ชั่งใจ ครั้งที่ 14: เซลขายอ้อยรายใหญ่[1]
หลังจากวันนั้น ความสัมพันธ์ของผมกับธารใจก็ดีขึ้นทันตาเห็น ถึงผมจะบอกว่าจะเดินหน้าจีบมันอย่างเป็นทางการ แต่ช่วงนี้พอเห็นโอกาสปุ๊บ ก็เดินหน้าขายอ้อยมันปั๊บ
ไม่อยากจะบอก พี่เหนือขายอ้อยแบบฮาร์ดเซลมาก
เด็กนั่นก็ตามสไตล์มันน่ะ ไม่หือไม่อือ แล้วก็ทำสีหน้ารำคาญใส่ ส่วนเรื่องอายม้วนนี่มันเลิกอายไปบ้างแล้วล่ะ
ก็แหม โดนขายอ้อยทุกวัน ทุกสามเวลาหลังอาหารแบบนี้ มันก็ต้องด้านชาบ้างแหละ
แต่ผมไม่หยุดการขายอ้อยแค่เพียงเท่านั้น เปิดกระบะขายอย่างเดียวมันยังไม่พอ ต้องไปฮาร์ดเซลถึงที่ด้วย นั่นก็คือ... การขอไปนอนห้องมันไงล่ะ
ผมคว้าโทรศัพท์มาส่งข้อความไปหามันรัวๆ ทันทีที่ว่างจากการสอนและกลับมานั่งในห้องพักครูแล้ว
พี่เหนือ เซลขายอ้อยรายใหญ่: น้องธารครับ
ส่งข้อความไปแล้วก็นั่งยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่คนเดียว รอพักหนึ่ง อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา
ธาร พ่อทุกสถาบัน: ว่า?... แล้วชื่อพี่นี่อะไรอีกเนี่ย ที่บ้านทำไร่อ้อยหรือไง?
ผมถึงกับหัวเราะกับความใสซื่อของมัน คงจะไม่รู้สินะว่าขายอ้อยคืออะไร แต่ไม่บอกมันหรอก บอกไปตอนนี้ เดี๋ยวไก่ตื่น
พี่เหนือ เซลขายอ้อยรายใหญ่: อาชีพเสริมน่ะครับ ว่าแต่คืนนี้ห้องน้องธารว่างมั้ย พี่เหนือขอไปนอนด้วยคนสิ
อธิบายแบบลวกๆ แล้วก็จัดการรุกคืบอย่างไม่ปราณีปราศรัย
ธารเงียบไปพักใหญ่เลยทีเดียวกว่าจะตอบกลับมา
ธาร พ่อทุกสถาบัน: ห้องตัวเองไม่มีนอนหรือไง
พี่เหนือ เซลขายอ้อยรายใหญ่: มีครับ แต่อยากนอนกับน้องธารมากกว่า
หยอดแบบรุนแรง หยอดแบบโหดเหี้ยม หยอดไปแล้ว ไอ้น้องธารก็เงียบกริบ หลังจากข้อความนั้นก็ไม่ส่งอะไรกลับมาอีกเลย ทำเอาผมย่นคิ้ว พิจารณาตัวเองทันทีว่ารุกมันมากเกินไปจนมันกลัวหรือเปล่า
ความจริงก็ไม่เห็นต้องกลัวเลยนะ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้าไม่นับเรื่องคิดหื่นกับมันตลอดเวลาแล้วล่ะก็ ผมแค่ลวนลามมันด้วยวาจากับสายตาทุกครั้งที่มีโอกาสเท่านั้นเอง
แต่...คิดๆ ดูแล้วมันก็ควรกลัว ขนาดผมยังกลัวตัวเองเลยเมื่อตระหนักได้ว่าผมรุกมากไปจริงๆ นี่ขนาดยังไม่ได้จีบจริงจังยังเป็นเอามากถึงขนาดนี้ ถ้าจีบอย่างเป็นทางการแล้ว ผมไม่จับมันปล้ำเลยหรือไง? มันให้ไปนอนด้วยก็แปลกแล้ว!
ผมก็เลยตัดใจ เอาเถอะ ไว้ตอนจีบมันติดเมื่อไหร่ จะนอนด้วยกันเมื่อไหร่ก็นอนได้ เผลอๆ จะไม่ได้แค่นอนหลับอย่างเดียวด้วย แต่เป็น...เหอๆๆ... หลับนอน
นั่งหัวเราะในลำคอ ทำหน้าลามกอยู่คนเดียวเป็นพัก ได้สติอีกทีก็ตอนที่พี่สมรกลับเข้ามาในห้องพักครู แล้วร้องทักผมเสียงเข้ม
“เป็นอะไรน่ะน้องเหนือ ไม่สบายหรือเปล่าคะ ทำหน้าตาแปลกๆ”
“อะ...อ๋อ ไม่เป็นอะไรครับ ผมแค่คิดอะไรเพลินๆ นิดหน่อย” เพลินจริง เพลินมาก กำลังคิดถึงตอนน้องธารเหงื่อชุ่ม หายใจกระหืดหอบอยู่บนเตียงโดยมีผมอยู่ใต้ร่างพอดี
พี่สมรทำหน้าสงสัย จับพิรุธผมเป็นการใหญ่ ขณะที่ผมก็รีบปั้นหน้าให้เป็นปกติ ยิ้มกว้างให้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่สมรก็เลยไม่สนใจผมอีก เดินมานั่งยังโต๊ะทำงานแล้วบ่นเรื่องเด็กแผนกตัวเองชั้นปีอื่นเป็นการใหญ่ที่ไม่ตั้งใจเรียนในคาบของเธอ ผมก็ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง หัวเอาแต่คิดถึงหน้าน้องธาร
คิดได้เพียงครู่เดียว เสียงของชายวัยกลางคนก็ดังขึ้นที่หน้าห้องพักครู เรียกเอาทุกคนในห้องหันไปมอง
“อาจารย์สมรครับ ขอเชิญที่ห้องฝ่ายปกครองหน่อย”
พอเห็นว่าเป็นอาจารย์ดิเรก พี่สมรก็ย่นหน้าทันที
“มีอะไรหรือเปล่าคะ เด็กในแผนกดิฉันไปก่อเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า” เธอถามอย่างระอาด้วย ขณะที่อาจารย์ดิเรกส่ายหน้าปฏิเสธ
“คราวนี้ไม่ใช่เด็กในแผนกหรอกครับ แต่เป็นผู้ปกครองของเด็กในแผนกต่างหาก”
พี่สมรย่นหน้ามากขึ้นไปอีก ผมก็เผลอย่นคิ้วตามด้วยเดาไม่ถูกว่าผู้ปกครองของนักศึกษาในแผนกจะมาก่อเรื่องในวิทยาลัยลูกตัวเองทำไม กระทั่งอาจารย์ดิเรกโพล่งขึ้น
“เดี๋ยวขอเชิญอาจารย์เหนือด้วยนะครับ ผู้ปกครองอยากพบด้วย”
“ผมเหรอครับ?” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองทันที
ทว่ายังไม่ทันจะได้คลายความงุนงง พี่สมรก็หันมาพยักหน้าเรียกผมแล้วเดินนำออกจากห้องไปแล้ว
ระหว่างทางที่เดินไปยังห้องฝ่ายปกครอง หัวผมก็คิดวุ่นว่าเผลอไปทำอะไรไม่ดีกับเด็กในแผนกไว้หรือเปล่า จำพวกลวนลามทางสายตาหรือเผลอแต๊ะอั๋งแบบไม่ได้ตั้งใจอะไรงี้ พ่อแม่มันถึงได้บุกมาเจอผมแบบนี้ แต่คิดๆ ดูแล้ว ก็ไม่มีนักศึกษาคนไหนเลยนะที่ผมไปทำรุ่มร่ามด้วย จะมีก็แต่...ธารใจ
ธารใจ! ระ...หรือว่าพ่อมันจะบุกมาเพราะมันไปฟ้องพ่อว่าผมเต๊าะมันแบบรุกคืบวะ!?
หนอย เมื่อกี้ที่เงียบไป คือมึงโทรไปฟ้องพ่อล่ะสินะ!
คิดฟุ้งซ่านไปทันที เผลอหัวเสียนิดหน่อยกับการเอาคืนของมัน และแปรเปลี่ยนเป็นใจหายวาบเมื่อประตูห้องฝ่ายปกครองเปิดออก พลันหน้าของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นเลขาพ่อของเด็กนั่นก็โผล่มาให้เห็น
นะ...นั่นไง มันเอาไปฟ้องพ่อมันจริงๆ ด้วย
อะไรก็ไม่รู้ล่ะ ผมยิ้มให้นำไปก่อนเผื่อว่าคดีติดตัวจะบรรเทาลงถ้าอีกฝ่ายเห็นสีหน้ามีมิตรไมตรีของผม แต่แล้วผมก็ยิ้มไม่ออกทันทีที่ชายอีกคนซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ กับคุณเลขาเหลียวใบหน้ามามอง
ใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับธารใจ หากแต่แก่กว่าและดูน่าเกรงขามทำเอาผมยิ้มไม่ออกไปชั่วขณะ สัญชาตญาณบอกทันทีว่าก่อนที่อาจารย์ดิเรกจะเรียกสติผมให้กลับมา
“อาจารย์สมรกับอาจารย์เหนือมาแล้วครับคุณธี”
พี่สมรยกมือไหว้อีกฝ่าย ผมก็รีบยกมือไหว้ตามอย่างรวดเร็วเช่นกัน คุณธีรับไหว้แล้วร้องทัก
“สวัสดีครับอาจารย์สมร ขอโทษที่มารบกวนนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณธีบุกมาเองแบบนี้ แสดงว่าต้องมีธุระสำคัญอยู่แล้วถึงมาด้วยตัวเองได้” พี่สมรว่าราวกับประชด แต่เปล่า ไม่ได้ประชด มันคือความจริง เพราะพ่อได้เด็กธารไม่เคยโผล่หน้ามาที่นี่เลย มีแต่ส่งคนมาแทนไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
คุณธีเหยียดริมฝีปากยิ้มขึ้นมานิดหน่อย พลันเหลือบมองมายังผม
“นี่คงเป็นอาจารย์เหนือสินะครับ”
“คะ...ครับ” ผมรีบควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติขณะตอบรับ
หากแต่ก็เป็นปกติได้ไม่นานเมื่อคุณธีพูดขึ้นมาอีก
“ยังหนุ่มอยู่เลยนะครับ มิน่าชยุตถึงได้บอกว่าเข้ากับเด็กนั่นได้ดี”
ผมเดาเอาว่าชยุตคงจะเป็นชื่อของคุณเลขา แต่ผมก็ไม่ได้ถามกลับ ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ยกมือลูบต้นคอตัวเองป้อยๆ แก้เขิน ก่อนที่สมรจะเข้าเรื่อง
“ว่าแต่คุณธีมีธุระอะไรเหรอคะถึงได้ตามดิฉันกับน้องเหนือมาอย่างนี้”
“ผมว่าจะมาคุยเรื่องลูกชายตัวดีสักหน่อย”
ใจหายวาบขึ้นมาอีกแล้ว ลุ้นโคตรว่าจะคุยเรื่องอะไร แล้วก็ใจหายยิ่งกว่าเดิมเมื่อดวงตาคมเหลือบมามองผมนิ่ง
“แล้วก็จะมาคุยกับอาจารย์เหนือเรื่องเด็กนั่นด้วย”
คะ...เค้าไม่ได้ทำอะไรลูกชายตัวเองเลยนะ แค่ขายอ้อยให้บ่อยๆ เท่านั้นเอง!
ในใจแก้ตัวไปแล้ว แต่หน้าตานี่เตรียมพร้อมรับมือด้วยความจริงจังสุดๆ
พี่สมรก็ทำหน้าจริงจัง แต่เป็นตอนมองผมน่ะ ขณะที่ผมเป็นฝ่ายเปิดปากถามด้วยคนตรงหน้าไม่ยอมพูดอะไรสักที
“ตะ...ตกลงคุณพ่อมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”
“ผมจะมาขอให้อาจารย์เหนือช่วย”
ได้ยินอย่างนั้น ผมก็โล่งใจทันควันที่สาเหตุการมาของพ่อไอ้เด็กนั่นไม่ได้เป็นเพราะมันไปฟ้องพ่อว่าถูกผมก้อร่อก้อติก ตอนนี้เลยกลับมาเป็นปกติได้อย่างสมบูรณ์
“ได้สิครับ คุณพ่ออยากให้ผมช่วยอะไรเหรอ”
คุณธีเงียบไปครู่ มองหน้าคุณเลขาชยุตเป็นเชิงให้ฝ่ายนั้นพูด
“คือคุณธีอยากจะให้อาจารย์ช่วยพูดกับคุณหนูให้กลับบ้านหน่อยน่ะครับ”
ผมได้ยินอย่างนั้นก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ทั้งคู่ก็พยายามให้ธารกลับไปอยู่บ้านอยู่แล้ว ผมเลยยิ้มร่า รับปากไป
“ได้สิครับ เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวผมช่วยพูดให้”
“วันนี้นะครับ” คุณชยุตพูดขึ้นมาอีก
ไอ้ที่ยิ้มๆ อยู่เมื่อกี้นี่หุบยิ้มไม่ทันเลย
“หมายความว่า?”
“ให้กลับบ้านวันนี้เลย” ประโยคนี้คุณธีเป็นคนพูด ทำเอาผมไปต่อไม่ถูกฉับพลัน
วันนี้!? บ้าหรือเปล่า! นี่มันบังคับชัดๆ แถมยังดึงกูเข้าไปเอี่ยวอีก ก็เคยบอกอยู่ว่าเดี๋ยวก็ทำให้มันต่อต้านยิ่งกว่าเดิม ยังจะไม่ฟังอีก!
หากแต่ไม่ทันที่ผมจะได้เถียง คุณธีก็สวนขึ้นมาแล้ว
“ผมหมดความอดทนกับไอ้เด็กนี่เต็มทนแล้ว หาแต่ปัญหามาให้ทุกวี่ทุกวัน เมื่อวานมันก็ไปตีกับชาวบ้านจนถึงขั้นขึ้นโรงพัก ผมนี่ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว”
ได้ยิน ผมก็ตกใจทันควัน เหรอหราหนักด้วยไม่รู้ว่าเมื่อวานนี้มันไปตีกับใครตอนไหน ก็ผมเพิ่งไปคาราโอเกะกับมันมาเองแท้ๆ แต่หลังจากกลับมาที่หอตอนหัวค่ำ ผมกับเด็กนั่นก็แยกย้ายเข้าห้องใครห้องมัน หรือว่ามันจะไปตีกับคนอื่นตอนผมเข้านอนไปแล้วนะ?
“ช่วยเล่ารายละเอียดหน่อยได้มั้ยครับ” ผมกลายเป็นฝ่ายอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาบ้าง รีบถามออกไปอย่างร้อนรน ในใจนึกเป็นห่วงธารขึ้นมาทันควัน
อึดใจเดียว คุณธีก็เป็นฝ่ายเล่าขึ้นมา
“มันก็ออกไปตีกันพวกเด็กกุ๊ยด้วยกันเพราะเพื่อนมันโทรตามให้ไปช่วย คราวนี้หนักหน่อยตรงที่โดนตำรวจรวบตัวได้ทัน น่าขายหน้าจริง”
“เพื่อนนี่ใครครับ” ผมถาม
“โรม รู้จักใช่มั้ยครับ”
ผมพยักหน้ารับหงึกหงัก ไม่ถามต่อด้วยพอจะเดาได้ว่าสาเหตุที่ตีกันคงจะเป็นเรื่องผู้หญิงอีก แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อคุณชยุตแทรกขึ้นมาโดยที่ผมไม่ได้ถาม
“เรื่องผู้หญิงเหมือนเดิมครับ”
นั่นไง... ไอ้โรมนะไอ้โรม ทำน้องธารกูแปดเปื้อนอีกแล้ว มึงนะมึง! ตั้งแต่เรื่องที่ทำให้กูต้องวิ่งสี่คูณร้อยหนีคู่อริมึงแล้วนะ เดี๋ยวก็ยุให้อีน้องมายด์จับทำผัวจริงๆ ซะหรอก จะได้เลิกแรด!
จะด่ามันแรดก็ไม่ได้ ผมเองก็ใช่ย่อย งั้น...จะได้เลิกเจ้าชู้ก็แล้วกัน
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ไอ้เด็กโรมนั่นทำให้น้องธารของผมต้องเดือดร้อน เพราะดูท่าวันนี้คุณธีจะเอาจริง ยังไงก็ยืนยันว่าจะพาตัวธารกลับไปอยู่บ้านให้ได้
“ผมอยากให้อาจารย์เหนือช่วยพูดกับมันให้หน่อย ถ้ากล่อมมันได้สำเร็จ ผมจะได้ให้คนไปขนของที่หอมันกลับบ้านเลย”
“แต่ผมว่าไม่ดีมั้งครับ ผมเคยบอกไปแล้วนี่นาว่าถ้าบังคับจะทำให้เด็กยิ่งหนี” ผมรีบให้เหตุผลก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิด
และเพราะผมพูดอย่างนั้น พี่สมรก็รีบพยักหน้าเห็นด้วยทันควัน เสริมทัพอีกต่างหาก
“นั่นสิคะ ธารใจยิ่งเป็นเด็กหัวแข็ง พูดด้วยยากแบบนั้น ถ้าไปบังคับ ดิฉันเกรงว่าจะทำให้เลยเถิดยิ่งกว่าเดิม”
“แต่ยังไงผมก็จะเอามันกลับบ้าน ไม่งั้นมันก็สร้างปัญหาให้ไม่เลิกสักที” คุณธีสวน
“ก็ใช่ว่าพาตัวกลับบ้านไป ธารใจจะเลิกสร้างปัญหานี่ครับ ผมว่าจะสร้างปัญหาให้มากขึ้นกว่าเดิมอีกเพราะคุณพ่อไปบังคับแบบนั้น”
“ถ้ามันจะสร้างปัญหา อย่างน้อยก็ให้มันสร้างปัญหาในสายตาผม ไม่ใช่ออกมาก่อเรื่องนอกบ้านไปทั่วแบบนี้” คุณธีเผลอขึ้นเสียงมาหน่อยๆ สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าหงุดหงิดที่ผมกับพี่สมรเข้าข้างเด็กนั่น
ตอนนี้ผมชักไม่สบอารมณ์ขึ้นมาบ้างละ รู้สึกได้เลยว่าพ่อของเด็กนั่นเป็นคนเผด็จการ แต่ก็เข้าใจอยู่ว่าเพราะเป็นหัวหน้าคน เป็นคนใหญ่คนโตเลยมีการวางท่าแบบนี้
“ผมว่าคุณธีใจเย็นๆ ก่อนดีกว่าครับ ไว้รอธารใจมาก่อนแล้วค่อยคุยอีกที” อาจารย์ดิเรกเห็นท่าไม่ดีเลยรีบห้ามทัพ
ดีที่ทุกอย่างยุติลงแค่นั้น ต่างคนเลยต่างไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก รอกระทั่งธารใจที่ถูกพี่สมรโทรไปตามตัวมาที่นี่ บรรยากาศกดดันเมื่อครู่จึงเริ่มมลาย...
มลายกลายเป็นกดดันมากกว่าเดิมเนี่ย! มันโผล่หน้าเข้ามาได้ สีหน้าก็บอกบุญไม่รับเลย พ่อมันก็อีกคน หน้าตานี่เหม็นข้าวบูดถอดแบบกันมาเด๊ะๆ
บรรยากาศมาคุยิ่งกว่าเดิมด้วยเมื่อธารเห็นหน้าพ่อตัวเองแล้วเปล่งขึ้น
“มาทำไม”
“มาลากตัวแกกลับบ้าน”
ต่างคนต่างส่งสายตาดุๆ ให้กัน ต่างกันนิดเดียวตรงที่พอสิ้นเสียง ธารใจก็กัดฟันกรอด ขณะที่คุณธีมองหน้าลูกชายด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
ผมหันไปมองหน้าพี่สมรทันทีด้วยรู้ว่าอีกไม่นาน บรรยากาศจะแย่ลงกว่าเดิม พี่สมรเลยตั้งท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง หากแต่ไม่ทันเพราะไอ้เด็กธารมันแผดเสียงขึ้นมาก่อน
“บอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าไม่กลับ จะอะไรนักหนา!”
“ยังมีหน้ามาพูดอีกว่าอะไรนักหนา แกไปก่อเรื่องอะไรมาบ้างล่ะ ฉันถึงได้อยากจะลากแกกลับบ้านเนี่ย”
“แล้วพ่อจะมายุ่งอะไร พ่อก็อยู่ของพ่อไปสิ ไม่ต้องมายุ่ง!”
“ถ้าฉันไม่ยุ่ง เมื่อคืนแกก็คงได้เข้าไปนอนในซังเตแล้ว”
“ก็ช่างหัวผม!”
“อย่ามาทำเป็นอวดเก่งนะไอ้เด็กสวะ!”
ผมตกใจแรงมากตอนได้ยินคุณธีด่าลูกตัวเอง ถึงจะไม่ใช่คำหยาบคายหลังจากเถียงกันจนไม่มีช่องว่างให้ใครเข้าไปแทรก แต่ก็ไม่คิดว่าคุณธีจะเผลอหลุดปากออกมาเร็วขนาดนี้ ตอนนี้รู้เลยว่าธารใจอารมณ์ร้อนเหมือนใคร
แม่พิมพ์แม่งอยู่ตรงหน้านี่เอง
คุณชยุตรีบปรามทันทีที่เห็นคุณธีระเบิดอารมณ์ด้วยการแตะมือลงเบาๆ ที่ไหล่แกร่ง ส่วนพี่สมรก็รีบตรงเข้าไปหาธารด้วยตั้งใจจะจับแยกเช่นกัน ทว่าไอ้เด็กนั่นกลับเอี้ยวตัวหนี เดินตรงมาหยุดที่หน้าพ่อตัวเอง แสยะยิ้มแล้วว่าอย่างยียวน
“ก็ต้องทำเป็นเก่งสิ ถ้าไม่เก่ง จะอยู่กับฆาตรกรที่ฆ่าแม่ตัวเองมาได้ตั้งหลายปีอย่างนี้เหรอ”
เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมได้ยินธารพูดแบบนี้ เกิดอยากรู้ขึ้นมากะทันหันเลยว่าคุณธีไปทำอะไร ลูกถึงได้ตราหน้าอย่างนั้น เท่าที่ได้ยินมา แม่ของธารถูกยิงโดยคนอื่นนี่
แต่ไม่ทันจะได้ถามอะไร มือใหญ่ของคุณธีก็กำแน่น ใบหน้าโกรธขึ้งจนดูน่ากลัว ก่อนเขาจะหุนหันลุกขึ้น ไม่สนใจเสียงร้องห้ามของคุณชยุตที่ดังขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงดังเพียะเมื่อมือข้างหนึ่งสะบัดกระแทกซีกหน้าของธารอย่างจังจนเด็กนั่นเซไป
“อย่ามาพูดแบบนี้กับฉันนะไอ้ลูกไม่รักดี!”
“ธารใจ!” พี่สมรโวยวายลั่น รีบปรี่เข้าไปจับเด็กนั่นไว้ทันที
ส่วนผมก็ยืนอึ้ง ทำอะไรไม่ถูกด้วยไม่คิดว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ มือไม้สั่นขึ้นมาอีกทันทีที่เห็นว่ามีรอยเลือดไหลจากมุมปากสีชมพูเรื่อนั่นเล็กน้อย
คะ...ความรุนแรง...ความรุนแรงในครอบครัว!
ถึงจะไม่ได้เรียนวิชาสังคมแนวทางประมาณนี้มาก่อน แต่ผมก็รู้ถึงสาเหตุของการไม่อยากกลับบ้านของธารขึ้นมาทันที ในหัวคิดเป็นพัลวันว่าควรจะรับมือกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไร
หากแต่ธารไม่รอให้ผมคิดออกเลยสักนิด ยกมือขึ้นเช็ดคราบเลือดที่มุมปากตัวเองลวกๆ ยกยิ้มเย้ยขึ้นมาราวกับไม่รู้สึกรู้สาในสิ่งที่พ่อทำกับตัวเอง
“ทำไม ไม่รักดีแล้วทำไม พ่อไม่พอใจ ก็ไม่ต้องมายุ่งกับผมสิ ตัดพ่อตัดลูกกันไปเลยก็ได้ ผมรอวันนั้นจะแย่อยู่แล้ว!”
ไอ้เด็กนี่! มึงจะไปยั่วโมโหพ่อตัวเองทำไม!
ยั่วโมโหจริงๆ คุณธีถึงกับกัดฟันกรอด แค่นเสียงดุดันออกมา
“ไอ้ธาร...”
ไม่แค่นเสียงอย่างเดียว ปรี่เข้ามาหาลูกชายตัวเองอีกต่างหาก เร็วชนิดที่คุณชยุตห้ามไม่ทัน พี่สมรเองก็ห้ามธารไม่ทันเช่นกันเพราะพอเด็กนั่นเห็นพ่อตรงเข้ามาจะทำร้ายตัวเอง ก็สะบัดพี่สมรออกแล้วเอาหน้าไปให้โดนตบอีกระลอกซะอย่างนั้น
ยะ...อย่าทำแบบนี้สิเว้ย! เดี๋ยวเสียโฉม!
ตอนนี้ทั้งผม ทั้งอาจารย์ดิเรกที่ยืนดูอยู่รีบปรี่เข้าไปห้ามทัพกันเป็นพัลวัน ความชุลมุนบังเกิดขึ้นเมื่อธารเอาแต่ว่ายั่วยุอารมณ์พ่อตัวเองให้เขาลงมือมากขึ้น กลายเป็นว่าตอนนี้ห้องฝ่ายปกครองเป็นสนามซ้อมมวยของคุณธีไปเรียบร้อย ต่างคนต่างดึงพ่อลูกคู่นั้นออกห่างจากกันเป็นพัลวัน แต่เหมือนคุณธีจะมีแรงเยอะจนคาดไม่ถึง ทุบตีธารจนผมเห็นแล้วใจไม่ดีทั้งที่คนถูกทุบไม่สู้เลยสักนิด
ผมรู้ว่าการทุบตีเป็นการเลี้ยงดูลูกหลานแบบไทยคร่ำครึ แต่ทุบตีถึงขนาดนี้มันก็เกินไปมั้ย ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยโดนพ่อแม่ตีอย่างนี้เลยนะ ถ้าจะทำโทษก็ใช้วิธีอื่นมากกว่า พอมาเห็นแบนี้ ผมก็ชักทนไม่ได้ ห้ามสุดแรงเกิด ปากก็ตะโกนห้ามไปด้วย
“หยุดเถอะครับคุณพ่อ! ใช้ความรุนแรงแบบนี้มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องนะครับ!”
แล้วหยุดมั้ย... ไม่ คุณธีพยายามตรงเข้ามาตีธารให้ได้ ผมเลยอาศัยจังหวะที่สองพ่อลูกนั่นเว้นห่างจากกันจากการถูกคนอื่นๆ ดึงแทรกตัวเข้าไปตรงกลาง หากแต่แทรกผิดจังหวะไปหน่อย ฝ่ามือของคุณธีถูกส่งตรงมาพอดี พร้อมกับเสียงตะคอกของคุณธี
“ถ้าแกไม่กลับ ฉันก็จะตีแกให้ตายตรงนี้แหละไอ้ธาร!”
และตามมาด้วยเสียงอุ้งมือกระทบผิวเนื้อดังสนั่น
เพียะ!
นะ...หน้าผมเอง... เสียงนั้นเกิดจากผิวหน้าผมเอง
รสชาติคาวปะแล่มไหลอบอวลในปากท่ามกลางสายตาตะลึงงันของทุกชีวิตที่หยุดเคลื่อนไหวทันทีที่เห็นว่าคนถูกตบไม่ใช่ธาร แต่กลายเป็นผมที่เอาตัวเองเข้ามาขวางเอาไว้ ตอนนี้หน้าซีกหนึ่งของผมชาดิก อีกนิดเดียวก็จะไร้การตอบสนองแล้ว ทว่าก็ไม่สำคัญเท่ากับสีหน้าตกใจของทุกคน โดยเฉพาะคุณธีที่ยืนประจันหน้ากับผมอยู่
“อาจารย์เหนือ...” เขาครางออกมาราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นด้วยว่าคนที่เขาตบจะเป็นผม
แต่ผมไม่สนใจอะไรแล้ว ข่มความเจ็บปวด แล้วบอกเขาด้วยน้ำเสียงปกติที่สุดเท่าที่จะบังคับได้
“ยะ...หยุดทำร้ายธารใจเถอะครับ วันนี้คุณพ่อกลับไปก่อนเถอะ”
“แต่ว่าผม...”
“คุณพ่ออยากเอาลูกกลับบ้าน ผมรู้ครับ แต่ให้เวลาธารใจหน่อย เดี๋ยวผมคุยกับเขาให้เอง”
น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการแก้สถานการณ์ตอนนี้แล้ว และเพราะผมพูดไปอย่างนั้น พี่สมรกับอาจารย์ดิเรกก็เลยรีบช่วยก่อนที่คนตรงหน้าผมจะระเบิดโทสะขึ้นมาอีก
“ทำตามที่อาจารย์เหนือบอกเถอะค่ะ ส่วนเรื่องธารใจ ดิฉันขอเชิญคุณพ่อไปคุยกันต่อที่ห้องแนะแนวนะคะ เดี๋ยวขอเชิญอาจารย์ดิเรกด้วยค่ะ เราจะได้หาทางออกด้วยกัน ส่วนน้องเหนือก็ดูแลเจ้าธารก่อนนะ เดี๋ยวพี่คุยธุระเสร็จแล้วจะกลับมา”
ผมพยักหน้าให้เร็วๆ คนอื่นๆ ไม่มีใครเสนอความเห็นใหม่ นอกจากพากันดึงคุณธีออกจากห้องฝ่ายปกครองไป พริบตาเดียวก็เหลือเพียงผมกับธารในห้องนี้เท่านั้น
ผมกำลังจะหันกลับไปมองว่าธารเป็นยังไงบ้าง แต่เด็กนั่นก็เรียกผมก่อนแล้ว
“พี่เหนือ เอาตัวเองเข้ามาขวางทำไม อยากตายเหรอ”
หันกลับไปมองเต็มสองตาก็เห็นเด็กนั่นอยู่ในสภาพสะบักสะบอมพอสมควร ขนาดโดนตีไปไม่กี่ที ใบหน้าก็มีร่องรอยการทำร้ายให้เห็นชัดเจนแล้ว แต่ไม่สงสัยนัก ด้วยสัมผัสมาด้วยตัวเองแล้วเรียบร้อยว่าแรงของคุณธีมีมากขนาดไหน
“พี่เหนือไม่อยากเห็นน้องธารโดนตีนี่ครับ” ผมยิ้มให้เด็กนั่นอย่างยากลำบากเพราะซีกหน้ายังชาและเจ็บแปลบอยู่
ธารยืนนิ่ง มองผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก จะโกรธก็ไม่โกรธ จะเศร้าก็ไม่เศร้า ดูอึดอัดแปลกๆ ก่อนที่มันจะยุติความสนใจของผมด้วยการขยับริมฝีปากน้อยๆ
“โง่”
“ถึงจะโง่ แต่ก็โง่เพราะเป็นห่วงน้า” ยังมีหน้าหยอดมันอีก หยอดไป แต่บอกเลยว่าอารมณ์ตอนนี้ไม่อยู่ในฟีลอยากล้อเล่นสักนิด หน้าชาดิกขนาดนี้คงจะมีอารมณ์มาเล่นหรอก ที่พูดอย่างนั้นก็แค่ไม่อยากให้บรรยากาศมันแย่ลงไปกว่านี้
แต่ก็เสียเปล่า เพราะธารไม่ยิ้มออกมาสักนิด ก้มหน้าลง หลุบสายตาลงต่ำราวกับคิดอะไรสักอย่าง ผมเลยพ่นลมหายใจออกมายาว ดูท่าปัญหาของธารกับพ่อคงจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วล่ะ อยากรู้ชะมัดเลยว่าตกลงมันมีอะไรกันแน่ถึงได้ลามมาเป็นความรุนแรงอย่างนี้
ทว่าผมก็ไม่ถามออกไป เห็นหน้าเด็กนั่นแล้วก็รู้ว่ายังไม่เหมาะ สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดก็คือ...
“ไม่เป็นไรนะครับ”
...เดินแล้วไปกอดมัน แล้วลูบท้ายทอยเบาๆ เป็นการปลอบ
ธารสะดุ้งเล็กน้อย ผลักผมออกอย่างรวดเร็ว
“อะไรของพี่เนี่ย”
“เอ้า ก็กอดปลอบไง” ผมผละออกมา บอกหน้าตาเฉย มันเลยย่นคิ้ว
“นี่มันห้องฝ่ายปกครองนะ”
“ไม่ต้องกลัวมีคนมาเห็นหรอกครับ ถึงมาเห็นก็ไม่คิดอะไรหรอก สภาพแย่ขนาดนี้ก็คงจะเดากันได้แหละว่าที่พี่เหนือกอด เป็นเพราะกอดปลอบ ไม่ได้กอดเพราะอย่างอื่น” ผมว่าไปตามตรง
ธารก็ยังไม่ยอมให้ผมกอดอยู่ดี ตั้งท่าเหมือนแมวจรจัดขี้ระแวง ว่าเสียงขุ่นออกมาอีก
“แล้วพี่จะทำแบบนี้ทำไม”
“ทำอะไรครับ”
“ก็ที่เอาตัวมาขวาง แล้วก็มาปลอบผมเนี่ย จะทำแบบนี้ทำไม มันไม่ใช่เรื่องของพี่สักหน่อย”
“จะว่าไปก็ถูกนะ แต่ในฐานะอาจารย์ พี่เหนือก็ต้องปกป้องลูกศิษย์สิ ถูกมั้ย?”
“ยังมีหน้ามาเรียกตัวเองว่าอาจารย์อีก” ธารเบ้หน้าออกมาเลย
ผมเห็นแล้วหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ
หนอยๆ เมื่อกี้กูเพิ่งจะเสียสละตัวเองไปเจ็บตัวแทนมึงมาแหม็บๆ นะเว้ย ทำตัวน่ารักให้ชื่นใจหน่อยก็ไม่ได้!
ผมไม่อยากใส่ใจกับท่าทางกระด้างกระเดื่องเท่าไหร่นัก ตอนนี้ที่สนใจคือความรู้สึกของเด็กนี่มากกว่า
เห็นมันยืนนิ่งอยู่นาน ไม่พูดอะไรหลังจากนั้นสักที ผมก็เลยตรงเข้าไปกอดอีก มันก็ทำท่าจะผลักผมอีกนั่นแหละ แต่ผมรั้งมันเอาไว้ แล้วก็พูดขึ้นมาก่อน
“ให้พี่เหนือกอดเถอะนะ น้องธารจะได้รู้สึกดีขึ้น พี่เหนือบอกแล้วนี่ว่าพี่เหนืออยากเป็นคนแรกที่น้องธารคิดถึงเวลามีปัญหา ลืมไปแล้วเหรอว่าพี่เหนือชอบน้องธารน่ะ แล้วน้องธารก็พูดเองนี่ว่าทำให้เชื่อให้ได้ว่าพี่เหนือจริงใจ พี่เหนือก็กำลังทำอยู่นี่ไง”
“ทำอะไร” มันว่าขึ้นมาจนได้
ผมยิ้มออก พูดทั้งที่กำลังกดท้ายทอยมันลงมาให้มันเอาใบหน้าซุกเข้าที่ไหล่ผม
“เป็นคนที่จะอยู่ข้างน้องธารเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามไง”
มันเงียบกริบเลยทีนี้ ตัวก็แข็งค้างด้วย ผมก็ไม่ว่าอะไรมันหรอก คงจะตกใจที่ผมแสดงท่าทางละมุนละไมแบบนี้ออกไป ผมยังแปลกใจตัวเองเลยว่าจะยอมเอาหน้าหล่อๆ ที่ใช้ทำมาหากินไปเสี่ยงเสียโฉมเพราะมันได้ ก็ตอนนั้นไม่รู้ทำไม ผมถึงได้รู้สึกว่าอยากปกป้องมันเหลือเกิน
...คงจะเป็นเพราะชอบมันเข้าจริงๆ น่ะ
ยืนนิ่งได้ครู่หนึ่ง ธารก็เริ่มคลายความเกร็ง ยกมือขึ้นโอบกอดผมตอบบ้างอย่างกล้าๆ กลัวๆ รู้ได้จากแขนทั้งสองข้างที่โอบแผ่นหลังผมเอาไว้สั่นน้อยๆ กับใบหน้าที่ซุกลงมาบนไหล่ผมน่ะ และผมก็รับรู้ได้ว่ามันเริ่มเปิดใจให้ผมแล้วด้วย เพราะมันเริ่มแสดงความอ่อนแอออกมาผ่านของเหลวอุ่นชื้นที่ซึมเข้ามายังเสื้อผมในบริเวณที่มันเอาหน้าแนบอยู่
ธารใจร้องไห้...
ไม่ได้ร้องไห้ฮึกฮักเป็นเด็ก เพียงแค่ปล่อยให้น้ำตาไหลเท่านั้น ตัวก็ไม่ได้สั่นเทิ้ม แต่ผมสัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยว ความน้อยใจ และความรู้สึกแง่ลบอีกมากมายจากมันได้ ทำเอาใจผมสั่นไหวไปอีกด้วยตระหนักได้ว่าตอนนี้ผมกลายเป็นคนเดียวที่มันไว้ใจแบบไม่ทันตั้งตัวซะแล้ว
“พี่เหนืออยู่ตรงนี้นะ”
ผมพูดแค่นั้น แล้วก็ไม่เอ่ยคำใดๆ ออกมาอีก ได้แต่ลูบหัวลูบหลังเป็นการปลอบใจเท่านั้น ปล่อยให้เวลาหมุนผ่านไปจนกว่าคนในอ้อมแขนผมจะรู้สึกดีขึ้น