-7-
ความสัมพันธ์ของกันต์ธีร์และอติวิชญ์คืบหน้าไปอย่างช้าๆ ต่างฝ่ายต่างไม่ก้าวก่ายกันเพราะคิดว่าการจู้จี้กับอีกฝ่ายมากเกินไปจะทำให้เกิดความอึดอัดใจได้ หลังจากที่คุยกันวันนั้นเวลาล่วงเลยไปเกือบเดือนจนใกล้ถึงวันเปิดเทอมแล้ว อติวิชญ์คิดว่าจะขอกันต์ธีร์เป็นแฟนในวันเปิดเทอมวันแรกถือว่าเป็นเรื่องตื่นเต้นให้เจ้าตัวไม่ทันตั้งตัว
วันนี้อติวิชญ์ชวนเขาออกไปทานข้าวเหมือนเดิม ตั้งแต่ที่บอกว่าจะจีบคราวนั้นการทานข้าวด้วยกันก็กลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว หลังจากทานข้าวเสร็จก็ทำกิจกรรมหลายอย่างเหมือนที่คนเป็นแฟนทำกันเพียงแต่ยังไม่ได้เป็นแฟนกันเท่านั้นเอง
กันต์ธีร์กำลังเล่นแอพพลิเคชั่นรูปภาพยอดฮิตเพื่อติดตามความเป็นไปของเพื่อนๆหรือคนที่รู้จัก รูปภาพชายหนุ่มยืนหันข้างกำหลังหลับตาพร้อมกับทำท่าเหมือนกับสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปอย่างเต็มปอด ชื่อบัญชีผู้ใช้เป็นของเพื่อนเขาและคนในรูปก็เป็นเพื่อนของเขานั่นละ เขาเลื่อนลงมาอ่านข้อความ เห็นข้อความของมีมี่ทำนองว่าไปก็ไม่ชวน จะไปก็ไม่บอกจะฝากซื้อของ ส่วนเขาก็แต่ส่งข้อความแซวตามประสาเพื่อนสนิท
Tru.. Tru.. Tru..
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างที่กำลังท่องโลกโซเชียล คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเพื่อนอีกคนของเขาและก็คงจะพูดเรื่องที่อินสตาแกรมแน่นอน
“ฮัลโหล ว่าไงมี่” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยรับสายของเพื่อนตัวเอง
‘แกเห็นไอจีโอมหรือยัง’ เสียงหญิงสาวดังผ่านโทรศัพท์เข้ามา น้ำเสียงตื่นเต้นเหมือนมีเรื่องสำคัญแต่กันต์ธีร์รู้ว่าตอนนี้มีอยู่เรื่องเดียวนั่นล่ะที่สำคัญที่สุดตอนนี้
“เห็นแล้ว”
‘มันไปตอนไหนนี่ ไม่บอกเพื่อนเลย’
“มันคงมีความลับน่ะ เราก็เพิ่งเห็นเหมือนกัน”
‘นั่นสิเนอะ จริงๆฉันก็แค่อยากฝากซื้อของน่ะ ฮิฮิ เออว่าแต่แกอยู่ไหนนี่’ ว่าแล้วไม่มีผิด พวกเขาไม่เคยคิดมากเรื่องของเพื่อนๆ ถึงจะสนิทกันแค่ไหนบางครั้งเพื่อนก็ยังอยากมีเวลาส่วนตัวบ้างแม้แต่ตัวเขาเอง ส่วนตัวกันต์ธีร์เองก็ไม่เคยโกรธเพื่อยหากเพื่อนมีความลับส่วนตัวที่ไม่อยากบอกหรือไม่พร้อมที่จะบอก
“ไปกินข้าวข้างนอกมา กำลังกลับบ้าน”
‘ไปกับนายมิกอีกล่ะสิ เมื่อไหร่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการคะเพื่อน’ กันต์ธีร์ไม่เคยมีความลับกับเพื่อนๆอยู่แล้ว เรื่องของเขากับอติวิชญ์ทุกคนสนับสนุนให้คบกันเพราะรู้ว่าเขาชอบอีกฝ่ายมากขนาดไหน ไม่ใช่ว่าไม่อยากคบกันแต่แค่อยากเรียนรู้นิสัยใจคอของอีกฝ่ายก่อน ถึงจะชอบขนาดไหนแต่ถ้าเข้ากันไม่ได้ก็คงต้องขอลา
“ก็เรื่อยๆนะ แบบนี้ก็โอเคดี”
‘จ้าๆ ไม่รีบก็ไม่รีบเพิ่งได้ทำความรู้จักกันไม่นานนี่เนอะ เพื่อนว่าไงเพื่อนก็ว่าตามค่ะ’
“ใช่ ก็เลยเรื่อยๆน่ะ” ฝ่ายอติวิชญ์ก็เหลือบมาของเขาทุกครั้งที่เขาตอบเพื่อนไป พอเขาหันกลับไปถามก็ได้แต่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
‘ถ้าอย่างนั้นฉันไม่กวนเวลาสวีทกันแล้ว อิจฉาคนมีความรัก บายนะเพื่อน’
“บาย” หลังปิดเทอมได้ไม่นานมีมี่ก็กลับมาโสดอีกครั้ง เจ้าตัวเล่าว่าคนที่คุยกันอยู่ไม่โอเค รู้สึกเข้ากันไม่ได้เลยก็เลยต้องยุติความสัมพันธ์ อีกฝ่ายเป็นเพื่อนของพี่รหัส เมื่อเจ้าตัวรู้ว่าไม่โอเคก็ไม่อยากที่จะยืดความสัมพันธ์เพราะถ้าหากยืดเยื้อต่อไปอาจทะเลาะกันแล้วมองหน้ากันไม่ติดเปล่าๆ เลยรีบหยุดตั้งแต่รู้ตัวว่าไม่ใช่ จากกันด้วยดีดีกว่าทะเลาะกันแล้วจบไม่สวย
“ใครโทรมาเหรอ” เสียงทุ้มถามเขาหลังจากที่วางสายของเพื่อน
“มี่ไง รู้อยู่แล้วยังจะถามนะ”
“ก็ถามแกล้งไปอย่างนั้นล่ะ”
“อือ มี่มันโทรมาคุยเรื่องโอมน่ะ”
“อันนี้เราไม่ได้ถามนะ เล่าทำไม” อติวิชญ์กำลังกวนเขาอีกแล้ว
“ก็จะบอกแค่นี้ล่ะ”
“เห้ย ล้อเล่น เปิดเรื่องมาแล้วก็เล่าดิ เผื่อมีอะไรจะได้ให้คำปรึกษา” อีกฝ่ายเอื้อมมือมาจับแขนเขา ‘หึหึ แค่จับมือจับแขนไม่เสียหายหรอก อีกอย่างอยู่กันแค่สองคนบนรถไม่ต้องอายใครด้วย’ กันต์ธีร์คิดในใจก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องของเพื่อนให้ฟัง
“มันก็ไม่มีอะไรหรอก แค่เดี๋ยวนี้โอมมันชอบทำตัวมีความลับน่ะ อย่างล่าสุดนี่ก็ไปญี่ปุ่นไม่บอกเพื่อนสักคำ มี่มันบ่นใหญ่เลยว่าอยากฝากซื้อของ” กันต์ธีร์คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับอติวิชญ์ทุกเรื่องของกันต์ธีร์สำคัญเสมอแม้จะเป็นเรื่องที่เจ้าตัวคิดว่าเล็กน้อยก็ตาม
“อ่อ เขาก็คงอยากมีเวลาส่วนตัวกับคนรู้ใจของเขาล่ะมั้ง”
“ก็รู้ แต่ปกติมีอะไรก็บอกกัน จะมีแฟนก็ไม่มีใครว่าเลยแต่กับคนนี้ไม่ยอมบอกเพื่อนเลย”
“เอาน่า เดี๋ยวเขาพร้อมก็คงบอกนั่นล่ะ เขาอาจจะกลัวเพื่อนไม่พร้อมเข้าใจเขาหรือเปล่า”
“พูดเหมือนรู้ว่าเพื่อนเรามันคบใครอยู่อย่างนั้นล่ะ”
“เปล๊า! เราก็เดาๆตามประสาผู้ชายน่ะ” เสียงสูงขนาดนี้มีพิรุธแน่นอน แต่เขาก็ไม่อยากคาดคั้น รอเพื่อนของเขาบอกเองก็ได้ แต่เอ๊ะ! อติวิชญ์พูดเหมือนว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายอย่างนั้นล่ะ
“แล้วเราไม่ใช้ผู้ชายหรือไง”
“เห้ย ไม่ได้หมายความแบบนั้น เราหมายถึงตามสัญชาตญาณเราน่ะ”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร ร้อนตัวนะเราน่ะ ฮ่าๆๆ”
“หึหึ” เสียงในลำคออีกแล้ว ก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้หัวเขา ชอบจังเลยนะผมของเขานี่
.
.
วันมะรืนนี้ก็จะถึงวันเปิดเทอมแล้ว อติวิชญ์กะว่าจะขอกันต์ธีร์เป็นแฟนในวันนั้น หวังว่าคงจะไม่มีอะไรผิดพลาด ทุกวันนี้ก็เหมือนเป็นแฟนกันอยู่แล้ว แต่เขาอยากทำอะไรให้มันมั่นคงถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่เขาอยากให้อีกฝ่ายมั่นใจในตัวเขา เพราะถ้าเขาคบใครก็อยากให้เป็นหนึ่งเดียวในใจเขา เขาเองก็อยากอีกฝ่ายเป็นหนึ่งเดียวในใจเขาเช่นกัน การขอเป็นแฟนเหมือนเป็นการแสดงว่าเขาจะไม่เปลี่ยนใจจากกันต์ธีร์
Tru… Tru… Tru…
“เออ ว่าไงวะเจมส์” เสียงทุ้มกรอกลงไปในสายโทรศัพท์
“เปิดเทอม ‘ตี้กันหน่อยไหมเพื่อน”
“กูไม่ว่างว่ะ วันหลังแล้วกันนะ”
“มึงนัดกับแฟนมึงหรือ แล้วก่อนเปิดเทอมล่ะมึง”
“ยังไม่ใช่แฟนเว่ย แล้วเพื่อนรักมึงกลับจากญี่ปุ่นแล้วไง กลับมามันก็คงอยากสวีทกับแฟนมันล่ะมั้ง”
“เออว่ะ จริงด้วย คู่นี้แม่งมาแรงชิบหาย แซงคู่มึงไปแล้ว”
“เออ”
“ไปแอบแซ่บกันแล้วค่อยมาบอกเพื่อน”
“แต่เพื่อนอีกฝ่ายเขายังไม่รู้นะเว่ย ว่าเพื่อนเรากินเพื่อนเขาแล้ว”
“แหม่ คงรู้หรอกมึง เล่นปิดเงียบขนาดนั้น ถ้ามันไม่หลุดปากกับเรา พวกเราจะรู้ไหม”
“เออ”
“เรื่อง ‘ตี้วันหลังแล้วกัน ดีนะที่กูมาชวนมึงคนแรก แผนนี้พับเก็บไปก่อน บายเว่ย” พูดจบเพื่อนของเขาก็วางสายไป ส่วนเขาต้องเตรียมของให้เรียบร้อยสำหรับเซอร์ไพรส์วันศุกร์นี้
.
.
เปิดเทอมวันแรกอาจารย์ยังมาสอนอะไรมาก บางท่านแจกแค่เอกสารประกอบการเรียนเท่านั้นก็เลิกคลาส กลุ่มของกันต์ธีร์นั่งเล่นอยู่ที่ใต้ตึกคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มีเรื่องให้คุยกันมากมายเพราะปิดเทอมไปไม่ค่อยได้เจอกันเลย ยิ่งใกล้ช่วงที่ใกล้เปิดเทอมมีใครบางคนหนีไปเที่ยวไม่ยอมบอกเพื่อน
“ไหนๆ ของที่แกจะเอามาขอขมาฉันไอ้โอม” เสียงเพื่อนสาวของเขาดังขึ้นมาทวงหาของขวัญจากการไปเที่ยวต่างประเทศของโอม
“เออ เอานี่ ไม่รู้จะซื้ออะไรมาให้เลยซื้อพวกเครื่องสำอางมากฝาก”
“ดีงามพระรามแปดเลยค่ะคุณเพื่อน”
“สนุกสินะมึง แต่เวลาของมึงหมดแล้วโอม หึหึ” กันต์ธีร์พร้อมที่จะซักฟอกเพื่อนให้ขาวสะอาด
“อะไรของมึงวะกาย”
“ก็ไม่อะไร แค่อยากรู้ว่าไปเที่ยวนี่ใครถ่ายรูปให้วะ”
“เอ่อ ก็ คนแถวๆนั่นล่ะ กูไปคนเดียวจะให้ใครถ่ายให้วะ”
“หรือคะเพื่อน ถึงแกจะให้ของฉันแต่แกก็ไม่รอดหรอก”
“กูไปคนเดียวจริงๆ”
“แล้ววันนั้นไปดูหนังกับใคร กูคุ้นหน้าเขาจังเลย ไปญี่ปุ่นกับคนนี้เหรอ” กันต์ธีร์ไม่เห็นหรอกว่าคนนั้นเป็นใคร เขาแค่อยากจะแกล้งเพื่อนว่าเขาเห็นหน้าคนนั้นก็เท่านั้น เพื่อนของเขาทำหน้าตกใจแบบสุดขีด ตั้งแต่เกิดมากันต์ธีร์ไม่เคยเห้นเพื่อนตกใจขนาดนี้มาก่อนเลย
“วันไหนวะมึง” แต่เพื่อนเขายังทำเป็นกลบเกลื่อนเหมือนไม่มีอะไร
“หลังปิดเทอมที่แล้วได้ไม่นาน วันที่กูไปดูหนังกับมิก” ตัวกันต์ธีร์เองก็พูดอะไรแบบไม่ได้คิดไว้ก่อนเหมือนกัน โอมกับมีมี่หันไปมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
“แหมๆ อีคู่นี้ก็ใช่ย่อย เดทกันทุกวัน แล้วบอกไม่ใช่แฟนกัน”
“อย่าเพิ่งวกมาที่เราสิมี่ ฟอกไอ้โอมก่อน”
“ค่ะๆคุณเพื่อน”
“เอ่อ มึงเห็นเหรอวะกาย”
“เห็น แต่ขี้เกียจเข้าไปทัก หมั่นไส้ทำตัวลับๆล่อๆ”
“มึงก็น่าจะรู้ว่าเขาดัง เป็นลูกเจ้าของดิเอ็มนะมึง ไปเดินห้างเขาก็ต้องทำแบบเพื่อนกันน่ะ”
“นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึงคบกับโก้” เขาแค่หลอกถามจากมันแต่ไม่คิดว่ามันจะยอมเผยไต๋ออกมาแบบนี้ ปกติโอมไหวพริบจะตาย ทำไมรอบนี้ถึงดูหลุดๆได้นะ
“อ้าว ไหนมึงบอกว่ามึงเห็นแล้วไง”
“เปล่า กูหลอกถามมึงเฉยๆ”
“มึงแม่ง กูก็ว่ามึงรู้แล้วเลยไม่อยากปิด”
“โอม แกก็คิดมากแค่คบกับลูกเจ้าของห้างฯ”
“ไม่ต้องคิดมากเลยมั้งมี่ มีแต่คนรู้จัก” กันต์ธีร์เข้าใจเพื่อนของเขาดี มันคงรู้สึกอึดอัดเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงลูกเจ้าของห้างดิเอ็ม ใครๆก็ต้องจับตามองเป็นธรรมดา ถ้ามีข่าวว่าคบกับผู้ชายมันอาจจะดูไม่ดีแต่ถ้าอีกฝ่ายจริงจังกับเพื่อนเขาก็ดี เขาคิดเสมอว่าจะทำอะไรต้องดูสิ่งแวดล้อมรอบข้างด้วยจะคิดถึงแต่ตัวเองไม่ได้ โอมมันก็คงคิดแบบเขาถึงยังไม่อยากให้ใครรับรู้เรื่องของตัวเอง แต่ถึงยังไงถ้าคบกันแล้วไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ดีที่สุดแล้ว
“เออแล้วพวกแกคบกันนานยัง”
“เปิดเทอมปีสองอะ”
“โห ก็นานแล้วเหมือนกันนะนี่ ถึงว่าสิตอนปีสองแกชอบทำตัวลับๆล่อๆ แต่พวกแกก็เนียนเนอะ ฉันจำได้ว่าพวกเราเคยไปเจอโก้ที่ห้าง แกสองคนยังทำเป็นทักทายเหมืนคนเพิ่งรู้จักกันเลย”
“ก็นั่นล่ะ อันที่จริงก็กลัวเพื่อนๆโกรธน่ะที่คบผู้ชายเลยไม่กล้าบอก”
“เดี๋ยวก่อนพวกฉันจะโกรธแกทำไม ดูไอ้กายสิมันยังบอกชอบผู้ชายเลย”
“เออ ก็เราลืมคิดตรงนั้นน่ะมี่”
“วกมาที่เราอีกแล้วนะมี่” ‘สงสัยรายต่อไปจะเป็นเรา’ กันต์ธีร์คิดในใจก่อนจะทำเป็นชวนคุยเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วแกล่ะกายคบกันมิกหรือยัง คุยกันนานแล้วนะ”
“ยัง ก็รอเจ้าตัวขออยู่”
“มึงจะรอทำไมวะ มึงเป็นผู้ชายขอก่อนไม่เสียหายหรอก”
“กูไม่กล้า กูป๊อดมึงก็รู้ เผื่อโดนปฏิเสธมาจะทำไง”
“กายแกคิดมาก เขาแสดงออกขนาดนี้ ไม่มีทางเงิบหรอก”
“เออแล้วพวกมึงโจ๊ะกันยังวะ” โอมถามขึ้นมาระหว่างคุยกับมีมี่อยู่ ไอ้นี่ชอบหยายคายตลอดเลย
“ไอ้บ้า แกจะถามทำไมวะ เรื่องคนสองคน เออว่าแต่พวกโจ๊ะกันยัง” มีมี่ก็อีกคน เห็นสวยๆแบบนี้ก็ชอบทำตัวห้าวไม่ พูดอะไรตรงแบบสุดๆ บางครั้งเขาเองยังตกใจกับคำพูดของเพื่อนว่าไม่อายหรือไง พูดเรื่องแบบนี้กับเพื่อนๆ ด้วยความที่พวกเขาสนิทกันพูดกันเลยไม่แปลก แต่ถ้าคนอื่นได้ยินมันดูไม่ดีเลย
“เบาๆสิ ยังไม่โจ๊ะ” กันต์ธีร์ได้แต่ขำในใจ เพราะตัวเขาเองก็เป็นแบบเพื่อนนั่นล่ะ ถึงจะปากกล้ายังไงเวลาอยู่ต่อหน้าอติวิชญ์เขาก็ยังปอดแหกอยู่ดี ทำได้เพียงหยอกนิดๆหน่อยๆเท่านั้น
“ไอ้มิกช้าว่ะ รอนานอะไรขนาดนั้นจะห้าเดือนละมั้ง”
“ก็ดีแล้วนี่ แกน่ะว่าแต่เขาโก้ของแกล่ะ ทะนุถนอมแกหรือจัดตั้งแต่วันแรก ฮิฮิ”
“เห้ย ไม่เกี่ยวกันๆ ถามแต่ไอ้กายโน่น” เพื่อนชายของกันต์ธีร์ทำหน้าแดงก่อนปฏิเสธพัลวัน ท่าทางแบบดูก็รู้แล้วว่าแฟนเพื่อนของเขาทะนุถนอมขนาดไหน หึหึ
“ฮ่าๆ/ฮ่าๆ”
.
.
หลังเลิกเรียนอติวิชญ์แยกย้ายกับเพื่อนก่อนไปรับกันต์ธีร์ที่คณะพาณิชฯ วันนี้เขาตั้งใจแล้วว่าทุกอย่างจะต้องดำเนินไปด้วยดีไม่มีอะไรติดขัด ทันทีที่รถเขาเข้าไปจอดก็เห็นอีกฝ่ายบอกลาเพื่อนๆ พูดคุยอะไรกันนิดหน่อยก่อนเจ้าตัวจะเบะปากแล้วเดินมาทางเขา
“โทษทีวันนี้ช้า มัวแต่ไปดูปีสองแนะแนวน้องปีหนึ่งอยู่”
“ไม่เป็นไร เพิ่งมา ก็เห็นอยู่”
“อื้อ น้องมิ้นท์น่ารักมากเลย อยากได้เป็นสายรหัส”
“ไม่เอาหวง เดี๋ยวมัวแต่ไปดูหลานรหัส”
“นั่นน้องนะ” อติวิชญ์ทำเป็นเงียบก่อนจะขับรถออกจากตึกเพื่อไปทานข้าวกับเย็นกับกันต์ธีร์
“ทำเป็นขรึมนะไอ้ยักษ์” เขาชอบให้กันต์ธีร์เรียกเขาว่ายักษ์เพราะมันเหมือนเป็นชื่อพิเศษที่อีกฝ่ายตั้งให้เขาโดยเฉพาะ เพราะมีคนเดียวที่เรียกเขาแบบนี้
“เอ้อ คิดไงให้น้องอยู่หอใน”
“ก็เห็นอยากอยู่เอง ของพ่อกับแม่ว่าจะกลับบ้านทุกอาทิตย์” น้องสาวของเขาเพิ่งจะสอบเข้าได้คณะเดียวกับกันต์ธีร์ เจ้าตัวดีใจมากขอพ่อกับแม่อยู่หอในแล้วแลกกับการให้ไปรับกลับบ้านทุกอาทิตย์ไม่ให้กลับบ้านเอง ซึ่งน้องสาวของเขาก็ยินดีกับข้อแลกเปลี่ยนนั้น โชคดีที่กันต์ธีร์เรียนคณะเดียวกันกับน้องเขา จะได้คอยดูแลน้องสาวของเขาด้วยเพราะยังไงกันต์ธีร์ก็เสมือนเป็นพี่ชายอีกคนของน้องเขาแล้ว
“กลับบ้านไปเปลี่ยนชุดก่อนไหม จะใส่ชุดนักศึกษาไปกินข้าวหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยถามกันต์ธีร์ วันนี้วันสำคัญเขาก็อยากให้อีกฝ่ายแต่งตัวหล่อๆ
“มาแปลก ปกติก็ใส่ชุดนี้ไปกินไม่ใช่หรือไง”
“ก็ใช่แต่วันนี้เปิดเทอมวันแรกไงเลยอยากฉลองเปิดเทอม โทรจองโรงแรมฟ้าสางไว้”
“ฉลองทำไมก็แค่เปิดเทอม”
“เอาน่า ฉลองนิดเดียวเอง”
“ตามใจ ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านเปลี่ยนชุด แล้วมิกจะใส่ชุดนักศึกษาไปหรือไง”
“อ๋อ เราเอามาเดี๋ยวไปอาบน้ำเปลี่ยนที่บ้านกายไง” อติวิชญ์วางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว เขาจัดของเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเตรียมชุดมานอนที่บ้านกันต์ธีร์ เขาบอกพ่อกับแม่เอาไว้แล้วว่าจะมาค้างที่นี่เพราะพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ พ่อกับแม่ของเขาไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่ท่านกลัวว่าจะไปรบกวนครอบครัวคุณอาจักร ซึ่งเขาเองก็รับรองว่าไม่รบกวนแน่นอน
“ครับไอ้ยักษ์”
“ครับหมีน้อย ฮ่าๆ”
เมื่อถึงบ้านของกันต์ธีร์ อติวิชญ์ก็หยิบสัมภาระที่เตรียมมาขึ้นไปที่บ้านของกันต์ธีร์ เขายังไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าวันนี้เขาจะมาค้างที่นี่ ค่อยบอกหลังจากขอเป็นแฟนแล้วกัน
“พ่อครับ ย่าครับ กลับแล้ว” กันต์ธีร์สงเสียงเรียกทักทายพ่อกับย่า วางของที่ห้องรับแขกก่อนจะเดินเข้าทักที่ห้องทานอาหาร
“อ้าวลูก มากินข้าวกันไหม พ่อคิดว่าวันนี้ลูกจะกลับดึก” พ่อของกันต์ธีร์ทักทายเขาก่อนจะชวนทั้งคู่ทานมื้อเย็น แต่ว่าวันนี้เขาคงขอเสียมารยาทปฏิเสธผู้ใหญ่ทั้งสอง
“ขอบคุณครับพ่อ แต่ว่าวันนี้ไม่ดีกว่า พอดีกายแค่กลับมาเปลี่ยนชุด มิกเขาชวนไปทานข้าวข้างนอกแต่ต้องแต่งตัวดีดีไปน่ะครับ”
“แหม่ ไอ้ลูกเขย จะขอลูกพ่อแต่งงานหรือไง นี่นัดดินเดอร์ใต้แสงเทียนใช่ไหม”
“เย้ย พ่ออะ พูดอะไรครับ แค่ทานข้าวเฉยๆนั่นล่ะ” “คุณพ่อรอฟังข่าวดีได้เลยครับ” เขาแค่แกล้งกันต์ธีร์เล่นเท่านั้น แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงก็ไม่ต่างจากการขอแต่งงานหรอก เพียงแค่ขอเป็นแฟนไปก่อนเท่านั้นเอง
“ฮ่าๆๆ พ่อถูกใจจริงๆ”
“พ่ออะ เดี๋ยวกายไปเก็บของก่อนนะครับพ่อ ไปนะครับย่า”
“จ๊ะๆ แล้วตามิกจะใส่ชุดนี้ไปเหรอลูก ย่าว่ายืมชุดพ่อเขาใส่ไหม”
“ไม่เป็นไรครับคุณย่า ขอบคุณมากครับ พอดีผมเตรียมมาด้วยน่ะครับ ว่าจะขอยืมรีดผ้าสักหน่อย”
“โอ๊ย ไม่ต้องๆ ดาวมาเอาชุดตามิกไปรีดให้หน่อย ส่วนเราก็ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าซะ เดี๋ยวให้ดาวเอาชุดขึ้นไปให้” สาวใช้บ้านของกันต์ธีร์มารับเสื้อผ้าของเขาไปรีดให้ เสียงทุ้มเอ่ยขอบคุณก่อนจะขอตัวขึ้นไปหากันต์ธีร์ข้างบน
หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วทั้งคู่ก็ออกมาจากบ้านก่อนจะตรงไปที่โรงแรมฟ้าสาง
“จองไว้กี่โมงล่ะ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามเขาระหว่างที่รอรถติดไฟแดง วันนี้วันสุดสัปดาห์การจราจรบนท้องถนนติดขัด โชคดีที่อติวิชญ์จองไว้ตอนสามทุ่มทำให้เหลือเวลาการเดินทางเหลือเฟือ ที่สำคัญเวลานี้ครัวที่โรงแรมจะปิดแล้วแต่เขาขอไว้เป็นกรณีพิเศษเพราะอยากได้ความเป็นส่วนตัว อีกอย่างเขากลัวกันต์ธีร์จะเขินเมื่อมีแขกคนอื่นทานอาหารกันอยู่ ตัวของเขาเองก็อายเหมือนกันที่จะทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าคนหมู่มาก
“สามทุ่ม ยังไงก็ทัน”
“ทันที่ไหนล่ะ ครัวเขาปิดสองทุ่มไม่ใช่หรือไง”
“เราบอกเขาไว้แล้ว เขาจะเตรียมไว้ให้” กันต์ธีร์หันมามองเขาหมายว่าจะจับพิรุธ อติวิชญ์ตั้งใจขับรถอย่างขะมักเขม้น เพียงแค่ไม่หันไปสบตาก็จับพิรุธเขาไม่ได้แล้ว
“รถติดขนาดนี้จะถึงกี่โมงนี่” เสียงกันต์ธีร์บ่นตลอดทาง จราจรติดขัดตลอดทางไปโรงแรมฟ้าสาง อติวิชญ์เองก็กลัวจะไม่ทัน ถ้าเกิดไปช้าทางโรงแรมอาจจะคิดว่าเขาไม่ไปแล้วก็เป็นได้ จะโทรไปบอกตอนนี้ก็กลัวกันต์ธีร์จะจับได้ ได้แต่ภาวนาให้รถเลิกติดเร็วๆ
“ตื่นเต้นอะไรนี่ ยังไม่สองทุ่มเลยยังไงก็ทัน อยากโดนขอแต่งงานเร็วเหรอ”
“ก็อยากให้ขอแล้วนี่… เห้ย บ้าสิ หิวเฉยๆ” กันต์ธีร์ปฏิเสธเสียงแหว โมโหกลบเกลื่อนอาการเขินอายที่ถูกจับได้
“หึหึ อดทนก่อนนะหมีน้อย”
“มีหน้าที่ขับรถก็ขับไปอย่าพูดมากนะไอ้ยักษ์”
ทันทีที่จอดรถเสร็จกันต์ธีร์ก็บ่นขึ้น รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้อีกฝ่ายขี้บ่นขึ้นเล็กน้อยแต่เขาก็ยังรับได้ คงกลัวว่าจะมาไม่ทันน่ะสิ ตัวเขาเองก็ตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน
“เกือบไม่ทันแล้วอีกสิบห้านาทีเอง แล้วทำไมวันนี้รถติดนักก็ไม่รู้”
“เอาน่าถึงแล้วนี่ไง รีบเข้าไปกันเถอะ”
“อติวิชญ์ที่จองห้องอาหารเอาไว้น่ะครับ” เมื่อถึงเสียงทุ้มก็แจ้งกับทางพนักงานต้อนรับของโรงแรมเรื่องห้องอาหารที่เขาจองเอาไว้ ถ้ามากว่านี้อาจจะไม่ทันจริงๆก็ได้
“รอสักครู่นะคะ พนักงานกำลังจัดโต๊ะให้ค่ะ เชิญคุณอติวิชญ์ขึ้นไปรอเลยก็ได้ค่ะ”
ในห้องอาหารมีเพียงแสงเทียนสว่างไสวจากโต๊ะที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่างของโรงแรม มีเพลงคลาสสิกเปิดคลอเบาๆ พนักงานจัดโต๊ะอาหารเสร็จก็หันมาเชิญทั้งสองเข้าไป ก่อนจะไปเตรียมหยิบอาหารสำหรับมื้อเย็นที่แสนโรแมนติกนี้
“กลับตอนนี้ทันไหมมิก อายว่ะ ขนาดมีแค่โต๊ะเดียว” กันต์ธีร์เอ่ยขึ้นมาอย่างติดตลก เขารู้ว่าเจ้าตัวก็ดีใจที่เขาชวนมาทานอาหารค่ำที่บรรยากาศดีแบบนี้
“ไม่ทัน แล้วคิดว่าเราไม่อายหรือ ก็อายเหมือนกันนั่นล่ะ”
“ขออนุญาตเสิร์ฟอาหารนะครับ อาหารจานหลักวันนี้คือสเต็กเนื้อแกะ ทานคู่กับสปาเก็ตตีล็อบสเตอร์ มีเครื่องเคียงเป็นซีซ่าร์สลัดครับ” เมื่อบริกรชายเดินเข้ามาเสิร์ฟอาหารกันต์ธีร์ก็ทำตาโตใส่เขา มื้อนี้เขาอยากให้มันพิเศษที่สุดจึงทุ่มไม่อั้นกับเมนูอาหาร
“นี่กะจะให้กลิ้งกลับใช่ไหม”
“เดี๋ยวให้ขี่หลังกลับ ถ้ากายเดินไม่ไหว” อ้วนกว่านี่เขาก็ยกไหว หึหึ เขารู้ว่าอีกฝ่ายดูแลหุ่นของตัวเองซึ่งเขาเองก็ดูแลหุ่นเหมือนกัน แต่มื้อนี้ยังไงก็ต้องดีที่สุด ค่อยไปบริหารร่างกายเอาไขมันออกทีหลังยังทัน เพราะหลังๆมานี้เขาทั้งคู่ไม่ค่อยได้ไปออกกำลังกายเลย นานๆครั้งถึงไปยิมที หลังจากนี้กันต์ธีร์คงจะชวนเขาไปบ่อยขึ้นแน่ๆ
“เอาของว่างมาเสิร์ฟเลยนะครับ” อติวิชญ์หันไปบอกพนักงานให้นำของว่างมาเสิร์ฟ เป็นโค้ดลับของเขาที่สั่งพนักงานเอาไว้
“ยังมีอีกเหรอ กินไม่ไหวแล้วนะ” กันต์ธีร์เริ่มบ่นออดแอดใส่เขาแล้ว ท่าทางเจ้าตัวคงจะทานไม่ไหวแล้วแน่ๆ
“ไม่เยอะหรอก นิดเดียวเอง”
พนักงานเดินถือจานของหวานมาหนึ่งอย่าง เขารู้มาว่ากันต์ธีร์ชอบทานเค้กช็อกโกแลตมากและเขาก็รู้ว่าต่อให้อิ่มขนาดไหนเจ้าตัวก็ยังทานของโปรดได้อย่างแน่นอน
เมื่อเสิร์ฟของว่างเสร็จพนักงานก็หายไปอีกครั้งก่อนจะกลับมาพร้อมกับกล่องเหล็กสองกล่องมาวางที่ด้านขวามือของเขา กันต์ธีร์มองกล่องอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ยอมจับมัน ส่งสัญญาณให้เขาเปิดกล่องนั้นก่อน ฝั่งเขาเองก็มีหนึ่งกล่องเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นเปิดพร้อมกันนะ”
“ก็ได้” ต่างคนต่างเปิดกล่องเหล็กนั้นออกมา ภายในเป็นสายหนังรัดข้อมือสลักชื่อของเขาสองคนเอาไว้ เส้นเชือกที่ทำเป็นที่มัดถูกทำขึ้นอย่างดีเพื่อป้องกันการหลุดหรือขาด หนังที่ใช้ทำแผ่นสลักก็เป็นหนังแท้อย่างดีที่สั่งทำขึ้น ถึงจะเป็นเพียงแค่สายรัดข้อมือแต่เขาอยากให้เป็นสายรัดที่ดีที่สุดสำหรับกันต์ธีร์แฟนของเขา
“กายเป็นแฟนกับมิกนะ” เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะหยิบสายรัดข้อมือที่สลักชื่อของเขา ‘MICK’ มาผูกสวมให้กันต์ธีร์ เจ้าตัวเขินได้แต่ทำตัวแข็งทื่อ เขาเองก็สั่นไม่แพ้กัน
“สวมให้เราด้วยสิ” กันต์ธีร์รับคำเบาๆก่อนจะนำสายรัดมาผูกสวมให้เขา โดยสลักชื่อเอาไว้ว่า ‘GUY’
“เขินหรือ มือสั่นเชียว”
“ไม่เขินก็คงเป็นก้อนหินแล้วมิก” ถึงจะเป็นเวลาแบบนี้แต่เขาก็อยากให้กันต์ธีร์ผ่อนคลาย ลดอาการตื่นเต้นลงบ้าง เพราะนี่ก็ช่วยให้เขาผ่อนคลายได้เช่นเดียวกัน
“ตกลงเราเป็นกันจริงๆแล้วใช่ไหม”
“อื้ม”
“ขอบคุณครับกาย”
“ขอบคุณเหมือนกันครับมิก”
“แหวนค่อยเอานะ เดี๋ยวทำงานเก็บเงินซื้อให้”
“ให้แค่นี้ก็ดีใจแล้ว” ภายใต้แสงเทียน ชายหนุ่มทั้งสองคนนั่งมองหน้ากันต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กัน ทั้งสองรู้ดีว่าหลังจากวันนี้ไปทุกอย่างจะชัดเจนขึ้น อาจจะมีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปและบางอย่างจะคงอยู่เหมือนเดิมแต่ไม่ว่าจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป ความมั่นคงที่ทั้งสองมีให้กันจะยังคงอยู่แข็งแรงดุจหินผา แสงจันทร์ที่สาดส่องบนท้องฟ้าในยามนี้เป็นเสมือนพยานรักของพวกเขา นับจากนี้ไปอติวิชญ์และกันต์ธีร์เป็นแฟนกันอย่างเป็นทางการแล้ว…
To Be Continue…ตอนที่ 7 มาแล้ว ขอโทษที่หายไปนาน
ยาวจุใจพอไหมเอ่ย .. หวังว่าผู้อ่านทุกคนจะชอบกันนะครับ
ปล.หากเจอคำผิด บอกได้เลยนะครับ