บทที่ 10 สมคำร่ำลือที่ว่า
ป่วยยากและหายยากยิ่งกว่า
1 สัปดาห์กับอาการป่วยเป็นไข้หวัดของไทกริส ทำให้ต่ายรู้สึกเหมือนดูดพลังชีวิตไปมากโข
4 วันเต็มๆ ที่จะต้องไปมาระหว่างคอนโดกับโรงพยาบาล โรงพยาบาลกับมหาลัย มหาลัยกับคอนโด ยังดีที่พี่รีนพี่ริชที่แม้งานจะรัดตัวแค่ไหนก็ยังผลัดกันมาเฝ้าไข้น้องชาย ส่วนพ่อกับแม่ของต่ายมาเยี่ยมน้องอยู่ครั้งนึง ก็ต้องรีบบินไปเชียงใหม่ เห็นว่ามีประชุมผู้ค้ากล้วยไม้แห่งประเทศไทย
แต่คนที่เหนื่อยก็ไม่ได้มีแค่ต่าย คนป่วยเองก็เช่นกัน เพราะลาหยุดไปถึง 1 สัปดาห์เต็มๆ เลยต้องเจอกับงานที่ต้องคอยตามเก็บ ไหนจะมีเทสต์ย่อยต่างๆนานาอีก โชคดีที่ฝาแฝดหัวดำเพื่อนที่แสนประเสริฐไม่คิดทิ้งเพื่อน เอางานมาให้วันต่อวัน แถมมีอัดเสียงอาจารย์ในแต่ละคาบ
ทำเอาต่ายรู้สึกปลาบปลื้มแทนไทกริสไม่ได้ มือขาวเคาะแป้นพิมพ์จนเกิดเสียงดัง จนต่ายที่เดินออกจากครัวหันไปตามเสียง ที่หลังมือมีรอยช้ำสีม่วงปนเขียวน่ากลัวจากการให้น้ำเกลือ แต่ดูเจ้าตัวจะไม่ใส่ใจกับสิ่งนั้นเท่าไหร่
“กดเบาๆก็ได้มั้ง คีย์บอร์ดน่ะ”
“กระต่าย” เด็กโค่งเรียกเสียงอ่อย ใบหน้างอลงเพราะสาเหตุที่ต่ายก็ไม่รู้
“วางชีทเกลื่อนอีกแล้ว” ต่ายบ่นพลางมองไปรอบๆตัวของไทกริสที่นั่งอยู่บนพรมขนนุ่ม บัดนี้รายล้อมด้วยแผ่นกระดาษเอสี่มากมาย
“งานเยอะ” เด็กโค่งบ่นหงุงหงิง ต่ายอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
“ค่อยๆทำไป ไม่ไหวก็พักบ้าง เดี๋ยวไข้ก็กลับหรอก” ต่ายเตือนด้วยความหวังดี
"หายแล้วน่า"เด็กโค่งงึมงำในลำคอ ก่อนจะหันไปสนใจหน้าจอแมคต่อ ส่วนต่ายก็ต้องมาคอยเก็บกองชีทที่วางเกลื่อนกลาดอยู่
สามทุ่มเวลาเดิมของใครบางคนที่ต้องเข้านอน
ซึ่งเจ้าตัวก็ตรงต่อเวลาดีเหลือเกิน....
ไทกริสเก็บชีทที่ต่ายวางเป็นตั้งให้เรียบร้อยเข้ากระเป๋า ก่อนจะหันไปหาคนอายุมากกว่าที่นั่งดูทีวีอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“กระต่าย”
“หืม” ต่ายละสายจากหน้าจอทีวี
“ไปนอนกัน”
“พี่ยังไม่ง่วงเลย”
“นะ”
“ไปนอนก่อน เดี๋ยวตามไป” เด็กโค่งพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินของห้องไป
ต่ายนั่งดูหนังจนจบไปสองเรื่อง นาฬิกาก็ตีเวลาบอก เที่ยงคืนพอดี จึงจัดการปิดทีวี ปิดไฟให้เรียบร้อย
แล้วเดินเข้าห้อง..
ของเจ้าเด็กในความดูแลตั้งแต่เด็กนี่มานอนกับต่าย แน่นอนมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งสองสามสี่ห้าตามมา เพราะหลังจากอีกคนออกจากโรงพยาบาลได้ คนที่เพิ่งหายป่วยก็งอแงอยากนอนด้วย ด้วยเหตุผลที่ว่า
ไม่ได้นอนกับต่ายแล้วนอนไม่กลับ ต่ายอยากจะตอกกลับว่า แล้วที่ผ่านมาคืออะไร ?
แต่ก็ไม่อยากขัดใจเด็ก
เข้าไปในห้องนอนของไทกริสที่นอนมาได้ 3 คืนติด ห้องที่เข้าคิดว่าตัวเองหลงอยู่ในถ้ำหิมะ
เด็กนี่เปิดแอร์ 18 องศา ในวันแรกที่รับรู้ มือคว้ารีโมตแทบไม่ทัน เพิ่งหายป่วยมาแท้ๆ ยังจะนอนในที่หนาวๆอีก
พอกดเพิ่งอุณหภูมิ เจ้าของห้องขมวดคิ้วมุ่นใส่
“มันหนาวไป นายเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเองนะ” ทำเสียงให้ดุๆ เด็กจะได้กลัว ซึ่งก็ได้ผล คิ้วที่ขมวดคลายออก แต่กลายเป็นได้หน้ายู่ๆ มาแทน
ต่ายอดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วคีบปากนั่น
“อย่าดื้อกับพี่ เข้าใจ๊?”
กลับมาที่ปัจจุบัน อุณหภูมิในห้องยังคงเหมือนเดิมกับที่ปรับไว้
แต่เพิ่มเติมคือ เจ้าเด็กโค่งถอดเสื้อนอนครั้งแรก
เด็กเมืองหนาว คงจะร้อน แต่ก็ไม่กล้าเพิ่มแอร์เพราะกลัวโดนดุ....ต่ายส่ายหน้าให้กับคนที่เปลือยท่อนบน ผ้าห่มก็ร่นไปกองอยู่กับโคนขา เลยต้องเข้ามากระชับผ้าห่มให้ ส่วนตัวเองก็สอดตัวลงไปนอนข้างๆ
เตียงคิงไซส์ที่ต่ายสามารถกลิ้งได้หลายตลบ ขนาดมีคนร่างยักษ์มานอนตั้งสองคน ยังเหลือพื้นที่ให้นั่งเล่นไพ่เลยคิดดู
พอรู้สึกถึงไออุ่นที่คุ้นเคย ร่างขาวของไทกริสก็คว้าเอวต่ายแล้วซุกตัว
เหมือนอย่างเคย.... แรกๆต่ายนี่ถึงกับนอนเกร็งจนร่างชา จะแกะออก ก็โดนครางฮือใส่อย่างขัดใจ
แต่คิดไปคิดมา มีคนมานอนกอด ก็
อุ่นดีเหมือนกัน.....
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ต่ายก็เลยกลายเป็นหมอนข้างมีชีวิตให้กลับไทกริสไปโดยปริยาย
เช้าวันจันทร์ ต่ายตื่นมา เจ้าเด็กโค่งก็ไม่ได้อยู่บนเตียง จากสัมผัสที่เย็นของพื้นที่ข้างตัว ทำให้ต่ายรู้ว่า ไทกริสลุกออกไปนานแล้ว
ออกมาจากห้องก็ยังไม่มีวี่แววของเจ้าของห้อง ซึ่งก็สันนิฐานได้อย่างเดียวคือ
ไปฟิตเนส
เรียกได้ว่า ตั้งแต่เด็กโค่งป่วย ก็เปลี่ยนอะไรหลายๆอย่าง เช่น การเข้าฟิตเนสทุกเช้า วันละ 2 ชั่วโมง
เป็นการออกกำลังกายแบบเบาๆ
ต่ายเคยเสนอให้ไทกริสไปวิ่งออกกำลังกาย แต่เจ้าตัวปฏิเสธ เพราะไทกริสไม่ชอบออกกำลังกายกลางแจ้ง
กำลังจะไปอาบน้ำแต่งตัว คนที่ตามหาก็กลับเข้ามาพอดี ในสภาพเหงื่อโชก แต่ใบหน้าดูไบร์ทยิ่งกว่ากินคอลลาเจน
การออกกำลังกายมันดีอย่างนี้นี่เอง
ไทกริสพอเห็นต่ายยืนอยู่ ก็ยีผมอีกคนเบาๆ
“มอร์นิ่ง”
ต่ายเอียงหัวหนี แล้วใช้มือดันเจ้าเด็กตัวสูงโย่งเอาไว้
“ไปอาบน้ำ”
ไทกริสคลี่ยิ้มให้ ก่อนจะเดินเข้าห้องไป
ต่ายโคลงหัวเบาๆ นั่นคือสิ่งที่เปลี่ยนไปที่สอง
เขารู้สึกว่า พักนี้ไทกริสยิ้มบ่อยขึ้นมาก ซึ่งนั้นมันก็ดี
แต่ที่ไม่ดีคือหัวใจของเขา นี่แหล่ะ ทำไมต้องใจเต้นทุกครั้งที่มันยิ้มด้วยนะ ......
ไทกริสพาต่ายมาส่งที่เดิม คือที่ม้าหินอ่อนคณะวิศวะกรรมศาสตร์ ก่อนจะวนไปจอดรถที่หน้าตึกคณะของตัวเอง
เดินออกมาจากรถ สาวๆที่นั่งอยู่ก็มาอย่างสนใจเช่นเคย ซึ่งเขาก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคนที่สนใจ มีเพียง
คนเดียวเท่านั้น
โจกับฟรานที่ยืนรออยู่หน้าตึก โบกมือเรียกทันทีที่เห็นเพื่อนตัวขาวเข้ามา
“โย่ หายดีแล้วใช่ไหม” ฟรานเอ่ยทัก จับเพื่อนพลิกซ้ายขวา
“อืม” คนถูกถามตอบสั้นๆ ฟรานขยิบตาพลางยกนิ้วโป้งให้
“จะได้ครบซะที ไม่มียูเหมือนอะไรขาดหายไป” ไทกริสส่งเสียงหูในลำคอ ก่อนจะพากันเดินขึ้นลิฟต์เพื่อไปที่ห้องเรียน
ทั้งสามชะงักเท้าที่กำลงัเดิน เมื่อเห็นรุ่นพี่สาวสวย ที่เคยเจอเมื่อช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ ยืนละล้าละลังอยู๋หน้าห้องเรียนของพวกเขา
“สวัสดีครับพี่กวาง” ฟรานทักในขณะที่โจและไทกริสผงกหัวให้เฉยๆ หญิงสาวที่กำลังยืนอยู่หันมายิ้มหวานออกมาทันที
“มาพอดีเลย น้องไทกริสหายป่วยแล้วใช่ไหมเนี่ย ซูบไปเยอะเลย ” กวางรีบปรี่เข้ามาหา
“ครับ”
“ดีแล้ว พี่จะมาบอกว่าเย็นนี้ 5 โมง ไปเจอพี่ที่ลานหน้าคณะหน่อยนะ”
“ทำไมหรอครับ”
“เรื่องเดินขบวนงานกีฬาจ้า แต่พี่ต้องไปคุยกับสภานักศึกษาก่อน เอาไว้จะมาแจ้งตอนเย็นนะ”
ฝาแฝดหัวดำพยักหน้ารับ มีเพียงไทกริสที่ยังคงงุนงง เพราะไม่ได้มาเรียนตั้ง 1 สัปดาห์
“พี่เขาอยากให้พวกเราไปเดินขบวน จริงๆก็มาคุยๆไว้หลายวันแล้วล่ะ แต่เราไม่ได้ตอบอะไรไป” โจพูด
“แต่ไอนี่โดนเต็มๆ” ฟรานบ่น
“โดนอะไร” ไทกริสถาม ด้วยสีหน้างุนงน
“ไอโดนให้ไปถือป้ายของคณะ”
ไทกริสนึกตาม
“เหมือนกีฬาสีเหรอ” เขาจำได้เมื่อสมัยประถม เวลาถึงงานกีฬาสี ก็จะมารเดินขบวน มีคนถือป้าย ถือธง ดรัมเมเยอร์ ยั้วเยี้ยไปหมด
แต่พอย้ายไปเรียนที่ฮังการีก็ไม่มีได้มีบรรยากาศแบบนั้นอีก
“ใช่ๆ แต่อันนี้เป็นระหว่างคณะไง” โจตอบ ส่วนฟรานที่เรียนนานาชาติมาตั้งแต่เล็กยันโต ที่โรเรียนก็ไม่มีเช่นกันก็ได้แต่พยักหน้าเออออไป
“สนใจลงกีฬาอะไรไหม เรากับฟรานว่าจะลงฟุตบอล” โจว่า
ไทกริสส่ายหน้า
“ไม่ชอบเล่นกลางแจ้ง”
“หือ?”
“มันรู้สึกหงุดหงิดน่ะ” ไทกริสอธิบาย เพื่อนทั้งสองสตั้นท์ไปซักพัก ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ไม่รู้จะพูดยังไงเลย”
.
.
.
.
.
.
.
.
“เอ้าาาาา” เสียงของต่ายร้องขึ้น ทำเอาสหายทั้งสามที่กินข้าวอยู่ถึงกับเงยหน้าขึ้นมามอง พลางใช้สายตาถามว่า
มึงเป็นเหี้ยไร ???
เจ้าตัวดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัว ยังคงหน้ามุ่ยคิ้วขมวดกับโทรศัพท์
เรื่องของเรื่องคือ
หลังจากที่ต่าย ส่งไลน์ไปถามไทกริสว่า
‘กินยารึยัง’ แต่อีกคนกลับตอบมาว่า
“ต้องกินด้วยหรอ”ต่ายแทบอยากจะเอาเท้ายกขึ้นมาก่ายหน้าผากให้รู้แล้วรู้รอด ทั้งๆที่ตอนหมอให้ยามา เจ้าตัวก็อยู่ด้วยตรงนั้นแท้ๆ
หมอย้ำแล้วย้ำอีกว่า กินติดต่อกันจนกว่าจะหมด
แต่พอเจอแบบนี้ ก็ได้แต่ถอนหายใจ
‘หมอบอกให้กินให้หมด จำไม่ได้รึไง’
‘หรอ ไว้กลับไปค่อยกิน’
เมื่อเด็กว่างั้น ต่ายจะทำอะไรได้ แล้วดูเหมือนว่าเจ้าตัวก็คงไม่ได้พกยามาด้วยแน่ๆ
“ปวดหัวว่ะเหี้ย” ต่ายบ่น
“อ้าว พอเด็กหายมึงเลยป่วยแทน”
“กูปวดเพราะเด็กนี่แหล่ะ เฮ้ออ” แทบจะเอาหัวโขกโต๊ะ ถ้าไม่ติดว่าจะเจ็บล่ะก็นะ
.
.
.
.
.
หลังจากไทกริสและผองเพื่อน เลิกเรียนแล้ว ก็พากันมาที่ลานกว้างหน้าคณะ ตามที่รุ่นพี่คนสวยได้บอกไว้ ลานกว้างหน้าคณะ เป็นเหมือนศูนย์รวมรุ่นพี่ทุกชั้นปี ทำให้พวกเขาไม่ค่อยอยากจะย่างกรายเข้ามาแถวนี้นัก
พอเดินเข้าไป หลายๆคนก็หันมามอง บางคนที่จำฟรานได้ก็ต่างร้องทักกัน
บางคนก็จ้องมาที่พวกเขาเขม็ง จนรู้สึกเกร็งๆ และหนึ่งในนั้น โจและฟรานจำได้ว่า จะเป็นพี่ว๊ากในช่วงเขารับน้องนี่เอง
ทั้งสองยกมือไหว้กลุ่มทั้งรุ่นพี่ปีสองและปีสามที่แถมมา 3 คน
ไทกริสที่เดินตามหลังมาไม่ได้ไหว้ เพราะเขาไม่รู้จัก
หนึ่งในรุ่นพี่ จ้องมาที่เด็กโค่งเขม็ง เขาจำได้ว่ารุ่นน้องคนนี้เด่นมาก แล้วก็เป็นคนเดียวที่ไม่ได้มาร่วมกิจกรรมรับน้อง อ้างว่าติดธุระกับที่บ้าน
“น้อง” กานต์ ชาหนุ่มร่างสมส่วนร้องเรียกไทกริส แต่คนถูกเรียกกลับไม่รู้
“เห้ย น้องอ่ะ ไอ้ขาว!” พอเรียกแบบนั้น ฟรานกับโจก็รีบสะกิดไทกริส ที่ยืนแบบทองไม่รู้ร้อน
“ไทก์ พี่เรียก” ไทกริสหันไปหา
“ครับ?”
“เจอรุ่นพี่ไม่คิดจะสวัสดีเลยหรอครับ” กานต์ถามเสียงเย็น พวกรุ่นน้องปีสองที่นั่งอยู่ด้วยกันมองหน้ากันเลิกลั่ก
ไทกริสยืนนิ่งอยากคนไม่เข้าใจ
ก็เขาไม่รู้จัก ต้องสวัสดีด้วยหรอ
“หวัดดีพี่เขาดิไทก์ เดี๋ยวก็โดนหรอก”
“สวัสดีครับ” ไทกริสพูด แต่ไม่ได้ยกมือไหว้ ทำเอากานต์รู้สึกโมโห
“เห้--” ////////// “น้องๆจ๋า” แต่ก่อนจะได้เอ่ยอะไร กวาง สาวสวยเดินเข้ามาอย่างไม่รู้เรื่องอะไร พลางมองไปที่พวกรุ่นพี่ที่ยืนอยู่อย่างงงๆ
“มีอะไรรึเปล่าคะ พี่กานต์” กวางถาม
“เปล่า” บอกปัดๆ ก่อนจะกระแทกตัวนั่งลงที่เดิม แต่สายตายังคงจ้องเขม็งไปที่รุ่นน้องตัวขาวอย่างไม่วางตา
“อ่าาา มานานกันยังเนี่ย” กวางถาม พลางยกมือขึ้นพัดให้กัตัวเอง เพราะรีบเดินเข้ามา
“ไม่นานหรอกครับ” ฟรานตอบ ส่วนคนอื่นๆที่รุ่นพี่สาวนัดมา ตามกรูเข้ามาฟัง
“เข้าเรื่องเลยนะ คือทางมหาลัยจะมีการจัดกีฬามหาลัยรู้แล้วเนอะ แล้วต้องหาพวกคนถือป้าย ถือธง เทพี เทพบุตรอะไรพวกนี้ ซึ่งบางคนก็โดนทางคณะซิวไปแล้ว อย่างเช่นน้องฟรานเป็นต้น ทีนี้ พี่ไปประชุมมา มีคนนึงจำน้องไทกริสได้ เลยอยากให้น้องไทกริสมาถือป้ายมหาลัยน่ะ ส่วนน้องโจ พี่ยึดไว้ ว่าจะให้เป็นคนถือธงคณะของเรา อิอิ ส่วนน้อง... ---------------- ”หญิงสาวว่าเสียงใส พลางแจงรายละเอียดให้แต่ละคนฟัง
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เดินรอบมอเอง” กวางพูดเสริม
“พวกผมอ่ะโอเคอยู่แล้ว แต่คนที่พี่ต้องซีเรียสคือคนนี้” โจพยักเพยิดไปที่ไทกริส ที่ทำหน้านิ่งไม่พูดไม่จา
“เขาบังคับหรอครับ” ไทกริสถาม
“เอ่ออ ก็ไม่ได้บังคับหรอกจ้า มีคนเสนอชื่อมา แล้วมาโหวตกันน่ะ”
“....ถามกระต่ายก่อน” กวางชะงักไปเล็กน้อย พลันนึกไปถึงรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนกับพี่เอก คนที่เธอเคยคุยด้วย
“อ้อ ได้จ้า พรุ่งนี้ค่อยมาให้คำตอบพี่ก็ได้ แต่ยังไงก็ อย่าปฏิเสธเลยน๊า” รุ่นพี่คนสวยส่งสายตาปิ๊งๆมาให้ คนที่ยืนต่างละลายกับท่าทางน่ารักๆของกวาง
พอเสร็จธุระ ก็กำลังจะเตรียมตัวเดินออกจากลาน แต่ก็มีเสียงเข้มรั้งไว้
“อย่าเพิ่งไป” พวกเขาสามคนหันไปหา
“สองคนนี้อ่ะไปได้ ส่วนนี้อยู่ก่อน” กานต์ชี้นิ้วมาที่ไทกริส
ฟรานและโจ มองหน้ากันเหรอหรา แต่ก็ไม่ได้เดินไปไหน
.
.
.
.
.
ต่ายรู้สึกแปลกใจกับข้อความของโจที่ส่งมา บอกว่า ไทกริสกำลังมีเรื่อง
ไม่รอช้า ต่ายและผองเพื่อนก็รีบรุดเข้าไปที่เกิดเหตุทันที
ลานกว้างของคณะบริหารธุรกิจ ที่ตอนนี้เริ่มมีไทยมุงขนาดย่อม ต่ายชะเง้อคอหาไทกริส
โชคดีที่เจ้าเด็กนี่มันสูง เลยสังเกตเห็นง่าย
พอแทรกตัวเข้าไป ก็ต้องชะงัก เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าของไทกริส คือ'โจทก์เก่า'ของต่าย
“เชี่ย นั่น ไอ้กานต์นี่หว่า” แชมพูดขึ้น ต่ายพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด เมื่อต้องมาเจอกับคนที่ไม่อยากเจอขึ้นมา
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีแค่กานต์ตะคอกใส่เด็กโค่งอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่ไทกริสยืนทำหน้านิ่งเหมือนรูปปั้น
ร่างสมส่วนของกานต์รู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นรุ่นน้องไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
เขารู้สึกเหมือนโดนหยาม ยิ่งต่อหน้ารุ่นน้องคนอื่นๆอีก เลยทำการกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย เตรียมง้างหมัดใส่อย่างบันดาลโทสะ
ได้ยินเสียงร้องห้ามจากเพื่อนและคนรอบข้าง
แต่ก็ต้องรู้สึกเจ็บที่อก เมื่อโดนใครบางคนผลักอย่างแรง จนเซออกไปด้านหลัง
“มึงจะทำอะไรน้องกู” กานต์เบิกตากว้าง เมื่อเจอกับคนที่เป็นทั้ง'เพื่อนและคู่กรณีเก่า'
ต่ายดันไทกริสให้อยู่ด้านหลัง ก่อนจะเผชิญหน้ากับกานต์
“นี่มันเรื่องของรุ่นพี่รุ่นน้อง มึงไม่เกี่ยว ต่าย” กานต์ว่าเสียงเย็น
“น้องทำผิดอะไร มึงถึงจะต้องใช้กำลังขนาดนี้”
“หึ มันไม่เคารพผู้ใหญ่ไง ทั้งๆที่พวกกูนั่งหัวโด่ มันก็ไม่สนใจ”
“มึงกระหายความเคารพจากรุ่นน้องขนาดนี้เลยรึไง มึงไปทำตัวให้น่าเคารพก่อนดีไหม” ต่ายว่าเรียบๆ
“มึง!”
แชมและเอกรีบปาดมาช่วยเพื่อนทั้งทีที่กานต์จะพุ่งเข้าใส่ต่าย ประกอบกับเพื่อนของกานต์เองก็ยินขึ้นสแตนบายไว้เหมือนกัน
“มึงมาหาเรื่องกูเองนะ อย่าหวังว่าจะรอด แค่มึงมาเหยียบตรงนี้มึงก็ผิดแล้ว”
“จ้างให้กูก็ไม่อยากมาเหยียบหรอก ถ้ามึงไม่ทำตัวเหี้ยๆกับน้องกู” ต่ายตะโกนลั่น ใบหน้าทะมึนทึง
ไทกริสที่ยืนมองอยู่ด้านหลัง เดินเข้าไปชิดกับต่าย จนแผ่นหลังของต่ายแนบกับอกแกร่งของไทกริส พลางกระซิบข้างหู
“กระต่าย ใจเย็นๆ”
เหลือเชื่อว่า อารมณ์คุกรุ่นเมื่อกี้ หายวับ เมื่อได้ยินเสียงนุ่มๆของอีกคน
ฝ่ายวินและซันเพื่อนของกานต์ พยายามเตือนสติเพื่อนเพื่อไม่ให้ไปมีเรื่องกับพวกของต่าย
เพราะดูยังไง พวกเขาก็แพ้แน้ๆ ทั้งต่ายทั้งเอกก็นักมวยทั้งคู่
กานต์สบถลั่นอย่างหัวเสีย ก็จะเดินตึงตังออกไปจากลาน ท่ามกลางความโล่งอกของใครหลายคน วินกับซันรีบวิ่งตามเพื่อนไป
“โอยย กูนึกว่าจะวายมวยกันซะแล้ว” แชมว่า
“กริส ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ต่ายหันกลับมาถามเด็กโค่ง พลางใช้สายตาสำรวจร่างกายอีกคน มีเพียงคอเสื้อที่ยับยู่ยี่จากแรงกระชาก
“เกิดอะไรขึ้น” ถามอย่างงงๆ
“พี่เขาคงโมโหที่ไทกริสไม่ได้สวัสดี” ฟรานว่า
“ก็ไม่รู้จัก” ไทกริสแย้งขึ้นมาดื้อๆ
“อ่า นายไม่ได้มารับน้องนี่เนอะ คราวหลังถ้าเจอพวกนี้ก็ฝืนหวัดดีมันไปแล้วกัน จะได้ไม่ต้องมีเรื่องแบบนี้อีก” ต่ายว่า
“จริงๆ อย่าไปเคารพเลย ไอ้เหี้ยนี่ ” เอกพูด
“ทำไมหรอครับพี่” โจถาม
“ก็มัน!...” เอกเหมือนจะหลุดปากพูด แต่ดันไปเจอสายตาเหี้ยมจากต่าย
“พี่ต่าย เมื่อกี่มันเกิดอะไรขึ้น” เสียงหวานที่คุ้นเคยดังขึ้น
“เม...” ต่ายพึมพำชื่ออีกคนเบาๆ
TBC
BEVA TALK : อะไรคือการกดตั้งกระทู้แล้วล๊อคเอ้าท์หลุด ฮรือออ ร้องห้ายแรงงงง ต้องมาพิมพ์ใหม่อีกแล้ว
คุณเห็นอะไรม๊ายยยยย (คนอ่านตอบ ไม่เห็นโว้ยย)
มีคนบอกวา่มันสั้น คราวนี้เลยยาวขึ้นมากว่าเดิม(มั้ง) อันที่จริงตอนก่อนๆมันก็ 7-9 หน้าง่า
เค้าไม่ถนัดพรรณา ได้แต่บรรยายสั้นกับบทพูด มันเลยดูสั้น งุงิ
แต่จะพยายามนะคะ
ขอบคุณคนอ่านและคนเม้นท์อีกเช่นเคยย ขอบคุณที่สนับสนุนพี่ต่ายกับน้องไทก์นะคะ
อยากติชม แนะนำอะไร หรือรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ ช่วยเม้นท์บอกคนแต่งด้วยน๊าา ยินดีเสมอเลยงับ