห่างอย่างมิเต็มใจ ก่อนที่พลังดังกล่าวจะนำทางทุกชีวิตที่ตกอยู่ห้วงแห่งความสิ้นหวังให้ค่อยๆฟื้นคืนกลับสู่จิตใจที่ปกติ

          ปีศาจสาวได้แต่อ้าปากค้างมองดูแหล่งพลังชีวิตไหลวนกลับคืนสู่เจ้าของ จนผ่านไปพักใหญ่ก็แววปรากฏเสียงผู้มาใหม่เข้าขัดจังหวะ

          “ปีศาจชั่วร้าย ทำร้ายเหล่ามนุษย์ วันนี้พวกเราผู้บำเพ็ญพรต ขอเป็นตัวแทนสวรรค์ กำจัดเจ้าให้สิ้นซากเอง” นักพรตผู้มีผมสีดอกเลาตะโกนจบก็ตวัดปลายนิ้ว ดาบไม้ที่กลางหลังพลันพุ่งออกมา ตรงเข้าจู่โจมปีศาจตรงหน้าอย่างไม่ปราณี

          อาวุธซึ่งบรรจุด้วยพลังปราณแหวกว่ายผ่านสายลม ก่อนแทงทะลุร่างสีม่วงอมดำ หงเว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเก็บฝ่ามือที่ปลดปล่อยพลังชำระล้าง หันมาก้มมองหน้าอกที่เป็นรูกว้าง สีหน้าหาได้แสดงความเจ็บปวดใดๆ ทว่าแวบหนึ่งกลับเหยียดยิ้มประชด

          หึ ทั้งๆที่เขาช่วยมนุษย์เหล่านี้ไว้แท้ๆ

          วั่นอู่หงมองดูเหตุการณ์อยู่ด้านหลังก็ต้องลอบยิ้ม แก้แค้นสิบปีก็ยังมิสาย นักพรตกลุ่มนี้ช่างมาได้ถูกจังหวะจริงๆ คิดได้ดังนั้นนางก็ถือโอกาสหนี โบกมือเพียงวูบเดียวร่างของนางก็จางหายไป

          หงเว่ยที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศค่อยๆเบือนหน้าก้มลงมองเหล่านักพรตที่มวยผม สวมใส่ชุดสีขาวดุจดั่งผู้บำเพ็ญเพียรอย่างแช่มช้า รอบกายแผ่กลิ่นอายสังหารรุนแรง ขณะนี้ดวงตาสีม่วงอมดำฉายแววกร้าว ยังผลให้กลุ่มผู้มาใหม่ต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่

          เป็นพวกมันที่พรากคนที่เขารัก
         
          เป็นพวกมันที่พรากคนในครอบครัวเขาไป


          ในชีวิตที่ผ่านมานับพันปี หงเว่ยไม่เคยขัดเคืองหรืออาฆาตแค้นผู้ใด เว้นเพียงพวกนักพรตที่ดีแต่ตัดสินถูกผิดด้วยความนึกคิดของตนเอง

          แลในชั่วลัดนิ้วดีด ร่างสีม่วงอมดำก็เริ่มขุ่นมัว ก่อนกลายสภาพเป็นไร้ตัวตนเฉกเช่นหมอกควัน กระทั่งบาดแผลบนอกก็ยังหายไป กลุ่มนักพรตที่มีกันอยู่สี่คนต่างตกอยู่ในความแตกตื่น เงาสีดำเริ่มกระจายไปรอบๆพวกเขา จนในที่สุดนักพรตผู้อาวุโสซึ่งไว้หนวดเครายาวสีขาวก็เปล่งเสียง

          “ตั้งค่ายกักมาร เร็ว”

          คำสั่งเอ่ยจบ เหล่านักพรตคนที่เหลือก็ตอบรับ แต่ละคนหมุนตัวแยกย้ายกันไปในแต่ละทิศ จากนั้นตั้งมือพลางกล่าวอย่างแข็งขัน “ซ้ายมังกรเขียว ขวาเสือขาวครอง หงส์แดงนำหน้า เต่าดำสถิตยังเบื้องหลัง อัญเชิญเทพผู้พิทักษ์กักขังมาร”

          เส้นสีเหลืองเรืองรองพวยพุ่งจากพื้นทั้งสี่ทิศ ล้อมกรอบกั้นเป็นพื้นที่บริเวณหนึ่ง หงเว่ยซึ่งร่างประดุจเมฆหมอกวนไปเวียนมารอบๆถึงกับต้องส่งเสียงหัวร่อออกมา “ค่ายกลเด็กเล่นเช่นนี้ คิดว่ากักตัวข้าไว้ได้?”

          “วาจาโอหังยิ่ง ท่านอาจารย์ปู่ อาจารย์ลุง อาจารย์อา อย่าเสียเวลาอีกเลย รีบกำจัดปีศาจเสียเถอะ” นักพรตเต้าเหยียนตะโกนบอก ส่งผลให้คนทั้งหมดพยักหน้า พลางรวบรวมพลังปราณส่งไปที่ปลายนิ้ว

          “ดาบกำจัดมาร”

          ทันที่ถ้อยคำพร้อมเพรียงหลุดจากริมฝีปาก ดาบไม้ของนักพรตทั้งสี่ก็พุ่งทะยานตรงเข้าฟาดฟันใส่กลุ่มควันโดยรอบ ปีศาจร้ายต้านรับไม่กี่กระบวนท่าก็กลับรวมร่างเป็นหนึ่ง ยังผลให้พวกนักพรตต่างลอบตื่นเต้น ทว่าพวกเขายังมิทันจะเชิดหน้า น้ำเสียงหยามหยันก็ดังขึ้น

          “ข้าไม่เสียเวลาให้กับพวกปาหี่” หงเว่ยกดเสียงเน้นย้ำ เพลานี้เรื่องของไป่ไป๋จึงจะสำคัญที่สุด

          เหล่านักพรตรับฟังจนตกตะลึงพรึงเพริด สีหน้าเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ แต่ก่อนที่พวกเขาจะตอบโต้ ก็พบเห็นนัยน์ตาซึ่งประดับที่กลางหน้าผากของอีกฝ่าย ดวงตานั้นคมกริบเช่นอสรพิษ แลด้วยใบหน้าเคร่งขรึมบวกกับเส้นผมสีดำที่ปรกใบหน้าบางส่วน ส่งผลให้ร่างสูงใหญ่ทั้งดูน่ากลัวและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน

          ไม่จริง เหตุใดจ้าวอสรพิษเกร็ดอัคคีจึงยังไม่หายไปจากโลกนี้

          นักพรตผู้ซึ่งอาวุโสที่สุดถึงกับต้องผงะตกใจ ชั่วขณะหนึ่งถึงกับทำอะไรไม่ถูก พอดีกับที่หงเว่ยซัดใช้ออกถึงพลังที่ซ่อนงำไว้ ฉะนั้นไม่ว่าจะหัวหงอกหัวดำ ล้วนต้องกระแสพลัง บ้างหลังกระแทกพื้น บ้างก้นจ้ำเบ้า ล้มนอนแผ่หมดสภาพอย่างน่าสงสาร

          “ไสหัวไปให้ไกล” หงเว่ยเอ่ยเสียงห้วน สองมือกำหมัดแน่น ต่อให้ตนคับแค้นนักพรตพวกนี้มากเพียงใด ก็มิอาจลืมเลือนปณิธานที่หงเหวินเทียนหรือบิดาของเขากำชับก่อนตายได้

          ตระกูลหงที่สูงส่ง จะไม่มีวันเกลือกกลั้วกับสิ่งเลวร้าย กระทำตัวเฉกเดียวกับปีศาจชั้นต่ำ หากมันผู้ใดฆ่าฟันทำร้ายมนุษย์ จะไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหง หรือแม้แต่วงศ์วานเกล็ดอัคคี จำให้ดี...หงเว่ย


 

**************************************************

 

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 16.2 ความพยาบาท

 

          โลหิตสีแดงสาดกระเซ็นเปราะเปื้อนใบหน้าขาวซีด สองขาอ่อนยวบทรุดลงกับพื้น หยาดน้ำตาประดุจมุกงามหลั่งไหลไม่ขาดสาย ให้นางทำร้ายคนที่รัก ช่างโหดร้ายเกินกว่าจะรับได้ “คุณชายหมิง ข้าไม่ต้องการทำเช่นนี้ ไม่ได้ต้องการจริงๆ” เย่วเซียงร่ำร้องราวคนเสียสติ

          ซวนหยวนหมิงไท่ก้มลงมองร่างของทหารที่ต่อสู้ติดพันกันอยู่พักใหญ่ ทว่าบัดนี้อีกฝ่ายกลับนอนจมกองเลือด ม่านตาขยายค้างฉายแววไม่เข้าใจ บางทีหากเขาไม่เบี่ยงกายหลบฝ่ามือกะทันหัน อาจเป็นเขาเองที่ถูกมีดสั้นปักกลางหัวใจ

          “ต่อให้พวกเจ้าผูกพันลึกซึ้งเพียงไรก็มิมีวันสมหวัง คนที่พรากนางไปจากข้า พวกมันจะต้องทุรนทุราย เจ็บปวดยิ่งกว่าตายทั้งเป็น” ตวนผิงซางอ๋องคำรามลั่น จะคนแซ่ไป๋ก็ดีหรือแซ่ซวนหยวนก็ช่าง ทั้งหมดล้วนต้องตายใต้เงื้อมมือเขา

          กระบี่พลันชักออกจากฝัก ปลายเท้าสะกิดพื้นตรงเข้ารุกไล่ ซวนหยวนหมิงไท่พลันเบี่ยงกายหลบ ทว่าผู้เป็นอ๋องลงมือด้วยท่วงท่าดุดัน ตรงเข้าจู่โจมจุดตายเขาแทบทุกครั้ง ส่งผลให้เขามิอาจหยุดพักหายใจ เหงื่อเย็นผุดผาดแนบใบหน้า

          มาตรว่าตวนผิงซางอ๋องจะมิได้จับอาวุธออกศึกนานนับหลายปี กระนั้นรอบกายกลับแผ่กลิ่นอายฆ่าฟันรุนแรง ทั้งนี้ไม่รวมฝีมือยอดเยี่ยมอันไร้ซึ่งช่องโหว่ พลอยทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว และด้วยร่างกายใกล้ถึงขีดจำกัด กระบวนท่าที่ใช้ออกจึงเชื่องช้าลง แลเมื่อมิอาจหลบก็ได้แต่ทนรับ

          ยังมิทันที่ปลายดาบสัมผัสถึงหน้าท้อง ปลายเท้าของคนผู้หนึ่งก็ตวัดใส่คมกระบี่ ตวนผิงซางอ๋องรีบหมุนตัวชักอาวุธกลับ ครั้นมองไปรอบๆก็พบว่าทหารของตนสิ้นท่าแล้ว เขาก็เอ่ยน้ำเสียงประชด “คาดมิถึงว่าสุนัขรับใช้อย่างเจ้าก็พอจะมีฝีมือ องค์รัชทายาทช่างมีสายตาดียิ่ง”

          คำก็สุนัข สองคำก็สุนัข ข้าเป็นอสรพิษผู้สง่างามต่างหาก

          ร่างเล็กที่พลิ้วกายเข้าขัดจังหวะ รับฟังแล้วก็ต้องถลึงตาใส่ หากมิใช่พลังส่วนใหญ่ถูกสะกดเอาไว้ รับรองว่างูเผือกแห่งแดนสวรรค์ มือขวาของท่านมหาเทพเช่นเขาผู้นี้ จะต้องซัดปากคนตรงหน้าไม่ให้เหลือแม้แต่ฟันจะเคี้ยวข้าวเลยทีเดียว

          “ขุนนางกังฉิน เจ้ารังแกคนอ่อนแอกว่า เช่นนี้ไม่นับเป็นลูกผู้ชาย”

          หือ คนอ่อนแอ... ซวนหยวนหมิงไท่เลิกตามองคนด้านข้างที่ชี้หน้าด่าอีกฝ่ายอย่างงุนงง คนอ่อนแอที่ไป๋เซ่อเอ่ย หวังว่าคงจะมิใช่เขาหรอกนะ

          “ถอยไปเจ้าซวนหยวนหมิงไท่ เชื่องช้าเป็นลูกเต่าอย่างเจ้าถอยไปไกลๆเลย” ว่าแล้วไป๋เซ่อก็ผลักร่างสูงให้หลบอยู่ทางด้านหลัง

          อืม ชัดเจนว่าเป็นเขา... ไป๋เซ่อตวาดจนรัชทายาทเช่นเขาอดจะคอตกมิได้ หากมิใช่เพราะถ่ายทอดปราณมังกรให้เจ้าตัวจนอ่อนล้า เขาก็คงไม่มีวันเพลี่ยงพล้ำให้แก่ตวนผิงซางอ๋องอย่างแน่นอน

          “หึ คิดว่าคนของท่านจัดการทหารของข้าได้ ชนะข้าได้ ท่านจะรอดตัวไปได้หรือ” ตวนผิงซางอ๋องเหยียดยิ้ม ดวงตาฉายแววโหดเหี้ยม “ผิดแล้วองค์รัชทายาท ท่านตกอยู่ในกำมือข้า ข้อนี้มิมีวันเปลี่ยน”

          “ท่านหมายความว่าอย่างไร”

          ซวนหยวนหมิงไท่มิทันเอ่ย เย่วเสียงก็เปล่งเสียงด้วยความตกใจ นางจ้องมองเขาด้วยสีหน้าแตกตื่น ครั้นไล่สายตาหยุดลงที่ข้อมือเขา ดวงตาของนางก็สว่างวาบ

          มิผิด นางมิได้มองผิดไป นั่นเป็นกำไลข้อมือสีเงิน มิต่างกับกำไลข้อเท้าของนาง ร่างของนางพลันสั่นสะท้าน หันไปตวาดอ๋องผู้เลือดเย็น “ท่านควบคุมข้าคนเดียวไม่พอหรือ เหตุใดต้องควบคุมเขาด้วย”

          “หึ ตราบใดที่เจ้าปันใจให้บุรุษอื่น ปลายทางคนผู้นั้นย่อมมีแต่ตายสถานเดียว” ตวนผิงซางอ๋องกล่าวเสียงเข้ม จ้องลึกในดวงตาหวานที่คลอน้ำตา “เย่วเซียง เจ้ายังมิต้องวิตกนัก ข้าจะมิให้มันตายเร็วเป็นแน่”

          รับฟังแล้วหัวใจก็ถึงกับดิ่งวูบ เย่วเซียงฝืนยืนหยัดแล้วโพล่งกล่าวน้ำเสียงสั่น “ไม่ ท่านผิดแล้ว คนที่ท่านรักมิใช่ข้า แต่เป็นลั่วจิ่นหลงต่างหาก”

          บังเกิดความเงียบงันไปอึดใจ ตวนผิงซางอ๋องทั้งมิได้ปฏิเสธและยอมรับ เจ้าตัวเพียงมองเย่วเซียงด้วยใบหน้าเรียบเฉย กระนั้นนามลั่วจิ่นหลงมิใช่ว่าตนพึ่งได้ยินเป็นครั้งแรก ยังมีสีหน้าเย็นชาที่จดจำได้เป็นอย่างดี “ที่แท้เป็นเพราะเรื่องของไป๋จิ่นหลง ท่านจึงเคียดแค้นเสด็จพ่อมาโดยตลอด” ซวนหยวนหมิงไท่แทรกเอ่ย

          ไป๋...จิ่นหลง

          นามนี้กระตุ้นให้โทสะเขาพลุ่งพล่าน ดวงตาที่สงบนิ่งสั่นไหวเป็นระลอกคลื่น ตวนผิงซางอ๋องคำรามใส่องค์รัชทายาท “เจ้ามันจะไปรู้อะไร นางมิได้แซ่ไป๋ ทั้งมิใช่คนของไป๋จวิ้น นางเป็นลั่วจิ่นหลงของข้าต่างหาก”

          ในที่สุดซวนหยวนหมิงไท่ก็ยิ้มบาง ดูว่าเขามาถูกทางแล้ว “เช่นนั้นข้ามีเรื่องบางประการใคร่ถามตวนอ๋อง สิบกว่าปีก่อนตระกูลไป๋ออกเดินทางไปยังแถบทางใต้ แต่แล้วระหว่างทางกลับถูกลอบสังหาร เป็นฝีมือของท่านใช่รึไม่”

          เรื่องราวอันน่าสลดนี้เลื่องลือในเมืองหลวงพักใหญ่ เนื่องเพราะคนตระกูลไป๋ รวมข้ารับใช้กว่ายี่สิบชีวิตต้องจบลง ฮูหยินซึ่งตั้งครรภ์แก่หายสาบสูญ ส่วนทั่นฮวาผู้เปี่ยมความสามารถกลับต้องตายด้วยคมดาบและลูกธนูนับสิบ การลงมือเป็นไปอย่างโหดเหี้ยม เสมือนเป็นการแก้แค้นส่วนตัว ยังมีร่างถูกปล่อยทิ้งให้ฝูงสุนัขป่ากัดแทะมิเหลือสภาพดี สุดท้ายคดีกลับจบลงที่คนร้ายลอยนวล ดังนั้นฮ่องเต้จึงมีรับสั่งห้ามมิให้ผู้ใดเอ่ยถึงอีก

          “เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้น” ผู้เป็นอ๋องหรี่ตายิ้ม ภายนอกอ่อนโยน หากแต่แฝงความอำมหิตไว้ภายใน

          “นั่นเป็นเพราะไป๋จวิ้นถูกฆ่าตายอย่างน่าอนาถเกินไป ฮูหยินไป๋เองก็หายสาบสูญ อีกทั้ง...” ซวนหยวนหมิงไท่ขมวดคิ้วจ้องมองไปที่เย่วเซียง “ในเวลาใกล้เคียงกัน ที่ใต้หุบเขาตงหัวใกล้เขตแดนจ้าวคฤหาสน์ดินกลับปรากฏทารกหญิงอันไร้ที่มาผู้หนึ่ง” กล่าวถึงตรงนี้ก็ย้ายสายตาไปที่ตวนผิงซางอ๋อง “ดังนั้นการที่ท่านยึดติดกับเย่วเซียง ต้องการให้นางเป็นพระชายาของท่าน นั่นเป็นเพราะนางเป็นบุตรสาวของไป๋จิ่นหลงใช่รึไม่”

          “คะ คุณชายหมิง ท่านกล่าวอะไร” เย่วเซียงรับฟังจนตกอยู่ในอาการสับสน นี่เป็นชาติกำเนิดของนางแน่หรือ นางหันไปจ้องมองบุรุษอีกคนอย่างต้องการคำตอบ

          “ใช่ เป็นข้าวางแผนสังหารตัวอุบาทว์ไป๋จวิ้น เรื่องเดียวที่ข้าเสียใจคือจิ่นหลง นางหลบหนีไปยังเขตแดนจ้าวคฤหาสน์ดิน ทว่าข้าไม่สามารถติดตามนางเข้าไปด้วยได้ ข้าได้แต่เพียรเฝ้าหาวิธีมาหลายสิบปี จนกระทั่งพบวั่นอู่หงที่รู้ทางเข้านั้น เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อส่งคนเข้าไปแล้ว คนที่ข้าได้พบกลับมิใช่จิ่นหลง กลับเป็นเจ้า..เย่วเซียง” เขาเว้นเสียงไปพักหนึ่ง ก็มองไปที่ร่างบอบบาง “เจ้าเป็นบุตรสาวของจิ่นหลงอย่างมิต้องสงสัย”

          ประโยคสุดท้ายทำให้ทั่วร่างของเย่วเซียงต้องเย็นเฉียบ ฝ่ายตวนผิงซางอ๋องก็เดินเข้าไปลูบไล้ใบหน้าอ่อนหวานที่เหมือนคนรักเก่าราวกับแกะ “เย่วเซียง เจ้าย่อมเป็นสิ่งที่จิ่นหลงชดใช้ให้ข้า”

          “ขุนนางกังฉิน เจ้ามันโรคจิต หนี้รักหนี้แค้นของใครก็ของผู้นั้น จะให้ลูกชดใช้แทนได้อย่างไร” ไป๋เซ่อฟังอยู่นานก็ทนไม่ได้ เขาเกลียดความอยุติธรรมเป็นที่สุด หันไปกล่าวกับงูน้อยที่เลื้อยรอบคอ “หงลิ่ว ดูให้ดีว่าพี่ชายไป๋คนนี้จะผดุงความยุติธรรมเช่นไร”

          “ฟ่อ” หงลิ่วผงกหัวน้อยๆ ส่งสายตาเป็นประกายชื่นชม

          อีกด้านหนึ่งซวนหยวนหมิงไท่กลับตบเข้าที่หน้าผาก อืม ใครก็ได้ช่วยบอกเจ้างูสองตัวนี้ทีว่าสถานการณ์ตอนนี้ตึงเครียดจะแย่อยู่แล้ว

          “จอมยุทธ์ผู้ผดุงความยุติธรรมงั้นรึ” ตวนผิงซางอ๋องหัวเราะน้อย “หึๆ ถ้าเจ้าอยากเล่น ข้าจะให้เจ้าเล่น แต่ทว่า...” เขาหยุดเสียงยกยิ้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าคงต้องหยุดเขาให้ได้เสียก่อน”

          สิ้นเสียงกระบี่เล่มหนึ่งก็ถูกโยนขึ้นฟ้า ตามติดด้วยร่างสูงเพรียวที่กระโจนรับไว้ แขนเสื้อข้างขวายังเลิกขึ้นเผยให้เห็นกำไลสีเงิน แลไม่นานเจ้าของร่างก็พลิ้วกายหยุดลงตรงเบื้องหน้า ทำเอาดวงตาสีฟ้าอมเขียวต้องถลึงมองอย่างไม่เข้าใจ “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้ารับกระบี่เจ้านั่นทำไม”

          ซวนหยวนหมิงไท่พลันยิ้มแหย ก้มมองกำไลสีเงินที่ข้อมือ สุดท้ายจึงเอ่ย “เกรงว่าข้าจะถูกควบคุมเข้าให้แล้ว”

          “รัชทายาทงี่เง่าเอ๊ย” ไป๋เซ่อกระทืบเท้าส่งเสียงด่า

          “ใช่ว่าข้าอยากจะใส่มันสักหน่อย” เขาเองก็ถลึงตาโต้ตอบ

          ทำให้หงลิ่วต้องกระซิบถามไป๋เซ่อ “ทำอย่างไรดี พี่ชายไป๋”

          “จัดการมันซะ”

          ขณะที่ยังคงคิดไม่ออก อ๋องผู้เลือดเย็นกลับออกคำสั่งเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่ชายหนุ่มตั้งท่าก็ถลันเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว ไป๋เซ่อทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ได้แต่ปัดป่ายกระบี่ที่พุ่งแทงเข้ามา “นี่เจ้าคิดจะแทงข้าจริงเหรอ” กล่าวพลางเอี้ยวตัวหนี

          ซวนหยวนหมิงไท่เองก็ทำหน้ารู้สึกผิด ก่อนตอบไปว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจ” แม้กล่าวเช่นนั้นแต่ข้อมือไม่รักดีกลับหมุนวาดกระบี่เข้าใส่ร่างน้อย

          ไป๋เซ่อรีบถอยเท้าไปหลายก้าว ใช้วิธีตั้งรับแทน “เจ้าหาวิธีเข้าสิ”

          มองดูทั้งสองคนทั้งโต้ตอบทั้งประมือไปมา จวบจนผ่านพ้นไปหลายกระบวนท่า ตวนผิงซางอ๋องก็ใคร่รู้สึกไม่ถูกต้อง
ท่วงท่าที่ทั้งคู่ใช้ออกมีส่วนคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน บางครั้งคนหนึ่งอ่อนช้อย อีกคนใช้ออกรวดเร็ว สอดประสานหมุนเวียนสลับกันไป ดูไปไม่คล้ายเป็นการต่อสู้ หากแต่เป็นเพลงกระบี่คู่เสียมากกว่า เขาขมวดคิ้ว

          ต้องรู้ใจกันเพียงใด จึงจะสามารถเป็นเช่นนี้ได้

          นอกเหนือไปจากตวนอ๋อง ก็ยังคงมีอีกบุคคลที่รู้สึกไม่แตกต่าง เย่วเซียงตะลึงมองคนทั้งสองรับมือซึ่งกันและกัน ดูไม่ว่าใครก็มิอาจแทรกกลางระหว่างพวกเขาได้ จู่ๆใจก็วูบโหวง ได้แต่จ้องมองบุรุษร่างเล็กอย่างเลื่อนลอย

          แท้จริงแล้วที่ข้างกายชายหนุ่ม หาใช่ที่ของนางแน่หรือ?

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว”

          แลในช่วงเวลาที่ทุกคนต่างตกอยู่ในความสับสน ตวนผิงซางอ๋องกลับหัวเราะออกมา “ช่างน่าสมเพชแท้ๆ ซวนหยวนหมิงไท่ ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาทของแคว้น เเต่กลับมอบใจให้บุรุษผู้หนึ่ง มิหนำซ้ำยังเป็นเพียงข้ารับใช้ที่ต้อยต่ำ ความรักของท่านช่างวิปริตยิ่งนัก ฮ่า ฮ่า”

          น้ำเสียงเหยียดหยามดังขึ้น หากแต่รัชทายาทเช่นเขากลับเผยรอยยิ้มสดใส หัวเราะอย่างเขินๆก่อนเอ่ยเสียงหนักแน่น “ข้าจะรักเขา ใครจะทำไม”

          หือ เขาใช่หูฝาดไปหรือไม่ เจ้าลูกเต่าอย่างซวนหยวนหมิงไท่กำลังบอกว่ารักเขา

          วาจาอันน่าตกตะลึงพรึงเพริดนี้เล่นเอาไป๋เซ่อที่กำลังรับมือเจ้าตัวถึงกับเบิกตาค้าง จู่ๆรสสัมผัสอันนุ่มนวลของจุมพิตก่อนหน้านี้ก็หวนกลับมาให้หัวใจเต้นไม่หยุด ครั้นเห็นรอยยิ้มสว่างไสวระบายบนใบหน้าชายหนุ่ม หน้าเขาก็พลันร้อนผ่าวจนแดงก่ำ อีกทั้งยังลามเลียไปถึงใบหู กระทั่งทานทนไม่ไหวก็ต้องหลับตาลงร่ำร้อง

          “ตัวข้าจะระเบิดแล้ว”

          ตัวข้า...เขินแทบตาย เขินแทบตายแล้ว

 




[1] ทั่นฮวา เป็นตำแหน่งผู้สอบบรรจุเข้ารับราชการ ซึ่งรองจากตำแหน่งจ้วงหยวน ปั๋งเหยี่ยน ตามลำดับ




***********************************************************


ห่างหายไปนาน กลับมาเเล้วจ้า ช่วงที่ผ่านมากลายเป็นพี่เลี้ยงเด็ก เลยไม่มีเวลาเขียนเลยจ้า หวังว่าบทนี้จะโดนใจใครหลายคนนะ แบบว่าอาการเขินของไป๋เซ่อ ดาเมจรุนเเรงมากก 5555+ เค้าชอบ

 :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 17.1 จุดจบและคลื่นถาโถม

 

          ร้อน...ร้อนจนแทบระเบิด

          ความร้อนโลดแล่นไปทั่วร่าง หัวใจพองโตเต้นตึกตักรัวเร็วราวบรรเลงกลองศึก ไป๋เซ่อหลุดคำพูดประหลาดที่แม้แต่ตนเองก็มิรู้ตัว พร้อมกันนั้นฝีมือที่ใช้ออกก็เริ่มมั่วซั่วไม่เป็นตัวของตัวเอง

          “หยุดมือ หยุดมือให้ข้าก่อน”

          ไม่นานร่างเล็กก็ต้องโพล่งบอกให้หยุด ส่งผลให้ทุกคนชะงักงันสงสัย กระทั่งซวนหยวนหมิงไท่ที่ถูกควบคุมกายยังต้องดึงกระบวนท่ากลับ

          พริบตานั้นงูน้อยที่กำลังงุนงงได้ที่ก็ถูกคว้าหมับออกจากรอบคอ ไป๋เซ่อหันหลัง มือกุมลำตัวนิ่มยาวไว้ ก่อนจะฟาดแปะบนใบหน้าตัวเองอย่างสะเปะสะปะ

          หงลิ่วดิ้นขลุกขลัก หน้าท้องถูกถูไถจนจักกะจี้ มันเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจ “พะ พี่ชายไป๋ ท่านจะทำอะไร”

          “หงลิ่ว เจ้าปิดใบหน้าข้าไว้เร็ว” ไป๋เซ่อไม่สนใจฟังเสียง ยังคงจับลำตัวนุ่มนิ่มให้วุ่นวาย

          “อ่ะ เอ๋ อื้อๆ” ด้วยน้ำเสียงเร่งรัดส่งผลให้หงลิ่วที่ตกใจต้องรีบอือออให้ความร่วมมือแต่โดยดี จนแล้วเสร็จเรียบร้อย ไป๋เซ่อก็ถอนหายใจ เปล่งเสียงด้วยความโล่งอก

          “เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย” สัมผัสเย็นสบายช่วยทำให้ใบหน้าที่ร้อนฉ่าสงบลง ไป๋เซ่อฉีกยิ้มแฉ่ง ก้มหยิบกระบี่ซึ่งตกอยู่ใกล้ปลายเท้า แล้วหันกลับไปขึ้นน้ำเสียงจริงจัง “มา ข้าพร้อมแล้ว”

          “พรืด” ชั่วขณะที่ได้เห็นเต็มตา องค์รัชทายาทเช่นเขาก็เสียกิริยาหลุดขำพรืด นี่เป็นเพราะดวงหน้าเล็กเผยให้เขาเห็นเพียงดวงตาสีฟ้าอมเขียวและริมฝีปากเล็กๆ ทว่าส่วนกึ่งกลางของใบหน้ากลับพันรอบไว้ด้วยร่างสีดำของหงลิ่ว ทำให้ไป๋เซ่อในตอนนี้ ช่าง...

          ดูน่ารักและน่าขบขันในเวลาเดียวกัน

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า”  เขาหัวเราะลั่น ไม่คิดว่าทั้งสองจะรวมร่างแล้วกลายเป็นเช่นนี้

          อีกด้านหนึ่งคิ้วน้อยๆของไป๋เซ่อต้องมีอันย่นลง กระทั่งหงลิ่วซึ่งเกยศีรษะเล็กๆไว้บนบริเวณกระหม่อม พลันรู้สึกว่าไม่เข้าท่าบ้างแล้ว 

          “เจ้าลูกเต่ามีอันใดน่าหัวเราะกัน” ไป๋เซ่อตบฉาดที่หน้าขา ส่งเสียงตวาดด้วยรู้สึกอับอาย ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องใช้มือปิดปาก เพื่อกันมิให้เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมา แต่ถึงอย่างไรก็มิอาจห้ามหัวไหล่ที่ยังคงสั่นไหวได้อยู่ดี

          ท่าทีสนิทสนมทั้งหมดทั้งมวลนี้ตกอยู่ภายใต้สายตาอันสับสนของเย่วเซียง แท้จริงแล้วบุรุษน้อยก็มีใจให้กับชายหนุ่ม ถ้าเช่นนั้นมิใช่ว่าพวกเขาต่างหลงรักซึ่งกันและกันหรอกหรือ

          แล้วตัวนางเล่า?

          ฉับพลันนั้นไร้เรี่ยวแรงกลับหายไปเสียดื้อๆ ราวกับโลกทั้งใบดับวูบลง ดูว่าความรักของนางเปรียบเสมือนดั่งพายุ ทั้งรวดเร็วทั้งโหมกระหน่ำ มิให้นางได้ตั้งตัวแต่อย่างใด ต่อเมื่อกระแสวายุสงบลง ทุกสิ่งทุกอย่างก็อันตรธารว่างเปล่า แม้กระทั่งหัวใจของนางเองก็มิหลงเหลือ

          ชมดูคู่บุรุษหยอกล่อต่อกระซิกอยู่นาน ดวงตาของตวนผิงซางอ๋องก็ฉายแววชิงชัง “ประเสริฐ ประเสริฐยิ่ง วันนี้ข้าจะให้คู่ยวนยางอย่างพวกเจ้าตกตายกันไปข้างหนึ่ง” พูดจบก็หยักยิ้ม ปล่อยให้เกิดบรรยากาศนิ่งเงียบกดดันในอึดใจหนึ่ง จากนั้นจึงเปล่งเสียงที่ไร้ความปราณี

          “ฆ่ามันซะ”

          สิ้นคำสั่งสังหาร ร่างของซวนหยวนหมิงไท่ก็รุดเข้าฟาดฟันไป๋เซ่ออย่างหนักหน่วง บังเกิดเป็นประกายไฟยามเมื่ออาวุธต่างกระทบกระทั่งกันดูน่าหวาดกลัว

          ร่างเล็กใช้กระบี่ต้านการโจมตีในแต่ละครั้ง แรงสั่นสะเทือนที่ได้รับก็ถึงกับทำให้ปลายนิ้วชาดิก แม้เพลงกระบี่ที่ชายหนุ่มใช้จะเป็นเพลงเดียวกับที่เคยเคียงคู่ต่อสู้ หากแต่พลานุภาพของมันขณะนี้กลับมิสามารถทำให้เขาโต้กลับได้แม้แต่ครั้งเดียว

          บัดนี้กำไลสีเงินแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำ ราวกับว่ามันเคยถูกย้อมด้วยโลหิตมาก่อน ใคร่ครวญดูแล้วของวิเศษชิ้นนี้ ตอบสนองต่อความต้องการฆ่าของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี

          ซวนหยวนหมิงไท่ตีสีหน้าเคร่งเครียด ด้วยกายที่มิเป็นตัวของตัวเอง หากยังคงชักช้ามิอาจหาทางออก เกรงว่าอีกไม่นานคงได้พลาดพลั้งทำร้ายคนรักในที่สุด

          นึกถึงตรงนี้หัวใจก็ต้องร้อนรนเช่นเกาทัณฑ์ที่แล่นปราดจากคันศร จวบจนร่างเล็กพลิกตัวหลบหลีกไปรอบๆตัว สมองก็พลันขบคิดวิธีหนึ่งขึ้นได้ ซึ่งแม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะดีร้าย ทว่าตอนนี้พวกเขาได้แต่ลองเสี่ยง

          ดวงตาสีดำกวาดมองลึกในดวงตาสีฟ้าอมเขียวอย่างมีความนัย ไป๋เซ่อจ้องมองเพียงแวบเดียวก็ทำความเข้าใจได้

          มือเรียวเก็บกระบี่คืน ถีบปลายเท้าทีหนึ่งก็พุ่งทะยานห่างจากชายหนุ่มไปหลายก้าว ฝ่ายรัชทายาทหนุ่มมิปล่อยให้ร่างเล็กไปได้ไกล สองเท้าโผทะยานติดตามไปอย่างกระชั้นชิด

          เมื่อเห็นว่าเป็นไปตามที่คิด อ๋องเลือดเย็นก็ยิ้มเยาะอย่างย่ามใจ คิดจะหนี ย่อมมิง่ายดายนัก... แต่แล้วไม่นานสถานการณ์เบื้องหน้าก็ทำให้เขาต้องหุบยิ้ม หากประเมินมองไม่ผิดทั้งสองกำลังม้วนตัวตรงมาทางเขา

          ราวกับนัดแนะไว้ ไป๋เซ่อลอยตัวข้ามไปที่ด้านหลัง ซวนหยวนหมิงไท่หยุดลงตรงหน้า บีบให้บุรุษในชุดแดงอยู่ตรงกลางมิอาจขยับได้อีก พริบตาต่อมากระบี่ยาวหนึ่งจั้งทั้งสองเล่มก็เสือกแทงซ้ายขวา

          ตวนผิงซางอ๋องไหวตัวทันจึงเบี่ยงร่างขนาบเข้ากับตัวกระบี่ ความเยียบเย็นของโลหะแนบติดหน้าอกและแผ่นหลัง ยังผลให้เขาต้องขมวดคิ้วมุ่น แลในจังหวะนั้นเองเจ้าของกระบี่พลันพลิกข้อมือลง จากนั้นอาศัยความรวดเร็วชักกระบี่กลับคืน


 

***************************************************

 

          ทันทีที่พู่กระบี่ไหววูบ หยาดหยดโลหิตก็ฉีดพุ่งเป็นสาย กระจายตัวเป็นละอองสีแดงท่ามกลางสายลมแผ่วเบา เสียงงูขู่ฟ่อๆร้องคลออย่างชื่นชม แม้แต่เย่วเซียงเองก็ยังอดที่จะตะลึงมองมิได้

          “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” ยอดเยี่ยมไปเลย พี่ชายไป๋ 

          “น่าตายนัก คิดใช้ข้าเป็นเกราะกำบัง” ตวนผิงซางอ๋องระเบิดโทสะเป็นเสียงคำรามลั่น คาดคิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะเจ้าความคิดขนาดนี้ เขาเกร็งกำลังเท้านำพาตนเองถอยปราดออกไป แต่มาตรว่าเป็นเช่นนั้นเงากระบี่กลับยังคงไล่ล่าตามเขาไม่ห่าง

          ซวนหยวนหมิงไท่กับไป๋เซ่อยังคงหันหน้าฟาดฟันกระบี่ ฝีเท้ารุกคืบไปยังบุรุษองอาจในชุดสีแดงอย่างไม่ลดละ ยามเมื่อสองเท้าหยุดยืนได้มั่นคง ตวนผิงซางอ๋องก็ตกอยู่ในวงล้อมไว้อีกครั้ง พลางรับการจู่โจมทั้งสองด้านซึ่งสอดประสานฝีมือกันอย่างพร้อมเพรียง

          ทั้งสามประมือกันไปแล้วกว่าสามสิบกระบวนท่า ผ่านไปสักพัก อ๋องแห่งเหลียวตงก็เล็งเห็นจุดอ่อน จู่ๆรอยยิ้มเหี้ยมก็ผุดขึ้นกะทันหัน ให้รัชทายาทหนุ่มสังหรณ์ใจไม่ดี ครั้นส่งสัญญาณให้ร่างเล็กล่าถอย ตวนผิงซางอ๋องกลับชิงโคจรลมปราณหมุนฝ่ามือ ปลดปล่อยพลังวัตรสูงส่งออกมาแล้ว

          ไป๋เซ่อกำลังถลันตัวเข้าไป พริบตานั้นขุมพลังหนึ่งก็ตรงเข้าทักทายในระยะประชิด ส่งผลให้ร่างต้องลอยละลิ่วไป ก่อนไถลกับพื้นอยู่หลายตลบ หงลิ่วซึ่งยังคงเกาะอยู่บนใบหน้าเจ้าตัวก็ยังกระเด็นหายเข้าไปในพุ่มไม้ที่มมืดมิด

          “ไป๋เซ่อ” รัชทายาทหนุ่มใจหายวูบ สบโอกาสให้ตวนผิงซางอ๋องวาดฝ่ามือกระแทกเข้าที่หน้าอก ทันใดนั้นความแสบร้อนก็โลดแล่นจากอกไปถึงลำคอ ให้ต้องซวนเซถอยหลังไปราวสามก้าว 

          “คุณชายหมิง” ถึงเพลานี้เย่วเซียงจึงร้องลั่น วิ่งเข้าไปประคองชายหนุ่มที่บาดเจ็บเอาไว้ แต่ฝ่ามือนี้นับว่าสร้างความสาหัสให้แก่ร่างสูงเพรียว ถึงขนาดต้องทรุดนั่งลงกระอักเลือดคั่งออกมาคำใหญ่

          “คุณชายหมิงพอเถิด อย่าสู้อีกเลย ตราบใดที่ท่านถูกกำไลวิเศษพันธนาการไว้ จะอย่างไรก็มิอาจเอาชนะเขาได้” เย่วเซียงได้แต่กล่าววิงวอน หยาดน้ำรื้นในดวงตาสุกใส อานุภาพของวิเศษชิ้นนี้ นางรู้ดีกว่าใคร จึงมิอาจทนเห็นเขาถูกทำร้ายไปมากกว่านี้อีก

          คิ้วย่นลงด้วยความเจ็บปวด เห็นทีว่าซี่โครงหักราวสองถึงสามซี่ มาตรแม้นเป็นเช่นนั้นก็มิอาจถอดใจ หากยอมรับชะตากรรมแล้วไซร้ ไป๋เซ่อเล่า...จะมีทางรอดได้เช่นไร ดังนั้นได้แต่ฝืนหยัดยืน แต่แล้วดวงตาสีดำก็ต้องเบิกกว้าง

          บัดนี้ลำคอระหงถูกมือใหญ่กำรอบ ใบหน้าเย้ายวนบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ปลายเท้าเหยียดตรงสัมผัสพื้นเพียงผิวเผิน ดวงตาสีฟ้าอมเขียวหรี่มอง หายใจเข้าออกอย่างยากลำบาก

          ขอเพียงออกแรงอีกนิด คอเล็กๆนี้ก็จะหักได้ในพริบตา ทว่าทำเช่นนั้นยังไม่ดีพอ ตวนผิงซางอ๋องจึงยิ้ม “เอาล่ะ ถึงเวลาท่านปลิดชีวิตอันน่าสมเพชของเขาแล้ว”

          “ท่านทำเช่นนี้แล้วได้กระไรขึ้นมา” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวเสียงพร่า ในที่สุดสถานการณ์เลวร้ายที่ไม่อยากให้เกิด ก็บังเกิดขึ้นแล้ว

          “อย่างน้อยพวกเจ้าตระกูลซวนหยวนจะได้รู้จักรสชาติคนตายที่ยังมีลมหายใจ”

          บทสนทนาจบลง มือที่กำไว้อาวุธอันแหลมคมก็ต้องสั่นสะท้าน ซวนหยวนหมิงไท่ย่างก้าวไปเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกที่ยากจะพรรณนา หัวใจบีบคั้นเสมือนถูกทุบครั้งแล้วครั้งเล่าแทบไม่เหลือชิ้นดี จวบจนสองขาหยุดลง เขาก็เงยหน้ามองไป๋เซ่อด้วยสายตาที่เจ็บปวด

          แต่แล้วไป๋เซ่อกลับยิ้ม เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มผู้มักเก็บอารมณ์ความรู้สึกไว้ในส่วนลึกแสดงสีหน้าซับซ้อนออกมาเช่นนี้ “เฮอะ เอาเถอะเห็นแก่สีหน้านี้ของเจ้า ข้าจะยอมรับสักดาบ คงจะไม่เจ็บเท่าไหร่กระมัง” เขาสบถกล่าว แต่ท้ายประโยคยังคงลังเลอยู่บ้าง

          ไม่ ให้ข้าฆ่าเจ้า ไม่ ไม่มีทาง

          ในอกพลันตะโกนอย่างรวดร้าว แม้จะฝืนตัวเองอย่างไร ร่างกายกลับสวนทางมิฟังคำสั่ง กระบี่ในมือเงื้อขึ้นสูงเรื่อยๆ เขาหลับตาลงอีกครั้ง

          หากต้องเสียไป๋เซ่อไป แขนข้างนี้เขาก็ไม่ต้องการมันอีก

          คิดได้เช่นนั้นดวงตาก็สว่างวาบ คล้ายบรรลุข้อเท็จจริงบางประการ เขาชำเลืองมองมือข้างที่ถือกระบี่ มันเกร็งข้อเขียวจนเส้นเลือดปูดโปน ทันใดนั้นก็ฝืนยกมืออีกข้างขึ้นเล็งจุดๆหนึ่งจนท่อนแขนสั่นระริก

          ต่อให้ต้องพิการ ร่างกายพังพินาศ...เขาก็มิสน

          “เฮ้ๆ อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะตัดแขนตัวเอง” เห็นสายตาดื้อรั้นที่เด็ดเดี่ยวผิดปกติคู่นั้น ไป๋เซ่อก็หรี่ตามองก็ต้องร่ำร้องออกมา

          “ก็ข้ามันรัชทายาทงี่เง่านี่นา” ซวนหยวนหมิงไท่กลั้วหัวเราะ เหงื่อหลั่งไหลแนบข้างแก้ม เพลานี้ไม่ว่าใครก็มิอาจห้ามจิตใจอันแน่วแน่นี้ได้ ทว่าเย่วเซียงกลับรับฟังจนตะลึงลาน

          “ไม่” นางถลันเข้ารั้งแขนเขาไว้ ช้อนดวงตาสุกใสซึ่งคลอหน่วงด้วยหยาดน้ำขึ้นจ้องดวงหน้าสง่างาม เอ่ยถามเสียงแผ่ว “คุณชายหมิง ท่านทำเช่นนี้มันคุ้มค่าแล้วหรือ”

          “คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

          ซวนหยวนหมิงไท่สวนตอบแทบมิต้องคิด น้ำหนักเสียงทำให้เย่วเซียงต้องผงะถอยหลัง สองมือบอบบางตกลงจากแขนแกร่งอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ใจเยียบเย็นราวกับแช่แข็งในพริบตา

          เช่นเดียวกับไป๋เซ่อที่ฟังแล้วก็ต้องสะท้านใจ เขาเอ่ยเสียงอู้อี้ “โฮ ซวนหยวนหมิงไท่ หากจบเรื่องนี้ ข้าจะไปขอรากบัวจากตาแก่อาวุโสเทพหวางจื้อมาต่อแขนเจ้า รับรองมันต้องยอดเยี่ยมกว่าของเก่าเป็นแน่”

          ฟังแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็เลิกคิ้วหัวเราะ “ขออย่าได้พิสดารมากนักเป็นพอ”

          “องค์รัชทายาท ท่านมันโง่งม กำไลวิเศษอาบเลือดข้าถึงสี่สิบเก้าวัน ท่านมิอาจหลุดพ้นจากมนตร์ควบคุมนี้ไปได้” ตวนผิงซางอ๋องกล่าวด้วยความมั่นใจ แต่แล้วกลับมีแว่วเสียงประชดดังออกมาจากทางด้านหนึ่ง

          “แค่มนตร์กระจอกๆ หาใช่ของวิเศษแต่อย่างใด”

          สิ้นเสียงก็บังเกิดเป็นลำแสงสว่างจ้าพุ่งวาบ ตรงเข้าทำลายกำไลเงินจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยวิถีพลังสะท้อนร่างรัชทายาทหนุ่มให้เสียหลักหงายหลังล้มลง กระบี่ในมือกระเด็นออกไปทิศทางใดก็ไม่ทราบได้

          “เป็นท่าน?” เย่วเซียงหลุดน้ำเสียงแปลกใจ

          ด้านซวนหยวนหมิงไท่มิได้หันกลับไปมองผู้มาใหม่ แม้มิค่อยชอบหน้าคนผู้นี้สักเท่าใด แต่ในเพลานี้มีแต่ต้องยอมรับนับถือ เพียงบุรุษผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น สถานการณ์ที่กำลังเลวร้ายพลันคลายลงอย่างน่าประหลาด


 

****************************************************

 

          “พวกเจ้าเป็นใคร?”

          อ๋องผู้ปกครองดินแดนเหลียวตงกล่าวถาม ทว่าบุรุษสูงใหญ่ในชุดสีม่วงอมดำมิคิดตอบคำ กลับเป็นเด็กชายที่มีเค้าใบหน้าน่ารัก ผมรวบเป็นหางม้า อ้าปากพูดจาฉะฉานขึ้นแทน

          “พี่ใหญ่ ขุนนางผู้นี้นับว่าโฉดชั่วโดยแท้ เขาฆ่าผู้บริสุทธิ์ เป็นตัวการช่วงชิงจิตวิญญาณผู้อื่น ควบคุมร่างของแม่นางน้อยกับพี่ชายหมิง ที่สำคัญเขาทำร้ายข้ากับพี่ชายไป๋ด้วย ถ้าข้ากัดเขา จะถือว่าผิดกฎตระกูลหรือไม่” ได้ทีหงลิ่วก็ฟ้องใหญ่ ทั้งยังไม่ลืมถามเพื่อให้มั่นใจ

          เดิมทีตระกูลหงตรากฎมิให้ทำร้ายฆ่าฟันมนุษย์ เว้นเพียงบุคคลชั่วช้ามิต่างกับเดรัจฉาน

          ทันใดนั้นดวงตาสีม่วงอมดำก็ทอประกายวาบ ทอดมองคนที่กำรอบคอเล็กอย่างกินเลือดกินเนื้อ หงเว่ยกดเสียงต่ำ “แค่แตะต้องไป่ไป๋ก็สมควรมิได้ผุดได้เกิดแล้ว”

          รังสีสังหารแผ่ขยาย กลิ่นอายความตายปกคลุมไปทั่วบริเวณ ตวนผิงซางอ๋องขมวดคิ้วมุ่น ลงความเห็นว่าบุรุษผู้นี้หาใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างที่ตาเห็น ดังนั้นจึงลองหยั่งเชิง “ดูจากที่เจ้าปรากฏตัว เห็นทีวั่นอู่หงจะมิได้เรื่องจริงๆ” 

          “แค่ปีศาจชั้นปลายแถว มิคู่ควรเป็นคู่มือข้า” เขาพูดพลางเล่นปลายนิ้วของตนเองอย่างไม่ยี่หระ

          มิต่างไปจากที่คิด ปีศาจนกยูงช่างเป็นหมากที่ไร้ประโยชน์ ตวนอ๋องขบกรามกรอดๆ เรื่องราวดำเนินถึงขั้นนี้ เขามิยอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ฉะนั้นมิสู้ลงมือเสียก่อน “ข้ามิเชื่อว่าจะสู้ปีศาจอย่างเจ้ามิได้”

          มือปละปล่อยจากลำคอระหง สะกิดเท้าพุ่งปราดทะยานตัวไปข้างหน้า เขากราดฝ่ามือซึ่งแฝงพลังแยบคายเข้าใส่ผู้มาใหม่ ด้านหงเว่ยยังคงยืนอยู่กับที่ มีเพียงเหยียดแขนออกไปแลกฝ่ามือโดยตรง

          รอจนสองมือประกบ ขุมพลังทั้งสองก็ต่างผลักดันซึ่งกันและกัน ทว่าไม่ช้าไม่นานผู้เป็นอ๋องก็ต้องผละตัวออก เนื่องเพราะกระแสพลังร้อนแผดเผาที่หลั่งไหลเข้าสู่กาย กดดันให้เขาต้องซวนเซถอยหลังไปราวสามก้าว ครั้นก้มลงมองก็พบรอยไหม้บนฝ่ามือ
         
          “ถึงทีข้าบ้าง” เมื่อสบโอกาสเด็กน้อยข้างกายหงเว่ยก็กระโจนออกไป หงลิ่วค่อยๆเปลี่ยนรูปเป็นอสรพิษตัวสีดำเงา ดีดตัวเข้าพัวพันบุรุษชุดแดงด้วยท่วงท่ารวดเร็ว

          ฝ่ายตวนผิงซางอ๋อง เขาสูญสิ้นพลังไปกว่าครึ่งจากการแลกฝ่ามือเมื่อครู่ ยามเหตุการณ์แปรเปลี่ยนฉุกละหุก จึงมิอาจปัดป้องอสรพิษที่ตรงดิ่งเข้ามาได้ทันการณ์ เพียงได้ยินเสียงขู่ฟ่ออย่างดุร้ายคราหนึ่ง ก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่บริเวณต้นคอ

          หลังจมรอยเขี้ยวอันแหลมคมไว้ได้สำเร็จ หงลิ่วก็ดีดพุ่งตัวออกไป คืนรูปลักษณ์เป็นเด็กชายวิ่งกลับไปยืนอยู่ข้างกายหงเว่ยตามเดิม

          เพลานี้สีหน้าของตวนผิงซางอ๋องเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ สองนิ้วรีบสกัดจุดเบื้องต้นบนกาย กระนั้นพิษส่วนหนึ่งกลับแล่นเข้าสู่หัวใจ ทำให้ดวงตาเขาเริ่มพร่ามัว ภาพเบื้องหน้าไหววูบราวกับพสุธากำลังสั่นคลอน เหงื่อกาฬหลั่งชโลมใบหน้า อาการแข็งทื่อด้านชาลามเลียไปทั่วร่างกาย

          พริบตาเดียวบุรุษองอาจกล้าหาญกอปรไปด้วยสติปัญญา กระทั่งอริราชศัตรูยังต้องเบือนหน้าหนี ก็มิหลงเหลือความสง่างามที่เคยมีอีก ผมเผ้ากลับกลายเป็นขาวโพลน เส้นเลือดสีดำกระจายไปทั่วใบหน้าขาวซีด ดวงตาโหลลึกไร้ประกาย ปลายเล็บเป็นสีม่วงคล้ำ ไม่นานนักโลหิตดำคล้ำก็เริ่มไหลออกจากทางทวารทั้งเจ็ด

          “ข้าขอสาปแช่งพวกเจ้า ตระกูลซวนหยวน”

          ฉับพลันนั้นตวนผิงซางอ๋องก็ส่งเสียงด่าทอซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด ดวงตาเบิกกว้างอย่างน่ากลัว สะกดให้ทุกคนต่างนิ่งเงียบไปพักใหญ่

          “พิษของพวกเจ้าร้ายกาจยิ่ง”

          กระทั่งไป๋เซ่อซึ่งได้รับการพยุงตัวจากซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยขึ้น คนตรงหน้าก็เริ่มเห็นภาพหลอน

          “ไป๋จวิ้น เจ้ายังไม่ตาย ข้าจะฆ่าเจ้า” กล่าวไปก็เที่ยวออกกระบวนท่าไล่ฟาดฟันอากาศไปมาอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นไป๋จวิ้นในสภาพเลือดท่วมตัว ใช้สายตามองมาอย่างเหยียดหยาม

          จวบจนคนเสียสติโงนเงนสะดุดล้มลง สองมือก็เอื้อมสัมผัสโดนปลายเท้าของคนผู้หนึ่ง “ซวนหยวนหมิงจง เป็นเจ้าผิดคำสัญญา ข้า...ขอพยาบาทเจ้า”

          ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอ่ยกล่าวอย่างหนักใจ “ท่านอ๋อง ท่านไม่เคยคิดจริงๆหรือ คดีของไป๋จวิ้นอุจฉกรรจ์ถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงปิดลงง่ายๆ ทั้งไม่มีผู้ใดกล่าวถึงอีก”

          ตวนผิงซางอ๋องฟังแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเงยหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นมองผู้กล่าวที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายสหายสนิท

          “นี่เป็นเพราะเสด็จพ่อรู้...รู้ว่าเป็นฝีมือท่าน แต่เพราะท่านเป็นสหายของพระองค์ เสด็จพ่อจึงเลือกที่จะปกปิดมันไว้ มิให้ผู้ใดรื้อฟื้นมันอีก” ข้อเท็จจริงเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาคาดเดาไว้ คงจะมีแต่พระบิดาเท่านั้นที่ให้คำตอบได้

          “หมิงจง” ฟังแล้วสีหน้าของตวนผิงซางอ๋องก็คล้ายซีดขาวลงกว่าเดิม เขาพยายามหยัดยืนด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย ก่อนเอ่ยถึงนามของคนอีกผู้หนึ่งด้วยความคะนึงถึง “จิ่นหลง”

          สองเท้าลากเข้าไปหาสตรีที่มีดวงหน้าหวาน เย่วเซียงเห็นดังนั้นก็ผงะถอยออกไปก้าวหนึ่ง แต่มาตรว่าท่านอ๋องมาถึงตัว เขากลับเดินผ่านเลยไปคล้ายมองไม่เห็นตัวนาง

          คนทั้งหมดจึงได้แต่มองส่งวาระสุดท้ายของบุรุษที่เป็นที่กล่าวขาน ซึ่งมุ่งหน้าไปทางเรือนอักษรด้วยแผ่นหลังที่แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า ดูโดดเดี่ยวอ้างว้าง โดยไม่มีใครคิดขัดขวางคนผู้นี้อีก


 

*********************************************************

 

          เรือนร่างบุรุษชุดแดงลับไป ฟากฟ้ากระจ่างตาขับไล่ความมืดมัวออกไปบางส่วน ดูว่าอีกไม่กี่ชั่วยามตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้า ส่องแสงนำทางให้ผู้คนเริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง

          หงลิ่ววิ่งเข้าไปกอดไป๋เซ่อยกใหญ่ เด็กน้อยกล่าวน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว“พี่ชายไป๋ เห็นข้าผดุงความยุติธรรมแล้วรึไม่ ดูเป็นเช่นไรบ้าง”

          “ดีมาก หงลิ่ว เจ้าเดินตามรอยเท้าข้าได้ดียิ่ง” ไป๋เซ่อพูดจบก็ยืดอก ยังผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องกลอกตาไปมารอบหนึ่ง หงเว่ยผุดรอยยิ้มที่เสมือนมิมีออกมา

          ทว่าในจังหวะที่ทุกคนคลายใจ เคราะห์กรรมอีกระลอกกลับคืบคลานมาเยือนพวกเขา ท้องฟ้าด้านหนึ่งเริ่มประกายเรืองรองเป็นสีอำพัน ทว่าอีกฟากฝั่งกลับทะมึนมัว แสงอสนีบาตวูบวาบเป็นระยะๆ ไม่นานนักเสียงสะเทือนเลือนลั่นราวปฐพีแยกก็บังเกิดขึ้น

          “เสียงคลื่นน้ำ?” เย่วเซียงที่อยู่ใกล้สุดพลันเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ

          หงเว่ยได้ยินดังนั้นดวงตาที่ม่วงอมดำก็เลิกกว้าง ตะโกนออกมาพร้อมเหินทะยานตัวเหนือลม “ออกห่างจากที่นี่เร็ว หงลิ่ว ไป่ไป๋”

          เจ้าของนามทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็งงงัน ไม่เว้นแม้แต่รัชทายาทและเย่วเซียงที่จับจ้องหงเว่ยที่ลอยตัว สองมือรวบรวมขุมพลังขนานใหญ่

          อันเป็นเวลาเดียวกันกับที่ปรากฏคลื่นน้ำที่ก่อตัวสูง มันตรงเข้าถาโถมทุกสิ่งทุกอย่างโดยที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้า

          ทว่าก่อนบังเกิดการปะทะ คลื่นมหาศาลกลับถูกสกัดกั้นด้วยกำแพงใสสีม่วงที่จับตัวเป็นชั้นหนา หงเว่ยปลดปล่อยพลังต้านรับคลื่นอาคมเต็มที่ สมาธิทั้งหมดถูกใช้ออกด้วยการนี้

          หากแต่ไม่นานกำแพงดังกล่าวกลับบางลงอย่างเห็นได้ชัด ด้วยมิอาจทนทานต่อมวลคลื่นที่กระแทกมาไม่มีหยุดยั้ง ท้ายที่สุดมันก็แตกร้าว กลืนกินของร่างหงเว่ยเข้าไปอย่างรวดเร็ว

          เหตุการณ์ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นฉับไว ต่อจากนั้นคลื่นยักษ์ตรงหน้าก็เตรียมกระหน่ำใส่คนที่เหลือต่อ ซวนหยวนหมิงไท่รีบร้องบอกให้เย่วเซียงหาที่กำบังไว้ ส่วนตนเอื้อมไปคว้าจับมือที่เย็นเฉียบของไป๋เซ่อไว้ให้มั่น

          แลไม่นานมวลน้ำโครมใหญ่ก็ปะทะถึงตัว สองมือที่จับกันไว้อย่างแน่นเหนียวพลันถูกคลื่นอันรุนแรงบีบบังคับให้เลื่อนหลุดออกจากกัน ไป๋เซ่อกับหงลิ่วพลอยม้วนตัวเข้าสู่กระแสน้ำไปต่อหน้าต่อตา

          “ไป๋เซ่อ หงลิ่ว” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องเรียกคราหนึ่งก็ตระหนักได้ถึงความผิดแผก

          มาตรว่าคลื่นยักษ์ถาโถม หากแต่ตัวเขากลับยืนอยู่ที่เดิม มิได้รับผลกระทบใดๆจากคลื่นน้ำทั้งสิ้น ราวกับสิ่งที่เคลื่อนที่ผ่านเขาไปเป็นเพียงกระแสลมแรง กระทั่งเย่วเซียงที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็ต้องเงยหน้ามองคลื่นผิดปกติที่รวมกันเป็นก้อนกลมอย่างไม่เข้าใจ

          “นี่มันอะไรกัน”

          ทันที่เย่วเซียงเอ่ยขึ้น นักพรตราวสี่คนก็ปรากฏตัวขึ้นในสภาพมอมแมม ตามร่างกายมีบาดแผลอยู่เล็กน้อย หนึ่งในนั้น ผู้มีเส้นผมสีขาว ดูมีอายุมากที่สุดก็เป็นฝ่ายตอบคำ

          “พวกท่านปลอดภัยแล้ว มีคลื่นอาคมนี้อยู่ จ้าวอสรพิษเกร็ดดำมิอาจสร้างเภทภัยให้แก่มนุษย์ได้อีก”

          “เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ได้ยินวาจาเช่นนั้น ซวนหยวนหมิงไท่ก็รุดตัวเข้าไปเค้นถาม มือกระชากคอเสื้อนักพรตเฒ่า

          “นี่เจ้า” นักพรตเต้าเหยียนชี้หน้าอุทาน บุรุษผู้นี้เป็นคนเดียวกับที่ทำร้ายเขาเมื่อครั้งจับปีศาจในเมืองตงหัวมิใช่หรือ

          “ข้าถามว่าพวกเจ้าทำกระไรลงไป” เขายังคงไม่สนใจ หันไปถลึงตาใส่นักพรตหนวดเคราสีขาวอย่างกดดัน

          นักพรตคนดังกล่าวสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารก็ต้องรีบอธิบายต่อ “คุณชาย ท่านอาจจะไม่รู้ เมืองเหลียวตงแห่งนี้ถูกครอบงำด้วยปีศาจชั่วร้าย ยังมีชายหนุ่มหลายรายหายตัวไปอย่างลึกลับ ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของจ้าวอสรพิษเกร็ดดำ ถึงแม้พวกเราทั้งสี่มิอาจต่อกรมารร้าย หากแต่บรรพชนรุ่นก่อนของสำนักเราได้ทิ้งอาคมเก่าแก่ชนิดหนึ่ง ดั่งที่ท่านเห็นอยู่ในขณะนี้ นี้เป็นคลื่นอาคมที่ใช้สำหรับขจัดอสรพิษเช่นพวกมันโดยเฉพาะ”

          ขจัดอสรพิษเช่นพวกมันโดยเฉพาะงั้นหรือ...

          ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังจนตัวสั่นเทิ้ม สองมือคลายออกจากเสื้อนักพรตเฒ่า สายตาเบิกค้างหันไปจ้องมองคลื่นน้ำที่รวมตัวเป็นหยดน้ำขนาดใหญ่ แม้ภายนอกดูใส หากแต่มิอาจเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้ เสมือนทุกชีวิตได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว

          ฉับพลันนั้นภาพของร่างน้อยที่ชอบฉีกยิ้มแฉ่งก็วนเวียนอยู่ตรงหน้า คำพูดที่ชอบประชดประชันก็ลอยเข้าสู่โสตประสาท ความเจ็บปวดร้าวเจียนแตกสลายกอบกุมให้จิตใจเขาคล้ายพังทลาย หยาดน้ำตาสายหนึ่งร่วงหล่นจากนัยน์ตา ริมฝีปากพึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัว

          “ไป๋เซ่อ เจ้าอยู่ไหน”

          เห็นชายหนุ่มก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย เย่วเซียงก็รู้สึกปวดใจไม่ต่างกัน “คุณชายหมิง” นางเอ่ยเสียงเบา ยื่นมือออกไปด้วยต้องการปลอบโยน ทว่ายังมิทันสัมผัสถึงไหล่ตรงหน้า ชายหนุ่มก็กู่ร้องไปทั่วบริเวณแล้ว

          “ไป๋เซ่อ”


 

**********************************************************



          ในที่สุดก็มาถึงบทสรุปของตวนผิงซางอ๋อง รู้สึกวนเวียนกับเฮียมาหลายบท เอาเป็นว่าเฮียเเกก็มีมุมน่าสงสาร ถูกกาลเวลาช่วงชิงสตรีที่รักไปแบบงงๆในขณะที่ทุ่มเทให้กับชาติบ้านเมือง คือเฮียเเกผิดหวังเเละเเบบไม่รู้จะโทษใคร เลยพาลใส่คนที่เกี่ยวข้องในเวลานั้น

          บทนี้ใครรอความมุ้งมิ้ง ไรท์คงโดนตบ ก็สถานการณ์มันน่าสิ่วน่าขวาน ฟรุ้งฟริ้งมากไม่ได้ ขออภัยด้วยจ้า

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
จริงค่ะ สงสารท่านอ๋องด้วยค่ะ ความจริงแล้ว เกลียดและกลัวงอสระอูมาก แต่ฝืนอ่านเพราะเรื่องนี้ พวกนางนั้ลลัค

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
เสียใจแทนท่านอ๋อง แต่สิ่งที่ท่านอ๋องทำก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
ส่วนหมิงไท่ ในที่สุดก็ชัดเจนเสียที อ่านแล้วแทบกรี๊ดแน่ะ 5555  :impress2:
จัดการปัญหาไปเรื่องนึง เรื่องใหม่มาอีกล้า กว่าจะได้ครองคู่กัน คงต้องฟันฝ่าหลายตลบ

 :กอด1: :pig4:

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 18.1 แยกจาก


          เสียงกู่ก้องคำรามจบไปหนึ่งคำรบ ซวนหยวนหมิงไท่ก็โจนตัวเข้าไปในคลื่นอาคมซึ่งมีรูปร่างเสมือนหยดน้ำขนาดใหญ่ แต่กระนั้นตัวเขากลับทะลุผ่านเลยไป ราวกับว่าสิ่งที่เห็นอยู่นี้เป็นเพียงอากาศธาตุ ทั้งยิ่งมิสามารถจับต้องได้

          ดังนั้นชายหนุ่มทำได้เพียงพร่ำตะโกนหาร่างเล็ก เฉกเช่นเดียวกับเด็กที่กำลังหลงทาง มิอาจเห็นเส้นทางส่องสว่างยังเบื้องหน้า ได้แต่เฝ้ารอน้ำเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกตน จากนั้นพากันจับมือแนบแน่น เคียงคู่กันไปสู่ทางออกด้วยกัน

          ...แค่อีกสักครั้ง อีกสักครั้งเดียว ขอให้ข้าได้ยินเสียงเจ้า แล้วชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ต้องการอะไรอีก

          “ไป๋เซ่อ เจ้าอย่าแกล้งข้าแบบนี้สิ”

          น้ำเสียงที่แปร่งปร่า บันดาลให้จิตใจของผู้คนโดยรอบต้องสั่นไหว ความโศกเศร้าแผ่กำจายไปถึงขั้วกระดูก

          ยามนี้เย่วเซียง นางคล้ายไร้ตัวตนโดยสิ้นเชิง แม้แต่ความสามารถจะเอ่ยปลอบก็ไม่มี ได้แต่ทนมองคนที่รักใจสลายเพราะผู้อื่น จึงเป็นนักพรตผู้มีเส้นดอกเลาที่ชมดูอยู่นานเอ่ยขึ้นแทน

          “เฮ้อ คุณชายท่านนี้ ทางที่ดีท่านตัดใจเสียเถอะ ถึงอย่างไรมนุษย์กับปีศาจก็มิอาจอยู่ร่วมภพร่วมชาติกันได้”

          ทว่าด้วยคำปลอบนั้นกลับทำให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องชะงักกึก เขาเสมองผู้กล่าวอย่างแช่มช้า เผยดวงตาที่เป็นประกายกร้าว “กล่าววาจาเลื่อนเปื้อนอันใด สมควรตายยิ่งนัก”

          ด้วยอำนาจบารมีของลูกหลานโอรสสวรรค์ข่มขวัญให้นักพรตเจ้าของคำกล่าวต้องหน้าซีดเผือด จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าเป็นดำเป็นแดงสลับไปมาไม่หยุด

          นักพรตเต้าเหยียนได้ยินวาจาสบประมาทก็บรรลุถึงโทสะ ก้าวเข้าไปโพล่งด่าบุรุษตรงหน้า “เจ้ามันช่างหน้ามืดตาบอดโดยแท้ พวกเราช่วยกำจัดเภทภัยให้เจ้า แต่เจ้ากลับมิสำนึกบุญคุณแม้แต่น้อย”

          “เฮอะ ข้าน่ะรึ ตาบอด...” ซวนหยวนหมิงไท่ถลึงตาแค่นเสียงในลำคอสวนกลับทันควัน อีกทั้งหยุดเสียงไปเล็กน้อยก่อนใช้น้ำเสียงกึกก้อง “เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ไร้สามารถ กระทั่งปีศาจกับเทพเซียนยังแยกแยะไม่ออก ยังจะกล้าอวดอ้างเป็นนักพรตขจัดมารอันใด หลอกลวงผู้คนทั่วหล้าทั้งเพ” ไป๋เซ่อเป็นใคร สูงส่งเพียงไหน มีหรือเขาจะไม่รู้

          วาจาเผ็ดร้อนทำเอาโทสะของนักพรตเต้าเหยียนพลุ่งพล่านในอก จนวาจาโต้เถียงไปชั่วขณะ ได้แต่ส่งเสียง “เจ้า! เจ้า! เจ้า!” เพียงแค่นี้

          “คุณชาย ท่านกล่าวเช่นนี้ข้าเห็นไม่ถูกต้องนัก หากพวกเราแยกแยะไม่ออกจริง เหตุไฉนคนของท่านจึงถูกกลืนเข้าไปในคลื่นอาคม นี่มิใช่เป็นสิ่งยืนยันหรอกหรือว่าเขาเป็นปีศาจชั่วช้าจริงๆ” นักพรตเฒ่าหนวดขาว ผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มโต้แย้งอย่างสุขุม

          ซึ่งคำพูดดังกล่าวทำให้เขาได้คิด ทั้งมีสติยิ่งขึ้น ซวนหยวนหมิงไท่เชิดหน้าเอ่ยเสียงสูง “เช่นนั้นหากเป็นท่านดูผิดไป? หากพวกเขากลับออกมาจากคลื่นนั้นได้?”

          “พวกเราทั้งสี่จะขอสึกจากการเป็นนักพรต ต่างคนต่างอยู่ มิยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์และปีศาจอีก” นักพรตเต้าเหยียนลั่นวาจาไม่คิดหน้าคิดหลัง ด้วยมั่นใจในสายตาของตน ไหนยังจะมีอาจารย์ปู่ อาจารย์ลุง อาจารย์อาช่วยยืนยันอีก

          ได้ยินเช่นนั้นรัชทายาทหนุ่มก็หยักยิ้มเล็กน้อย ดวงตาสีดำปรากฏแววมุทะลุ ต่อให้วันนี้ต้องตายเขาก็จะนำตัวไป๋เซ่อออกมาให้ดูเป็นขวัญตา ว่าแล้วก็รวบรวมพลังที่มีทั้งหมดเตรียมเข้ากระหน่ำใส่ ขอเพียงทำลายมันลงได้ ไป๋เซ่อที่อยู่ด้านในย่อมต้องปรากฏแก่สายตาอย่างแน่นอน

          “ดี นักพรตชั่วช้าจงเบิกตาอันต่ำเตี้ยของพวกเจ้าดูไว้ให้ดี”

          ร่างสูงเพรียวยังมิทันใช้ออกถึงพลัง จู่ๆสุ้มเสียงตวาดก็ดังก้องออกมาจากคลื่นอาคม เหล่านักพรตรับฟังแล้วก็สะอึกกันถ้วนหน้า มีเพียงซวนหยวนหมิงไท่ที่มีสีหน้าดีขึ้น หากเขาฟังมิผิด นี่ย่อมเป็นเสียงของ...

          หงเว่ย

          ฉับพลันนั้นหยดน้ำขนาดใหญ่ ณ เบื้องบนก็เริ่มบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทั้งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายในพยายามดิ้นรนแทรกตัวออกมา ทำเอาคนชมดูต่างใจเต้นระทึก หากแต่ทว่าเมื่อผ่านไปสักพักมันก็ค่อยๆอ่อนกำลังลง จนกระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง

          ดูว่ามันสิ้นท่าแล้ว ผู้บำเพ็ญพรตได้โอกาสถอนหายใจ มีเพียงแวบหนึ่งที่ต่างคิดไปว่าคลื่นอาคมมิอาจทานทนปีศาจร้าย ครั้นสำรวจมองผนังอาคมหรือปราการด่านสุดท้ายก็พลันพบว่ามันเบาบางลงไปหลายส่วน ดังนั้นยามนี้พวกเขาได้แต่ภาวนา ขอเพียงมิมีสิ่งใดมากระตุ้น อาคมเก่าแก่ก็จะมิมีทางพังทลายลง

          แต่ดูว่าวันนี้สวรรค์กลับไม่เข้าข้างพวกเขาเหล่านักพรต เมื่อซวนหยวนหมิงไท่ซัดฝ่ามือออกไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย คนยังมิทันจะอ้าปากร้องห้าม พลังปราณก็พุ่งวาบไปที่หยดน้ำที่นิ่งสงบเป็นที่เรียบร้อย แลประจวบเหมาะกับที่พลังสีม่วงปะทุขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งการประสานพลังทั้งนอกทั้งในเช่นนี้ ต่างส่งเสริมเพิ่มพูนพลานุภาพอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง

          บังเกิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้า ผู้คนต่างตาพร่าจำต้องเบนหน้าหนี จวบจนแสงดังกล่าวหมดไป เบื้องหน้าก็ปรากฏหมอกควันประหนึ่งเมฆหมอกเข้าบดบังทัศนียภาพ ที่ด้านหลังปรากฏบางสิ่งที่มีขนาดมหึมากำลังเคลื่อนตัวอย่างแช่มช้า ก่อให้เกิดบรรยากาศเย็นเยียบพวยพุ่งประการหนึ่ง

          ห้วงลมหายใจของเหล่านักพรตพลันชะงักติดขัด รังสีสังหารแผ่ขจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ดวงตาสีม่วงอมดำขนาดใหญ่และอีกหนึ่งนัยน์ตาสีแดงก่ำที่เปล่งประกายวาบ กำลังจ้องมองพวกเขาอย่างกินเลือดกินเนื้อ


 

*********************************************************

 

          “หลบเร็ว” ในที่สุดนักพรตผู้อาวุโสผู้นำกลุ่มก็ร้องออกมา

          ทว่ามิทันขาดคำ อสรพิษเกร็ดดำซึ่งขดลำตัวยาวกลางอากาศก็ขยับตัวแล่นวูบ ปลายหางกวาดเอาคนที่สวมชุดบำเพ็ญเพียรทั้งหมดให้ตัวลอยละลิ่วราวกับว่าวที่สายป่านขาดกะทันหัน ไม่ช้าไม่นานร่างทั้งสี่ก็ตกลงกระแทกพื้นจนต้องร้องโอดโอย

          จ้าวอสรพิษหมายเข้าไปขย้ำซ้ำอีกครั้ง กระนั้นน้ำเสียงหนึ่งพลันขัดจังหวะให้ต้องหยุดชะงักลง

          “หงเว่ย พวกเขาเป็นอะไร”

          เป็นซวนหยวนหมิงไท่ที่ร้องลั่น ทั้งนี้มิได้แปลกใจหรือแม้แต่แสดงสีหน้าหวาดกลัวเมื่อเห็นอสรพิษขนาดยักษ์ เพียงแต่สนใจรับร่างไร้สติทั้งสองที่ค่อยๆลอยลงมาจากอ้อมกอดของงูยักษ์ในขณะที่โจมตีเหล่านักพรต

          บัดนี้ไป๋เซ่อข่มหลับตา คล้ายได้รับการเคี่ยวกรำสาหัส สีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด สองมือเล็กยังคงกอดหงลิ่วในรูปของงูตัวน้อยที่ดูย่ำแย่มิต่างกันเอาไว้แน่น เห็นแล้วเขาถึงกับใจหายวูบ

          ด้านเย่วเซียงกลับได้สติขึ้นมาก่อน นางปราดเข้าไปจับชีพจรของไป๋เซ่อและหงลิ่ว “คุณชายหมิงไม่ได้การแล้ว พวกเขาสูญเสียพลังไปมาก หากทิ้งไว้นานกว่านี้ แม้กระทั่งร่างก็มิอาจรักษา”

          นางพูดถึงตรงนี้ หงเว่ยที่เปลี่ยนกลับเป็นร่างมนุษย์ก็เคลื่อนตัวมาถึงพอดิบพอดี ใบหน้าที่มักสลักเสลาความเย็นชาเผยให้เห็นอารมณ์ความรู้สึกร้อนใจแล้ว

          ร่างแกร่งก้มตัวลงหยิบถุงผ้าสีเขียวเข้มในอกเสื้อ เทมันลงฝ่ามือ กลีบดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ก็ปรากฏแก่สายตา แต่แล้วดวงตาของหงเว่ยกลับเลิกกว้างตะลึงงันไปชั่วขณะ เนื่องเพราะกลีบดอกพราวแสงกลับมีอยู่หนึ่งเดียว

          ร้อยปีออกดอกเพียงครั้ง หากแม้นแบ่งกลีบออกครึ่งส่วน สมุนไพรวิเศษจะกลับกลายเป็นดอกไม้ทะเลธรรมดาๆในทันที

          มือที่เคยมั่นคงในเพลานี้กลับสั่นน้อย หงเว่ยเบือนหน้ามองไป๋เซ่อ ในใจอดนึกมิได้ว่าต้องพลัดพรากแยกจากกันอีกนานแค่ไหน กว่าจะได้มีวาสนาใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ตนก็ทนโดดเดี่ยวมานานถึงพันปี

          ครั้นหันเหไปมองอสรพิษน้อยที่นอนสิ้นสติใกล้หมดลมหายใจ หงลิ่วนับเป็นน้องเล็กที่สุด ทั้งไร้เดียงสา ซุกซน เป็นที่รักใคร่และน่าเป็นห่วงมากที่สุดในบรรดาพี่น้อง

         ดังนั้นหากให้เขาต้องเลือกช่วยชีวิตได้เพียงหนึ่ง เช่นนั้นเขาจะเลือกช่วยใคร?

          มองดูคนที่กลืนมิเข้าคายไม่ออก ซวนหยวนหมิงไท่ก็พอจะเข้าใจอีกฝ่าย การต้องเลือกเพียงหนึ่งเช่นนี้นับว่าสวรรค์โหดร้ายเกินไป แม้แต่เขาเองก็จนปัญญาจะเอื้อนเอ่ย ได้แต่กำชับมือที่เย็บเฉียบของร่างเล็กไว้แนบแน่น

          ต่อเมื่อรับรู้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปตามนิ้ว ไป๋เซ่อก็สะลึมสะลือหรี่ตาขึ้น เขานิ่งไปอยู่พักหนึ่ง คล้ายทบทวนเหตุการณ์ที่พึ่งประสบพบเจอ ครั้นเบนหน้าเห็นกลีบดอกพราวแสงในมือหงเว่ย ยังสีหน้าสับสนระคนเจ็บปวด ก็พลันเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าทันที

          “ช่วยหงลิ่ว” ไป๋เซ่อฝืนกล่าวน้ำเสียงแหบแห้ง

          “แต่เจ้าเอง...” กล่าวถึงตรงนี้ หงเว่ยก็ต้องเงียบงันไป สองมือกำหมัดแน่นราวกับคับแค้นในโชคชะตา

          “ข้ารู้ตัวเองดี สำหรับข้ายังพอมีเวลาอยู่บ้าง ผิดกับหงลิ่วที่ไม่อาจรอได้อีก” ไป๋เซ่อเอ่ยอ้อนวอนหงเว่ย เดิมทีตัวเขาก็มีพลังปราณของเทพเซียนอยู่ หากแต่ถูกสะกดไว้ ร่างที่ใช้ตอนนี้จึงเป็นเพียงกายหยาบธรรมดา มิอาจต้านทานอาคมร้ายแรงใดๆ โชคยังดีอยู่บ้างที่ก่อนหน้านี้ได้ฟื้นฟูแก่นพลังชีวิตด้วยดอกพราวแสง จึงพอให้ฝืนทนได้อยู่บ้าง

          ในเวลานี้เองจึงสัมผัสถึงมือที่สั่นไหว ไป๋เซ่อเงยหน้ามองบุรุษอีกผู้หนึ่งที่กุมมือข้างหนึ่งเขาไว้แน่น ดูว่าชายหนุ่มก็มีสีหน้ากระวนกระวายไม่แพ้กัน “พวกเจ้าต้องเชื่อใจข้า ฉะนั้นรีบช่วยหงลิ่ว เร็ว!”

          น้ำเสียงหนักแน่นดังพร้อมกับที่ร่างเล็กประคองงูตัวจ้อยยื่นส่ง หงเว่ยรับร่างน้องชายที่มักเจื้อยแจ้วไม่หยุด ก่อนจะสังเกตเห็นจี้หยกประจำตระกูลที่แตกเป็นเสี้ยวซึ่งเจ้าตัวขดตัวกอดไว้ไม่ปล่อย ยังดีที่สิ่งนี้มีพลังคุ้มครองกาย ทำให้หงลิ่วมิสูญสลายในทันทีที่ถูกม้วนเข้าสู่คลื่นอาคม

          ว่าแล้วมือก็รีบป้อนดอกพราวแสงกลีบสุดท้ายให้กับหงลิ่ว ไม่นานนักร่างอสรพิษสีดำก็กลับกลายเป็นร่างเด็กหนุ่มที่นอนสลบไสล หงเว่ยรีบพยุงตัวน้องชายให้นั่ง จากนั้นรวบรวมพลังบำเพ็ญเพียรแล้วส่งฝ่ามือทั้งสองเข้าที่กลางหลังอีกฝ่าย

          แต่แล้วดาบไม้ทั้งสี่เล่มซึ่งเปี่ยมด้วยพลังปราณกลับฉวยพุ่งตรงไปที่หลังของบุรุษชุดดำ ทว่าคมดาบยังมิทันสัมผัสถึง สตรีในชุดแดงก็คว้ากระบี่กระโจนเข้าไปฟาดฟันจนดาบไม้หักเป็นสองท่อน

          เย่วเซียงทันเห็นการกระทำอันต่ำช้าจึงเข้าขัดขวางไว้ นางใช้น้ำเสียงขุ่นเคืองกล่าว “ฉวยโอกาสเช่นนี้มิใช่วิสัยของผู้ละซึ่งทางโลก” จะอย่างไรหงเว่ยและหงลิ่วก็ถือเป็นผู้มีพระคุณของนาง จุงมิอาจทนเห็นเขาถูกลอบทำร้ายได้

          “พวกเราเหล่านักพรตมีหน้าที่ต้องขจัดเหล่ามารปีศาจร้าย นี่ถือเป็นคุณธรรม หาได้กระทำผิดแต่อย่างใด” หนึ่งในนักพรตเอ่ยตะโกนเถียงข้างๆคู

          “ช่างเป็นนักพรตที่ชั่วช้าสามานย์นัก” หงเว่ยที่กำลังใช้สมาธิถ่ายเทพลังให้กับหงลิ่วถึงกับตาเขียวปัด

          ยังผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องเอ่ยปราม “หงเว่ย เจ้าดูแลรักษาหงลิ่วไป เย่วเซียงเจ้าเองก็เช่นกัน ตรงนี้ปล่อยเป็นหน้าที่ข้า” กล่าวจบก็ผุดรอยยิ้มเหี้ยมที่เสมือนมิมีให้กับกลุ่มคนชุดขาวมอมแมมไม่น่าดู

          ทำเอานักพรตเต้าเหยียนสะดุ้งเฮือกคราหนึ่ง คล้ายรอยแผลที่เคยถูกชายหนุ่มผู้นี้โบยตีจนหายสนิทพลันเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

          ฝ่ายไป๋เซ่อได้ฟังน้ำเสียงของรัชทายาทหนุ่มก็พลันรับรู้ว่าด้านมืดของอีกฝ่ายกำลังจะเผยตัวในไม่ช้าแล้ว เขาฉีกยิ้มแฉ่งกล่าวเสริม “ดีๆ ตบปากเจ้าแก่ปากมากพวกนี้ให้ข้าด้วย”

          ครานี้ถึงทีรัชทายาทเช่นเขาวางอำนาจบาตรใหญ่แล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ประคองร่างไป๋เซ่อขึ้น จากนั้นหยัดยืนขึ้นเผชิญหน้ากับนักพรตทั้งสี่ แลไม่นานก็สังเกตเห็นบางสิ่งรอบๆด้าน

          “พวกเจ้าช่างมาได้จังหวะ ดี ดียิ่งนัก”

          บุรุษรูปงามซึ่งแผ่รังสีรอบกายไม่ธรรมดาแค่นเสียง พวกนักพรตต่างฟังแล้วก็ต้องงุนงงยกใหญ่ พริบตานั้นฝีเท้านับยี่สิบสามสิบคู่ก็ก้าวเข้ามาพร้อมคุกเข่า เอ่ยเป็นเสียงดังก้อง

          “น้อมรับพระบัญชา องค์รัชทายาท” กลุ่มผู้มาใหม่แต่งกายด้วยชุดดำปักด้วยกิเลนสีแดงกลางหน้าอก ใบหน้าสวมใส่หน้ากากที่ทำขึ้นเฉพาะ ให้กลิ่นอายที่ดูน่าเกรงขามและน่ากลัวในเพลาเดียวกัน

          ขณะนี้กลุ่มคนลึกลับต่างยืนโอบล้อมไปทั่วทุกสารทิศ บรรดานักพรตล้วนชมดูกันจนแตกตื่น เหงื่อแตกพลั่ก ดูว่าพวกเขาล่วงเกินทายาทมังกรสวรรค์ ต่อให้พวกเขามีปีกบินหนี ก็เกรงว่าครั้งนี้จะรอดได้ยากแล้ว

          ผู้มาใหม่ย่อมเป็นใครอื่นอีกไม่ได้นอกจากองครักษ์เงา ดังนั้นซวนหยวนหมิงไท่จึงเริ่มออกคำสั่ง “จัดการให้พวกเขาให้สงบปากสงบคำ พ่นถึงคุณธรรมจอมปลอม ตัดสินผู้ใดเลวร้ายเสียที”

          “รับพระบัญชา”

          สิ้นเสียงนายเหนือหัว เหล่าองครักษ์เงาก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงที่สะเทือนไปทั่วพื้นดิน ก้าวย่างสามขุมไปหาคนทั้งสี่ที่ยังคงยืนตะลึงลาน แลไม่นานก็ปรากฏเสียงดังตุบตับไปพร้อมๆกับเสียงร้องโอดโอยราวหมูถูกเชือด กระทั่งผ่านพ้นไปหนึ่งเค่อเหตุการณ์ทั้งหมดก็ถือว่าเสร็จสิ้น...เหลือเพียงคนผู้นั้น

          ซวนหยวนหมิงไท่คิดแล้วก็หันไปที่ทิศทางหนึ่ง ดูว่าฟากฟ้าเหนือเรือนอักษรในยามนี้กลับมีกลุ่มควันและเปลวเพลิงลุกโชนขนาดใหญ่ เขานิ่งมองอยู่สักพักก็ถอนหายใจยาว เอ่ยกับผู้นำกลุ่มองครักษ์เงา

          “ส่งข่าวไปยังเมืองหลวง ตวนผิงซางอ๋องสิ้นแล้ว”


 

******************************************************

 

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 18.2 แยกจาก

 

          ยามเช้ามาเยือนพร้อมกับฝนเม็ดใหญ่ ชั่วพริบตาเดียวก็ดับไฟแค้นที่มอดไหม้มิให้เหลือสิ่งใดเว้นเพียงเศษซากธุลี ชาวเมืองเหลียวตงค่อนข้างจะตกใจเมื่อเห็นควันดำที่ลอยออกมาจากคฤหาสน์หลังใหญ่

          ด้านทหารองครักษ์คนสนิทของตวนผิงซางอ๋อง เมื่อพบว่าผู้เป็นนายเสียชีวิตแล้วก็พากันกลืนยาพิษตายตามไป หลงเหลือเพียงทหารที่มิได้มีส่วนรู้เห็น จวนอ๋องจึงพลันตกอยู่ในสภาวะวุ่นวายเมื่อขาดผู้นำ และเพราะเป็นเช่นนี้จึงคาดว่าอีกไม่กี่ชั่วยาม ข่าวการตายขุนศึกผู้ปกครองเมืองเหลียวตงจะเป็นที่รับทราบแก่ชาวเมือง

          ขณะนี้รถม้าคันใหญ่ได้เคลื่อนที่ออกจากทางประตูหลังของจวนอย่างเงียบเชียบ การมาและจากไปขององค์รัชทายาทต้องปิดเป็นความลับ ดังนั้นเรื่องราวหลังจากนี้ไปได้แต่รอให้ทางราชสำนักเข้าจัดการต่อ

          แลที่พักใหม่ที่องครักษ์เงาจัดหาให้นั้น เป็นเพียงโรงเตี๊ยมเล็กๆท้ายเมืองที่ดูไม่สะดุดตากระไร ทั้งมีบรรยากาศเงียบสงบแตกต่างจากโรงเตี๊ยมในเมืองที่ค่อนข้างครึกครื้น เหมาะสำหรับพวกเขาที่ต้องการพักฟื้นเป็นอย่างยิ่ง

          นี่ก็ผ่านไปสองวันแล้ว ทว่าหงลิ่วยังคงนอนมิได้สติอยู่บนเตียง หงเว่ยเองก็นั่งเฝ้าน้องชายอยู่ไม่ห่าง เมื่อรู้เช่นนั้นร่างเล็กก็อาสานำอาหารเข้าไปในห้อง “หงเว่ย หงลิ่วเป็นเช่นไรบ้าง”

          “ร่างกายของหงลิ่วดีขึ้นมากแล้ว”

          “เช่นนั้นทำไมเขาถึงยังไม่ฟื้น” ไป๋เซ่อแย้ง สีหน้าเคร่งเครียด นี่เป็นเขาดูแลปกป้องหงลิ่วไม่ดีเอง

          หงเว่ยคล้ายรับรู้ว่าร่างเล็กกำลังโทษตัวเองก็เอ่ยเสียงอ่อน “ไป่ไป๋ อย่าได้โดนเจ้าเด็กจอมอู้ผู้นี้หลอกให้ เขาขี้เซากว่าใครในบรรดาพี่น้อง”

          ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็ยิ้มออกแล้ว “เช่นนั้นเจ้าก็กินสักหน่อยเถอะ”เขาวางชามบะหมี่กับจานซาลาเปาที่โต๊ะกลม

          ฝ่ายหงเว่ยก็ยอมลุกออกจากข้างเตียงแล้วเดินไปที่โต๊ะซึ่งมีอาหารส่งควันฉุย ครั้นนั่งลงแล้วก็คล้ายคิดอันใดอยู่ สักพักจึงตัดสินใจกล่าว “พรุ่งนี้เช้า ข้า...จะพาหงลิ่วกลับไปที่หุบเขาสั่วซี”

          “หือ กะทันหันถึงเพียงนี้” ไป๋เซ่อเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ

          “ที่นั่นเป็นถิ่นกำเนิดของเหล่าอสรพิษเกร็ดดำ หากเป็นที่นั่นหงลิ่วจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น” หงเว่ยอธิบายจบก็หลุบตาลงทำท่ากระมิดกระเมี้ยนแล้วกล่าวต่อ “ไป่ไป๋ เจ้ายินดีจะไปกับข้ารึไม่ ข้าแน่ใจว่าระหว่างนั้นจะต้องหาวิธีทำลายเวทย์สะกดพลังในตัวเจ้าได้แน่” พูดจบก็เงยหน้ามองร่างเล็กด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหวัง แต่กระนั้นประตูกลับเปิดผึง พร้อมกับมีเสียงทุ้มเอ่ยขัด

          “ไป๋เซ่อ จำต้องกลับเมืองหลวง ที่นั่นมีผู้ที่สามารถคลายมนตร์สะกดพลังให้แก่เขาได้” ซวนหยวนหมิงไท่ตอบแทนร่างเล็ก น้ำเสียงมีโทนหึวหวงอยู่น้อยๆ เขาก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับของสิ่งหนึ่งในมือ

          “เจ้าแน่ใจ?” หงเว่ยมองบุรุษผู้มาใหม่ตาขวาง ก่อนจะหันไปหาไป๋เซ่อด้วยต้องการคำตอบ

          “หงเว่ย ข้าจะกลับไปที่เมืองหลวง แต่เจ้ามิต้องเป็นห่วงไป หากท่านผู้นั้นมิอาจคลายมนตร์สะกดได้ ในโลกหล้านี้ก็ย่อมไม่มีใครกระทำได้อีก” ไป๋เซ่อยิ้มกล่าวอย่างมั่นใจ กายหยาบนี้คงอยู่ได้อีกเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น แต่กระนั้นเขาก็มิได้กังวลกับมันมากสักเท่าไหร่ ทั้งยังดีใจที่จะได้กลับไปหาท่านผู้นั้นโดยเร็ว

          เมื่อร่างเล็กยืนยันเช่นนั้นสีหน้าของหงเว่ยก็สลดลงเล็กน้อย แลไม่นานม้วนไม้ไผ่เก่าๆม้วนหนึ่งก็วางบนโต๊ะ จากนั้นถูกส่งมาให้เขา

          “นี่เป็นของที่คนของข้ายึดมาจากพวกตาเฒ่านักพรต ถือเป็นการตอบแทนเจ้า” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวจบก็เทชาร้อนลงบนถ้วย จากนั้นยกขึ้นดื่มเงียบๆ

          ร่างแกร่งรับมาแล้วก็คลี่ออกดู เขาไล่สายตาไปไม่กี่ครั้ง สีหน้าก็พลันฉาบทับด้วยโทสะ ต้องกำหมัดทุบโต๊ะอย่างแรง “บัดซบ เพียงแค่คำทำนายไร้สาระ กลับคร่าชีวิตพวกเราไปตั้งมากมาย ทั้งยังทำให้เสี่ยวอวิ๋นต้องประสบเคราะห์กรรม”

          หงเว่ยสบถ ไม่ว่าจะวงศ์วานเกร็ดดำหรือเกล็ดหิมะ ล้วนแล้วแต่จิตใจบริสุทธิ์ รักสงบ มิทำร้ายมนุษย์หรือแม้แต่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก ทั้งนี้มีแต่พวกเขาที่ถูกระรานฆ่าฟันอย่างไร้เหตุผล

          ฉับพลันนั้นม้วนไม้ไผ่ในมือก็บังเกิดเป็นไฟสีม่วงลามเลีย ไป๋เซ่อรับฟังหงเว่ยอย่างเงียบๆ ก่อนหน้านี้เขาได้อ่านบันทึกม้วนนี้แล้ว ตอนนี้จึงได้แต่จับจ้องมองบันทึกที่ค่อยกลายเป็นเถ้าถ่าน ก่อนที่มันจะลอยละล่องไปกับสายลมที่นอกหน้าต่าง พลางนึกคิดในใจ...

          ต่อไปนี้ผู้บริสุทธิ์ก็คงจะไม่ต้องรับเคราะห์อีก ดียิ่งนัก

          ตามบันทึกของบรรพชนสำนักปราบมารได้บันทึกไว้ มีเนื้อหาบอกเล่ากันว่า ในค่ำคืนที่ท้องฟ้าปั่นป่วน ผู้ก่อตั้งสำนักนามเถียนคง ได้ทอดมองฟากฟ้าแล้วจึงพิเคราะห์ว่าโลกมนุษย์จะกำเนิดเภทภัย ปีศาจร้ายจะออกอาละวาด จึงสั่งศิษย์ทั้งห้าให้ลงเขา สืบเสาะปีศาจร้ายที่มีเค้าอันตราย

          จนวันหนึ่งได้พบอสรพิษเกร็ดดำและอสรพิษเกร็ดหิมะ ด้วยความที่มีขนาดใหญ่ อิทธิฤทธิ์สูงส่งยากต่อกร นักพรตเถียนคงทำนายนิ้วเพียงครั้งก็กล่าวว่าปีศาจร้ายเหล่านี้เป็นภัยแก่มวลมนุษย์ หากทั้งสองวงศ์วานร่วมมือกัน ทั่วหล้าย่อมลุกเป็นไฟ เด็กเล็กมิอาจหลับนอนได้อีก จำต้องกำจัดให้สิ้นซาก

          เกิดเป็นการต่อสู้ระหว่างนักพรตกับปีศาจ ทั้งสองฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตาย สุดท้ายนักพรตเถียนคงตัดสินใจเก็บตัวหาวิธีอยู่เนิ่นนานก็สามารถคิดค้นอาคมที่จะใช้กำจัดปีศาจชั่วร้ายนี้ได้ นับตั้งแต่นั้นมาเหล่าอสรพิษเกร็ดดำและอสรพิษเกร็ดหิมะจึงลาหายไปจากโลกใบนี้


 

******************************************************

 

          จันทรายามค่ำคืนเปล่งแสงนวลผ่อง ดูว่าวันหนึ่งช่างผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่รัชทายาทหนุ่มปรึกษาหารือกับองครักษ์เงาเรื่องเดินทางกลับเมืองหลวงอยู่ด้านในนั้น ไป๋เซ่อที่กินอิ่มหนำสำราญก็ออกไปเดินเล่นรอบๆโรงเตี๊ยม

          ออกเดินไปสักพักก็เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีดาวสุกสว่าง จวบจนสะดุดตาเข้ากับชายเสื้อที่มีสีม่วงอมดำที่บนหลังคาโรงเตี๊ยม ไป๋เซ่อหรี่ตามองซ้ายขวา จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปนั่งข้างๆอีกฝ่าย

          “เจ้าทำกระไรอยู่ หงเว่ย”

          “ไม่มีกระไร แค่คิดว่าพ้นคืนนี้ไปแล้ว จะได้พบหน้าเจ้าอีกเมื่อใดกัน” หงเว่ยตอบแล้วยิ้มปนเศร้า หากเป็นไปได้ก็มิอยากคลาดสายตาจากร่างเล็กไปอีก แต่กระนั้นตนก็ยังมีหน้าที่คุ้มครองคนในตระกูลหง

          ได้ฟังแล้วไป๋เซ่อก็แค่นหัวเราะ “หากอยากพบก็ไปหาข้าที่เมืองหลวง อสรพิษที่ร้ายกาจดุดันเช่นเจ้าคงหาข้าพบได้ไม่ยาก ฮา”

          หงเว่ยเห็นดวงหน้าที่ยิ้มแฉ่งให้ใบหน้าก็พลันแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย แต่ชั่วประเดี๋ยวก็ต้องคับแค้นใจที่ตนสนทนาไม่เก่ง ได้แต่มองไป๋เซ่อที่แผ่นอนดูดวงดาราบนฟ้าอยู่แบบนั้น

          “นี่ หงเว่ย เสี่ยวอวิ๋นที่เจ้ากล่าวถึงเป็นใครกัน” น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้แค่ได้ฟังชื่อ ไป๋เซ่อก็รู้สึกถูกชะตาแล้ว ดังนั้นจึงอดถามขึ้นเรื่อยเปื่อยมิได้

          “เขา...เป็นคู่หมั้นของข้า” พูดถึงตรงนี้ดวงตาสีม่วงอมดำก็เปล่งกายสดใส ริมฝีปากเอ่ยเจื้อยแจ้วผิดวิสัยโดยไม่รู้ตัว       

          “ครั้งแรกที่ข้าพบเขา เขายังมิได้ลืมตาดูโลกเสียด้วยซ้ำ ข้าจำได้ว่าตอนข้าอายุครบสามร้อยปี ดวงตาคู่นี้ก็สามารถเบิกเนตรได้แล้ว วันนั้นท่านพ่อพาข้าไปพบจ้าวอสรพิษเกร็ดหิมะทางทิศเหนือ คนที่ข้าพบเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ดูงดงามเหมาะสมกันยิ่ง หลังจากนั้นพวกเขาก็พาข้าและท่านพ่อเข้าไปในถ้ำพำนัก ที่ซึ่งปกปักษ์รักษาไข่ก้อนรีๆอยู่ใบหนึ่ง

          ยามนั้นท่านพ่อถามข้าว่าชอบรึไม่ ตอนนั้นข้ายังมิได้ตอบ เพียงเห็นคู่สามีภรรยาส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ข้าจึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ๆไข่ใบนั้น ในดวงตาข้าเห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่หัวใจกำลังเต้นแรงเป็นจังหวะ เขาซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยเปลือกบางๆ กำลังหลับตาพริ้มส่งรอยยิ้มที่ดูโง่งม

          แม้กายของเขาจะเริ่มมีเกร็ดสีขาวขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังดูนุ่มนิ่มชวนให้น่าสัมผัส พอข้านาบฝ่ามือของข้าลงแนบกับเปลือกบาง จู่ๆหางของเขาก็สะบัดฟัดเหวี่ยงไปมาอย่างเจ้าอารมณ์ นึกถึงตอนนั้นแล้ว อา ช่างน่ารักจริง ราวกับเขากำลังตอบรับข้าอยู่อย่างไรอย่างนั้น ณ เพลานั้นข้าถึงได้เข้าใจ เข้าใจว่าที่สวรรค์ให้ข้าถือกำเนิด นั่นเป็นเพราะต้องการให้ข้าดูแลเขานั่นเอง”

          พูดไปหงเว่ยก็ส่งยิ้มที่มิค่อยได้พบเห็นนัก หากแต่ไป๋เซ่อทั้งรับฟังแลสังเกตรอยยิ้มดังกล่าวแล้วก็อดที่จะขนลุกเกรียวมิได้

          คนผู้นี้ออกจะโรคจิตไปหน่อยกระมัง ไฉนจึงเล่าออกมาได้น่าประหลาดเช่นนี้ ยังมีเด็กตนนั้นที่ฟาดหางไปมา มิใช่ต้องการบอกหรือว่า...อย่ามากวนข้านอนนะ เขาคาดเดาความคิดแทนเจ้างูน้อยตัวดังกล่าว รอจนหงเว่ยเงียบไปพักหนึ่ง เขาก็ถามต่อ “แล้วต่อจากนั้น?”

          “หลังจากนั้นเขากลับถูกพวกนักพรตเลวร้ายใช้คลื่นอาคมสังหารตั้งแต่ที่ยังมิได้ลืมตาดูโลก” หงเว่ยกล่าวจบดวงตาก็ปรากฏแววเคียดแค้น “วันนั้นพวกมันเจรจากับจ้าวอสรพิษเกร็ดหิมะเพื่อขอสงบศึก แต่แล้วในคืนนั้นพวกมันกลับตระบัดสัตย์ลอบใช้คลื่นอาคม ทำให้พวกเขาทั้งครอบครัวต้องสาบสูญ”

          ฟังถึงตรงนี้ไป๋เซ่อก็ขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของนักพรตเหล่านั้น “เช่นนั้นพวกเจ้าทำอย่างไรต่อ” จากบันทึกเก่าแก่ของพวกนักพรตได้บันทึกไว้ว่า นอกจากอสรพิษเกร็ดหิมะตายจาก ชะตาของอสรพิษเกร็ดดำก็มิต่างกัน

          “เป็นบิดาข้าสร้างภาพลวงตาว่าพวกเราทุกคนถูกพวกมันสังหาร จากนั้นจึงสั่งให้บรรดาพี่น้องลี้ภัย จากนั้นมาพวกเราก็เก็บตัวตัดขาดจากโลกภายนอกอยู่เนิ่นนานหลายร้อยปี พวกมันจึงคิดว่าสามารถกำจัดพวกเราจนหมดแล้ว” หงเว่ยตอบ

          ครานี้ไป๋เซ่อเริ่มสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่หมองเศร้าจากร่างแกร่ง จึงให้รู้สึกผิดอยู่บ้าง ดังนั้นจึงแสร้งเปลี่ยนเรื่องคุย “หงเว่ย ฟังจากหงลิ่วแล้ว พวกเจ้าล้วนมีพี่น้องมากมาย”

          “อืม ไม่น้อยจริงๆ” คล้ายนึกถึงความหลังหงเว่ยจึงเลื่อนลอยอยู่บ้าง “หงเอ้อร์ เป็นคนใจดีและใจอ่อนที่สุดในหมู่พี่น้อง หงซาน กลับเป็นคนใจร้อน โผงผาง แต่ก็กล้าหาญยิ่ง หงซื่อ โดดเด่น ชมชอบเสียงดนตรี ทั้งเสียสละมากกว่าใคร หงอู่ งดงาม อ่อนโยน ให้ความรู้สึกดั่งสายน้ำ ส่วนหงลิ่ว กลับเป็นเจ้าลิงน้อยที่วุ่นวายที่สุด”

          ฟังแล้วไป๋เซ่อก็พลันอยากมีพี่น้องเป็นของตัวเองบ้าง หากแต่เขาเกิดมาตัวคนเดียว หากมิได้ท่านมหาเทพช่วยชีวิตไว้ ไม่แน่ว่าตนเองจะมีวันนี้ “เช่นนั้นครอบครัวของเจ้าคงคึกครื้นไม่น้อย”

          “ใช่ คึกครื้นเป็นอย่างมาก” หงเว่ยตอบสั้นๆ หากแต่ก็มิได้กล่าวถึงส่วนที่เหลือด้วยกลัวว่าไป๋เซ่อจะหดหู่

          ในอดีตที่ผ่านมาหงเอ้อร์ได้แอบช่วยเหลือนักพรตใกล้ตายคนหนึ่ง แต่ภายหลังกลับถูกลอบทำร้ายเพื่อช่วงชิงตบะจนตาย ครั้นหงซานรู้เข้าก็เสียสติบุกเข้าทำร้ายนักพรตคนดังกล่าว สุดท้ายต้องเข้าสู่ทางมาร แลจากนั้นมาเจ้าตัวก็ไม่กลับไปเหยียบที่หุบเขาสั่วซีอีก

          ฝ่ายหงซื่อกลับน่าคับแค้นใจที่สุด เขาออกเผชิญโลกหล้าตามลำพังจนตกหลุมรักบัณฑิตจนๆผู้หนึ่ง ครั้นพวกเขาแต่งงานกันได้ไม่นานในหมู่บ้านก็เกิดโรคระบาด สามีพลอยติดโรค หงซื่อจึงยอมแบ่งพลังชีวิตให้ เป็นเหตุให้นักพรตที่เข้าช่วยเหลือชาวบ้านในยามนั้นเปิดโปงว่าเป็นปีศาจ

          บัณฑิตผู้นั้นด้วยความรู้สึกกลัวจึงปล่อยให้นักพรตจับตัวหงซื่อไปขังไว้ในเจดีย์สลายวิญญาณ ครั้นภายหลังบัณฑิตผู้นั้นเกิดละอาย ออกดั้นด้นตามหาเขา แต่กว่าเขาจะรุดไปช่วย กลับกลายเป็นว่าหงซื่อกลับสิ้นจิตวิญญาณไปแล้ว

          ทุกเรื่องราวเหล่านี้ทำให้หงเว่ยโกรธแค้นแทบอยากจะฉีกทึ้งร่างนักพรตเหล่านั้นออกเป็นชิ้นๆแล้วทำลายให้สิ้นซาก หากแต่คำสัตย์สาบานที่มีต่อบิดายังคงฝังอยู่ในใจ จึงมิอาจกระทำอย่างที่ใจต้องการ ดังนั้นจึงเหลือเพียงหงอู่ที่แต่งงานกับชาวนาธรรมดาผู้หนึ่ง แล้วใช้ชีวิตทำไร่ไถนาอย่างมีความสุข กับหงลิ่วที่ยังไม่ประสีประสากับโลกภายนอก

          “นี้ก็ดึกมากแล้ว ข้าไปนอนดีกว่า” ไป๋เซ่อหาวหวอดๆเสร็จก็ยันตัวลุกขึ้น กล่าวอำลาหงเว่ยแล้วกระโดดลงจากหลังคาไป

          หงเว่ยเองก็กล่าวอำลาเบาๆทิ้งท้ายไล่หลังไวๆของร่างเล็ก “แล้วข้าจะไปหาเจ้า เสี่ยวอวิ๋น”

          อีกทางด้านหนึ่งในที่ประชุมของรัชทายาทหนุ่ม บัดนี้กลับไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยอันใด เนื่องเพราะผู้เป็นนายห้ามเสียงคนทั้งหมดไว้ ก่อนจะมีสีหน้าอึมครึมประการหนึ่ง

          ลอบฟังเสียงบทสนทนาที่พูดคุยอย่างเบาเบื้องบนหลังคาแล้ว ซวนหยวนหมิงไท่ก็คล้ายพบเจอเรื่องหนักใจอีกประการหนึ่ง เขาพึมพำเสียงเบาจนเหล่าองครักษ์เงาต้องทำสีหน้างุนงง

          “ที่แท้เจ้าก็เคยหมั้นหมายกับเขา”

          เช้าวันต่อมา รถม้าที่จัดเตรียมเสบียงและคนส่วนหนึ่งก็พร้อมรอที่หน้าโรงเตี๊ยมท้ายเมือง เสิ่นอันหวางและคนของเขาก็แวะมารอส่งคนไปยังเมืองหลวง ด้านหงเว่ยและหงลิ่วก็จากไปแต่เช้าตรู่ เหลือเพียงสตรีอีกผู้หนึ่งที่มีสีหน้าโศกเศร้า

          “องค์รัชทายาท เสี่ยวไป๋ พบกันใหม่คราหน้า” เสิ่นอันหวางยิ้มแย้ม ทั้งไม่ลืมหลิ่วตาให้คนงามที่ฉีกยิ้มแฉ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะขึ้นรถม้าไป ดูว่าครั้งนี้เขาตัดสินใจไม่ผิดนัก เมื่อโชคหล่นทับจากผู้ตรวจราชการกลับกลายเป็นองค์รัชทายาท เห็นทีตระกูลเสิ่นในยุคของเขาต้องรุ่งเรืองเป็นแน่

          “คุณชายหมิง” ครั้นเห็นบุรุษที่เป็นดั่งแสงตะวันหันหลังไปแล้ว เย่วเซียงก็ร้องเรียกเอาไว้

          ด้านซวนหยวนหมิงไท่ก็ชะงักตัวหยุดกึก แต่ทั้งนี้กลับมิได้หันกลับไปมองนาง ทว่าเพียงแค่นี้เย่วเซียงก็ตระหนักแล้ว หัวใจของเขานางมิอาจเอื้อมไปถึง แม้ตอนแรกคิดใคร่ขอติดตามไปด้วย หากแต่ตอนนี้นางตัดสินใจแล้ว

          “ลาก่อน” นางเอ่ยสั้นๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะพยักหน้าให้แล้วก้าวขึ้นรถม้าไป จากไปยังสถานที่ที่นางไม่รู้จัก แม้นน้ำตาสายหนึ่งจะหยดลงแนบแก้ม แต่ความรู้สึกรักนี้ นางจะไม่มีวันลืมเลือน

          “แม่นางอย่าได้เสียใจ ความรักเป็นเพียงบททดสอบหนึ่งของมนุษย์เช่นพวกเรา เเต่ทว่าโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่ ไยไม่ติดตามขบวนของเราไปเปิดหูเปิดตา รับรองว่าทุกที่ที่ขบวนผู้แซ่เสิ่นผ่านไปย่อมมีแต่ความสุข” เสิ่นอันหวางกล่าวแล้วยิ้มให้สตรีผู้มีเส้นผมสีเงินงดงาม นางเองก็มองเขาด้วยสายตางงงันอยู่บ้าง ก่อนที่จะยินยอมพยักหน้าตกลง


 

******************************************************

 

          บทนี้จบเเบบเศร้านิดๆเเต่มีความสุขรออยู่ข้างหน้า ช่วงก่อนหน้านี้หลายคนคงหมั่นไส้เย่วเซียงอยู่บ้าง อันนี้รวมถึงไรท์เองด้วย เเต่หมั่นไส้นิดๆนะ 55555 ความจริงเย่วเซียงก็น่าสงสารน้า ยังไม่ทันเริ่มความรักก็หลุดลอยไปเเล้ว เเต่พื้นเพนิสัยนางเป็นคนดี ยังยอมรับความจริง มิดื้อดึงเป็นมือที่สาม

          ส่วนใครรอหงเว่ย เฮียเเกจากไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับมา ความจริงหงเว่ยค่อนข้างผ่านความทุกข์มาเยอะมาก ไรท์เเค้นเเทนด้วย เรื่องพี่น้องเฮีย อย่างหงซื่อนี้เค้าเอาเค้าโครงมาจากภาพยนตร์เรื่องงูขาว จำชื่อเต็มไม่ได้ เเต่รู้ว่าเกลียดนักพรตอ่ะ เเยกคู่รัก ยึดมั่นเเต่ความคิดตนว่าถูกต้องที่สุด ดังนั้นในนิยายเรื่องนี้ นักพรตดวงซวยตลอดจ้าาาา

          อนึ่ง เรียงลำดับพี่น้องตระกูลหง : หงเว่ย หงเอ้อร์ หงซาน หงซื่อ หงอู่ หงลิ่ว (1-6)

          แต่งไปเเต่งมาเนื้อเรื่องเกินครึ่งเรื่องเเล้ว เย้ๆ
     

             
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-05-2016 23:07:56 โดย ryusaki_yp »

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
ตอนแรกก็ขำตอนหงเว่ยพร่ำเพ้อ แบบว่า เห็นเงียบๆที่จริงก็พูดมากใช่ย่อยนะ :laugh:
แต่พอเล่าถึงพี่น้องตัวเองปุ๊บ อารมณ์เปลี่ยนแทบไม่ทัน ทำไมถึงได้หดหู่ขนาดนี้ล่ะ
ชีวิตนายช่างเศร้าเหลือเกินนนนน พระรองงงงงงงง //โดนโบก
ส่วนเยว่เซียง ที่จริงก็ไม่ได้อะไรกะนางหรอก นางน่าสงสารด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นคนดีที่สุดท้ายตัวเองก็ยอมตัดใจ ขอคู่ให้นางด้วยยย ชีวิตเศร้าเกินไปละ :hao5:

 :L1: :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 19.1 ตัวปลอม

 

          ค่ำคืนที่ท้องฟ้าส่งเสียงดังกึกก้องเป็นระยะๆ ด้านนอกห้องหับมีเม็ดฝนทิ้งตัวไม่ขาดสาย บุรุษอายุราวสี่สิบกว่าปีผู้หนึ่งสวมใส่ชุดลำลองเรียบง่ายกำลังนั่งเดินหมากอยู่เพียงลำพัง เพลานี้สีหน้าของเขาดูครุ่นคิดหนักใจ ต่อเมื่อวางหมากบนกระดานแล้วสีหน้าจึงคลายลงบ้าง

          “นายท่าน”

          กระทั่งเสียงเรียกหนึ่งขัดจังหวะ คนที่นั่งเล่นหมากรุกก็ชะงักมือที่ถือหมากสีดำไว้ หากแต่สายตากลับมิได้แม้แต่เหลือบแลผู้มาใหม่ ยังคงมองไปที่หมากสีขาวตัวหนึ่งบนกระดานที่แน่นขนัด

          ร่างที่ก้าวเข้ามาสวมใส่ชุดสีน้ำตาลนั้นเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน เขาหยุดตัวตรงเบื้องหน้าบุรุษผู้ภูมิฐานแล้วจึงเอ่ย “สายของเรายืนยันว่าตวนผิงซางอ๋องสิ้นแล้วจริงๆ นอกจากนี้ยังพบบุรุษที่คล้ายองค์รัชทายาทปรากฏตัวขึ้นที่เหอหนานเมื่อสามวันก่อน”

          เพล้ง

          “บัดซบ เช่นนั้นบุคคลที่แม่ทัพเซียวเชิญเสด็จไปที่ท้องพระโรงเป็นผู้ใดกัน” น้ำเสียงกราดเกรี้ยวดังขึ้น พร้อมกับถ้วยชาที่ถูกปัดตกจากโต๊ะ มันแตกละเอียดโดยที่ยังทิ้งควันร้อน

          ผู้มาใหม่มองดูผู้ที่ตวาดหอบหายใจกระชั้นก็ตอบเสียงอึกอัก “เรื่องนี้ ข้าน้อยเองก็...มิทราบ”

          “ช่างเถิด ลู่เหวิน ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะให้คำตอบแก่ข้าได้” ครานี้จากเสียงตวาดกลับกลายเป็นเสียงเรียบ ผู้เป็นนายนั่งกุมขมับหลับตาลง ขบคิดถึงความเป็นไปได้ “หากข้าเดาไม่ผิด นี่เป็นแผนถ่วงเวลา ต่อให้รัชทายาทเสด็จไปพักผ่อนที่เขาหวงซานจริงก็ไม่มีทางกลับถึงเมืองหลวง ติดต่อกับแม่ทัพใหญ่เซียวได้ทันการ”

          นี่เป็นเพราะเมืองหลวงในสามวันที่ผ่านมาต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ทั้งยังเกิดขึ้นรวดเร็วโดยที่มิมีใครตั้งตัว เมื่อจู่ๆซวนหยวนหมิงจงฮ่องเต้ก็เสด็จสวรรคตกะทันหัน องค์รัชทายาทเองก็มิได้พำนักอยู่ในวัง ฮองเฮาเซิงซึ่งรับรู้ข่าวเป็นบุคคลแรกๆ จึงถือโอกาสสั่งให้คนของตระกูลตระเตรียมการก่อกบฏ ยึดอำนาจโอรสสวรรค์ เคลื่อนกำลังพลเข้าสู่วังหลวงในกลางดึก

          ทว่าทหารตระกูลเซิงยังมิทันจะบุกยึดตำหนักใดได้ กลับถูกทหารในสังกัดกองธงพยัคฆ์ขาวของแม่ทัพใหญ่เซียวเข้ากวาดล้าง ท้ายที่สุดฮองเฮาเซิงถูกกักบริเวณภายในตำหนัก แลในเช้าวันต่อมา ผู้เป็นแม่ทัพก็นำเสด็จองค์รัชทายาทเข้ารับพระราชโองการของอดีตฮ่องเต้ สืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อไป

          “ยังดีที่นายท่านฉลาดเฉลียว ไตร่ตรองถี่ถ้วน มิผลีผลามผิดกับตระกูลเซิง” ลู่เหวินยิ้มกล่าว

          “ฮึ ฮึ เป็นตระกูลเซิงไม่เจียมตัว ประเมินกำลังขององค์รัชทายาทผิดไป ต่อให้ฮองเฮาเซิงยึดอำนาจได้แล้วอย่างไร ให้องค์ชายซวนหยวนหย่าเซิงที่เสียสติขึ้นครองราชย์กระนั้นหรือ สตรีโง่เขลาเช่นนาง ขอเพียงกลุ่มบัณฑิตในราชสำนักลงความมิเห็นชอบ นางก็มิอาจต้านทานได้ด้วยซ้ำ”

          กล่าวพลางลงหมากตัวต่อไปอย่างใจเย็น “ทว่าสิ่งที่ข้าคาดไม่ถึงก็คือ แม้แต่ตวนผิงซางอ๋องยังพ่ายแพ้ให้แก่องค์รัชทายาท อ๋องผู้นี้ยึดมั่นในเพลิงแค้นมากเกินไป จนเผาผลาญแม้กระทั่งตัวเอง แต่ก็ต้องถือว่าเขามิใช่หมากชั้นเลวเลยทีเดียว”

          “นายท่านหมายความเช่นไร”

          เห็นสีหน้าลูกน้องฉายแววสงสัย มุมปากก็พลันหยักยิ้มขึ้น “หากมิใช่เพราะตวนผิงซางอ๋องลงมือ ขัดขวางมิให้องค์รัชทายาทกลับมายังเมืองหลวง ตระกูลเซิงมิใจร้อนก่อกบฏ เจ้าคิดว่าพวกเราจะทราบถึงกำลังคนที่องค์รัชทายาทเตรียมพร้อมอยู่ในวังหลวงทุกสถานการณ์หรือ”

          “เช่นนั้นองค์รัชทายาทที่อยู่ข้างกายแม่ทัพใหญ่เซียว...”

          “ย่อมต้องเป็นตัวปลอม พวกเราติดตามทุกฝีก้าวขององค์รัชทายาท ไหนเลยจะถูกปั่นหัวได้ง่ายดาย”

          “หากเป็นอย่างที่นายท่านกล่าว เพลานี้หาได้มีใครทราบว่าบุคคลที่พำนักในวังหลวงเป็นองค์รัชทายาทตัวปลอม ขอเพียงสังหารองค์รัชทายาทตัวจริง นำร่างไร้วิญญาณเป็นข้อพิสูจน์ เช่นนี้ตัวปลอมก็จะหลอกตาผู้คนมิได้ แม่ทัพใหญ่เซียวก็จะต้องโทษหลอกลวงเบื้องสูงกลายเป็นกบฏต่อแคว้นซวนหยวน”

          ลู่เหวินเสนอความเห็น ในมุมมองของเขาเห็นว่า ต่อให้คิดสังหารตัวปลอม ช่วงชิงอำนาจมานั้นมิใช่วิธีที่ง่ายนัก เนื่องเพราะขณะนี้อีกฝ่ายได้รับการคุ้มกันอย่างแม่ทัพใหญ่เซียว ยังมีองครักษ์ที่เดินกันให้ขวักไขว่ในวังหลวง ผิดกับองค์รัชทายาทตัวจริงที่ยังไม่รู้เรื่องราวทางด้านนอก

          “ความคิดของเจ้าแม้ไม่เลว แต่ข้าสิ่งที่ข้าต้องการมิใช่การยึดอำนาจ หากแต่เป็นอำนาจที่ชอบธรรมต่างหาก” กล่าวถึงตรงนี้ก็สังเกตเห็นสายฝนที่ด้านนอกเริ่มซาลงบ้างแล้ว แต่สีหน้าของลู่เหวินยังคงเค้างุนงงฉายอยู่ หากแต่ครานี้เขามิให้คำอธิบาย เพียงกล่าวถาม “คำนวณดูแล้วองค์รัชทายาทจะกลับถึงฉางอันเมื่อใด”

          “ยามนี้แม่ทัพใหญ่เซียวพึ่งจัดการกับกลุ่มกบฏแล้วเสร็จ เกรงว่าอีกสองวันข่าวการสวรรคตของอดีตฮ่องเต้จึงจะกระจายไปทั่วแคว้น ถึงตอนนั้นองค์รัชทายาทจะเสด็จมาถึงเมืองหลวงฉางอันภายในเวลาห้าวัน”

          “ดี” น้ำเสียงยินดีโพล่งออกมา “พรุ่งนี้เจ้าจงไปจัดการแจ้งคนเหล่านั้น ว่าให้ ‘ส่งคนมา' ทันที”

          “ขอรับนายท่าน” ลู่เหวินขานรับ ทว่าขณะที่กำลังจะหมุนตัวกลับ นายท่านก็หยุดเขาไว้

          “ยังมีอีก” ครั้นอีกฝ่ายหันกลับมา เขาจึงเอ่ย “บอกนางให้เตรียมพร้อมเสีย ถึงเวลาของนางแล้ว”

          “ขอรับนายท่าน”

          คล้อยหลังบุรุษในอาภรณ์เปียกฝนจากไป เขาหันกลับไปประเมินมองหมากบนกระดานอีกครั้ง ดูว่าหมากสีขาวและดำต่างขับเคี่ยวสูสียากแก่การคาดเดาว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ จนกระทั่งเม็ดหมากสีดำถูกวางลงไปยังบริเวณหนึ่ง เสียงทุ้มที่แฝงความรื่นรมย์ก็ดังขึ้น

          “ต่อให้ท่านฉลาดเฉลียวเพียงใด ก็ไม่พ้นเป็นหมากในกระดานข้าอยู่ดี องค์รัชทายาท” กล่าวจบหมากสีขาวก็ถูกเขี่ยให้พ้นทาง เหลือเพียงหมากสีดำที่ยืนหยัดในท้ายที่สุด


 

**********************************************************

 

          ท้องฟ้าสีครามสว่างไสว เมฆหมอกเคลื่อนที่ไปตามสายลมเอื่อยเฉื่อย แมกไม้สีเขียวนำพาให้บรรยากาศทั้งเงียบสงบ ลำธารสีใสที่เต็มไปด้วยฝูงนกยวนยางคลอเคลีย

          ไม่ไกลออกไป ณ ลานกว้างแห่งหนึ่ง ร่างในชุดสีเขียวอ่อน หน้าผากคาดไว้ด้วยผ้าดิบสีดำตัดกับเส้นผมสีเทา กำลังนั่งยองๆ หลับตาพริ้มกอดไม้กวาดฝันหวาน รอจนปักษาบินผ่านส่งท่วงทำนองแหลมหูต่อเนื่อง เด็กหนุ่มก็เริ่มขยับตัวบิดขี้เกียจ

          ครั้นแอ่นอกเหยียดสองแขนไปจนสุดตัว ทัศนียภาพเบื้องหน้าจึงค่อยๆกระจ่างชัด ส่งผลให้คนงัวเงียก็ต้องเผยสีหน้าเหลอหลา ปากน้อยๆอ้ากว้าง ดวงตาสีฟ้าอมเขียวแทบจะถลนออกมา

          ที่นี่มันที่ไหนกัน มิใช่ว่าข้าอยู่ในป่าแร้นแค้น ได้แต่แทะไก่ป่าเนื้อเหนียวแห้งๆ หรอกหรือ

          ขณะที่ตกอยู่ภายใต้ความงุนงงอยู่นั้น ที่ปลายขากลับรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งสะกิดไม่หยุด ทำให้เขาต้องเบนหน้าลงมอง ก่อนจะพบนกเป็ดน้ำตัวอวบอ้วนใช้จะงอยปากจิกขาตนเอง

          “เฮ้ นี่เจ้าจิกขาอยู่นะ” เขาร้องบอกพลางยกขาหนี ยังผลให้เจ้าเป็ดน้ำน้อยหยุดการกระทำ เงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วส่งเสียงร้องบาดหู

          “แคว่ก แคว่ก แคว่ก”

          “โอ๊ย” แทบยกมือปิดหูมิทัน ดูว่าเจ้าเป็ดน้ำร่ำร้องออกมาชุดใหญ่ ประเดี๋ยวยกปีกชี้ไปทางโน้นทางนี้ ก่อนจะทำท่าคล้ายกลืนยาพิษลงคอ จากนั้นก้มหน้ามองพื้น สักพักจึงส่งสายตาเหลือก แล้วส่ายก้นอุ้ยอ้ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง

          “แคว่ก แคว่ก” มันตบท้ายด้วยน้ำเสียงสงบ สีหน้าปรับเปลี่ยนเป็นปลอดโปร่งโล่งอก จนคนที่ชมดูต้องปรบมือให้

          “อืม ข้าว่าเจ้าจัดการแสดงได้ดีทีเดียว” เขาชื่นชมจากใจจริง หากแต่เจ้านกน้ำตัวอ้วนกลับถลึงตาใส่ หนำซ้ำยังสยายปีกกระโจนตัวเข้ามาจิกตีเป็นพัลวัน

          “โอ๊ยๆ หยุดๆ” เด็กหนุ่มร้องลั่น มือไม้ทั้งจับทั้งดึงมันออกไปจากตัว แต่กระนั้นเจ้าเป็ดน้ำตัวนี้คล้ายสติแตกไปแล้ว เมื่อมิอาจหยุดมันได้เขาก็โพล่ง “หากเจ้าไม่หยุด เจ้าได้กลายเป็นนกเป็ดน้ำย่างแน่”

          สิ้นคำขู่ เจ้าเป็ดยวนยางในมือเขาก็ตัวแข็งทื่อ ขนของมันลีบลงอย่างน่าสงสาร เห็นทีว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลไม่น้อย เขาฉีกยิ้มแฉ่ง สายตาจับจ้องมองมันเขม็ง แต่แล้วไม่นานหัวคิ้วก็ย่อย่นลง

          “เอ ข้าว่าข้าเคยพบเจ้าที่ไหนมาก่อน”

          จู่ๆก็รู้สึกคุ้นตาอย่างไรบอกไม่ถูก ยังมีทัศนียภาพอันน่านอนนี้อีก เด็กหนุ่มเหลียวมองไปรอบๆ จนสุดท้ายหยุดสายตาที่ประตูบานหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังตนเอง

          ประตูบานใหญ่แง้มเปิดเล็กน้อย กระตุ้นให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น ฝีเท้าพลันก้าวเข้าไปใกล้ ทันใดนั้นยวนยางตัวอ้วนที่หนีบอยู่ข้างลำตัวร่างเล็กก็ร้องปราม เขารีบก้มหน้าส่งสายตาดุ มันจึงยอมเงียบเสียงลงทันที

          เขามองลอดผ่านช่องที่มีอยู่เพียงนิด ด้านในปรากฏให้เห็นร่างของผู้เฒ่าผมขาวในชุดสีไข่ไก่ กำลังเดินวนเวียนไปมาอย่างร้อนใจ ไม่นานนักมือที่ถือไม้เท้าก็ยกขึ้น ก่อนทุบพื้นกระเบื้องอย่างแรงด้วยความโมโห

          “ช่างกล้าดี...กล้าดีอย่างไรมาทำลายงานของข้า ข้าจะฟ้องเจ้า เจ้าเด็กตัวแสบ ไป๋เซ่อ”

          น้ำเสียงตวาดลั่นทำเอาไป๋เซ่อที่หลับฝันสะดุ้งตื่น คนข้างเคียงสัมผัสถึงอาการเกร็งตัวฉับพลันก็เอ่ยปากถามขึ้น

          “เป็นไรไปฝันร้ายหรือ”

          สติยังมิทันเข้าร่องเข้ารอยดีก็พลันสบเข้ากับนัยน์ตาสีดำที่แฝงแววอบอุ่น ไป๋เซ่อได้แต่นิ่งงันจ้องสายตาคู่ดังกล่าวไปพักใหญ่ หากแต่ภายในอกกลับมีบางสิ่งเต้นระรัวไม่หยุด

          ครั้นเห็นเจ้างูน้อยไม่หือไม่อือ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ตีความว่าเป็นฝันร้าย “นี่ต้องเป็นเพราะเจ้ากินอิ่มมากเกินไป ทำให้นอนหลับไม่สนิท วันหลังให้กินแต่พอดี เข้าใจไหม” กล่าวจบก็ยื่นปลายแขนเสื้อซับเหงื่อที่กลางหน้าผากของเจ้าตัวให้ แต่แล้วร่างเล็กกลับร้องลั่นราวกับร้อนลวก

          “ว๊ากกก เจ้าจะทำอะไรน่ะ” ไป๋เซ่อหน้าแดงเรื่อท่ามกลางความมืดสลัว เขารีบผุดตัวลุกขึ้น จนศีรษะแทบโขกกับชายหนุ่มเบื้องบน

          รัชทายาทหนุ่มถึงกับชะงักมือค้างไปชั่วขณะ แลไม่นานนักจึงลดแขนลง ดูว่านับตั้งแต่ออกจากเมืองเหลียวตง หากไป๋เซ่อมิพูดคุย ก็พยายามหลบเลี่ยงเขา และถึงแม้จะเดินทางในรถม้าเทียมเดียวกัน ร่างเล็กก็ยังอุตส่าห์บังคับขู่เข็ญเสี่ยวลู่ที่ดามสองขา เดินเหินไม่สะดวกให้มานั่งเบียดเป็นเพื่อน

          หรือทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นเขา...คิดไปเองคนเดียว
         
          “เพียงแค่จะเช็ดเหงื่อ ไยต้องตกอกตกใจเพียงนี้” รัชทายาทหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อน ทว่าในใจกลับเจ็บแปลบอยู่ลึกๆ ต่อให้เพลานี้กายใกล้ชิดกันเพียงไร แต่ใจกลับสัมผัสได้ถึงความเหินห่าง

          หากเปลี่ยนเป็นหงเว่ย เจ้าก็คงจะไม่ปฏิเสธน้ำใจสินะ

          ฟังน้ำเสียงที่เศร้าไปถนัดหู ไป๋เซ่อก็พลันรู้สึกผิด เขารีบแก้ตัว “ก็...ก็ใครใช้ให้เจ้ามาแตะข้ากันกะทันหัน อีกอย่างที่นอนข้าอยู่มุมนี้ชัดๆ ไฉนเจ้าจึงโผล่มาแย่งที่ข้าได้”

          “หือ มิใช่เจ้าเลื้อยมาทับข้าก่อนหรอกหรือ” ซวนหยวนหมิงไท่เลิกตาโต เห็นอยู่ชัดๆว่าเขานอนอยู่ดีๆ ก็มีคนนอนดิ้นมาเกยทับหน้าท้องเขา อีกทั้งยังแถมน้ำลายเป็นดวงๆที่ยังไม่แห้งสนิทอีกต่างหาก

          ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็กรอกตาซ้ายทีขวาที แล้วจึงเห็นร่างสูงเพรียวนอนเบียดติดกับหน้าต่างรถม้า หากแต่ตรงมุมที่ควรเป็นที่นอนของเขา กลับเว้นว่างไว้ มีเพียงกองผ้าห่มม้วนเป็นก้อนกองนิ่ง มิผิดไปจากคำพูดของอีกฝ่ายจริง

          ใบหน้าถึงกับแดงซ่านขึ้นมาอีกครั้ง เขารีบสบถกลบเกลื่อน “บ้านเจ้าสิ” ใครใช้ให้หน้าท้องเจ้าหนุนได้พอดีกับคอข้ากันเล่า พูดจบก็สะบัดตัวกระโดดลงจากรถม้าไป ทันใดนั้นเสียงของซวนหยวนหมิงไท่ก็ดังไล่หลัง

          “ไป๋เซ่อ เจ้าจะไปไหน”

          “ข้าจะไปปลดทุกข์” ไป๋เซ่อตะโกนตอบ ก่อนจะเดินฉับๆผ่านกลุ่มองครักษ์สี่ห้าคนที่นั่งล้อมวงผิงไฟไป มิสนใจหันไปมองคนที่ร้องถาม


 

***********************************************************

 

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 19.2 ตัวปลอม

 

           ทั้งๆที่อุณหภูมิในกายตนออกจะเย็นเฉียบ แต่เพราะเหตุใดเมื่อชายหนุ่มสัมผัสตัว เขากลับร้อนรุ่มราวกับงูนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ไป๋เซ่อคิดแล้วก็ย่อตัววักเอาน้ำในริมธารเข้าดับความร้อนบนใบหน้า ส่งผลให้หยาดน้ำสาดกระเซ็นลามเปียกไปถึงเสื้อตัวใน

          “ทำเช่นนั้นเดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

          ครั้นมีเสียงจากทางด้านหลัง ตัวของไป๋เซ่อก็แข็งค้าง ด้วยคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตามมาดูเขาปลดทุกข์จริงๆ ขณะที่กำลังคิดอยู่ว่าจะหันหลังกลับไปดีหรือไม่ เสื้อคลุมสีน้ำเงินก็คลุมลงบนศีรษะเขา พร้อมกับน้ำหนักมือที่วางไว้เช่นกัน

          หากเป็นเพราะความรู้สึกของข้าที่ทำให้เจ้าต้องอึดอัดลำบากใจ ข้าก็จะขอเก็บมันไว้ไม่ตอแยเจ้าอีก ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มเศร้า “ไป๋เซ่อ หากเจ้ามิชอบให้ข้าแตะตัวเจ้า ข้า...จะไม่ทำอีก” นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะได้สัมผัสเจ้า เพราะข้าคงไม่มีความกล้าเช่นนี้อีก

          ต่อเมื่อคำพูดจบลง สัมผัสอบอุ่นก็ห่างหายไป ฉับพลันนั้นใจของไป๋เซ่อก็วูบโหวง จิตใต้สำนึกได้แต่ร่ำร้องบอก เขา...ต้องการมัน ริมฝีปากอ้าออกปล่อยเสียงตะกุกตะกัก “ขะ ข้าก็ไม่ได้บอกว่ารังเกียจสักหน่อย”

          สองเท้าที่กำลังถอยห่างพลันหยุดชะงัก ครั้นสังเกตเห็นใบหูซึ่งโผล่พ้นจากเส้นผมสลวยเป็นสีแดงก่ำ ความหวังที่ใกล้ดับมอดกลับสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว มาตรว่าจากที่เคยคิดว่าคงต้องวางมือ ครานี้มือกลับฉวยไปข้างหน้าแล้ว

          ไป๋เซ่อเผลอสูดหายใจลึก เมื่อจู่ๆร่างก็ถูกรั้งจนตัวแทบลอยเข้าสวมกอดไว้จากทางด้านหลัง ราวกับมีกระแสไฟแล่นปราดส่งผ่านจากกายชายหนุ่ม ทำให้เขาอ่อนยวบหลังพิงเจ้าตัวแต่โดยดี

          “แล้วแบบนี้รังเกียจรึไม่” ซวนหยวนหมิงไท่สวมกอดไป๋เซ่อไว้แนบแน่น ก่อนหลับตาลงเคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยออกมาจากเส้นผมนุ่มซึ่งปล่อยสยายจนถึงกลางหลัง

          พวกเขาอิงแอบกันอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งร่างสูงเพรียวเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “หากเจ้าไม่ตอบ ข้าจะตีความว่าไม่นะ” ประโยคดังกล่าวแฝงไว้ด้วยความเอาแต่ใจ เพราะเมื่อเอ่ยแล้วสองมือก็กระชับร่างเล็กให้แน่นกว่าเดิม

          “......” แม้ไป๋เซ่ออยากจะเปล่งเสียงก็เปล่งมิออกแล้ว เนื่องเพราะไออุ่นกระทบลงที่หลังใบหู ส่งผลให้ดวงตาต้องเลิกโตอย่างแตกตื่น ไฉนคนผู้นี้จึงชอบไล่ต้อนผู้อื่นให้ทำตัวไม่ถูกด้วย “เจ้าแกล้งข้า” เขาโพล่งประท้วง

          ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่กลับดึงตัวร่างเล็กออกแล้วยิ้มกริ่ม “เป็นเจ้าคิดมากไปเองต่างหาก” กล่าวจบก็ก้มลงรังแกแก้มนุ่มนิ่มด้วยริมฝีปาก

          ไป๋เซ่อมิทันอ้าปากเถียงแก้มเนียนก็ถูกหอมฟอดไปแล้ว ครั้นอีกฝ่ายลงมือเสร็จก็ส่งยิ้มกว้างอวดฟันขาวให้ แทบทำให้สมองเขาระเบิดตูมใหญ่ “อ๊ากกก เจ้าคนหน้าด้าน ไร้ยางอาย หากเชื่อคำเจ้า ข้าก็เป็นไส้เดือนแล้ว” ว่าแล้วก็ไล่เหวี่ยงหมัดใส่คนฉวยโอกาส

          เห็นท่าไม่ดีซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบเบี่ยงกายหลบ แลไม่นานคนหนึ่งก็ได้แต่หนี อีกหนึ่งได้แต่ไล่ตาม แม้ลงลุยริมน้ำเปียกโชกไปทั้งกายร่างเล็กก็มิได้มีท่าทีว่าจะหยุดลงง่ายๆ

          “จุ๊ยๆ ไป๋เซ่อ เจ้านี่ขี้อายจัง หากว่าเจ้ารู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ เช่นนั้นข้าให้เจ้าจูบคืนบ้างดีไหม” สังเกตเห็นใบหน้าแดงก่ำเปี่ยมด้วยความอับอายและขวยเขิน ซวนหยวนหมิงไท่ก็หยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี

          “หนอย ใครอยากจะจูบลูกเต่าอย่างเจ้ากัน” ไป๋เซ่อแค่นเสียง สองขายังคงกระโดดหย็องแหย็ง เตรียมหาจังหวะตะบันหน้างามๆของอีกฝ่ายสักทีสองที

          ในที่สุดร่างสูงเพรียวก็ยอมให้ไป๋เซ่อทุบอกครั้งสองครั้ง จากนั้นหัวเราะลั่นแล้วรวบกอดร่างเล็กไว้ในอ้อมอกของตนเองอีกครั้ง นัยน์ตาสีดำกระจ่างทอดมองท้องฟ้าพร่างพราว ก่อนกระซิบที่ริมใบหูน้อย

          “ไป๋เซ่อ เจ้ายังมิต้องตอบตอนนี้ก็ได้ว่าเจ้ารู้สึกกับข้าเช่นไร แค่เพียงรู้ไว้ว่าข้า...ฝากใจและกายให้กับเจ้าแล้ว”

          ดวงตาสีฟ้าอมเขียวเลิกกว้าง บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกในตอนนี้เป็นเช่นไร มาตรว่าความอ่อนโยนนี้ก็เคยได้รับจากท่านมหาเทพ แต่กระนั้นกลับมีบางส่วนที่แตกต่างออกไป หัวใจเขาพองโตอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน เสมือนได้รับการรักใคร่ทะนุถนอม เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของคนผู้นี้

          ...เพียงผู้เดียว

          ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลด้วยความชื่นมื่น อีกด้านหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากลำธารมากนัก กลับมีร่างทั้งสองนอนนิ่งใต้พงหญ้าที่มิสูงมากนัก ทั้งพยายามกระทำตัวเสมือนไร้ตัวตนอย่างสุดกำลัง

          กล่าวได้ว่าพวกเขาต่างมาได้ผิดเวลาจริงๆ เพียงแค่แวะจะมาทำธุระเบากลับต้องมาเจอะเจอผู้อื่นพลอดรัก มิหนำซ้ำผู้อื่นที่ว่าดันเป็นทายาทมังกรผู้สูงศักดิ์ หากขยับตัวตอนนี้ ตนจะถูกตัดหัวไหมหนอ หัวหน้าองครักษ์จิ้งคิดในใจ

          นอกเหนือไปจากนี้ยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่ยกมือปิดปากไว้แน่นสนิท คล้ายกลัวจะเปล่งเสียงกรีดร้องออกมาทุกขณะ ดวงตาทั้งสองแทบถลนออกจากเบ้า ทั้งจ้องมองคู่รักที่หยอกล้อกันตาไม่กะพริบ

          สีหน้าของขันทีน้อยแดงเรื่อ คำพูดหน้าไม่อายเหล่านั้น ใช่ออกมาจากริมฝีปากองค์รัชทายาทผู้เพียบพร้อม สุขุม วางตนได้เหมาะสม ซึ่งตนรู้จักรับใช้ใกล้ชิดมาสิบกว่าปีแน่หรือ ข้าไม่เชื่อ ไม่เชื่อเด็ดขาด เขาได้แต่ร่ำร้องในใจ เฉกเดียวกับคนที่กระทบกระเทือนใจอย่างหนัก

          จวบจนผ่านไปพักใหญ่ซวนหยวนหมิงไท่ก็จูงมือไป๋เซ่อกลับไปยังที่รถม้า สภาพเปียกปอนของพวกเขาสร้างความแปลกใจให้กับองครักษ์เฝ้ายามสามสี่คนอยู่ไม่น้อย

          แลในระหว่างนั้นเองก็ปรากฏเสียงม้าห้อตะบึงไม่หยุด ทั้งดูเหมือนตรงดิ่งมาทางพวกเขา เหล่าองครักษ์พลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมต่างคว้าอาวุธเตรียมพร้อมรับมือ ด้วยยามดึกดื่นกลางป่ากลางเขาเช่นนี้ นอกจากเรื่องเร่งด่วนแล้ว ยังคาดเดาได้ว่าผู้มาประสงค์ร้าย

          “หยุด” กระทั่งร่างผู้มาใหม่ในชุดสีดำปรากฏตัวขึ้น เขาก็หยุดม้าไว้ก่อนถลาไปหาคนผู้หนึ่ง เหล่าองครักษ์เห็นคนผู้นี้ก็มิได้มีท่าทีต้องการหยุดอีกฝ่าย สีหน้ายังผ่อนคลายลงกว่าเดิม

          “องค์รัชทายาท”

          “หลิวซีฝู” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยเรียกนามสายลับ กลุ่มสายลับของเขากลุ่มนี้แตกต่างไปจากองครักษ์เงา เนื่องเพราะในยามปกติพวกเขามีตัวตนในราชสำนัก หากแต่ลับหลังก็จะมีอีกบทบาทหนึ่ง

          “องค์รัชทายาทโปรดรีบเสด็จกลับวังหลวงเถิด เพลานี้ฝ่าบาทเสด็จสวรรคตแล้วพะยะค่ะ”

          ประโยคดังกล่าวจบลงบรรยากาศโดยรอบก็พลันเงียบกริบ สีหน้าของซวนหยวนหมิงไท่แปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด และเป็นครั้งแรกที่ไป๋เซ่อรู้สึกว่ามือของชายหนุ่มนั้นเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง


 

***********************************************************

 

          หลังจากที่อ่านประกาศจากทางราชสำนักซึ่งหยิบฉวยครั้นอยู่ในตัวเมืองลู่หยางอีกครั้ง เสี่ยวลู่ก็มีสีหน้าทะมึน ข่าวที่หลิวซีฝูแจ้งมาเมื่อสามวันก่อนนั่นมิผิดพลาดไปจริงๆ

          ซวนหยวนหมิงจงฮ่องเต้เสด็จสวรรคตแล้ว ระหว่างนั้นตระกูลเซิงยังก่อกบฏ โชคยังดีที่กระทำการมิสำเร็จ เป็นแม่ทัพใหญ่เซียวยุติความวุ่นวาย ก่อนเชิญเสด็จองค์รัชทายาทขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์

          เรื่องราวคล้ายจบลงด้วยดี แต่ทว่าองค์รัชทายาทผู้เป็นเจ้าของบัลลังก์มังกรตัวจริงกลับยังคงรีบเร่งเดินทางไปยังเมืองหลวง ขันทีน้อยชำเลืองมองพระพักตร์ที่นิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ซึ่งนับแต่องค์รัชทายาททราบข่าวร้าย พระองค์ก็แทบจะไม่ปริปากหลุดคำพูดออกมา มีเพียงไป๋เซ่อที่พระองค์พอจะสนทนาด้วยอยู่บ้าง

          “องค์รัชทายาท เป็นไปได้รึไม่ว่า แม่ทัพใหญ่เซียวจะ...” ก่อกบฏ ในที่สุดเสี่ยวลู่ซึ่งนั่งเงียบอยู่ในรถม้าก็ทนทานมิไหวเอ่ยถามออกมา หากให้เขาคิดมากไปกว่านี้ สมองเขาต้องระเบิดเป็นแน่

          ฟังแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็ต้องผินหน้ามองเสี่ยวลู่ เอ่ยเสียงเรียบราวกับมิใช่เรื่องของตนเอง “หากข้าเป็นเขา ข้าก็คงจะทำเช่นเดียวกัน”

          เสี่ยวลู่รับฟังจนแตกตื่น ที่แท้ความคิดเห็นขององค์รัชทายาทมิแตกต่างไปจากที่ตนคิดจริงๆ “เช่นนั้นหากพระองค์เข้าเมืองตอนนี้ จะมิอันตรายหรอกหรือ”

          ซวนหยวนหมิงไท่มองคนที่ทำหน้าเคร่งเครียดแล้วก็แค่นเสียงหัวเราะเบาๆ “ฮึ ฮึ อันตรายรึไม่ ข้าก็ทนรอเจอตัวปลอมผู้นี้แทบมิไหว”

          “ข้าด้วยๆ” ไป๋เซ่อกล่าวเสริมแล้วฉีกยิ้มแฉ่ง

          หา ขันทีน้อยอ้าปากค้าง สมองงุนงงหนักยิ่งกว่าเดิม

          ใช้เวลาเกือบสามวันกว่าที่รถม้าจะรีบเร่งเดินทางมาถึงคฤหาสน์รกร้าง ซึ่งตั้งห่างจากท้ายวังหลวงในเมืองฉางอันเป็นระยะทางราวสิบลี้ในยามดึก ด้านในของจวนยังคงเต็มไปด้วยฝุ่นและซากปรักหักพัง กระนั้นบรรดาองครักษ์ก็มิได้ใส่ใจ ยังคงเดินนำทุกคนไปยังด้านในอย่างคุ้นเคย

          ต่อเมื่อมาถึงสวนกว้าง ในมุมอับตาก็ปรากฏต้นไม้ใหญ่ มันแผ่กิ่งก้านสาขาดูน่าเกรงขาม ส่วนลำต้นเป็นโพรงขนาดกว้าง องครักษ์นายหนึ่งมุดเข้าไปไม่นานนักก็ทางที่อยู่ใต้ดินก็เปิดขึ้น ทำเอาเสี่ยวลู่และไป๋เซ่อตะลึงวูบ

          ทางใต้ดินที่พวกเขาย่างก้าวลงไปนั้นทอดยาวไปไกล ตามผนังมีคบเพลิงจุดเตรียมไว้เสร็จสรรพ บรรยากาศเงียบสงบขนาดที่ใครคนหนึ่งหายใจแรงๆก็ยังได้ยิน

          กระทั่งผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็มาถึงปลายทางที่มีลักษณะเป็นบันได องครักษ์เดินขึ้นไปจนสุดขั้นจากนั้นเคาะที่เพดานทีสองที ไม่นานแสงสลัวก็ส่องผ่านลงมา ผู้เปิดทางเป็นสตรีน้อยหน้าตาน่ารัก ตากลมโตเมื่อต้องแสงแล้วจึงเกิดประกายวิบวับ นางสวมใส่อาภรณ์ที่ดำไปทั้งตัวซึ่งตัดกับผิวที่ขาว

          “ถิงถิง” ไป๋เซ่อร้องเรียกดีใจ เมื่อได้เจอแมวสาวเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน หากแต่ถิงถิงกับมองหน้าเขาแวบหนึ่งก็ทำเมินหันไปกล่าวกับชายหนุ่มซึ่งอยู่ข้างกายเขาแทน

          “องค์รัชทายาท พวกเขาอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร”

          “ขอบคุณมาก ถิงถิง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวขอบคุณ ถิงถิงเองก็เชิดหน้าอย่างภูมิใจ ในตอนนี้นางรับหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายสอดแนมให้กับเขา ภารกิจแต่ละครั้งล้วนทำหน้าที่ได้ดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง

          เขาเหลียวมองรอบๆห้องอย่างคุ้นเคย ต้นไม้นานาชนิดยังคงเติบโตได้ดีเมื่ออยู่ในเรือนพฤกษา หรือสถานที่ลับซึ่งใช้ติดต่อเรื่องส่วนตัว ทั้งยังเชื่อมต่อไปยังคฤหาสน์รกร้างนอกวังหลวง

          “เช่นนั้นเสี่ยวลู่และคนอื่นให้ไปรอข้าที่ตำหนักเหวินหัว ส่วนข้าจะตามไปสมทบทีหลัง” รอจนทุกคนขึ้นมาครบแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็ออกคำสั่ง ทั้งนี้มิรอให้ใครคัดค้านก็คว้าตัวไป๋เซ่อรุดออกจากเรือนพฤกษาไป

          เพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อชายหนุ่มก็ใช้กำลังภายในนำพาร่างเล็กมาถึงหน้าตำหนักทรงพระอักษร พื้นที่โดยรอบในยามนี้กลับไร้ซึ่งทหารองครักษ์รักษาการณ์คนใด ทว่าภายในห้องกลับมีแสงเทียนส่องสว่าง ทั้งมีเสียงพูดคุยกันเบาๆ บ่งบอกให้รู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน

          รัชทายาทหนุ่มเดินดุ่มเข้าไปอย่างไม่รอช้า จากนั้นจัดการผลักประตูเข้าไป แลภาพด้านในจึงค่อยๆเปิดโล่งสู่สายตา

          ที่เนินบันไดเล็กๆ ณ กึ่งกลางห้องปรากฏร่างของบุรุษสองคนที่นั่งเท้าคางชันเข่าด้วยสีหน้าล่องลอยกึ่งเอือมระอา เหนือพวกเขาขึ้นไปเป็นโต๊ะสีทองที่ล้นปรี่ไปด้วยม้วนฎีกาที่วางกระจัดกระจาย

          บัดนี้หนึ่งบุรุษในชุดเกราะ แลอีกหนึ่งบุรุษที่มีหน้าตาเหมือนรัชทายาทเช่นเขาทุกกระเบียดนิ้วกำลังจับจ้องมองพวกเขาอย่างไม่วางตา

          แลไม่นานนักไป๋เซ่อที่ก้าวเข้ามาก็ต้องเบิกตาโต ร่างเล็กแสยะยิ้มราวกับเห็นเหยื่อโอชะ ฝีเท้าพลันกระโจนไปข้างหน้า ก่อนที่ร่างจะแปรเปลี่ยนเป็นอสรพิษตัวสีขาวปลอดอย่างรวดเร็ว มันดีดตัวเข้าจู่โจมคนที่มีใบหน้าเดียวกับซวนหยวนหมิงไท่ ปากยังอ้ากว้างเผยให้เห็นเขี้ยววาววับดูดุร้ายยิ่ง

          “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ”


 

***********************************************************

 

           เนื้อเรื่องในบทนี้เริ่มเฉลยเรื่องราวบางส่วน (ต้น) บ้างเเล้ว ส่วนตัวปลอมจะเป็นใครเฉลยบทหน้า เเต่คิดว่าทุกคนน่าจะเดาออกอยู่เเล้ว 5555+

          เจอคำผิดตรงไหนก็เว้นๆไปก่อนนะจ้ะ เดี๋ยวมาตามเก็บตอนรีไรท์ ซึ่งก็มีหลายบทที่ผิดพลาดไปเยอะอยู่เหมือนกัน อย่างเช่นบางบทเขียนอสรพิษเกร็ดอัคคี บทหลังๆเขียนอสรพิษเกร็ดดำ ยังมีบางส่วนที่หงเว่ยเรียกหงลิ่วว่า 'น้องหก' เเต่หลังๆเรียกหงลิ่วอย่างเดียว โอ้ย ช่างเบลอจริงๆ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
นึกว่าเรื่องร้ายจะจบลงทั้งหมดละ ดันมีเรื่องมาเพิ่มซะได้
แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆอยู่นะ  :hao7:

ช่วงนี้คู่นี้หวานนนนนน กันจัง องค์รัชทายาทขยันเลี่ยนมากค่า

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 20.1 ผู้ครองแคว้น

 

          ทันทีที่ก้าวข้ามประตู เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวก็สบเข้ากับอีกหนึ่งซวนหยวนหมิงไท่ เพลานี้ไป๋เซ่อคล้ายไม่รับรู้เรื่องราวรอบตัวอันใด ดวงตาเป็นประกาย โจนตัวออกไป เผยร่างอสรพิษสีขาวบริสุทธิ์สู่สายตา

          ฝ่ายร่างเพรียวสง่างามที่กำลังนั่งเท้าคางชันเข่ากลับนิ่งงันไม่ขยับ มีเพียงดวงตาสีดำขลับที่แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทองเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองอสรพิษที่อ้าปากกว้างจนเห็นเขี้ยวแหลมโดยมิได้แตกตื่น ราวกับว่าซวนหยวนหมิงไท่ตัวปลอมผู้นี้ คุ้นชินการจู่โจมเช่นนี้เสียแล้ว 

          “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” โฮ ข้าคิดถึงท่านจะแย่อยู่แล้ว

          เจ้างูน้อยปล่อยโฮแล้วลั่นเสียงด้วยความดีใจ ครั้นเหวี่ยงตัวเข้าคล้องรอบคอเรียวได้สำเร็จ มันก็ระดมหอมแก้มนวลเนียนของบุรุษผู้เป็นเอกอุในสามพิภพอย่างบ้าคลั่ง ลำตัวยังถูไถใบหน้างามเสียจนเป็นสีอมชมพู มิได้สัมผัสถึงบรรยากาศคุกรุ่นที่กำลังสูงขึ้นแม้แต่น้อย

          ผู้เป็นองค์รัชทายาทมองเจ้างูน้อยสลับกับบุรุษที่ถอดรูปตนแทบจะพิมพ์เดียวกันแล้วพลันรู้สึกอยากจะร้องไห้ก็ร้องมิออก ได้แต่ลอบนึกอย่างอิจฉา

          ...ข้าเองก็อยากให้เจ้ากระโจนใส่แบบนี้บ้างเหมือนกันนะ ไป๋เซ่อ

          ทว่าในเวลาเดียวกันนี้ยังมีอีกหนึ่งบุรุษในชุดเกราะที่ตัวสั่นระริก ยิ่งรัชทายาทตัวปลอมซึ่งนั่งเคียงกายหัวเราะคิกคัก ส่งยิ้มหวานพลางจุมพิตหน้าผากเจ้างูเผือก จนตัวมันแดงระเรื่อแสยะยิ้มบิดม้วนตัวด้วยความเขินอาย สีหน้าเขาก็ทะมึนไปทั้งแถบ

          “นี่มันจะมากเกินไปแล้ว~” เซียวถิงฟงคำรามลั่น ต่อให้รูปลักษณ์ภายนอกจะมิใช่ตัวจริง แต่ถึงอย่างไรภายในก็ยังคงเป็นคนของเขา

          ความหึงหวงครอบงำแม่ทัพหนุ่ม กรงเล็บพยัคฆ์พุ่งเข้าหาสิ่งมีชีวิตเย็นเฉียบ ทว่ายังมิทันถึงตัว ฝ่ามือหนึ่งก็พลันตัดหน้าเข้าคร่ากุมตัวมันเสียก่อน ส่งผลให้เซียวถิงฟงตกตะลึงวูบ ต้องรีบชักมืออันว่างเปล่ากลับคืนมา

          ซวนหยวนหมิงไท่ดึงลำตัวสีขาวออกจากลำคอผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายตนทุกส่วนอย่างเบามือ แต่มาตรว่าทำเช่นนั้นไป๋เซ่อก็ยังรั้นตัวขู่ใส่ ทั้งสะบัดฟัดเหวี่ยงตัวฟาดตีเขาอย่างหัวเสีย เสมือนเขาพรากปีกไก่น้ำแดงสุดรักของมันไป หากแต่ตอนนี้ยังคงขัดใจร่างนุ่มนิ่มไปก่อน

          “ต้าเซียน ไม่พบกันนาน” ระหว่างคว้าจับร่างน้อยที่ดิ้นพล่านไม่หยุด เขาก็เอ่ยทักทายบุรุษผู้ซึ่งมวยผมครอบด้วยกวานทอง สวมใส่ชุดมังกรสีเหลืองอร่ามด้วยรอยยิ้ม “หากท่านมิว่าอะไร ช่วยคลายมนต์สะกดให้ไป๋เซ่อที”

          นี่ก็ผ่านมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว ที่ร่างน้อยถูกคลื่นอาคมกลืนกินกายหยาบ แลในบางคืนร่างของไป๋เซ่อดูจะเลือนรางหายไป แทบทำให้เขาเสียสติทุกครั้งที่เห็นเช่นนั้น ดังนั้นเขามิอาจทนรออีกได้แม้แต่ยามเดียว

          ด้านต้าเซียนในรูปกายของซวนหยวนหมิงไท่กลับเลิกตาโต กล่าวน้ำเสียงอารมณ์ดี “เห พวกเจ้าเดินทางครั้งนี้คงจะเกิดเรื่องขึ้นไม่น้อยกระมัง ฮ่า ฮ่า”

          รัชทายาทหนุ่มฟังเสียงหัวเราะของมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ก็ต้องกระตุกยิ้มแหย ไพล่นึกถึงคำพูดที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ให้ก่อนออกเดินทาง

          ‘ไปดีมาดี การเดินทางครั้งนี้คงต้องเผชิญเรื่องราวมากมาย’

          ...ที่จริงท่านก็รู้อยู่แล้วว่าการไปครานี้ ข้ากับไป๋เซ่อจะประสบพบเภทภัย

          ซวนหยวนหมิงไท่ลอบคิดพลางยื่นงูเผือกที่กำลังรัดแขนเขาอย่างเอาเป็นเอาตายไปตรงหน้าเจ้าตัว ดูว่าการกระทำนี้ทำให้ไป๋เซ่อพึงพอใจไม่น้อย เพราะเมื่อร่างของมันเข้าใกล้ต้าเซียน มันก็ยอมคลายแรงรัดรึงบางส่วน หันไปส่งสายตาอ้อนอีกฝ่ายแทน

          ต้าเซียนเห็นดังนั้นก็ยิ้มเอ็นดู จากนั้นยกสองนิ้วขึ้นระดับอก วาดเป็นตัวอักษรกลางอากาศอย่างคล่องแคล่ว ปรากฏเป็นละอองสีทองวูบวาบในแต่ละครั้งที่ปลายนิ้วตวัดขึ้นลง ครั้นเสร็จสิ้นก็จรดปลายนิ้วกลางศีรษะเจ้างูน้อย

          ไป๋เซ่อหลับตาส่ายหัวคลอเคลียไปกับปลายนิ้วนั้น แสงสีทองค่อยๆโอบอุ้มตัวมันให้ลอยเหนือสองมือของชายหนุ่ม กระแสพลังซึ่งถูกสกัดกั้นไว้พลันทลายไปทีละส่วน ร่างกายที่เคยอึดอัดหายใจไม่สะดวกกลับกลายเป็นเบาหวิว

          พริบตาต่อมาร่างของอสรพิษสีขาวปลอดก็สว่างวาบ แล้วจึงปรากฏร่างเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าเย้ายวน ผมสีเทาปล่อยยาวสยาย สวมใส่ชุดสีเขียวอ่อนสบายตา ยิ่งสีหน้าของเจ้าตัวปลอดโปล่งสดใส ริมฝีปากเผยอยิ้มแฉ่งก็แทบทำให้ดวงตาของซวนหยวนหมิงไท่พร่าเลือนไปชั่วขณะ

          “ท่านมหาเทพ” ไป๋เซ่อร้องเสียงกังวานพลางอ้าแขนจะถลาเข้าไปสวมกอดบุรุษในดวงใจ ทว่าเพียงย่างก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งกลับยื่นดันหน้าเขาไว้จนตั้งฉาก

          "แอ่ก" คอข้า...จะหักอยู่แล้ว

          ร่างเล็กถึงกับขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก้มตัวหลบซ้ายขวา หากแต่ฝ่ามืออันหยาบกร้านกลับเกาะติดหน้าเขาไว้เหนียวแน่นยิ่งกว่าอะไรดี ให้มุมปากเขาต้องกระตุกอย่างมีโทสะ “เพ้ย เจ้าคนแซ่เซียว ไปตายซะ” ไป๋เซ่อร้องโวยวาย ระดมส่งปลายเท้าเข้าเหยียบอีกฝ่ายเต็มที่

          “หากมีความสามารถก็เข้ามา” เซียวถิงฟงในชุดเกราะสีดำกล่าวท้าทายพลางยกเท้าสลับซ้ายขวาเพื่อหลบหลีก

          ทั้งสองต่างประลองฝีเท้ากันอย่างไร้สาระอยู่ราวครึ่งเค่อ แต่กระนั้นมือของผู้เป็นแม่ทัพก็ยังคงยันอยู่ที่เดิม พลอยทำให้ไป๋เซ่อหน้าดำหน้าแดง “เซียวถิงฟง อย่าคิดว่าเจ้ามีพลังเซียนแล้วจะเอาชนะข้าได้”

          “เฮอะ นี่ข้ายังไม่ได้พลังเซียนสักเสี้ยวหนึ่งเลยนะ” เซียวถิงฟงแค่นเสียง ยิ้มกริ่มพลางยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้

          “หนอย เจ้า...” ไป๋เซ่อฟังแล้วก็ต้องขบกรามกรอดๆ ครั้นจะตวาดอีกครั้ง ร่างก็ถูกอ้อมอกที่คุ้นเคยสวมกอดแล้วยกออกมา ยังผลให้ฝ่ามือเลื่อนหลุดไปจากหน้าเขาอย่างง่ายๆ ทั้งมิต้องเสียแรงสักกะผีกเดียว

          “ถิงฟง เจ้าอย่าได้แกล้งไป๋เซ่อไป เขาพึ่งจะฟื้นฟูพลัง ย่อมสู้เจ้ามิได้”

          ประโยคดังกล่าวทำเอาดวงตาของเซียวถิงฟงต้องเลิกกว้างมองผู้เป็นสหายสนิทซึ่งรั้งตำแหน่งผู้ปกครองแคว้นในขณะนี้อย่างประหลาดใจ “ซวนหยวนหมิงไท่ ท่านเข้าข้างผู้อื่นตั้งแต่เมื่อใดกัน”

          “ไป๋เซ่อย่อมมิใช่ผู้อื่น” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มกล่าวแล้วถือโอกาสกระชับกอดร่างเล็กจากทางด้านหลัง เอ่ยเปิดเผยอย่างไม่คิดปิดบัง “เขาเป็นคนรักของข้า”

          “หา” ถ้อยคำอันน่าตกตะลึงที่เอ่ยออกมาทำเอาเซียวถิงฟงถึงกับหลุดเสียงอ้าปากค้าง แทบมิอยากเชื่อหูตัวเอง ผิดกับต้าเซียนที่มิได้มีสีหน้าแปลกใจอันใด เนื่องเพราะเขาคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว

          “เจ้า! เจ้า! เจ้า! กับงูปากพล่อยนั่น” แม่ทัพหนุ่มละล่ำละลักกล่าว ชี้นิ้วใส่คนทั้งสองไปมาด้วยสีหน้าราวกับสามพิภพกำลังถล่ม

          “ปล่อยข้าเจ้าลูกเต่า ข้าจะกระโดดกัดคนแซ่เซียวปากสุนัขนั่น” ไป๋เซ่อกระทืบเท้าร้องโวยวายภายใต้พันธนาการของชายหนุ่ม

          “เอาเป็นว่าตอนนี้เหตุการณ์ในราชสำนักเป็นเช่นไร ข้าต้องการทราบ” ซวนหยวนหมิงไท่เหงื่อตกรีบตัดบทคนทั้งสอง หันไปกล่าวถามมหาเทพแห่งแดนสวรรค์แทน

          “ตอนนี้จะนับว่าสงบก็ไม่เชิง” ต้าเซียนยิ้มฝืด หันไปมองกองฎีกาเกลื่อนกลาดบนโต๊ะ ซึ่งมีทั้งเปิดอ่านแล้วและยังมิได้อ่าน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขากับเซียวถิงฟงต้องลงมานั่งเอือมระอาอยู่บนพื้นเมื่อครู่ก่อน

          คิดๆดูแล้วปกครองสามพิภพก็ยังไม่ปวดหัวถึงเพียงนี้ ยังมีตอนออกว่าราชการที่ท้องพระโรง ขุนนางพวกนี้แทบเกิดมาเพื่อเปิดปากทุ่มเถียงกันโดยเฉพาะ เพียงเปิดโอกาสให้เขาพูดขัดไม่กี่ประโยค

          กระทั่งพ่อตาอย่างเซียวถิงหลี่ยังถือฮูป่าน[1]งาช้างยืนสัปหงกอย่างไม่เกรงใจใคร แล้วมีหรือผู้เป็นบุตรอย่างแม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟงจะไม่กระทำตาม ส่วนมหาเทพอย่างเขาน่ะหรือ? หึ หึ ก็ได้แต่ร่ำร้องน้ำตาไหลอยู่ในใจไม่รู้กี่ล้านหน

          ...โอ๊ย ข้าเบื่อจะแย่อยู่แล้ว ใครก็ได้ทำลายสมดุลโลก เปิดหลุมดำ ดูดกลืนขุนนางพวกนี้เข้าไปที

          เพียงแค่เห็นสีหน้าจะร้องไห้ของต้าเซียน ซวนหยวนหมิงไท่ก็พอจะเดาได้ ใช่ว่าเขาไม่รู้ฤทธิ์ฝีปากขุนนางเหล่านี้ “ลำบากพวกท่านแล้ว” เขายิ้มบางเป็นเชิงขอบคุณ

          หากมิได้เซียวถิงฟงดูแลความสงบในวังหลวงและต้าเซียนที่ปลอมแปลงเป็นเขาออกว่าราชการแทน เกรงว่าสถานการณ์ของเขาคงจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว คิดจบสีหน้าก็ปรับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม หันไปกล่าวถามสหายสนิทเซียวถิงฟง

          “เกากงกงยังอยู่หรือไม่ ข้าต้องการพบเขา”


 

********************************************************

 

          “ทางนี้เกากงกง” เมื่อมาถึงที่หมาย เอ้อหู รองทัพแม่ทัพภายใต้สังกัดกองธงพยัคฆ์ก็บอกกล่าวกับชายสูงอายุที่มีเส้นผมขาวโพลน สีหน้ายังไม่คลายความโศกเศร้า

          เกากงกงในชุดขันทีสีแดงเลือดหมูเงยหน้าขึ้นมองห้องทรงพระอักษรอย่างเงียบๆ เพียงวูบหนึ่งก็ก้มหน้าก้าวเข้าไปในห้องที่มีบุคคลผู้สูงส่งรออยู่

          เดิมทีตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจากไป ตนซึ่งเป็นขันทีประจำพระองค์ก็อยู่ภายใต้การคุ้มครองจากแม่ทัพใหญ่เซียวเรื่อยมา แลพระราชโองการอันมีเนื้อความแต่งตั้งองค์รัชทายาทก็เป็นตนเก็บรักษาเอาไว้

          จวบจนพบแผ่นหลังดุจภูผาแกร่งในอาภรณ์เรียบง่ายสีน้ำเงิน กำลังยืนหันหลังให้ตนบริเวณโต๊ะกว้างสีทอง เกากงกงที่เริ่มเดินเหินมิค่อยสะดวกก็ก้มลงคุกเข่าถวายพระพร

          “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆปี”

          “..........” ซวนหยวนหมิงไท่ฟังแล้วก็ต้องชะงักเงียบไป ดวงตาหม่นแสงลงเล็กน้อย หากบอกว่าเสี่ยวลู่ติดตามเขามาหลายสิบปี หัวหน้าขันทีเกากงกงผู้นี้ก็คอยปลอบโยน ช่วยเหลือ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบนับตั้งแต่เขาขาดมารดาเรื่อยมา

          เขาถอนหายใจยาวก่อนย่างก้าวไปหาชายชราซึ่งเปรียบเสมือนไม้ใกล้ฝั่ง จากนั้นก้มลงประคองอีกฝ่ายขึ้นมา “เกากงกง มิต้องมากพิธี ท่านเองก็อายุมากแล้วลุกขึ้นเถิด อย่าคุกเข่าอีกเลย”

          “กระหม่อม...ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง” เกากงกงตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แววตาเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง ก่อนลุกขึ้นยืนโดยมีทายาทมังกรช่วยพยุงแขนไว้

          “เกากงกง ข้าอกตัญญูนัก เสด็จพ่อจากไป หากแต่ผู้เป็นบุตรอย่างข้ากลับมิได้ทันดูใจพระองค์” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยด้วยความรู้สึกผิด แม้จะรู้พระอาการประชวรอยู่คร่าวๆ แต่ก็มิได้คิดว่าผู้เป็นบิดาจะจากไปโดยไม่ทันให้เขาตั้งตัวเช่นนี้

          “อย่าทรงตรัสเช่นนี้ นี่มิใช่ความผิดของฝ่าบาท ก่อนฝ่าบาทพระองค์ก่อนจะจากไป ก็ทรงมิได้เอ่ยโทษพระองค์แม้แต่น้อย” เกากงกงรีบส่ายหน้าทั้งน้ำตา

          ซวนหยวนหมิงไท่สูดหายใจลึก คล้ายมีบางอย่างติดขัดอยู่ภายใน “เช่นนั้นก่อนที่เสด็จพ่อจะจากไป ท่าน...ท่านได้รับสั่งถึงข้าบ้างรึไม่”

          ขันทีชราคล้ายรับรู้ความอัดอั้นตันใจของร่างสง่างาม จึงกำชับมือที่ประคองตนไว้ให้มั่น เงยหน้ามองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำที่มีร่องรอยหมองเศร้า แล้วจึงเค้นเสียงกล่าวอย่างเป็นห่วงเป็นใย “ฝ่าบาทพระองค์ก่อนเพียงต้องการให้พระองค์อยู่อย่างมีความสุข มิปรารถนาให้พระองค์ต้องจมอยู่แต่กับความเศร้า และยิ่งมิต้องการให้พระองค์ถูกกลืนกินด้วยสถานที่เลือดเย็นแห่งนี้”

          รับฟังจบดวงตาของซวนหยวนหมิงไท่ก็ทอประกายวูบ นึกไม่ถึงว่าเสด็จพ่อจะตรัสสั่งเสียไว้เช่นนี้ ในความทรงจำที่ผ่านมา ผู้เป็นบิดาเอาแต่ทรงงานหนัก และมักหยิบยื่นเพียงความเหินห่างให้ ยิ่งก้าวเข้าใกล้มากเท่าใด พระองค์ก็ยิ่งตีตัวออกห่างมากเท่านั้น ดังนั้นความสัมพันธ์บิดากับบุตรจึงฉาบทับด้วยความเย็นชาที่มองไม่เห็น

          ทว่าในทางกลับกันสิ่งนี้กลับเป็นวิธีที่เสด็จพ่อใช้ปกป้องเขา ปกป้องจากเหล่าขุนนาง ปกป้องเขาจากวังหลวงที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี เพื่อให้เขาหยัดยืนขึ้นด้วยพละกำลังของตนเองในวันที่พระองค์มิได้อยู่บนโลกอีกต่อไป

          “ข้าจะไม่ทำให้พระองค์ผิดหวัง” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวน้ำเสียงหนักแน่น สีหน้ามุ่งมั่น ส่งผลให้รอบตัวทอประกายทรงอำนาจดูน่าเกรงขาม

          คล้อยหลังเกากงกงจากไป ภายในห้องจึงเหลือคนอยู่สี่คนดังเดิม ไป๋เซ่อควงพู่กันหางพังพอนออกสำรวจหาของเล่นในห้องทรงพระอักษร ด้านเซียวถิงฟงกับต้าเซียนที่กลับคืนร่างเดิมก็ช่วยกันม้วนเก็บฎีกาที่วางเกลื่อนกลาด ทั้งยังจัดเรียงฎีกาเร่งด่วนให้

          “พรุ่งนี้ตอนเช้า ตอนท่านออกว่าราชการอาจจะมีเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่สักหน่อย” ต้าเซียนเอ่ยขึ้น ดวงตายังคงจับจ้องไปทางฎีกาม้วนหนาที่พึ่งถูกม้วนเก็บไปวางแน่นิ่งในฎีกากองธรรมดา

          “หือ” ซวนหยวนหมิงที่กำลังขมวดคิ้วอ่านฎีกาม้วนหนึ่งต้องหลุดเสียงสงสัย

          “เอาเป็นว่าท่านเตรียมใจไว้ นี้ก็ดึกมากแล้ว ข้ากับต้าเซียนมิได้กลับบ้านมาหลายวัน ยามนี้คงต้องขอตัวก่อน” เซียวถิงฟงแสร้งตัดบทมิให้สหายมีโอกาสเอ่ยถามถึงอีก 

          ต้าเซียนเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ทว่าก่อนไปก็ส่งปลายนิ้วลูบไล้ฎีกาเจ้าปัญหาอย่างปกติ กระนั้นดวงตาคู่สีน้ำตาลอ่อนพลันสับเปลี่ยนเป็นสีทองวูบหนึ่ง ก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งการกระทำของเขาหาได้มีใครสังเกตเห็นหรือเข้าใจ เว้นเพียงร่างในชุดเกราะที่มองอย่างรู้ความ

          “เดี๋ยวๆ รอข้าก่อน ข้ากลับด้วย”

          ระหว่างที่เซียวถิงฟงกับต้าเซียนกำลังเตรียมตัวกลับกันอยู่นั้น จู่ๆไป๋เซ่อก็โพล่งออกมา สองขาวิ่งเข้าหาทั้งคู่ด้วยความรวดเร็ว ทั้งนี้ยังมิลืมหยิบเอาเต่าหินที่ใช้ทับกระดาษไปเป็นของติดไม้ติดมือมาด้วย ยังผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องชะงักทิ้งฎีกาในมือลงบนโต๊ะ

          “ไม่ได้/ข้าไม่อนุญาต”

          เสียงของบุรุษทั้งสองดังขึ้นกันอย่างพร้อมเพรียง หนึ่งเป็นเสียงแตกตื่นของรัชทายาทหนุ่ม และอีกหนึ่งเป็นเสียงของเซียวถิงฟงที่เอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ ดวงตายังถลึงบ่งบอกความไม่ยินยอม

          แค่กลางดึกทุกวันนี้เจอเจ้าเด็กเฟยเทียนก่อกวน ลอบปีนขึ้นเตียงแล้วมุดเข้ามานอนเบียดตรงกลางระหว่างเขากับต้าเซียน ประสาทเขาก็เสียมากพออยู่แล้ว หากยังตื่นขึ้นมาพบเจ้างูเผือกปากร้ายเข้าอีก เขาคงจะถึงขั้นเสียสติเลยทีเดียว

          “คนแซ่เซียว ใครเขาขออนุญาตเจ้ากัน” ไป๋เซ่อสวนตวาดทันควัน ก่อนเปลี่ยนมาส่งยิ้มออดอ้อนให้กับท่านมหาเทพ

          ฝ่ายต้าเซียนกลับชำเลืองมองซวนหยวนหมิงไท่ เห็นชายหนุ่มมีสีหน้าลนลานก็ต้องลอบขบขันอยู่ในใจ บุรุษผู้สุขุมเยือกเย็นเสมอมา ในยามนี้กลับมีท่าทีร้อนรนไม่ติดที่ มิหนำซ้ำยังพยายามส่งสายตาเป็นเชิงอ้อนวอนเขาเป็นการใหญ่ “ไป๋เซ่อ เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ ข้ากับถิงฟงมิได้กลับบ้านมาหลายวัน ป่านนี้เฟยเทียนคงเตรียมอาละวาดชุดใหญ่แล้ว”

          ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็ยิ้มค้างคอตก ฝันสลายเมื่อจะมิได้นอนกอดท่านมหาเทพให้หนำใจ ซวนหยวนหมิงไท่ก็คล้ายรู้ความคิดของร่างเล็กจึงรีบเข้ามาปลอบโยน

          “เอาเถิดที่นี่ก็เป็นบ้านเจ้าเช่นเดียวกัน หากนอนไม่หลับ ข้าจะนอนเป็นเพื่อนเจ้าเอง”

          มองรอยยิ้มที่เหยียดกว้างขึ้นทุกทีๆ ไป๋เซ่อก็ต้องกรอกตาเสมองไปทางอื่น เห็นแก่หน้าท้องที่หนุนสบายกำลังดีของเจ้า ข้าก็จะละเว้นให้สักครั้งก็แล้วกัน ว่าแล้วก็แค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างช่วยไม่ได้ “เฮอะ”

          ด้วยท่าทียอมรับกลายๆนี้ ส่งผลให้เขาโล่งอก ทว่าในเวลาเดียวกัน เสียงกวนของผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ที่กำลังก้าวขาพ้นประตูก็แว่วเข้าสู่โสตประสาท

          “ต้าเซียนในที่สุดเจ้าก็กลับร่างเดิมเสียที บอกตรงๆตัวเจ้าในร่างซวนหยวนหมิงไท่ นี่มันออกจะ...เฮ้อ” ทำใจกอดไม่ลง เซียวถิงฟงกล่าวแล้วก็ส่ายหน้าให้ต้าเซียนอย่างทนรับไม่ได้

          “ทำไม ร่างข้ามันทำไมกัน” ฟังแล้วเส้นเลือดบนหน้าผากถึงกับกระตุกขึ้น เห็นทีเขาพอจะเข้าใจไป๋เซ่อแล้วว่าทำไมจึงชอบต่อล้อต่อเถียงกับเซียวถิงฟงนัก ใครใช้ให้สหายผู้นี้ปากไม่มีหูรูดเอาเสียเลย

          “เพ้ย หูไวจริงๆ” ผู้เป็นแม่ทัพได้ยินเสียงเอาเรื่องดังไล่หลังก็กล่าวสบถ คว้าจูงมือเจ้าของร่างสีขาวบริสุทธิ์ที่กำลังส่งเสียงหัวเราะเยาะตนแล้วนำพาจากสถานที่แห่งนี้โดยไว


 

********************************************************

 

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 20.2 ผู้ครองแคว้น



          ยามเช้าตรู่ที่ท้องฟ้ายังไม่สว่างดี ซวนหยวนหมิงไท่ลืมตาตื่นขึ้นอย่างรู้เวลา ดูว่าหน้าท้องยังคงอึดอัดเหมือนเคย แต่กระนั้นก็เรียกรอยยิ้มในเช้าวันใหม่ให้แก่เขาได้เป็นอย่างดี

          มือหนึ่งเลิกผ้าห่มขึ้นก็พบร่างเล็กนอนอุตุซุกหน้าไปกับหน้าท้องของเขา มุมปากยังเอ่อล้นไปด้วยน้ำลาย ดังนั้นได้แต่ขยับศีรษะนี้ให้หนุนนอนบนหมอนนกเป็ดน้ำอย่างเบามือ ขณะกำลังหย่อนขาลงจากเตียง ด้านนอกผ้าม่านโปร่งสีขาวกลับมีเงาร่างคนผู้หนึ่งเข้ามาในห้อง

          “เกากงกง” ซวนหยวนหมิงไท่เลิกผ้าม่านเอ่ยเสียงเบา มองดูของมืออีกฝ่ายก็พบอ่างล้างหน้าที่มีควันฉุย

          “โปรดให้กระหม่อมรับใช้ฝ่าบาทเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเถิดพะยะค่ะ” ขันทีผู้ชราก้มหน้ากล่าว

          “ท่านจะมิคิดใคร่ครวญอีกสักหน่อยหรือ” พูดจบก็วักน้ำขึ้นล้างหน้า ต่อด้วยรับน้ำเข้าบ้วนปาก

          เกากงกงพลันหัวเราะน้อยๆ ก่อนยื่นส่งผ้าสะอาดให้ “ฝ่าบาท แคว้นซวนหยวนผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ บ้านเมืองจำเป็นต้องมีคนหนุ่มขับเคลื่อน ยังมีเสี่ยวลู่ เขารับใช้ฝ่าบาทมานาน แม้ขาดตกบกพร่องไปบ้าง แต่เขาก็ฉลาดเฉลียวอดทนต่อความลำบากได้ไม่เลว หากขัดเกลาอีกสักหน่อย ภายภาคหน้าย่อมช่วยงานฝ่าบาทได้มาก ส่วนคนแก่อย่างกระหม่อม ถึงเวลากลับบ้านเกิด มองดูลูกหลานเติบโตเพียงอย่างเดียวแล้ว” กล่าวไปพลางคลุมเสื้อให้ร่างสง่างามอย่างคล่องแคล่ว

          นึกดูแล้วก็พลอยให้เขายิ้มบาง เป็นเกากงกงที่คัดเลือกให้เสี่ยวลู่ ขันทีซื่อๆตัวน้อยนิดมารับใช้เขา จึงอดกล่าวชื่นชมมิได้ “นี่เป็นเพราะท่านสั่งสอนและเข้มงวดกับเขาแต่เด็ก”

          กระทั่งจัดแจงชุดทรงอำนาจบนเรือนกายดีแล้ว ประตูห้องบรรทมจึงเปิดกว้าง หน้าห้องมีเสี่ยวลู่ในชุดหัวหน้าขันทีสีแดงเลือดหมูยืนรอน้ำตาซึมอยู่ แลจังหวะที่กำลังก้าวพ้นประตูห้อง ซวนหยวนหมิงไท่ก็หยุดฝีเท้า เอื้อนเอ่ย “เดินทาง โปรดระวังตัวด้วย”

          พระสุรเสียงจริงใจเอ่ยจบก็ย่างก้าวไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าที่หนักแน่น เกากงกงได้แต่มองตามแผ่นหลังประดุจหินผา สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ บัดนี้บุรุษผู้นี้มิใช่เด็กน้อยที่ไร้กำลังเช่นในอดีต และยิ่งมิใช่องค์รัชทายาทที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ระมัดระวังไว้ซึ่งทุกฝีก้าวจากคนรอบตัว หากแต่เป็นฮ่องเต้ผู้ปกครองแคว้นซวนหยวนอันยิ่งใหญ่ในขณะนี้

          ครั้นออกจากตำหนัก ขบวนเสด็จก็เคลื่อนที่ไปยังหน้าท้องพระโรง ซวนหยวนหมิงไท่มองตรงเข้าไปก็พบเหล่าบรรดาขุนนางที่ยืนเข้าแถวซ้ายขวาอย่างเป็นระเบียบ ตรงกลางเป็นบัลลังก์มังกรสีทองซึ่งว่างเว้นไว้ รอเพียงบุคคลที่เหมาะสมก้าวขึ้นไปครอบครอง

          ความรู้สึกแรกที่นั่งในตำแหน่งที่สูงที่สุดกลับมิได้สบายอย่างที่ใครๆคิด บัลลังก์กว้างและแข็งผลักดันให้ผู้เป็นเจ้าของต้องตระหนักถึงภาระหน้าที่ที่พึงปฏิบัติทุกช่วงขณะ ยังมีขุนนางเบื้องหน้าที่คล้ายกดดันให้เขามิอาจผ่อนคลายหรือเสียสมาธิทุกชั่วครู่ชั่วยาม

          หลังจากนั้นการประชุมเช้าจึงดำเนินไปอย่างเคร่งเครียด เรื่องเร่งด่วนมีเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ยิ่งปล่อยทิ้งไว้นานปัญหาก็ยิ่งยากแก่การแก้ไข เขาใช้เวลาครุ่นคิดรับฟังความเห็นขุนนางแต่ละคนอย่างถี่ถ้วน ไม่นานก็เอ่ยถึงวิธีจัดการกับปัญหา เหล่าขุนนางดูแปลกใจไม่น้อยกับท่าทีของเขาที่มิได้นั่งนิ่งเงียบเช่นวันที่ผ่านมา แต่กระนั้นก็ยังน้อมรับคำสั่งแต่โดยดี

          รอจนตะวันขึ้นเหนือศีรษะ ในสองชั่วยามที่ผ่านมาข้อราชการทั้งหลายแหล่ล้วนจัดการไปได้ด้วยดียิ่ง แต่ทว่าเมื่อขุนนางร่างสูงผอมอายุวัยสี่สิบกว่าก้าวตรงออกมา ยื่นสองมือที่ถือฮูป่านออกมาแล้วค้อมตัวก้มศีรษะลงกล่าวตัดหน้าเขาในขณะที่กำลังเอ่ยปากบอกเลิกประชุม ชั่วพริบตานั้นทั่วทั้งท้องพระโรงก็บังเกิดตกอยู่ในความอื้ออึงชุดใหญ่

          ทว่าในอีกด้านหนึ่ง ณ ตำหนักหลังใหญ่อันแสนจะเงียบสงบ บรรยากาศร่มรื่นผ่อนคลาย ปรากฏร่างหนึ่งพึ่งตื่นจากฝันหวาน ทั้งกำลังกลิ้งตัวไปมาบนเตียงไม่ยอมลุก กระทั่งผ่านพ้นไปสักระยะจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นกรอกสายตาไปรอบๆห้อง

          “เพ้ย เจ้าลูกเต่าหายไปไหนกัน หากจะทิ้งกันแบบนี้ก็ช่วยทิ้งอาหารไว้ให้ข้าด้วยสิ” ไป๋เซ่อผุดลุกขึ้นนั่งแล้วก่นด่าอย่างหงุดหงิด เมื่อมิเห็นเจ้าของตำหนักโผล่หัวกลับมาสักทีก็คงมีแต่ต้องคิดหาทางอื่น

          ร่างเล็กใช้เวลาคิดไม่นานดวงตาสีฟ้าอมเขียวก็พลันฉายแววซุกซน ก่อนส่งเสียงหัวเราะลอดไรฟัน “ชี่ ชี่ ชี่ หากยังรอเจ้าอีก เห็นทีข้าคงได้กลายเป็นงูตากแห้งแล้ว”

          ว่าแล้วก็กระโดดลงจากเตียง หมุนตัวคราหนึ่งอาภรณ์สีเขียวอ่อนก็สวมทับกายเสร็จสรรพ จากนั้นถลาออกจากทางหน้าต่างมุ่งตรงไปทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว มิทันได้เห็นขันทีผู้หนึ่งเดินถือสำรับอาหารชุดใหญ่เข้ามาวางไว้ด้านใน

          ไป๋เซ่อตรงไปยังห้องเครื่องที่รู้จักเป็นอย่างดี ในยามใกล้เที่ยงเช่นนี้ย่อมต้องจัดเตรียมอาหารไว้ให้เจ้านายในวังเรียบร้อยแล้ว ซึ่งไม่ต่างไปจากที่คิด บัดนี้อาหารหลากตาวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ส่งผลให้เขาที่หลบอยู่นอกห้องถึงกับน้ำลายสอ

          ร่างเล็กรอจนขันทีนางกำนัลออกไปส่งอาหารจนหมดก็ลอบเข้าไปหยิบฉวยน่องไก่ชิ้นอวบมาสองชิ้น บวกกับขนมหวานจานหนึ่งที่ดูน่ากิน ขณะกำลังคิดว่าจะนั่งกินที่ใดให้สบายใจ ก็พลันนึกถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่แลดูเงียบสงบ ทั้งยังมีของเล่นเยอะแยะให้หยิบจับ

          ต่อเมื่อมาถึงห้องทรงพระอักษรอันไร้ผู้คน ไป๋เซ่อก็กระโดดไปนั่งบนเก้าอี้สีทอง จากนั้นเริ่มต้นกัดแทะน่องไก่คำโตอย่างเอร็ดอร่อย ทว่าไม่นานนักที่ด้านนอกกลับมีเสียงผู้คนกลุ่มหนึ่ง ร่างเล็กได้แต่ส่งเสียงจิ๊จ้ะในลำคออย่างขัดใจ มือหนึ่งรวบจานขนมไว้บริเวณในอก สองขาถีบตัวขึ้นไปซ่อนตัวบนขื่อตำหนักอย่างเงียบเชียบ

          “ขุนนางพวกนี้น่าตายนัก ข้าขึ้นครองบัลลังก์มิกี่วัน กลับกล้าพูดถึงเรื่ององค์รัชทายาท มิเท่ากับแช่งให้ข้าอายุสั้นหรอกรึ”

          เป็นซวนหยวนหมิงไท่ที่ก้าวนำหน้าผู้คนเข้ามาอย่างหัวเสีย ครั้นพูดจบก็สะบัดปลายแขนเสื้อไปไขว้หลังอย่างมิพอใจ ฝ่ายเซียวถิงฟงในชุดเกราะที่เดินตามเข้ามาเห็นอารมณ์ที่ไม่ลดลงสักนิดของจักรพรรดิหนุ่มก็ต้องเอ่ยขึ้น

          “ฝ่าบาท ความจริงพวกเขาก็ใช่ไม่มีเหตุผล” ทว่าเพียงเอ่ยสั้นๆ มังกรหนุ่มก็หันขวับมาถลึงตาใส่ ทำให้เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจ กล่าว “ซวนหยวนหมิงไท่ ยามนี้ท่านขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นซวนหยวน แต่ท่านนึกดูวังหลังของท่านมีผู้ใดอาศัยอยู่บ้าง”

          เซียวถิงฟงเอ่ยเตือน ทำให้เขานิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ด้วยนึกขึ้นได้ว่ายามนี้วังหลังขาดประมุขฝ่ายใน ซึ่งเดิมทีบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนี้อย่างฮองเฮาเซิงกลับถูกกุมตัวอยู่ในตำหนักเย็น เนื่องด้วยโทษทัณฑ์กบฏ แลนับแต่นั้นฝ่ายในก็รกร้างราวป่าช้าเป็นต้นมา

          ยังมีอีกประการหนึ่งแม้สถานะฮ่องเต้จะอยู่เหนือคนทั่วหล้า คุกเข่าเพียงฟ้า แต่กระนั้นก็มิใช่ว่าจะสามารถเมินคำขุนนางทั่วทั้งแผ่นดิน หรือกระทำตามใจนึกได้ เรื่องนี้เขาเข้าใจดี แต่คิดแล้วก็ทำให้กลุ้มนัก เห็นทีมรสุมลูกใหญ่ผ่านพ้นไป มรสุมลูกเล็กก็เตรียมรอถล่มเขาให้เละอยู่เช่นกัน

          “จะอย่างไรฝ่ายในก็ต้องมีคนปกครอง เอาเป็นว่าท่านลองเลือกๆดูก็มิเสียหาย เพียงสามคนเท่านั้น หากแต่งตั้งแล้วท่านจะมิดูดำดูดีหรืออยากจะเอ็นดูพวกนางก็ตามแต่ท่าน” กล่าวจบเซียวถิงฟงก็เดินไปหยิบฎีกาม้วนหนาจนแปลกตาจากกองฎีกาที่ไม่เร่งด่วนขึ้นมา จากนั้นยัดใส่มือคนที่ทำหน้าทะมึน ซึ่งซวนหยวนหมิงไท่ก็รับมาอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนไล่เปิดดูผ่านๆอย่างไม่แยแส เห็นดังนั้นเซียวถิงฟงก็ตัดสินใจกล่าวอีกสักประโยค “บางทีท่านอาจจะเจอคนถูกใจก็เป็นได้ใครจะไปรู้”

          จักรพรรดิหนุ่มถึงกับมองอีกฝ่ายตาขวาง แล้วจึงไล่เปิดดูอีกครั้งอย่างจำใจ ดูว่าภาพสตรีในม้วนฎีกานี้ก็พอมีคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง แต่หากจะให้ต้องเลือกก็คงต้องหาคนที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่เป็นพิษเป็นภัยสักเท่าไหร่ ทั้งนี้ต้องไม่ระรานเขากับคนสำคัญของเขาด้วยเช่นกัน

          จวบจนกระทั่งเปิดไปจนถึงหน้าสุดท้าย พอถึงร่างวาดหนึ่งสีหน้าที่ดูไม่ได้ก็พลันเปลี่ยนเป็นตกตะลึงวูบ ทั้งยังดับความโกรธเกรี้ยวในใจเป็นปริบทิ้ง เขาย้ายสายตาขึ้นมองเซียวถิงฟงอย่างแปลกใจ “นี่...เจ้ากับต้าเซียน”

          “เห็นไหมข้าบอกแล้ว คนมีตั้งเยอะต้องมีถูกใจท่านแต่งตั้งเป็นพระสนมบ้างสักคน” เซียวถิงฟงยักไหล่อย่างกวนๆ “หากฝ่าบาทไม่มีอะไรแล้ว ข้า...ทูลลา” เขาก้มคำนับอย่างส่งๆ ก่อนจะหันหลังก้าวไปยังประตูทางออกโดยไม่ทนรอฟังคำอนุญาต

          คำพูดกึ่งนอบน้อมกึ่งเป็นกันเองแทบมิเข้าหู เพลานี้ใจของซวนหยวนหมิงไท่ล่องลอยไปอยู่ที่อื่นแล้ว “กลับตำหนักใหญ่” สิ้นเสียงตะโกน ฎีกาก็ถูกโยนไปข้ามศีรษะไปอย่างไม่ไยดี สองเท้าจ้ำอ้าวไปยังที่หมาย

          ถึงตอนนี้ไป๋เซ่อที่ซ่อนตัวบนขื่อก็ได้โอกาสกระโดดลงมาด้านล่าง ทว่าในใจคล้ายมีเปลวไฟแผดเผา ดวงตาสีฟ้าอมเขียวเต็มไปด้วยโทสะ “หนอย เจ้าลูกเต่าคิดจะแต่งเมีย ยังจะกล้าบอกรักผู้อื่นอีก คอยดูหากเจอเจ้าอีกเมื่อไหร่ ข้าจะตะบันหน้าเจ้าให้คอหักตายไปเลย เฮอะ”

          แม้ไป๋เซ่อจะก่นด่า แต่สองขากลับนำพาตนเองมาหยุดลงตรงม้วนฎีกาที่ตกอยู่บนพื้น มองมันอยู่ครู่หนึ่งก็ตระหนักได้ว่ามิอาจห้ามใจที่อยากรู้อยากเห็น จึงได้แต่ก้มลงหยิบมันขึ้นมาด้วยท่าทีคล้ายไม่เต็มใจ

          เมื่อเปิดออกดูภาพร่างหญิงงามมากมายก็ปรากฏแก่สายตา รวมไปถึงประวัติความสามารถของพวกนางที่เรียกว่าไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย เขาดูไปอารมณ์โกรธเกรี้ยวในอกก็เพิ่มขึ้นทีละส่วน อดไม่ได้ที่จะดูไปค่อนแคะไปไม่หยุดปาก

          “ดูคนนี้สิตาเหล่ถึงเพียงนี้กลับกล้าเอามาคัดเลือกได้อย่างไร คนนี้ก็อีกปากเบี้ยวเสียจนเวลาดับไฟข้ายังกลัวเลย อ่ะ ฮ่า ฮ่า คนนี้แก้มแดงเป็นตูดลิง นี่คิดจะแต่งเมียหรือแต่งลิงกันแน่...”

          “ยังมีคนนี้ใบหน้าเรียวรูปไข่ ดวงตาเย้ายวนจะไปหลอกล่อผู้ใดกัน แบบนี้มันอสรพิษชัด...ชะ ว๊ากกก” ร่างเล็กดูไปก็แทะน่องไก่ไป จวบจนถึงภาพสุดท้าย เขาก็เป็นอันต้องผงะหงายหลังก้นจ้ำเบ้า ม้วนภาพและกระดูกไก่ต่างกระเด็นหลุดมือ เหงื่อกาฬพากันหลั่งไหลเต็มหน้าผาก ม่านตาสีฟ้าอมเขียวเลิกกว้างอย่างตกใจ

          “ไม่ได้การ ไม่ได้การแล้ว” ไป๋เซ่อได้แต่พึมพำทำอะไรไม่ถูก สองขาวิ่งวนไปรอบห้อง แลสักพักหนึ่งจึงคิดขึ้นได้

          “ใช่แล้ว ข้า...ต้องหนี ต้องหนีแล้ว”


 


[1] ฮูป่าน(笏板)แผ่นป้ายเตือนความจำหรือสมุดจดบันทึกที่ขุนนางจีนพกติดตัวทุกครั้งที่มีการถวายรายงานเหตุการณ์บ้านเมืองต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ในท้องพระโรง

 

********************************************************

 

- บทนี้เรื่อยเอื่อยหน่อยน้า ส่วนบทหน้าหงเว่ยน่าจะได้กลับมาเเล้ว...ม้างงง แอบรู้สึกพลอตในหัวเยอะ เยอะจนจะจบเรื่องใน 30 บทได้รึเปล่า 5555+ ติดตามกันต่อด้วยน้าาา

- กำลังคิดว่าจะเปลี่ยนชุดมังกรของซวนหยวนหมิงไท่เป็นสีดำเเดงจะเท่กว่าสีเหลืองอร่ามอ้ะป่าว เพื่อนๆเม้นบอกกันได้น้า

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 21.1 พระสนม

 

          ซวนหยวนหมิงไท่รีบเร่งกลับตำหนักเฉียนชิง ทิ้งให้ขบวนเสด็จกลุ่มใหญ่ปาดเหงื่อวิ่งเหยาะๆตามหลังไปตลอดทาง เพลานี้เขาไม่มีแก่ใจจะนึกถึงเรื่องใด เพียงต้องการพบหน้าคนที่ชอบยิ้มแฉ่งอยู่เนืองๆ

          “ไป๋เซ่อ” ครั้นก้าวสู่ห้องบรรทมก็ร้องเรียก แต่แล้วสีหน้าประดับรอยยิ้มก็มีอันต้องชะงักค้าง คนที่ควรอยู่กลับไม่อยู่อีกต่อไป หลงเหลือเพียงขันทีผู้หนึ่งและนางกำนัลราวสองสามคนคุกเข่าก้มหน้าตัวสั่น

          “เกิดอะไรขึ้น เขาไปไหน”

          ด้วยน้ำเสียงทรงพลังกึ่งตวาด ทำเอาเหล่าคนที่คุกเข่าสั่นเป็นเจ้าเข้า รอจนครู่หนึ่งขันทีทางด้านหน้าสุดข่มความกลัวก็ละล่ำละลั่กตอบ “ฝ่าบาท เป็นพวกกระหม่อมขาดตกบกพร่อง ค่ะ คุณชายท่านนั้น...หายไปแล้ว”

          เดิมทีห้องบรรทมแห่งนี้เป็นที่พำนักส่วนพระองค์ กระทั่งองครักษ์ประจำตำหนักยังไม่มีสิทธิ์เหยียบย่างเข้ามา ทำให้ไม่รู้ว่าคนหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่

          หายไปแล้ว...ได้อย่างไรกัน

          ดวงตาของสีดำขลับเลิกกว้างอย่างไม่เข้าใจ ร่างกายแข็งทื่อไปชั่วขณะ ขันทีคนดังกล่าวสังเกตเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของโอรสสวรรค์ก็รีบโขกศีรษะกับพื้นจนเกิดเสียงดังปึง ส่งผลให้นางกำนัลที่เหลือรีบกระทำตาม

          เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ เสี่ยวลู่ซึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ สองมือใช้ไม้เท้าช่วงพยุงตัวต้องขึ้นเสียง “พวกเจ้า เกิดอะไรขึ้น”

          “ลู่กงกง ก่อนยามเที่ยงข้าน้อยยกสำรับอาหารมาให้คุณชายไป๋ แต่ตอนที่มาถึงคุณชายก็มิได้อยู่ในห้องแล้ว ส่วนนางกำนัลพวกนี้ก็ยืนยันได้ว่าไม่เห็นผู้ใดออกมาจากห้อง”

          “เหลวไหลทั้งเพ คนอยู่ดีๆจะหายตัวไปได้อย่างไร” เสี่ยวลู่ตวาดใส่ กระนั้นกลับลืมนึกไปว่าบุคคลซึ่งมีความสัมพันธ์ลับๆกับนายเหนือหัว เป็นคนผู้เดียวกับคนที่ทำให้เขาต้องหัวหมุนครั้งพักในจวนเจ้าเมืองตงหัวอยู่บ่อยๆ

          “หรือว่า...” คล้ายมีบางอย่างดลใจ ซวนหยวนหมิงไท่พานนึกถึงสถานที่ที่พึ่งจากมา มิรอให้เสี่ยวลู่เอะใจ เขาก็รุดฝีเท้าทะยานตัวออกจากห้องไปก่อนแล้ว

          จักรพรรดิหนุ่มใช้กำลังภายในย้อนกลับไปยังตำหนักทรงพระอักษร และดูว่าลางสังหรณ์เขามิผิดไป เพราะเมื่อย่างก้าวเข้าไปในห้องกว้างอันเงียบสงัด ณ กึ่งกลางห้องกลับมีกระดูกไก่ชิ้นเบ้อเริ่มไม่ทราบที่มาตกอยู่ใกล้ฎีกาที่คว่ำหน้าบนพื้น 

          เขาก้มลงหยิบม้วนฎีกา ไม่นานนักภาพร่างแสยะยิ้มให้กับลูกพลับในสวนของไป๋เซ่อก็ปรากฏสู่สายตา ด้านล่างของมุมภาพยังเพิ่มด้วยรอยนิ้วมือมันย่องสองจุด ดูจากสภาพรีบร้อนจากไป กระทั่งน่องไก่ยังมีเนื้อติดกระดูกอยู่ ร่างสง่างามก็พอจะเข้าใจความคิดของร่างน้อย

          ...ไป๋เซ่อ เจ้าคิดหนีอย่างนั้นหรือ

          “ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นหรือพะยะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จิ้งได้รับรายงานเกี่ยวกับท่าทีผิดแผกของเจ้าชีวิตก็รีบดิ่งตามเสด็จพระองค์มาทันที

          สมองอันว่างเปล่าพลันหลุดจากภวังค์ทันทีที่ได้ยินเสียงผู้มาใหม่ ทันใดนั้นความคิดดื้อรั้นก็แล่นวูบ

          ข้าไม่ยอม ไม่ยอมให้เจ้าหนี เป็นเจ้าทำให้ข้ากระวนกระวาย ไม่เป็นตัวของตัวเอง ฉะนั้นไป๋เซ่อ...เจ้าต้องรับผิดชอบ

          ซวนหยวนหมิงไท่หันขวับกะทันหัน ยังผลให้หัวหน้าองครักษ์จิ้งตกใจเล็กน้อยด้วยสัมผัสถึงบรรยากาศกดดัน

          “สั่งการลงไป ให้องครักษ์ของเราออกตามหาไป๋เซ่อโดยด่วน หากพบเขาที่ใดให้ขวางเขาไว้ อย่าให้เขาออกจากวังหลวงไปได้ จากนั้นรีบส่งคนมาแจ้งข้าโดยด่วน”

          “พะยะค่ะ” ร่างบึกบึนรับคำเสร็จก็เตรียมล่าถอย แต่แล้วฝีเท้าก็มีอันต้องหยุดชะงัก เมื่อจู่ๆน้ำเสียงเครียดกลับหยุดเขาไว้

          “ช้าก่อน หากทำผู้ใดทำเขาบางเจ็บแม้แต่เพียงปลายก้อย...”

          ฝ่าบาทตรัสถึงตรงนี้ ดวงตาสีดำขลับที่มักทอแววเมตตาก็ตาลปัตรแปรเปลี่ยนเป็นคมกริบเย็นชา หัวหน้าองครักษ์จิ้งใจหายวาบ ลอบนึกในใจ...บั่นศีรษะสินะ

          “อ่อ ยังมีอีก หากพบงูเผือกเลี้ยงของข้าก็ให้กระทำเช่นเดียวกัน และที่สำคัญห้ามทำให้มันบอบช้ำแม้แต่น้อย มิเช่นนั้น...”

          ประหารเก้าชั่วโครตสินะ...ไม่ต้องบอกเขาก็พอจะเดาได้ ยังมีสายตาที่ทำให้คนต้องหนาวๆร้อนๆคู่นั้นอีก “เอ่อ กระหม่อมใคร่ขอถามฝ่าบาทอีกสักนิด พระองค์ประสงค์จะตามหาคุณชายไป๋ก่อน หรืองูเผือกเลี้ยงก่อนดี?”

          “ทั้งคู่” ซวนหยวนหมิงไท่ถลึงตาตอบ ทำเอาหัวหน้าองครักษ์สะดุ้งโหยงในใจ “หากคนของเราไม่พอก็จงไปแจ้งแก่แม่ทัพใหญ่เซียว ให้ส่งทหารสังกัดกองธงพยัคฆ์ขาวช่วยตามหาอีกแรงหนึ่ง”

          โอ้ สวรรค์ เพียงหาคนกับงูตัวหนึ่งกลับต้องเกณฑ์กำลังคนมากมายเพียงนี้ หัวหน้าองครักษ์จิ้งงุนงงวูบ หาคนเขายังพอจะทำเนาเข้าใจ เพราะถึงอย่างไรคุณชายไป๋ก็เป็นคนรักลับๆของฝ่าบาท ทว่างูเผือกเลี้ยงนี่สิ แต่เอ๊ะ มันกลับมาถึงเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อใด มิใช่มันหายไปตั้งแต่ฝ่าบาทพำนักที่จวนเจ้าเมืองตงหัวหรอกหรือ ครุ่นคิดสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก็มิได้ขัดรับสั่ง เขารับคำเสร็จก็ล่าถอยออกไปโดยไว

          รอจนคนจากไป ซวนหยวนหมิงไท่ก็เลื่อนมือกุมขมับ พึมพำอย่างเคร่งเครียด “ไป๋เซ่อ เจ้าคงมิคิดหนีข้าไปยังหุบเขาสั่วซีหรอกนะ”

          กล่าวได้ว่าหากจะมีคนผู้ใดทำให้ฮ่องเต้หนุ่มผู้นี้หวาดวิตก ก็เห็นทีจะมีแต่บุรุษนามหงเว่ยเพียงผู้เดียว


 

**********************************************

 

          ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ กระนั้นก็ยังไม่มีเบาะแสใดๆของไป๋เซ่อ ร่างในชุดมังกรได้แต่เดินวนเวียนรอบห้องอย่างกระวนกระวายใจ พลอยให้สองตาของเสี่ยวลู่กรอกไปมาวุ่นวาย จวบจนกระทั่งแม่ทัพหนุ่มเดินทางมาถึง ซวนหยวนหมิงไท่ก็ตรงรี่เข้าถาม ไม่เปิดจังหวะให้อีกฝ่ายอ้าปากแม้แต่น้อย

          “ได้เบาะแสบ้างรึไม่”

          สังเกตท่าทีร้อนอกร้อนใจของสหายก็ให้รู้สึกแปลกตาไม่น้อย เซียวถิงฟงกล่าวเสียงเรียบ “ท่านจะกังวลไปไย ไป๋เซ่อจะหนีท่านไปไหนได้”

          ประโยคดังกล่าวเท่ากลับบอกว่าไม่มีข่าวคราว ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับถอนหายใจ จากนั้นเดินกลับไปนั่งพิงหลังบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าก้มมองภาพร่างของเจ้าตัวน้อยแล้วเอ่ยเสียงเบา “ถิงฟง เจ้าไม่รู้กระไร ไป๋เซ่อ เขามี...มีที่ให้ไป ทั้งยังมีคนผู้หนึ่งรอเขาอยู่”

          “หือ” เจ้างูเผือกปากพล่อยน่ะหรือ มีคนรอคอยอยู่ ดูว่ามีเรื่องแปลกใจเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องแล้ว “แล้วอย่างไรเล่า ท่านเป็นถึงผู้ปกครองแคว้น เขาเทียบท่านได้?”

“ได้”

          คำตอบชัดถ้อยชัดคำนี้ทำเอาดวงตาของเซียวถิงฟงเลิกโต ชักจะอยากพบคนผู้นี้ขึ้นมาตงิดๆ ครั้นจะอ้าปากล้วงความอีกสักหน่อย ร่างสูงส่งก็พลันห่อเหี่ยวไปเรียบร้อยแล้ว จึงได้แต่เปลี่ยนมาปลอบใจแทน

          “อีกสักประเดี๋ยวต้าเซียนก็ตามมาแล้ว ตัวท่านอย่าพึ่งสิ้นหวังไป” ยังไงชาตินี้ไป๋เซ่อ เขาก็หนีท่านไม่พ้นหรอก แม้คิดกล่าวประโยคหลัง แต่ท้ายที่สุดแม่ทัพหนุ่มก็ยังคงเก็บเงียบความในใจไว้

          ได้ยินเช่นนั้นเขาก็ใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย ส่งผลให้บรรยากาศหดหู่ภายในตำหนักผ่อนคลายลงบ้าง อันเป็นเวลาเดียวกับที่แมวสาวตัวสีดำหน้าท้องสีขาวปรากฏตัว มันกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง พริบตาเดียวร่างทั้งร่างของมันก็แปรเปลี่ยนเป็นสตรีสาวในชุดสีดำคล่องตัวอย่างน่าอัศจรรย์

          “จ๊ากกก นี่มันอะไรกัน” เสี่ยวลู่ร้องลั่น ดวงตาแทบถลน เข่าแทบทรุดลงไปกองกับพื้น เขาใช่เสียสติตาฝาดไปรึไม่ ไฉนจึงได้เห็นแมวกลายเป็นคนเช่นนี้

          หญิงสาวแทบไม่ใส่ใจกับอาการตกอกตกใจของเสี่ยวลู่ เจ้าของดวงตาสีเขียวมรกตฉายแววซุกซน เมื่อเข้ามาแล้วก็โพล่งถามทันที “นี่พวกท่านกำลังเล่นซ่อนหากันอยู่หรือ ทหารองครักษ์จึงได้เพ่นพ่านเต็มวังหลวงไปหมด อ่อ ยังมีไป๋เซ่อเดินย่องๆหลบซ่อนผู้คนไปทั่วอีก”

          “ถิงถิง เจ้าบอกว่าพบไป๋เซ่อ” คล้ายสวรรค์มาโปรด ซวนหยวนหมิงไท่ผุดลุกขึ้นยืน สองขาปรี่ลงจากโต๊ะไปคว้าจับไหล่บางของนางไว้ “เจ้าพบเขาที่ใด”

          มองดวงตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง ถิงถิงก็งุนงงไปวูบหนึ่ง สักพักจึงตอบ “เมื่อเค่อก่อนข้าเห็นเขาย่องไปทางตำหนักห้องเครื่อง”

          “ดี” เขาเอ่ยถ้อยคำสั้นๆ แล้วยื่นมือไปลูบศีรษะถิงถิงเป็นเชิงขอบคุณ ต่อจากนั้นหันไปตะโกนบอกองครักษ์ทางด้านนอก “รีบแจ้งแก่องครักษ์จิ้งให้สั่งการล้อมตำหนักห้องเครื่องโดยด่วน”

          “พะยะค่ะ”

          ในขณะเดียวกันของอีกทางด้านหนึ่ง ไป๋เซ่อผู้ซึ่งกำลังหงุดหงิดเต็มทนก็โยนห่อผ้ากองโตซึ่งตุนไปด้วยขนมลงบนโต๊ะไม้ในห้องเครื่อง

          นี่นับเป็นรอบที่สาม...รอบที่สามแล้วที่เขาวกกลับมาห้องต้นเครื่อง ทั้งนี้ยังไม่รวมจำนวนครั้งที่เขากระโดดข้ามกำแพงวังสูงตระหง่านไปมา เพราะเกิดคิดไม่ตกว่าจะไปที่ใดดี จะหนีไปหาท่านมหาเทพก็มิได้ ครั้นจะกลับไปยังพิภพสวรรค์ ก็เกรงว่าพวกอาวุโสเทพทั้งสามจะหาเรื่องถีบตนลงมายังโลกมนุษย์อีก ดังนั้นไป๋เซ่อได้แต่เทียวไปเทียวมาตั้งหลักยังที่ประจำเดิม

          “เพ้ย เอาที่นี่แหล่ะ” ระดมสมองอยู่ครู่ใหญ่ ท้ายที่สุดไป๋เซ่อก็ตบฉาดลงบนโต๊ะบอกตัวเอง จะคิดให้มากไปไย ในเมื่อไม่มีสถานที่ใดอุดมสมบูรณ์ไปกว่าห้องเครื่องแห่งนี้อีก

          ว่าแล้วดวงหน้าเย้ายวนหมุนไปรอบๆ ก่อนสะดุดตาไปยังโถเคลือบซึ่งวางเรียงอยู่เหนือศีรษะ ดูเนื้อสัมผัสของมันเรียบลื่นเป็นเงา อีกทั้งขนาดพอเหมาะแก่การขดตัวนอนหลับ ร่างเล็กพลันยิ้มแฉ่ง ขอเพียงรอให้เรื่องราวเงียบไป ตนค่อยปรากฏตัวก็ยังมิสาย “ชี่ ชี่ ชี่”

          ระหว่างที่เสียงหัวเราะลอดไรฟันดังขึ้น ทหารสังกัดกองธงพยัคฆ์ขาวก็ได้ทำการปิดล้อมภายนอกตำหนักห้องเครื่องเป็นที่สำเร็จ ต่อด้วยองครักษ์ส่วนพระองค์ทยอยหลั่งไหลเข้าไปภายใน จัดการไล่ต้อนขันทีนางกำนัลในกองซั่งสือ[1]ออกมาจนหมดสิ้น

          เสียงฝีเท้ามากมายทำให้คนที่กำลังย่ามใจรู้สึกผิดแปลก รอยยิ้มชะงักค้างกะทันหัน ครั้นเบนหน้าชะโงกออกไปนอกหน้าต่างก็พบกลุ่มองครักษ์กำลังทยอยเข้าโอบล้อมห้องเครื่องเอาไว้

          “มารดามันเถอะ ไฉนแห่กันมาเร็วถึงเพียงนี้” ไป๋เซ่อสบถพร้อมทั้งดึงใบหน้ากลับมาโดยเร็ว ดวงตาสีฟ้าอมเขียวกรอกไปมาวุ่นวาย มันต้องมีสักหนทางให้เขาหนีสิ ว่าแล้วก็เผลอสบเข้ากับโถเคลือบอีกครั้ง เพียงชั่วลัดนิ้วเดียวมันกลับจุดประกายความคิดหนึ่ง

          หลังจากถ่ายทอดคำสั่งปิดล้อมสถานที่ได้ไม่นาน เจ้าชีวิตก็เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ องครักษ์พร้อมเหล่าทหารในชุดเกราะสีดำต่างทำหน้าที่แข็งขัน ปิดกั้นทางเข้าออกหนาแน่น มิยอมให้ใครเข้าออกแม้กระทั่งหนูสัก ผู้เป็นแม่ทัพอย่างเซียวถิงฟงเหลียวมองไปรอบด้านก็ให้ตะลึงอยู่ไม่น้อย จำได้ว่าคราตนสั่งล้อมกบฏตระกูลเซิงยังไม่อลังการเพียงนี้

          “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”

          “ยังไม่มีการเคลื่อนไหวพะยะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จิ้งเอ่ยตอบเจ้าชีวิตที่พึ่งเสด็จมาถึงพร้อมกับแม่ทัพใหญ่เซียว ลู่กงกง และหัวหน้าฝ่ายสอดแนมถิงถิง

          “ให้ทุกคนล่าถอยออกไปสิบก้าว เราจะเข้าไปเอง” กล่าวจบ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ตรงเข้าไปผลักประตูห้องเครื่องออก

          ภายในเป็นห้องขนาดกว้าง ด้านข้างจัดเก็บด้วยเครื่องครัว รวมถึงโถใส่เครื่องปรุงต่างๆอย่างเป็นระเบียบ โดยรวมแล้วดูสะอาดสะอ้าน เว้นเพียงจานเปล่าที่วางส่งๆบนโต๊ะไม้ทรงยาว ณ กึ่งกลางห้อง

          “หนีไปแล้วหรือ” เซียวถิงฟงนึกชื่นชมในความรวดเร็วของเจ้างูเผือกจอมตะกละ ขนาดจะหนียังไม่วายคิดถึงเรื่องปากท้อง

          ร่องรอยกลิ่นอาหารสดใหม่ยังคงวนเวียนอยู่ในห้องไม่จางหาย ร่างมังกรหยิบเอาจานเปล่าที่มีเศษขนมติดอยู่ขึ้นมอง คล้ายขนมพวกนี้ถูกกวาดไปจนหมดเกลี้ยงอย่างรีบร้อน เขาขมวดคิ้วมุ่น

          ไป๋เซ่อ เจ้ารังเกียจที่จะแต่งให้ข้าจริงๆหรือ

          ทว่าความจริงข้อนี้ยากทำให้เขายอมรับ ดังนั้นได้แต่ครุ่นคิดวิธีหยุดยั้งร่างเล็กอีกครั้ง ยามนี้ใครจะว่าตนดื้อด้านก็ไม่สน ขอเพียงได้ถามไถ่เจ้าตัวต่อหน้าต่อตา ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ค่อยว่ากันอีกที

          แลคล้ายสวรรค์รับรู้ความตั้งใจของจักรพรรดิหนุ่ม ทำให้ภายนอกห้องบังเกิดเป็นเสียงดังครืดคราดแปลกๆท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบกริบ ส่งผลให้ชายหนุ่มทั้งสองต่างหันมาสบตากัน

          ซวนหยวนหมิงไท่เป็นฝ่ายยกนิ้วจรดริมฝีปาก เซียวถิงฟงเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ต่อจากนั้นทั้งคู่จึงออกติดตามต้นตอของเสียง กระทั่งพบโถเคลือบสีขาวธรรมดาคว่ำหน้าอยู่กลางทางเดิน สีหน้าของพวกเขาก็ถึงกับแปรเปลี่ยนไปมา ความรู้สึกหลายหลายพวยพุ่งในอก ยากยิ่งแก่การสรรหาคำพูดใดๆมาบรรยาย

          ทั้งนี้เป็นเพราะโถดังกล่าวหาได้ธรรมดาอย่างที่ควรจะเป็น ดูจากความพิเศษของมันแล้ว เกรงว่านอกจากมันจะสามารถงอกเงยขาได้เองแล้ว มันยังสามารถนำพาตนเองเคลื่อนที่ไปยังสวนเล็กๆของตำหนักได้อีกด้วย


 

****************************************************

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด