ตอนที่ 26
บ้านของเจ้านาย
‘เด็กคนนั้นมันยังไง ทำไมถึงมาพูดกับแม่แบบนั้น’
‘...’
‘ว่ายังไงล่ะเกล้า ที่เขาพูดมันหมายความว่ายังไง หรือว่า...’
‘...’
‘เกล้าเองก็ชอบเด็กคนนั้นด้วย’
‘...’
‘เกิดอะไรขึ้นกับลูกของแม่’
หลังจากที่แม่ของผมได้ยินว่าสิบสองชอบผม แม่ก็บอกให้มันออกไปนอกห้อง จากนั้นแม่ก็สาดเทคำเหล่านั้นมาใส่ผมในแบบที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว ผมยังคิดมากถึงคำเหล่านั้นจนถึงวันนี้ มันเป็นวันแรกของการเปิดร้านหลังจากที่ร้านผมปิดซ่อมไปนานก็จริง แต่ไม่รู้ทำไมความยินดีของผมได้ถูกหยุดชะงักไว้อย่างรวดเร็วเสียจริง
มันไม่ใช่ความผิดของสิบสอง ผมเข้าใจที่มันมาบอกแม่ผมแบบนั้น ถึงบางครั้งสิบสองจะทำอะไรเกินกว่าเหตุไปบ้าง แต่ผมคิดว่าไม่ช้าก็เร็วแม่ก็ต้องรับรู้อยู่ดีว่าลูกชายของแม่กำลังคบกับผู้ชาย
และตอนนี้ผมก็กำลังคิดไม่ตกว่าควรจะเอาไงต่อ...
สิบสองแวะเวียนมาหาผมในวันต่อมา เขาพยายามเข้ามาหาผม แต่ผมยังไม่พร้อมที่จะคุยกับเขา ผมอยากอยู่คนเดียว อยากจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเองคนเดียว ผมแคร์ครอบครัวผมมากเลยนะครับ พ่อกับแม่ท่านให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่ผม ทำให้ผมมีวันนี้ได้ ทำให้ผมสามารถมีงานมีการเปิดร้านได้แบบนี้ ผมรักพวกท่านมาก การทำให้พวกท่านผิดหวังคือสิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำ...
...แต่ผมก็ได้ทำมันลงไปแล้ว
เมื่อไม่เห็นผมตอบอะไร สิบสองก็หายไปทั้งวัน เขาบอกกับผมผ่านทางข้อความว่าไปอยู่กับไอ้หนึ่ง ผู้ซึ่งตอนนี้ก็กำลังมีเรื่องดราม่าเช่นกัน เมื่อคืนมันเพิ่งบอกความรู้สึกของมันให้สิบสี่ฟังไป สิบสี่เพียงแค่รับรู้และบอกกับไอ้หนึ่งว่าไม่ได้ชอบผู้ชาย
เจ็บมั้ยล่ะมึง...ดอกนี้
ผมดีใจที่สิบสองไปอยู่กับไอ้หนึ่งในตอนนี้ เพราะผมก็ไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรงไปปลอบใจไอ้เชี่ยหนึ่งสักเท่าไหร่ ส่วนผมนั้นยังต้องคิดว่าควรจะทำยังไงเรื่องพ่อกับแม่ ผมใช้เวลาทั้งวี่ทั้งวันในการคิด ฝากเรื่องร้านให้สองดูแลทั้งหมด และมานั่งอยู่บนเตียงในห้องของตัวเองตลอดทั้งวัน
ในที่สุดผมก็คิดออกว่าควรจะทำยังไงดี
ในเมื่อผมเลี่ยงปัญหาไม่ได้...ผมก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหา ผมจะไปบอกพ่อกับแม่ของผมตรงๆ เลยนี่แหละว่าผมคบกับสิบสองอยู่!
ผมพอจะรู้ว่ามันมีผลตามมาแน่ๆ และผลมันต้องมีแต่ร้ายและก็ร้ายมากๆ ด้วย...พ่อกับแม่อยากให้ผมมีครอบครัวไวๆ แต่ผมกลับตอบแทนพวกท่านด้วยการกระทำที่ห่างไกลจากคำว่า ‘มีครอบครัว’ ในแบบของพวกท่านออกไปหลายร้อยกิโลเมตรเลยทีเดียว
“คุณเกล้า” เก้าคนสวยที่มาทำหน้าที่เป็นแม่บ้านในวันนี้ตกใจเล็กน้อยเมื่อในที่สุดผมก็ออกจากห้อง “เก้าซื้ออาหารกลางวันมาให้แล้วค่ะ อยู่ข้างล่าง”
“ผมไม่ค่อยหิวน่ะ เก้าจัดการเลยก็ได้นะ”
“คุณเกล้าเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“วันนี้ผมคงไม่เข้าร้านนะ ช่วยกันดูแลร้านด้วย”
“อ๋อ...ค่ะ” เก้ารับคำงงๆ “คุณเกล้าคะ สิบสองแวะมาหาคุณเกล้าตลอดทั้งวันเลยค่ะ เดี๋ยวน้องเขาก็มาอีก จะให้บอกว่าไงคะถ้าคุณเกล้าจะออกไปข้างนอก”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องบอกอะไรหรอก”
“โอเคค่ะ”
ผมหยิบกุญแจรถด้วยสภาพซึมกะทือ หลังจากนั้นก็ขับรถออกไปเพื่อไปยังบ้านของตัวเอง บ้านที่น่าจะมีเรื่องอะไรมากมายหลังจากวันนี้
ใช้เวลาประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมงก็ถึง บ้านของผมอยู่ในแถบชานเมืองที่ต้องขับรถเข้ามาอีกหน่อยเพื่อเข้าใกล้เขตความเจริญของเมืองกรุง ผมจอดรถอยู่หน้าบ้าน แต่ก็ยังไม่ยอมเข้าไปในบ้าน
ความป๊อดมันกำลังโจมตีผมอย่างหนัก
พ่อจะด่าว่าอะไรบ้าง แม่จะต่อว่าผมอย่างไร พวกท่านจะเสียใจมากแค่ไหน นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมสูญเสียความมั่นใจ และในที่สุดก็ตัดสินใจขับรถออกไปตั้งหลักอยู่ร้านกาแฟใกล้ๆ บ้านแทน
ขอเวลาเตรียมตัวเตรียมใจแป๊บ...
ผมนั่งอยู่ในร้านกาแฟประมาณยี่สิบนาทีสิบสองก็โทรมา ผมไม่มีความจำเป็นต้องหนีหน้าสิบสอง นี่เป็นปัญหาที่ผมไม่ควรจะต้องมาเผชิญคนเดียว ไม่ใช่เพราะอยากให้สิบสองมาเคร่งเครียดกับปัญหาเหมือนกันกับผมนะครับ เพียงแต่ว่าผมอยากให้เราสองคนผ่านมันไปได้ด้วยกันต่างหาก
ผมก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าผมนั้นจริงจังกับไอ้สิบสองไม่น้อยเลย...
“อยู่ไหน” สิบสองถามผ่านปลายสาย ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกำลังขับรถอยู่นะครับ
“แถวๆ บ้าน” ผมตอบเขา
“เดี๋ยวผมไปหา”
“เฮ้ย”
“ผมรู้ว่าเกล้าคิดจะทำอะไร เกล้าจะไปบอกพ่อกับแม่เกล้าตรงๆ ใช่มั้ย”
สิบสองรู้ใจผมแฮะ “อืม...”
“ผมจะไปด้วยครับ”
“...”
“อย่าเครียดมากนะ”
“รู้ใช่มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราสองคนไปพูดกับพ่อแม่”
“ผมรู้ ผมอาจจะโดนปืนลูกซองของพ่อเกล้ายิงก็ได้”
“พ่อกูไม่มีลูกซอง” ทำไมมึงมโนได้อันตรายขนาดนั้นฟะ
“อาจจะโดนซ้อม”
“พ่อเป็นคนมีเหตุผล ไม่ใช้กำลัง”
“ถ้างั้นก็อาจจะโดนไล่ออกจากบ้าน”
“น่าจะเป็นอย่างนั้น”
“เฮ้ออออ” สิบสองถอนหายใจเบาๆ “ไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึงเนอะ วันที่ต้องไปบอกพ่อกับแม่เกล้าสักที”
“ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องบอก”
“ขอบคุณนะครับ”
“ขอบคุณอะไรเหรอ” ผมมองกาแฟตรงหน้า มันยังมีอยู่เต็มแก้ว เพราะผมเอาแต่นั่งจมจ่อมอยู่กับความคิด
“ขอบคุณที่จริงจังกับผมครับ”
ผมยิ้มออกมานิดหน่อย “มึงจริงจังกับกูก่อน”
“...”
“อย่าทำให้กูผิดหวังล่ะ”
“ผมจะทำยังไงให้เกล้ารู้สึกดีขึ้นได้บ้าง” ทันทีที่สิบสองมาถึงมันก็โพล่งคำถามนี้ออกมาทันที มันทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามกับผม ก่อนส่งสายตามามองผมอย่างเป็นกังวล
“แค่มึงมาก็ดีแล้ว” ผมพูดอย่างจริงใจ
“เราจะโดนอะไรบ้าง” สิบสองยังแสดงท่าทีเครียดๆ อยู่
“อย่างมากก็แค่ด่า”
“...”
“และก็โดนไล่ออกจากบ้านไง อย่างที่คุยกัน”
ผมได้ยินเสียงสิบสองถอนหายใจ “จริงๆ แล้วผมยังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่นะ ดูผมตอนนี้สิ ผมยังไม่มีอะไรเลย”
“มันไม่สำคัญหรอกน่า”
“ก็เผื่อจะทำให้พ่อกับแม่เกล้ามองผมดีขึ้น”
“มึงรวยล้นฟ้าก็อาจไม่ได้ช่วยเลย”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ” สิบสองตกตะลึง “ท่าจะงานหินแล้วแฮะ”
“ไปกันเลยมั้ย”
“เฮ้ย อย่าเพิ่ง” สิบสองยกมือปรามผม “ขอเวลาจิบน้ำจิบท่าก่อน”
ผมผายมือเชิญให้สิบสองตามสบาย มองดูร่างสูงๆ ของสิบสองไปสั่งเครื่องดื่มมากิน ผมมองไปก็คิดไป ผมมาอยู่ในจุดที่ต้องการคำว่า ‘ผ่าน’ จากพ่อกับแม่เพราะไอ้เด็กคนนี้แล้วครับ จากวันที่เบื่อขี้หน้า วันที่รำคาญ วันที่เหนื่อยกับมันยามที่มันป่วนผม จนในที่สุดผมก็ต้องยอมมัน ยอมในความรักของมัน และวันนี้เป็นวันที่ผมยอมรับจริงๆ แล้วล่ะว่าผมเองก็ชอบมันไม่ใช่น้อยเลย
แม้จะมีเรื่องผู้หญิงมาให้เห็นบ้างประปราย (จำวันที่มันไล่บล็อกไลน์ผู้หญิงให้ผมดูได้มั้ยครับ) แต่ไม่เคยมีวันไหนที่มันผิดคำที่เคยให้ไว้ ไม่มีวันไหนที่มันกลับไปหากิ๊กแปดล้านคนของมันตั้งแต่ที่เอ่ยปากคบกับผม มันมีแต่เทียวมาหา คอยพาผมไปนั่นไปนี่ คอยทำให้ผมสบายใจขึ้นยามที่กระจกร้านผมถูกทุบ สิบสองช่วยผมแก้ปัญหา สิบสองช่วยปกป้องผมตอนที่แข่งรถนั้น
มันพิสูจน์ได้ว่าความรู้สึกที่สิบสองมีให้ผมนั้น...มันมากกว่าคำว่าผมเป็นแรงบันดาลใจให้มันเยอะเลย ผมเองก็อยากจะตอบแทนความจริงใจของมันด้วยการแสดงท่าทีที่จริงจังกับมัน
นี่คงไม่ใช่การลองคบกันอีกต่อไป...หลังจากคุยกับพ่อแม่ คงจะเรียกว่าการคบกันจริงๆ การจับมือร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคจริงๆ และจะไม่ปล่อยมือกัน...ผมหวังไว้อย่างนั้น ผมอยากให้สิบสองอดทนต่อสู้กับผม
เพราะในวันนี้ผมให้ความรู้สึกกับมันไป ‘มาก’ แล้ว
เราสองคนมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านของผม บ้านผมจัดได้ว่าเป็นบ้านที่มีขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่มากนะครับ (บ้านไอ้เชี่ยทิตใหญ่อย่างกับคฤหาสน์แน่ะ) มีพื้นที่หน้าบ้านมากพอให้จอดรถหลายคัน และมีสนามหญ้าหน้าบ้านที่ตอนเด็กๆ ผมมักจะมาวิ่งเล่นคนเดียวเสมอ (ลูกคนเดียวก็งี้) หลังจากที่มีร้านเป็นของตัวเองผมก็เอาแต่นอนที่ร้าน น้อยครั้งมากที่ผมจะกลับมานอนที่บ้าน
ผมรู้สึกราวกับว่าผมไม่ได้กลับมาที่บ้านนี้นานมากแล้ว...ตอนผมเดินเข้าไปก็เจอกับลุงยามที่หน้าบ้าน (แถวนี้เปลี่ยวขโมยขโจรก็อาจจะมีบ้างน่ะครับ) ลุงยามคนนี้เป็นคนละคนกับที่พ่อแม่ส่งให้ไปเฝ้าร้านผมครับ คนนี้ผมก็รู้จักมานานเหมือนกัน เพราะสลับกะเฝ้ายามกับคนที่พ่อแม่ของผมส่งไปเสมอ ผมทักทายลุงยามเล็กน้อยบวกกับแนะนำสิบสองให้ลุงยามรู้จัก
สิบสองเอาแต่จับมือที่ชุ่มเหงื่อของตัวเอง ดูมันจะประหม่าเอามากๆ ยิ่งมาเห็นบ้านมันก็ยิ่งประหม่า อาจจะเป็นเพราะบ้านของผมเงียบสงบมากเกินไปก็เป็นได้
“พร้อมนะ” ผมถามอีกฝ่าย
สิบสองสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนที่จะพยักหน้า...
พ่อกับแม่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น แม่กำลังอ่านหนังสือนิยายจากนักเขียนคนโปรด ส่วนพ่อใส่แว่นตาเล่นไอแพด พวกท่านอยู่ในวัยหกสิบต้นๆ ยังแข็งแรงและก็สนุกกับโลกยุคโลกาภิวัตน์อยู่
“พ่อกับแม่สวัสดีครับ” ผมส่งเสียงก่อนที่จะยกมือไหว้ ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมามองผมทันที แม่ผมตวัดสายตามองสิบสองอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับ” สิบสองยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
แม่วางหนังสือในมือลงแล้วก็มานั่งข้างๆ พ่อ พ่อมองสิบสองด้วยสายตางงงันว่าผมจะพาเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มาด้วยทำไม
“เหมือนมีเรื่องจะมาคุยกับพ่อแม่ใช่ไหม” พ่อมองเราสองคนผ่านแว่นตาหนาเตอะ
ผมพยักหน้า แม่ของผมเสมองไปทางอื่นทันที
“มีอะไรเหรอ”
ผมมองหน้าสิบสองที่สบตากับผม เขานั่งอยู่ข้างๆ ผมและก็ประจันหน้ากับพ่อแม่เหมือนกันกับผม
“ผมมีเรื่องจะคุยกับพ่อแม่”
“เราสองคนเป็นแฟนกันครับ” สิบสองพูดตัดประโยคของผมไปเลย ผมมองไปที่สิบสองอย่างตกตะลึง คนที่ตกตะลึงกว่าผมนั้นเห็นจะเป็นพ่อกับแม่อย่างแน่นอน
“อะไรนะ” พ่อทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“ผมกับเกล้าเราคบกันครับ”
“นี่มันอะไร” พ่อเสียงดังมากขึ้น ในขณะที่ผมรู้สึกถึงอาการหน้าซีดเผือดของตัวเอง
“คือว่า...”
“กำลังล้อเล่นอะไรกับพ่อหรือเปล่า พ่อไม่ตลกด้วยหรอกนะ”
“พ่อครับ มันเป็นเรื่องจริง” ผมรีบพูด
“เกล้า”
“มันชอบผม ผมชอบมันครับพ่อ”
แม่เสมองไปทางอื่น ทำหน้ารับไม่ได้อย่างยิ่ง ส่วนพ่อของผมนั้นลุกขึ้นยืนและเดินไปเดินมาตรงหน้าพวกเรา ท่าทางพร้อมจะระเบิดทุกเมื่อ ผมเห็นสิบสองกำมือแน่น สถานการณ์แบบนี้มันเองก็เพิ่งจะเคยพบเคยเจอ
“รู้หรือเปล่าว่าตัวเองอายุเท่าไหร่แล้ว” พ่อหันมาตวาดผม
“ผมทราบดีครับ”
“แล้วยังจะทำให้ชีวิตเป็นเรื่องเล่นๆ แบบนี้อีก”
“พ่อ ผมไม่ได้ล้อเล่น”
“ต้องการอะไรจากพ่อเหรอ ให้พ่อกล่าวคำยินดีกับเกล้าหรือไง พ่อทำไม่ได้หรอก”
“...”
“แล้วนี่รู้เหรอว่าจะไปกันรอด ท่าทางไอ้นี่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเขี้ยวเล็บ” พ่อมองสิบสองราวกับมองเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่มีแต่ความเพลย์บอย
“ผมรักลูกชายท่านครับ รักมานานแล้วด้วย ตั้งแต่เรียนมัธยม”
“ไอ้บ้า ฉันไม่ได้อยากรู้!”
“เผื่อท่านจะมองผมในแง่ดีบ้าง”
“...”
“ผมรู้ผมยังเด็ก แต่ผมดูแลลูกชายท่านเป็นอย่างดี ท่านต้องการพยานมั้ยครับ มีคนสามารถมาเป็นพยานให้ผมได้เยอะนะครับ”
ผมหันไปมองสิบสองอย่างไม่เข้าใจในคำพูดของเขา ถ้ามันพูดแบบนี้แสดงว่ามีคนรู้เรื่องของมันกับผมมากมายหลายคนเลยทีเดียว...
...เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้สถานการณ์ตรงหน้าเหมือนผมกำลังรอไม้เรียวจากพ่อยังไงก็ไม่รู้
ผมนับถือใจของสิบสองมาก แม้มือที่วางอยู่บนตักจะกำหมัดแน่นจนสั่น แต่มันก็ยังแสดงออกถึงความเข้มแข็งและความกล้าเผชิญหน้าอย่างลูกผู้ชายไม่มีขาดตกบกพร่อง แม้พ่อผมท่านใกล้จะฟิวส์ขาดแล้วก็ตาม แต่สิบสองก็ยังอยู่แบบนั้น พูดจาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง บ่งบอกถึงความรู้สึกที่มีต่อผมว่ามันคือความจริงใจ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
“ออกไปกันก่อน”
“พ่อครับ” ผมร้อง
“พ่อไม่คิดว่าพ่อจะสามารถรับสถานการณ์แบบนี้ได้ในเวลาอันรวดเร็วหรอก ออกไปก่อน!” พ่อไล่ผมกับสิบสองออกจากบ้าน
ผมกับสิบสองลุกขึ้นยืน เราสองคนก้มหน้าก้มตาเดินไปที่หน้าประตูบ้าน
สิบสองหันหลังกลับไปแล้วเดินไปเผชิญหน้ากับพ่อของผมอีกครั้ง ให้ตายเถอะ ไปรวบรวมความกล้าหาญมาจากไหนวะ
“ผมรู้ว่าท่านยังรับไม่ได้ และผมก็รู้ด้วยว่าท่านไม่ได้มองผมในแง่ดีเลย ตอนนี้ผมอาจจะยังดูเด็ก ดูไม่มีอะไรที่จะสามารถดูแลเกล้าได้ทั้งนั้น ผมรู้ว่าผมต้องพิสูจน์อะไรอีกมากมายหลายอย่าง ผมจะทำแบบนั้นจนกว่าพวกท่านจะยอมรับผม...” สิบสองหลับตาลงช้าๆ ราวกับไม่อยากที่จะพูดประโยคถัดไป “...แม้ว่าผมจะไม่อยากใช้นามสกุลของพ่อ แต่ถ้าหากทำให้พวกท่านยอมรับผมมากขึ้น ผมจะบอกก็ได้...”
“...”
“รู้จักนามสกุลกัญจขจรกุลมั้ยครับ”
“กูเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้นี่เองว่าการคบกับคนในวัยที่ต้องหาคู่ครองนี่มันยุ่งยากยังไง”
“จริงจังมากเลยใช่มั้ยวะ”
“กูต้องพูดนามสกุลพ่ออ่ะ ทั้งๆ ที่กูไม่อยากพูดเลย”
“แล้วมันช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้นมั้ย”
“กูไม่รู้ กูกับเกล้าพากันออกมาจากบ้านก่อน เกล้ากำลังจะกลับไปที่บ้านอีกรอบ”
“สู้ๆ นะเว้ยมึง ถ้ามึงผ่านเรื่องนี้ไปได้ กูว่าคงไม่มีอะไรให้กังวลแล้วล่ะ”
“...”
“เว้นเสียแต่เรื่องเด็กมึง”
“ไม่มีแล้ว เลิกนานแล้วโว้ย”
“...”
“ไอ้เดอะนิวสตาร์อะไรนั่น เห็นทีว่ากูต้องลงประกวดแล้วจริงๆ ว่ะ ถ้าชนะคงมีตังค์เยอะขึ้น”
“เหยดเข้ คิดดีแล้วใช่มั้ย”
“อืม...เพื่อเกล้าอะไรกูก็ทำได้ทั้งนั้นอ่ะ”
TBC*