♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣♧ลิขิตชะตารัก♧♣ by RyuKi (จีนพีเรียด) บทที่ 34 สวรรค์ลิขิต (จบ) 10/10/59  (อ่าน 42376 ครั้ง)

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 32.2 ละทิ้ง

 

            ท่ามกลางพายุพัดโหม กระแสลมส่งเสียงหวีดหวิว ขุนเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวบริสุทธิ์ ผืนธารากว้างจับตัวเป็นธารน้ำแข็ง ต้นเหมยรอบด้านเบ่งบานออกดอกสีชมพู ขับดันให้สถานที่แห่งนี้งดงามต้องมนตร์ขลัง บันดาลให้ร่างสีเขียวซึ่งเหาะเหินผ่านมาต้องเปลี่ยนมาทอดเดิน

          สุดทางเบื้องหน้าเป็นภูผาสูงชัน ต่อเมื่อแหงนหน้าดูก็พบปากทางเข้าถ้ำยังกึ่งกลางผา ไป๋เซ่อถีบเท้าพุ่งตัวพริบตาเดียวก็บรรลุถึง ด้วยความมืดมิดที่ด้านในทำให้เขาต้องดีดนิ้ว ก่อนปรากฏลูกไฟเล็กๆ คอยส่องแสง ความสงบเงียบในเพลานี้ช่างทำให้ใจหนาวเหน็บ กระทั่งมาถึงจุดที่ลึกจึงหยุดฝีเท้า สูดลมหายใจเข้าลึก พลางนึกถึงช่วงชีวิตที่ประสบพบเจอ

          จากงูเผือกร่อนเร่พเนจรกลายเป็นสัตว์เทวะ มือขวาของมหาเทพแห่งแดนสวรรค์ ทว่าวันนี้ชะตากลับเล่นตลกตนร่วงหล่นกลายเป็นปีศาจกระหายเลือด

          หากข้าไม่ไป เจ้าคงได้ตายด้วยน้ำมือข้าสักวัน แลเมื่อถึงวันนั้นเจ้าจะคงเสียใจที่เลือกรักข้าก็เป็นได้ บางทีนี่อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราแล้ว ...ซวนหยวนหมิงไท่

          ไป๋เซ่อหันกลับไปที่ปากถ้ำ ตัดสินใจโบกมือร่ายเวท ทันใดนั้นก็บังเกิดเป็นเสียงครืนขนานใหญ่ บังเกิดเป็นก้อนน้ำแข็งเป็นชั้นหนาก่อตัวปิดทางเข้าออกหนึ่งเดียวลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหลับตาลงนึกถึงเจ้าของรอยยิ้มอบอุ่นแกมเจ้าเล่ห์ ทั้งนี้ไม่รู้เลยว่าที่ด้านนอกมีคนติดตามมาถึงแล้ว

          “ไป๋เซ่อ” ซวนหยวนหมิงไท่ซึ่งนั่งอยู่บนตัวอสรพิษเกร็ดสีดำเงาร้องเรียก หากแต่เสียงนั้นกลับไปไม่ถึงคนทางด้านในหลังจากไป๋เซ่อหายตัวไปจากตำหนัก เขาก็ร้อนใจทั้งสังหรณ์ใจไม่ดี ยังดีที่หงเว่ยสามารถแกะรอยกลิ่นอายร่างเล็กมาถึงที่นี่

          “ชักช้าไม่ได้แล้ว หากเวทย์สมบูรณ์เขาจะหลับใหลไปอีกหลายพันปี” หงเว่ยขมวดคิ้วบอก น้ำเสียงตึงเครียด ทำให้ผู้เป็นฮ่องเต้ตะลึงวูบ โพล่งถาม

          “แล้วจะทำเช่นไร?” ข้าไม่ยอม ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น ไป๋เซ่อ ...เจ้าทิ้งข้าลงได้อย่างไรกัน

          ครานี้อสรพิษเกร็ดดำนิ่งเงียบไป เดิมทีที่ตนใจอ่อนรับฟังคำขอร้องให้คนแซ่ซวนหยวนติดตามมาด้วย ก็เป็นเพราะในยามนี้มีแต่อีกฝ่ายที่หยุดยั้งไป่ไป๋ได้ “คราวนี้ต้องเสี่ยงเดิมพันแล้ว เจ้าเข้าไปปลุกไป่ไป๋ ข้าจะชะลอเวทย์หลับใหลนี้อยู่ทางด้านนอก จำไว้มีเวลาไม่มากนัก เจ้าต้องรีบพาเขาออกมา มิเช่นนั้นตัวเจ้าจะถูกแช่แข็งไปด้วย”

          เจ้าชีวิตหนุ่มพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ ด้านหงเว่ยก็ไม่รีรอพ่นไฟสีม่วงอ่อนไปยังชั้นน้ำแข็งตรงหน้า ด้วยความร้อนสูงส่งผลให้มันค่อยๆ ละลายลงเปิดปากทางเข้า เขาตะโกน “ไปเร็ว”

          สิ้นเสียงซวนหยวนหมิงไท่ก็ทะยานตัวเข้าไปทันที ไอร้อนจากขุมพลังยังคงส่งควันกรุ่นร้อน แต่ไม่นานไอเย็นก็ลามเลียกลบทับไป เช่นเดียวกลับน้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นใหม่ เห็นดังนั้นเขาก็วิ่งตรงไปโดยไม่เหลียวหลัง จวบจนถึงใจกลางภูผา ร่างเย้ายวนที่ยืนหลับตาพริ้มท่ามกลางลูกไฟลอยละล่องราวฝันจึงปรากฏสู่สายตา

          “ไป๋เซ่อ” เขาร้องพลางถลาเข้าไปกอดเจ้าตัว ทว่าท่าทีที่แข็งทื่อไม่ขยับโอนอ่อนกลับทำให้รู้สึกผิดปกติ ครั้นใช้สายตาไล่มอง หัวใจก็ถึงกับโหวงวูบ ที่ปลายขาทั้งสองของร่างเล็กเกิดเป็นผลึกน้ำแข็งยึดเกาะเป็นชั้นหนา ทั้งยามลามไปถึงเข่าแล้ว

          “ทำไมถึงโง่งมเช่นนี้” เขาตวาดเจ้าตัวด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ ก่อนรีบก้มตัวใช้พลังวัตรทำลายน้ำแข็งนั้นโดยเร็ว กระนั้นมันกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย “ไม่นะ ได้โปรด”

          ซวนหยวนหมิงไท่ร่ำร้องพลางใช้กำลังทั้งหมดทำลายผลึกเย็นเยียบอย่างบ้าคลั่ง ในอกปวดร้าว แทบหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด เขาเว้าวอน “เจ้าไม่อยากจะเห็นหน้าข้าแล้วหรือ ต่อให้เจ้าไม่อยากดื่มโลหิตข้า ข้าก็จะไม่บังคับเจ้าแล้ว เรา... เรามาเริ่มต้นใหม่กันเถอะนะ ฉะนั้นได้โปรด...”

          ลืมตาสิไป๋เซ่อ...

          ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าเพียงใด แต่คล้ายมีลมหายใจอุ่นๆ รินรดข้างหู ให้เขาต้องขยับเขยื้อนเล็กน้อย ก่อนลืมตาขึ้นมองบุรุษงดงามอ่อนโยน เรือนกายมีกลิ่นตะวันทอแสงน่าโหยหา

          ทันใดนั้นมุมปากพลันเหยียดยิ้ม มิคิดว่ายามนี้ตนจะยังละเมอเห็นชายหนุ่มได้อีก หากแต่เมื่อเสียงเบาบางดังขึ้น ใบหน้าเขาก็ต้องผิดสี

          "ไป๋เซ่อ”

          “อะไรกัน ทำไมเจ้าถึง” ร่างเล็กตะกุกตะกัก ดวงตาฉายแววตกตะลึงพรึงเพริด นี่มิใช่ความฝัน สัมผัสอบอุ่นนี้เป็นของจริง

          บัดนี้สีหน้าของซวนหยวนหมิงไท่สูญสิ้นชีวิตชีวา เกล็ดน้ำแข็งเกาะทั่วใบหน้าและเปลือกตาจนขาวโพลน น้ำเสียงผะแผ่วแหบแห้งดังออกมาจากริมฝีปากแห้งแตก

          “อืม อุ่น...อุ่นรึไม่”

          ประโยคนี้ถึงกับทำให้หยาดน้ำใสร่วงหล่นจากนัยน์ตาสีฟ้าอมเขียว ไป๋เซ่อพาลนึกถึงความหลัง ระหว่างที่หนีการไล่ล่าของเหล่านักฆ่า ในยามนั้นพวกเขาแทบเอาชีวิตมิรอด กระนั้นชายหนุ่มก็ยังให้ความสำคัญกับเขามากกว่าตนเอง

          “......”

          กระทั่งซวนหยวนหมิงไท่เงียบกริบไป เขาก็รีบโพล่งตอบ ในใจนึกภาวนาของให้เจ้าตัวยังคงรู้สึกตัว "อุ่น อุ่นยิ่ง สำหรับข้า ตัวเจ้าอุ่นที่สุด ยังมีกล้ามท้องแน่นน่าอิจฉา ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าอย่าพึ่งหลับไปเด็ดขาด ได้ยินข้าไหม"

          สำหรับเขาเวทย์น้ำแข็งเหล่านี้เพียงแช่แข็งเขา กักกันให้เขาหลับใหลอยู่ที่นี่ไปนับพันปี แต่ทว่าสำหรับซวนหยวนหมิงไท่แล้ว กลับเป็นความตายอันน่าทรมาน ไอเย็นเหล่านี้เสียดแทงกระดูก ให้รู้สึกเหมือนถูกเข็มนับหมื่นนับพันทิ่มแทงทั่วร่าง

          "อืม ข้ารู้...รู้ว่าเจ้าชอบ ถึงขนาดทำน้ำลายหกรดผู้อื่น แล้วยังโบ้ยว่าเป็นน้ำค้าง”

          “อึก” ดูว่าคำสารภาพดังกล่าวมิได้ทำให้ร่างสูงแปลกใจสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังฝืนอมยิ้มให้น้อยๆ ส่งผลให้ไป๋เซ่อต้องอุดปากกลั้นเสียงสะอื้นอย่างสุดกำลัง

          “แต่เจ้ารู้ไหม ข้าไม่ชอบอะไรมากที่สุด ข้าไม่ชอบน้ำตาของเจ้า เพราะมันทำให้ข้าทรมานใจ...” เขาหยุดเสียงพยายามยกมือที่แข็งเกร็งลูบไล้แก้มของงูเผือกน้อย “ไป๋เซ่อที่ดื้อรั้นของข้า เจ้ารู้ไหม เจ้าเป็นดั่งหัวใจที่หล่อหลอมชีวิตข้า หล่อหลอมความสุขของข้า เป็นหนึ่งเดียวในใจข้า ที่ไม่อาจมีผู้ใดทดแทนได้"

          ได้ยินเช่นนั้นน้ำตาอุ่นก็ยิ่งหลั่งไหล ใจเขาอัดอั้นจนต้องพรั่งพรูความในใจ "อื้อ ข้ารักเจ้า ซวนหยวนหมิงไท่ ข้ารักเจ้า" เป็นครั้งแรกที่ไป๋เซ่อเอ่ยคำว่ารัก แม้เมื่อก่อนไม่เคยเข้าใจอย่างถ่องแท้ หากแต่ตอนนี้กลับสัมผัสถึงมันอยู่ทุกขณะ ทุกห้วงลมหายใจเข้าออกนี้

          เสียงแหบแห้งยังคงเอ่ย คล้ายกลัวจะมิอาจเอ่ยได้อีก "ข้ายังจำวันนั้นได้ ข้าถามเจ้า หากข้าเป็นเพียงคนธรรมดาเจ้าจะยังยอมเสี่ยงชีวิตช่วยข้าอีกรึไม่ ตอนนั้นเจ้าตอบข้าอย่างมั่นใจ ต่อให้ข้าเป็นใคร ขอเพียงเจ้าเป็นงูเผือกแห่งแดนสวรรค์ แค่นั้นก็เพียงพอ แต่ไป๋เซ่อ ข้าเองก็เช่นกัน ต่อให้เจ้ามิใช่เทพเซียน เป็นเพียงปีศาจงูธรรมดา จะดุร้ายเอาแต่ใจไปบ้าง ข้าก็ยังจะรักเจ้า เพราะข้ารักทุกสิ่งที่เจ้าเป็น"

          ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้ม ปาดเช็ดน้ำตาที่หลั่งรินไม่หยุดบนแก้มนวล เขาเอ่ยความในใจสุดท้าย "ข้าปรารถนามาตลอด ปรารถนามิให้เจ้าจากไปก่อนข้า นับว่าวันนี้สมความตั้งใจแล้ว"

          "ม่ายยย ข้าไม่ยอม ไม่ยอม" ไป๋เซ่อร่ำไห้ใจจะขาดรอนๆ กระนั้นเสียงเหล่านี้กลับมิอาจส่งถึง มือได้แต่ร่ายเวทหยุดยั้ง ทว่ามันกลับสายไปเสียแล้ว ผลึกน้ำแข็งได้เกาะกุมตัวซวนหยวนหมิงไท่ไปจนถึงระดับหน้าอก ไม่ว่าเขาจะพยายามสักกี่ครั้งก็ยังคงไร้ประโยชน์

          “ไม่ เจ้าจะตายแบบนี้ไม่ได้ ได้โปรดใครก็ได้ช่วยที หงเว่ย เซียวถิงฟง ท่านมหาเทพ ใครก็ได้ช่วยหมิงไท่ที โฮ”

          เขาร่ำไห้อย่างสิ้นหวัง หัวใจแหลกสลาย เมื่อชายหนุ่มหลับตาแน่นิ่ง ไม่มีไออุ่นมอบให้เช่นเคย งูเผือกน้อยได้แต่คลอเคลียร่างที่กอดเขาไว้แน่น ครู่ต่อมาจึงเอื้อนเอ่ยอย่างเลื่อนลอย

          "ข้าจะไปกับเจ้า ซวนหยวนหมิงไท่ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด ภพภูมิไหน ข้าก็จะไม่ขอแยกจาก ครองคู่ไปชั่วนิรันดร์” ร่างเล็กก้มหน้าลงประทับริมฝีปากชายหนุ่ม สัมผัสความรักทั้งมวลที่จะไม่มีวันสูญสลาย จากนั้นตัดสินใจ

          ...ละทิ้งชีวิตอมตะของตนเอง

          ว่าแล้วไป๋เซ่อก็ยิ้ม ทั่วร่างพลันส่องแสงสีขาวบริสุทธิ์ พลังในกายทั้งหมดก็ทุกปลดปล่อยออกมา บ้างกระจายหายไปในอากาศ บ้างซึมลึกสู่สรรพสิ่งตามธรรมชาติ สมองเขาพลันล่องลอย ชั่วขณะที่กำลังจะคืนสู่ร่างเดิม กลับบังเกิดเป็นแสงสีทองบริสุทธิ์ปกคลุมไปทั่วปราการน้ำแข็ง

          ดวงหน้างดงามราวดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์เหาะเหินมาอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากที่ดูนุ่มนวลนั้นเปล่งเสียงขึ้นต่อเนื่อง หากแต่เพลานี้เขากลับมิได้ยิน เขายิ้มให้กลับคนตรงหน้า ได้เห็นคนผู้นี้ก่อนตายนับว่าน่ายินดียิ่ง

          ท่านมหาเทพ ข้าไปแล้ว ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง แต่เพลานี้ข้าอยู่มิได้ถ้าไม่มีเจ้าลูกเต่าจริงๆ ต่อให้ชาติหน้าเขาเกลียดข้า รำคาญข้า ข้าก็จะขอตามตอแยเกาะติดเขาไปจนวันตาย


 

************************************************

 

            ในชั่วเวลาที่เปลือกตาเรียวปิดลง ทุกสิ่งทุกอย่างพลันตกอยู่ในความมืด มันเคว้งคว้างว่างเปล่าจนน่ากลัว ไป๋เซ่อได้แต่ข่มหลับตาอยู่เช่นนั้น กระทั่งกายหล่นตุบยังพื้นนุ่มนิ่ม จึงได้เผลอลืมตาแล้วจึงตกตะลึง

          เบื้องหน้าปรากฏทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ ให้บรรยากาศสดชื่นทั้งดูอิสรเสรี ครั้นเขากวาดสายตารอบด้านอย่างช้าๆ กลับเห็นซวนหยวนหมิงไท่ในชุดสีขาวยืนอยู่อีกทางด้านหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว

          พอเห็นเขาเจ้าตัวก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์หน้าไม่อาย สองแขนค่อยๆอ้าออก ไป๋เซ่อเผยอยิ้มแฉ่ง ไม่รอช้ารุดวิ่งเข้าไป แล้วโผทะยานสู่อ้อมกอดอบอุ่น เสียงหัวเราะของพวกเขาดังคลอเคลียสดใส ต่างจึงจูงมือกันไปยังกระท่อมร้างซึ่งตั้งอยู่บนเนินดินถัดไป

          ภายในกระท่อมนั้นโล่งกว้าง แทบไม่มีเครื่องเรือนอะไรอยู่เลย แต่ก็ยังดีที่มีใบจากคุ้มหัว เห็นดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจทำโต๊ะ เก้าอี้ เตียงไม้อย่างง่ายๆ

          อา แต่ก็บอกได้เพียงว่าข้านั่งมองซวนหยวนหมิงไท่เหงื่อตกทำเสียมากกว่า ก็นะมีงูตัวไหนเป็นช่างไม้กันบ้าง

          วันต่อมาพวกเราเริ่มจับเป็ดจับไก่มาเลี้ยง ถึงตอนนี้ข้าได้แต่หัวเราะซวนหยวนหมิงไท่ที่แม้แต่จับเป็ดจับไก่ก็ยังสู้ข้ามิได้ แต่พอไปถึงลำธารเท่านั้น ข้าก็ต้องเบ้ปากมองคนใช้ไม้แหลมจับปลาอย่างเชี่ยวชาญ

          เฮอะ เห็นแก่ที่เจ้าเปลือยท่อนบน เช่นนั้นข้าก็จะไม่ถือสา

          ผ่านพ้นไปหลายวันกระท่อมแห่งนี้กลับดูไม่ร้างอีกต่อไป หนำซ้ำยังเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ด้านนอกยังมีเล้าเป็ดเล้าไก่ที่ข้าประคบประหงมอย่างดี ฮี่ ฮี่ ฮี่ ยิ่งพอมีเวลาว่าง พวกเขาต่างออกไปตระเวนดูรอบๆ ทุ่งหญ้าแห่งนี้ มองดูสัตว์น้อยใหญ่ใช้ชีวิตเรียบง่าย บางครั้งพวกเขาก็เที่ยวเล่นเอาต้นหญ้าไล่ตีหยอกล้อ

          อืม ก็ได้ข้ายอมรับว่าข้าเป็นฝ่ายไล่ตีซวนหยวนหมิงไท่เสียมากกว่า ฮ่า ฮ่า

          แต่พอตกดึกเท่านั้น... เพ้ย เจ้าลูกเต่า เจ้ามันตัวเลวร้าย

          มาตรว่าวันเวลาผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ พวกเขากลับมีความสุขใจไม่ขาด จวบจนกระทั่งวันหนึ่งบังเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือฟากฟ้า ก็เป็นอันยุติชีวิตสุขสงบเช่นนี้อย่างน่าเสียดาย

          "เฮ้ เจ้าคู่รักยวนยางจะเสพสุขกันอยู่ในฝันกันอีกนานรึไม่ ต้าเซียน ภรรยาข้า เบื่อหน่ายตาแก่ในราชสำนักจวนเจียนจะหนีไปยังพิภพสวรรค์แล้ว หากพวกเจ้ามิยอมกลับ ข้าสาบานข้าจะก่อกวนให้พวกเจ้าอยู่ไม่เป็นสุข คอยดู”

          ด้วยน้ำเสียงบ่นกระปอดกระแปดฟังดูคล้ายเป็นเสียงแม่ทัพหนุ่มเซียวถิงฟง ทำเอาไป๋เซ่อกับซวนหยวนหมิงไท่มองหน้ากันเหราหรา

          แลไม่นานก็ปรากฏแสงห่อหุ้มตัวพวกเขาเอาไว้โดยไม่ถามความเห็น ก่อนจะพาลอยสูงขึ้นไปอย่างบังคับกลายๆ เพื่อกลับไปยังสถานที่มีคนรอพวกเขาอยู่

          ขณะที่ตัวกำลังลอยคว้างอยู่นั้น ไป๋เซ่อพลันกวาดสายตามองสถานที่แห่งสุขเป็นครั้งสุดท้าย ตั้งใจจะเก็บความทรงนี้เอาไว้ในส่วนลึก ทว่าปราดมองคราหนึ่งกลับเห็นฝูงเป็ดฝูงไก่มองส่งพวกเขาด้วยหน้าตาลิงโลดอยู่หน้าบ้าง บางตัวยังตีปีกพั่บๆ อย่างดีใจ บางตัวยังส่งเสียงร้องโหวกเหวกเสมือนขับไล่พวกเขาให้ไปสักที ฉับพลันเขาจึงฉุกคิดขึ้นมาได้

          "อ้ะ เป็ดไก่พวกนั้น ข้าอุตส่าห์ประคบประหงมมาตั้งนาน ยังไม่ได้กินสักตัวเลย ไม่นะ อย่าพึ่งพาข้าไป โฮ อย่างน้อยก็เอาเป็ดไก่ข้าไปด้วยยย"

          ด้านซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับนิ่งอึ้งยิ้มแหย ได้แต่มองไป๋เซ่อดีดดิ้นแหวกว่ายกลางอากาศ ทว่าก็มินำพา ร่างลอยสูงต่อเนื่อง

          แสงวูบวาบไปมาทำให้เปลือกตาของคนทั้งสองขยับ แลไม่นานเสียงร่ำร้องดีใจของเสี่ยวลู่ หรูอี้และหัวหน้าองครักษ์จิ้งก็ปลุกซวนหยวนหมิงไท่และไป๋เซ่อที่ต่างหลับไปกว่าสามเดือนให้ตื่นขึ้น ก่อนพบใบหน้าอ่อนโยนของท่านมหาเทพ ใบหน้าถมึงทึงของเซียวถิงฟง ยังมีหงเว่ย หงลิ่ว หงอู่ และหยางเฉินที่ยิ้มแย้มรอคอยพวกเขาทั้งสองคน

          “ฝันดีหรือไม่” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยถามคนข้างกาย ยังผลให้ไป๋เซ่อยิ้มแฉ่งตอบ

          “ดี ดีที่สุดเลย”




************************************************


         บทนี้อย่างยาววว ถือเป็นคำขอโทษที่อัพช้านะจ้ะ ความจริงเเล้วบทนี้เคยคิดจะให้เป็นตอนจบ เเต่เผอิญยังมีเนื้อหาที่คิดไว้ส่วนหนึ่งที่จะปูเรื่องไปสู่บทสเปเชี่ยลได้ คือจะเป็นสเปก็ได้ เเต่เราตัดสินเขียนในเนื้อเรื่องหลัก อีกอย่างยังมีรายละเอียดบางเรื่องที่ไม่ได้กล่าวถึงในบทนี้ ยกยอดไปบทหน้าซึ่งเป็นบทสุดท้ายนะจ้ะ ที่สำคัญไม่มีดราม่าจ้ะ ส่วนบทนี้เเค่ดราม่าน้ำตาซึมจ้ะ โฮะ โฮะ ใครเจอคำผิดเตือนได้นะคะ พอดีเขียนเสร็จหมาดๆ ตื่นเต้นรีบอัพ 5555+ (ความจิงจะรีบไปอ่านนิยายต่อ)

   

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 33.1 ผลท้อกำเนิด

 

            ณ เช้าวันที่ท้องฟ้าสีคราม อากาศสดชื่นแจ่มใส นางกำนัลไช่ทำหน้าที่ยกน้ำชาเสร็จก็ก้มหน้าถอยเท้าออกจากห้องโถงไป ทว่าถึงจังหวะหนึ่งนางกลับถือโอกาสลอบชำเลืองสายตาไปยังแขกผู้มาตำหนักถั่วแดงอย่างห้ามใจไม่อยู่

          ที่ไม่ไกลออกไป ปรากฏบุรุษชุดขาวบริสุทธิ์กำลังกะพริบนัยน์ตาสีน้ำตาลกระจ่าง ใบหน้างดงามสว่างไสวแต่งแต้มรอยยิ้มละมุน แลทุกอากัปกิริยาเคลื่อนไหวของเป็นไปดั่งมนต์สะกด พาลให้ใจสั่นไหวเลื่อนลอย จวบจนสองขาพ้นประตูจึงได้สติ ถึงตอนนี้นางกำนัลไช่ได้แต่ถอนใจด้วยความเสียดาย ก่อนตัดใจหันหลังจากไป

          “นี่นางเห็นหัวข้าบ้างรึเปล่า?”

          เสียงบ่นค่อนแคะทำเอาซวนหยวนหมิงไท่ชะงักกาย ก่อนทอดสายตามองบุรุษชุดดำที่ทำหน้าบึ้งอย่างขบขัน ครั้นอีกฝ่ายหันมาสบตาก็ต้องรีบเบือนหน้าหนี พลางแสร้งกระแอมไอ

          “คนใจแคบ กับสตรีก็ยังไม่ละเว้น”

          คราวนี้บุรุษชุดขาวเอ่ยวาจาแดกดันบ้างแล้ว มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างไม่สะทกสะท้าน คล้ายไม่เห็นแววตาเสมือนพายุคลั่งของอีกฝ่ายอยู่ในสายตา ยังผลให้ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวเปลี่ยนบรรยากาศ “เอ่อ ต้าเซียน ท่านจะพาไป๋เซ่อไปรักษาตัวบนพิภพสวรรค์นานเท่าใดกัน?”

          “ไม่นานหรอก ท่านอาวุโสเทพหวางจื้อปรุงโอสถที่ได้จากผลซวงเซิงเข้าที่แล้ว เหลือเพียงรับไอฟ้าอีกสักหน่อย หลังกินเข้าไปก็รอไป๋เซ่อปรับพลังเซียนในกายสักสัปดาห์หนึ่งก็จะหายดี” ต้าเซียนยิ้มตอบ

          ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เพื่อหาหนทางช่วยงูเผือกน้อย เขาได้สืบเสาะหาเจ้าของเมล็ดซวงเซิงในตำนาน แล้วทำการแลกเปลี่ยนด้วยข้อเสนอบางอย่าง ครั้นได้มาก็รีบนำไปบ่มเพาะยังพิภพสวรรค์ ใช้พลังธาตุเร่งการเจริญเติบโต ซึ่งกว่ามันจะออกผลเหตุการณ์ในโลกมนุษย์ก็แปรผันไปมาก ไป๋เซ่อและซวนหยวนหมิงไท่ต่างเหยียบย่างสู่ยมโลกหนึ่งฝ่าเท้า ดีที่เขาร่ายเวทกักดวงจิตของทั้งสองไว้ในฝันได้ทันการ รอกระทั่งกายของทั้งคู่ฟื้นตัวเป็นปกติจึงได้ปลุกขึ้นมา

          “เรื่องทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณท่าน หากไม่มีท่าน พวกเราก็คง...” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยอย่างตื้นตันใจ เป็นต้าเซียนที่ทุ่มเทช่วยเหลือ เขากับไป๋เซ่อจึงได้มีวาสนาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง

          “อย่าได้กล่าวเช่นนี้ ไป๋เซ่อเป็นมือขวาของข้า ติดตามข้ามาก็เนิ่นนาน ชีวิตของเขาย่อมอยู่ในความรับผิดชอบของข้าเช่นกัน” ทว่าผู้เป็นมหาเทพกล่าวจบไม่ทันไรก็มีเสียงหวานชวนเลี่ยนเสริมขึ้นมา

          “อา เช่นเดียวกับชีวิตและหัวใจของข้า พวกมันอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าเช่นกัน”

          ต้าเซียนฟังแล้วแทบสำลักเอาน้ำชาที่ดื่มไปเมื่อครู่ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ชายหนุ่มกลายเป็นคนพูดจาประเจิดประเจ้อเช่นนี้

          “เฮอะ เจ้าคนแซ่เซียวหนังหนาหน้าไม่อาย” ได้ยินวาจาไร้ยางอาย ร่างเล็กในชุดสีเขียวที่ซึ่งมาถึงพอดิบพอดีก็กระโดดเข้าไปในห้องโถง

          ด้านเซียวถิงฟงถูกไป๋เซ่อทำลายโอกาสอันดีงามเช่นนี้ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ หากไม่ติดว่าสหายชุดมังกรนั่งอยู่ด้วยแล้ว เขาคงได้โต้ไปสักสองสามประโยคแล้ว

          “ท่านมหาเทพ ข้าพร้อมแล้วเราไปกันเถอะ”

          หลังจากเหน็บแนมคนได้สำเร็จ ไป๋เซ่อก็ระริกระรี้เข้าไปประจบร่างสีขาว ด้วยน้ำเสียงออดอ้อนทำเอาหนึ่งฮ่องเต้หนึ่งแม่ทัพต่างมีสีหน้ามึนตึง รอจนดวงตาสีดำขลับสังเกตเห็นห่อผ้ากองโตสะพายกลางแผ่นหลัง ซวนหยวนหมิงไท่ก็โพล่งถามอย่างสงสัย

          “เดี๋ยวก่อนไป๋เซ่อ เจ้าไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ไฉนจึงนำข้าวของไปมากมายเช่นนี้ ราวกับจะไปเป็นดะ...” เดือน ยังพูดไม่จบตัวเขาก็ตระหนักได้ถึงข้อเท็จจริงบางอย่าง ดวงตาเขาพลันเบิกกว้าง ก่อนสบเข้ากับรอยยิ้มแฉ่ง ดวงตาเรียวสีฟ้าอมเขียวเปี่ยมด้วยเลศนัย ฮ่องเต้หนุ่มรีบผุดลุกขึ้น ทว่าร่างเล็กกลับไวกว่า

          “ฮึ ฮึ เจ้าลูกเต่า แล้วใครบอกว่าเจ้าว่าข้าจะไปเพียงหนึ่งสัปดาห์กันเล่า ว่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

          ราวกับเตรียมการไว้ ไป๋เซ่อหันไปคว้าจับมือของท่านมหาเทพโดยพลัน ทันใดนั้นแสงสีทองก็โอบล้อมไปทั่วกาย ร่างของพวกเขารางเลือนโปร่งแสง ก่อนทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะลั่นสะใจ ฝ่ายซวนหยวนหมิงไท่กับเซียวถิงฟงได้แต่ถลนตาอ้าปากค้าง ต่อเมื่อได้สติคนรักก็อันตรธานหายตัวไปแล้ว

          “ท่านมหาเทพ ดูหน้าพวกเขาสิ ตลกสิ้นดี ฮ่า ฮ่า ฮ่า” นึกถึงสีหน้าโง่งมของบุรุษทั้งสอง ไป๋เซ่อในร่างงูเผือกเกร็ดหิมะก็โพล่งหัวเราะจนน้ำตาแทบเล็ด

          ต้าเซียนที่ซึ่งกำลังเหาะเหินผ่านเมฆหมอกได้ฟังก็ต้องยิ้มส่ายหน้าน้อยๆ กล่าวกับร่างปราดเปรียวที่เลื้อยรอบลำคอ “เจ้านี่ก็ช่างแกล้งพวกเขาเสียจริงๆ”

          ฮึ ใครใช้ให้พวกเขาแต่ละคนชอบวางท่ากันนัก คนหนึ่งก็ชอบหลอกกินเต้าหู้ผู้อื่น อีกคนก็ปากเสียหน้าด้าน” งูเผือกน้อยขู่ฟ่อก่นด่า ให้คนที่กำลังคลั่งอยู่บนผืนปฐพีต้องจามไปตามๆ กัน


 

****************************************************

 

            เมฆหมอกสีขาวดุจปุยนุ่นลอยเอื่อยบนฟากฟ้า แสงตะวันทาบทอไล้ไปตามกระเบื้องตำหนักสีน้ำตาลแดง บัดนี้ที่ลานกว้างตำหนักโอสถสวรรค์ปรากฏบุรุษผู้หนึ่งสวมใส่ชุดเทาเรียบง่าย กำลังก้มหน้ากวาดเศษใบไม้แห้งไปรวมไว้เป็นกองเดียวกันอย่างตั้งใจ

          “หงซาน เจ้าคือหงซานใช่รึไม่”

          จู่ๆ ก็มีน้ำเสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้น หงซานเงยหน้ามองไปทางต้นเสียง แล้วจึงเห็นเป็นร่างสดใสฉีกยิ้มร่าก้าวขึ้นบันไดมา แน่นอนว่าเป็นไป่ไป๋ที่พี่ใหญ่ของตนยินยอมเป็นปฏิปักษ์กับคนของชนเผ่าหมอผีทั้งหมด เพียงเพื่อให้ได้ทราบเรื่องของหนอนทุกข์ระทม

          “ไป่ไป๋” เขายิ้มรับเรียกอีกฝ่าย

          “เจ้าสบายดีหรือ? ตาแก่หวางจื้อคงมิได้โขกสับเจ้าหรอกนะ จริงสิ ข้าได้ข่าวว่าร่างใหม่ของหงเอ้อร์สมบูรณ์ดีแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกัน” ไป๋เซ่อกล่าวจบก็ชะโงกหน้ามองหาคนอย่างอยากรู้อยากเห็น อาจเป็นเพราะคนตระกูลหงล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะ หงเว่ยเงียบขรึมสง่างาม หงซานหนักแน่นดั่งหินผา หงอู่อ่อนโยนราวสายน้ำ หงลิ่วร่าเริงสดใส บันดาลให้เขาสนใจใคร่รู้จักบุตรชายรองของตระกูลหง

          ร่างเล็กพูดยาวเป็นหางว่าว หาได้รู้ไม่ว่าคำเรียกขานถึงอาวุโสเทพผู้สูงส่งทำให้ตนสะดุ้งเฮือก ไม้กวาดเกือบร่วงหล่นจากมือ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนขวัญกล้าเช่นนี้ หงซานเหงื่อตก ในระหว่างนั้นเองก็บังเกิดเป็นเสียงบานประตูกระทบกันปึงปังบ่งบอกถึงความกราดเกรี้ยว

          “หนอย เจ้างูเผือกปากพล่อย คิดว่ามีท่านมหาเทพหนุนหลังแล้วจะกำเริบเสิบสานได้รึ” เทพอาวุโสหวางจื้อเหาะเหินออกมาหน้าดำหน้าแดง ด้านหลังยังมีลูกศิษย์ผู้หนึ่งซึ่งมีเค้าใบหน้ากระจ่างตาสวมใส่ชุดสีขาวนวลเหินตัวตามออกมาติดๆ

          “ท่านอาจารย์ ไป่ไป๋คงมิได้ตั้งใจกล่าว ท่านอย่าได้ใส่ใจ”

          “แบบนี้เรียกว่ามิได้ตั้งใจ? เช่นนั้นหากเขาตั้งใจคงมิขึ้นมาถอนหงอกข้าแล้วหรือ หะ อ่ะ แฮ่ม ท่านมหาเทพ” เทพอาวุโสผมขาวถลึงตาดุ กระนั้นตวาดใส่เจ้างูเผือกน่าชังได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเปลี่ยนมากระแอมไอเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังบริสุทธิ์ที่เคลื่อนเข้ามา

          “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” ผู้เป็นมหาเทพยิ้มแย้มด้วยสีหน้าเหรอหรา แต่ใครจะรู้ว่าในใจกลับขบคิดวุ่นวาย ...ข้าแวะไปหานางฟ้าชิงเซียงเพียงครู่เดียว ไป๋เซ่อคงมิได้ก่อเรื่องอันใดไว้กระมัง

          “ท่านมหาเทพ ท่านอาวุโสเทพหวางจื้อบอกว่าผมหงอกเขามีมากเกินไป ต้องการให้ข้าเปลี่ยนทรงใหม่ให้” ไป๋เซ่อยิ้มเหี้ยม ยังคงจดจำความแค้นที่ถูกอาวุโสเทพทั้งสามถีบตกสวรรค์ จนชะตาชีวิตรันทดกลับกลายเป็นงูเผือกเต้นระบำได้ดี

          ...ฮึ ฮึ ต่อหน้าท่านมหาเทพยังไงเจ้าก็ต้องไว้หน้าข้าสามส่วน

          “หือ จริงรึ? ต้องให้ข้าช่วยรึไม่” แม้เรื่องดังกล่าวจะมีบางส่วนที่ฟังดูพิลึกพิลั่น แต่มหาเทพอย่างเขาก็ยังเลิกตาถามจริงจัง ทำเอาอาวุโสเทพหวางจื้อต้องกระตุกปากเอ่ยอย่างเจ็บปวด

          “เอ่อ เรื่องนี้ให้ศิษย์ข้าหงเอ้อร์ช่วยก็เพียงพอแล้ว” เขาค้อมตัวกล่าว ภายใต้ใบหน้าที่ก้มลงฉายถึงโทสะที่ยากจะมองเห็น ...ไป๋เซ่อ เจ้างูวายร้าย สักวันข้าต้องย้อนเกล็ดเจ้าให้ได้ คอยดู

          เพียงย่างเท้าเข้าสู่ตำหนักโอสถสวรรค์กลิ่นสมุนไพรนานาชนิดๆ ก็พลันกระทบปลายจมูก ภายในตำหนักสีน้ำตาลแดงเป็นเรือนไม้เรียบง่ายเฉกเช่นเดียวกับโรงหมอในแดนมนุษย์ แต่ที่น่าสะดุดตามากที่สุดคือเตาหลอมขนาดใหญ่สีทองที่ใช้หลอมโอสถสวรรค์ตรงกลางเรือน

          “ท่านมหาเทพ บัดนี้โอสถซวงเซิงรับไอฟ้าครบเก้าสิบเก้าวันแล้ว หลังจากที่ไป๋เซ่อกินเข้าไปจะต้องทำการปรับสมดุลในกายทุกๆ สามเวลากระทั่งครบเจ็ดวันจึงจะสามารถกำจัดหนอนทุกข์ระทมได้สำเร็จ” อาวุโสเทพหวางจื้อกล่าวทั้งน้ำตา มาตรว่าจะได้สมุนไพรวิเศษที่หายากยิ่งกว่าอะไรดี แต่ท้ายสุดมันกลับตกอยู่ในมือเจ้างูเผือกจอมป่วนเสียนี่

          “อืม ขอบคุณท่านมาก เพื่อมิให้เกิดข้อผิดพลาด ข้าคิดจะให้ไป๋เซ่อพำนักที่นี่ไปสักระยะ ต้องขอฝากท่านแล้ว” ต้าเซียนยิ้มแสร้งทำไม่เห็นท่าทีจะเป็นลมของเจ้าของตำหนัก ดีที่หงเอ้อร์เข้ามาช่วยพยุงตัวไว้ได้ทัน

          “หะ หงเอ้อร์” อาวุโสเทพหวางจื้อกัดฟันกล่าว “จัดห้อง”

          “ขอรับท่านอาจารย์” ผู้เป็นศิษย์รับคำ ก่อนจะลอบส่งสายตาที่เผยประกายใจดีให้ร่างเล็ก

          เห็นดังนั้นไป๋เซ่อก็ฉีกยิ้มแฉ่งสดใส ดูไปแล้วหงเอ้อร์ผู้นี้มีรัศมีเมตตาปราณีประดุจพระโพธิสัตว์ ไม่แปลกที่คนรอบข้างจะรู้สึกวางใจ

          เพลาต่อมาเซียนผู้เฒ่าก็วาดฝ่ามือไปยังเตาหลอม ก่อเกิดเป็นพลังขุมหนึ่งกระแทกฝาเตาหลอมให้เปิดออก ไม่นานเม็ดยาสีน้ำตาลขนาดเท่าผลองุ่นก็ล่องลอยลงมาตรงหน้าเขา ดูว่าเป็นโอสถผลซวงเซิงที่ได้รับการหล่อหลอมมาอย่างดี

          “ไป๋เซ่อ ข้าต้องไปจัดการเรื่องอื่นอีก เจ้าอยู่รักษาตัวที่นี่อย่าได้ก่อเรื่องวุ่นวาย” เห็นว่าไม่มีอะไรแล้วต้าเซียนก็ลูบศีรษะงูน้อยพลางบอก จากนั้นแปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นเม็ดทรายสีทองแล้วพัดพาไปตามกระแสลม

          “หงเอ้อร์ บอกกฎระเบียบเขาด้วย” ฝ่ายเซียนนักปรุงยาเองก็มิรั้งรออยู่ เพียงออกคำสั่งรวบรัดก็สะบัดปลายแขนเสื้อหายไป

          หลังสำรวจบริเวณตำหนักโอสถสวรรค์อยู่ครึ่งชั่วยาม หงเอ้อร์ก็พาเขามาส่งที่เรือนพักด้านหลัง ก่อนจะแบ่งหมั่นโถไว้ให้กินตอนท้องว่างในยามดึก ยิ่่งทำให้ไป๋เซ่อยิ่งรู้สึกถูกชะตากับอีกฝ่าย กระทั่งได้อยู่ตามลำพังตนก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนเตียงไม้ในห้อง หยิบโอสถผลซวงเซิงจากแขนเสื้อโยนเข้าปาก รสชาติขมยังไม่ทันสัมผัสลิ้นก็ล่วงสู่ลำคอ ไม่นานนักความร้อนเอ่อท้นกำจายไปทั่วร่าง เขาเคลื่อนพลังในกายเพื่อปรับสมดุล ทำเช่นนี้ราวสองชั่วยามจึงได้หยุดลง

          เขาออกมาเตร็ดเตร่เดินเล่น ความจริงตำหนักของตาแก่ขี้งกหวางจื้อก็มิได้มีอะไรให้เขาได้ซุกซนสักเท่าไหร่ จะมีเพียงส่วนปีกตำหนักซ้ายที่เป็นป่าสมุนไพรที่น่าลองเข้าไป หากแต่มันกลับเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่ใครก็มิอาจเหยียบย่าง จวบจนถึงโถงกลางก็คล้ายเห็นคู่รักอยู่รางๆ ดูว่าหงเอ้อร์จะได้ยินเสียงฝีเท้าจึงรีบดึงมือซึ่งถูกหงซานเกาะกุมอย่างรวดเร็ว ทว่าเขาทันเห็นจึงแสยะยิ้มให้คนทั้งสอง ทำเอาหงเอ้อร์หน้าแดงก่ำไปทั้งวัน


 

****************************************************

 

            ห้าวันผ่านไปร่างกายเขาฟื้นฟูไปได้บางส่วน และนับตั้งแต่เขาพักรักษาตัวที่นี่ อาวุโสเทพหวางจื้อก็มิค่อยปรากฏตัวให้เห็นนัก เพียงให้หงเอ้อร์ตรวจดูชีพจรเขาหลังปรับสมดุลเสร็จ ซึ่งคล้อยหลังจากนั้นตนก็แอบแวบไปนู่นมานี่ไปทั่วพิภพสวรรค์

          เช่นเดียวกับตอนนี้ที่กำลังกลับจากตำหนักผู้เฒ่าจันทรา ไป๋เซ่อพลันเห็นปีศาจอีกาถูกขุมพลังสีดำกระแทกใส่จนร่วงตกสวรรค์ กล่าวได้ว่านานๆ ครั้งตำหนักโอสถสวรรค์แห่งนี้จะมีแขกไม่ได้รับเชิญคิดมาขโมยยาวิเศษอยู่บ้าง กระนั้นก็ต้องผ่านด่านหงซานซึ่งทำหน้าที่เฝ้าประตูแข็งขัน

          “หงซาน ฝีมือเจ้าเยี่ยมไปเลย” เขาซึ่งลอยตัวอยู่เอ่ยปากชื่นชม

          “น่ะ นี่ยังห่างชั้นจากพี่ใหญ่อยู่มาก” หงซานพูดจาถ่อมตน แต่แล้วกลับมีเสียงของตกหล่นให้พวกเขาตกใจ

          “หงซาน เจ้าบาดเจ็บรึไม่” เป็นหงเอ้อร์ทิ้งถาดยาลูกกลอนแล้ววิ่งเข้ามาตรวจดูอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแตกตื่น

          สัมผัสได้ถึงความห่วงใยหงซานจึงเผยรอยยิ้มเบิกบาน ใบหน้าเจ้าตัวไร้ซึ่งแววทุกข์ตรมเช่นในอดีต ไป๋เซ่อมองดูคู่รักส่งสายตาแว่วหวาน ก็ชักจะคิดถึงเจ้าลูกเต่าขึ้นมาบ้างแล้ว มิรู้ว่าป่านนี้จะนอนร้องไห้ขี้มูกโป่งคิดถึงตนบ้างรึเปล่า ดูว่าพอไม่มีชายหนุ่มอยู่ด้วยไม่ว่าอะไรก็น่าเบื่อไปเสียหมด คิดได้ดังนั้นเขาก็ตัดสินใจกลับไปปรับสมดุลในกายยังที่พำนัก

          ร่างสีเขียวเหาะเหินผ่านทางเข้าป่าสมุนไพรต้องห้าม ครั้นพ้นไปได้ราวสี่ห้าก้าวก็ชะงักฝีเท้าถอยหลังกลับ ด้วยคำต้องห้ามนี้ช่างเย้ายวนใจ ไม่รู้ว่าตาแก่หวางจื้อผู้นั้นจะซุกซ่อนของดีอะไรไว้บ้าง ฉับพลันนั้นก็เผยอยิ้ม การที่ตนหักห้ามใจมาถึงห้าวันได้ก็นับว่าอัศจรรย์มากพออยู่แล้ว ไป๋เซ่อเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นไม่มีผู้ใดจึงลอบเข้าไปอย่างเงียบงัน

          ป่าสมุนไพรต้องห้ามด้านหลังตำหนักโอสถสวรรค์ล้วนเต็มไปด้วยสมุนไพรหลากหลายชนิด มาตรว่าส่วนใหญ่หาได้ยากยิ่ง แต่เมื่อมาอยู่รวมกันแล้วดูเผินๆ ก็มิได้พิเศษสักเท่าใด เขาเดินลึกเข้าไปไม่นานนักก็รู้สึกเบื่อหน่าย ทั้งออกจะรู้สึกผิดหวังลึกๆ ด้วยนึกว่าจะได้เห็นอะไรแปลกใหม่

          “เฮอะ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนุกเลย” กวาดสายตามองพุ่มสมุนไพรเตี้ยเบื้องหน้าแล้วจึงบ่นพึมพำ ประจวบเหมาะกับเสียงโครกครากดังขึ้น เขาลูบหน้าท้องตัวเองทีหนึ่งก็นั่งยองๆ เด็ดเอาดอกสมุนไพรสีเหลืองตรงหน้าขึ้นเอ่ย “ถ้ากินเข้าไปจะท้องเสียไหมนี่”

          ขณะที่กำลังจะเอาเข้าปาก สายลมกลุ่มหนึ่งก็พัดผ่าน นำพาผลท้อสีแดงอมชมพูลูกหนึ่งให้กลิ้งมานอนแน่นิ่งแนบปลายเท้า ยังผลให้ดวงตาเรียวลุกวาว น้ำลายเอ่อล้นเต็มปาก “ลูกท้อ” ไป๋เซ่อส่งเสียงดีใจ ก่อนไม่ไยดีต่อดอกสมุนไพรในมือ หันไปคว้าหยิบลูกท้ออวบอ้วน แลจังหวะที่ปัดฝุ่นเสร็จแล้วอ้าปากหมายจะลิ้มรส ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา

          เดี๋ยวสิ หากมีผลท้อที่นี่ ย่อมต้องหมายความว่ามีต้นท้ออยู่แถวนี้

          ทันใดนั้นหัวใจก็เต้นถี่ เขาแสยะยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย สองขาทะยานออกไป ความตะกละครอบงำจิตใจไปเรียบร้อยแล้ว ท้ายที่สุดก็พบต้นท้อสูงใหญ่ห่างออกไปไม่ไกลจากจุดเดิมมากนัก ดูจากผลที่ออกแน่นขนัดทั้งส่องประกายเรืองรองก็รู้ได้ว่ามันถูกประคบประหงมมาเป็นอย่างดี เขากระโดดตัวขึ้นไปอย่างร่าเริงพลางชี้นิ้วนับผลท้ออย่างสุขใจ จากนั้นเลือกผลที่ดีที่สุดมาละเลียดชิม ทันทีรสชาติหวานละมุนกำจายในโพรงปาก ตัวก็คล้ายเบาหวิวลอยละล่องอยู่บนก้อนเมฆ

          “อร่อย” งูเผือกน้อยเปล่งเสียง มือคว้าผลท้อลูกอื่นๆ เข้าปากไม่หยุด กระทั่งหนังท้องเริ่มตึงก็พลันฉุกคิดได้ว่าไม่ควรกินเกินกว่าเหตุ ประเดี๋ยวจะโดนจับได้เสียก่อน ตนยังมีเวลาเก็บเกี่ยวอีกสองวัน ทั้งลักลอบขนพวกมันกลับไปด้วย เมื่อคิดแผนได้เสร็จสรรพเขาก็ล่าถอยออกไปเงียบๆ หากแต่เมื่อกลับถึงห้องคนผู้หนึ่งก็รอเขาอยู่ก่อนแล้ว

          “ไป่ไป๋ เจ้าหายไปไหนมา นี่เป็นเวลาปรับสมดุลในกายแล้ว อย่าได้ชักช้าอยู่เลย” หงเอ้อร์ถามคนที่พึ่งเปิดประตูเข้าห้องอย่างเป็นห่วง

          “อื้อ ข้าจะทำเดี๋ยวนี้” ไป๋เซ่อยิ้ม ใช้น้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดตอบ ระหว่างนั้นมือก็ไพล่หลังลอบเช็ดกางเกงให้สะอาด

 

          ณ โถงกลางสีขาวอันทอดยาวด้วยพื้นหินอ่อนเป็นเงา งูเผือกน้อยชะโงกหน้ามองหามหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ในสามภพ เพลานี้ครบหนึ่งสัปดาห์ในการรักษาตัวแล้ว เขาที่เก็บข้าวของบอกลาและขอบคุณหงเอ้อร์และหงซาน ก็โผทะยานมาหาท่านมหาเทพที่ตำหนักใหญ่ด้วยความคิดถึง

          ทว่าการมาของเขากลับผิดจังหวะ ด้วยขณะนี้เทพเซียนทั้งหลายล้วนกำลังพบปะโต้แย้ง โดยศูนย์กลางมีท่านมหาเทพที่ได้แต่ยิ้มลำบากใจ เห็นดังนั้นไป๋เซ่อก็มิกล้ารบกวนอีก เห็นทีต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปก่อกวนผู้อื่น คิดได้ดังนั้นเงาร่างคนคนหนึ่งก็ฉายในสมอง “ฮึ ฮึ เจ้าต้องแปลกใจแน่” ร่างเล็กแค่นหัวเราะซุกซน จากนั้นเหาะเหินออกไปไม่เหลียวหลัง มิทันได้ฟังเสียงกลุ่มเทพเซียนที่ฟ้องร้องกันวุ่นวาย

          “เจ้างูเผือกนั่น บังอาจลอบเข้ามากร้อนขนยวนยางของข้า ยวนยางของข้า” เป็นผู้เฒ่าจันทราคร่ำครวญจะเป็นจะตาย ในมือยังหนีบนกเป็นน้ำอัปลักษณ์ไร้ขนตัวหนึ่งที่ดูสติหลุดไปแล้ว

          ต้าเซียนเหลือบดูก็ต้องสะดุ้งเฮือก นึกสงสารยวนยางที่โชคร้ายสุดแสน กระนั้นยังไม่พอยังมีเทพเซียนอัสนีกับเทพเซียนวายุที่ฟ้องร้องกันติดๆ ทำเอามหาเทพอย่างเขาได้แต่เกาหัวไม่รู้จะปลอบใครก่อนดี ประจวบเหมาะกับที่เทพอาวุโสหวางจื้อกับลูกศิษย์ปรากฏตัว

          “ท่านมหาเทพแย่แล้ว”

          ได้ฟังแค่นั้นน้ำตาของต้าเซียนก็รื้นขึ้น แค่นี้ยังไม่แย่พออีกหรือ

          “ไป๋เซ่อ เขา... เขา” เทพอาวุโสหวางจื้อโกรธเกรี้ยวจนพูดมิออก เป็นเหตุให้บุรุษหนุ่มผู้มีใบหน้าเมตตาเป็นฝ่ายคุกเข่าชิงกล่าว

          “ท่านมหาเทพ ท่านอาจารย์ เป็นข้าที่บกพร่องมิได้กำชับไป่ไป๋ให้ดี หงเอ้อร์น้อมรับโทษทัณฑ์ทั้งหมด” บังเกิดเป็นเสียงโขกศีรษะกับพื้น ยังผลให้ผู้เป็นอาจารย์ตวาด

          “หนอยๆ ยังจะออกหน้ารับแทนเขาอีก เจ้าจะมองเขาในแง่ดีเกินไปแล้ว”

          “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน” ต้าเซียนเริ่มขมวดคิ้ว ส่งผลให้บรรยากาศในห้องตกอยู่ในความกดดัน เทพเซียนต่างพากันเงียบกริบ จนกระทั่งอาวุโสเทพหวางจื้อเก็บโทสะแล้วค้อมตัวตอบ

          “ท่านมหาเทพ ในช่วงที่ไป๋เซ่อรักษาตัวยังตำหนักโอสถสวรรค์อยู่นั้น เขาได้ลอบเข้าไปในป่าสมุนไพรต้องห้าม แล้วทำการเด็ดกินผลท้อไปกว่าครึ่งต้น เกรงว่าปีนี้จะมิสามารถส่งผลท้อไปยังโลกมนุษย์ได้ครบอีก”

          “เฮ้อ ยังดีที่เป็นแค่ผลท้อ” นึกว่าจะมีอะไรร้ายแรงกว่านี้เสียอีก ต้าเซียนถอนหายใจ แต่ยังมิทันโล่งอกอีกฝ่ายกลับแย้งเสริม

          “แต่ท่านมหาเทพ นั่นมิใช่ผลท้อสวรรค์ธรรมดา หากแต่เป็น...”

          ดูจากสีหน้าประดักประเดิด ต้าเซียนพลันเกิดสังหรณ์ใจไม่ดี “เดี๋ยว ท่านอย่าบอกนะว่าเป็น...”

          “........” เทพนักปรุงยามิตอบคำเพียงพยักหน้ารับ ยังผลให้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้าง มหาเทพผู้สูงศักดิ์โพล่งเสียงลั่นตำหนัก

          “ผลท้อกำเนิด”


 

****************************************************

 

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 33.2 ผลท้อกำเนิด

 

            ท่ามกลางความมืดอันเงียบสงบ เสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ เพลานี้ดวงตาเรียวสีฟ้าอมเขียวทอดมองบุรุษในชุดสีขาวปล่อยผมยาวสยายหลับลึกบนเตียงนอน แต่แล้วครู่หนึ่งกลับฉีกยิ้มกว้าง สองขาย่างก้าวสามขุมเข้าไปอย่างแช่มช้า หัวเข่าที่กดลงบนเบาะทำให้เตียงอ่อนยวบ ไป๋เซ่อใช้จังหวะนี้ตวัดตัวขึ้นคร่อมคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

          “ถึงทีข้ากินเจ้าแล้ว ลูกเต่าน้อย ว่ะ ฮ่า ฮ่า”       

          เสียงแผดหัวเราะทำเอาคนหลับลึกเริ่มรู้สึกตัว ก่อนสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบลามเลียหน้าท้อง ซวนหยวนหมิงไท่สะลึมสะลือหรี่ตามองแล้วจึงเห็นเป็นเจ้าของใบหน้าเย้ายวนทำการกระชากเสื้อเขา ใบหน้าอ่อนโยนพลันอมยิ้ม แลรอดูงูเผือกน้อยลักหลับเขาอย่างใจจดใจจ่อ

          มือเรียวลูบไล้กล้ามเนื้อแน่นขมัด ยิ่งบุรุษใต้ร่างมิรู้สึกตัวก็ยิ่งย่ามใจ “อา” ไป๋เซ่อหลุดเสียงพึงพอใจ อุณหภูมิความร้อนจากผิวกายทำให้เขาต้องนอนราบทับชายหนุ่มแล้วซุกไซ้ไปมาอย่างสบายใจ

          “อะไรกันจบแล้วรึ” เห็นหนังตาเรียวกระพือจะคล้อยหลับ ซวนหยวนหมิงไท่ก็ยิ้มเอ่ยทัก น้ำเสียงฟังดูเสียดาย ทำเอาคนด้านบนสะดุ้งเฮือก สูดน้ำลายเข้าปากแทบมิทัน

          “เจ้าตื่นแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ไป๋เซ่อโพล่งถามแตกตื่น

          “ฮึ ฮึ ก็ตั้งแต่ที่เจ้าคิดจะทำมิดีมิร้ายข้านั่นแหละ” ฮ่องเต้หนุ่มพูดจบก็ยื่นหน้าเข้าไปประทับริมฝีปากโดยที่มิให้งูน้อยตั้งตัว แลทันทีที่เคลื่อนใบหน้าออก ดวงหน้าสีแดงก่ำก็กระจ่างชัดในแววตา

          “จะ เจ้าๆ”

          “ข้าทำไมรึ” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มกริ่ม แล้วผลักร่างเล็กให้นอนอยู่ใต้ร่างแทน “มิใช่เจ้าต้องการให้เป็นแบบนี้แต่แรกหรือ” เขาหยอกเย้า

          “เพ้ย กะ กล่าววาจาเลื่อนเปื้อน คะ ใครต้องการให้เป็นแบบนี้กัน” ไป๋เซ่อแย้งตะกุกตะกัก หัวใจเต้นระรัวแทบทะลุออกมาจากอก

          “ข้าคิดถึงเจ้า”

          จู่ๆ ชายหนุ่มก็พูดขึ้น ทั้งใช้ดวงตาสีดำขลับจ้องมองมาอย่างลึกซึ้ง ดึงดูดให้ไป๋เซ่อนิ่งอึ้งเลื่อนลอย ไม่นานปากที่เผยอเล็กน้อยก็ถูกประกบอีกครั้ง ความอ่อนโยนอบอุ่นซึมซาบไปถึงขั้วหัวใจ ร่างที่เกร็งตัวค่อยๆ โอนอ่อนตอบรับ

          “ในปากเจ้า... ลูกท้อหรือ” สัมผัสถึงรสชาติหวานฉ่ำในโพรงปาก ร่างสูงก็ผละริมฝีปากออกเล็กน้อยก่อนถาม

          “อื้อ เป็นผลท้อในตำหนักโอสถสวรรค์ ข้าเอามาฝากเจ้าตั้งหลายลูกแน่ะ ลองกินดูสิ” พูดพลางกระวีกระวาดหยิบเอาห่อผ้าใบโตกลางหลัง ล้วงเอาลูกท้ออวบอ้วนซึ่งส่องประกายเรืองรองยื่นให้

          ซวนหยวนหมิงไท่มองดูผลท้อในมือเรียว จากนั้นไล่มองคนที่ยิ้มแฉ่งอย่างภาคภูมิ ฉับพลันมุมปากเขาก็ยกยิ้ม พลันโถมกายเข้าหาร่างเล็กโดยเร็ว “ข้าว่ากินเจ้าก่อนดีกว่า ฮึ ฮึ”

          “เจ้ามันตัวเลวร้าย อ้ะ อื้อ” ไป๋เซ่อสบถด่า หากแต่ไม่นานก็ต้องส่งเสียงครางหวานแทน

          เช้าวันรุ่งขึ้นถ้อยคำก่นด่าสาปแช่งก็ดังไปทั่วตำหนัก ซวนหยวนหมิงไท่ฮ่องเต้ถูกไล่ออกจากห้องด้วยรอยยิ้มและสีหน้าสดชื่นอิ่มเอิบ เพียงแค่นี้ขันทีนางกำนัลก็พอเดาออกแล้วว่าค่ำคืนที่ผ่านบังเกิดศึกหนักระหว่างเจ้าชีวิตและฮองเฮา

          “โอย” ไป๋เซ่อนอนคว่ำหน้าแผ่กายโอดโอยในสภาพหมดแรง ถึงตอนนี้จึงตระหนักได้ว่าตนช่างรนหาที่ คิดก่อกวนผู้อื่นกลับกลายเป็นโดนเข้าเอง อีกทั้งความอัดอั้นคิดถึงราวหนึ่งสัปดาห์เป็นเรื่องที่มิอาจมองข้าม เนื่องเพราะเมื่อคืนเขา ...แทบเละเป็นโจ๊ก

          “พระชายาหลี่ ไม่ได้นะเพค่ะ ฮองเฮากำลังทรงพักผ่อนอยู่”

          “ข้าบอกให้หลีกไป”

          ขณะที่นวดเอวตัวเองที่ด้านนอกก็เกิดเสียงดัง งูเผือกน้อยพลันจดจำน้ำเสียงวางอำนาจนั้นได้เป็นอย่างดี จะว่าไปหลังเกิดเรื่องนานัปการ เขากับซวนหยวนหมิงไท่ติดอยู่ในฝัน ท่านมหาเทพก็สวมรอยฮ่องเต้หนุ่มออกว่าราชการ ส่วนเขาถูกปล่อยข่าวว่าป่วยหนักได้แต่นอนซมอยู่บนเตียงไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบ ยังผลให้เขาลืมเลือนนางไปจนกระทั่งวันนี้

          ทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างของสตรีผู้ซึ่งมีใบหน้าอ่อนหวานสวมใส่อาภรณ์สีส้มอ่อนพร้อมนางกำนัลส่วนพระองค์ก็รุดเข้ามา

          “พระชายาหลี่”

          “เซียวฮองเฮา” หลี่ซิ่วหลันมองดูบุรุษที่นั่งอยู่บนเตียง สีหน้าแม้ซีดไปบ้าง หากแต่ไม่เหมือนคนป่วยหนักก็งุนงงไปเล็กน้อย

          “เจ้าต้องการพบข้าด้วยเรื่องอะไร” ไป๋เซ่อวางท่าขึงขังเตรียมพร้อมรับมือ ดูสิครั้งนี้นางจะหาเรื่องเขาด้วยเหตุอันใด แต่แล้วสตรีตรงหน้าก็พลันทำให้เขาตกใจยิ่ง นางทรุดเข่าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาเขาเลิกตากว้าง “จะ เจ้าทำอะไร”

          “หลี่ซิ่วหลันขอบังอาจร้องขอ ได้โปรดปลดหม่อมฉันออกจากตำแหน่งพระชายาด้วยเถิดเพค่ะ”

          “หา” เขาถึงกับอ้าปากเหวอ

          “หรือจะทรงขับไล่หม่อมฉันออกจากวังด้วยก็จะยิ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณเพค่ะ”

          “พระชายาหลี่” เหลียนฮัวนางกำนัลซึ่งติดตามชายาหลี่เข้าวังมาร้องเสียงสูง ก่อนจะสะอื้นไห้ “ถ้าต้องถูกขับออกจากวังพระองค์จะถูกส่งไปบวชชีนะเพค่ะ”

          “ข้าไม่สน” ชายาหลี่กล่าวเสียงแน่วแน่ ต้องบอกว่าชีวิตนางน่าสมเพช หลงระเริงไปกับการวาดฝันฝ่ายเดียว แรกเริ่มที่ได้พบฝ่าบาทสมัยยังทรงเป็นองค์รัชทายาทนางก็ตกหลุมรักหมดใจ แลเฝ้าคิดถึงราวคนตาบอด ต่อเมื่อมีข่าวการคัดเลือกนางสนมก็เป็นนางคะยั้นคะยอบิดาให้หาทางส่งนางเข้าวัง ด้วยคิดว่าตนมีความสามารถชนะใจฝ่าบาท เป็นสตรีพิเศษกว่าใคร แต่ทว่าทุกอย่างกลับผิดไปจากที่นางคิด ฝ่าบาทรักมั่นต่อเซียวไป๋ ไม่ว่านางจะใช้วิธีการใดสายตาสูงส่งคู่นั้นก็มิเคยชำเลืองมองมา นานวันเข้านางก็ได้แต่อยู่อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง หากแต่ใครจะคิดว่าสวรรค์ยังคงเล่นตลก ส่งคนผู้นั้นมาในวันที่สายไป “ได้โปรดเถอะเพค่ะ ชาติหน้าหม่อมฉันยอมเป็นม้าเป็นลารับใช้พระองค์ก็ได้”

          กล่าวจบนางก็ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ทำเอาไป๋เซ่อตกตื่นตระหนกลนลานเข้าไปปลอบสตรีตรงหน้าอย่างงกๆ เงิ่นๆ “มีอะไรก็ค่อยๆ บอกกล่าว หากข้าช่วยได้ข้าจะช่วยเจ้าอย่างเต็มที่เอง”

          “จริงรึเพค่ะ” หลี่ซิ่วหลันช้อนนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำใสขึ้น รอจนอีกฝ่ายพยักหน้าให้จึงได้บอกเล่าความทุกข์ในใจออกมา



*****************************************************


            “เจ้าก็เลยอยากให้ข้าส่งหัวหน้าองค์รักษ์ต้วนเจิงกับชายาหลี่ซิ่วหลันออกจากวังหลวง”

          “ใช่”

          “ไป๋เซ่อ เจ้าพูดง่าย แต่ถ้าเกิดนางไม่อยู่ ขุนนางทั้งหลายก็จะหาข้ออ้างเรื่องที่ข้าไม่มีผู้สืบทอดบัลลังก์แล้วให้ข้ารับสนมชุดใหม่ เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าจะทนได้หรือ” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยกล่าวจริงจัง

          “แน่นอนว่าข้าทนไม่ได้ แต่ยังไงข้าก็จะช่วยพวกเขา” งูเผือกน้อยตอบทันควัน ฟังเรื่องราวของหลี่ซิ่วหลันแล้วก็ทำให้เขาซาบซึ้งใจ

          เรื่องราวของนางเริ่มขึ้นในวันที่กบฏตระกูลเจินบุกยึดวังหลวง ตำหนักจวี๋ฮวาในวันนั้นก็ถูกทหารกบฏเข้ากวาดล้างด้วยเช่นกัน ขณะที่หนึ่งนายหนึ่งบ่าวเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด หัวหน้าองครักษ์ต้วนซึ่งทำหน้าที่ดูแลตำหนักกลับเป็นฝ่ายเข้าปกป้องคุ้มครองอย่างไม่คิดชีวิต ทั้งยังรับดาบแทนนางกับเหลียนฮัวจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ต่อให้หลี่ซิ่วหลันบอกให้มิต้องสนใจนางอย่างไร เขาก็มิยอมฟัง เพียงส่งยิ้มให้นางก่อนเข้ากลุ้มรุมบรรดากบฏสุดชีวิต ซึ่งในยามนั้นนางจึงได้เข้าใจ สิ่งที่ตนตามหามีเพียงคนผู้นี้ที่ให้นางได้ และยังต้องเป็นเขาเท่านั้น

          ภายหลังจากทหารกบฏพ่ายแพ้ หัวหน้าองครักษ์ต้วนปลอดภัย หากแต่พวกเขากลับต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายในยามต่อมา นางเป็นสตรีของฝ่าบาท ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจเอื้อม ความรักของพวกเขาได้แต่มองมิอาจจับต้อง มาตรว่ารักใคร่หวานซึ้ง แต่ก็ต้องสัมผัสกับความขมขื่นด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ทั้งเขาและนางกลายเป็นดั่งคนเป็นที่ยังมีชีวิตอยู่

          “เรื่องนี้เจ้ากระทำโดยพลการมิได้” ฮ่องเต้หนุ่มพูดเตือนด้วยรู้นิสัยดื้อรั้นของอีกฝ่ายดี แต่แล้วคำกล่าวนี้กลับกระตุ้นให้ไป๋เซ่อเกิดโทสะ

          “ไม่รู้ล่ะ หากเจ้าไม่ช่วยข้าจะใช้วิธีของข้าเอง” พูดจบก็หุนหันเดินจากไป

          “ไป๋เซ่อ ไป๋เซ่อ” ซวนหยวนหมิงไท่ผุดลุกจากเก้าอี้มังกรในห้องทรงพระอักษร ทว่าต่อให้ส่งเสียงเรียกเท่าไรเจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าจะหยุด กระทั่งเรียกเป็นหนที่สาม ฝีเท้าของร่างเล็กจึงได้หยุดชะงักลง ก่อนจะทรุดนั่งกับพื้นไปเสียดื้อๆ เห็นดังนั้นเขาก็รีบวิ่งเข้าไปประคอง “ไป๋เซ่อ เจ้าเป็นอะไรไป”

          “ขะ ข้าจะอ้วก”

          ไป๋เซ่อใช้สองมือปิดปาก สีหน้าดูพะอืดพะอม ดวงตาข่มหลับลงอย่างทรมาน เขารีบลูบแผ่นหลังน้อย ในใจวิตกเนื่องเพราะร่างเล็กพึ่งผ่านการรักษาฟื้นฟูกายมาได้ไม่นาน

          จังหวะที่กำลังเงยหน้าหมายตะโกนเรียกหมอหลวง ซวนหยวนหมิงไท่ก็เป็นอันสะดุ้งเมื่อพบเงาร่างหนึ่งซึ่งทำสีหน้าตกตะลึง ทั้งนี้มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้

          “ม่ะ ไม่ทันการหรือ” ผู้เป็นมหาเทพพึมพำเลื่อนลอย ที่ด้านหลังมีเซียวถิงฟงที่เดินเข้ามาพร้อมมองไป๋เซ่อด้วยสีหน้ายากจะบรรยาย

          “เขาเป็นอะไรไป” คลับคล้ายคลับคราว่าคำพูดของพวกเขาเกี่ยวพันกับไป๋เซ่อ ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยถาม กระนั้นต้าเซียนกลับมิตอบคำ เซียวถิงฟงจึงเป็นฝ่ายยิ้มกวนตอบ

          “ขอแสดงความยินดีกับเจ้า งูน้อยของเจ้ามีเด็กแล้ว”

          “หา”

          “โอ๊ก”

 

****************************************************

 

            มาเเล้วจ้าที่หายไปยาวเเบบว่าปวดหัวกับทีสิสมากมาย เครียดหนักช่วงที่ผ่านมาเลยเขียนนิยายได้ช้า สรุปเเล้วบทหน้าเป็นบทจบนะจ้ะ

          ยังมีข่าวร้ายอีกจ้า ซึ่งต้องขอโทษมากๆ กับคนที่รอเล่มหทัยเทพสวรรค์ สรุปเราพึ่งขอถอนตัวกับสำนักพิมพ์ที่เคยมาติดต่อไว้ แล้วออกมาเริ่มต้นใหม่ คือ ลองส่งต้นฉบับไปที่สำนักพิมพ์อื่น ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของทางฝั่งสนพ. ความจริงนิยายเราก็ไม่ได้ฮอตมาก (เเต่มีคนอ่านเท่านี้เราก็ดีใจเเล้ว) ก็เลยต้องทำใจไว้บ้าง ซึ่งเราคิดว่าถ้าภายในสิ้นปีนี้ไม่มีสนพ.รับต้นฉบับ เราก็จะอัพสเปเชี่ยลนิยายหทัยเทพสวรรค์ให้อ่านกัน


ออฟไลน์ pattapong200320

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สนุกมากค่า  รอดูไป๋เซ่อกะลูกงูตัวน้อยๆนะค้าาาา

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 34.1 สวรรค์ลิขิต (จบ)

 

            ณ ตำหนักเสวียนเจิ้ง

          “เจ้าจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปถึงไหน” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างรำคาญใจ ให้สหายในชุดมังกรต้องหัวเราะเสียงดัง

          “อะไรกันเจ้าอิจฉา” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มแก้มปริ ไม่มีครั้งใดที่เขานึกขอบคุณนิสัยตะกละตะกรามของไป๋เซ่อได้มากเท่าครั้งนี้

          “เฮอะ” เซียวถิงฟงแค่นเสียง นึกถึงตอนที่งูเผือกน้อยรู้ตัวก็สติแตกโอ๊กอ๊ากไปหลายชั่วยาม ต้าเซียนต้องหัวหมุนปลอบจ้าละหวั่น เขาก็กอดอกถามขึ้น “ว่าแต่ตอนนี้ไป๋เซ่อเขารับกับเรื่องนี้ได้แล้ว?”

          “หากยังรับมิได้ ข้าจะถูกถีบมานั่งอยู่ที่นี่รึ แค่นอนไปตื่นหนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นมาสวาปามของกินเข้าท้องไปจนเกลี้ยงครัวได้แล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่พูดไปน้ำตาก็แทบจะไหลพราก ต้องขอบคุณที่ไป๋เซ่อยอมรับความจริงได้รวดเร็วอีกเช่นกัน แม้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคำกล่าวโน้มน้าวของต้าเซียน

          แรกเริ่มเดิมทีผลท้อกำเนิดปลูกขึ้นเพื่อสตรีผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ทำการอ้อนวอนขอบุตรธิดากับเทพเซียนทั้งหลาย หากมิใช่ไป๋เซ่อลักลอบกินมัน ประจวบเหมาะกับเมื่อลงมาโลกมนุษย์ พวกเขาก็...กัน เจ้าตัวน้อยก็คงจะไม่ถือกำเนิด ฮึ ฮึ ยังดีที่เจ้าตัวมีอิทธิฤทธิ์ทำให้ย่นเวลาตั้งครรภ์จากเก้าเดือนให้เหลือเพียงสามเดือนได้ มิเช่นนั้นคงสติแตกยิ่งกว่านี้

          “จริงสิเมื่อเช้าตอนเขาตื่นมาหน้าท้องเขานูนขึ้นมาบ้างแล้ว” ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มระรื่น

          “เจ้าคนเห่อลูกเอ้ย” แม่ทัพหนุ่มสบถใส่คนทำหน้าบาน อ้าปากเป็นพูดพล่ามถึงเมียถึงลูก แล้วจึงเปลี่ยนมาเข้าเรื่องอื่น “เรื่องพระชายาหลี่ ข้าจะจัดการตามที่เจ้าบอก”

          “อืม” ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี มิใส่ใจท่าทีกระแนะกระแหนของสหาย ก่อนจะนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “จริงสิ องครักษ์เงา”

          “ฝ่าบาท”

          สิ้นเสียงเรียกก็พลันมีเสียงตอบรับกลับมา หากแต่ไร้ซึ่งเงาผู้กล่าว กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ยังคงรับสั่ง “ทางตะวันตกของฉางอันมีร้านอาหารแห่งหนึ่งชื่อว่าหอปี้หลัว เจ้าไปซื้อปีกไก่น้ำแดงมา จากนั้นนำส่งไปยังตำหนักฮองเฮา”

          “น้อมรับพระบัญชา”

          “เดี๋ยวๆ” ประโยคสนทนาดังกล่าวถึงกับทำให้เซียวถิงฟงถลนตาอ้าปากค้าง ไฉนองครักษ์เงาที่ขึ้นชื่อดั่งยมบาล ไปมาว่องไวกลับกลายเป็นเด็กส่งอาหารไปแล้วเล่า “เจ้าจะใช้งานพวกเขาพร่ำเพรื่อไปรึไม่ จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นถึงองครักษ์เงา”

          “ก็มีแต่พวกเขาที่ทันใจไป๋เซ่อนี่นา อ้ะ” เสมือนหลุดคำพูดที่เก็บซ่อนไว้ ซวนหยวนหมิงไท่รีบกระแอมกระไอ “ความจริงพวกเขาอยู่แต่ในเงามืด สมควรมีชีวิตอิสรเสรีเฉกเช่นคนปกติบ้าง”

          พับผ่าสิ เจ้าคนหัวไว ยังอุตส่าห์คิดเหตุผลนี้ออกมาได้...

          ริมฝีปากของแม่ทัพหนุ่มพลันกระตุก ก่อนตัดสินใจเอ่ยลาเพื่อไปจัดการเรื่องสำคัญที่ได้รับ ร่างในชุดมังกรเองก็ส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงอนุญาต ต่อเมื่อเช้าวันใหม่เริ่มขึ้นข่าวคราวหนึ่งก็ค่อยๆ กระจายไปทั่วราชสำนักและตัวเมืองฉางอัน สร้างความปีติยินดีให้กับขุนนางและเหล่าข้าราชบริพาร เว้นเพียงคนกลุ่มหนึ่งที่รู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง

          ...พระชายาหลี่ซิ่วหลันตั้งครรภ์มังกรได้สามเดือนแล้ว

 

          ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ กิตติศัพท์เลื่องชื่อห่วงลูกเมียเกินเหตุของซวนหยวนหมิงไท่ฮ่องเต้ก็เป็นที่ประจักษ์แก่คนรอบข้าง โดยเฉพาะแม่ทัพหนุ่มเซียวถิงฟงที่ต้องเข้าเฝ้าทุกวัน แลต้าเซียนที่แวะเวียนไปตรวจชีพจรให้งูเผือกน้อยอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่เสี่ยวลู่และหัวหน้าองครักษ์จิ้งก็ไม่พ้นหัวหมุน

          ผิดกับขันทีนางกำนัลแลขุนนางทั่วไปที่กลับเห็นต่างออกไป เพียงรู้สึกว่าจักรพรรดิหนุ่มพระองค์นี้มีรสนิยมแปลกประหลาด คอยดูแลเอาใจใส่งูเผือกตัวอ้วนดียิ่งกว่าสตรีคนใด บางคราถึงขนาดยกโต๊ะในห้องทรงพระอักษรให้มันได้นอนแผ่หลา ทั้งปล่อยให้มันสวาปามอาหารบนโต๊ะ โดยที่ตนเองนั่งฉีกยิ้มกว้างมองมันจัดการของกินไม่เหลือ แม้แต่ในท้องพระโรงยังสั่งให้ลดเสียง มิให้รบกวนการนอนหลับของมัน ส่งผลให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต้องกราบทูลรายงานด้วยสุ้มเสียงเบาเช่นสตรี ทั้งกวาดไม้กวาดมืออธิบายไปมายกใหญ่ดูเหน็ดเหนื่อยยิ่ง

          ท่ามกลางนิสัยแปลกประหลาดของเจ้าชีวิตยังคงอีกกลุ่มหนึ่งได้รับผลกระทบ อย่างเช่นในเพลานี้ ณ อุทยานหลวง กลุ่มกององครักษ์หลวงกลุ่มใหญ่ต่างวุ่นวายค้นหาบางสิ่งอย่างเคร่งเครียด แทบจะถอนรากถอนโคนต้นไม้ในสวน ทำเอาเหล่าขันทีกองพฤกษาแทบหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด

          “ทางนี้ไม่มี”

          “ทางนี้ก็ไม่มี”

          องครักษ์ทั้งหลายตะโกนบอก ส่งผลให้หัวหน้าองครักษ์จิ้งต้องขมวดคิ้วมุ่น “เช่นนั้นตำหนักนั้นเล่า ไปดูที่ตำหนักนั้นโดยเร็ว อีกอย่างจำไว้ให้ดี หากพบเห็นให้ระวังให้มาก อย่าได้ทำให้มันตกใจ มิเช่นนั้นต่อให้พวกเจ้ามีสักสิบหัวก็ไม่พอ”

          “ขอรับ”

          จู่ๆ วันนี้ก็มีเรื่องให้เขาปวดขมับ เซียวฮองเฮาหายไปจากตำหนักร่วมชั่วยาม เจ้าชีวิตจึงสั่งระดมองครักษ์ทั้งหลายออกตามหา แลเมื่อหาคนไม่พบเขาก็ได้แต่สั่งหางูเผือก ทำเอาลูกน้องใต้สังกัดเขางงกันไปทั้งแถบ

          “เจอแล้ว มันนอนหลับอยู่บนต้นไม้”

          ราวกับสวรรค์มาโปรด สีหน้าของหัวหน้าองครักษ์จิ้งพลันดูดีขึ้นในพริบตา เขารีบออกคำสั่ง “รีบส่งคนไปแจ้งข่าวให้ฝ่าบาทโดยเร็ว”

          “ขอรับ”

          คล้อยหลังองครักษ์นายหนึ่งไปส่งข่าว ไม่นานบุรุษในชุดมังกรสีเหลืองอร่ามก็ทะยานตัวลงมาใกล้กลุ่มคนที่ล้อมรอบต้นไม้ใหญ่ไวราวโกหก ใบหน้างดงามที่มักสุขุมบัดนี้ดูร้อนรนเล็กน้อย ฝีเท้าหนักแน่นนั้นก้าวยาวฉับๆ ตรงเข้ามา

          “เขาอยู่ที่ไหน”
         
          “อยู่ตรงนั้นพะย่ะค่ะ กระหม่อมให้ลูกน้องปีนขึ้นไปแล้ว” หัวหน้าองครักษ์จิ้งชี้ไม้ชี้มือบอก ด้านฮ่องเต้หนุ่มเงยมองร่างน้อยแล้วกลับแลไม่เห็นคนที่ปีนป่ายไปถึงครึ่งทางอยู่ในสายตา

          “ไม่ต้อง”

          พระสุรเสียงตัดจบก็ถีบปลายเท้าคราหนึ่ง นำพาตัวเองขึ้นไปยังกิ่งไม้สูง ก่อนกระโดดไปตามกิ่งต่างๆ อย่างแผ่วเบา จนกระทั่งไปถึงกิ่งไม้เล็กๆ ที่ยื่นรับแดดให้ความร่มรื่นก็เห็นงูตัวน้อยสีขาวปลอดขดตัวหลับอยู่

          “เด็กดี ไยมานอนตรงนี้” เขาใช้นิ้วเกาคางให้งูเผือก เมื่อถูกกวนดวงตาเรียวสีฟ้าอมเขียวลืมขึ้น ก่อนเชิดศีรษะถูไถมือเขาอย่างรักใคร่ ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มบาง นับแต่ไป๋เซ่อมีเด็กก็มักออดอ้อนเขาเช่นนี้ “กลับกันเถอะ” เขาเอ่ยขึ้น ด้านงูน้อยขู่ฟ่อตอบรับสองทีก็เลื้อยรัดแขนเขาไว้แล้วหลับตาพริ้ม

          เมื่อถึงตำหนักถั่วแดง ไป๋เซ่อกลับกลายร่างเป็นมนุษย์ทอดแผ่นหลังพิงพนักนุ่ม สองมือลูบท้องที่นูนป่อง นึกถึงเดือนแรกที่โก่งคออาเจียนแพ้ท้อง ตอนนี้ก็นับว่าดีกว่ากันเยอะ เพียงรู้สึกหิวแลเหนื่อยง่ายกว่าแต่ก่อน

          “เป็นอย่างไรบ้าง” ซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยถาม ใกล้ครบกำหนดสามเดือนแล้วเขาจึงคอยระมัดระวังเป็นพิเศษ

          “ก็ดี” ร่างเล็กตอบกลับสั้นๆ มือคว้าผลองุ่นบนจานใกล้ตัวขึ้นเคี้ยวตุ้ยๆ


 

****************************************************

 

            ตกดึก ไป๋เซ่อนอนกระสับส่ายไปมาไม่หยุด เหงื่อกาฬหลั่งไหลท่วมตัว ตัวที่เย็นเฉียบอยู่แล้วกลับยิ่งเย็นเยียบเข้าไปใหญ่ ซวนหยวนหมิงไท่ที่กอดเจ้าตัวเอาไว้รู้สึกถึงความผิดปกติก็เอ่ยทัก

          “ไม่สบายตัวหรือ”

          “ขะ ข้าปวดท้อง” ไป๋เซ่อเค้นเสียงพูดอย่างทรมาน ส่งผลให้ชายหนุ่มต้องเบิกตากว้างก่อนจะผุดลุกขึ้นด้วยสีหน้าแตกตื่นปนตะลึง แล้วจึงหันรีหันขวางทำตัวไม่ถูก จนสุดท้ายก็หันกลับมาคว้ากุมมือเขาไว้

          “จะ เจ้าทำใจดีๆ ไว้ สูดหายใจเช้าลึก ฟื้ด อา”

          “เจ้าบ้า คิดจะฆ่าข้าใช่ไหม ไปตามหมอสิ คนซื่อบื้อ อ๊ากกก” ไป๋เซ่อตะโกนลั่นด้วยความเจ็บปวด มือดึงทึ้งผมคนตรงหน้าโดยแรง

          “โอ๊ยย ไป๋เซ่อ เจ้าเบามือหน่อย หนังศีรษะข้า... หนังศีรษะข้าจะแยกออกจากกันแล้ววว”

          ต่อเมื่อโดนทำร้ายไปยกหนึ่ง ซวนหยวนหมิงไท่ในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงก็พลันได้สติวิ่งไปยังประตูหมายเรียกคนให้ตามหมอหลวง กระนั้นเมื่อประตูเปิดออกกายกลับต้องชะงักหยุดกึก เนื่องเพราะเบื้องหน้าปรากฏร่างสีขาวในสภาพพึ่งตื่นยืนอยู่หน้าประตูพอดิบพอดี เสมือนอีกฝ่ายล่วงรู้เหตุการณ์เร่งด่วนล่วงหน้า

          “ไม่ต้องตามหมอหลวงแล้ว เจ้ารออยู่ด้านนอกเถอะ” ต้าเซียนก้าวผ่านฮ่องเต้หนุ่มไป ที่ด้านหลังยังมีเซียวถิงฟงในชุดนอนอ้าปากหาวหวอดๆ รออยู่ที่หน้าห้องเช่นกัน

          “ฝากไป๋เซ่อด้วย” ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวอย่างเป็นกังวล ต่อเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าให้ตนจึงได้วางใจ

          ประตูถูกปิดลง ด้านในห้องมีเพียงคนทั้งสอง ซวนหยวนหมิงไท่ได้แต่ยืนเกาะอยู่หน้าห้องเงี่ยหูฟังเสียงโอดโอยที่ยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง กระทั่งเสียงเงียบสนิทกะทันหัน เขาเริ่มใจไม่ดี กระทั่งต้าเซียนเปิดประตูออกมา ท่าทางของเขาดูเหน็ดเหนื่อยยิ่ง

          “ไป๋เซ่อ เขา...”

          “ไป๋เซ่อ” ไม่รอฟังอีกฝ่ายพูดจบ เขาก็วิ่งเข้าไปหาคนในห้องแล้ว ครั้นได้สบเข้ากับร่างเล็กที่กรนคร่อกหลับลึก เสมือนมิเคยผ่านการคลอดลูกมาก่อนก็ถอนหายใจโล่งอก

          อ้ะ... จริงสิเด็กเล่า

          “ลูกข้า” เห็นว่าคนรักปลอดภัยดี ตนจึงพึ่งตระหนักได้ ดูว่าตั้งแต่ครู่ก่อนหาได้มีเสียงเด็กร้องดังออกมาสักนิด “เกิดอะไรขึ้นกับลูกข้า”

          “เขาอยู่นี่” เซียวถิงฟงเดินเข้ามาพร้อมพยักพเยิดไปทางร่างสีขาว

          บัดนี้ในมือเรียวของต้าเซียนกำลังกอบกุมบางสิ่งอย่างอ่อนโยน ผู้เป็นมหาเทพยิ้มบางแล้วยื่นบางสิ่งในมือไปให้ ด้านจักรพรรดิหนุ่มแม้งุนงงได้ที่แต่ก็ยังคงยื่นมือออกไปรับ

          ตุบ ทันใดนั้นพลันมีไข่ก้อนกลมรีใบเล็กสีขาวมุกนอนแน่นิ่งในมือ จากความเย็นเยียบส่งผ่านผิวกาย หากแต่ภายในเปลือกบางคล้ายมีสิ่งที่มีชีวิตหายใจอยู่ ดวงตาสีดำขลับก็เลิกกว้าง

          ...สวรรค์ นี่เขาลืมไปได้อย่างไรว่างูออกลูกเป็นไข่

          “จากนี้เจ้าต้องระวังมิให้เขาถูกความเย็น ยิ่งอบอุ่นมากเท่าใดเขาก็จะยิ่งแข็งแรงขึ้นมากเท่านั้น”

          ต้าเซียนกำชับเป็นมั่นเป็นเหมาะ ซวนหยวนหมิงไท่รีบพยักหน้าหงึกหงักแล้วส่งคู่สามีภรรยาจากไป จากนั้นกลับไปกระวีกระวาดให้เสี่ยวลู่หาตะกร้าใบเล็ก เบาะนุ่ม และผ้านวมผืนเล็กมา

          “ลูกพ่อนอนตรงนี้ แล้วรีบโตไวๆ นะ” จัดแจงวางไข่น้อยลงไปในตะกร้าเล็กอย่างแผ่วเบา ก่อนนำไปวางไว้ที่บริเวณอกของไป๋เซ่อ แล้วจึงทำกอดสองแม่ลูกด้วยรอยยิ้มหลับไป

 

          นับตั้งแต่ไข่ใบน้อยสัมผัสโลกภายนอก ระดับความพร่ำเพ้อถึงลูกของซวนหยวนหมิงไท่ก็มีมากขึ้นในระดับก้าวกระโดด ถึงขนาดประคองไข่ใบน้อยซุกอกไปด้วยทุกที่ และแน่นอนต้องหนีบงูเผือกน้อยไปมาด้วยกัน บ้างก็โต้ตอบกับไข่ใบน้อยเพียงฝ่ายเดียว บางคราก็เหม่อลอยจินตนาการถึงหน้าลูก อีกทั้งยังจดจ่อฟูมฟักลูกน้อยเฉกเช่นแม่ไก่ แลหากทำได้เขาคงกกไข่แทนไป๋เซ่อไปแล้ว

          ผ่านไปหนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน ฮ่องเต้หนุ่มยังคงทำหน้าที่ได้อย่างมิขาดตกบกพร่อง ถึงขนาดที่ไป๋เซ่อยังตบมือเปาะแปะเอ่ยชมเชยไม่หยุดปาก ก่อนจะได้ทีวิ่งไปเล่นพนันกับกลุ่มขันทีท้ายตำหนักอย่างคึกคัก ทิ้งให้ชายหนุ่มลูบไล้ไข่ใบน้อยยิ้มเป็นคนบ้าไปกว่าครึ่งชั่วยาม

          มาตรว่าเรื่องราวดำเนินไปได้ด้วยดี ทว่าเมื่อย่างเข้าสู่เดือนที่สี่ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนไป ซวนหยวนหมิงไท่ที่ยิ้มแย้มมาตลอดกลับกลายเป็นคนวิตกจริต ทั้งไม่เป็นอันหลับอันนอน เอาแต่เฝ้ามองไข่ใบน้อยจนขอบตาสองข้างดำคล้ำลงไปทุกทีๆ พาลให้ผู้คนต่างคิดว่าถูกไป๋เซ่อทุบตีอย่างไม่ยุติธรรม ยังผลให้ร่างเล็กโวยวายตำหนักแทบแตกเมื่อโดนปรักปรำ แม้จะเป็นความจริงอยู่ส่วนหนึ่งก็ตามที
         
          “ทำไมไป๋อวี้ของข้าถึงยังมิออกมา หรือเขาปัญหาที่ตรงไหน” เมื่อได้โอกาสฮ่องเต้หนุ่มก็ทำการปรึกษาต้าเซียนอย่างจริงจัง

          “เอ้ะ เจ้าตั้งชื่อลูกข้าว่าไป๋อวี้?” ไป๋เซ่อหันขวับไปถลึงตา ก่อนจะดิ้นพล่านตะเบ็งเสียง “เพ้ย นี่ลูกข้า ต้องเป็นข้าตั้งให้สิจึงจะถูก”

          “.......” มองดูคนโวยวายซวนหยวนหมิงไท่ก็รีบเบือนหน้าหนี ทั้งแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ ต่อให้น้ำลายของงูเผือกน้อยจะกระเด็นใส่หน้าสักแค่ไหน ขอเพียงเรื่องนี้ที่เขาอ่อนข้อให้มิได้ มิเช่นนั้นลูกเขาคงได้ชื่อ ถั่วเหลือง แป้งกรอบ งาดำ เซาปิ่งเป็นแน่ “ต้าเซียน ท่านพอจะรู้บ้างรึไม่”

          “เอ่อ เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่ข้ารับประกันได้ว่าเขามิได้ผิดปกติอันใด อีกทั้งไป๋เซ่อเองก็ยังสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของเจ้าตัวน้อย” ต้าเซียนยิ้มเกาศีรษะพลางตอบตามที่ตนทราบ โดยปกติแล้วลูกงูจะกะเทาะเปลือกออกมาภายในระยะเวลาหกสิบวัน แต่ทว่านี่ก็ผ่านมานานแล้ว... “อ้ะ ข้าคิดออกแล้ว บางทีเรื่องนี้อาจมีคนตอบพวกเจ้าได้”

          “ใครกัน?” จักรพรรดิหนุ่มถามด้วยดวงตาเป็นประกาย

 

****************************************************

 

            แสงแดดอบอุ่นทาบทอหุบเขาเขียวขจีที่สูงตระหง่าน ขับดันเรือนไม้ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแห่งนี้มีกลิ่นอายเงียบสงบ ไร้ซึ่งความสับสนวุ่นวาย จนกระทั่งประตูเรือนเปิดออก สองนัยน์ตาคู่ดำขลับแลสีม่วงอมดำต่างสบกันด้วยความบังเอิญ ทันใดนั้นจึงบังเกิดเป็นลมกรรโชกหอบใหญ่ แลวูบหนึ่งจึงเกิดไฟปะทุในดวงตาให้คนรอบข้างรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เว้นเพียงไป๋เซ่อยิ้มแย้มเอ่ยเรียกอย่างไม่รู้สึกรู้สา

          “หงเว่ย หงลิ่ว หงอู่”

          “พี่ชายไป๋” หงลิ่วร้องลั่นดีใจพลางโถมตัวเข้ากอดบุรุษในอาภรณ์สีเขียว “ในที่สุดท่านก็มาเยี่ยมข้า อ้ะ จริงสิลูกท่านเล่าอยู่ที่ใด” ภายหลังจากที่ได้อ่านจดหมาย ตนก็ตื่นเต้นดีใจ ในที่สุดเขาก็จะมีน้องกับเขาเสียที

          “เป็นเพราะหุบเขาสั่วซีอยู่ไกลเกินไป ข้ากลัวเขาจะปรับอุณหภูมิในกายมิทันจึงได้ฝากเขาไว้กับท่านมหาเทพ ไว้คราหน้าเจ้าก็ไปเยี่ยมเขาที่วังหลวงแทนแล้วกัน” ไป๋เซ่อบอกก่อนจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง “ว่าแต่เจ้าสูงขึ้นนี่นา”

          “แน่นอน อยู่ที่นี่ข้าถูกหงอู่ใช้แรงงานเกือบทุกวัน ดูสิกล้ามเนื้อข้าปวดไปหมด โอ่ะ โอ๊ย”

          เด็กน้อยร้องลั่น เป็นหงอู่กำหมัดน้อยๆ เขกศีรษะน้องชาย “เจ้าเด็กนี่ต้องขอบคุณข้าสิถึงจะถูก ไป่ไป๋ เจ้าเองอย่าไปฟังเขาพล่ามไร้สาระ ไปกินขนมกับข้าในเรือนดีกว่า หยางเฉิงเตรียมของชอบไว้ให้เจ้าด้วย”

          “ดี ดี ข้าเองก็มีของจะให้พวกเจ้า แต่ว่าไว้กินก่อนล่ะกัน”

          ร่างเล็กกระโดดโลดเต้น ติดตามหงอู่ หงลิ่วเข้าไปด้านในห้องรับรองอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้บุรุษสองคนยืนส่งประสายตากันอยู่นานสองนาน กว่าจะรู้สึกตัวประตูก็ปิดสนิท สายลมส่งเสียงหวีดหวิว บันดาลให้รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างไรบอกไม่ถูก

          หลังจากไม่ได้รับการใส่ใจ ซวนหยวนหมิงไท่กับหงเว่ยต่างก็นั่งจิบชาคอตกซึมเซากันไปคนละฟากฝั่ง ฝ่ายหยางเฉินก็เงอะงะไม่รู้จะปลอบพวกเขาอย่างไรดี ผิดกับด้านหนึ่งที่มีแต่รอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะคิกคัก ไป๋เซ่อ หงลิ่ว หงอู่ต่างสนทนาพาที ไม่มีช่องว่างให้บุรุษทั้งสามได้เข้าแทรกแม้แต่น้อย

          “ฟังจากที่ไป่ไป๋เล่ามา สรุปว่าผ่านมาสี่เดือนกว่าเขาก็ยังมิกะเทาะเปลือกออกมา” หงอู่กล่าวเข้าเรื่องที่สำคัญ

          “ใช่ ท่านมหาเทพเห็นว่าพวกเจ้าน่าจะรู้สาเหตุ ข้ากับเจ้าลูกเต่าก็เลยมาที่นี่”

          “อา เรื่องนี้พี่ใหญ่น่าจะรู้ดีที่สุด” หงลิ่วออกความเห็น จะอย่างไรพี่ใหญ่ของเขามีโอกาสคลุกคลีกับอสรพิษรุ่นก่อนๆ มากกว่าพวกเขา

          คลับคล้ายคลับคลาว่ากำลังกล่าวถึงตน หงเว่ยหูผึ่งผุดรอยยิ้มแสยะให้ซวนหยวนหมิงไท่ราวเด็กที่ได้รับชัยชนะ ดวงตาเปล่งประกาย ริมฝีปากโพล่งตอบ “เรื่องนี้อาจเป็นเพราะอสรพิษเกร็ดอัคคีและอสรพิษเกร็ดหิมะต่างให้กำเนิดทายาทได้ไม่ง่ายนัก ยิ่งวงศ์วานเกร็ดหิมะยิ่งแล้วใหญ่ แต่ละรุ่นมักให้กำเนิดทายาทเพียงรุ่นละตัว อีกอย่างเวลาในการกะเทาะเปลือกของพวกเราก็มิได้แน่นอน บางตัวเพียงหกสิบวัน บางตัวถึงห้าหกร้อยปี อย่างพวกเราพี่น้องตระกูลหงล้วนเกิดในคืนเดียวกัน หากแต่กลับใช้เพลากะเทาะเปลือกลืมตาดูโลกภายนอกแตกต่างกัน ดูอย่างหงลิ่ว เขาลืมตาดูโลกห่างจากข้าถึงแปดร้อยปี”

          “........” ไป๋เซ่อถึงกับนิ่งอึ้ง ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังก็ต้องอ้าปากค้าง เขารีบหันหน้าไปหาชายหนุ่ม แล้วจึงพบว่าซวนหยวนหมิงไท่มีสีหน้าเจื่อน แววตาโศกเศร้าปนตื่นตะลึงไปเรียบร้อยแล้ว

          “แล้วมีวิธีกระตุ้นให้เขาออกมาก่อนเวลากำหนดได้บ้างรึไม่” ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวถามด้วยสีหน้าเลื่อนลอย

          “น่ะ นั่นสิมีหนทางอื่นบ้างรึไม่” แม้แต่หยางเฉินก็พลอยถาม ด้วยเห็นใจเจ้าครองแคว้นผู้นี้ มาตรว่าต่อให้มีบุตรธิดา แต่กลับไม่มีวาสนาได้เห็นหน้าลูกตนเอง จะต้องขมขื่นเท่าใดกัน

          “......” ถึงตรงนี้หงเว่ยก็เงียบไป คิ้วขมวดครุ่นคิดครู่ใหญ่แล้วจึงกล่าวอย่างไม่แน่ใจนัก “ข้าเคยได้ยินจากบิดาอยู่บ้าง ว่ามีอสรพิษเกร็ดอัคคีบางตัวที่กะเทาะเปลือกออกมาก่อนเวลา สาเหตุเพราะได้พบเจอสิ่งที่ถูกตาต้องใจเป็นอย่างมาก แต่ก็นับว่าหายากที่จะเป็นเช่นนี้”

          ถ้อยคำดังกล่าวถึงกับทำให้ซวนหยวนหมิงไท่สลดใจ ได้แต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา นึกถึงไข่ใบน้อยที่ตนมักโอบกอดไว้อยู่เสมอในอกก็เจ็บแปลบรุนแรง

          เย็นวันนี้พวกเขาต่างรับปากหงอู่กับหงลิ่วว่าจะอยู่ค้างที่เรือนไม้หนึ่งคืน แลหลังจากผ่านมื้อเย็นทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ไป๋เซ่อที่พึ่งได้แช่น้ำมาหมาดๆ เข้าห้องมาก็กลับเห็นซวนหยวนหมิงไท่นั่งเหม่อลอย ดูก็รู้ว่าชายหนุ่มยังคงหดหู่กับเรื่องเมื่อสักครู่

          “ซวนหยวนหมิงไท่ เรื่องเจ้าตัวน้อย...”
         
          “ไป๋เซ่อ ไฉนจึงไม่เช็ดผมให้แห้ง หากไม่สบายขึ้นมาเล่า” เสียงของร่างเล็กปลุกสติเขาให้หลุดจากภวังค์ ครั้นเห็นร่างที่เปียกปอนก็เอ่ยดุ มือพลางคว้าผ้านุ่มขึ้นมาซับเรือนผมสีเทาชุ่มน้ำให้อย่างเบามือ จนกระทั่งผ่านไปราวหนึ่งเค่อบรรยากาศก็พลันตกอยู่ในความเงียบ เปลวเทียนในห้องส่องแสงนวลพลอยทำให้จิตใจผ่อนคลายลง “ไป๋เซ่อ หากวันหนึ่งข้าไม่อยู่แล้ว ไป๋อวี้คงต้องฝากเจ้าดูแล”

          “ไม่อยู่!” ได้ยินเช่นนั้นไป๋เซ่อก็เลิกตาขึ้นเสียง “เจ้าจะไปไหน?”

          “เรื่องนี้...” ซวนหยวนหมิงไท่หลุบตา “ข้าเป็นเพียงมนุษย์ อายุขัยมิได้ยาวนานสักเท่าใด”

          ฟังท้ายประโยคที่น้ำเสียงยังแผ่วเบาลงไป หัวใจของเขาก็เจ็บหนึบ ไป๋เซ่อโต้กลับ “ข้ออ้าง นี่คิดจะทิ้งข้าไว้คนเดียวใช่ไหม”

          “ไป๋เซ่อ แต่สักวันข้าก็ต้องตาย”

          สีหน้าของฮ่องเต้หนุ่มเคร่งเครียด หากแต่ตนเบือนหน้าหนี “ไม่รู้ ไม่สน ข้ารู้เพียงเมื่อถึงวันนั้น ข้าจะตามตอแยเจ้าไปถึงยมโลก”

          “ไป๋เซ่อ!” ซวนหยวนหมิงไท่ตะลึงวูบ คนตรงหน้ายังคงเป็นไป๋เซ่อที่ดื้อรั้น เป็นไป๋เซ่อที่เขารักสุดหัวใจ “แต่ไป๋อวี้จะไม่มีที่พึ่ง ข้าไม่ต้องให้เขาเป็นเช่นข้าในอดีต”

          “ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้าอย่าพึ่งถอดใจจะได้รึไม่ ข้าไม่เชื่อว่าลูกของเราจะมิยอมออกมาพบหน้าเจ้า เจ้าดูแลเขาดีเพียงนี้ เขาย่อมต้องออกมาในเร็ววัน อ่ะ ใช่แล้ว ข้าสัมผัสได้ ข้ามีลางสังหรณ์ พวกเราจะได้อยู่พร้อมหน้าในไม่ช้าแน่นอน” 

          มองดูรอยยิ้มมั่นใจระบายบนใบหน้าเย้ายวนแล้ว ความกังวลใจทั้งหมดทั้งมวลก็พลันมลายหายในพริบตา ร่างสูงค่อยๆ ยิ้มบาง พลางโอบกอดงูเผือกน้อยเอาไว้ในอ้อมอก จากนั้นอุทานในใจ

          อา... ที่แท้เจ้าเองก็พูดจาจริงจังเป็นกับเขาเหมือนกันนี่ ไป๋เซ่อ

          รุ่งเช้าของวันต่อมา สภาพอากาศนับว่าแช่มชื่นสดใส เหล่าคนตระกูลหงต่างออกมาส่งแขกคนสำคัญที่หน้าเรือน ด้านหงเว่ยได้แต่ตาละห้อยมองร่างเล็กจนคนลับตาไป

          “พี่ใหญ่ ท่านยังไม่ตัดใจไม่ได้อีกหรือ” หงอู่ถามคนที่ยังคงยืนอยู่หน้าเรือนมาครึ่งค่อนวัน ส่งผลให้หงเว่ยขยับเขยื้อนกายบ้างแล้ว

          “กว่าจะได้พบเสี่ยวอวิ๋นไม่ง่ายนัก แม้เขาจะไร้ความทรงจำ กลับกลายเป็นคนใหม่ ทั้งมอบใจให้บุรุษอื่น สำหรับข้าเขาก็ยังเป็นคนที่ข้ารัก มิมีวันเปลี่ยน”

          ฟังคำกล่าวอันดื้อดึงหงอู่ก็ส่ายศีรษะ “พี่ใหญ่ ไฉนท่านมิลองเปิดใจให้คนผู้อื่นบ้าง บางทีท่านอาจได้พบกับคนที่สวรรค์ลิขิตมาก็เป็นได้”

          “.......” หงเว่ยได้ฟังก็พลันนิ่งเงียบไป อันเป็นเวลาเดียวกับที่หงลิ่วส่งเสียงตื่นเต้น

          “พี่ห้า ดูสิข้าเก็บอะไรได้จากในห้องพี่ชายไป๋” เด็กน้อยวิ่งออกมาพร้อมทั้งชูบางสิ่ง “ดูผลท้อลูกนี้สิคล้ายสีแสงเรืองรองออกมาด้วย ต้องอร่อยแน่ๆ”

          “เจ้าเด็กบ้า นี่มิใช่ของเล่น เอามานี่” เห็นของในมือน้องชาย นัยน์ตาของหงอู่พลันเป็นประกาย อีกทั้งยังมือเอื้อมไปตะครุบผลท้อกำเนิด ...อย่าบอกนะว่านี้คือของที่ไป่ไป๋บอกว่านำมาฝากเขา เมื่อตระหนักได้เช่นนั้น ริมฝีปากก็หยักยิ้มรีบร้องเรียก “หยางเฉิน หยางเฉินเรามาอบอุ่นร่างกายกันดีกว่า”

          “อ้ะ อะไรกัน ข้าเจอมันก่อนนะ ท่านจะฮุบไปเช่นนี้มิได้” หงลิ่วโวยวาย หากแต่พี่ชายกลับเดินหนีไปอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้เขาต้องเดินไล่ตาม

          หงเว่ยมองดูน้องชายทั้งสองวิวาทกันอย่างชินตา สักพักจึงหันไปกวาดสายตามองท้องฟ้าสีครามอันสดใส จากนั้นทวนคำของหงอู่ออกมา “คนที่สวรรค์ลิขิตอย่างนั้นหรือ”


 

****************************************************

 
 

ออฟไลน์ ryusaki_yp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/
บทที่ 34.2 สวรรค์ลิขิต (จบ)

 

            ผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว ดูว่าไข่ใบน้อยก็ยังไร้วี่แววใดๆ เหมือนเคย กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ก็ยังคงปฏิบัติดูแลทะนุถนอมมิมีตกหล่น คอยขัดถูให้ความรัก มาตรว่าจะมีไป๋เซ่อคอยเย้าแหย่ก่อกวนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนแม้แต่เซียวถิงฟงยังอดนับถือในความอดทนมิได้

          “ต้าเซียน เจ้าคิดว่าลูกของไป๋เซ่อกับซวนหยวนหมิงไท่จะเป็นเช่นไร”

          จู่ๆ ร่างแกร่งที่นั่งเช็ดพัดเหล็กหรืออาวุธประจำตัวในเก๋งหกเหลี่ยมของตระกูลเซียวก็ถามขึ้น ยังผลให้ต้าเซียนเลิกคิ้วเงยหน้าขึ้นจากม้วนไม้ไผ่ที่นำติดตัวมาจากพิภพสวรรค์

          “อืม” เรื่องนี้แม้แต่เขาเองก็มิเคยนึกถึงมาถึง “ก็คงจะเด็กร่าเริงสดใสซุกซน หรือบางทีอาจจะเป็นเด็กที่สุขุมอบอุ่นว่าง่ายก็เป็นได้” ท้ายที่สุดเขาก็เลือกตอบจากบุคลิกของคนทั้งสอง แต่แล้วเซียวถิงฟงก็แสดงสีหน้าที่ดูยากจะบรรยาย

          “ขอให้เป็นอย่างหลังทีเถิด” แม่ทัพหนุ่มภาวนา แล้วจึงเสริมกล่าว “แค่ให้ข้านึกภาพคนที่ถอดแบบจากไป๋เซ่อทุกกระเบียดนิ้ว มายืนยิ้มแฉ่งสวมใส่ชุดมังกรออกว่าราชการ กายข้าก็สั่นสะท้านแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชื่อเสียงภายภาคหน้าของแคว้นซวนหยวน บางทีอาจได้ชื่อว่าเป็นแคว้นประหลาด ฮ่องเต้นิยมก่อเรื่องวุ่นวายก็เป็นได้” เขาพูดไปก็กอดตัวเองไป ราวกับอากาศในบริเวณนั้นเย็นยะเยือก

          “ฮึ ฮึ” มหาเทพอย่างเขาได้ฟังก็ต้องหัวเราะเบาๆ ด้วยพอจะเข้าใจความรู้สึกของคนรักว่าเป็นเช่นไร แค่ทุกวันนี้ไป๋เซ่อแวะเวียนเที่ยวเล่นยังพิภพสวรรค์ บรรดาเทพเซียนทั้งหลายต่างก็หลบลี้หนีหน้าจะแย่อยู่แล้ว ยังดีที่มีซวนหยวนหมิงไท่คอยรั้งให้เจ้าตัวอย่าก่อเรื่องให้มากนัก ยิ่งตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้วเทพเซียนเหล่านี้ก็วางแผนโยนเผือกร้อนลวกมือให้ถูกคนจริงๆ หากมิใช่เพราะไป๋เซ่อลบนามคนผู้หนึ่งในบันทึกคู่ชะตาจนเหลือเพียงแต่แซ่ พวกเขามิลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ให้เขียนนามงูเผือกน้อยทับลงไป วันนี้พวกเขาก็คงมิอาจหายใจโล่งคอได้มากนัก ต้าเซียนยิ้มเอ่ย “ถึงจะเป็นเช่นนั้นจริง ข้าก็เชื่อว่าวันหนึ่งจะมีคนหยุดเขาได้”

          “หา เจ้าพูดเช่นนี้หรือว่าจะมีไป๋เซ่ออีกคนออกมาจริงๆ” เซียวถิงฟงตาถลนแทบเท่าไข่ห่าน ทว่าร่างน้อยกลับยิ้มเพียงอย่างเดียว “ต้าเซียน ไหนๆ เรื่องก็เลยเถิดมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าชักอยากจะรู้จริงๆ ว่าชะตาของซวนหยวนหมิงไท่ที่แท้จริงเป็นเช่นไร ในเมื่อชะตาของเขาดีร้ายอย่างไรล้วนขึ้นกับคู่ชะตา ถ้าหากวันนี้คนที่เขาเลือกมิใช่ไป๋เซ่อเล่าจะเป็นเช่นไร”

          “เจ้าอยากรู้ถึงลิขิตสวรรค์?” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแฝงประกายสีทองถาม ครั้นเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าก็ทำเป็นพูดลอยๆ “หย่าเหลียน หากเป็นนาง ซวนหยวนหมิงไท่จะไม่มีวันได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ เนื่องเพราะเขาจะถูกตัดสินว่ากระทำผิดจารีต ผิดทำนองครองธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในแคว้นมิอาจยอมรับ หากเป็นไป๋เย่วเซียง มาตรว่าได้รักบริสุทธิ์ กลับมิอาจเคียงคู่ได้จนแก่เฒ่า แต่งงานได้เพียงสามปี แผนร้ายของคนในวังก็พรากชีวิตนางไป ทิ้งให้เขาต้องครองบัลลังก์อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง เป็นดั่งคนตายที่มีลมหายใจ แต่หากเป็นเจินเริ่นผิง จิตใจของนางซ่อนความทะเยอยานไว้ลึกสุดหยั่ง ยามเมื่อซวนหยวนหมิงไท่อายุครบสามสิบหก เขาจะกลายเป็นเพียงจักรพรรดิหุ่นเชิด ไร้ซึ่งกำลังและอำนาจ ต้องตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของตระกูลเจิน จนกว่าเขาจะอายุห้าสิบสาม ตระกูลซวนหยวนจึงจะเป็นอิสระอย่างแท้จริง กระนั้นเขาก็ประคองลมหายใจได้อีกไม่นาน”

          “หา” เซียวถิงฟงทำหน้ายับด้วยมิอาจทนฟังมากไปกว่านี้ “ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็เลวร้ายยิ่ง เทพเซียนอย่างพวกเจ้าจะใจร้ายกับเขามากไปรึไม่”

          “ผู้ถือกำเนิดเป็นผู้ปกครองแคว้นล้วนมีชะตาหนักหนา รักโลภโกรธหลงยากฝ่าฟัน ทั้งต้องแบกรับความทุกข์ที่ผู้อื่นมิมีวันเข้าใจ ถือเป็นการทดแทนกับสิ่งที่ได้ครอบครอง” มหาเทพเช่นเขาเอ่ย แล้วจึงกล่าวถึงความจริงอีกประการหนึ่ง “ความจริงแม้เขาเลือกไป๋เซ่อ ที่ผ่านมาเขาก็พบกับอุปสรรคนานัปการ เฉียดตายก็หลายครั้งเช่นกัน”

          “เฮอะ โชคดีที่ข้าเป็นคนธรรมดา” แม่ทัพหนุ่มพูดขึ้น ก่อนหลุบตาจะสอดนิ้วเข้าไปในมือเรียวของคนตรงหน้าแล้วกุมไว้ ใบหน้าคมคายแดงระเรื่ออย่างยากจะได้เห็น “ต้าเซียน มิรู้ข้าเคยบอกเจ้ารึไม่ การได้เจอเจ้านับเป็นความโชคดีที่สุดในชีวิตข้าแล้ว”

          “แม้ว่าข้าจะให้กำเนิดลูกของเจ้ามิได้?” ร่างบางถามขึ้น ต่อให้ผลท้อกำเนิดมีอิทธิฤทธิ์ทำให้บุรุษตั้งครรภ์ได้ ทว่ามันกลับไม่มีผลกับเขา

          “มีเฟยเทียนคนเดียวข้าก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว” ชายหนุ่มตอบพลางดึงมือที่กุมไว้ขึ้นมาหอมฟอดใหญ่

          ได้ยินเช่นนั้นต้าเซียนก็ยิ้มกว้าง ต่อหน้าคนผู้นี้เขามิใช่มหาเทพผู้สูงศักดิ์ มิใช่ก้อนหินที่ไร้จิตใจ แต่เป็นเพียงบุคคลธรรมดาที่มีความรัก... เฉกเช่นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป “เซียวถิงฟง การได้พบเจ้า... นับว่าเป็นความโชคดีของข้าด้วยเช่นกัน”


 

****************************************************

 

            วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มขมุกขมัว พริบตาเดียวก็เรียกสายฝนให้ตกกระหน่ำผิดฤดูกาล ผู้คนต่างมองลอดหน้าต่างแล้วก็ต้องส่ายหน้าด้วยรู้สึกถึงบรรยากาศอันเป็นลางไม่ดี ซึ่งในขณะเดียวกัน ณ วังหลวงโอ่อ่าศูนย์กลางเมืองฉางอันกลับบังเกิดความวุ่นวายอันน่าตื่นตกใจ

          ที่ตำหนักจวี๋ฮวาปรากฏนางกำนัลคุกเข่าอยู่หน้าห้องบรรทมของผู้เป็นนาย แลครั้นได้ยินเสียงกรีดร้องทรมานแต่ละครั้ง ใจของนางก็ตกลงไปที่ตาตุ่ม ก่อนหน้านี้หมอตำแยได้กล่าวว่าพระครรภ์ในท้องพระชายาหลี่คลอดยาก อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตแม่และเด็ก ซึ่งหากวันนี้เกิดเรื่องผิดพลาดอันใด ไม่รู้ว่าชีวิตของพวกนางจะเป็นอย่างไรต่อไป

          จวบจนขบวนของเจ้าชีวิตฝ่าสายฝนมา พระวรกายสีทองก็ตรงไปยังหน้าห้องที่ปิดสนิททันที ความเงียบงันกดดันให้ไม่มีผู้ใดกล้าสังเกตพระพักตร์ ต่อเมื่อยังเกิดเสียงเปรี้ยงปร้างพร้อมกับแสงวาบคราหนึ่ง เสียงกรีดร้องด้านในก็พลันหยุดลง หมอตำแยค่อยๆ เปิดประตูออกมาพร้อมกันเด็กน้อยที่ร้องจ้าในอ้อมแขน

          “กราบทูลฝ่าบาท พระชายาหลี่ซิ่วหลันทรง...ทรงจากไปแล้วเพค่ะ” หมอตำแยสูงอายุทรุดเข่าแล้วกล่าวน้ำเสียงสลด มืออันเหี่ยวย่นค่อยๆ ประคองเด็กในห่อผ้าสีทองให้กับพระหัตถ์มังกร “เป็นพระโอรสเพค่ะ”

          ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังด้วยสีหน้าราบเรียบ ได้แต่มองดูเด็กที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุดในอ้อมแขน “ตั้งแต่วันนี้เขามีนามว่าเต๋อหมิง... ซวนหยวนเต๋อหมิง”

          ผ่านไปสามวันซวนหยวนเต๋อหมิงที่พึ่งถือกำเนิดก็ตกอยู่ภายใต้การดูแลของคนในตำหนักถั่วแดง แน่นอนว่างูเผือกเช่นเขาจะดูแลเด็กทารกเป็นเสียที่ไหน ดังนั้นภาระหน้าที่จึงตกอยู่กับหรูอี้ไปเต็มๆ ส่วนพระศพของพระชายาหลี่ก็ถูกนำไปไว้ที่สุสานหลวง เรื่องราวโศกเศร้าวุ่นวายในวังเพียงไม่กี่วันทุกอย่างก็กลับมาสงบเช่นเคย

          เพลานี้ไป๋เซ่อในชุดสีเขียวอ่อนยืนดูบนกำแพงวังสูง ดวงตาสีเขียวอมฟ้าทอดมองลงไปยังขบวนพ่อค้าที่ทยอยเคลื่อนย้ายรถสินค้ายาวเหยียดที่ว่างเปล่าออกไป หนึ่งในนั้นมีรถม้าเรียบๆ คันหนึ่งแล่นตามไปอย่างเชื่องช้า แลผู้ที่บังคับอาชาเป็นบุรุษร่างสูงในชุดสีน้ำเงิน ดูผ่านๆ ก็รู้ว่าเป็นองครักษ์ต้วนที่จู่ๆ ก็ขอลาออกจากตำแหน่งเพื่อไปดูแลมารดาที่ป่วยหนัก ทว่าสต่รีที่นั่งอยู่ด้านข้างกลับปิดบังใบหน้าเผยเพียงดวงตาหวาน แต่งกายราวนางรำนอกด่าน ยังมีสตรีทางด้านในที่ก้มหน้าก้มตาดูท่าจะเป็นสาวใช้ในขบวนพ่อค้า น่าแปลกที่รถม้าคันดังกล่าวเมื่อเคลื่อนผ่านจุดหนึ่ง จู่ๆ นางรำก็คล้ายสังเกตเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านบน นางส่งสายตาเป็นประกายซาบซึ้งพร้อมทั้งก้มศีรษะให้ ก่อนที่รถม้าจะเคลื่อนออกไปภายนอกวังหลวง

          “เสี่ยวไป๋ มิต้องเป็นห่วงไป ข้าจะส่งพวกเขาให้ถึงที่เอง”

          ฟังเสียงที่ดูสบาย ไป๋เซ่อก็หันหน้าไปยังบุรุษที่หยักยิ้มเจ้าเล่ห์ที่กำลังก้าวย่างเข้ามา “เสิ่นอันหวาง ขอบคุณเจ้ามาก”

          “เกรงใจไปไย หากเสี่ยวไป๋ต้องการ ผู้แซ่เสิ่นย่อมจัดการให้ ฮา”

          ถ้อยคำจบลงเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น นับว่าคนตรงหน้าช่างมาได้จังหวะจริงๆ นอกจากจะนำส่งสินค้าตามที่ราชสำนักต้องการแล้ว เขายังมาพร้อมกับเด็กน้อยปริศนาคนหนึ่ง ดูว่าเป็นเด็กกำพร้าคลอดออกมาก็ไร้ซึ่งบิดามารดา หรือก็คือซวนหยวนเต๋อหมิงที่อยู่ในตำหนักเขานั่นเอง

          “เจ้าไม่รีบกลับไปพร้อมคนของเจ้ารึ” ไป๋เซ่อสงสัย ผู้นำขบวนยังเอ้อระเหยอยู่ที่นี่ แล้วขบวนทางด้านล่างจะไม่วุ่นวายหรอกรึ 

          “อ่ะ เอ้อ” ถูกถามเช่นนั้นพ่อค้าหนุ่มก็พลันอึกอัก ทั้งอิดออดจะเอ่ยปาก “ความจริงข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า” เสิ่นอันหวางเกาแก้มดูเขินอายไม่เป็นตัวของตัวเอง

          “หือ เรื่องอะไรกัน”

          “ข้ากับเย่วเซียง... เรา จะเข้าพิธีแต่งงานกันมะรืนนี้”

          “หา” ไป๋เซ่ออุทาน เลิกตาโตอย่างคาดไม่ถึง “พวกเจ้า... ตั้งแต่เมื่อใดกัน”

          “แฮะ แฮะ ก่อนหน้านี้ขบวนเดินทางของพวกเราไปเปิดหูเปิดตาที่นอกด่าน บังเอิญประสบเหตุอันตราย ข้ากับนางจึงค่อยๆ สนิทสนมกัน” พูดไปบุรุษหนุ่มเจ้าสำราญอย่างก็หน้าแดงขึ้นอย่างยากจะได้เห็น

          มองเห็นคนตรงหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข ไป๋เซ่อก็ระบายยิ้มถามเสียงอ่อน “ว่าแต่นางสบายดีรึไม่?” เดิมทีเป็นเขาเปลี่ยนโชคชะตาแย่งที่ของนางไป หากจนป่านนี้นางยังหาได้มีความสุข ตนก็มิอาจสู้หน้านางได้

          “สบายดียิ่ง ตอนนี้นางทำหน้าที่ดูแลเด็กๆ ในตระกูลเสิ่น แม้บางวันต้องปวดหัวไปบ้าง แต่ก็ดูสนุกสนานยิ่ง” ผู้แซ่เสิ่นยิ้มกว้าง เสมือนตัวได้ลอยละล่องไปที่ที่นางอยู่เรียบร้อยแล้ว

          สุดท้ายพวกเขาพูดคุยกันอีกสักสองสามประโยค เสิ่นอันหวางก็รับปากว่าจะพาเย่วเซียงมาเที่ยวเมืองหลวงยังช่วงปลายปี เห็นทีอะไรๆ ก็เข้าที่เข้าทางเรียบร้อย ร่างเล็กมองเงาร่างที่เดินตัวลอยออกไปไกลแล้วจึงสูดหายใจรับอากาศสดชื่นอย่างคลายกังวล

          ...ยามนี้คงเหลือเพียงไข่ใบน้อยที่ยังมิมีวี่แววจะออกมากระมัง

          “ไฉนเจ้าตัวน้อยจึงได้ขี้เซานักนะ” ไป๋เซ่อโพล่งขึ้นมาทั้งเอียงศีรษะอย่างนึกฉงน รออยู่สักพักก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโครกครากในท้อง “อ้ะ จริงสิต้องรีบไปกินมื้อเช้า” ว่าแล้วสองขาเรียวของร่างเล็กก็วิ่งออกไป มิรู้ว่าเจ้าลูกเต่าจะยังคอยเขากินอาหารเช้าอยู่รึเปล่าหนอ


 

****************************************************

 

            “สวรรค์ลิขิต”

          เสียงนุ่มทุ้มบางเบาพึมพำไม่ได้สรรพ นับแต่คำดังกล่าวหลุดออกจากปากหงอู่ ชีวิตเขาก็เสมือนถูกรังควานไปเรียบร้อยแล้ว แลไม่ว่าจะพยายามสลัดความคิดไร้สาระทิ้งไปเท่าใด มันก็ดูจะไม่เป็นผล หงเว่ยขมวดคิ้วเลิกตาที่ข่มหลับขึ้นอย่างจำใจ เป็นอีกครั้งที่การบำเพ็ญเพียรถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว

          “พี่ใหญ่ ท่านจะไปไหน” หงลิ่วหรี่ตาถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงขยับตัว

          “ไปสูดอากาศ” เขาที่นิ่งงันหาสาเหตุอยู่นานก็ผุดลุกขึ้นตอบสั้นๆ ทั้งหมุนตัวไปยังปากทางเข้าถ้ำของหุบเขาสั่วซี

          “ดียิ่ง ข้าก็เบื่อจะแย่อยู่แล้ว”  เห็นพี่ชายเลิกบำเพ็ญเพียรเสียดื้อๆ เด็กน้อยก็พลันลิงโลดใจ ครั้นจะยันตัวลุกขึ้นตาม เสียงห้วนที่ทำร้ายจิตใจกลับดังขึ้น ทำเอาเขาค้างในท่ากึ่งนั่งกึ่งยืนดูประหลาดยิ่ง

          “เจ้า... บำเพ็ญเพียรต่อไป” เขาพูดทั้งที่มิได้หันหลัง ทว่าก็คาดเดาได้ไม่ผิดว่าใบหน้าของหงลิ่วคงยับยู่ยี่เสียจนดูไม่ได้

          พ้นปากถ้ำหงเว่ยก็ทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า อาภรณ์สีม่วงอมดำสะบัดพัดไหวไปตามกระแสลม นำพาตัวเองเหาะเหินไปอย่างไร้จุดหมาย ไร้ซึ่งปลายทางสิ้นสุด เพียงต้องการลืมเลือนความว้าวุ่นในใจชั่วประเดี๋ยว แต่ใครจะไปคาดคิดว่าเมื่อรู้สึกตัวอีกทีตนกลับลอยตัวอยู่เหนือที่แห่งนี้แล้ว

          ราวกับจิตสำนึกโหยหาผู้เป็นเจ้าของตำหนักหลังใหญ่ ร่างแกร่งหลุบตาลงทอดถอนใจ ยามนี้ไป่ไป๋มีคนเคียงข้างกาย ยังจะต้องการเขาไปไย คิดได้ดังนั้นอารมณ์หดหู่ก็กำจายไปทั่วบรรยากาศ ครั้นตัดสินใจจากไปเงียบๆ ร่างสีม่วงอมดำก็ค่อยๆ ถอยห่างออกไป แต่แล้วชั่ววูบหนึ่งกลับก่อเกิดความลังเลประการหนึ่งขึ้นมากะทันหัน

          เพียงเห็นหน้าสักครู่ ...เพียงครู่เดียวเท่านั้น

          หงเว่ยบอกตัวเองก่อนตรงเข้าไปตามใจเรียกร้อง ต่อเมื่อฝีเท้าสัมผัสพื้นก็สังเกตได้ว่าตำหนักถั่วแดงนั้นเงียบกริบผิดไปจากทุกที วี่แววของเหล่าขันทีนางกำนัลประจำตำหนักก็หาได้มีไม่ ว่าแล้วจึงใช้มือผลักประตูให้เปิดออกเบาๆ ยังผลให้ภาพทางด้านในปรากฏสู่สายตาทีละนิด

          ไม่มี... ไม่ได้อยู่ที่นี่

          ความผิดหวังกอบกุมใจอีกครั้ง เห็นทีเมื่อไร้วาสนาก็ยากจะพานพบ เขาเดินเข้าไปในห้องอย่างแช่มช้า กวาดตามองดูห้องที่ไป่ไป๋ใช้ชีวิตอยู่  ทว่าฉับพลันนั้นกลับสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตหนึ่งภายในห้องอย่างมิได้ตั้งใจ เขาหันซ้ายแลขวาไปทั่ว กระทั่งหยุดสายตาที่มุมหนึ่ง

          ผ้านวมบนเตียงถูกเลิกออก เผยให้เห็นไข่ก้อนรีๆ สีขาวมุกในตะกร้าไม้สานที่ปูรองด้วยเบาะนุ่ม ดวงตาสีม่วงอมดำพลันฉายแววประหลาดใจ หรือนี่จะเป็นไข่ใบน้อยที่ไป่ไป๋พูดถึงวันนั้น เขาจ้องมองมันอย่างไม่วางตา จำได้ว่าตอนพบเสี่ยวอวิ๋นหรือไป่ไป๋คราแรก เจ้าตัวก็อยู่ในสภาพเช่นนี้ ทันใดนั้นเองดวงตาที่สามก็ปรากฏขึ้น แม้พลังยังฟื้นฟูไม่ได้ทั้งหมด แต่อาการบาดเจ็บก็หายดีแล้ว เขาเพ่งสายตาไปทั้งที่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออันใด จนในที่สุดก็เห็นร่างยาวเรียวสีขาวที่ขดตัวภายใต้เปลือกบาง ทั้งกำลังหมุนคว้างราวโบยบินกลางอากาศ จวบจนร่างนั้นหันมาพบตนก็พลันชะงักหยุดลง

          เมื่อรู้สึกตัวว่าถูกจับจ้อง งูเผือกน้อยที่กำลังสบายอารมณ์ก็ตกใจไปเล็กน้อย มันช้อนดวงตาเรียวสีดำขลับจ้องตอบคนแปลกหน้าอย่างไร้เดียงสา ด้วยทุกทีมันพบเพียงแต่บุรุษผมดำดูสง่างามน่าเกรงขามในชุดมังกรกับชายร่างเล็กที่มักยิ้มแฉ่งในชุดสีเขียว นอกจากนี้ยังมีคนชุดขาวดูสูงส่งกับคนในชุดดำที่ชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ทำให้ครานี้มันได้แต่เอียงคอสงสัย หาได้รู้ว่าท่าทางน่ารักน่าชังดังกล่าวสะกดให้หงเว่ยมิอาจละสายตาไปที่ใด ทั้งยังยื่นมือออกไปหมายจะสัมผัสไข่ก้อนน้อยอย่างอดใจไม่อยู่

          จนกระทั่งปลายนิ้วแตะโดนเปลือกบาง งูเผือกน้อยก็หยีตาลง ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้าง มันสะบัดหางโบยตีไปทั่ว พานให้หัวใจของหงเว่ยเต้นระรัวแทบกระดอนออกจากอก อาการนี้ทำให้เขาต้องผงะตัวออกมา ใบหน้าแดงเรื่อทั้งร้อนผ่าว

          น่ะ ในอกข้า... เกิดอะไรขึ้นกัน

          เปรี๊ยะ

          บังเกิดเป็นเสียงแตกร้าว ดูว่าตั้งแต่เขาผละตัวออกห่าง งูเผือกน้อยก็ไม่สบอารมณ์ ทั้งฟาดโบยหางอย่างหนักจนเกิดเป็นรอยร้าวต่อเนื่อง เห็นดังนั้นหงเว่ยก็ตกอยู่ในอาการตื่นตกใจ ได้แต่หันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก

          “หรูอี้ เดี๋ยวเอาขนมแป้งกรอบมาให้ที่ห้องข้าด้วย”

          จังหวะนั้นเองเสียงเจื้อยแจ้วกลับดังลอดเข้ามา หงเว่ยหันขวับหน้าตาตื่น ฟังจากเสียงฝีเท้าแล้วอีกไม่นานพวกเขาจะมาถึงที่นี่ ...ไม่ได้การแล้ว จะให้เห็นพวกเขาไม่ได้เด็ดขาด

          “ไป๋เซ่อ เช้านี้เจ้าก็กินไปตั้งเยอะ ยังจะกินไหวอยู่อีกรึ?”

          “ท้องก็ท้องข้า เจ้าจะทำไม”

          ไป๋เซ่อตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนเปิดประตูห้องเดินฉับๆ เข้าไปนั่งดื่มชายังโต๊ะข้างหน้าต่าง มิได้สนใจชายหนุ่มที่ตามเข้ามาแม้แต่น้อย จวบจนกระทั่งเจ้าตัวส่งเสียงลั่น พลอยให้เขาสำลักน้ำชาออกมา

          “ไป๋อวี๋ ทะ ทำไมถึงเป็นแบบนี้” ใบหน้าของซวนหยวนหมิงไท่ซีดเผือด เพียงออกไปจัดการธุระพริบตาเดียว ไข่ใบน้อยของเขาถึงกับเกิดรอยร้าวน่ากลัว

          “ไหนๆ เกิดอะไรขึ้น” ไป๋เซ่อถลาเข้าหาด้วยอาการแตกตื่น ครั้นเห็นไข่ใบน้อยตรงหน้า ดวงตาเรียวก็เลิกกว้าง “ขะ... เขาจะออกมาแล้ว”

          “หา” สิ้นเสียงอุทานของฮ่องเต้หนุ่ม เปลือกบางสีขาวส่วนหนึ่งก็ถูกผลักหลุดออกมา จากนั้นศีรษะน้อยๆ ก็ดุนดันขึ้น ก่อนใช้ดวงตาเรียวสีดำขลับกะพริบมองคนคุ้นหน้าคุ้นตา

          “ไป๋อวี้ลูกพ่อ ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมา” ซวนหยวนหมิงไท่หลุดเสียงดีใจ ทั้งส่งมือไปลูบไล้เจ้าตัวเล็กตรงหน้าอย่างเงอะงะ

          ฝ่ายงูเผือกน้อยเองก็คลอเคลียศีรษะทั้งยิ้มกว้างตอบ ทว่าในเวลาต่อมาก็เกิดเป็นเสียงปุ้งเล็กๆ ร่างของงูเผือกหายไปแทนนี้ด้วยเด็กชายคนหนึ่ง ดวงตาของเขาเรียวเป็นสีดำดูมีเสน่ห์น่าดึงดูด เส้นผมสีดำขวับเงาวับ ยังมีผิวกายที่ขาวเนียนตัดกับอาภรณ์สีฟ้า

          ไป๋เซ่อทำตาโตอุ้มเด็กน้อยที่ตัวโตขนาดอายุราวปีขึ้นมองซ้ายขวาอย่างละเอียด ระหว่างนั้นเด็กน้อยก็ส่งเสียงคิกคัก “เพ้ย ทำไมเหมือนเจ้าเช่นนี้”

          “ฮึ ฮึ หากเขาไม่เหมือนข้า จะให้เหมือนเสี่ยวลู่หรืออย่างไร มาเถอะ มาให้บิดาอุ้มสักหน่อย” ซวนหยวนหมิงไท่พูดจบก็ยิ้มหน้าระรื่นรับบุตรชายมาอุ้ม “ความจริงเขาเหมือนเจ้ามากกว่าต่างหาก ไป๋เซ่อ” 

          ระหว่างที่ไป๋อวี้ถูกซวนหยวนหมิงไท่อุ้ม ดวงตาน้อยก็กวาดไปยังทิศทางหนึ่งเขม็ง ตามมาด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างไร้สาเหตุ ยังผลให้เงาดำต้องรีบหลุบหายไปยังด้านหลังของต้นไม้ใหญ่นอกตำหนัก

          เมื่อกี้เขาตาฝาดไปใช่รึไม่ ไม่มีทางที่เด็กน้อยไป๋อวี้ผู้นั้นจะรู้ว่าตนหลบซ่อนอยู่ตรงนี้ นี่คงจะเป็นเรื่องบังเอิญเสียมากกว่า หงเว่ยบอกตัวเอง แต่แล้วก็อดนึกถึงรอยยิ้มสดใสเมื่อครู่มิได้ ว่าแล้วตนก็ยกมือทาบหน้าอก กระทั่งภายในสงบลงไปส่วนหนึ่ง สองขาหนักแน่นก็ก้าวย่างไปข้างหน้า ก่อนเงยใบหน้าคมคายขึ้นมองท้องนภาอันกว้างใหญ่

          “จะใช่เจ้ารึเปล่า?”

          หงเว่ยพูดจบก็ยิ้มน้อยๆ ไม่นานนักเงาร่างสีม่วงอมดำก็อันตรธานหายไปจากตำหนัก สายลมบางเบาพัดผ่านนำพาให้ใบไม้ร่วงหล่นเฉกเช่นเดียววันธรรมดาทั่วไป แต่เพิ่มขึ้นด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะสดใสที่ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน

 

(จบ)
[/size]


 

****************************************************

 

          จบเนื้อเรื่องหลักจ้ะ อาจจะเรื่อยเปื่อยเเต่ตัวละครต่างก็มีรอยยิ้ม เราชอบตรงนี้ เเฮะ เเฮะ สเปยังไม่ลงนะจ้ะ ขอดูอะไรหลายๆ อย่างก่อน หรือถ้าได้อัพก็คงอัพที่เว็บอื่นพวกเด็กดีไรงี้ สามารถติดตามข่าวสารอีกทีที่หน้า fanpage https://www.facebook.com/RyuKi-107847786214377/

          สุดท้ายขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ และขอบคุณทุกกำลังใจนะจ้ะ ไหนๆ เรื่องก็จบเเล้ว ถ้าอย่างไรก็ฝากคอมเม้นท์กันสักนิด เป็นกำลังใจให้กันนะจ้ะ เเพลนหลังจากนี้ มีรีไรท์นิยายเก่าๆ รวมถึงเรื่องนี้ ส่วนต้นปีหน้าเราจะเปลี่ยนมาเขียนนิยายปัจจุบันบ้าง คือ มีพลอตที่คิดว่าน่าจะสนุก ตลกคลายเครียดไรงี้จ้า

 

ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ขอบอกว่าเขียนได้เห็นภาพมาก ทำให้อ่านแล้วสนุกเหมือนตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลย ขอบคุณมากครับ ตอนพิเศษเอามาลงที่นี่บ้างน้าครับ *_*

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ขอบคุณนะคะ นิยายสนุกมากเลย จะรอตอนพิเศษน้าาาา
 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
สนุกมากๆเลย ไป่ไป๋น่ารัก อยากให้หงเว่ยสมหวังกับเด็กน้อยไป่อวี้ รอตอนพิเศษค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ thanagorn

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 117
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
อ่าาาจบไปแล้วเนาะ2ภาค...จะมีภาคเฟยเทียนกับน้องค้างคาวไหมน้อ^_^หรือว่าโดนดูดหายไปกับหลุมดำแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MIwEMInE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ mass

  • "Smile! It increases your face value." -Steel Magnolias (1989)
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกสนุกมากเลย เป็นเรื่องที่ทั้งยิ้มให้ทั้งน้ำตาซึมตลอดเรื่อง ชอบไป่ไป๋ กับหงษ์เว่ยมาก รออ่านเรื่องอื่นๆนะคะ :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Siran

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากกก จะมีถาคต่อของไป๋อวี้น้อยไหมน้าาา
 :katai2-1:
รอจ้ะ จบแล้วก็ยังรออ 55555  :laugh:

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
มีตอนพิเศษมั้ยยยยย
อยากอ่าน หงเว่ยกับไป๋อวี้ แลน่ารักดี


ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
สนุกมากเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
อยากอ่านตอนไป๋อวี้น้อยจังเลยค่ะ

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
สนุกมากๆค่ะ  เพิ่งจะมาติดตามเสียดายมาก  ไม่งั้นคงจะตามเม้นเรื่อยๆ  แต่ปกติเป็นคนชอบมาอ่านในนิยายจบแล้วมากกว่า ส่วนนิยายปัจจุบันจะนานๆทีไปอ่าน เพราะในเซ็งเป็ดเยอะมาก ไล่อ่านนิยายเก่าก่อนค่ะ  อาจทำให้พลาดเรื่องนี้ไป 

ออฟไลน์ Pine_apple

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
อยากอ่านเรื่องเสี่ยวอวี๋กับเสี่ยวเว่ยซะแล้วล่ะค่ะ  :o8:
นี่รู้สึกว่าคงเว่ยจะเคะ ไม่รู้ทำไม  :laugh:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ w-for-winnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆอย่างนี้นะคะ ชอบการใช้ภาษามาก รื่นไหลดี

 :pig4:

รอเรื่องของไป๋อวี้กับหงเว่ยอยู่นะคะ ^^


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mentholss

  • "เหตุผล" หรือ "ข้ออ้าง"
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1

ออฟไลน์ นางฟ้าเชียงชุน

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
พลาดเรื่องนี้ได้ไงเนี่ยะ เราอ่านรวดเดียวจบเลยสนุกมากกกก ชอบไป๋เซ่อมาก ขำตรงฉากเต้นระบำ ขอบคุณที่แบ่งปันนิยายดีๆนะคะ
เนื้อเรื่องกระชับดีชอบอ่ะ จะมีรุ่นลูกอีมั้ยน้าาาาา  ไป่อวี้ต้องแสบแน่ๆ รักเรื่องนี้อ่ะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ piengtavan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • UEDA_ARAMORD
สนุกสุดๆเลย ทั้งภาคมหาเทพ ภาคงู่เผือกป่วน5555
ชอบหมิงไท่มากๆ มีความเป็นพระเอกสูง ถึงสกิลจะไม่สูงเท่าแม่ทัพเซียว แต่เท่กว่ากันมาก ชอบบบบบบ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Nithi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอบคุณครับ สนุกมาก :z13:

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 735
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
อ่านรวดเดียวเลย
ตามมาจากเรื่องของแม่ทัพ-มหาเทพ
เรื่องนี้ครบรสมาก
ป่วง เศร้า เทาๆ หวาน หื่น มีทุกแบบ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด