Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Guardian Of Heart ผู้พิทักษ์ใจ(Fantasy) Spe : Hozier & Preme2/2 P.15 10/6/17  (อ่าน 98932 ครั้ง)

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
บทที่ 12

    ความไว้ใจคือสิ่งที่อันตรายที่สุด หากแต่ทุกคนที่มีความรู้สึกนึกคิดก็ยังเลือกที่จะไว้ใจคนรอบกายนอกจากตัวเอง บางครั้งความเชื่อใจไว้ใจนั้นอาจนำมาซึ่งความเกื้อกูลแต่บางครั้งก็นำมาซึ่งการทรยศหักหลัง ถูกทำร้ายในยามที่ไม่ระวัง ดังเช่นที่เวลอร์เคยประสบ 

    พลังในการควบคุมประตูระหว่างภพถูกใช้เพื่อการปกป้องมนุษย์จากอันเดธแต่ก็มีคนที่ใช้มันเพื่อตัวเอง พวกเขาคอยขัดขวางคนเหล่านั้นมาตลอดโดยไม่นึกเลยว่าเพื่อนที่รักที่สุดก็คิดแบบนั้น 

    เพราะถูกลอบกัดต่อให้ทรงพลังแค่ไหนก็พ่ายแพ้ได้ พิษร้ายจากเพื่อนรักรุนแรงจนทำให้พลังในกายถูกทำลายอย่างช้าๆ สิ่งที่เคยเป็นของเวลอร์ถูกช่วงชิงในยามที่อ่อนแอ ฟาร่าเองแม้ใจจะสู้แต่จำต้องล่าถอยเพราะในท้องของเธอมีชีวิตน้อยๆ กำลังเกิดมา อินดิโก้และคนที่เหลือตัดสินใจพาเขาหนีไปยังบ้านเกิดของตนยังดินแดนที่ห่างไกลในขณะที่ทุกคนต่างคิดว่าทั้งเวลอร์และฟาร่าได้ตายไปแล้ว

    "ฉันจะไม่ยอมให้ท่านพี่ตาย" ฟาร่าบอก ใบหน้างดงามนองไปด้วยน้ำตามองร่างที่นอนรอความตายอยู่บนเตียง 

    ยาพิษขนานแรงที่ถูกผสมด้วยเวทย์มนต์ สามารถคร่าชีวิตคนได้ในทันทีหากเป็นมนุษย์ทั่วไป แต่ไม่ใช่สำหรับเวลอร์ แม้ร่างกายจะแข็งแกร่งแต่ก็ต้องทนทรมานกับฤทธิ์ยาที่ดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เป็นแรมเดือนจนไม่เหลือแม้แต่แรงจะยืน ฟาร่าพยายามใช้ทุกความรู้เยียวยา แต่ไม่มีทางรักษานอกจากปล่อยให้สลายเอง อาจเป็นปีสองปีหรือสิบปีถึงตอนนั้นเขาคงไม่เหลือลมหายใจ

    จนวันหนึ่งที่จวนจะหยุดหายใจร่างของเวลอร์ถูกแบกไปยังวิหารกลางน้ำหลังคฤหาสน์โดยอินดิโก้และมาคัส ชุดเกราะที่มักใส่ในยามรบถูกสวมใส่จนครบ แล้วถูกจับให้นั่งลงบนบัลลังก์หิน

    "ฉันจะเปลี่ยนพี่ รักษาร่างกายของพี่ไว้จนกว่าจะฟื้นคืนพลัง ถึงเวลานั้นได้โปรดจัดการกับเจ้านั่นแล้วทวงทุกสิ่งคืนมา" ริมฝีปากสวยแย้มยิ้มอบอุ่นพลางลูบไล้ใบหน้าคมอย่างอ่อนโยน 

    อยากจะปฏิเสธแต่ไม่มีแรงขยับ ด้วยรู้ดีว่าหากทำอย่างนั้นหญิงสาวตรงหน้าต้องสูญเสียพลังและอ่อนแอจนทำให้อายุไขสั้นลงแม้จะเป็นเอลฟ์ที่มีอายุยืนยาวก็ตาม ยิ่งมองเห็นท้องที่กำลังโตนั่นยิ่งยอมให้ทำไม่ได้เด็ดขาดเพราะกลัวหนึ่งชีวิตในนั้นจะเป็นอันตราย เพื่อนทั้งสองที่ประคองร่างเขาไว้บนบัลลังก์ บีบไหล่หนาเบาๆ อย่างให้กำลังใจ ทั้งที่ดวงตาฉายแววกังวลอย่างปิดไม่มิดโดยเฉพาะอินดิโก้ที่ดูลำบากใจกับสิ่งที่คนรักกำลังจะทำ

    "ท่านพี่ดูแลเขาด้วยนะ" ฟาร่าว่าพลางดึงมือหนาไปสัมผัสหน้าท้องนูน ก่อนจะผละออกไปแล้วร่ายเวทย์จนเกิดสายพลังโอบล้อมร่างที่อยู่บนบัลลังก์ กระแสประหลาดเล่นพล่านไปทั่วร่างของเวลอร์ก่อนที่จะเริ่มหมดความรู้สึกจากปลายเท้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนทั่วทั้งร่างไม่เจ็บปวดอีกต่อไปเพราะทั้งร่างได้กลายเป็นหิน

    ไม่มีลมหายใจ นิ่งสงบ ไม่ร้อน ไม่หนาวหากแต่ยังมองเห็นทุกสิ่งได้ยินทุกอย่าง หลังจากนั้นฟาร่ามักจะมาเยี่ยมเขาในบางวัน เธอชอบนั่งลงข้างๆ บัลลังก์แล้วบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ท้องของเธอโตขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็เงียบหายไปพักใหญ่ จนวันหนึ่งเพื่อนๆ ทุกคนพากันเข้ามาในวิหารพร้อมกับฟาร่าที่โอบอุ้มทารกน้อยในอ้อมแขนโดยมีคนรักอย่างอินดิโก้ประคองไม่ห่าง
 
    "เขาชื่อฟาเรส น่ารักใช่ไหมละท่านพี่" เสียงหวานบอกอย่างเป็นสุขแม้ใบหน้างดงามจะซีดเซียวอย่างน่าใจหาย ภาพทารกน้อยตรงหน้าสร้างความอุ่นซ่านในหัวใจ ดวงตาสีครามเหมือนผู้เป็นแม่จ้องรูปสลักตรงหน้า เอื้อมแขนเล็กๆ ไขว่คว้าส่งเสียงอ้อแอ้มาให้ เสียงพูดคุยหยอกเย้าของเหล่าบรรดาลุงป้าขี้เห่อทำให้วิหารที่มักจะเงียบงันคึกครื้นขึ้นมา

    ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปไม่ถึงปี อินดิโก้มาหาพร้อมข่าวร้ายว่าฟาร่าได้จากโลกนี้ไปตลอดกาล เธอสูญเสียงพลังเพราะช่วยเขาจนร่างกายอ่อนแอและตายในที่สุด เวลอร์ถูกทิ้งให้เดียวดายในวิหารกลางน้ำเป็นแรมปี ความเงียบงันกัดกินจิตใจให้มืดมนจนแสงสว่างที่ชื่อว่าฟาเรสได้เหยียบย่างเข้ามาอีกครั้ง ผิวขาวกระจ่างกับเรือนผมสีซีดเมื่อรวมกับดวงตาสีครามสดใสทำให้ดูเหมือนเทวดาตัวน้อยก็ไม่ปาน 

    ฟาเรสชอบเข้ามาเล่นที่วิหารเพราะชอบบรรยากาศที่เงียบสงบกับดอกไม้นานาพันธุ์ อินดิโก้ทั้งรักทั้งหวงลูกชายของตนนัก จึงเข้มงวดกับทุกสิ่งจนเด็กน้อยไม่ค่อยได้ออกไปเล่นกับใคร ดังนั้นเวลามีเรื่องอะไรจึงมักมาเล่าให้รูปสลักในวิหารฟัง บ้างก็มานั่งอ่านหนังสือบ้างก็มานอนกลางวันหรือแม้กระทั่งในยามที่เสียใจยังปีนมานั่งร้องไห้จนหลับคาตักไปเลย เวลอร์อยากจะกอดอยากจะปลอบแต่ก็ทำไม่ได้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถูกปลดปล่อยจากสภาพนี้ซักที

    เวลอร์เฝ้ามองจากเด็กตัวน้อยๆ เติบใหญ่กลายเป็นหนุ่มรูปงาม ความรู้สึกที่มีต่อฟาเรสมากมายขึ้นทุกวัน เป็นความผูกพันที่เจ้าตัวไม่อาจรับรู้ ทุกข์ในยามที่อีกคนเสียน้ำตา ห่วงหาในยามที่อีกคนหายไป จนตระหนักได้ว่ามันคือความรัก เขารักฟาเรสจนหมดใจ

    เวทย์มนต์ที่แช่แข็งร่างเอาไว้ได้ถูกคลายในตอนที่เกือบจะสายไป แม้จะช่วยฟาเรสไว้ได้แต่คนอื่นก็ถูกฆ่าตายไปก่อนแล้ว หวังว่าอินดิโก้จะได้เจอฟาร่าในโลกหน้าแล้วกันนะ

    เวลอร์กลับมามีชีวิตอีกครั้งพร้อมกับพลังที่ฟื้นฟูดังเดิม เพื่อนๆ ทุกคนรับรู้ถึงการกลับมาและให้การช่วยเหลือทุกสิ่งอย่าง กุญแจสำคัญที่จะสะสางทุกอย่างที่ค้างคาคือฟาเรส ทุกคนจึงต้องช่วยกันปกป้องสั่งสอนให้เจ้าตัวแข็งแกร่งมากพอที่จะรับมือทุกอย่างได้

    ...พี่จะจัดการทุกสิ่งและดูแลฟาเรสตราบสิ้นลมหายใจ... เวลอร์ได้ปฏิญาณต่อหน้าหลุมศพของฟาร่าที่เขาอยากจะมาแต่เพิ่งมีโอกาส



    เวลอร์มองร่างที่นอนนิ่งด้วยความรู้สึกผิดกับสิ่งที่พึ่งผ่าน หลังจากฟาเรสสลบไปเขาก็อุ้มเอาร่างที่ไร้สติกลับห้องพัก โดยไม่ลืมโทรไปบอกเอเบรียนให้ช่วยจัดการกับสภาพที่เละเทะบนชั้นสองของตึกวิจัย และแน่นอนเพื่อนเขาด่ายับก่อนจะรับปากรับคำส่งคนไปทำให้ 

    ชำระล้างคราบคาวออกจนสิ้นแล้ววางลงบนเตียงนุ่มหวังให้สบายที่สุด ผิวกายขาวเต็มไปด้วยรอยแดง รอยกัด เรือนร่างบอบช้ำจากการกระทำจนพาลเกลียดตัวตนอีกด้านของตัวเอง ทั้งที่ต้องปกป้องดูแลกลับมาทำร้ายเอาเสียเอง

    สำหรับฟาเรสนี่คงเป็นครั้งแรกระหว่างพวกเขาที่ไม่น่าจดจำ แม้เจ้าตัวจะตอบสนองอย่างเต็มใจแต่ก็ด้วยสติที่ไม่คงที่เพราะฤทธิ์ยา ในยามร่วมรักเสียงหวานครางอย่างสุขสมแล้วในใจละ สุขด้วยหรือเปล่า เขาจำได้ดีว่ากระทำชำเราอีกฝ่ายอย่างป่าเถื่อนเพียงใด โกรธตัวเองที่ปล่อยให้ความต้องการและสัญชาติญาณเข้าครอบงำ จนกลืนกินอย่างคุ้มคลังไร้ปราณี

    "ขอโทษนะฟาร์" เวลอร์บอกพลางทายาให้ร่างบางอย่างเบามือ คงเจ็บระบมไปทั้งตัวแล้วจะเดินไหวไหมเนี่ย ยิ่งคิดยิ่งเครียด ฟาเรสตื่นมาต้องโกรธชัวร์เตรียมตอบคำถามให้ดีๆ เลย

    ...อายุปูนนี้ยังต้องมานั่งคิดมาก เป็นเด็กวัยรุ่นไปได้...

    ความเจ็บร้าวทั่วสันพรางกายรบกวนฟาเรสจนไม่อาจหลับได้อีกต่อไป ดวงตาสีครามลืมขึ้นช้าๆ แสบพร่าเพราะพิษไข้ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่ามันชินกับแสงในห้องจึงรู้ว่าอยู่ในห้องตน ฟาเรสพยายามนึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดจนหัวสมองปวดหนึบ

    มาวิควางยาเขา ทำลายความเชื่อใจทั้งที่เป็นเพื่อนกัน ความรู้สึกโกรธและผิดหวังกัดกินจิตใจเพราะอีกฝ่ายถือเป็นเพื่อนคนแรกของฟาเรสเลยก็ว่าได้ ถึงแม้จะทำไปเพราะชอบในตัวเขา แต่ชอบจนคิดจะครอบครองโดยไม่นึกถึงจิตใจกันมันก็เห็นแก่ตัวเกินไป

    "ฮึก...เว" น้ำเสียงที่พยายามเปร่งออกมาแหบแห้งและแผ่วเบา ไม่เข้าใจตัวทำไมต้องเรียกหา แต่พอขยับกายเพื่อลุกนั่งความเจ็บปวดก็เล่นพล่านจากช่วงล่างไปทั่วร่างจนน้ำตาซึม ร่างบางทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งอย่างอ่อนแรง ขุ่นเคืองที่ถูกกระทำรุนแรงจนตกอยู่ในสภาพกึ่งทุพพลภาพ แต่ในยามฤทธิ์ยากระตุ้นให้เกิดความต้องการจนขาดสติ เขารู้สึกโล่งใจที่ใครคนนั้นเป็นเวลอร์

    ...ทำไมสร้อยนี่ถึงอยู่กับนายได้นะ...

    นอกจากความรู้สึกติดลบมากมาย ฟาเรสยังมีความสงสัยถึงที่มาของสร้อยทับทิมบนคอว่ามันไปอยู่กับเพื่อนร่วมเอกของเขาได้อย่างไร ยังไงเขาก็เค้นเอาความจริงให้ได้ไม่ยอมให้บ่ายเบี่ยงแน่ๆ

    เสียงโวยวายดังมาจากด้านนอกแม้จับใจความไม่ได้แต่ก็รู้ว่าเป็นเสียงเวลอร์กับมาวิคจบด้วยเสียงปิดประตูดังเหลือเพียงเสียงตะกุกตะกักตรงส่วนครัว

    “เป็นยังไงบ้าง” เวลอร์ถามทันทีที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดอาหารและยาในมือ วางไว้โต๊ะข้างเตียงแล้วประคองร่างบางขึ้นนั่ง

    “อ๊ะ เจ็บ” ฟาเรสร้องเบาๆ ในยามที่ถูกประคองขึ้นนั่งทำเอาตัวต้นเหตุหน้าเสีย

    “ขอโทษ” ใบหน้าเนียนสะบัดหนีพลางเม้มปากแน่น ใจหนึ่งก็แอบเคืองแต่อีกใจมันก็อายกับอะไรที่เพิ่งทำกันมา ฟาเรสยังไม่พร้อมจะสบตาอีกฝ่ายเท่าไหร่

     “ไปห้องน้ำไหม” อีกคนพยักหน้าจึงจัดการช้อนอุ้มคนบนเตียงไปจัดการธุระในห้องน้ำโดยพยายามเบามือที่สุด แล้วพากลับมาไว้เตียงดังเดิม ฟาเรสลูบสร้อยบนคออย่างครุ่นคิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนตัวโต

    “เล่ามาให้หมด” เสียงแหบแห้งเอ่ยสั่งเฉียบขาด พร้อมแววตาคาดคั้น น่ากลัวเสียจนเวลอร์อยากจับมาฟัดซักที

    “กินข้าวก่อน เดี๋ยวจะเล่า”

    “เล่าก่อนเดี๋ยวจะกิน”

    “ฟาร์”

    “ไม่เล่าก็ออกไป” คนตัวเล็กตัดบท ใบหน้างอง้ำเอาแต่ใจ คนตัวใหญ่จำต้องยกมือยอมแพ้

    “สร้อยนั่นนายเป็นคนให้ฉันมา ตอนที่ฉันยังเป็นรูปสลักอยู่ในวิหาร” ดวงตาสีครามเบิกกว้างกับสิ่งที่ได้ยิน

    “รูปสลักหินจะมีชีวิตได้ยังไง นายอำฉันแน่ๆ ท่านลุงเล่าให้ฟังใช่ไหม” ฟาเรสถามรัว จริงอยู่ที่เขาได้คล้องสร้อยเส้นนั้นให้รูปสลักในวิหารกลางน้ำ แต่แบบมันเป็นไปได้หรอ
 
    “หึๆ ไม่เชื่อสินะ ใครก็ไม่รู้เวลาโดนพ่อดุมาแอบร้องไห้บนตักฉัน แล้วไอ้เด็กที่นั่งคุยกับรูปสลัก หัวเราะคนเดียวนี่มันปกติไหม วันนั้นโกรธออรี่กับออร่าก็มาแอบจนค่ำ…” เรื่องราวในวัยเด็กของฟาเรสมากมายหลั่งไหนออกมาจากริมฝีปากหนานั่น จนคนฟังชักจะรับไม่ได้กับวีรกรรมของตัวเอง

    “พอแล้ว งือ เงียบเลย” ฟาเรสห้ามหน้าดำหน้าแดง ทั้งเขินทั้งอาย ก็ตอนนั้นเขาเด็กนี่

    “หึๆ” ป๊าป!!! เวลอร์ทำหน้าล้อเลียนจนโดนฟาดแรงๆ ตรงแขนไปที

    “เล่าเรื่องสร้อยต่อสิ”

    “ไหนบอกให้เงียบ” ร่างสูงยังกวนต่อเลยโดนมือเล็กๆ ฟาดไปอีกสองสามที

    “โอ้ยย รุนแรงนะเรา” ว่าแล้วก็รวบข้อมือบางไว้ด้วยมือเดียวพร้อมยกคนตัวเล็กขึ้นมาบนตักด้วยลืมสภาพร่างของอีกคน แม้จะขยับไม่แรงแต่ก็เจ็บจนสะดุ้ง

    “ใครกันแน่รุนแรง เจ็บไปหมดทั้งตัวเลยเนี่ย” ดวงตาสีครามค้อนควับอย่างเอาเรื่อง โดยเฉพาะช่วงล่างคงสะโพกครากไปหลายวัน

    “ขอโทษครับ โอ๋ๆ” ฟาเรสชักงงกับตัวเองแล้วนะ จะมาต่อล้อต่อเถียงกับหมอนี่ทำไม แล้วถูกโอ๋จะยิ้มเพื่อ? เขาต้องเคืองสิ 

    “เล่าต่อเดี๋ยวนี้”

    “จริงๆ ทั้งฉัน ทั้งพ่อแม่ของนายและคนอื่นๆ เราอยู่กลุ่มเดียวกันต่อสู้กับพวกที่ใช้พลังในการควบคุมประตูในทางที่ผิดมานาน พวกนั้นเรียกตัวเองว่าฟอสโก แต่ดันมีคนในกลุ่มทรยศเรา หมอนั่นเองก็ใช้พลังของตัวเองเพื่อทำสิ่งเลวร้าย พวกเราโดนหักหลังโดยไม่ทันตั้งตัวเลยแพ้ พากันหนีมาตั้งหลัก ฉันเองก็เจ็บหนัก ฟาร่าก็มีนาย เราทุกคนต่างกระจัดกระจาย เพื่อรอเวลา ในตอนนั้นฉันเองก็กำลังจะตายเพราะโดนเพื่อนสนิทวางยา หาทางรักษาไม่ได้ แม่ของเธอจึงหยุดร่างกายฉันไว้เพื่อให้ฤทธิ์ยาสลายและได้ฟื้นพลัง แต่การทำแบบนั้นทำให้แม่นายอ่อนแอ คลอดนายได้ไม่นานก็ตาย สร้อยเส้นนั้นเป็นสร้อยประจำตระกูลของฟาร่า เป็นตัวแทนของแม่นายในการคลายเวทย์มนต์ที่สะกดร่างฉันเอาไว้” ฟาเรสคิดตามอย่างตั้งใจ “อินดิโก้ไม่รู้ว่านานแค่ไหนฉันถึงจะฟื้นเต็มที่ ใจจริงตั้งใจให้นายอายุซักยี่สิบพร้อมที่จะรับเรื่องพวกนี้แล้วค่อยปลดปล่อยฉันออกมา แต่ดันเกิดเรื่องขึ้นก่อนก็แบบที่เห็น”

    “แล้วนี่จะทำยังไงต่อ ล้างแค้นงั้นหรอ คงไม่ต้องใช้พลังของฉันหรอกมั้ง” ฟาเรสว่าสายตาจริงจัง

    “จำเป็นสิ เจ้านั่นได้สร้างประตูเชื่อมระหว่างโลกขนาดใหญ่ที่อินเวียโนแล้วมันก็ขยายขนาดขึ้นทุกปี ทำให้พวกอันเดธมากมายหลุดเข้ามาในเอสทีเรียด นายต้องเป็นคนปิดมัน แต่เราจะบุกไปเลยไม่ได้เพราะนายเองก็ยังไม่รู้จักพลังตัวเองดี แถมอินเวียโนในตอนนี้เต็มไปด้วนกองทัพพวกไวด์โซลสิ่งที่เราต้องการคือกำลังพล”

    “แล้วทำไมไม่บอกพวกเอแวนการ์ดละ ให้ท่านลุงเอเบรียนคุยให้ก็ได้”

    “ไม่ได้หรอกฟาร์ เราไม่รู้นิว่าในเอแวนการ์ดมีคนของฟอสโกนั่นอยู่หรือเปล่า อีกอย่างการที่ฉันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ให้ใครรู้ไม่ได้นอกจากพวกเราเอง รวมทั้งตัวตนของฟาร์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะพร้อมเราจะไม่บุกไปที่นั่น” 

    “แต่ถ้าเราไม่รีบมันจะยิ่ง…”

    “ไม่หรอก ประตูนั่นถูกเปิดมาเป็นสิบสิบปี ปล่อยให้มนุษย์รับมือเองบ้าง คนอื่นนะไว้ทีหลังยิ่งฟาร์เสี่ยงน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี ฉันทำเพื่อคนอื่นมามากแค่เรื่องฟาร์เท่านั้นที่ฉันจะเห็นแก่ตัว" นัยน์ตาสีอำพันเต็มไปด้วยความอบอุ่นห่วงใย จนหัวใจดวงน้อยๆ เต้นแรง พอรู้ว่าเวลอร์เป็นใครเริ่มพอจะเข้าใจว่าทำไมรู้สึกวางใจคนๆ นี้ตั้งแต่วันแรกที่เจอ


    "เอาละเล่าแล้ว กินข้าวกินยาซะ จะได้พัก"

    "อืม" แล้วถ้วยข้าวต้มก็ถูกถือไว้ตรงหน้าคนบนตักจนดูเหมือนโอบกอดไว้กลายๆ

    "ป้อนไหม" เสียงทุ้มนุ่มถามพร้อมยิ้มกว้าง

    "กินเองได้น่า" ว่าแล้วฟาเรสก็แย่งช้อนจากมือใหญ่มาถือไว้ แล้วจัดการตักข้าวเข้าปากช้าๆ รู้สึกเกร็งแปลกๆ กับบรรยากาศในตอนนี้ จะว่าไปเวลอร์ในตอนนี้กับคนเมื่อวานนี่คนเดียวกันหรือเปล่า รู้สึกร้อนๆ ที่หน้า คิดถึงเรื่องเมื่อวานแล้วมันก็แบบ

    ...จะบ้าตาย...

...............................

-กลับมาแล้วจ้า คิดถึงทุกคน :กอด1: ทีนี้ก็เข้าใจเฮียเวเขาบ้างแล้วเนอะ คนแก่ก็งี้ คิดเยอะ

-พิมพ์เวลาอยุที่พักว่างๆ เยื่อๆ ไม่มีไรทำ  :katai5:  เที่ยวก็เพลินดีถ่ายรูปเพลิน แต่แดดประเทศไทยแบบทำร้ายผิวมากอะ ทาครีมมาทั้งปีดำได้ในสิบนาทีสะเทือนใจ  :ling1:

-ขอบคุณทุกคนที่ติดตามจ้า  :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-03-2016 15:32:06 โดย l3loodl2o5e »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
โอ้วว้าว ความจริงเปิดเผยแล้ว
หนูฟาร์ทำตัวไม่ถูกเลยอ่า อิอิ รักยาวนานตั้งแต่ยังไม่เกิดเลยอ่า ฟิน
บัลลังก์เขียนแบบนี้จ้า ว่าแต่เวกับฟาร์เป็นญาติกันหรือเปล่าคะ
 :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-03-2016 16:18:48 โดย ❣☾月亮☽❣ »

ออฟไลน์ baipai_bamboo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ลุงเวพรากผู้เยาว์ คุกนะลุง 55555

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
เวกินเด็กกกก  555
ถึงว่าเก่งมากๆ ก็เพราะอย่างนี้นี่เองงง
 :hao3:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
ว้ายย ตาลุงกินเด็ก  :hao7:

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
ปมของเวลอร์ก้อคลายไปเปาะนึงแล้ว
แระก้อยังมีเรื่องให้รอผจญภัยอีกเยอะเรยยยยย
แต่ไม่เปนไร ตอนนี้ปราบปลื้มกับความหวานมุ้งมิ้งอันนี้ดีกว่าาาาา >\\\\\\<

ออฟไลน์ k_keenny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
เฮียเวกินเด็กแล้วจะเป็นอมตะมั้ยน้าาาา 55555555555

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
ว่าแล้วว่าเวต้องคือรูปสลัก ฮาาา

ออฟไลน์ DESZCZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ในที่สุดเรื่องก็คลายตัวไปเรื่องนึง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
เฮียเวกินเด็กแบบนี้เป็นอมตะแน่

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
บทที่ 13


    ฟาเรสเริ่มฝึกการใช้พลังเวทย์โดยจะมีเวลอร์และท่านลุงเอเบรียนช่วยกันสอน สองคนนี้เป็นเพื่อนกัน นี่ต้องเรียกเวลอร์ว่าลุงด้วยไหมเนี่ย แต่ทำไมไม่แก่เลยละ แต่ก็นะไม่ใช่มนุษย์ไม่แก่ก็ไม่แปลก

    "หึๆ เรียกที่รักดีกว่านะ หรือมันซอฟไป เรียกผัวก็ได้นะฟาร์" เจ้านั่นบอกไว้อย่างนั้นแล้วทันทีที่พูดจบก็โดนมือเล็กระดมฟาดไปยกใหญ่ นอกจากไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ แล้วยังยิ้มน่าระรื่นไปอีก

    วันแรกก็เริ่มกันง่ายๆ ฝึกกันในห้อง ไม่อยากเดินเยอะเพราะยังขัดๆ เคยได้ยินมาบ้าง ครั้งแรกคนโดนมันต้องเจ็บตัวกันบ้างแต่ก็ไม่คิดว่าจะเดี้ยงขนาดนี้ 

    ....แล้วทำไมตอนหื่นขึ้นไม่จับมันเสียบไปวะ...(ทำได้?)   

    เวลอร์เอาเทียนกับแก้วน้ำมาตั้งไว้บนโต๊ะของชุดรับแขก ให้ฟาเรสจุดเทียนด้วยมือเปล่าและทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็งให้ได้ ส่วนเจ้าตัวหายหัวไปทั้งวัน แค่จุดเทียนง่ายจะตาย...ซะที่ไหน กว่าจะจุดติดเพ่งแล้วเพ่งอีกอยู่เกือบสามชั่วโมง แถมตอนจุดได้ไฟยังลุกท่วมเกือบไหม้ห้องแล้วไหมละ จบของร้อนมาของเย็นนั่งทะเลาะกับแก้วน้ำต่ออีกสามชั่วโมงกว่ามันจะกลายเป็นน้ำแข็ง...จะว่าไปก็สะดวกดีนะ ถ้ากินเบียร์ไม่เย็นก็ใช้พลังทำให้เย็นสะดวกดี เอิ่ม...นี่เขานั่งฝึกเพื่ออะไรแบบนี้ที่ไหนเล่า

    จะว่าไปการใช้พลังเวทย์ที่ไม่ผ่านตัวกลางอย่างเจมมันก็สะดวกดี  ใช้เวลาไม่กี่วันฟาเรสก็สามารถสร้างอาวุธจากวัตถุธาตุที่อยู่รอบกายได้ แต่การปล่อยพลังเวทย์ให้เป็นรูปเป็นร่างด้วยตัวมันเอง ยังค่อนข้างติดขัด มีครั้งหนึ่งเขาลองสร้างบาเรียรอบๆ ตัวเองแต่ได้แปปเดียวก็หมดแรงจะหน้ามืดเอา เวลอร์บอกว่ามันต้องฝึกใช้ประจำก็เหมือนเราวิ่ง แรกๆ ไปไม่ไกลก็เหนื่อยแล้วหลังๆ มารธอนเป็นสิบสิบกิโลเมตรก็ยังไหว และตัวแปรอีกอย่างที่มีผลต่อพลังคือสายเลือด หากสังเกตุดีๆ คนรอบตัวฟาเรสที่มีพลังเวทย์บริสุทธิ์หากไม่ใช่อมนุษย์ ก็ต้องเป็นพวกเลือดผสม

    วันต่อๆ มาของฟาเรสหมดไปกับการฝึกใช้พลังเวทย์บริสุทธิ์ โดยยึดสนามประลองของคณะวิทยาการการทหารเป็นที่มั่น มีโอซี่มาช่วยสอนด้วยบางวัน เพราะช่วงปิดเทอมไม่ค่อยมีคนแต่ก็มีสาวๆ มาส่องพวกเราบ้าง...เอ่อ จริงๆ มาส่องเวลอร์กับโอซี่มากกว่า เอาเถอะก็เพราะไอ้การประลองทำให้พวกนั้นกลายเป็นคนดังในทันตา


    วันจันทร์...พวกเราสามคนเดินทางเข้าเมือง เป้าหมายคือตึกบัญชาการของเอแวนการ์ดที่อยู่ใจกลางเดสเซนท์ เพื่อรายงานตัวสำหรับการฝึกกับหน่วยพิทักษ์ในช่วงปิดเทอมนี้ เหลือเวลาอีกตั้งห้าชั่วโมงเพราะดันออกมากันแต่เช้าแต่เขานัดไว้ตอนบ่ายเลยพากันเดินเล่นซื้อของกันในเมือง

    "โอซี่ นายดูคล่องจังนะ รู้ทางหมดเลยเปล่าเนี่ย" ฟาเรสถามพลางเดินตามเพื่อนตัวโตของเขา

    "แหมก็อยู่มาเจ็ดปีแล้ว"

     "แล้วบ้านเกิดนายละ"

    "ก็ทะเลทรายโอซี่ ในเขตเรดิเอนซี แม่เลยตั้งชื่อเดียวกับที่ฉันเกิดไง" โอซี่อธิบายพร้อมฉีกยิ้มกว้าง

     ...มิน่าละผิวดำ...เอ้ยแทนเชียว

    "ไม่กลับไปหาแม่บ้างหรอ"

    "แทบจะไม่ได้กลับ ส่วนแม่ไม่เจอนานแล้ว ฉันอยู่กับแม่จนเก้าขวบ พ่อก็มารับไปอยู่ด้วย แม่ฉันเป็นชนเผ่าเร่ร่อนนะ เดินทางไปเรื่อยๆ นานๆ เข้าเมืองก็จะส่งจดหมายส่งของมาหาทีบอกให้รู้ว่าสบายดีอยู่ ส่วนทางพ่อก็ไม่ค่อยสนิทไง พอดีกับมาเรียนขั้นพื้นฐานในเดสเซนท์ก็เลยอยู่ยาว ก็ดีอยู่คนเดียวอยากทำอะไรก็ทำ" แม้เจ้าตัวจะแสดงท่าทางสบายๆ แต่ฟาเรสก็อดห่วงไม่ได้ว่าลึกๆ แล้วเพื่อนเขาจะรู้สึกโดดเดี่ยวแค่ไหน "เฮ้!!! ทำไมถึงทำหน้าอย่างนั้นละ"

    "ฮะๆ หน้ายังไง" คนตัวเล็กกว่าเหรอหราถาม

    "อย่าคิดมาก ฉันมีเพื่อนเยอะแยะ นายเองก็เพื่อนฉัน อยู่ข้างๆ กันเนี่ย ไม่เหงาหรอกจริงไหมเว" หันไปถามอีกคนที่เดินตามมาเงียบๆ ร่างสูงเพียงยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้าตอบ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายตาดุๆ เมื่อไล่มองไปตามวงแขนของโอซี่ที่โอบไหล่บางอย่างเนียนๆ เจ้าตัวแกล้งสะดุ้งเเล้วละมือออกพลางยิ้มล้อ "หวงจริง" 

เริ่มสายแดดเริ่มแรงจึงพากันไปบ้านพักของโอซี่ที่เจ้าตัวขอแวะมาเก็บของ เป็นบ้านหลังไม่ใหญ่แต่เกินพอสำหรับอยู่คนเดียว บริเวณกว้างขวางดูร่มรื่น เห็นว่ามีคนสวนกับแม่บ้านดูอย่างละคน บ้านไม้ผสมอิฐแดงภายในตกแต่งโทนน้ำตาลครีม ชั้นเดียวสองห้องนอน สามห้องน้ำ มีห้องครัว ห้องนั่งเล่น ระเบียงด้านข้างและด้านหลัง ให้บรรยากาศสบายๆ แบบชนบทท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองใหญ่

    "พ่อฉันสร้างให้ตอนเข้ามาเรียนที่นี่" โอซี่บอก

    "เจ๋งเลย จบแล้วหาเจ้าสาวมาเพิ่มอีกคนนี่เพอร์เฟคเลย" ฟาเรสว่าพลางมองสำรวจไปรอบๆ โอซี่นำทั้งสองเข้าไปในบ้าน

    "นั่งเลยๆ กินอะไรไหมเดี๋ยวให้แม่บ้านจัดมาหรือเหนื่อยนอนพักไหมละ ห้องนอนอีกห้องก็มีนอนพักก่อนได้นะ เดี๋ยวฉันจะออกไปธุระซักหน่อย เที่ยงๆ ค่อยออกไปที่ตึก" เจ้าบ้านร่ายยาว

    "ไม่ละ เดินกินขนมมาตามทางอิ่มแล้วเนี่ย" ฟาเรสว่าพลางหาวเมื่อเช้าตื่นไวไป ว่าจะออกสายๆ แต่โดนไอ้บ้าเวลอร์ก็ลากลงจากที่นอน

    "ไปนอนเหอะ งีบซักหน่อย" โอซี่บอกพลางดันหลังคนตัวเล็กไปยังห้องนอนทางซ้าย "ฉันไปแล้ว"

    "อืม" เวลอร์ที่เดินตามมารับคำ หนุ่มผิวแทนยกยิ้มเจ้าเล่ห์มองตามร่างบางที่ทิ้งตัวฟุบหน้าลงบนเตียงนุ่ม ก่อนหันมากระซิบคนตัวโตพอกัน

    "เพลาๆ หน่อยละ อย่าลืมบ่ายมีรายงานตัว" นัยน์ตาสีอำพันพราวระยับเพราะเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายดี เจ้าบ้านตบบ่าเบาๆ แล้วจากไป 

     เวลอร์มองไปยังร่างที่นอนฟุบหน้านิ่งอยู่บนที่นอนนุ่ม ที่เห็นเพลียแบบนี้แค่เจ้าตัวนอนดึกตื่นเช้า อย่าเพิ่งคิดไปไกล ฟาเรสก็แค่ดูโทรทัศน์ดึกก็แค่นั้นบังเอิญมีวาไรตี้น่าสนใจ

     ชายหนุ่มล้มตัวลงบนเตียงก่อนจะดึงร่างเล็กที่นอนฟุบอยู่ให้ขึ้นมานอนเกยซุกหน้ากับอกแกร่ง กดจมูกกับกลุ่มผมนุ่มสูดกลิ่นหอมที่เขาชอบ ก่อนละมาจูบเบาๆ ตรงหน้าผากมนอีกสองสามที มือใหญ่ลูบเบาๆ ไปตามแผ่นหลังเนียนที่สัมผัสได้จากเนื้อผ้าอย่างเพลินมือ

    "อื้อ!!!" เสียงครางประท้วงเมื่อคนหลับโดนก่อกวนจากริมฝีปากร้อนที่พรมจูบไปทั่วหน้า ฟาเรสลืมตามาจ้องคนกวนตาแป๋ว เรียกรอยยิ้มน้อยๆ จากร่างสูงได้ทันที

     ...น่ารัก...

    ดวงตาสีอำพันจับจ้องที่ริมฝีปากสีสด มันช่างดึงดูดจนอดไม่ได้ที่จะลิ้มลอง ฟาเรสสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ใบหน้าถูกรั้งขึ้นไปจูบ ด้วยความตกใจจึงออกแรงผลักแต่ก็ไม่อาจหลุดรอดไปได้เมื่อถูกอีกคนกอดกระชับเอวไว้แน่นจนช่องว่างแทบเป็นศูนย์

    แรงบดเบียดอ่อนโยนที่ริมฝีปากอิ่มหลอกล่อให้ฟาเรสเปิดปากรับลิ้นร้อนเข้ามาภายใน กวาดต้อนเอาความหวานไปทั่ว ลิ้นเล็กตอบสนองอีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัว ก่อนจะปล่อยให้มันเป็นไปตามการชักพา จากอ่อนหวานเริ่มดูดดื่มรุนแรง ทำเอาร่างบางหัวหมุนไม่รู้ตัวเลยว่าถูกพลิกลงไปนอนราบกับฟูกนุ่มโดยมีร่างหนาคร่อมทับเอาไว้ มือบางจิกขย้ำอกเสื้อจนยับคามืออย่างหาที่ยึด

    "แฮก...ไอ้บ้าเว" เวลอร์ผละจูบเมื่อคนใต้ร่างทำท่าจะขาดใจ คนโดนจูบว่าด้วยใบหน้าที่แดงซ่านพลางโกยอากาศเข้าปอด จมูกโด่งก้มลงซุกไซ้ซอกคอขาวส่วนมือกร้านสอดผ่านสาบเสื้อไปลูบไล้ผิวเนียนลื่นมือ ระรานถึงแผ่นอกจนร่างบางสะดุ้ง กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวกายทำเอาสมองเริ่มรวนจนคุมไม่ค่อยอยู่

    "โอ๊ย...เจ็บ" ฟาเรสร้องดัง เมื่อเขี้ยวคมๆ งับเข้าคอจนเลือดซึม ร่างสูงผละออกอย่างตระหนกที่ลืมตัวกัดไปตามอารมณ์ 

...เกือบไปแล้ว...

    ตั้งแต่เรื่องวันนั้น เวลอร์ค่อนข้างจะระวังในยามอยู่ใกล้คนตัวเล็ก แม้จะยังแตะเนื้อต้องตัวตามปกติ นอนกอดในทุกวัน หอมบ้าง จูบบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรลึกซึ้งเพราะเขากลัวจะคุมสัญชาตญาณตัวเองไม่ได้เผลอขย้ำคนตัวเล็กให้บอบช้ำอีก

    "ขะ ขอโทษ" เวลอร์บอกเสียงแผ่ว ก้มลงจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากแดงช้ำ "นอนต่อเถอะ ฉันขอออกไปเดินเล่นข้างนอกแปป"

    ดวงตาสีครามมองตามร่างสูงที่ออกจากห้องไปอย่างไม่เข้าใจ วันนี้ตกใจเหมือนกันกับจูบของเวลอร์เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมา ถึงเจ้าตัวจะจูบเขาบ้างแต่ก็ไม่เคยรุกล้ำแบบนี้ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าแต่เหมือนช่วงนี้เวลอร์พยายามรักษาระยะกับเขาพอควรแม้จะนอนเตียงเดียวกันแต่มันรู้สึกห่างเหินชอบกล 

    มือบางยกขึ้นลูบหน้าเบาๆ หวังจะระบายความร้อนออกไป เขาไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร หรืออยากให้สัมผัสหรอกนะ แค่รู้สึกว่ามันแปลกๆ



    ตอนบ่ายพวกเขามาถึงตึกบัญชาการของเอแวนการ์ดซึ่งอยู่ใจกลางเมืองเดสเซนท์ข้างตึกรัฐสภา เป็นอาคารทรงกระบอกขนาดใหญ่ กะด้วยสายตาคร่าวๆ คงมีมากกว่าหกสิบชั้นเป็นกระจกรอบด้าน พอมาถึงทั้งสามก็ไปติดต่อตรงประชาสัมพันธ์ แล้วก็มีเจ้าหน้าที่สาวสวยในชุดทหารหญิงเดินนำไปยังห้องรับรองที่อยู่ชั้นสอง

    "อ้าว มาถึงนานยัง" โอซี่ถาม เมื่อเข้าไปเจอพรีมกับมาวิคที่นั่งอยู่ก่อนแล้วบนโซฟาตัวยาว ถัดไปไม่ไกลเป็นพวกปีสามที่ผ่านเข้ามาเหมือนกัน

    "ก็ซักครึ่งชั่วโมงแล้วละ เป็นไงบ้างไม่เจอนานเลย" พรีมว่า เพราะหลังจากปิดเทอมเจ้าตัวก็กลับไปอยู่บ้าน

    "ก็เรื่อยๆ กำลังฝึกฟาร์เป็นพ่อมดอยู่" โอซี่ตอบยิ้มๆ "ไงมาวิค ที่บ้านยังเหงาเหมือนเดิมหรือเปล่า"

    "ก็เงียบเหงาดี อยู่บ้านคนเดียวเหมือนเดิม ก็รู้นิพ่อแม่ฉันงานยุ่ง แล้วพวกนายละ อยู่แต่อานิมาไม่เบื่อหรอ" มาวิคถามรวมๆ แต่สายตากลับหยุดที่ร่างบางซึ่งยืนอยู่ข้างเวลอร์ ใจจริงเขาอยากจะถามว่าหลังจากวันนั้นฟาเรสเป็นยังไงบ้าง เขาอยากเจอนะแต่ก็ไม่กล้าสู้หน้า เมื่อดวงตาสีครามหันมาสบกับเขา ใบหน้าเนียนก็หันมองไปทางอื่น

    "ไม่เบื่อหรอก สอนฟาร์ใช้พลังอยู่ช่วงนี้ ก็เรียนรู้ไวดี" เวลอร์ตอบ บีบมือของคนข้างๆ เบาๆ อย่างให้กำลังใจ เขารับรู้ถึงอารมณ์ขุ่นมัวจากร่างบางได้ทันทีตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาในห้อง ฟาเรสคงอึดอัดที่ต้องมาเผชิญหน้ามาวิคในห้องนี้

    ระว่างรอก็พูดคุยสัพเพเหระกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่โอซี่กับพรีมรู้สึกแปลกไปคือเจ้าสองหน่อที่มักจะคุยกันเสมอกับเงียบใส่กัน ฟาเรสเอาแต่สนใจสิ่งรอบตัวหรือแต่ไม่มีวินาทีใดเลยที่จะหันมามองทางมาวิคที่หนังซึมเป็นหมาหงอยราวกับอีกคนไม่มีตัวตน พรีมกับโอซี่อยากรู้เหลือเกินว่าทั้งคู่ผิดใจอะไรกัน เพราะมันพาลทำให้บรรยากาศรอบด้านอึมครึมไปด้วย

    ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ของเอแวนการ์ดเข้ามาบรรยายเกี่ยวกับหน่วยพิทักษ์ให้ฟัง ว่าทำงานแบบทหารรับจ้าง รับสะสางปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ ไม่ใช่แค่ปีศาจอสูรกาย แต่ยังรวมไปถึงกลุ่มโจร พวกพิธีกรรมเถื่อน อะไรก็ตามที่ก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อประชากรในเอสทีเรียด เราได้รับตารางการเดินทางคร่าวๆ ตัวเรือบินที่จะเดินทางไปเรดิเอนซี่ ในวันศุกร์ที่จะถึงบัตรของเอแวนการ์ดที่สามารใช้ในการเข้าพักในโรงแรมต่างๆ เพราะในระหว่างฝึกงานกับหน่วยพิทักษ์ต้องมีการเดินทางไปเรื่อยๆ ซึ่งใช้เวลาในการฝึกงานเป็นเวลาหนึ่งเดือน

    หลังจบการบรรยายแนะนำสิ่งต่างๆ มาวิคแยกตัวมาเข้าห้องน้ำ จริงๆ เดินตามฟาเรสมาเพราะอยากจะคุยด้วย พอมาถึงก็เห็นหลังอีกคนไวๆ หายไปข้างในห้องน้ำเยาจึงยืนรออยู่ตรงอ่างล้างมือ

    "ฟาร์" เจ้าของชื่อชะงัก เมื่อเปิดประตูออกจากห้องน้ำมาเจอมาวิค "ขอคุยด้วยได้ไหม" 

    ฟาเรสเดินเลยไปเปิดก๊อกล้างมือโดยไม่สนใจชายอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล 

    "ฟาร์ ฉัน..."

    มือเรียวดึงกระดาษมาเช็ดมือแล้วทิ้งลงถังขยะ

    "ฉันขอ ทะ..."

    ปัง!!! เสียงปิดประตูดังก่อนที่มาวิคจะได้พูดจบ ร่างบางออกไปอย่างเร่งรีบ  ...ขอโทษ... มาวิคต่อคำนั้นเบาๆ ในใจ หลับตานิ่งสูดหายใจลึกๆ ถ้ารู้ว่าต้องมาเจออย่างนี้เขาคงไม่คิดทำอะไรโง่ๆ เจ็บ...หากโดนด่า โดนว่า หรือโดนฟาเรสต่อยหน้า มันคงดีกว่า ถูกเมินแบบนี้


    ระหว่างรอเดินทางโอซี่ก็ชวนฟาเรสกับเวลอร์มาพักอยู่ที่บ้านตัวเองในเดสเซนท์ สองคนนี้ดูสนิทกันดี บางทีก็ออกไปข้างนอกตอนดึกๆ ด้วยกันไม่รู้ไปทำอะไร บางคืนฟาเรสก็หลับไปคนเดียวตื่นมาก็เจออีกคนนอนอยู่ข้างๆ บางคืนเข้านอนไปพร้อมกันตื่นมากลางดึกข้างตัวก็ว่างเปล่า ดังเช่นคืนนี้

    ดวงตาสีครามลืมขึ้นในแสงสลัว หันไปดูนาฬิกาหัวเตียงบอกเวลาตีสามกว่า ข้างกายว่างเปล่าและเย็นเฉียบบอกให้รู้ว่าคนที่เคยนอนอยู่ลุกออกไปนานแล้ว มันรู้สึกโหวงๆ ในอก เขาคินกับการที่มีเวลอร์นอนอยู่ข้างกัน หลับไปในอ้อมกอดอุ่นๆ นั่น ฟาเรสไม่ได้ซื่อถึงขนาดไม่รู้ว่าสถานะของเขาทั้งคู่มันเลยเพื่อนมาไกล แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะถาม ไม่รู้ว่ามีสิทธิ์พอจะถามไหม

    ฟาเรสไม่สามารถข่มตาหลับได้เพราะหลายสิ่งมันกวนใจ โดยเฉพาะท่าทีของเวลอร์มันเหมือนมีกำแพงกั้นเอาไว้ ร่างบางลุกนั่งบนเตียงนุ่มชันเข่าขึ้นมากอดตัวเองไว้ หนาวจัง...หนาวไปถึงใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ติดสัมผัสของใครอีกคนเสียเหลือเกิน ร่างกายสั่นไปหมดไม่ใช่เพราะความหนาวแต่เพราะแรงสะอื้น จู่น้ำตามันก็ไหล ฟาเรสชักไม่เข้าใจกับความติสของตัวเองแล้วสิ

    เวลอร์กลับมาตอนตีสี่ก็เห็นคนที่ควรหลับไปแล้วนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงไหล่เล็กสั่นน้อยๆ กับเสียงสะอื้นเบาๆ ทำเขาใจหายรีบถลาเข้าไปกอดร่างบนเตียงไว้ 

    ฟาเรสซุกหน้าเข้ากับอ้อมกอดอุ่น แต่กลิ่นจางๆ ที่ติดตัวอีกคนมายิ่งกระตุ้นน้ำตาให้ไหลพราก กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิง ทำไมถึงมาอยู่บนตัวเวลอร์ได้ละ หรือว่าที่ออกไปกับโอซี่ทุกคืนก็คือแบบนี้งั้นหรอ...ทำไมละ ทั้งที่กอดเขาทุกวันแท้ๆ เบื่อแล้วหรอ?

    "ฟาร์ เป็นอะไรไหนบอกซิ" เวลอร์ถามเสียงเครียด ลูบหัวลูบหลังคนตัวเล็กอย่างร้อนรน แต่อีกคนไม่ตอบเอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น

    "ไป ไหนฮึก...มา" เสียงหวานถามปนสะอื้น

    "ไปธุระ" ฟาเรสถึงกับสะอึกผลักออกคนออกห่าง ตอบแบบนี้คือตั้งใจเลี่ยงชัดๆ 

    "ทำไม...ฮึก ถึงมีกลิ่น ผู้หญิง" ดวงตาสีครามจ้องเขม็งอย่างคาดคั้น รู้สึกหัวเสียอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนอารมณ์ขุ่นข้องใจทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมันระเบิดออกมา จนแปลกใจกับอาการงี่เง่าของตัวเอง

    "ฟาร์ เฮ้ย!!!" เวลอร์ถึงกับเหวอเมื่อร่างบางผลักเขาหงายลงบนเตียงก่อนจะวาดขานั่งคร่อมอกตรึงเขาไว้กับฟูก "อะ...อะไร" มือเล็กๆ กดไหล่เขาไว้เมื่อทำท่าจะลุก ดวงตาสีครามอาบน้ำตาจ้องเขาอย่างเอาเรื่องก่อนที่ริมฝีปากสีสดจะเอ่ยออกมาเสียงเฉียบ

    "เรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน"

.........................................

-เค้ามาแล้ว น้องฟาร์งอแงตลอดเลยเนอะ  :z6:

-ขอบคุณสำหรับทุกเม้นและทุกกำลังใจจากผู้อ่านจ้า รูปที่รีเควสไว้มิได้ลืมหรอก เพิ่งไปถอยสมุดวาดเขียนมาใหม่ตั้งใจจิเอามาประเดิม คิคิ

:mew1:

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
มาดนางพญาเริ่มมา ดีมากน้องฟาร์ เคลียร์ให้รู้เรื่อง  :katai2-1:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อุ้ย!! งานเข้านะคะคุณลุง

ออฟไลน์ Psycho

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 388
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ตามๆ

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :angry2:   ลุง ออกไปซ่องมาเรอะ แบบนี้มีเสียเลือดแน่เลย

ออฟไลน์ DESZCZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
กรี๊ด ค้างงง
เคลียร์เลยแบบนี้ อย่าปล่อยไป

ออฟไลน์ mi22

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
จากตอน12 เวเป็นพี่แท้ๆของฟาร่ามั้ยคะ?? แต่เห็นพูดเรื่องสร้อยว่าเป็นตระกูลของฟาร่า เลยคิดว่าคงไม่ใช่พี่จริงๆ หรือเปล่า??



ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
ฟาร์จะรุกเองแล้วววววว อิอิ :hao3:

ออฟไลน์ k_keenny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
ค้างงงงงงง  :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ k_keenny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
คิดถึงจังง มาต่อได้แย้วววว

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
บทที่ 14

    เวลอร์มองคนตัวเล็กที่ทำเก่งกดเขาไว้กับเตียง แรงแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอกแต่พอเห็นใบหน้าเนียนงอง้ำ ดวงตาคู่สวยยังชุ่มไปด้วยน้ำตาจึงจำยอมไม่โต้ตอบ

    "หยุดร้องได้แล้วฟาร์" เสียงทุ้มเอ่ยเบา แต่พอจะเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้ฟาเรสกลับปัดมือออกพร้อมมองมาแบบเคืองๆ

    "ไม่ได้ร้อง" เสียงหวานย้อนอย่างดื้อดึง

    "ครับๆ ไม่ได้ร้อง" แต่ไหลอาบแก้มเลย...รู้สึกทั้งขำทั้งสงสาร

     "ไปไหน ฮึก...มา"

     "ไปกับโอซี่..." ริมฝีปากหนาหยักยิ้ม เห็นแบบนี้ก็อยากแกล้ง 

    ฟาเรสปาดน้ำตาออก รู้ว่าอีกคนจงใจยียวนจากที่น้อยใจตอนนี้เริ่มรู้สึกโมโหนิดๆ เขากำเสื้ออีกคนแน่นพลางจ้องหน้าเอาเรื่อง ริมฝีปากสวยเม้มแน่นอย่างขัดใจ จนร่างสูงรับรู้เลยว่าอีกคนไม่มีอารมณ์เล่นด้วยในตอนนี้

    "ฉันกับโอซี่กำลังตามสืบเรื่องของพวกฟอสโก" เวลอร์รีบยันกายขึ้นนั่ง เอ่ยตอบพลางคว้ากอดเอวบางไว้เมื่อเจ้าตัวทำท่าจะผละหนี "ฉันอยากรู้ว่าตลอดหลายปีมานี่ พวกมันใช้ไวด์โซลทำอะไร มีเครือข่ายไหนคอยสนับสนุน มีความต้องการมีเป้าหมายแบบไหน และใครได้ประโยชน์ แต่เพราะฉันโดนผนึกมานานเอสทีเรียดตอนนี้คือที่ที่ฉันไม่รู้จัก เลยต้องให้โอซี่ช่วย"

     "นายบอกหมดเลยหรอ โอซี่เชื่อใจได้ใช่ไหม"

     "ฉันรู้ว่าโอซี่เป็นใครมาจากไหน เจ้านั่นนะไม่ธรรมดา มีคนช่วยอะไรๆ ก็คงง่ายขึ้น" โอซี่แท้จริงแล้วเป็นลูกชายเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเวลอร์ ถึงว่าตอนที่ประลองกันพลังของหมอนั่นดูคุ้นนัก "จำพวกที่เคยทำร้ายนายในเมืองได้ไหมฟาร์ ฉันไปตามสืบดูว่าเป็นใครมาจากไหน จึงรู้ว่าพวกนั้นทำงานที่สกายเลาท์เลยเข้าไปสืบที่นั่นดู เนียนๆ เป็นลูกค้าเข้าไปนะ" 

     "แล้วได้อะไรมาบ้าง"

     "เจ้าของก็แค่ให้เงินสนับสนุนพวกฟอสโกแลกกับการช่วยเหลือ ในการจัดประมูลของในตลาดมืดนะ ซึ่งของส่วนใหญ่เป็นของมีค่า บางอย่างก็ผิดกฏหมาย เลยจำเป็นต้องใช้พวกไวด์โซลในการกำจัดเสี้ยนหนามและคุ้มกันตััวเอง ซึ่งนั่นคงต้องปล่อยให้ทางเอเบรียนเป็นคนจัดการไป " คนฟังพยักหน้าเข้าใจ แต่ยังคงทำหน้าสงสัยในบางสิ่ง "มีอะไรอีก หืม"

    "กลิ่น...กลิ่นน้ำหอมบนตัวนาย" ฟาเรสถามพลางหลบสายตาอีกคนที่จ้องมา กลิ่นน้ำหอมที่น่าจะเป็นของผู้หญิงมันทำให้เขาหงุดหงิด ถึงอีกคนจะอธิบายมาแบบนั้นก็เถอะ แต่ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี

    "หึๆ...หึงหรอ"

     "เปล่านะ แค่...รู้สึกไม่ชอบ" ท่าทีอึกอักกับพวงแก้มที่ซับสีเลือด ทำเอาเวลอร์ยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี แบบนี้เรียกหึงชัดๆ 

     "ฉันไม่ได้ทำอะไรหรอก ถึงที่นั่นจะเป็นที่อย่างว่าก็เถอะ แต่แค่ไปนั่งดื่มจริง ๆ" เสียงทุ้มอธิบายเนิบๆ พลางเกลี่ยแก้มใสแล้วเชยคางฟาเรสให้สบตา "ฟาร์น่ารักขนาดนี้ คงมองคนอื่นไม่ได้แล้ว"

     "หล่อต่างหากละ" คนโดนชมรีบแย้ง เอามือถูกแก้มที่ร้อนผ่าว "เชื่อได้หรอ แล้วคืนก่อนละ จะบอกว่าออกไปสืบเรื่องพวกฟอสโกหรือไง"

    "อืมใช่" 

    "แล้วทำไมไม่บอกฉันละ" 

    "ก็บางทีมันก็อันตราย ฉันไม่อยากพาฟาร์ไปเสี่ยง ถ้าบอกฟาร์ต้องตามไปแน่ ใช่ไหมละ"

    "เหอะ ฉันคงไม่สำคัญพอที่จะรู้อะไรจากนายสินะเว" ดวงตาสีครามมองมาอย่างตัดพ้อ ทีกับโอซี่บอกได้ทีกับเขาละ

    "สำคัญสิ ฟาร์สำคัญที่สุด" ฟาเรสนิ่งไปครู่ใหญ่ราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่ คิ้วสวยขมวดหากัน แววตาดูหงุดหงิดคาใจ ในเมื่อตัดสินใจจะเคลียร์คงต้องเคลียร์ให้ครบทุกเรื่องสินะ

    "เว สถานะของฉันสำหรับนายตอนนี้คืออะไร" ฟาเรสตัดสินใจถามออกไปตามตรง เขาต้องการความชัดเจน 

    "สำหรับฉัน ฟาร์คือ..." ดวงตาสีอำพันมองมาอย่างแน่วแน่ "คนที่ฉันรัก" ฉ่า...ใบหน้าเห่อร้อนและแดงซ่าน หัวใจเต้นแรงจนแทบกระดอนออกจากอก รู้สึกมือไม้มันเกะกะจนต้องยกขึ้นมาปิดหน้าซ่อนความอาย  :-[

    "ฟาร์" เวลอร์ยิ้มขำกับท่าทางของคนบนตัก ที่ตอนนี้เขินจนไปไม่เป็น "ฟาร์ครับ" เสียงทุ้มเย้าแหย่พลางดึงมือบางที่ปิดหน้าออก ฟาเรสก้มหน้างุดจนคางชิดอกแต่ไม่อาจซ่อนใบหน้าที่แดงจัดลามถึงหูได้ ร่างสูงก้มลงฟัดแก้มแดงๆ นั่นอย่างหมั่นเขี้ยว

    "งื้อ...พอแล้วเว" มือเรียวพยายามดันหน้าคนตัวโตออกห่าง รวบรวมความกล้าจ้องตอบคนที่ยิ้มกว้างมาให้จนหน้าที่ร้อนอยู่แล้วร้อนยิ่งขึ้นจนแทบไหม้ "เว"

    "ครับว่าไงครับ"

    "คนที่รักกัน เขาไม่มีเรื่องปิดบังกันหรอกนะ" ฟาเรสบอก

    "งั้นต่อจากนี้มีอะไรฉันจะบอกฟาร์ เพราะเรารักกัน เป็นแฟนกัน ตกลงไหมครับ" ใบหน้าคมยิ้มทะเล้น แถมขโมยจุ๊บปากอิ่มไปที

     "เอ่อ เฮ้ย ฉัน...ยังไม่ได้บอกเลย" ร่างบางตาโตปฏิเสธพัลวัน ขี้ตู่ชะมัด

     มานั่งย้อนสิ่งที่ตัวเองพูด...คนที่รักกัน...อืม เวลอร์บอกว่ารักเขา ถ้ารักกัน หมายถึงเขาก็ต้องรักเวลอร์ แต่...ไม่รู้สิ ฟาเรสยังไม่แน่ใจตัวเองเลย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหมอนี่มีอิทธิพลต่อเขามาก มากจนทำให้คนที่ใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยต้องกลายมาเป็นพวกคิดมาก น้อยอกน้อยใจแม้อีกฝ่ายไม่รู้ตัว

     "ตกลง" เสียงหวานแผ่วเบาราวกับกระซิบ แต่ก็ดังพอให้คนฟังยิ้มกว้างเพราะชื่นใจที่ได้ยิน เวลอร์ดึงร่างบางเข้ามากอดไว้แน่น รับรู้สึกหัวใจดวงน้อยที่กำลังเต้นแรงของอีกคน...น่ารักเกินไปแล้ว

     ฟาเรสซุกหน้าเข้ากับอกกว้าง แบบว่าไม่กล้าสู้หน้า ไม่อยากมองตา ขอเวลาตั้งหลักตั้งสติซักนิด แต่เวลอร์ดันไม่ให้โอกาสนะสิ เจ้าตัวเงยหน้ามองอย่างงุนงงเมื่อไหล่บางถูกดันออกห่าง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อริมฝีปากสวยถูกฉกชิมอย่างรวดเร็ว เวลอร์เคล้าคลึงริมฝีปากนุ่มแผ่วเบา ขบเม้มริมฝีปากบนและล่างหลอกล่อให้คนที่ตั้งตัวไม่ถูกสติกระเจิงไปไกล จนเผลอเปิดปากรับลิ้นร้อนเข้ามาภายใน หยอกล้อกับลิ้นเล็กของตน กวาดชิมความหวานอย่างพึงใจ 

    "อืม..." เสียงครางผะแผ่วในลำคอ เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบแสนหวานที่เริ่มจะเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาร่างบางอ่อนระทวยราวกับขึ้นผึ้งลนไฟ จนต้องเอาแขนคล้องคอร่างสูงไว้อยากหาที่พึ่ง

    "หวาน" เวลอร์ผละจูบเพื่อนให้อีกคนได้โกยอากาศหายใจ ก่อนจะจูบ เบาๆ ซ้ำๆ แล้วประกบจูบต่ออย่างหิวกระหาย แต่ก่อนตอนที่โดนผนึกไว้ นึกสงสัยเหลือเกินว่า ริมฝีปากตรงหน้าจะนิ่มแค่ไหนนะ แล้วตอนนี้หรือก่อนหน้านี้เขาได้หาคำตอบให้ตัวเองเรียบร้อยแล้วว่า ไม่ใช่แค่นิ่มแต่หวานล้ำจนติดใจ จูบกี่ทีก็ไม่เบื่อ

     "อ๊ะ!!..." ฟาเรสร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อถูกจับพลิกลงนอนบนฟูกนุ่ม ก่อนที่คนตัวโตจะตามมาคร่อมทับมอบจูบร้อนแรงเสียจนหายใจหายคอแทบไม่ทัน เสียงหวานครางอื้อในลำคอ "แฮก!!! เว ใจเย็น" คนด้านบนผละออกให้ได้หายใจ จมูกโด่งซุกไซร้สูดกลิ่นหอมอ่อนตรงซอกคอ แล้วเลยมาเป่าลมร้อนใส่ใบหูให้ขนลุกซู

     “ดะ เดี๋ยว…เบา โอ้ย” คนใต้ร่างห้ามเสียงสั่นเมื่อมือกร้านสัมผัสไปทั่วร่าง ฉีกทึ้งเสื้อยืดที่ใส่นอนจนขาดติดมือ ริมฝีปากร้อนที่ลากเลียกดจูบทั่วลำคอ เลื่อนลงมากัดที่ลาดไหล่ตามแรงอารมณ์จนจมเขี้ยวจนคนตัวเล็กร้องลั่น ดึงสติที่กำลังจะหลุดของเวลอร์ให้กลับมา

     “เจ็บไหม ขอโทษ" เวลอร์ถามเสี่ยงอ่อย พลางจูบซ้ำๆ ที่รอยกัด ลูบกลุ่มผมนุ่มปลอบคนที่กำลังตระหนก เป็นแบบนี้ทุกทีที่ได้สัมผัสร่างกายนี้ ผิวเนื้อนุ่ม กลิ่นกายที่เขาชอบ มันทำให้เขาจิตหลุดได้ง่ายๆอยากกัด อยากฟัด เผลอไปตามสัญชาตญาณ

    "ทำไม" ฟาเรสดึงแขนแกร่งเอาไว้เมื่ออีกคนทำท่าจะผละออก แววตาสีครามจ้องมองอย่าเจ็บปวด เป็นอีกครั้งที่ถูกทิ้งไว้แบบนี้ บางครั้งก็เหมือนจะต้องการบางครั้งกลับละทิ้งราวกับรังเกียจ ไหนบอกว่ารักกันไง แล้วทำไมต้องผลักไสกัน "อย่าทำแบบนี้ อย่าทำเหมือนไม่ต้องการฉันแบบนี้" 

     "ไม่ใช่แบบนั้น ฟาร์ ไม่ใช่" เวลอร์ร้อนรนเพราะอีกคนทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้ "ก็แค่กลัว ไม่อยากทำร้าย ฟาร์ก็รู้ฉันไม่ใช่มนุษย์ มันคุมตัวเองไม่ได้ ครั้งที่แล้วฉันเผลอทำร้ายนายไปขนาดนั้น ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก" เสียงทุ้มอธิบายเศร้าๆ พลางยันกายขึ้นนั่งก้มหน้านิ่งอย่างรู้สึกผิด เรียกรอยยิ้มน้อยๆ จากคนตัวเล็กเพราะไม่เคยเห็นเจ้าตัวทำหน้าหงอยแบบนี้มาก่อน แม้เวลาแบบนั้นตัวตนของเวลอร์จะน่าหวาดหวั่นแต่ถ้าต้องรักษาระยะกันอยู่อย่างนี้ก็คงรู้สึกแย่พอกัน

     "นี่เว" ฟาเรสยันตัวขึ้นนั่งก่อนจะเอามือทั้งสองแนบแก้มของร่างสูงให้สบตา ครึ่งเอลฟ์ยิ้มเขินกับสิ่งที่กำลังจะพูด "ให้โอกาสแก้ตัว สนใจไหม" เวลอร์นิ่งคิดพลางมองคนพูดที่ตอนนี้อายม้วนไปเรียบร้อยก่อนจะเผยยิ้มกว้างอย่างยินดี 

     "พูดเองนะ"
 
    "อื้อ..." ลำแขนแกร่งคว้าเอาคนน่ารักพูดจาโดนใจมาให้รางวัลด้วยจูบร้อนแรง ลิ้นร้อนลุกล้ำเข้าไปตวัดเกี่ยวกับลิ้นในโพรงปากนิ่ม ลิ้มรสหวานอย่างดูดดื่ม เวลอร์นำฟาเรสตาม เสียงครางเครือของทั้งสองประสานกันไปกับเสียงชื้นแฉะของน้ำลายเร้าอารมณ์ให้อุณหภูมิในกายเพิ่มสูงขึ้น

     เวลอร์ดันคนในอ้อมกอดให้นอนราบกับเตียงนุ่มก่อนกำจัดเสื้อผ้าของเจ้าตัวออกให้พ้นทาง ทอดมองเรือนร่างขาวเนียนน่ามองจนต้องสัมผัส ช่างนุ่มนิ่มลื่นมือไปเสียทุกส่วน ร่างสูงพรมจูบไปทั่วหน้าก่อนมาจบที่ริมฝีปากสวยที่บวมเจ่อจากการโดนจูบก่อนหน้า หยอกเย้าให้อีกคนขาดใจเล่นแล้วละลงมายังลำคอขาว กดจูบ ขบเม้มทิ้งรอยไว้บาง ไล่มาจนถึงไหล่บาง ไหปลาร้า จนถึงแผ่นอกแบนที่กระเพื่อมขึ้นลงจากการหอบหายใจ พยายามเตือนตัวเองไม่ให้รุนแรง

    "อ๊ะ...ซี๊ด" จี้สร้อยถูกปัดให้พ้นทางก่อนที่ริมฝีปากร้อนจะก้มลงดูดดุนจุกเล็กข้างหนึ่งแรงๆ จนแทบหลุดติดปาก ส่วนอีกข้างไม่น้อยหน้าถูกนิ้วบดขยี้หนักหน่วง  "อิ๊...เว มัน ฮือ" ร่างบางบิดเร่าด้วยความเสียว แอ่นอกรับสัมผัสอย่างลืมตัว ฟาเรสดึงหมอนมาปิดซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำด้วยแรงอารมณ์และความอาย มันต่างจากครั้งก่อนเพราะตอนนี้สติครบถ้วน ทำให้รู้สึกเขินจนแทบจะตายลงตรงนี้

     "อย่าปิดสิ อยากเห็นหน้า" เวลอร์ผละออกจากแผ่นอกหลังจากเล่นจนพอใจ ออกแรงดึงหมอนที่ปิดหน้าคนใต้ร่างออก ฟาเรสมองมาแบบตื่นๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดแทน

    "โป๊ขนาดนี้ มันน่าอายนิ" เสียงหวานละล่ำละลักบอก บิดไปบิดมาจนเวลอร์ยิ้มขำกับท่าทีน่าดูเอ็น เอ้ย เอ็นดูของร่างบาง ชายหนุ่มผละออกมายืนที่ปลายเตียงลอกคาบตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนจะขยับไปนั่งคุกเข่าตรงหว่างขาของคนขี้อายพลางโน้มหน้าลงไปใกล้ เป่าลมหายใจร้อนๆ ใส่หลังมือที่กำลังบดบังใบหน้าที่แดงจัด

    "ฟาร์ครับ เอามืออกเร็ว อยากเห็นหน้า นะครับนะ" เสี้ยงทุ่มนุ่มหลอกล่อพยายามแงะมือเรียวออก ฟาเรสขืนไว้แต่ก็สู้แรงไม่ไหวจนมือถูกคนตัวใหญ่รวบกดไว้ทั้งสองข้าง

    "เว!!!" ฟาเรสเสียงดังตาโต เมื่อได้เห็นเรือนกายแข็งแกร่งของคนด้านบนนั้นเต็มตา ถึงจะกระดากแค่ไหนก็อดไม่ได้ที่จะไล้สายตาไปตามร่างอีกฝ่ายแบบทึ่งในความสมบูรณ์แบบของมัน ผิวกายที่ไม่ขาวไม่คล้ำดูสุขภาพดี แผ่นอกกว้าง หน้าท้องที่ขึ้นกล้ามเป็นลอนสวย จนถึงตรงนั้นที่กำลังขึ้นลำจนต้องหลับตาแน่นเพราะช็อคกับขนาดของมัน 

    ...เปลี่ยนใจทันไหมเนี่ย...

    "หึๆ โป๊เหมือนกันแล้ว ฉันยังไม่อายเลย"

     "ก็นายมันหน้าด้าน อื้อ อย่าจับ อาห์ ตรง...นะ  นั้น" ฟาเรสหลุดครางเมื่อมือกร้านจับเอาน้องชายเป็นตัวประกันรูดรั้งเบาบ้างหนักบ้างจนเสียวเกร็งไปทั่วท้อง ใบหน้าคมโน้มลงมาแลกลิ้นอย่างเร่าร้อนอีกครั้ง ส่วนมืออีกข้างก็ระรานไปทั่ว ร่างบางกระตุกเกร็งในยามที่ยอดอกถูกบดขยี้ด้วยนิ้วร้อนและปากที่ผละจูบออกมาดูดดุนจนแทบจะกลืนลงคอ ร่างกายสั่นสะท้านในยามที่ถูกปรนเปอ สะดุ้งในทุกครั้งที่ถูกริมฝีปากร้อนสัมผัส ลิ้นร้อนลากเลียลงมาจนถึงหน้าท้องแบนเรียบก่อนละเลงสะดือจนอีกคนดิ้นพล่านด้วยความเสียว กดจูบฝากรอยไปทั่วหน้าท้อง ไล้ต่ำลงมาเรื่อยๆ จนถึงไรขนอ่อนสีจางที่แทบไม่มีเลยตรงท้องน้อย มือเรียวขย้ำผ้าปูที่นอนแน่นแทบขาดคามือ 

     "เว!!! ซี๊ด เสียว อ้าห์" เสียงหวนครางลั่นเมื่อลิ้นร้อนโจมตีส่วนกลางกาย ตวัดเลียตรงส่วนปลายที่เริ่มฉ่ำแล้วครอบครองไปทั้งลำ หน้าขาถูกกดลงแนบฟูกจนไม่อาจหลบหนีจากโพรงปากร้อนที่กำลังรูดรั้งปรนเปรอสลับกับละเลงเน้นๆ ตรงส่วนหัวเล่นเอาสติกระเจิงได้แต่ครางเสียงสั่นอยู่แบบนั้น ฟาเรสน้อยโดนรังแกด้วยจังหวะรูดรั้งที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนร้องไห้ออกมาฉีดพ่นหยาดน้ำขุ่นเต็มปากของอีกคนที่กลืนมันลงคออย่างไม่รังเกียจ เวลอร์ยกยิ้มร้ายแล้วลากเลียน้ำคาวจนเกลี้ยงก่อนจะวกขึ้นมาจูบเจ้าของน้ำอีกรอบ
      "อื้อ มันคาว"

      "ของตัวเองแท้ ๆ"

      "ไอ้บ้าเว" เวลอร์ผละออกจ่างร่างที่นอนหอบไปคว้าเอาโลชั่นหน้าโต๊ะเครื่องแป้งมาเป็นตัวช่วย ไม่คิดว่าจะได้ทำแบบนี้เลยไม่ได้เตรียมตัว

     “เอาจริงแล้วนะครับ” เวลอร์บอกเสียงพร่า ดึงมือบางขึ้นมาจูบหลังมืออย่างรักใคร่ พยายามใจเย็นค่อยเป็นค่อยไป คนน่ารักอุตส่าให้โอกาสแก้ตัวจะปล่อยให้สัญชาตญาณนำจิตใจคงไม่ได้ เขาจะทำมันให้ดีและน่าประทับใจ ดวงตาสีครามมองมาอย่างออดอ้อน ริมฝีปากแดงช้ำยิ้มยั่วแล้วพยักหน้ารับ 

     แสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านผ้าม่านกระทบเรือนกายขาวที่บัดนี้เรื่อสีจากความปราถนาที่ถูกปลุก ผิวเนียนเกาะพราวไปด้วยหยาดเหงื่อ เทวดาตัวน้อยในวันวานบัดนี้เติบโตและงดงามจนไม่อาจละสายตา อยากจะทิ้งทุกอย่าง ช่างหัวพวกฟอสโก ช่างหัวพวกไวด์โซล เอสทีเรียดจะไปยังไงก็ช่างมันเหอะเพราะเวลานี้ เขาอยากจะพาคนคนนี้หนีไปให้ไกล ไปในที่ที่มีแค่เขากับฟาเรสแค่สองคน

     “เว” ฟาเรสเอ่ยเรียกเสียงสั่น สัมผัสจากฝ่ามือร้อนพาลให้ภายในกายร้อนตาม ตาคมดุจนักล่าต้องมองมาอย่างหิวกระหายกระตุ้นให้ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นและหวาดหวั่น เรียวขาถูกจับแยกกว้าง รับรู้ถึงสัมผัสเย็นชื้นตรงส่วนล่างก่อนจะสะดุ้งจากนิ้วที่ค่อยสอดเข้ามา

     “อ๊ะ…” ฟาเรสครางแผ่วในยามที่สิ่งแปลกปลอมเข้ามาในตัว มันค่อนข้างเจ็บจนเกร็งไปทั้งตัว กลีบเนื้ออุ่นนุ่งตอดรัดนิ้วเรียวแน่นจนยากจะขยับ

     "ไม่เกร็งนะฟาร์ เจ็บไหม เจ็บจนทนไม่ไหวให้รีบบอกฉันนะ” ใบหน้าคมก้มจูบซับหยาดเหงื่อที่ไหลซึมทั่วกรอบหน้าเนียน ค่อยๆ กดนิ้วเข้าไปลึกขึ้นแล้วหมุนคว้านไปตามผนังนุ่ม เมื่อเริ่มคุ้นชินความรู้สึกซาบซ่านจึงกระจายไปทั่วร่างจนเรียกเสียงครางหวานจากร่างบาง 

     “ฮ่ะ อ้าาา” นิ้วที่สองถูกเพิ่มเข้ามาชักเข้าออกช้าๆ จนช่องทางหวานเริ่มเข้าที่เข้าทางจึงสอดเพิ่มเข้าไปเป็นนิ้วที่สาม มันตึงแน่นไปหมด อึดอัดหายใจไม่ทั่วท้อง นอกจากความเสียวซ่านยังมีตวามเจ็บตามมาให้น้ำตาคลอ นิ้วเรียวขยับช้าๆ ดึงเข้าดึงออกสลับกับหมุนวนจนสัมผัสกับจุดกระสันภายในเล่นเอาคนตัวเล็กกระตุกเกร็งไปทั้งร่างด้วยความเสียว 

     “เว…อ๊ะ มัน ซี๊ด” คนข้างใต้เริ่มครวญครางไม่เป็นภาษาเมื่อความไม่คุ้นชินแปรเปี่ยนเป็นรันจวณในอารมณ์ มือหนึ่งปรนเปรอให้ร่างบาง ส่วนอีกมือเวลอร์ใช้มันขยับรูดตัวตนที่แข็งขืนจากภาพเร้าอารมณ์ตรงหน้า ริมฝีปากอิ่มแดงช้ำ กัดปากบ้างเผยอครางบ้าง ดวงตาฉ่ำหวานช้อนมองมาดูเว้าวอน มันยั่วเสียจนอยากจะกระแทกเข้าใส่เสียตอนนี้แต่กลัวอีกคนจะบอบช้ำ

     "รอไม่ไหวแล้ว" เวลอร์บอกเสียงพร่า ริมฝีปากสวยยิ้มหวานก่อนจะวาดแขนคลองคอร่างหนาลงมาจูบอย่างดูดดื่ม ความเขินอายจำต้องโยนทิ้งไปในเมื่อความต้องการมีมากกว่า ก่อนทิ้งท้ายด้วยประโยคน่าหมั่นเขี้ยวชวนให้จัดหนักๆ

     "แล้วใครบอกให้รอเล่า"

     "ปากดีนะเรา" ใบหน้าคมยิ้มร้ายพลางดึงขาเรียวขึ้นพาดบ่าทั้งสองข้างบีบโลชั่นใส่แก่นกายที่แข็งราวกับหินจากอารมณ์ที่คั่งค้างชโลมจนทั่วแล้วยกตัวเอาท่อนเนื้อร้อนถูไถช่องทางสีหวานจนคนใต้ร่างสั่นสะท้านด้วยความอยากที่เจือมาด้วยความกลัวในตัวตนของมัน

     "ฮึก เว ...อะ" เสียงหวานสะอื้นแผ่ว เมื่อท่อนเนื้อร้อนกดเข้ามาในร่างเพียงแค่ส่วนหัวก็เจ็บหน่วงจนน้ำตาซึม ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็เกินจะรับไหวอยู่ดี

     "ฟาร์...อย่าเกร็งนะครับ หายใจเข้าลึกๆ" ริมฝีปากสวยผ่อนลมหายใจช้าๆ เวลอร์พรมจูบไปทั่วใบหน้าเนียนแล้วมอบจูบอ่อนหวานหลอกล่อให้คนใต้ร่างได้ผ่อนคลาย เมื่อแรงบีบรัดตัวตนเบาลงเอวหนาจึงดึงดันแก่นกายเข้าช้าๆ ผนังร้อนตอดถี่คับแน่นจนร่างสูงต้องซีดปากอย่างเสียวซ่าน มือบางเกาะไหล่เขาแน่นพลางรั้งกายเข้าหา คิ้วเรียวขมวดมุ่น กัดริมฝีปากจนแดงช้ำอย่างทรมานจนน้ำใสๆ ไหลอาบแก้มแล้วร่างของทั้งสองก็แนบชิดกันในที่สุด

     "ดีมาก คนเก่ง" เวลอร์จูบซับน้ำตาให้ร่างบาง ลูบหัวลูบหางอย่างปลอบโยน 

     "อือออ.... เว ระ...ฮะ รอก่อนมัน อึดอัด" ใบหน้าสวยเหยเกกับความรู้สึกมากมายที่ตีรวนจากเบื้องล่าง ทั้งเจ็บทั้งแสบ ท่อนเนื้อร้อนที่เต้นตุบๆ อยู่ภายในทำเขาอึดอัดที่มาพร้อมกับความรู้สึกซาบซ่านที่แผ่ลามไปทั่วสันพรางกาย ฟาเรสพยักหน้าพลางยิ้มฝืนให้คนตัวโต

     "อ๊ะ อาห์ เว ฮือ" ครึ่งเอลฟ์ครางเสียงขาดในยามที่ท่อนเอ็นร้อนถูกดึงจนเกือบหลุดแล้วกดเข้ามาจนมิดด้าม เอวหนาบดวนหนักๆ ให้อีกคนบิดเร่าด้วยความเสียว ทำแบบนี้อยู่ซักพักก่อนจะดำเนินบทรักเนิบช้า แต่ทุกจังหวะเน้นหนักจนคนตัวเล็กโยกคลอนไปตามแรง แรงตอดรัดจากผนั่งนุ่มร้อนมากจนเขาต้องคำรามในลำคออย่างข่มใจ พยายามสะกดตัวตนอีกด้านที่เริ่มเข้าครอบงำ ประคองสติไม่ให้เป็นไปตามสัญชาติญาณแม้จะสวนทางกับความต้องการมากเพียงใด

     ฟาเรสปรือตามอง ใบหน้าคมที่พร่างพรมไปด้วยหยาดเหงื่อจนหยดลงมาบนตัวเขา คิ้วเข้มขมวดมุ่น เวลอร์ขบกรามแน่นดูอดกลั้นเต็มทนจึงรู้ว่าอีกคนกำลังฝืนตัวเองมากแค่ไหน

     "เว...ฮึก..." มือบางทั้งสองยกขึ้นทาบแก้มคนบนร่างให้มองสบตา เวลอร์เลิกคิ้วน้อยๆ มองตอบมาโดยที่ช่วงล่างยังคงจังหวะเนิบนาบต่อไป "ทำที่อยากทำ ฮึก เถอะ อ๊ะห์ ฮะ ฉัน ไม่เป็นไร" สิ้นเสียงหวานที่เหมือนคำอนุญาติ ตัวตนอีกด้านจึงไม่ถูกหยุดยั้งอีกต่อไป

     ตับ ตับ ตับ เสียงกระทบเนื้อของจังหวะรักที่รุนแรงขึ้นตามอารมณ์ดิบ เอวหนากระแทกแรงๆ โดยมีสองมือกดรั้งเอวบางเข้ารับในทุกจังหวะที่สอดใส่จนอะไรๆ มันเข้าลึกถึงจุดกระสันของร่างบางรัวๆ ฟาเรสสะบัดหน้าครางลั่นด้วยความเสียวซ่านที่ประเด้ประดังเข้ามาจนสติกระเจิง จิกข่วนไปตามไหล่กว้างด้วยแรงอารมณ์ทิ้งรอยเล็บเป็นทางยาว

     "อาาาา โครตแน่นเลย"

     "ฮึกเบา โอ๊ย ซี๊ด เว อะ อ้าาาาห์ เบามันลึก" เสียงหวานกรีดร้องอย่างทรมานเมื่อร่างสูงเล่นใส่ไม่ยั้งจนหัวหมุนหายใจหายคอแทบไม่ทัน เสียงครางและกลิ่นกาย ผนังร้อนภายในที่ตอดรัดในยามที่รุกล้ำสัมผัส ทำเอาเวลอร์หน้ามืดตามัวกลืนกินร่างกายนี้อย่างบ้าคลั่ง หลงไหล มัวเมา แทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เสียงคำรามต่ำของปีศาจร้ายฟังดูสุขสมและถูกใจ รู้อย่างเดียวในตอนนี้คืออยากครอบครอบทุกสิ่งทุกอย่างของคนใต้ร่างให้เป็นของเขาคนเดียว

     สองเสียงครางประสานกันจนดังลั่นห้องที่บัดนี้อุณภูมิภายในร้อนระอุจากบทรักร้อนแรงของสองร่างบนเตียง รสจูบเร่าร้อนถูกส่งมอบให้กันไม่ได้ขาด แลกลิ้นกันพัลวันแบบไม่มีใครยอมใครในขนาดที่ส่วนล่างยังสอดประสานรัวแรงไม่มีตก ฟาเรสสั่นในยามที่มือกร้านบีบเค้นไปทั่วร่างพร้อมกับริมฝีปากร้อนที่ลากเลียขบกัดแรงแม้เจ็บแสบแต่ก็รู้ลึกดีหรือเขาจะเสพติดความรุนแรงไปเสียแล้ว

     "อ๊าาาห์ เว เร็ว ใกล้ ฮ้าาา ละ แล้ว" ฟาเรสเรียกร้องอย่างลืมอายใจยามที่อารมณ์ถูกฉุดจนเกือบถึงปลายทาง เด็กหนุ่มส่งเสียงครางหวานไม่ขาดปากเมื่อคนบนร่างกระหน่ำใส่ไม่ยั้ง จนร่างบางกระตุกเกร็งฉีดพ่นน้ำคาวขุ่นจนเลอะหน้าท้องของทั้งคู่   

     ปฏิกริยาของร่างในยามปลดปล่อยบีดรัดตัวตนของเวลอร์แน่น ตอดถี่และกระตุกเกร็งจากภายในเร่งรัดให้ร่างสูงต้องรีบตามไปด้วยการกระแทกหนักๆ อยู่หลายครั้งแล้วปลดปล่อยทุกความต้องการเข้าไปทำเอาฟาเรสอุ่นวาบจากภายใน น้ำคาวไหลล้นออกมาอาบไปทั่วง่ามขาที่สั่นระริก ก่อนที่เวลอร์จะทิ้งตัวลงมากกกอดเขาไว้โดยที่ส่วนล่างยังเชื่อมกัน

     "รักฟาร์นะ" เสียงทุ้มกระซิบบอจูบเบาๆ ที่หน้าผากมน ฟาเรสยิ้มรับอย่างเหนื่อยอ่อนพลางหลับตามรับรสจูบอ่อนโยนที่อีกคนมอบให้อย่างเต็มใจเพราะตอนนี้รู้แล้วว่าเขาก็คิดเหมือนกัน

     "เว พักก่อน ขอ อาาาา พักแปป" ฟาเรสบอกเสียงสั่นเมื่อปิศาจร้ายที่ยังคาอยู่ในร่างเริ่มผงาดอีกครั้ง

     "อยากพักก็อย่าตอดกันสิที่รัก" เวลอร์บอก จับร่างบางพลิกคว่ำหน้า ทำให้ท่อนเนื้อครูดกับผนังร้อนภายในจนฟาเรสร้องลั่นเพราะทั้งแสบทั้งเสียวในคราวเดียวกัน

     "อ๊าห์ เว...ฮืออออ เดี๋ยว อ๊ะ" ฟาเรสหมดสิทธิ์จะห้ามปรามเมื่อสะโพกกลมกลึงโดนจับยึดในยามที่แก่นกายกระแทกเข้ามาไม่หยุด

     การร่วมรักที่ปราศจากฤทธิ์ยาทำให้รับรู้ทุกความรู้สึก ทุกสัมผัสได้ดีเยี่ยม มันเต็มตื้นไปทั้งใจ ฟาเรสแทบสำลักความสุขสมที่เวลอร์มอบให้แม้จะรุนแรงไปบ้าง แต่ก็รู้สึกดีเมื่อทุกสิ่งดำเนินไปด้วยความต้องการและเต็มใจของเขาเอง

.........................

-เค้ามาแล้ว คิดถึง  :กอด1: ขอโทษที่ทำให้รอนะค่ะ งานเยอะมาช่วนนี้ ลูกค้าที่น่ารักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าก่อนสงการนะค่ะน้อง  :heaven  ช่างอาร์ตนะค่ะไม่ใช่พระเจ้า จะได้เสกให้ได้ดั่งใจคุณ (บ่นๆ นิดนึง)  :z3:

-มีรูปมาฝากค่า สีน้ำ กากๆ ที่ไม่ว่าจะพยายามทีไรมันก็ไม่เวิคทุกที ก็เป็นจุดอ่อนนี่เนอะเลยพยายามทำ


-ขอบคุณทุกคนนะค้า ขอบคุณที่ติดตาม :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-05-2017 11:51:07 โดย l3loodl2o5e »

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
มาต่อแล้ววว

ฟาร์เอ้ยจะกดเขาโดนกดซะเองเลยย


เวลอร์ก็หื่น ทนไม่ไหวล่ะสินะ :hao3:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
สวยยยย

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ลุงงงงง.  หื่นมากๆๆ
ฟาช้ำแล้ว แอบเห็นใจอ่า
รูปสีก็สวยดีนะคะ.  ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
หนูฟาโดนตาลุงกดอีกล่ะนี่ก็ขยันยั่ว5555

ออฟไลน์ k_keenny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
พรุ่งนี้หนูฟาร์คงลุกไม่ขึ้น อิอิ  :-[

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
จัดหนักมาก!! เวหื่น และน้องฟาก้อยั่วอ่ะ 555555

ออฟไลน์ l3loodl2o5e

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-4
บทที่ 15

     "เคลียกันแล้วสินะ" โอซี่แซวเมื่อเห็นเพื่อนออกมาจากห้องเข้ามาที่ครัว เวลอร์ยิ้มรับอารมณ์ดีเชียว 

     กว่าจะกลับก็เกือบเช้า ได้ยินเสียงฟาเรสโวยวายมาจากห้องข้างๆ ไม่นานก็ตามด้วยเสียงครางหวานของก่อนจะเงียบลงเมื่อช่วงสายๆ ทำกิจกรรมเข้าจังหวะไม่เกรงใจคนโสดเลยสิให้ตาย 

     เดาว่าคงไม่พอใจเรื่องที่เขากับเวลอร์ออกไปข้างนอกกันสองคนทุกคืนเพื่อไปสืบเรื่องพวกฟอสโกในเมือง คิดไว้แล้วละไอ้เหตุการณ์แย่ๆที่เกิดขึ้นในเอสทีเรียดมันต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแท้จริงแล้วคือพวกฟอสโกนี่เอง เวลอร์เล่าเรื่องของฟาเรสให้ฟังแล้ว ได้ยินตอนแรกก็ทำเอาอึ้งเหมือนกัน ไม่คิดว่าจะมีคนที่มีพลังแบบนี้อยู่บนโลก พลังในการเปิดปิดรอยแยกของมิติได้ ถึงว่าท่านผู้อำนวยการถึงเอาใจใส่เพื่อนตัวเล็กของเขามาก ยิ่งเวลอร์ยิ่งแทบไม่ห่างตัว  ที่ช่วยสองคนนี้ส่วนหนึ่งอยากช่วยเพื่อนตัวเล็กของเขา อีกส่วนคิดว่ามันคงสนุกดี ชีวิตจะได้มีอะไรทำ

     "เก็บกระเป๋าหรือยัง" โอซี่ถามพลางหยิบขวดน้ำในตู้เย็นแล้วโยนให้เพื่อน 

     "เรียบร้อยแล้ว เรือเหอะออกกี่โมง" 

     "หกโมงเย็น ฟาร์จะลุกไหวไหมนั่น" 

     "หึๆ ปล่อยนอนไปก่อน ฉันเก็บของเผื่อไว้แล้ว ฟาร์ฟื้นตัวไวอยู่" แต่บางทีก็ไวไป เวลอร์ทำหน้ายุ่ง เพราะไอ้รอยคิสมาร์คที่ทำไว้ไม่กี่ชั่วโมงมันก็หาย เห้อทำใหม่เรื่อยๆ ก็ได้วะ  :z3:

     "อิจฉานายวะ อยากมีกับเขามั่ง ซักคนที่ทำให้รู้สึกอยากจริงจังด้วย" โอซี่ว่าพลางเอาของสดในตู้เย็นออกมาวางบนเคาท์เตอร์ แล้วลงมือเตรียมมื้อกลางวันเอาเป็นข้าวพัดแล้วกันง่ายๆ อยากจะหาเป้าหมาย หาจุดศูนย์กลางของชีวิต ถึงจะมีสาวๆ มาเสนอตัวมากมายแต่ยังไม่เจอใครถูกใจเลย

     "เดี๋ยวก็เจอ"

     "แล้วเรื่องฟอสโกนะ ถ้าต้องไปฝึกงานกับหน่วยพิทักษ์แล้วใครจะตามสืบข้อมูลของพวกมันละ"

     "ปล่อยเป็นหน้าที่เอเบรียน ฉันอยากให้ฟาร์ได้ลองใช้พลังจริงๆ คงต้องให้หัดปิดรอยแยกดู ไปกับหน่วยพิทักษ์แหละดี ไม่ต้องไปตามหาให้เหนื่อยยังไงหน่วยนี้ก็คงตามล่าพวกไวด์โซลหรือคอยป้องกันพวกรอยแยกของมิติเล็กๆ ที่เกิดตามธรรมชาติอยู่แล้ว" เวลอร์อธิบาย "แต่ระหว่างนี้คงมีพวกมันมาตามเก็บฟาร์แน่ๆ เพราะงั้นถึงได้ขอให้นายช่วยระวังให้อีกแรง"

     "นี่ บางทีฉันอาจเป็นพวกนั้นก็ได้นะ"

     "หึ ถ้าเป็นจริง ไว้ค่อยฆ่านายทิ้งก็ยังไม่สาย"

     "น่ากลัวจัง" ลูกครึ่งออคยิ้มกวน ใครจะไปคิดสั้นแบบนั้นละ

     ห้าโมงเย็นทั้งสามเดินทางไปท่าเรือเหาะเพื่อรอเดินทางไปยังเรดิเอนซี พวกพรีมกับมาวิคมาถึงในอีกครึ่งชั่วโมงพร้อมรุ่นพี่คนอื่นๆ อีกสามคน การเดินทางจะใช้เวลาราวๆ ยี่สิบชั่วโมงด้วยที่นั่งคลาสพิเศษที่กองทัพจัดเตียมให้ ขึ้นเครื่องได้ฟาเรสก็เอนเบาะหลับเป็นตายจนพรีมกับมาวิคถามอย่างสงสัยว่าเจ้าตัวป่วยหรือเปล่า แต่ใครเล่าจะตอบขืนบอกสาเหตุไป โอซี่คิดว่าคงมีคนช้ำใจแน่ๆ 

     การต้องอยู่บนเรือเหอะเป็นเวลาเกือบวันมันไม่ใช่เรื่องดีกับร่างกายของมนุษย์แม้จะเป็นที่นั่งสะดวกสบายแต่ความดันอากาศก็ทำเอาเวียนหัวพอตัว โดยเฉพาะกับฟาเรสที่เคยขึ้นยานพาหนะทางอากาศชนิดนี้เป็นครั้งที่สองในชีวิตต่อให้อีกครึ่งเป็นเอลฟ์แต่ก็อดเพลียไม่ได้จริงๆ

     ทันทีที่มาถึงหน่วยทหารของเรดิเอนซี่ถูกส่งมารับเด็กหนุ่มทั้งแปดคนเดินทางสู่พระราชวังเพื่อพำนับรอเหล่าหน่วยพิทักษ์ที่ยังติดภาระกิจแถบไซเลนซี เมืองหลวงของเรดิเอนซี่ตังอยู่บนโอเอซิสขนาดยักษ์ มีพืชเขตร้อนขึ้นอยู่หนาตาจนเป็นป่าย่อมๆ ที่ดูอุดมสมบูรณ์แม้อยู่ขอบทะเลทราย  ที่นี่แดดจะแรงในตอนกลางวันแต่ในยามค่ำกับหนาวเย็นจนเกือบศูนย์องศา พระราชวังถูกสร้างด้วยศิลปะของแถบตะวันออกเน้นความโอ่อ่าด้วยตัวอาคารสีอิฐและโดมสูงทรงหยดน้ำหรือครึ่งวงกลม บ้านเรือนส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นจากอิฐหรือปูน กำแพงหนาเพื่อป้องกันสภาพอากาศและรักษาอุณหภูมิในตัวบ้าน จนทำให้เมืองนี้ดูกลืนไปกับเนินทรายรอบด้าน

    สวย...นิยามแรกที่ฟาเรสนึกได้เมื่อก้าวเข้ามาในพระราชวังของเรดิเอนซี่ สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ตัดด้วยทางน้ำแผ่กระจายทั่วพื้นที่ราวกับใยแมงมุม ทางเดินที่ปูด้วยกระเบื้องโมเสดทอดยาวจนถึงปราสาทหลังใหญ่กับบานประตูเหล็กที่ประดับด้วยกระจกสีเป็นลายอสรพิษซึ่งนำไปสู่ท้องพระโรง

     "ทำไมทหารพวกนี้ถึงโค้งให้เราตลอดทางเลยละ" มาวิคถามอย่างแปลกใจ เพราะระหว่างที่เดินมาคนในวังต่างแสดงท่าทีนอบน้อมต่อพวกเขาจนเกินไป

     "เพราะเราเป็นแขกละมั้ง" พรีมว่า

     ทันทีที่เข้าสูงท้องพระโรงกษัตริย์แห่งเรดิเอนซี่ลุกขึ้นจากบรรลังก์เดินมาต้อนรับผู้มาเยือนทั้งแปดด้วยรอยยิ้ม กษัตริย์อลูคัส ผู้ปกครองดินแดนทะเลทรายแห่งนี้ มีรูปร่างสูงใหญ่อย่างชายชาตินักรบ ผิวกร้านแดดใบหน้าดุดันแต่กลับมีแววตาที่อบอุ่นอ่อนโยนดูเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ไม่ได้แก่มากแม้จะอยู่ในวันห้าสิบปีแล้วก็ตาม อาจเพราะเป็นเผ่าพันธุ์ออคที่อายุขัยนั้นมากกว่ามนุษย์อยู่พอตัว 

     อคันตุกะต่างเมืองโค้งคำนับให้อย่างนอบน้อม จะมีก็แต่เวลอร์ที่ยังนิ่งเฉยกับโอซี่ที่ไม่ได้โค้งให้เช่นกัน

     "ไง นึกว่ากลับบ้านไม่ถูกซะแล้วไอ้ลูกชาย" น้ำเสียงหยอกเย้าจากผู้เป็นใหญ่เอ่ยดังพร้อมก้าวยาวๆ ดึงเอาโอซี่เข้าไปกอด ทำเอาทุกคนที่ตามมาถึงกับอึ้ง โอซี่...ลูกชาย...งั้นเพื่อนเขาก็เป็นเจ้าชายนะสิ เคยได้ยินมาว่าเรดิเอนซี่มีเจ้าชายอยู่สามคนหากแต่คนเล็กยังไม่มีใครเคยเก็น ไม่คิดว่าจะเป็นเจ้าเพื่อนจอมกวนของเขาคนนี้

      "หึๆ ผมไม่กลับท่านพ่อก็ไปหาสิ" โอซี่กอดตอบพร้อมยิ้มกว้าง หากสังเกตดีๆ สองคนนี้มีบุคลิคท่าทางทีคล้ายคลึงกันอยู่พอตัวโดนเฉพาะรอยยิ้มที่ทำให้ทุกสิ่งรอบด้านดูผ่อนคลาย

     "แล้วไม่คิดจะกลับบ้านเลยใช่ไหม น่าเสียดายพี่แกถูกพ่อส่งไปออกงานแทน ถ้ารู้ว่าน้องกลับบ้านคงดีใจเอามาก"

     "พวกเรามาฝึกกับหน่วยพิทักษ์ อยู่ที่นี่อีกเป็นเดือนเดี๋ยวก็ได้เจอ แล้วนี่พวกเพื่อนๆ ผม ไอ้คุณชายนี่ชื่อพรีม เจ้านี่ชื่อมาวิค ไอ้ตัวเล็กๆ นี่ชื่อฟาเรส ส่วนหมอนี่ชื่อเวลอร์ แล้วก็นี่รุ่นพี่ที่คณะผม พี่คริส พี่จาฟาร์ แล้วก็พี่เบริอัส" 

     "ทุกคนยินดีต้อนรับสู่เรดิเอนซี่ของเรานะ ทำตัวสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง ฉันไม่ชอบพิธีตรีตองอะไรมาก พวกเธอเป็นเพื่อนเป็นพี่ของลูกชายฉันถือซะว่าที่นี่เป็นบ้านก็แล้วกัน" กษัตริย์อลูคัสกล่าวอย่างใจดี แต่พอหันมาเห็นเวลอร์กับนิ่งงันก่อนจะยิ้มให้ในที่สุด 

     จากนั้นก็มีการพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อยก่อนที่พวกเราทั้งหมดจะถูกนำไปยังห้องพักที่จัดไว้ให้คนละห้อง แต่อย่าคิดว่าเวลอร์จะยอมนอนแยกห้องกับฟาเรสหรอกนะพอแยกย้ายกันปุ๊บเจ้าตัวก็หอบผ้าหอบผ่อมาห้องคนตัวเล็กทันที

      "ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ อย่างโอซี่เนี่ยนะเป็นเจ้าชาย" ฟาเรสว่าพลางลื้อสัมภาระตัวเองออกมา "แต่นายดูไม่แปลกใจเลยนะเว"

      "เจ้านั่นเคยบอกแล้ว"

      "เหอะ สนิทกันเหลือเกินนะ" คนตัวโตยักไหล่ 

     ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดัง เวลอร์จึงเดินไปเปิดเจอกับสาวใช้ที่มาบอกว่าฝ่าบาทให้เข้าเฝ้า ร่างสูงเพียงตอบรับก่อนจะลากฟาเรสให้ตามไปด้วย แล้วทำไมเขาต้องไปด้วยละ ทั้งสองถูกพามายังโดมสีขาวสะอาดตากลางสวนด้านหลังพระราชวังที่ตอนนี้มีกษัตริย์อลูกัสและโอรสองค์เล็กนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ถึงจะเป็นพ่อของเพื่อนแต่ฟาเรสก็อดประหม่าไม่ได้เมื่อต้องมานั่งร่วม

     "ไม่คิดเลยว่าจะยังอยู่ กษัตริย์เวลาเรียส" คำเรียกขานทำเอาฟาเรสต้องหันมองคนข้างกายอย่างฉงน

     "หมายความว่ายังไง ทำไมฝ่าบาทถึง...เรียกนายแบบนั้น" ร่างบางถามออกมาอย่างงุนงง

     "ขอโทษนะที่ไม่เคยบอก ก็มันเป็นอดีตนี่เนอะ แต่ก็ตามนั้น ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรอินเวียโน่ แต่ตอนนี้ที่นั่นล่มสลายไปแล้วละ เพราะงั้นฉันกับแม่เธอเลยต้องหนีออกมาไง เอาจริงๆ นอกจากเพื่อนๆ ไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาจริงๆ ฉันหรอกฟาร์ เพราะงั้นถึงคิดว่ามันไม่สำคัญไง" เวลอร์อธิบาย "ชื่อจริงๆ ของฉันคือ เวลาเรียส แต่คนๆ นั้นตายไปนานแล้วละ ที่อยู่ตรงหน้านายตอนนี้คือ เวลอร์ โมนาคา ฉันคือเวลอร์ของฟาเรสรู้แค่นั้นพอ" 

     "อืม" ฟาเรสพยักหน้ารับ แต่ก็อดเคืองไม่ได้เพราะดูเหมือนยังมีอีกหลายอย่างที่เจ้าตัวปิดบังเขาอยู่ เขาเคยได้ยินเรื่องของอินเวียโนมาบ้าง เป็นอาณาจักรตอนเหนือที่ค่อนข้างจะตัดขาดจากอาณาจักรอื่นๆ จึงไม่ค่อยรู้ข้อมูลมากนักเพราะปกครองแบบเอกเทศและเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าอมนุษย์จนบางครั้งยังถูกเปรียบดังแดนสวรรค์อันเป็นที่อยู่ของเหล่าเทพเหนือมนุษย์ นอธเทิลเรียมว่ากันว่าได้แยกตัวออกมากจากอาณาจักรแห่งนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อนแต่ยังมีการติดต่อกับอินเวียโน่บ้างเป็นครั้งคราว

     "เด็กคนนี้เป็นลูกของฟาร่าสินะ ชื่อฟาเรสใช่ไหมเรา หนุ่มน้อยขอฉันดูหน้าใกล้ๆ หน่อยสิ" น้ำเสียงอบอุ่นเอ่ยเรียก ร่างบางจึงเดินไปหาอย่างเสียไม่ได้ ฝ่ามือใหญ่ทาบใบหน้าเนียนก่อนมองมาแบบชัดๆ แล้วยิ้มกว้าง "ใช่จริงๆ ด้วย เรานี่หน้าตาเหมือนแม่เลยนะ"

     "ฝ่าบาทรู้จักแม่ผมด้วยหรอ"

     "หึๆ รู้สิ เราเรียนมาด้วยกันนะ ฟาร่าเปรียบเสมือนน้องเล็กของพวกเรา เพราะงั้นพวกเราเลยรักเธอมากไงละ โดยเฉพาะหมอนี่รักฟาร่ามากยิ่งกว่าใคร เพราะฟาร่านะคือราชินีแห่งอินเวียโน่ยังไงละ" นี่มันอะไรกันเนี่ย ดวงตาสีครามฉายแววสับสน ท่านแม่เป็นราชินีงั้นแสดงว่า ท่านต้องแต่งงานกับเวลอร์สินะ แล้วท่านพ่ออินดิโก้ละ หรือว่าจริงแล้วพ่อของเขาจะเป็นเวลอร์ บ้านะแล้วพ่อจะมามีอะไรกับลูกตัวเองได้ยังไง หรือบางทีการที่เวลอร์เอาใจใส่เขาขนาดนี้คงไม่ใช่เพราะคิดว่าเขาคือตัวแทนของแม่หรอกนะ

     "ฟาร์ คิดอะไรอยู่หืม" เหมือนอีกคนจะอ่านใจออก "ถึงฉันกับฟาร่าจะแต่งงานกัน แต่นั่นมันคือหน้าที่ เราอยู่กันแบบพี่น้อง ฟาร่านะมีคนรักอยู่แล้ว นั่นคืออินดิโก้พ่อของเธอไง" เวลอร์อธิบายพลางดึงร่างบางมากอดไว้ เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยประโยคต่อมาช่วยทำให้คนฟังเบาใจแถมยังใบหน้าร้อนผ่าวได้ทันใด  "ตอนนี้ฉันมีคนที่รักจริงๆ แล้ว ก็รู้นิว่าใคร"

     เวลอร์เล่าเรื่องทุกอย่างให้กษัตริย์อลูคัสฟัง ในช่วงที่ก่อนเกิดเรื่องอลูคัสจำต้องกลับมารับราชสมบัติแทนบิดาที่หมดสิ้นอายุขัยจึงไม่ได้รับรู้เรื่องราวในอินเวียโนรู้คร่าวๆ เพียงเพื่อนของเขาถูกหักหลัง พระราชวังถูกทำลายจนต้องพากันระหกระเหินกันไปไกล แต่ข่าวร้ายสุดๆ คงเป็นข่าวที่ว่าทั้งราชาและราชินีของอาณาจักรแห่งนี้ถูกลอบสังหารไปแล้ว เขาอยากช่วยแต่ให้ทิ้งประชาชนของตนก็ทำไม่ได้ ดีใจจริงๆ ที่เห็นเวลาเรียสไม่สิตอนนี้คือเวลอร์ยังมีชีวิตอยู่ แถมยังได้พบกับลูกชายของฟาร่า เด็กคนนี้สามารถทำให้เขารู้สึกเอ็นดูได้ทันทีที่พบหน้า นั่นเพราะเป็นลูกชายของน้องสาวที่เขารัก

      "แล้วนี่จะทำอะไรต่อ รอยแยกที่อินเวียโนขยายขึ้นทุกวันๆ เราปล่อยไว้นานเกินไปแล้ว " ผู้เป็นใหญ่ถามพลางครุ่นคิด "ฉันคิดว่าหากปล่อยไปอีกจนวันหนึ่งโลกของเราอาจซ้อนทับกับโลกของวิญญาณแน่ๆ ถึงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม"

     "ฟาร์ต้องเป็นคนปิดมัน แต่ตอนนี้ ฟาร์เองยังไม่รู้วิธีใช้พลังเลยด้วยซ้ำเลยเราถึงต้องมากับพวกหน่วยพิทักษ์ให้ฟาได้ฝึกปิดรอบแยกเล็กๆ ไปก่อน"

     "ท่านพ่อ ผมอยากขอให้ช่วย" โอซี่เอ่ยปาก "เราให้คนรู้มากไม่ได้ อยากจะแยกพวกที่เดินทางมาเป็นสองกลุ่มได้ไหม ในหน่วยพิทักษ์ท่านพ่อน่าจะรู้ว่าใครไว้ใจได้ ให้พวกนั้นมากับพวกผม"

     "เอางั้นก็ได้ เดี๋ยวฉันจัดการให้ แล้วพวกไหนที่ลูกจะเอาไปด้วยละ"

     "ก็นอกจากพวกผมสามคนก็มีมาวิค กับพรีมนะ"

     "แล้วถ้าสมมุติ ใช้พลังเป็นแล้ว เราจะบุกไปที่อินเวียโนกันยังไง" ฟาเรสที่นั่งฟังอยู่นานถามขึ้น 

     "ก็คงต้องหากำลังคน คนของฉันลี้ภัยไปซ่อนตัวอยู่ไหนซักที่ในเอสทีเรียดนี่ละ เพียงแต่มันเป็นที่ค่อนข้างลึกลับถูกอำพรางด้วยเวทย์มนต์หากคนทางนั้นไม่แสดงตัวคงยากจะเจอ แต่เรื่องนี้ค่อยว่ากัน หาคนจากอินเวียโนเหมือนฉันเจอก็คงเจอที่นั่นเหมือนกัน" เวลอร์ร่ายยาว พลางดึงคนตัวเล็กข้างกายมาโอบไว้เมื่อรู้สึกว่าลมกลางคืนที่พัดมาชักเย็นเกินไปจนไหล่เล็กๆ นั้นเริ่มสั่น

      "ด้วยตำแหน่งที่มี ฉันคงช่วยนายด้วยตัวเองไม่ได้เพื่อนยาก ฉันยังมีเมืองมีประชาชนที่ต้องดูแล" กษัตริย์อลูคัสมีสีหน้าหนักใจ

      "ไม่เป็นไรฉันเข้าใจ"

      "ท่านพ่อปล่อยเป็นหน้าที่ผมเถอะ เพื่อนท่านพ่อตอนนี้มันก็เพื่อนผม ได้ตัวเล็กนี่ก็เพื่อนผม" โอซี่ให้คำมั่นต่อบิดา "ผมจะช่วยพวกนี้เอง"

       จากนั้นทั้งสี่ก็คุยกันนิดหน่อยเรื่องแผนการหลังจากนี้ กษัตริย์อลูคัสรับปากว่าจะสืบหาคนจากอิเวียโนให้ ส่วนมาวิคกับพรีมคงไม่ต้องปิดบังอะไรในเมื่อเป็นเพื่อนกันซักวันก็ต้องรู้สู้บอกๆ ไปแล้วช่วยกันจะดีกว่า ทำไมฟาเรสไม่เกิดเป็นเด็กธรรมดาวะ ทำไมต้องเกิดมาเป็นครึ่งเอลฟ์แถมยังมีพลังบ้าๆ นี่อีก แต่ยังไงก็ต้องทำ บางคนเกิดมาพร้อมหน้าที่ มันปฏิเสธได้ที่ไหนละ ...เครียดโว้ยยย!!!

..........................

-มาต่อแล้วจ้าาา ปีใหม่ไทยนี้ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขความเจริญในทุกๆ ด้าน เอนจอยกับเรื่องที่เราเขียนเพ้อพรรณนา และรักกันติดตามกันไปนานๆ  และหวังอย่างยิ่งว่าเรื่องที่เราเขียนจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่สามารถมอบความสุขแห่ทุกคนได้ รักทุกคนจ้า  :กอด1:
-ตอนหน้าเราจะมาเปิดตัวลุงเวกันค่า :katai2-1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด