- บทที่ 23 - มะนาว : ไม่แลก - ผมเดินนับขั้นบันได ก้มหน้าก้มตาจนมาถึงห้องจนได้
กลับมาถึงห้อง ทันทีที่ปิดประตู แม็ตยึดของกินทั้งหมดไปวางไว้หลังตู้เย็นรวมกับของบางส่วนที่ได้มาตอนประกวด ส่วนตัวเองไปนั่งลงปลายเตียงมองผมที่ยังยืนหนุนไปมากลางห้อง
รู้สึกเหมือนกำลังจะโดนสอบสวนคดีอาชญากรรม เหงื่อนี่แตกพลั่กๆ
“บอกได้ไหม เป็นอะไรทำไมต้องหลบหน้า”
เขาก็เริ่มแล้วครับ ผมนี่ที่ตั้งรับอยู่แล้วยังแทบอยากจะละลายกลายเป็นฟองน้ำใต้เตียง จะหันไปมองหน้าก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไง จะเลยไปยืนมองวิวที่ระเบียงเดี๋ยวก็โดนว่าหลบเลี่ยงอีก
“ปะ เปล่า”
“จะเปล่าได้ยังไง”
“ไม่มีอะไรนี่”
“อย่าตอบแบบขอไปทีได้ไหม รู้อยู่ว่ามี บอกเถอะ ถ้ากูทำอะไรผิดจะได้ขอโทษถูก”
“มึงไม่ผิด”
“เรื่องอาร์มเหรอ”
ผมส่ายหน้า ไม่หรอกเรื่องนั้นมึงไม่ผิด
“เรื่องซี”
“ไม่ใช่” ผมจะพูดยังไงไม่ให้เขาใช้เป็นข้ออ้างมาว่าว่าผมเรื่องมากงี่เง่าได้เนี่ย
“เรื่องที่กูไม่มีเวลาให้”
“ไม่ ไม่อย่ารื้อฟื้นเลย ช่างมันเถอะ” ผมยังอยากเป็นคนดีในสายตาเขาอยู่บ้างนะ
“แล้วอยู่ๆทำไมกลับบ้าน ทั้งที่จะค้างก็ได้” เพราะห้องไม่ได้กว้างมากนัก แม็ตเอื้อมมือมาคว้ามือผมไปจับไว้ เสียงของเขาอ่อนลงจนทำให้ความรู้สึกจุกแน่นมันปรี่ขึ้นมาที่คอ
“ก็ ไม่อยากกวน”
“กวน?” เขาทวนคำทำให้ผมขยายความ
“พอคิดว่าตัวเองเป็นภาระมึง ก็ไม่อยากให้มึงลำบากใจ”
“ไม่เข้าใจ” ตอนนี้สองมือของผมถูกจับไว้ เขาเกลี่ยไปมากับผิวผม เหมือนมันจะละลายความไม่กล้าของผมให้ยอมพูดความในใจออกมา
“ถ้ากูอยู่ห้องมึงแล้วมึงเป็นฝ่ายต้องไปนอนที่อื่น กูก็ควรพิจารณาตัวเองนะ”
“ไม่ใช่เลย มันไม่ใช่เพราะมึง”
“งั้นเพราะอะไรบอกได้ไหมล่ะ ว่าทำไมไม่กลับมานอนห้องตัวเอง”
“...” เขาก้มหน้าลง ไม่ยอมตอบ ความเจ็บจุกที่คอแน่นขึ้นจนนัยน์ตาเริ่มร้อน
เขา ไม่ยอมตอบ
“ไม่รู้รึไงว่าคนเขารอ” ผมบีบมือเขากลับ หลบตากลัวว่าถ้าเขาเงยหน้ากลับมา ถ้าสบตากัน น้ำตาจะไหลออกมา
ผมถูกดึงให้นั่งลงบนเตียง เขากระซิบกับไหล่ผม
“ยอมพูดสักทีนะ”
“ไม่ต้องมากอดเลย แม่ง กูเกลียดความรู้สึกตัวเองชิบหาย” พอได้พูดออกไป พอเขาได้ฟังความรู้สึกของผม ผมก็อดไม่ได้ที่จะแอบปาดน้ำออกจากตา ไม่ว่ายังไงก็ไม่อยากให้เขาเห็น
“ฮ่าๆๆๆ”
“ยังจะมีหน้ามาหัวเราะอีก” ผมใช้กำปั้นทุบหลังเขาเบาๆ ระบายออกทางนี้ผมจะได้ไม่ต้องร้องให้
“โอ๋ๆ ขอโทษๆ กูแค่ดีใจไปหน่อย” เขาโอ๋ผมแบบเด็กๆ ลูบหลังลูบหัว
“มึงอ่ะ ที่ว่ามีอะไรจะพูด เรื่องอะไร พูดมาเลยกูทำใจไว้แล้ว” ถ้าโลกจะแตกก็ขอตายในกอดมึงนี่แหละ
“พูด? เรื่องอะไร?” ไอ้นี่มาทำหน้างง
“ก็ที่มึงบอกเมื่อวันจันทร์ไง ที่ว่ามีเรื่องต้องคุย แล้วก็บอกอีกว่าต้องพูดวันหลัง พูดมาเลย กูเตรียมใจไว้แล้ว” ผมมานั่งจ้องหน้าเขา รอให้เขาพูด
“อ๋อ...”
“เรื่องอะไร?”
“ก็มึงพูดไปแล้วเมื่อกี้ไง”
“ห่ะ?”
“กูแค่อยากรู้ว่ามึงโกรธเหรอที่เมื่อวันศุกร์ที่แล้วกูไม่กลับห้อง กูไม่ได้ตั้งใจ ว่าจะขอโทษถ้าทำให้โกรธ”
“เรื่องนั้นอ่ะนะ”
“อื้ม โกรธก็บอกเถอะว่าโกรธ”
“เปล่า คือ ก็ โกรธ รอจนโมโหไปหมด เลยกลับบ้าน ไม่อยากทะเลาะ”
“ใช่ ใช่ไหมล่ะ กูก็จะขอโทษเรื่องนี้ ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ไม่ทันคิดด้วยว่าจะทำให้โกรธคิดแค่.. ไม่อยากกลับห้องตอนที่เมา”
“หมายความว่าไง?” ผมขมวดคิ้วทันที
“ถ้าเมากลับมา มันก็จะ”
“มึง... มึงจะบอกว่าไม่อยากมีอะไรกับกูงั้นเหรอ?” ผมกลั่นใจ กลัว ผมกลัวเขาจะพูดมัน ผมถึงพูดมันออกมาเอง กลัวมันหลุดออกมาจากปากเขาแล้ว ... แล้วผมคงรับไม่ได้
“ไม่ ไม่ใช่ ฟังให้จบก่อน” แม็ตจับมือของผมทั้งสองข้างไว้ เขากำแน่นไม่ให้ผมลุกขึ้นยืนได้ ไม่ให้ผมหนี
“...”
ผมควรจะฟังเขาไหม
“กูแค่ไม่อยากให้มึงติดภาพว่าเมาแล้วเราถึงมีอะไรกัน กูอยากเป็นตัวเองในสายตามึง เป็นตัวตนของกูจริงๆ ที่จะกอดกันแม้จะเป็นตอนที่ไม่ต้องมีอะไรมาบงการ จริงอยู่เพราะต่างคนต่างเมา เราสองคนถึงมาอยู่จุดนี้ในตอนนี้ แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้รักกันเพราะเรื่องพวกนั้น คิดเหมือนกันไหม นาว”
ระ รัก?
“รักกัน เหรอ?”
“ไม่รักเหรอ?”
“หื๋อ?” อะไรนะ ได้ยินชัดแต่กูชาไปทั้งตัว เลยไม่ค่อยเข้าใจ
“งงอะไร”
“เรารักกันเหรอ”
“กูรัก แล้วมึงล่ะ รักไหม?”
“...” ผมพยักหน้าถี่ๆ รักสิวะ ทั้งรักทั้งหลงเลยขอบอก หวงด้วย หึงไม่ต้องพูดถึง ตลอดๆๆๆ
“หึ” ผมถูกขยี้หัว เปิดหน้าผากจุ๊บเหม่งหนึ่งที “ก็แค่นั้นแหละ”
เขาดึงผมไปกอด ลากให้ผมนั่งซ้อนหลังบนขาเขา แม็ตเกยคางไว้บนไหล่ผม เกลี่ยจมูกไปมากับกรามของผม
โฮฮฮฮฮ น้ำตาจะไหลอีกแล้ว
ผมว่าผมกลายเป็นคนแพ้กอด เอ หรือคลั้งไคล้กอดนะ?
“ทีนี้ก็ตามึงแล้ว”
“อะไร?” จากที่เมื่อกี้กอดหลวมๆ แม็ตเปลี่ยนเป็นรัดรอบตัวผม ตอนนี้แปลงร่างเป็นมารร้ายรัดผมไว้เหมือนจับกุม
“ตอบมาทำไมต้องกลับบ้านทุกวัน ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องกลับเลย ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องวันศุกร์แน่”
“มีงานไง ก็บอกไปแล้ว”
“ไม่เชื่อ บอกมา” แม็ตเริ่มขยับนิ้วที่ตรงกับเอวผมพอดี โอ้ย ไม่นะ ผมบ้าจี้
“ฮ่าๆๆๆ บอกๆๆ ยอมบอกแล้ว โอ้ย จั๊กจี้ อย่าจี้เอว โอ้ย เหนื่อย แม็ต แม็ต พอ”
“กลับบ้านทำไม?”
“ก็บอกไปแล้วไง” ผมเล่นมุขของเขา
“อธิบายใหม่ ชัดๆ”
นี่มันคำสั่งพระราชา ผมหลับตากลั้นใจตอบ
“กูกลัวที่มึงพูดเมื่อวันจันทร์นั้นแหละ ฮึ้ย”
“หา” แม็ตงงจนเผลอคลายการโอบรัด แต่ผมไม่ไปไหนหรอกนะ นั่งนี่สบายจะตาย
“อยู่ๆ มึงก็ทำหน้านิ่ง แล้วบอกว่ามีเรื่องจริงจังจะพูด กูก็กลัวดิ้ กูยิ่งร้อนตัวเรื่องที่ไม่ได้มาดูมึงแข่งเมื่อวันเสาร์อยู่ด้วย นึกว่ามึงโกรธ แล้ว โกรธรึเปล่า”
“แข่งเหรอ ไม่ใช่เรื่องเลย”
“มึงไม่เข้าใจความกลัวของกูเลย”
“ทำหน้าบู้บี้ทำไม ก็รู้หมดแล้วนี่ว่ากูจะพูดอะไร ยังจะกลัวต่ออีกรึไง”
“งื้อ ลืม มัวแต่นึกว่าตอนนั้นกลัวแค่ไหน มึง ไม่โกรธใช่ป่ะ”
“ไม่โกรธ ให้มึงขับรถไปกลับบ่อยๆ กูก็เป็นห่วงไม่ได้อยากให้ไปมาบ่อยๆ หรอกนะ”
“ถ้าแค่ถามเรื่องเมื่อวันศุกร์ทำไมไม่ถามออกมาเลยวะ กูก็ลุ้นฉี่แทบราด” ผมรู้สึกเสียดายเวลา
“ก็พอกูบอกว่าจะคุยด้วย มึงทำหน้าไงรู้ไหม”
“อะไร?” เขาสะกิดไหล่ให้ผมหันไปดู
“มึงทำหน้าจากอย่างงี้เป็นอย่างงี้”
ผมหันไปดูหน้าแม็ตที่เขาล้อเลียนสีหน้าผม แม็ตทำหน้าปกติ แล้วค่อยๆย่นหน้าทำปากจู๋ ขมวดคิ้วดันแก้มป่อง
“เชี้ย น่าเกลียด”
“ทุกอย่างมารวมกันตรงกลาง แบบนี้เลย” ยังจะทำซ้ำอีก
“พอๆๆๆ กูไม่ได้ทำหน้าแบบนั้นเลย” ผมยกมือทาบบนหน้าเขาให้เขาหยุดล้อเลียนผม
“ทำ ไม่งั้นกูจะชะงักเหรอ ฮ่าๆๆ กลั้นหัวเราะแทบตาย”
เหี้ยมาก กูรักผู้ชายที่ดูผู้ดีแต่ความจริงแล้วเหี้ยงี้ได้ไงเนี่ย
ในขณะที่กูอึ้งค้างกลางอากาศ มึงกลับหัวเราะอยู่ในใจ น้ำตาไหลแรงมากครับ
ผมว่าตอนนี้ผมกำลังทำหน้าแบบที่มันล้ออีกแล้วมั้งเนี่ย แม่ง
เขากอดเอวผมไว้ แล้วเริ่มโยกไปมาเหมือนม้าโยก
“รอเก้อนี่เอง น่ารักจังเลย”
“ล้วงทำไม ไอ้บ้านี่” มืออุ่นของเขาแทรกเข้ามาใต้เสื้อ ทั้งสองมือเลยครับ เขาจับเอวผมลูบไปมาอยู่ข้างใต้
“เวลาเหลือ”
“ก็ปล่อยมันเหลือทิ้งๆ ขว้างๆไปบ้างก็ได้ โอ้ย” มาคิดได้ตอนนี้คงสายไป ท่านี้มันไร้ทางสู้เลยนี่หว่า โดนรัดทั้งสองแขนแบบนี้ ดิ้นให้ตายก็เสียตัวแน่ครับ
“ชดเฉยสำหรับสองอาทิตย์ไง”
นั่นไง มันคิดจริง
อย่าบอกนะไม่ทำตอนเมา จะมาทำตอนสติเต็มร้อยแบบนี้ ผมเหงื่อแตกทั้งตัว รู้สึกร้อนขึ้นมาจนเห็นหลังมือตัวเองเปลี่ยนเป็นสีแดง
“ใส่เสื้อแบบนี้ไปสนามกีฬา ไม่ร้อนเหรอ?”
“กัน อึก กันแดดไง”
“เหรอ”
“อื้อ อย่า”
“ตอนนี้ไม่มีแดดแล้ว ไม่จำเป็นแล้วเนอะ”
แขนข้างนึงของเขารวบรอบเอวผม อีกมือดึงชายเสื้อผมให้สูงเหนือหัวจนเสื้อแขนยาวของผมหลุดลอยไปตกอยู่ที่เท้า
โฮกกกก กูทำตัวอ่อนปวกเปียกยกแขนให้เสื้อมันหลุดออกไปทำไมเนี่ย
“ว่าง่ายๆ จะได้โตไวๆ เนอะ”
“อะไรของมึง อื้อ ไม่เอา อย่าจับตรงนั้น”
ผมอายที่สุดก็ตรงที่เขามาบีบมาขยี้ยอดอกแบนๆ ไร้เสน่ห์ของผมเนี่ยแหละ มันไม่ได้มีอะไรดึงดูดน่าสนใจเลย มันก็ยังคลึงไปมาอยู่ได้ มันวูบวาบโว้ย ไม่อยากให้จับ!
“ตรงนี้ไง โอ้โห โตไวจริงๆ ด้วย ดูสิแป็ปเดี๋ยวโตจนจะทะลุกางเกงอยู่แล้ว”
โอ้บ้าาาาา ไอ้เลว ไอ้บัดซบบบ ตะปบซะของกูแทบหัก เชี่ยยยย
แล้วนั่นจะนวดทำไม ไม่ต้องน้วดดดด แค่นี้กูก็น้ำตาไหลแล้ว
สองอาทิตย์ที่น่ากลัวทำให้นี่เป็นครั้งแรกที่มันตื่นเต็มที่ขนาดนี้ครับ ทั้งที่ยังอยู่ในตู้เซพมิดชิดมันก็ดิ้นพล่านเซพแทบแตก
แล้วมือกูก็ว่างทำไมไม่ปัดออก ทำไมไปขยำที่นอนซะแทบขาดติดมือ โหยยยยยย แบบนี้เขาก็คิดว่าผมเต็มใจไม่ปัดป้องดิเนี่ยสองมือเขาคืบคลานไปทั่ว ผมปั่นป่วนไปหมดไม่รู้ตรงไหนเป็นตรงไหนแล้วยังลมหายใจอุ่นๆที่รดอยู่ข้างต้นคอนี่อีก แม็ตจูบคอด้านหลังจนผมต้องย่นคอ เขาเลื่อนมาจูบหลังหู แล้วกระซิบเบา
“ไม่ไหวแล้ว ขอนะ”
“อึ อื้ม”
กูตอบอย่างไวเลยสาดดดดดดดด
สติสตังหายหมดแล้วตอนนี้ งงไปหมด
สองมือเขาปลดเข็มขัดผม ปลดกระดุมกางเกงยีนส์รูดซิบแล้วลูบแผ่วเบาผ่านบ็อกเซอร์ ผมไม่รู้มือเขาหรือตัวผมร้อนกว่ากัน รู้แค่ริมฝีปากเราร้อนเท่ากัน
ผมเอียงคอรับริมฝีปากเขาเข้ามา มันนุ่มนิ่มและชุ่มชื้น จูบที่โหยหา
เราต่างละโมบและกอบโกยสิ่งที่ห่างหาย
ไออุ่น เสียงเต้นของหัวใจ ทุกอย่างเบลอเหมือนว่าผมกำลังเมา
ผมหันเข้าหาเขา ปลดกระดุมให้เขา ปลดทุกอย่างจนเขาว่างเปล่าไม่ต่างจากผม เหลือเพียงสร้อยเส้นเดียวที่อยู่กับตัวเขา
เราดึงดูดจูบกันแทบจะตลอดเวลา
ความรู้สึกเจ็บตอนที่เขาแทรกกายเข้ามาหายไปแทบจะทันทีที่เขาเข้ามาสุด
แม้จะน่าอายแต่ผมก็ยอมจะขยับไปพร้อมกับเขา
ทุกอย่างที่เขาแสดงออกมันเติมเต็มหัวใจที่ห่อเหี่ยวของผม ความต้องการของเขาคือผม ทุกสัมผัสของเขาบอกผมอย่างนั้น
เสียงร้องน่าอายที่ทำให้ผมยิ่งอายเมื่อคิดย้อนกลับไป บางครั้งผมพอจำได้ มีบางครั้งที่เหลืออยู่เมื่อตื่นขึ้นมา เสียงน่าอาบแบบนี้เขาได้ยินมากี่ครั้งแล้ว
“อึก อื้อ”
“อย่ากลั้นเสียงสิ นาว” แค่เขาเรียกชื่อผมก็เหมือนทุกอย่างขาดออก เสียงผมถูกบีบให้สั้นตามจังหวะที่ถูกพาให้ขยับไป มันเหมือนคนที่กำลังจะร้องให้
“อ้ะๆ อ้า แม็ต แม็ต”
แล้วทุกอย่างก็ขาวโพลน
“ออนท็อปซะด้วยวันนี้”
“ถ้าปากดีต่อจะไม่มีครั้งต่อไปนะ”
“สาบานว่าไม่ติดใจ”
“ไม่ดีเลย ปวดขา” ผมพูดจริงๆครับ แถมเขินมากด้วย ตอนนี้ผมนอนตะแคงไม่ยอมให้เขามองหน้าอยู่ แม็ตก็ไม่แกล้งผมเท่าไหร่ครับ ยอมให้ผมหันหลังให้แล้วกอดจากข้างหลัง
“อ้ะ” ผมแอ่นตัวหลบเพราะเกียร์ที่เขายังใส่อยู่มันบาดหลัง แม็ตเองก็คงรู้สึกถึงแรงกด ถึงพึมพำขอโทษเบาๆ
แล้วเขาก็ถอยออกไปทำอะไรก็ไม่รู้อยู่ข้างหลัง นั่งยุกยิกๆ จนผมหันไปมอง
“เอ้า นี่ ฝากไว้นะ”
เขาถอดเกียร์ที่ใส่มาตลอดออกมาชูตรงหน้า เขาดึงให้ผมลุกขึ้นนั่ง
แม็ตคล้องสร้อยเกียร์ลงให้ผม ยิ้มเท่ๆ ส่วนสูงที่ต่างกันทำให้ผมต้องเงยหน้ามองแม้เรากำลังนั่ง ตาผมตรงกับริมฝีปากเขาเลย เฮ้อ ปากเขาขยับช้าๆ หรือผมเบลอจนเห็นทุกอย่างเป็นภาพสโลนะ
ผมจำได้ริมฝีปากเขาได้ มันนุ่มและลื่นมากเลย
แม็ตก้มตามมือเขาลงมา สองมือเขายังคงกุมไหล่และคอผมไว้ มือผมเอื้อมไปแตะเกียร์ตรงอก
มือหนึ่งของเขาค่อยๆสอดไปหลังท้ายทอย ความรู้สึกเสียววูบทำให้ขนลุกเกรียว ตื่นเต้น ใจเต้นจนแทบได้ยินเสียง ควรจะทำยังไง ต้องปั้นหน้ายังไง
จูบทั้งๆ ที่ตัวเปล่าเปลือย แต่ก็ยังขัดเขิน
“เดี๋ยว!” ผมหลุดปากพูดออกไปเสียงโคตรดัง ขนาดผมเองยังตกใจเลย
“...?”
“ขอลงไปที่รถ ไปเอาของก่อนได้ป่ะ?” ค่อยมาต่อ กูกลัวมันไม่ต่อเนื่อง
“ของอะไร นี่รึเปล่า?” แม็ตตอบพร้อมกับลุกขึ้นไปหยิบกางเกงที่ถอดไว้ขึ้นมาล้วงไปในกระเป๋ากางเกงนักศึกษา
สิ่งที่เขาหยิบออกมาคือเกียร์ที่ผมแขวนไว้หน้ารถ
มึงเอามาตอนไหนวะ?
“ที่อยู่ในรถกูเหรอ?”
“ใช่” เขาส่งให้ผม ผมยกส่องกับแสงไฟ ก่อนจะเอามาเปรียบเทียบกับเกียร์ที่แม็ตคล้องไว้ที่คอผม
“เอามาตอนไหนวะ?” นี่แสดงว่าวางแผนไว้หมดแล้ว นี่เขาตั้งใจจะให้เกียร์กับผมอยู่แล้วไม่ได้ให้เพราะสถานะการณ์กระซิบบอกหรอกใช่ไหม
“ไม่รู้สินะ”
เขายิ้ม แน่นอนผมก็ยิ้ม
คุณค่าของเกียร์ เราต่างก็รู้กันดีว่ามันหมายถึงอะไร การที่เขาให้ผม และผมรับไว้ มันแปลว่าอะไร หัวใจอยู่ที่เกียร์ เกียร์อยู่ที่ไหน หัวใจของเราก็อยู่ที่นั่น เขาว่าไว้ว่าอย่างนั้น
และเรื่องนี้ ผมเชื่อหมดใจ เพราะหัวใจของผม ผมก็เก็บไว้ที่เกียร์ของผมเช่นกัน
“อื้ม...” ผมยังคงดูอยู่ ก่อนจะทำหน้าเจ้าเล่ห์
“หลับตาสิ”
แม็ตยอมหลับตาแต่โดยดี หึ นึกว่าผมจะใส่ให้ล่ะสิ ผมถอดเกียร์ที่เขาให้มาหมาดๆ ออกมา ทั้งสองมือกำเชือกไว้ให้เหลือแต่จี้เกียร์ไพล่ให้เห็น ผมซ่อนสองมือไว้ข้างหลังเล่นเป็นเด็กๆ เพราะอารมณ์ดีมากขอบอก
“ลืมตาได้” เขาขมวดคิ้วก่อนจะลืมตา ฮ่าๆๆ งงล่ะสิทำไมไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันต้องหลังจากนี้ต่างหาก
ผมยกสองมือขึ้นระดับสายตาเขา
“ถ้าเลือกถูกก็ได้ไปทั้งเกียร์ทั้ง... ถ้าเลือกผิด กูยึดทั้งคู่”
“ทั้งเกียร์ทั้ง... อะไรนะ?” แม็ตเอียงคอถามแทรกหน้ามาระหว่างสองมือของผม แน่นอนผมดันออก ใกล้กว่านี้มึงไม่ได้เกียร์หรอก ได้อย่างอื่นแทนละ
“ใจไงเล่า ลีลา เลือก” เขายิ้มจนผมที่กะว่าจะไม่เขินก็ต้องเขินอีกรอบ
“แหม ยากจัง อันนี้”
อ้าว เชี่ย มึงยังไม่ทันเลือกอะไรเลย ดูดีแล้วรึไง หรือมันแอบดูตอนผมสลับมือ
แม็ตเลือกเกียร์ที่อยู่ในมือขวาของผม ก่อนจะดึงมือผมไป... จูบ
เฮือก มีเสียงเฮือกดังอยู่ในใจ โอ้ยตาย มึงตาเยิ้มเพราะเมคอัพใช่ไหมบอกมา ถ้ามึงบอกว่าเพราะกูกูตายจริงบอกเลย
“ทำไมรู้ ดูออกเหรอ”
“ออกสิ ก็สีไง กับ นี่ ดูตรงนี้ ของมึงตัวแรกเริ่มตรงนี้ ของกูตัวแรกเริ่มตรงกลางซี่เฟือง” แม็ตเฉลยความแตกต่างที่ผมมองตั้งนานก็แยกไม่ออก
“แถมของกูมีสีขี้ไคลติดอยู่ด้วยเพราะใส่บ่อย แต่ของมึงแขวนอยู่ในรถ” อ้อ กูว่ามึงบอกว่าดูจากตรงนี้ก็จบแล้ว
“งั้น เอาไปเลย” ผมยื่นเกียร์ในมือซ้ายให้เขา ที่เขาแค่จับไว้ไม่ได้จูบ
“กูเลือกถูกทำไมไม่ให้ของมึง” ความหมายของคำพูดเขาคือทำไมผมคืนเกียร์เส้นที่เขาเพิ่งให้ผม
แม็ตท่าทางไม่พอใจและจะถามต่อ
ผมไม่ฟัง จับสร้อยกางออกแล้วคล้องใส่คอเขา
“ไม่รับเกียร์กูเหรอ?” แม็ตเริ่มหน้านิ่งและเสียงเข้มอย่างสงสัยท่าทีของผม ผมเลยถอยมือ ยังไม่ใส่ให้ก็ได้
ผมพยายามปั้นหน้านิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ถ้าบอกอะไรอย่าโกรธนะ” ผมจะบอกเขาแล้วนะ
“ทำไมไม่รับเกียร์กู หรือ” แม็ตยังคงเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่และเริ่มถามต่อไม่ยอมฟัง
จับจูบสักทีเพราะหน้าเขาตอนโมโหเรื่องน่ารักๆ แบบนี้หาดูยาก ชาตินี้จะได้เห็นอีกป่ะเนี่ย โถ่ๆ คงกำลังคิดว่าผมไม่รับรัก
ผมถอดปากออกเผยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถ้าบอกอะไรอย่าโกรธนะ” ผมทวนอีกรอบ
“ลองพูดมาก่อน”
“ฮ่าๆๆ เกียร์ที่มึงใส่มาตลอด เป็นของกู”
“หือ?”
“แฮ่ๆ”
“ได้ไง?”
“เก้าแอบแลกไว้ตั้งแต่ได้มาวันแรกแบ้ว”
“จริงเหรอ?”
“ใช่ ตอนพ่ออาบน้ำ ลูกเลยเล่นซนสลับเกียร์เล่นอ่า ไม่จิ ไม่เล่นๆ สลับจริงจังเลยล่ะ ถ่ายรูปเกียร์คู่ไว้เป็นหลักฐานมัดตัวเองด้วย อย่าโกรธเก้าน้า”
“ร้ายนะ” มือหนายกขึ้น ทีแรกผมนึกว่าจะโดนตี แต่ความจริงเขาแค่จับหัวผมเขย่าไปมา แล้วดึงไปกอด
แหม ถ้าซนแล้วโดนกอดงี้จะซนทุกวันเลย
“ก็น่าจะบอก”
“บอกอะไร”
“จริงๆ ก็จะให้อยู่แล้ว แต่หาจังหวะอยู่”
ผมยิ้มกับคำพูดเขา
แต่ในใจมีเสียงดังก้อง
ไม่ทันกูหรอกครับ กูเล็งเกียร์มึงไว้ตั้งแต่มึงชวนเข้าเชียร์วันแรกแล้วโว้ย
จะไม่บอกหรอก ว่าเข้าเชียร์เพื่อให้ได้เกียร์มาคล้องมึงเนี่ยแหละ
.................................
.................
“มึง มา ช้า”
มาถึงมันก็บ่นทันที เมกลับจากห้องน้ำพอดีมั้ง มันยืนอยู่กลางร้านกอดอกเดาะตีนแบบครูฝ่ายปกครองที่ยืนรอนักเรียนมาสายอยู่หน้าโรงเรียนเพื่อทำโทษ
ผมเดินแบบไร้วิญญาณเข้ามาในร้านเหล้าที่เสียงเพลงคลอไม่ดังมากเหมาะกับการกินไปบ่นไป เมเดินนำไปที่โต๊ะ ผมฟุบหน้าลงไหลไปกับโต๊ะทันทีที่ถึง
“สิบนาที ไม่ช้าเว้ย” ปล่อยให้แม็ตสู้กับมันไปแล้วกัน
“กูมาตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง มึงมาช่วยกูเลย อย่าให้กูนั่งคนเดียว กูขอล่ะ แม่งพี่โคตรเยอะ กูตาลายแล้วเนี่ย” เมก้มลงกระซิบกับพวกผมไม่ให้พี่ๆที่ว่าได้ยิน
“กูจะเอามึงไปนั่งที่ที่ไม่มีคนกวน เอาป่ะ?”
“มีด้วยเหรอ ที่แบบนั้น ห่า ให้ไวเลยกูไม่ไหวแล้ว”
“บนตักพี่ยีนส์ไง”
“อยากตายเหรอมึง”
ผมเอียงหัวขึ้นมาหัวเราะมัน เลยโดนจนได้
“มึง มะนาว วันนี้มึงไม่มาดูกู แถมนี่มาถึงก็เอาแต่นอน กวนตีนกูใช่ไหมเนี่ย ตื่นมาแดกกับกูเลย ถ้ามึงตามกูไม่ทัน กูจะเอาแม็ตไปซ่อนมึง”
“ตัวเท่ากระทิง ซ่อนไหนได้วะ”
“ทำไมต้องเทียบกับกระทิงวะ? มีความหมายอะไรแอบแฝงรึเปล่า?”
“มัน มันใหญ่กว่าควายไง”
“ไอ้นี่” เพราะเมคาดคั้นให้ผมตอบ ก็เลยโดนพ่อเคาะหัวไปทีนึงเบาๆ ครับ
แต่ผมรู้ว่าเขาไม่โกรธ เพราะจากยิ้มร้ายของเขา เขาคงรู้ว่าผมหมายถึงอะไรกันแน่
คิดว่ารอบเดียวผมจะโทรมงี้ไหมครับพี่น้อง หลังนั่งมุ้งมิ้งแลกเกียร์กันก็คิดได้ว่าต้องออกมาข้างนอก ผมเลยโดนกระทิงควิดตอนอาบน้ำ ขานี่สั่นจนถึงตอนนี้ยังไม่ดีขึ้นเลย ใครจะไปกล้าปฏิเสธจริงจังล่ะครับ เล่นพุ่งตัวเข้ามายกผมเข้าห้องน้ำขนาดนั้น โคตรเขิน
แต่บอกเลยว่าต้องมีรอบหน้าอีกแน่นอน ฮ่าๆๆๆ อูยยย แต่พักฟื้นแป็ปนะครับอย่าเพิ่งใจร้อนกัน
“เฮ้ยแม็ต เพิ่งมาเหรอมาๆ มานั่งกับพี่มา พี่ยังไม่ได้เทคเราเท่าไหร่เลย ช่วงเชียร์แม่งก็ยุ่งๆ”
“เฮ้ย ป้อง มึงชวนเดือนแล้วมึงก็เชิญดาวมานั่งโต๊ะนี้ด้วยดิวะ”
“ไม่เกี่ยวกับเดือนกับดาวอะไรทั้งนั้นอ่ะ นี่หลานรหัสกู กูจะคุยกับหลายเว้ย”
“มึงก็ควรจะเทคดาวมหาลัยไว้ด้วย คู่บุญบารมีแบบพี่ยีนส์กับโนอาไง”
“มึงหวังให้กูจีบน้อง หรือมึงจะจีบเองก็พูดออกมา”
“โธ่ หน้าอย่างพวกกูดาวที่ไหนจะสนวะ มึงอ่ะ ลุยเลย ไอ้น้อง ชวนเพื่อนมานั่งดิ พี่จะชงให้มันเอง”
“ไม่ต้องแม็ต อย่าหาเรื่องให้พี่”
ผมนั่งหูกางอยู่ที่เดิม แม็ตไปแล้วตามมารยาท กะว่าอีกสักพักค่อยเนียนๆเข้าไปนั่งแถวนั้น แต่ตอนนี้ขอพักก่อนนะ
“มึงไม่ กูพามาเองก็ได้” พี่ที่ผมจำได้ว่าเป็นว้ากผมยาว เขาโกนหนวดแล้วแต่ยังไม่ตัดผมมาสะกิดเมอย่างสุภาพที่สุด หรือมองอีกมุมก็คือกวนตีนที่สุด เสียอย่างเดียวเขาเป็นพี่ ไม่งั้นไอ้เมคงด่า “น้องเมดาวครับ น้องเมดาวมาทางนี้สักแป็ปนะครับ นั่งนี่ๆ”
“อ้อ คะ ได้คะ”
โอ้ยยยยยยย นี่มันเกิดอะไรกับพี่เมคนห้าวครับ มันยิ้มน่ารักแล้วทำตามอย่างว่าง่าย
เปลี่ยนไปอย่างกำเอาสีทาบ้านลบรอยด่างดำ มึงมีวิญญาณนางงามแฝงร่างอยู่ใช่ไหมเนี่ย
กูรู้แล้วๆ มึงใช้ลูกไม้นี้ถึงได้ตำแหน่งดาวมหาลัยมาครองใช่ไหม ตอบกู
แต่เมมันไม่ลุกเปล่าครับ บอกพี่แกว่าขอพาเพื่อนไปนั่งด้วยนะ แล้วเพื่อนคนนั้นคือใครเหรอครับ ก็ผมไง
“เอ้า ไอ้แทน มึงนี่” เป็นตอนที่ผมเดินผ่านพอดีก็เลยทันเห็นครับ พี่ป้องกับพี่ยีนส์สบตากันครับ พี่ยีนส์โยกหัวเป็นเชิงเอาเถอะๆ (ถ้าผมแปลไม่ผิดนะ) ส่วนพี่ป้องก็ยังมองเมแบบ จะว่ายังไงล่ะ กังวนเหรอ หรือไม่สบายใจนะ?
พี่ยีนส์แกนั่งอีกโต๊ะ พี่โนอาก็นั่งอีกโต๊ะ แต่พี่รหัสผมนี่สิ ยังไม่เห็นเลย
ผมได้มานั่งตรงกลางระเมกับแม็ตครับ เออดี ได้อารมณ์พ่อแม่ลูกเลย (มึงเป็นลูกแล้วกันนะเม)
“ฮ่าๆๆๆ”
เพื่อนเขาหัวเราะชอบใจกันทั้งวง หลังจากแนะนำตัวเขาก็พากันชวนเมคุยกันจนเมต้องหันหัวไปมาตลอดเวลา แต่สิ่งที่ผมสนใจกลับเป็นอีกข้างที่ค่อนข้างเงียบ
“พี่ป้อง พี่มีแฟนแล้วเหรอ?” แม็ตชวนลุงมันคุยครับ ผมนั่งชงเหล้าทำเป็นไม่สนใจ แต่ตั้งใจฟังมาก
“เปล่านี่”
“แล้วทำไม พี่ไม่พอใจอะไรเพื่อนผมรึเปล่า?”
“พี่ไม่อยากมีเรื่อง”
“เรื่อง?” ผมกำลังแอบฟังเพลินๆ ก็มีเสียงลุกลี้ลุกลนเรียกแม็ตขัดขึ้นครับ
“แม็ตๆๆๆๆ”
เมที่อ่านไลน์อยู่ทั้งเรียกทั้งตีผมซ้ำๆ จนต้องเบี่ยงตัวหนี มึงเรียกแม็ตแล้วตีกูทำไมเนี่ย
“อะไรของมึง”
“มานี่แป็ป” มันจัดการบอกพี่ๆ ว่าขอคุยธุระแป็ปแล้วออกมาเลยไม่รอฟังคำอนุญาต
“แป็ปนะครับพี่ป้อง” แม็ตลุกตามผมกับเมมา ไม่ลืมรักษามารยาท
“เออ ตามบาย”
“นาว มึงมาด้วย” เราทั้งคู่โดนดึงออกมาอย่างงงๆ
จนมาถึงลานหน้าห้องน้ำที่เสียงเงียบและปลอดคนเมก็พูดอย่างร้อนรน
“กูจะกลับหอ ไปส่งกูหน่อย” ดูมันจะจริงจังมากตีปีกพับๆ เลย
“เฮ้ย ได้ไง”
“กูอยู่ไม่ได้แล้ว” เมตอบไปพิมพ์ไลน์อย่างลนลานไปด้วย
“ใครรออยู่ที่หอรึไง”
“ไม่มีใครรออยู่หอ แต่พี่กูจะมานี่”
“อ้าว ก็รอนี่สิ” ผมกับแม็ตงงกับมัน
“กูไม่อยากให้พี่เจอ เอ้ย ไม่ใช่ กูไม่อยากเจอพี่พร้อมอิพวกปากดีทั้งคณะแบบนี้นะเว้ย พี่กูไม่เหมือนคนอื่น แม่งแค่คิดก็น่ากลัวแล้ว”
“กลัวทำไมวะ พี่มึงดุเหรอ”
“ไปส่งกู เดี๋ยวกูบอกทีหลัง แต่พากูออกไปจากนี้แบบไม่ให้พี่กูเห็นกลางทางก่อน”
“เอาไงอ่ะแม็ต”
“ก็ ถ้ามันอยากกลับก็ไปส่งมันกันเถอะ แต่มึงบอกพักเดียวใช่ไหม”
“นั่นดิ ถ้าพี่กลับมึงต้องกลับเข้างานนะ คนอื่นเขาจัดให้มึงนะเว้ยวันนี้อ่ะ”
“เอ่อๆ กลับ เดี๋ยวกลับ”
“กูไปส่งเองดีกว่า มึงอยู่รับหน้าไปก่อนเดือน”
“ได้ แล้ว”
“ไม่ต้องห่วงกูมาถึงกูยังไม่ทันกระดกซักแก้วเลย ที่ชงไว้ละลายอยู่ตรงโน้น”
แม็ตหยิบกุญแจรถในกระเป๋ากางเกงให้ผม แต่ไม่ยอมกลับเข้างาน เมเลยตัดบทดันผมไปทางครัว
“เออๆ กูดูมะนาวให้เอง ออกครัวหลังร้านเลยนะ ไปนาว”
“เฮ้ย เข้าได้เหรอ” ผมถูกดันผ่านป้าย staff only มา ผมมองตาโต
“ได้ ตามกูมา”
เม มึงเพิ่งรับปากกับแม็ตเมื่อกี้เองนะว่าจะดูแลกูเอง นี่มึงลืมหรือจริงๆ แล้วมึงหลอกกูมาฆ่าหมกครัว
เมพาผมไปหวัดดีพ่อครัวครับ ไม่รู้ไปรู้จักกันตอนไหน แล้วก็ออกมาข้างๆร้านที่เป็นลานจอดรถ ผมตรงไปหารถตัวเอง แต่มีคนมาจอดปิดทางออกรถผมซะแล้ว
“มึง เลื่อนรถคันนี้”
“เชี่ย จะทันไหมเนี่ย”
“รีบก็เข็น อย่าช้าทีพี่น้อง” เมมันคงรีบมากครับ เข็นแรงจนรถไหลไปจะชนกับอีกคัน ผมนี่แทบจะไปนอนขวางล้อ
อิเม อิบ้า มึงอยากเสียตังหมื่นเหรอ! แต่เหมือนมันจะไม่สนใจอะไรแล้วตอนนี้
“ดีๆ ดิ้วะ ไปขึ้นรถ”
เมที่หมอบอยู่ข้างประตูรถอยู่แล้วรีบเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งข้างคนขับทันที ผมว่าผมเดินด้วยความเร็วปกตินะ แต่เมมันดูจะคิดว่าทุกอย่างมันช้าไปหมด
“เออๆ กูรีบอยู่ๆ” ผมรีบพูดก่อนเมจะโวยวายอีก เพิ่งเคยเห็นมันกลัวอะไรจริงจังขนาดนี้เป็นครั้งแรกเนี่ยแหละ แบบนี้ความกลัวพี่ยีนส์ของมันดูเด็กน้อยไปเลย
ผมสตาร์ทรถ แล้วคาดเข็มขัด ยังไม่ทันเปิดไฟหน้ารถ เมก็พึมพำออกมาเบาๆ
“เหี้ย ไม่ทันแล้ว”
ผมมองไปที่มัน แล้วหันหัวตามสายตา เมกำลังมองรถที่เลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถนี้ รถมินิคูเปอร์สีแดงมันวับต้องแสงไป มันเลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลเข้ามาพร้อมๆ กับเมที่ไหลลงไปกองอยู่ตรงที่วางเท้า
ที่ว่างมีไม่มาก ดังนั้นทำเลที่เขาเลือกจอด ก็คือ หน้ารถผมที่ผมเพิ่งเข็นรถอีกคันออกไปไว้อีกฝั่งเนี่ยแหละครับ
“มึงมองอย่างนั้น อย่าบอกนะพี่กูจอดรถปิดหน้ารถมึง” เมถามเพราะมันไม่กล้าโพล่ขึ้นมามองอะไรทั้งนั้น
ผมตอบสั่นๆ ว่า
“เออ”
“เซ้นส์ดีชิบหายพี่กู” มันทำหน้าเหมือนจะร้องให้นั่งดูไลน์เด้งแต่ไม่เปิดอ่าน คงส่งมาจากพี่มันนั้นแหละ
ชะตาผมกับมันดูท่าจะไม่รอดออกไปจากลานจอดรถนี้แล้วคืนนี้
ว่าแต่ มึงยังไม่ได้บอกกูเลยว่าทำไมมึงต้องกลัวพี่มึงขนาดนี้เม?
---------------------------------------------
TBC.
กำลังใจ จากใครหนอ
ขอเป็นทาน ให้ฝันให้ใฝ่
ให้ชีวิต ได้มีแรงใจ
ให้ดวงใจ ลุกโชนความหวัง
ไม่รู้จะเม้าอะไร ร้องเพลงเฉยเลย ฮ่าๆๆๆ
อ้อๆ พี่เมนี่ถือว่าเด็จ บอกเลย 55555+ ญ หรือ ช ยังไม่บอก รอตอนหน้าเลยยยยย