ยกที่37 คนละครึ่ง ตารางเที่ยวแบบทั้งวันตกลงกันเรียบร้อยก็ประมาณห้าโมง วากับเล่เลยขอตัวกลับเพื่อจะไปกินข้าวเย็นที่บ้าน ส่วนผมกับซันจะให้ออกไปไหนตอนนี้ก็ขี้เกียจ เลยตัดสินใจใช้ของสดที่มีในตู้เย็นช่วยกันทำอาหารรอพ่อแม่กลับบ้าน
แม่กลับมาถึงช่วงเย็น พ่อมาถึงตอนหัวค่ำ เราก็เริ่มกินข้าวกันระหว่างนั้นก็อัพเดตข่าวสารประจำวันของแต่ละคนไปด้วย เป็นบรรยากาศที่ผมเสียมันไปหลายปี และเพิ่งได้มันกลับมาก่อนผมไปเรียนกรุงเทพได้ไม่กี่เดือน ยิ่งตอนนี้มีซัน พ่อแม่เข้าใจ ถึงจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ทำให้ผมสุขจนแทบไม่หวังอะไรเพิ่มแล้ว
“มะรืนลูกจะไปเที่ยวกันเหรอ” แม่ถามขณะตักแกงให้พ่อ ซันเป็นฝ่ายตอบรับ เพราะผมยังเคี้ยวข้าวเต็มปาก
“ครับ วางแผนไว้ว่าจะขึ้นดอยแล้วแวะเที่ยวตามรายทางปิดท้ายที่ถนนคนเดินท่าแพ”
พ่อพยักหน้า “เข้าใจคิดดีนี่ ถึงจะไม่ทั่วแต่ก็ได้จุดสำคัญในวันเดียว”
“ถ้างั้นพรุ่งนี้พวกลูกไปเที่ยวกันเถอะ ร้านแม่ไปเมื่อไหร่ก็ได้ อีกอย่าง ถนนคนเดินท่าแพมันเปิดแค่วันอาทิตย์นะ”
แม่ว่างั้น พวกเรามองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษา เอาตรงๆ ผมก็แอบเบื่อแหละ เกิดและโตมากับการทอผ้า ให้ไปเดินดูเที่ยวเล่นก็ไม่อยาก อยากไปพวกที่นานๆ ทีจะได้ไปมากกว่า แต่ถ้าให้ช่วยงานผมโอเคนะ จุดประสงค์มันต่างกัน ซันเองก็คงอยากเปิดหูเปิดตาด้วย พวกเราเลยรับความหวังดีจากแม่
หลังกินข้าวล้างจานเสร็จ ซันก็โทรไปหาวาเพื่อเปลี่ยนวันเที่ยว วาไม่ค่อยเท่าไหร่ คนที่ดีใจคงเป็นเล่ เห็นว่ากำลังเตรียมชุดสวยๆ ล่วงหน้าอยู่พอดี ได้ยินเสียงแจ้วๆ ให้วาช่วยเลือกชุดดังลอดมาตามสาย สุดท้ายก็คุยไม่รู้เรื่องเพราะวามัวแต่หันไปด่า ติชุดที่เล่เลือก โป๊บ้าง บางเกินไปบ้างและอีกสารพัด จนซันมันตัดสายทิ้งมาทำหน้าที่นวดให้ผมก่อนนอน นับว่ารู้งานดี
ด้วยความที่พรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด หลังนวดเสร็จพวกเราก็ปิดไฟนอนทำตัวเป็นเด็กอนามัยสักวัน แน่นอนว่าคนที่ตื่นก่อนเป็นซัน หลังมันลุกอาบน้ำล้างหน้าแล้วก็ใช้เท้าเขี่ยปลุกผมที่นอนอืดแผ่เต็มเตียง ด้วยเกรงว่าหากผมยังลีลาไม่ยอมลุกอาจจะโดนพระบาทถีบร่วงลงจากเตียงได้ เลยจำใจลาจากหมอนและผ้าห่ม เดินสะโหลสะเหลไปจัดการตัวเองมานั่งอ้าปากหาววอดๆ เปิดบ้านรอเพื่อนอีกสองคนมารับ
เวลาตีสี่และแล้วพวกวาก็มาถึง เสียงล้อรถบดถนนในยามราตรีเงียบสงบชวนให้บาดหูพิกล จนผมเผลอขยับเข้าหาซันไม่รู้ตัว ถ้าคนที่เคยตื่นเช้าๆ แบบชาวบ้านชาวเมืองเขานอนหมด ตัวเองแหกขี้ตามาทำบ้าอะไรก็ไม่รู้ บรรยากาศมันโคตรวังเวงเลยนะคุณ แค่คุยกันยังไม่กล้าพูดเสียงดัง ต้องลดเสียงเหมือนแมงหวี่เพราะกลัวจะรบกวนคนอื่น
คนที่เปิดประตูฝั่งคนขับลงมาไม่ใช่วาอย่างที่คิด แต่เป็นเล่ในชุดเสื้อฮู้ดกันหนาวสีดำที่ดูใหญ่กว่าขนาดตัว ท่อนล่างเป็นกางเกงสเตขายาวสีดำ ส่วนรองเท้าเป็นผ้าใบสีขาวชมพู
“ง่อยอย่างมึงยังขับรถเป็นอยู่เหรอ” ชุดไม่เท่าไหร่ คิดว่าน่าจะเอาเสื้อวามาใส่ทับ
เล่แลบลิ้นใส่ “เค้าไม่ได้เป็นง่อยสักหน่อย ไปกันรีบขึ้นรถเร็ว เดี๋ยวจะไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้นนะ” เจ้าตัวกวักมือเร่งยิกๆ ผมยังข้องใจไม่หาย แต่มือจัดการล็อคประตูกระจกก่อนตามซันขึ้นรถไป เห็นวานอนเอาเสื้อกันหนาวสีหวานปิดหน้าหลับไม่รู้เรื่อง ชัดเจนแล้วว่าทำไมเล่เป็นคนขับ
“มึงขับไหวแน่นะ ต้องขึ้นเขาอีก ให้พวกกูขับแทนมั้ย” ผมถามด้วยความหวังดี ยังไม่อยากตกถนนเป็นผีเฝ้าป่า
“ไหวสิ เดี๋ยวนี้เขาทำถนนดีแล้ว ค่อยๆ ขับไปสบายมาก” ตอบพลางเลี้ยวรถออกอย่างคล่องแคล่ว แม้จะเป็นรถกระบะก็ตาม ก็สมกับเป็นเล่ล่ะนะ ถึงภายนอกจะเหมือนผู้หญิง แต่ภายในยังไงก็ผู้ชาย อะไรก็ทำเป็นหมด ที่ผ่านมาติดจะขี้เกียจเท่านั้นเอง เลยชอบอ้อนคนนู้นคนนี้ให้ตามใจ ป๋าเล่นี่ขาประจำ วาน่าจะเป็นเหยื่อรายต่อไป ทุกคนอย่าโดนภาพลวงตาภายนอกหลอกเชียว
“มั่นใจได้เลยว่าวามันไม่ยอมให้ขับขึ้นเขาหรอก เดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนคนอยู่ดี” ซันที่เงียบมานานจนผมนึกว่ามันหลับใน ตอบแทรกขึ้นมาแล้วกอดอกพิงไหล่ผมหลับเฉย เดี๋ยวสิคุณแฟน ปกติมันต้องดูแลฝ่ายรับไม่ใช่เหรอวะ ไอ้สองตัวนี้มันยังไง แต่เอาเถอะ ถือว่าผมอยู่คุยเป็นเพื่อนเล่แล้วกัน
พอเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ก่อนทางขึ้นดอยสุเทพเริ่มมีร้านค้ามาเปิดขาย เล่แวะจอดซื้อน้ำเต้าหู้ปาทั่งโก๋กับไข่ต้มมาหอบใหญ่ กะไปกินมื้อเช้ากันบนดอย สงสัยกลิ่นหอมน่ากิน เจ้าพวกนี้ถึงลุกทันทีที่ถือถุงขึ้นรถ แล้วเปลี่ยนมือคนขับไปด้วย งานนี้วารับหน้าที่แทนเพราะชินรถกระบะมากกว่าซัน
ระหว่างทางเห็นรถบ้างประปรายคาดว่าจะมีเป้าหมายเดียวกันคือดูพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า พวกเราเลยตัดสินใจแวะพักที่จุดชมวิวก่อนถึงวัดพระธาตุจะได้ไม่ต้องไปแย่งกับคนอื่นข้างบน แถมไม่รู้ว่าเอาอาหารขึ้นไปได้รึเปล่า ด้วยความที่พวกเรามาเร็ว เลยมีทำเลดีๆ ให้เลือกนั่งรอเวลา เพราะตอนมาถึงผมเห็นคนไม่กี่คนอยู่ในศาลา ฟ้ายังมืดสนิท ที่สำคัญหมอกลงจนแทบไม่เห็นเมืองตอนกลางคืน นับว่าน่าเสียดายอยู่บ้าง ก็ได้แต่หวังว่าเมฆจะไม่เยอะจนไม่เห็นพระอาทิตย์นะ
เราสี่คนมีแค่เล่ที่ใส่เสื้อกันหนาว นอกนั้นท้าอากาศเย็นใช้หลอดเจาะดูดน้ำเต้าหู้เพิ่มความอบอุ่นไปพลางๆ พอกินปาท่องโก๋หมดก็ตามด้วยไข่ต้ม นั่งแกะ กัดตูดถุงน้ำปลาเหยาะไข่กิน ไม่รู้ว่าเค็มน้ำปลาหรือขี้มือแต่รวมๆ แล้วอร่อยดี
“ได้ซื้อน้ำมาป่ะ” ซันถามหลังซัดไข่หมดไปสามฟอง ผมกับเล่มองหน้ากันแล้วส่ายหัว พร้อมใจกันชี้ไปยังรถขายน้ำที่เพิ่งมาถึงสดๆ ร้อนๆ หนุ่มเถื่อนถอนหายใจแบบกูว่าแล้ว ผงกหัวให้วาไปช่วยกันถือ เนื่องจากผมยังมีไข่เต็มปาก อีกครึ่งลูกถือคามือ เล่เองก็เพิ่งงับฟองใหม่พอดี คนที่กินไวจนคอแห้งเลยต้องเสียสละไป
ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือจงใจ แต่ถือเป็นโอกาสดีที่ผมกับเล่จะคุยกันตามประสาเพื่อนสนิท
“เรื่องที่บ้านเป็นไงบ้าง” เล่ถามอย่างเป็นห่วง ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แบบไม่ปิดบัง กับเล่ที่รู้เรื่องราวบ้านผมดีไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งให้เสียเวลา
ผมตอบเสียงเนือย “ดีและไม่ดี พ่อแม่เหมือนจะโอเคแต่ไม่สุด ปู่ก็เดาใจไม่ถูก ที่ทำให้โล่งใจก็มีแต่ย่ากับป้าสายใจนั่นแหละ” ส่วนป้ามหาภัยผมไม่กล่าวถึง คนๆ นั้นต่อให้ผมเพอร์เฟคแค่ไหนเขาก็ยังหาข้อติได้อยู่ดี คนมันอิจฉา อคติ เปลืองเวลาที่จะสนใจ แค่ต่างคนต่างอยู่อย่ามาระรานกันก็พอ
“คิดในแง่ดีไว้ ทุกคนไม่ต่อต้านแบบสุดลิ่มทิ่มประตูก็ดีแล้ว อนาคตยังมีโอกาสพัฒนาไปในด้านดี อีกอย่าง แฟนแบบซันหายากมากนะ คนที่ยอมรับปัญหาของเราได้โดยไม่ทิ้งกันไปก่อน นี่แหละคือสมบัติล้ำค่า”
ผมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้ง “มันก็จริง...แล้วมึงกับวาล่ะเป็นยังไงบ้าง ดูเผินๆ พวกมึงรักกันดี แต่กูรู้สึกเหมือนมีอะไรติดๆ ยังไงชอบกล” ไม่ได้อยากจะเทียบกับตัวเองหรอกนะ เพราะแต่ละคู่ไม่เหมือนกัน อย่างผมกับซันต่อให้ไม่พูดก็พอรู้กันดีกว่าต่างคนต่างทุ่มให้อีกฝ่ายแค่ไหน ส่วนของวากับเล่ มันเหมือนมีกำแพงกั้นทำให้ไปไม่สุด
คราวนี้เป็นเล่ถอนหายใจแทน “ก็ไม่แปลกที่โป้จะคิดแบบนั้น เพราะฉันกับวายังไม่ได้คบกันเลยน่ะสิ” สิ้นคำก็เบ้ปาก ท่าทางเซ็งๆ
“ทั้งที่พวกมึงมีอะไรกันไปแล้วแถมตามดูแลกันขนาดนี้เนี่ยนะ” ต่อให้เล่ไม่เล่าให้ฟังผมก็มองออกว่าคู่ไหนเสร็จกันไปแล้ว อธิบายไม่ถูกว่าสังเกตยังไง มันเป็นเรื่องของความรู้สึก เห็นปุ๊บแล้วรู้เอง
“วาเป็นเสือผู้หญิง ไม่เคยนอนกับผู้ชาย คงต้องให้เวลาเจ้าตัวหน่อย”
“อย่าหาว่าใจร้ายเลยนะ ไม่คิดว่ามันจะให้ความหวังเฉยๆ รึไง” ผมขมวดคิ้ว จากทีแรกโอเคตอนนี้เริ่มไม่โอเคกับวาแล้ว
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่ลางสังหรณ์ฉันบอกว่า วาแค่ต้องการเวลาเท่านั้น แต่ละคนมีปัญหาไม่เหมือนกัน แถมเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่สำคัญ วาเองก็เลิกเจ้าชู้ ไม่เคยชายตาแลผู้หญิงคนไหนเลย ตามดูแลคอยเป็นห่วงทุกอย่าง ฉันเลยว่าจะลองเสี่ยงดูสักตั้ง” สองมือถือไข่ต้มกับถุงน้ำปลาชูโคตรจะไม่เข้ากับบรรยากาศ ผมส่ายหัวยื่นมือไปโยกหัวใต้ฮู้ดเบาๆ
“มึงสายตาดีกว่ากูอยู่แล้ว จะเอาใจช่วยแล้วกัน ถ้ามีปัญหาอะไรบอกได้เสมอ ไม่ต้องกลัวซันมันเข้าข้างเพื่อนด้วย มันเคยบอกกูเองว่า ถ้าวาผิดจริงมันจะเป็นฝ่ายซัดให้แทนเอง” ซันพูดคำไหนคำนั้น ที่ผ่านมาผมยังไม่เคยเห็นเจ้าตัวผิดคำพูดเลยสักครั้ง คิดว่าเรื่องนี้ก็เหมือนกัน
“ขอบคุณนะโป้...แต่มือยังไม่ล้างมาจับฮู้ดแบบนี้ เค้าเป็นคนซักนะ” เล่พองลมเข้าแก้มงอแง ผมขยี้ทิ้งท้ายคอยดึงมือกลับ ชมผลงานอย่างพึงพอใจ ถือเป็นการเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ แม้เล่จะซวยไปอีกคนก็ตาม
พอคุยเสร็จ สองคนนั้นก็กลับมาเหมือนนกรู้ คิดว่าคงปลีกตัวไปคุยตามประสาเพื่อนเหมือนกันนั่นแหละ ผมเชื่อว่าเดี๋ยวซันมันก็เล่าให้ฟังเลยไม่ซักไซ้ถาม ซันเองก็เหมือนกัน ส่งน้ำเปล่าให้ผมล้างมือค่อยยื่นแก้วกาแฟเย็นมาให้ ของเล่เป็นชาเย็น วากับซันกระดกน้ำเปล่า เพราะลองชิมของพวกผมแล้วไม่ถูกปากเลยไม่คิดจะซื้อ เจ้าพวกลิ้นสูง นิสัยเสียเอาพวกผมเป็นหนูทดลอง
ล้างไม้ล้างมือกันเสร็จ ก็มานั่งเรียงรอดูพระอาทิตย์ขึ้น เวลาฟ้ามืดจะรู้สึกว่ามันช้าเหลือเกิน แต่พอแสงอาทิตย์เริ่มโผล่มากลับไวราวกับโดนเร่งความเร็วคูณสาม เปิดตัวด้วยแสงสีส้มตรงเส้นขอบฟ้า หมอกค่อยๆ สลายไปทีละน้อย เผยให้เห็นตัวเมืองเชียงใหม่ที่คุ้นเคยในมุมไม่คุ้นตา มันเป็นความสวยที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ของแบบนี้ต้องเห็นกับตาจึงจะรู้สึกเหมือนร่างกายถูกเติมเต็ม เข้ากับอากาศสดชื่นปลอดโปร่งไร้มลพิษ
พวกเราไม่มีใครยกมือถือหรือเตรียมกล้องมาถ่ายรูปสักคน เพราะต่อให้กล้องดีแค่ไหนก็ไม่เท่าของจริง มันได้อารมณ์กว่าเยอะ
“คราวหน้าชวนพวกนั้นมาด้วยดีกว่า” ผมพูดขึ้นมาลอยๆ อีกสามคนส่งเสียงรับโดยไม่พูดอะไร ถ้ามากันครบทีมมันต้องสนุกมากแน่ๆ ต่อให้ไม่มาที่เชียงใหม่ ไปเที่ยวที่อื่นก็ไม่เลว
หลังดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติเสร็จ ก็จัดการกับกลไกธรรมชาติของร่างกายตัวเองต่อ ก่อนหน้านี้คือกินซะเต็มคราบ ซดน้ำเป็นว่าเล่น ตอนนี้เริ่มออกอาการกันทั่วหน้า ตัดสินใจช่างพระอาทิตย์มันแล้วขึ้นรถขับไปวัดพระธาตุดอยสุเทพเพื่อเข้าห้องน้ำแล้วจะได้เที่ยวต่อเลย
ต้องไม่ลืมไหว้พระเพิ่มความศิริมงคลให้ชีวิต เผื่ออนาคตในภายภาคหน้าจะได้เจอมารน้อยลงแล้วค่อยเดินชมความงามของพระเจดีย์สีทองอร่ามกับศิลปะแบบไทยที่อยู่โดยรอบ แม้จะเป็นเวลาเช้าแต่ก็มีคนพอสมควร พอถ่ายรูปจนหนำใจก็ไปต่อที่อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย
อิ่มบุญกันแล้วตามด้วยอิ่มท้อง พวกผมไม่ซีเรียสเรื่องร้านอาหาร เจอร้านไหนน่ากินก็เข้าร้านนั้นแล้วพาเล่กับซันไปปล่อยที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ความจริงคือเล่อยากไปเดินสวนกุหลาบเวียงพิงค์ ต่อให้ไม่ใช่ช่วงฤดูหนาวที่ดอกไม้ออกเยอะ แต่ก็สวยดี สารพัดสีสันระรานตา
ผมกับซันถือโอกาสนั่งพักปล่อยให้เล่ไปเดินประดุจเจ้าหญิง โดยมีวาตามไปเป็นราชองครักษ์(ตากล้อง)ให้ เห็นซันบอกว่าวาดูผอมลงแต่แข็งแรงขึ้นโดยเฉพาะขา เล่เป็นพวกอยู่ไม่สุข คงจะลากวาไปไหนมาไหนด้วยจนออกกำลังกายไปในตัว น่าเสียดายที่ช่วงนี้ไม่เหมาะกับการเล่นน้ำตก ไม่งั้นพวกเราคงได้แช่น้ำเย็นฉ่ำ
ออกมาจากสวนสัตว์พยาธิในกระเพาะเริ่มทำงานอีกรอบ ที่กินไปถูกเผาผลาญจนหมดเกลี้ยง เรากะปิดท้ายโปรแกรมด้วยการไปเดินที่ถนนคนเดินท่าแพเลยขับรถไปหาอะไรกินในเวียงเชียงใหม่ชั้นในซึ่งเป็นเขตตัวเมืองรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเขตเมืองเก่า พูดเหมือนจะดูดีนะ ผมแอบเปิดวิกิพีเดียเมื่อกี้ ฮ่าๆ อยากดูดีมีสาระบ้างอะไรบ้าง
เอาเป็นว่าตามนั้นแหละ ที่เที่ยวมันเยอะแต่เวลามีจำกัดเลยเลือกเฉพาะพวกทางผ่าน เติมพลังงานเสร็จก็ออกลุยต่อ โดยเริ่มจากหอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ คอมโบด้วยโบราณสถานที่วัดเจดีย์หลวงวรวิหารและศูนย์สถาปัตยกรรมล้านนารีเควสของผมเอง
พวกเราไม่ใช่สายทอดน่องค่อนข้างทำเวลาได้เร็ว เที่ยวครบหมดแล้วยังไม่ถึงเวลาเปิดของถนนคนเดิน จะให้เที่ยวต่อก็เริ่มหมดแรงตามสภาพ สุดท้ายเลยนั่งพักขาในร้านกาแฟแถวนั้น เปิดมือถือดูรูปที่ถ่ายมา ส่งไปเย้ยพวกไม่ได้เที่ยว ก่อนจะโดนสวนกลับจนหน้าหงาย ปอนด์ส่งรูปอาหารแบบฟูลออฟชั่นมีเฮียเฟย์ติดฉากมาครึ่งหนึ่ง ริวส่งรูปเซลฟี่ของตัวเองโดยมีฉากหลังเป็นบ้านสไตล์ญี่ปุ่น ที่เด็ดกว่านั้นคือรูปที่มิทส่งมา ไม่มาก ไม่มาย แค่รูปหาจากเน็ตพร้อมแคปชั่น
‘ไว้ไปถึงแล้วจะถ่ายรูปมาฝากนะ’
มหาวิหารเซนต์บาซิลสถานที่โคตรน่าเที่ยวของมอสโกประเทศรัสเซีย เพื่อนเรามีเป้าหมายจะไปไกลที่สุดเลยเว้ย ไลน์ถึงกับเด้งรัวเมื่อทุกคนพร้อมใจกันกดสติ๊กเกอร์สารพัดแบบในอารมณ์ตาร้อน คิดดูขนาดวากับซันยังเอากับเขาด้วย ระหว่างรุมด่ามิทกันเพลินๆ รู้สึกตัวอีกทีก็ได้เวลาไปสถานที่สุดท้าย
ถนนคนเดินท่าแพอุดมไปด้วยของขายและของกินมากมาย พวกเรากะฝากท้องไว้ที่นี่เลย ทั้งของคาวของหวาน ได้ของกินเต็มมือนั่นแหละถึงได้ฤกษ์มองของขายกับบรรยากาศคึกคักในยามเย็น มีคนมาเปิดหมวกแสดงความสามารถให้ดูกันเพลินๆ จังหวะที่ผมกำลังเดินผ่าน สายตาสะดุดเข้ากับใบหน้าด้านข้างของชายคนหนึ่ง กว่าจะรู้สึกตัวอีกที ผมก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของชายคนนี้ซะแล้ว...
ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนไปมา มีเพียงคนเดียวที่เข้ามาอยู่ในระยะประชิดจนคนถูกจ้องเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ พอได้เห็นอีกฝ่ายเต็มตาเสียงกีต้าร์ก็หยุดลง
“โป้…?”
“มึงดูเปลี่ยนไปนะ” ผมทัก ถือวิสาสะดึงเก้าอี้เล็กอีกตัวมานั่งข้างๆ มองด้านหน้าเพื่อนเก่าที่มีกระเป๋าใส่กีต้าร์วางอยู่พร้อมเหรียญกับแบงค์ยี่สิบอีกนิดหน่อย
“ส่วนมึงไม่เปลี่ยนไปเลย อ่า...อาจจะเปลี่ยนก็ได้ เพราะตอนนี้สีหน้ามึงดูมีความสุขไม่เหมือนเมื่อก่อน” มันโคลงหัวบุ้ยปากไปทางพวกซันที่มองซ้ายมองขวา คงกำลังหาผมอยู่แต่คนเยอะเกินไปเลยไม่เห็นผมนั่งเนียนอยู่ตรงนี้ “พวกนั้นกำลังตามหามึงอยู่มั้ง แฟนมึงเหรอ?” มันถามอย่างสงสัยแบบไม่มีอะไรแอบแฝงในน้ำเสียง ผมเลยตอบมันสบายๆ พลางส่งข้อความไปบอกซันว่าผมอยู่แถวนี้ คนเยอะ เสียงเอะอะ ตะโกนไปคงไม่ใช่เรื่อง
พอเห็นซันก้มมองมือถือกวาดตามองไม่กี่รอบก็เห็นผมและกำลังเดินมาทางนี้ ผมเลยให้ความสนใจกับการคุยต่อ
“ใช่ แล้วมึงล่ะ ไปไงมาไง ทำไมมานั่งเปิดหมวกเล่นกีต้าร์ได้” ถามแม่งตรงๆ นี่แหละ ขนาดมันเห็นผมเดินกับพวกซันจนเดาความสัมพันธ์ออก ตอนแรกมันยังทำเหมือนเพิ่งเห็น
“กูเปิดกระเป๋ากีต้าร์ต่างหาก” กวนแบบนี้สมแล้วล่ะที่เป็นเพื่อน ‘คนสนิท’ ของผม ก่อนมันพูดต่อแบบชิวๆ “ไม่มีอะไรมาก แค่หาตังส่งตัวเองเรียน หัวกูไม่เก่งอย่างใครเขา ชิงทุนไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีนี้” ที่เหลือคงไม่ต้องอธิบายมาก
ฐานะทางบ้านของเจ้านี่เรียกได้ว่าหาเช้ากินค่ำ ไม่มีเงินถุงเงินถังอะไรมากมาย ส่งพี่ชายเรียนก็เต็มที่แล้ว มันเป็นน้องเล็กอยากเรียนเลยต้องกระเสือกกระสนเอง ผมตบบ่ามันโดยไม่พูดอะไร มั่นใจเลยว่ามันไม่ได้เล่นกีต้าร์หาเงินอย่างเดียวชัวร์ คงจะทำอีกหลายงานมันถึงดูอิดโรยหน่อยๆ
ช่วงที่เรียนเชียงใหม่ รอบตัวผมส่วนใหญ่มีแต่แบบนี้ ผมเลยเข้าใจมิทได้เร็วกว่าคนอื่น หลายๆ อย่างมันช่วยไม่ได้จริงๆ ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป พอซันปลีกตัวจากวาเล่เดินมาถึง มันก็มองพวกเราสลับไปมาพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมรู้หน้าที่จึงจัดการแนะนำตัว
“ซันแฟนกู ส่วนไอ้นี่ชื่อพายุ มัน...” ยังไม่ทันจะพูดต่อมันแย่งตอบซะงั้น
“เป็นแฟนเก่าโป้ ยินดีที่ได้รู้จัก” พายุตอบท่าทางกวนๆ หุ่นมันก็พอๆ กับผมเนี่ยแหละ มึงอาจหาญไปมั้ย เท้าแฟนกูหนักนะเว้ย โปรดสังเกตหนังหน้ามันด้วย ไอ้เถื่อนเริ่มขมวดคิ้ว
“มึงนี่เอง” ซันแสยะยิ้มท่าทางเอาเรื่อง ทุกคนช่วยนึกย้อนกลับไปนะครับ ว่าที่ผ่านมาผมกับซันทะเลาะเรื่องอะไรกันบ้าง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเรื่องเกี่ยวกับอดีตของผมที่พายุเป็นต้นเหตุ บอกขนาดนี้ที่เหลือคงพอเดากันออก ผมรีบแก้ก่อนเรื่องจะบานปลาย มาเที่ยวไม่อยากมีเรื่อง
“ไม่ใช่แฟน แค่เกือบ มึงอย่าหาเรื่อง ซันมันไม่เหมือนมึง” ตวัดสายตามอง พายุยกสองมือเป็นเชิงยอมแพ้
“แค่แหย่เล่นอย่าเพิ่งซีเรียสไป เรื่องสมัยวัยรุ่นหัวเกรียนอย่าไปอะไรมาก ถึงกูจะเหี้ยจริงก็เถอะ” พูดจบก็หัวเราะ มันเป็นคนอารมณ์ดีนะ เสียแต่ปอดแหกไป(ไม่)หน่อย
เอาตรงๆ ตอบแบบลูกผู้ชาย ผมยังโกรธมันอยู่ ที่เข้ามาหาคิดจะมาเยาะเย้ย แต่พอเห็นสภาพมันเข้าก็พูดไม่ออก นึกทบทวนดีๆ ณ จุดๆ นั้นมีทางเลือกไม่มาก มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัวแต่กำเนิด กระทั่งผมเองก็เช่นกันถึงทำให้ซันเจ็บช้ำมาหลายครั้ง ดังนั้น มันจะเลือกทางรอดให้ตัวเองก็ไม่ผิดซะทีเดียว หรือต่อให้มันเลือกผม ก็ไม่แน่ว่าสถานการณ์จะดีขึ้น...บ๊ะ อยู่กับซันมากจนติดนิสัยมีเหตุผลมันมา แม่รู้ ย่ารู้คงน้ำตาไหล
“พวกกูจะต่อยกันอยู่แล้วมึงเหม่อเหี้ยไรวะ” ปากแบบนี้มีคนเดียว
“ช่างเถอะ ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ต่างคนต่างอยู่กูมีเรื่องปวดหัวเยอะแล้วไม่อยากเอามาเพิ่ม” วาจาพระเอกจริงกู
“เหลือเชื่อ มึงคิดได้ แต่ก่อนเจอหน้ากูพุ่งเข้ามาซัดตลอด กูชักเสียดายมึงแล้วสิ สนใจถ่านไฟเก่าหน่อยไหม” มันขยิบตาให้ ส่วนผมต้องรีบไปยืนขวางซันก่อนจะเกิดงานแสดงมวยเรียกเงินแทนเล่นกีต้าร์
“เสียใจว่ะ มึงไม่แกร่งพอจะยืนอยู่ข้างกูได้ อ่อนแอก็แพ้ไป” ชูนิ้วกลางใสๆ พายุยิ้มๆ ไม่โกรธแถมแววตายังอ่อนลง เหลือเชื่อกว่านั้นคือมันก้มหัวให้ผม
“ขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมาและขอบคุณที่มึงไม่ติดใจเอาความ ที่จริงเรื่องนี้ก็เป็นปมในใจกูมาตลอด วันนี้ได้ปลดออกกูค่อยโล่งหน่อย จะได้เริ่มชีวิตใหม่ได้จริงๆ สักที”
“กูอโหสิกรรมให้มึง ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องมาใช้เวรใช้กรรมกันอีก เหม็นหน้า” อิ่มบุญทั้งวันเลยผม
“ขอบใจ” คุยกับผมเสร็จก็เบนไปทางซัน ”มึงก็อย่าคิดมาก กูไม่เอามันหรอก เพราะตกลงกันไม่ได้ว่าใครรุกใครรับ” ได้ยินแบบนี้ผมลั่นเลยครับ ไม่สนว่าใครจะมอง อันนี้ฮาจริง คงเพราะเรื่องนี้ด้วยแหละความสัมพันธ์พวกเราถึงไม่เลื่อนขั้นสักทีจนเกิดเรื่อง
“เออ” ซันเอ่ยเสียงห้วน ผมเห็นนะเว้ยว่ามันแทบจะหุบยิ้มไม่อยู่ ยืดอกจนผมหมั่นไส้ ก็มันได้เสียบผมนี่หว่า ไอ้พายุก็น่าจะมองออกถึงมองผมแซวๆ เสียชื่อโป้หลานปู่สิน ณ เชียงใหม่ แต่ไม่เป็นไร ได้ซันผมก็โอเค ยอมแล้วทูนหัวอยากมีผัวชื่อซัน...
สงสัยซันมันอารมณ์ดีจัด โปรยเงินให้ไปสองร้อย หลังมันรู้เรื่องที่พายุหาตังเรียนอะนะ แน่นอนว่าคนอย่างพายุ...ก็รับเงินสิ! เห็นมันบอก ศักดิ์ศรีกินไม่ได้ เงินสิยั่งยืน ซึ่งก็ถูกของมันผมเลยไม่เถียง หลังคุยกันอีกนิดหน่อยก็ปล่อยให้มันทำมาหากินต่อไป ผมไม่ขอเบอร์ไม่อะไรทั้งสิ้น ถ้ามันจะได้เจอเดี๋ยวก็เจอเหมือนวันนี้ ที่สำคัญต่างคนต่างมีเส้นทางของตัวเอง ปล่อยให้มันเป็นอดีตไปเถอะ ผมไม่คิดอาลัยอาวรณ์
พอมารวมกลุ่มกับพวกเล่อีกครั้ง เจ้าตัวก็บ่นยาวทันที บอกจะเข้าไปช่วยผมตบพายุแล้ว ถ้าไม่ติดว่าวาห้าม ผมปรายตามองถุงเสื้อผ้าในมือวาสลับมองหน้าเล่ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จัดการหยิกแก้มไปทีด้วยความหมั่นไส้ ไม่สนสายตาดุจากวาเพราะผมมีซันให้ท้าย
จะว่าไป เหมือนผมลืมอะไรไปบางอย่างแฮะ คุ้นๆ ว่าก่อนจะปิดเทอมไปกวนตีนใครเขาเข้า...ช่างเถอะ ไว้มีคนมาหาเรื่องค่อยสวนกลับ ถ้าไม่มีก็แล้วไป เพราะผมไปกวนชาวบ้านไว้เยอะ ให้ตามเคลียร์ก็ไม่เป็นอันทำอะไรพอดี
ระหว่างเดินกลับรถหลังปล่อยเล่ชอปจนพอใจ ผมกับซันรั้งท้ายพูดคุยกันอยู่สองคน
“มึงจะกลับบ้านเมื่อไหร่วะซัน” ปิดเทอมทั้งทีจะเหมาตัวมันไว้กับผมคนเดียวก็ดูจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย
“แบ่งกันครึ่งๆ อยู่บ้านมึงสักสามสี่อาทิตย์แล้วค่อยไปต่อบ้านกู แน่นอนว่ามึงต้องไปด้วย” มันหันมากำชับ ผมพยักหน้าไม่ขัดขืน คิดไว้แล้วว่าจะตามมันกลับไปด้วย ซันอุตส่าห์มาทำคะแนนกับครอบครัวผม ผมเองก็ต้องไปทำคะแนนกับครอบครัวมันบ้าง ฝึกเป็นคุณนายแรงงานที่รีสอร์ทล่วงหน้าด้วย ถือว่าร่วมด้วยช่วยกันเพื่อชีวิตคู่อันยืนยาว
“กลับบ้านของพวกเรากัน” ผมยิ้ม เอาไหล่ชนมันหยอกๆ ซันเลิกคิ้วย้ายถุงของฝากไปอีกข้างแล้วจับประสานมือ แม้มันจะหยาบกร้านไม่นุ่มนิ่ม จับไปก็ไม่สบาย แต่ใจผมมันบอกว่ามือของผู้ชายคนนี้แหละ ที่จะจับมือกันไปตลอด
ขอบคุณพ่อแม่ที่ทำให้ผมได้เกิดมา
ขอบคุณทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ขอบคุณทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ขอบคุณที่ทำให้ผมได้เจอกับซัน...เจอกับอีกครึ่งชีวิตของผมเอง...
END
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
และแล้วก็จบสักที แม้จะผ่านอุปสรรคมามากมายในที่สุดนิยายก็จบพร้อมกับสารพัดปัญหาของโป้ แน่นอนว่าตัวละครยังคงโลดแล่นอยู่ต่อไป รอเจอตอนพิเศษในเล่ม และบทของซันโป้ในนิยายคู่อื่นของซีรีส์มหา'ลัย
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงวันนี้ค่ะ

*เกี่ยวกับการรวมเล่ม*
งานนี้ขอบอกกันล่วงหน้าเลย
- รีไรท์ เพิ่มและลดเนื้อหาปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ พร้อมตรวจคำผิด
- ตอนพิเศษซันโป้ 2 ตอน (2ตอนเหมือนจะน้อยแต่ไม่น้อยนะคุณ)
- ตอนพิเศษเรืองของคุณพี่ชาย "มูนxจิน" ฉบับตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนปัจจุบัน (อารมณ์แบบกบโฟมแหละ)
- ราคาประมาณ 350-400 จะพยายามไม่ให้แพงมากนัก(คือมันน่าจะหนากว่าเฟย์ปอนด์อีก)
- คาดว่าจะเปิดพรีช่วงเดือนกันยา อาจเป็นช่วงปลายๆ เดือน ระยะเวลาพรี 2 เดือนเช่นเคย ระหว่างนี้ก็รีบเก็บตังกันนะ
- สำหรับคนที่มี 'หนุ่มวายยกกำลังสอง' ในครอบครอง หรือซื้อพร้อมกัน2เรื่อง ปลาเงินจะมีส่วนลดให้ ไว้จะแจ้งรายละเอียดอีกที
- รอบนี้ไม่มีลุ้นโชค มีแต่ส่วนลดแม้จะซื้อเล่มเดียว พ้นช่วงพรีราคาเต็มนะ
- สำหรับคนรอ e-book ปลาเงินจะลงทั้งซีรีส์ แต่จะลงหลังขายเล่มแล้ว2เดือนขึ้นไป และจะไม่ได้ของแถมในเล่มเน้อ (เช่นที่คั่น โปสการ์ด ปกหลัง เพราะเวลาอัพใน meb จะขึ้นรูปปก และเนื้อหาในเล่มเลย)
สถานะปก : อยู่ในช่วงวาดปก ไว้เสร็จปลาเงินจะเอามายั่วน้ำลายนะ
ติดตามข่าวการเคลื่อนไหวได้ที่เพจ
Silver Fish