หลังจากคืนนั้น...ไอ้กวิ้นก็ใช้ชีวิตตามปกติ มันไม่เหมือนคนอกหักเหมือนที่ใจกำลังเป็น ชีวิตของมันดำเนินไปพร้อมกับย้ำกับตัวเองต่อความเกลียดที่มีต่อพี่ชายของไอ้เหมอ บ่อยครั้งที่นิ่งเงียบเฝ้าขบคิดหาเหตุผลมาลบล้างความใจร้ายของอีกฝ่าย แต่บ่อยครั้งที่หัวใจกลับต่อต้านไม่ให้หาข้อแก้ตัวให้กับเขา
หัวใจของนกบื้อตัวนี้กำลังชินชา ความเจ็บปวดกำลังทำให้หัวใจปิดรับอีกครั้ง เพราะแผลยังสดใหม่และคงใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะหายดี
“ไอ้กวิ้น มึงไปกับพี่หมัยนะเว้ย กูกับนะสุดที่รักคงไปรับมึงไม่ทันอ่ะ ไปเจอกันที่งาน โอเคนะ”
ไอ้เหมอยังเป็นตัวสร้างเรื่องและสร้างความลำบากใจให้ไม่เปลี่ยน จนไอ้กวิ้นอยากจะตะโกนใส่หน้าไอ้เกรียนนักว่ามันเกลียดขี้หน้าพี่สมัยมากแค่ไหน แต่เพราะคำสั่งของไอ้เหมอ ไอ้กวิ้นที่ไม่เคยขัดใจก็ไม่กล้าขัด มันจำต้องมายืนรออยู่หน้ารั้วบ้านเพื่อรอให้พี่ชายของไอ้เหมอมารับไปงานวัดด้วยกัน
รอแค่ไม่นาน พี่สมัยก็มาพร้อมกับแฟนคนสวยที่ยิ้มเก่งสมชื่อ
“น้องกวิ้น ขึ้นรถเลยจ้า” พี่สมายด์ร้องเรียก ไอ้กวิ้นที่ยกมือไหว้เสร็จก็พยักหน้าแล้วเดินขึ้นเบาะหลัง
“ทานอะไรมารึยังจ้ะ” พี่คนสวยทำลายบรรยากาศอึมครึมในรถด้วยประโยคคำถามกับรอยยิ้มเป็นมิตร
“ยังครับ”
“งั้นไว้ไปหาซื้อที่งานเนอะ”
“ครับ”
ไอ้กวิ้นพูดน้อยคำ มันเสียบหูฟัง ฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถือเพื่อป้องกันบทสนทนาของชายหญิงสองคนที่เหมาะสมกันอย่างไร้ที่ติไปตลอดทาง
พอถึงงานวัด ไอ้กวิ้นก็รีบลงจากรถ มันไม่เสียเวลาพูดขอบคุณพี่ชายของไอ้เหมอเสียด้วยซ้ำ เท้าแตะพื้นได้ก็รีบเดินดุ่มไปยังที่นัดหมายกับไอ้เหมอไว้ทันที
งานวัดไม่ได้น่าตื่นเต้นสำหรับไอ้กวิ้น แต่คงน่าตื่นเต้นสำหรับไอ้หล่อชนะกับไอ้เหมอหัวเกรียนที่ทำแอคติ้งโอเว่อไปอย่างนั้น ทั้งๆ ที่แค่ระริกระรี้เพราะได้เดินคู่กับแฟนก็เท่านั้นเอง เป็นปกติที่เวลาไอ้เหมออยู่กับแฟน ไอ้กวิ้นก็จะเหมือนส่วนเกิน นกบื้อเข้าใจดีและไม่เคยโกรธไอ้เหมอเป็นจริงเป็นจัง ทำทีเป็นน้อยใจบ้างแต่ก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร เดินตามไอ้เหมอกับไอ้นะอยู่ดีๆ รู้ตัวอีกทีสองเพื่อนซี้ก็หายจากสายตา ไอ้กวิ้นถอนหายใจแล้วก็เปลี่ยนเส้นทางมาเดินหาอะไรกินแทน
ไอ้กวิ้นเดินเอื่อยเฉื่อย ซื้อน้ำมะพร้าวให้ตัวเองหนึ่งถุง ได้ฟิลลิ่งตามสไตล์งานวัดจนลืมความขุ่นเคืองในใจไปได้บ้าง ผ่านร้านขนมเบื้องก็ได้มาอีกหนึ่งกล่อง ก่อนจะเดินไปพลางกินไปพลางแล้วไปยืนต่อคิวซื้อตั๋วนั่งม้าหมุน แม้เด็กๆ ที่ต่อแถวอยู่ข้างหลังมันจะอายุไม่เกินสิบขวบก็ตามที
“หนึ่งใบครับ เอ่อ...ว่าแต่ ผมขึ้นได้ใช่ไหม” ไอ้กวิ้นถามกับคนขาย มันไม่แน่ใจเรื่องน้ำหนักนัก แต่เรื่องอายุนั้นมั่นใจว่าถ้าไม่อายสายตาคนก็สามารถขึ้นได้อยู่แล้ว
“ได้ค่า” คนขายตั๋วบอกพลางยิ้มแฉ่ง “เดี๋ยวหมดรอบนี้ น้องขึ้นได้เลยนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
ไอ้กวิ้นชอบเครื่องเล่นเกือบทุกชนิด ยกเว้นเครื่องเล่นที่มีความเร็วและสูงเกินกว่าที่หัวใจจะรับไหว บ่อยครั้งที่ตอนมัธยมได้ไปสวนสนุกกับพี่ชายของไอ้เหมอ ในครั้งอดีตยังจำได้ว่ามันหัวเราะอย่างมีความสุขมากแค่ไหน แต่ตอนนี้...ให้ยิ้มก็ยังยิ้มไม่ได้ เมื่อได้เห็นเขา...เดินเคียงคู่กับใครอีกคน ...และดูมีความสุขมากมายเหลือเกิน
“น้องคะ ขึ้นได้เลยค่า”
ไอ้กวิ้นพยักหน้า มันเลือกนั่งม้าสีหลุดลอกตามอายุการใช้งาน ขึ้นควบด้วยใบหน้าเฉยเมยพลางดูดน้ำมะพร้าวแก้เซ็งไปด้วย
“พี่ๆ ช่วยอุ้มหนูหน่อย” ไอ้เด็กตัวดำฟันหลอ แต่ขาสั้นมันอยากขึ้นนั่งม้าใกล้ๆ กัน แต่ก็ไม่อาจเอื้อมถึง
“มาคนเดียวเหรอ”
“เปล่าจ้ะ แม่ไปขึ้นชิงช้าสวรรค์กับน้อง หนูเลยมาเล่นม้าหมุนคนเดียว”
“อือ มานั่งกับพี่เอาปะ นั่งคนเดียวเดี๋ยวก็ตก”
“งั้นให้หนูนั่งหน้านะ”
“อืม”
ไอ้กวิ้นไม่ใช่คนรักเด็กเหมือนไอ้เหมอที่ชอบฝันว่าตัวเองเป็นนางงามมิตรภาพแต่ก็แกล้งเด็กอยู่ร่ำไป ต่างจากไอ้กวิ้นที่ไม่รักแต่ก็ดูแลเป็นอย่างดี มันเข้ากับเพื่อนวัยเดียวกันได้ยากเพราะมักจะถูกแกล้ง แต่กับเด็กและคนสูงอายุ ไอ้กวิ้นมักจะเป็นที่ชื่นชอบมากกว่าไอ้เหมอ
“จับดีๆ นะ”
“จ้ะ”
ไอ้กวิ้นรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเมื่อได้ฟังเสียงไอ้หนูตัวดำฟันหลอมันจ้อ มันบอกว่ามันชื่อโอเลี้ยง มีน้องชื่อกระเจี๊ยบ “น้องเจี๊ยบเหมือนตุ๊กตา แล้วก็ป่วยง่าย แม่ก็เลยรักน้องมากๆ”
“แล้วเราไม่น้อยใจเหรอ”
“ไม่หรอกจ้ะ หนูก็รักน้องเหมือนกัน” เจ้าโอเลี้ยงยิ้มโชว์ฟันหลอ “พี่กวิ้นมีน้องไหมจ้ะ”
“ไม่มี พี่เป็นลูกคนเดียว”
“ดีจัง”
“ไม่ดีหรอก เหงาจะตาย โอมีน้องต่างหากที่น่าอิจฉา เพราะงั้นดูแลน้องดีๆ นะครับ”
“จ้ะ หนูแข็งแรง จะปกป้องน้องเจี๊ยบ”
“พี่ชาย...ก็ต้องปกป้องน้องอยู่แล้วล่ะ สู้ๆ นะ”
...ไอ้กวิ้นถึงได้อิจฉาไอ้เหมอที่มีพี่ชายที่รักมันมาก... มากจนอาจจะไม่ทำใจร้ายใส่เหมือนอย่างที่ไอ้กวิ้นเจอก็เป็นได้
ม้าหมุนหมดรอบ ไอ้กวิ้นจึงพาเจ้าโอเลี้ยงไปที่ชิงช้าสวรรค์ ส่งเจ้าตัวดำฟันหลอถึงมือคุณแม่เสร็จสรรพ เห็นน้องกระเจี๊ยบของเจ้าโอเลี้ยงแล้วก็อยากจะถาม...ว่าน้องป่วยเป็นโรคอะไร ทำไมถึงได้อ้วนท้วนสมบูรณ์ จ้ำม่ำยิ่งกว่าเจ้าโอเลี้ยงที่ผอมกะหร่องเสียอีก แล้วก็ดูจะเป็นน้องสาวที่เอาแต่ใจ ชอบจิกหัวใช้พี่ชาย ราวกับถูกตามใจจนเคยตัว
“พี่โอไปเล่นม้าหมุนไม่รอหนู! หนูจะฟ้องคุณพ่อ!”
“พี่ขอโทษนะคะ”
“กลับบ้านพี่โอต้องเป็นม้าหมุนให้หนูด้วย!”
“ได้จ้ะ”
ไอ้กวิ้นราวกับเห็นภาพซ้อนพี่ชายของไอ้เหมอกับไอ้เหมอจนอยากจะตบหัวน้องกระเจี๊ยบไปสักทีสองที ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจคุณแม่ของน้อง
“ขอบคุณมากเลยนะคะที่พาเจ้าโอมาส่งให้ โอ ขอบคุณพี่เขาสิคะลูก”
“ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไร พี่ไปก่อนนะ”
ไอ้กวิ้นผละจากสามแม่ลูกก็มาเจอไอ้เหมอเข้า
“เจอตัวจนได้ไอ้ห่ากวิ้น” ไอ้เหมอตบหัวไอ้เพื่อนรักของมันไปหนึ่งที ไอ้กวิ้นจึงทำหน้ายุ่งใส่ “จะไปไหนทำไมไม่บอก ปล่อยให้ตามหา”
“กูบอกมึงแล้ว แต่มึงคุยกับไอ้นะ ก็เลยไม่ได้ยินเสียงกู” ไอ้กวิ้นบอก แสร้งทำหน้าหงอยเพื่อให้ไอ้เหมอรู้สึกผิด ความจริงไอ้กวิ้นมันยังไม่ทันได้อ้าปากบอกด้วยซ้ำ สองเพื่อนซี้ของมันก็หายไปจากสายตาแล้ว
“เป็นอะไรของมึงวะ อ่อนไหวง่ายจริงวันนี้” ไอ้เหมอมองอย่างคาดคั้น
“มีอะไรก็พูดได้ไอ้กวิ้น” ชนะพูดขึ้นอีกคน เห็นเพื่อนซี้เป็นแบบนี้ก็ชักใจคอไม่ดี
“เปล่าเว้ย กูไม่ได้เป็นอะไร กูแค่ไม่อยากไปเป็นก้างพวกมึง” ไอ้กวิ้นบอกตามจริง เพราะรู้ว่ากว่าไอ้เหมอกับไอ้นะจะได้เจอกัน พวกมันต้องอดทนรอมานานแค่ไหน เจอกันทั้งทีก็อยากให้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานๆ
“มึงก็อยู่เป็นก้างพวกกูมาตั้งนานแล้ว คิดมากทำไมวะ” ไอ้เหมอล็อคคอไอ้กวิ้นไว้ “เอางี้ มึงอยากกินไร เดี๋ยวกูไปซื้อมาให้”
ไอ้กวิ้นถอนหายใจ มันก็ไม่ได้อยากให้ไอ้เหมอคิดมาก จึงตอบไปว่า “สายไหมโบราณ บอกเขาว่าเอาสีชมพูนะ”
“เออๆ งั้นเดี๋ยวกูมา เอาน้ำแดงด้วยไหม กูรู้มึงชอบ”
“อือ”
“นะ ขอตังค์หน่อย” ประโยคนี้ไอ้เหมอพูดเป็นครั้งที่ร้อยแล้วก็ว่าได้ จนไอ้นะต้องยกกระเป๋าตังค์ให้มันทั้งหมด
“เหมออย่าลืมซื้อขนมเบื้องไปให้คุณหญิงแม่ด้วย”
“เดี๋ยวขากลับค่อยซื้อ นะเอาไรป้ะ”
“ผมอยากกินเกี๊ยวทอด”
“โอเค รออยู่ตรงนี้นะ อย่าไปไหนกันล่ะ”
ไอ้เหมอเดินหายลับไปกับฝูงชนแล้ว ชนะจึงมองไอ้กวิ้นด้วยสายตาจริงจัง
“เจอพวกพี่หมัยป่ะ”
“ไม่” ไอ้กวิ้นตอบเสียงแข็ง ทั้งๆ ที่มันเพิ่งเห็นภาพสวีตหวานมาหยกๆ
“มึงชอบเหมอเหรอ” ไม่รู้ไอ้หล่อมันใช้อะไรคิดถึงได้ถามคำถามนี้กับไอ้กวิ้น
“ห้ะ? กูนี่นะ?” สีหน้าไอ้กวิ้นบ่งบอกว่ามันรับไม่ได้กับคำพูดของเพื่อนรูปหล่อ แต่เมื่ออีกคำถามที่ถูกถามขึ้นมา...ไอ้กวิ้นกลับหน้าถอดสี น้ำท่วมปาก
“งั้นชอบพี่หมัยสินะ”
“มึง...”
“กูเดาถูกเหรอ”
ไอ้กวิ้นไม่ตอบ หน้ามันซีดลงเรื่อยๆ ริมฝีปากก็เม้มแน่น
“ชอบเขาไม่บอกเขาล่ะ”
ชนะเพิ่งเคยเห็นไอ้กวิ้นทำสีหน้าเจ็บปวด ดวงตาของมันแดงก่ำรื้นไปด้วยน้ำราวกับกำลังจะร้องไห้ออกมา
“บอกแล้ว...กูบอกตั้งนานแล้ว แล้วเขาก็ปฏิเสธกูมาแล้วด้วย” ไอ้กวิ้นคงไม่เล่า...ว่าที่ผ่านมาระหว่างมันกับพี่ชายไอ้เหมอ...มีเรื่องอะไรบ้าง ให้ไอ้นะมันเข้าใจไปว่า...ไอ้กวิ้นมันแอบรักข้างเดียวก็พอ ไอ้หล่อมันจะได้ไม่อคติกับพี่เขยของมัน
“เหมอรู้ไหม”
ไอ้กวิ้นส่ายหน้า “กูไม่เคยบอกใครเรื่องนี้”
“เหมอคงเสียใจที่มึงไม่ไว้ใจ”
“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจหรอก แต่กูก็ไม่รู้จะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา” ไอ้กวิ้นบอกเสียงแผ่ว “เขาปฏิเสธกู เขาบอกว่าเขายังไม่อยากมีใคร แต่มึงรู้ไหม...เขาคุยกับพี่สมายด์ตลอดสองสามปีมานี้ หัวใจของเขากันที่ไว้ให้คนอื่นแล้ว เขาถึงปฏิเสธกู ไม่ใช่ว่าไม่อยากคบใครหรอก แต่เขาไม่อยากคบกูต่างหาก แล้วไม่บอกกันตามตรง ถ้ารู้ว่าเขาจะพาพี่สมายด์มาวันนี้ กูไม่มากับพวกมึงด้วยหรอก”
ไอ้กวิ้นสารภาพความรู้สึกทั้งหมดของมัน รักที่ไม่สมหวังของมันถูกแถลงไขให้เพื่อนรูปหล่อฟังเป็นคนแรก และคงจะเป็นคนสุดท้าย แม้มันจะเลือกเก็บความจริงบางส่วนไว้ก็ตามที
“มึงอย่าบอกไอ้เหมอนะ กูไม่อยากให้มันไม่สบายใจ”
“ถ้าเหมอรู้ กูว่าเหมอคงโกรธมึง” ชนะบอกอย่างที่รู้นิสัยของคนรักดี และคิดว่าไอ้กวิ้นก็คงรู้ดีไม่ต่างกัน “ไม่ใช่โกรธที่มึงชอบพี่ชายเหมอ แต่คงโกรธที่มึงไม่ยอมบอกแล้วทุกข์ใจอยู่คนเดียว”
“...”
“สำหรับกูนะเว้ยกวิ้น เพื่อนน่ะ...ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ถึงกูจะเพิ่งเข้าใจว่าคนรักก็ทำได้ แต่ยังไงเพื่อนก็ยังสำคัญมากอยู่ดี มันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีวันตัดกันขาด”
“กูรู้ แต่คงมีสักวันแหละที่กูจะมีโอกาสได้บอกมัน” ไอ้กวิ้นถอนหายใจ “สงสัยอาจจะเป็นวันแต่งงานของพี่มันก็ได้มั้ง”
ชนะตบไหล่ไอ้กวิ้นสองสามทีเพื่อให้กำลังใจ เพราะไม่มีคำพูดดีๆ ปลอบใจมันได้เลย เรื่องของความรัก เรื่องของหัวใจไม่ว่าใครก็บังคับไม่ได้
ไม่นานพี่ชายของไอ้เหมอก็ตามมาสมทบ และการเที่ยวงานวัดก็มาถึงเวลาต้องกลับ ซึ่งเป็นตามคาดที่ไอ้เหมอมันยัดเยียดให้เพื่อนซี้มันติดรถไปกับพี่ชายโดยที่ไม่ได้ถามความสมัครใจของไอ้กวิ้นเลยสักนิด
ตอนมาเงียบอย่างไร ตอนกลับไอ้กวิ้นก็เป็นเช่นนั้น แต่มาซวยตรงที่พี่ชายไอ้เหมอดันส่งแฟนคนสวยกลับเสียก่อนถึงค่อยมาส่งไอ้กวิ้น
“เอาไป” ตุ๊กตานกเพนกวิ้นถูกยัดใส่มือโดยนายทหารหน้าเข้มตาดุ
“ไม่เอา” ไอ้กวิ้นส่งคืนแต่สมัยก็ยัดเยียดมันกลับมาให้อยู่ดี มันจึงหน้าตูมอย่างไม่พอใจ “ให้ทำไมล่ะ”
“เพื่อนมึง”
“กวิ้นเป็นคน”
“มึงเป็นนก”
“ไอ้พี่หมัย”
“เรียกกูดีๆ กวิ้นกวิ้น”
“ให้พี่สมายด์เรียกสิ อยากฟังคำดีๆ หวานๆ เพราะๆ ก็ให้แฟนเรียก”
ไอ้กวิ้นบอกเสียงแข็ง เบือนหน้าหนีจากสายตานายทหารหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายของเพื่อนสนิท
ไม่เรียกไอ้เหี้ยก็บุญหัวแล้ว ยังจะเรื่องมากอีก“ยังไม่ใช่แฟน”
“อีกไม่นานก็เป็น” ก็บอกจะคบ...แล้วมาพูดกลับไปกลับมาทำไม ผู้ชายคนนี้ทำให้ไอ้กวิ้นนึกเพลียใจแทนผู้หญิงที่จะคบด้วยจริงๆ
“อืม...คงงั้น”
ไอ้กวิ้นนั่งเงียบไปตลอดทาง จนถึงหน้าบ้านมันก็แค่บอกขอบคุณแล้วลงจากรถไป ไม่ลืมที่จะวางตุ๊กตานกเพนกวิ้นไว้บนเบาะข้างคนขับ จนสมัยต้องลงจากรถ ตามเอาตุ๊กตาไปยัดใส่อ้อมแขนมัน
“ผู้ใหญ่ให้ของก็รับไว้”
“กวิ้นไม่อยากได้”
สมัยมองเพื่อนน้องชายด้วยสายตาดุจัด เห็นความดื้อดึงของมันแล้วจากนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ “รับไว้หน่อย กูอุตส่าห์ไปยิงมาให้”
“ไม่ได้ขอ”
“กวิ้น”
“ไม่ได้ขอ ไม่อยากได้ ไม่เอา กวิ้นไม่อยากได้ของอะไรจากพี่หมัยแล้ว! พอแล้ว ไม่ต้องเอาอะไรมาให้อีก!”
“มึงเป็นบ้าอะไร”
“ไม่ได้เป็นบ้า พี่หมัยนั่นแหละเป็นบ้า คนไม่อยากได้ก็ยังจะบังคับ”
มาไม้นี้อีกแล้ว...มึนใส่อีกแล้ว...ทำลืมเรื่องที่ใจร้ายใส่ไอ้กวิ้นได้ทุกครั้ง ผู้ชายหรือปลาทองกันแน่วะ!
“เออ ไม่อยากได้ก็เอามา” สมัยหมดความอดทน แต่พอจะดึงตุ๊กตาคืนไอ้กวิ้นมันก็กอดไว้แน่น “ตกลงมึงกวนตีนกูใช่ไหม”
“เปล่า พี่หมัยเอาไปดิ”
ปากก็บอกให้เอาไป แต่มันกอดตุ๊กตาไม่ยอมปล่อย สมัยจึงถอนหายใจแล้วหันหลังจะเดินกลับไปขึ้นรถ แต่ชายเสื้อเชิ้ตก็ถูกดึงรั้งไว้
“พี่หมัย”
“อะไร”
“กวิ้นยังชอบพี่อยู่นะ” คงเป็นการบอกชอบครั้งสุดท้าย... ก่อนที่มันจะเริ่มเกลียดขึ้นมาจริงๆ ทุกครั้งที่ทำร้ายกัน...แต่ก็ยังกลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับอยากทำให้เกลียด...มากกว่าจะทำให้รัก ราวกับให้ความหวังแต่ความจริงคือตัดความหวัง
สมัยนิ่งเงียบ หันกลับมาเผชิญหน้ากับเพื่อนสนิทน้องชาย ยกมือลูบหัวไอ้เด็กตัวสูงเก้งก้าง “ตัดใจจากกูเถอะ กูคิดกับมึงแค่น้องชาย ต่อให้มึงจะบอกกูอีกกี่ครั้ง คำตอบของกูก็ยังเหมือนเดิม”
“อืม” ไอ้กวิ้นพยักหน้ารับ ดวงตามันแดงก่ำก่อนน้ำตาจะเริ่มไหลอาบแก้ม แขนมันกอดรัดตุ๊กตาไว้แน่น “กวิ้นเข้าใจแล้ว”
เข้าใจแล้วว่า...ให้รักแค่ไหน... ก็ไปไม่ได้ไกลกว่านี้ เข้าใจแล้วว่า...ควรพอจริงๆ เสียที
“มึงขี้แยกว่าน้องเหมอซะอีก” สมัยเช็ดน้ำตาให้เพื่อนน้องชายอย่างที่ชอบทำให้กับน้องน้อยของเขา ในสายตาของสมัย เพนกวิ้นยังคงเหมือนเด็กมัธยมต้นที่น้องเหมอของเขาพามาให้รู้จัก ร่างกายมันโตขึ้นมาก แต่ความคิดความรู้สึกไม่ได้โตตาม เพนกวิ้นเหมือนน้องชายของเขาอีกคน เคยพยายามคิดเป็นอื่นตั้งแต่ที่ถูกเด็กนี่สารภาพรักเมื่อสองปีก่อน แต่ก็คิดไม่ได้เกินกว่าน้องชายเลยจริงๆ
คิดไม่ได้...ยังไงก็ไม่สมควรจะคิด“ไม่ใช่ซะหน่อย” ไอ้กวิ้นเถียง มันยอมให้สมัยเช็ดน้ำตาให้อย่างไม่ขัดขืน เพราะในใจลึกๆ โหยหาสัมผัสของคนตรงหน้ามาตลอด “พี่หมัย...พี่จะแต่งงานกับพี่สมายด์รึเปล่า”
“ไม่รู้”
“อื้ม”
“มึงเข้าบ้านได้แล้วไป”
“อือ”
“จิ๊กซอว์จะให้เอามาให้หรือไปเอาเอง”
“กวิ้นไปเอาเองก็ได้ แต่นี่กล่องสุดท้ายแล้ว พี่หมัยไม่ต้องซื้อให้อีกหรอก ไอ้เหมอไม่ต้องจ่ายค่าจ้างอะไรแล้วล่ะ แฟนมันดูแลตัวเองได้”
“อืม แต่ถ้าอยากได้ก็ไลน์มาบอกกูแล้วกัน”
ไอ้กวิ้นพยักหน้า หันหลังเปิดประตูรั้วเข้าบ้าน ส่วนสมัยก็แยกตัวไปขึ้นรถแล้วขับกลับบ้านตัวเอง
รันอาจจะสมหวังกับคุโด้ ชินอิจิที่เป็นรักแรก แต่ไอ้กวิ้นคงไม่เหมือนอย่างโมริ รัน เพราะคุโด้ ชินอิจิของมัน...เขามีโมริ รันตัวจริงของเขาอยู่แล้ว อย่างไอ้กวิ้นคงเป็นได้แค่อายูมิที่แอบรักโคนันก็เท่านั้นแต่การแอบรัก...มันก็ต้องมีลิมิต รักของไอ้กวิ้นตอนนี้...ถึงขีดสุดของความเจ็บปวดแล้ว... และตอนนี้มันคิดได้แค่เพียงว่า... อยากหลุดพ้น...จากวังวนนี้เสียที
ไม่เอาอีกแล้ว...กับความหวังจอมปลอม กับการหลอกลวงซ้ำๆ ซากๆ และสุดท้ายก็ทิ้งให้มันต้องเจ็บแต่เพียงลำพังกวิ้นกวิ้น: พอแล้วจริงๆ นะพี่หมัย เหนื่อยแล้วจริงๆ ว่ะพี่ โชคดีก็แล้วกัน แล้วก็...อย่าไปทำอย่างนี้กับใครอีกนะ มันบาป แต่ไม่ต้องบวชเพื่อไถ่บาปให้กวิ้นหรอก คิดว่าจากนี้...คงมีคนที่ดีกว่าพี่... คนที่อยากเลี้ยงนกจริงๆ มาแทนที่พี่ได้ ไม่ต้องห่วงนะ ยังสบายดี ไม่ตาย ยังกินข้าวได้ครบสามมื้อ สุดท้าย ก็ขอให้โชคดีกับสิ่งที่เลือก แต่คนเรา...โกหกได้ไม่นานหรอกพี่ ยิ่งโกหกใจตัวเอง ยิ่งทำได้ยาก ถึงวันที่พี่อยากพูดความจริงแล้ว... อาจจะไม่มีใครอยู่รอฟัง หนึ่งในนั้นก็คงเป็นกวิ้น ลาขาดนะสมัย ไอ้ผู้ชายเฮงซวย
...................................................TBC..................................................
นกเพนกวิ้น...อยากบินก็บินได้