หลงที่ 3 : หมอปาย
“จิ๊”
ผมได้ยินเสียงดังอยู่ในลำคอตอนที่เปิดประตูห้องออกมาพอดีกับที่เพื่อนข้างห้องโผล่ออกมา ฝ่ายนั้นชักสีหน้าทันทีที่เห็นผม
“ ซวยแต่เช้า”
ฝ่ายนั้นพึมพำกับตัวเองแต่ผมบังเอิญหูดี จะว่าหูดีก็ไม่เชิงเพราะเหมือนว่าเขาจะจงใจให้ผมได้ยินด้วย ผมยิ้มขำก่อนจะคว้าถุงรองเท้าสตั๊ดติดมือออกมาจากห้องเพราะเย็นนี้มีแข่งฟุตบอลกระชับมิตรก่อนการแข่งกีฬาเฟรชชี่จริงๆ ผมเดินตามเพื่อนห้องข้างๆซึ่งเดินนำไปกดลิฟต์แล้วอย่างใช้ความคิดก่อนจะฮัมเพลงในลำคอ
***ลิ้นกับฟัน พบกันทีไรก็เรื่องใหญ่
น้ำกับไฟ ถ้าไกลกันได้ก็ดี
หมากับแมว มาเจอะกัน สู้กันทุกที
ต่างไม่เคยมีวิธี จะพูดจา***
เพลงคู่กัด : ศิลปิน เบิร์ด ธงไชย
มันเหลือบตามองผมนิ่งแต่แววตาดูไม่สบอารมณ์
“ หยุดร้องซะทีกูรำคาญ”
“.....”
ผมนิ่งไปก่อนจะยักไหล่แล้วเริ่มร้องต่อ
“ พ่อมึงเป็นนกรึไงสัตว์”
“.......”
เราสบตากันนิ่ง
“ เปล่าครับ” ผมถอนหายใจ “ คุณอยากรู้จักพ่อผมเหรอ”
ผมตอบกลับหน้าตายนึกโมโหไม่น้อยที่คนตรงหน้าลามปามถึงบุพการีถึงจะรู้ว่ามันคงไม่ได้ตั้งใจแต่พูดจาไม่คิดแบบนี้ทำเอาเกิดอารมณ์เคืองไม่น้อย สงสัยว่าผมกับเขาคงพูดจากันดีๆไม่ได้หรอก
“ ใครอยากรู้”
ผมยืนมองมันนิ่งๆจนเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะรู้ตัว
“ ผมว่าคุณมีความผิดปกติทางอารมณ์” ผมวิจารณ์นิ่งๆ “ เป็นอะไรมากรึเปล่าครับถึงได้ทำหน้าทำตาโกรธคนมาทั้งโลกแบบนี้”
“.......” มันอ้าปากค้างแววตาเริ่มดุดัน
“ มันจะเป็นอะไรนักหนากับการพูดจากับคนอื่นให้มันดีๆ ทำไมชอบใช้อารมณ์ คุณเก็บกดรึไง”
“ มึง”
“ ทำไมครับ..” ผมยิ้มยียวน “ผมพูดแทงใจดำคุณรึไง”
“ หุบปากมึงซะถ้ายังอยากแดกข้าวได้ปกติ”
“ ถ้าไม่ล่ะ”
ผมเอียงหน้าหลบเมื่อสัมผัสได้ถึงความรวดเร็วของหมัดที่เฉียดสันจมูกไปเพียงนิดเดียว
“ โอ้ย”
ผมเอี้ยวตัวหลบก่อนจะเบี่ยงตัวหันกลับไปล็อคคออีกฝ่าย มันโมโหสะบัดตัวแรงๆจนผมรู้สึกเจ็บแต่ไม่ยอมปล่อย ผมล็อคคอยืนซ้อนหลังคนขี้โมโหก่อนจะดันใบหน้าของมันให้ส่องกับกระจกในลิฟต์
“ ไหนลองยิ้มสิ”
มือข้างนึงล็อคคอส่วนอีกข้างผมบีบปากแล้วแยกริมฝีปากที่เม้มแน่นให้คลี่ออก มันสถบดังสั่นก่อนจะสะบัดตัวแรงๆอีกครั้ง ผมเลยเพิ่มแรงบีบปากมันจนคล้ายกับว่ามันกำลังแสยะยิ้ม
“ ไอ้สัตว์”
“ ก็ยิ้มได้นี่หน่า” แววตาผมที่สะท้อนจากกระจกบ่งบอกว่าคงแค้นผมน่าดู “ เห็นมั้ยว่ามันไม่ยาก เพราะรอยยิ้มนี่แหละที่เป็นวิธีแรกๆในการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น”
“ ปล่อยกู”
ใบหน้าฝ่ายนั้นแดงก่ำเนื้อตัวมันชุ่มไปด้วยเหงื่อแต่ยังพยายามขัดขืนเต็มกำลัง
“ วันนี้ผมสอนให้คุณรู้จักยิ้ม” ผมกระซิบข้างหูมันอีกฝ่ายหันมาจ้องผมอย่างอาฆาต “ วันหน้าผมจะสอนให้คุณแทนตัวเองที่เพราะกว่านี้”
“ เสือก”
“......”
ผมส่ายหน้าไปมาอย่างเมื่อยล้าเพราะการล็อคมันอยู่อย่างนี้ทำเอาหมดแรงไปเหมือนกันในเมื่อเราตัวเกือบจะเท่าๆกัน
“ ปล่อย”
“ ถ้าปล่อยแล้วคุณเกิดเอาคืนผมล่ะ”
“ กูทำแน่” น้ำเสียงมันดุดันมาก
“ ครับ”
ผมแกล้งกระตุกมือมันทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง สีหน้าฝ่ายนั้นดูเจ็บไม่น้อยจนผมนึกตกใจก่อนจะค่อยๆปล่อยมือออก มันเซถอยหลังกุมข้อมือตัวแน่นขณะที่ผมกำลังจะก้าวเข้าไปดูอาการ ทุกอย่างเหมือนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะผมรู้สึกถึงแรงถีบที่สะโพกแบบเต็มเหนี่ยวจนเซถลาออกจากตัวลิฟต์
“ โทษทีพอดีตีนกระตุก” นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนประตูลิฟต์ที่มีฝ่ายนั้นอยู่ด้านในจะปิดลง
ผมยืนอึ้งไปพักนึงก่อนจะรู้สึกเจ็บบริเวณสะโพกที่ไอ้หมอนั่นฝากรอยเท้าเอาไว้เต็มๆ ตีนนักไม่ใช่เล่นจริงบวกกับอารมณ์โกรธด้วยผมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเอวเคล็ดแบบนี้ ผมค่อยๆเดินโขยกเขยกไปกดลิฟต์อีกรอบด้วยความเจ็บใจที่ถูกเอาถีบเต็มแรงแบบนี้
“ ตีนหนักชิบหาย”
ผมบ่นพึมพำไปจนถึงชั้นล่างพอดีว่าเพื่อนสนิทซึ่งผมขออาศัยติดรถมันไปมหาวิทยาลัยผุดลุกขึ้นทันทีเห็นว่าผมลงมาแล้ว ผมมองไปรอบๆเพื่อหาต้นเหตุของอาการบาดเจ็บก็ไร้วี่แววสงสัยว่าโดดหนีไปไกลแล้ว
“ ทำไมเดินแปลกๆวะ”
เนมมันถามอย่างสงสัย
“ โดนถีบ”
“ หา” มันทำหน้าตกใจรีบกระวีกระวาดมาดูอาการผม
“ ไม่เป็นไรกูโอเค แค่รู้สึกยอกเฉยๆ”
“ แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้วะ”
“ กูไปสอนคนยิ้มมา”
“ หา”
“ ก็นั่นแหละ” ผมยักไหล่
คราวนี้มันยิ่งงงหนักกว่าเก่าก่อนจะโบกมือไปมาราวกับว่ากำลังฟังเรื่องไร้สาระ “ โอ้ยพอ ถ้าไม่เป็นอะไรมากก็ไปเหอะ กูรีบ”
“ ครับไอ้คุณเนม”
เพราะไม่มีรถส่วนตัวเลยวันนี้เพื่อนสนิทจึงถ่อสังขารมารับถึงคอนโดแต่เช้าตรู่ ตอนแรกกะว่าจะใช้บริการขนส่งสาธารณะอย่างบีทีเอสแต่ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเนมมันเลยอาสามารับ แต่มันบอกว่าคงจะแค่อาทิตย์เดียวหลังจากนี้ผมคงต้องหาทางไปเอง ผมกะว่าพออยู่ตัวสักระยะน่าจะซื้อรถส่วนตัวใช้เพราะมันสะดวกกับการเดินทางไปนอกสถานที่อย่างบ้านสวนของคุณยายที่อยู่แถบปริมณฑล
“ มึง”
“ หืม” ผมหันไปรับคำมัน
“ กูขอแวะที่คณะก่อนนะเอาของไปให้รุ่นพี่ก่อน เดี๋ยวค่อยไปส่งมึงต่อ”
“ เอาสิ”
คณะที่ว่านี่คือคณะของเนมมันครับ เห็นมันดูเรื่อยๆหงิมๆแบบนี้หัวสมองมันระดับเทพนะไม่งั้นคงไม่สามารถสอบติดคณะแพทย์ฯจนได้กลายเป็นนิสิตแพทย์น้องใหม่ป้ายแดง และเพราะสอบได้นี่แหละป๊าม๊ามันดีใจใหญ่ถึงขนาดออกรถให้ไว้ใช้มาเรียนมันเลยทำให้ผมเองก็พลอยได้อานิสงค์ไปด้วย
“ กินข้าวคณะกูก่อนป่าว”
“ อืม”
เมื่อมันรถจอดสนิทแล้วผมจึงลงเดินตามมันไปภายในอาคารโรงอาหารของคณะแพทยศาสตร์ ตอนเช้าภายในโรงอาหารเต็มไปด้วยบุคลากรทางการแพทย์และบรรดานิสิตแพทย์จับจองที่นั่งกันเต็ม
“ สั่งข้าวรอก่อนนะ เดี๋ยวเอาของไปให้พี่รหัสแป๊บ”
“ เออ มึงเอาเหมือนเดิมป่ะ”
“ อ่าหะ”
เหมือนเดิมที่ว่าอาหารสิ้นคิดอย่างกระเพราไก่ไข่ดาวของโปรดเนมมัน มันหันมายิ้มให้ผมซะกว้างก่อนจะหอบถุงอะไรไม่รู้ในมือวิ่งดุ๊กๆไปตึกข้างๆนั่นทันที ผมส่ายหัวกับท่าทางไม่โตของมันนี่ขนาดเข้ามหาลัยแล้วยังทำตัวเด็กไม่เปลี่ยนแปลง คิดแล้วก็นึกสงสารคนไข้ในอนาคตของมันล่วงหน้า
ระหว่างนั่งรออาหารที่สั่งไปผมก็เดินออกไปทำธุระส่วนตัวค่าเวลา แต่มันต้องผ่านโถงใต้ตึกอะไรสักอย่างซึ่งบริเวณนั้นเต็มไปด้วยบอร์ดให้ความรู้ตั้งเป็นซุ้มอยู่มากมาย และมีนิสิตแพทย์บางส่วนนั่งประจำแต่ละฐานบางส่วนก็เดินกันขวักไขว่ไปมาเหมือนว่ามีงานนิทรรศการให้ความรู้อะไรสักอย่าง ผมเลยลองเดินดูไปรอบๆและขณะที่หยุดสนใจอยู่ซุ้มนึงผมก็รู้สึกได้ว่ามีคนสองคนหยุดยืนอยู่เบื้องหลังผม
“ ปายกินข้าวมารึยัง”
“ ยังเลยว่ะ”
“ หิวป่ะ เดี๋ยวกูไปหาไรให้กิน”
“ ไม่เป็นไรเดี๋ยวรอกินพร้อมหยกก็ได้”
“ จะไหวเหรอหยกมันเพิ่งออกจากบ้านเองนะ”
“ ไหว” ปลายเสียงกลั้วหัวเราะ “กูไหวแค่นี้เอง”
“ แน่นะ”
“ เออดิ”
ผมเงี่ยหัวฟังบทสนทนานั้นอย่างตั้งใจคงเป็นเพราะชื่อ
‘ปาย’ ที่หลุดออกจากปากหนึ่งในนั้น ชื่อที่ได้จากปากน้องสาวมาสองครั้งแล้ว
อะไรจะบังเอิญขนาดนั้นอย่างกะว่าจะเป็นคนๆเดียวกัน
ขณะที่ผมเอี้ยวตัวมองไปยังนิสิตแพทย์สองคนที่ยืนคุยกันอยู่ผมเห็นแต่เบื้องหลังทั้งคู่ที่ใส่เสื้อกาวน์แบบยาวแต่แขนสั้น
“ เออกูมีบิสกิตติดมามึงกินรองท้องก่อนมั้ย”
“ ไม่เป็นไรอั้ม” ฝ่ายที่ถูกคะยั้นคะยอโบกมือปฏิเสธ “ กูไม่เป็นไร เมื่อเช้ากินนมรองท้องมาแล้ว เก็บไว้เหอะบิสกิตอันนี้หยกมันชอบกิน”
“ แต่ว่า”
“ อั้ม”
“ เฮ้ย”
ท่าทางว่าคนชื่อ
‘อั้ม’ นี่ดูจะห่วงใยฝ่ายนั้นเป็นพิเศษเห็นได้จากใบหน้าคมคามขาวผ่องภายใต้แว่นกรอบหนาดูเป็นกังวลและใส่ใจคนที่ยืนข้างๆกันขนาดนี้ ดูจากสายตาก็รู้แล้วว่ามันเกินกว่าเพื่อนกันขนาดไหนเสียแต่ว่าไอ้สองคนนี่มันดันเป็นผู้ชายทั้งคู่นี่สิ
“ ปายแม่งก็อย่างงี้ทุกที”
“ ....”
“ มึงเป็นโรคกระเพาะนะโว้ย กินข้าวให้ตรงเวลาซะบ้าง”
“ ขี้บ่นวะ”
“ เชี่ยหัวกู”
ทั้งคู่หยอกล้อกันกันไปมามือของคนชื่ออั้มนั่นขยี้หัวอีกฝ่ายไม่เบานักจนฝ่ายนั้นหลบไปด่าไป จังหวะที่คนถูกกระทำหันเสี้ยวหน้ามาทางนี้ถึงกับทำให้ผมยืนตะลึง จะไม่ให้ตกใจยังไงไหวเมื่อเจ้าของชื่อปายคือคนๆเดียวกันไอ้เจ้าของห้องข้างกัน ที่สำคัญท่าทางตอนมันอยู่กับเพื่อนชายดูจะร่าเริงผิดลุคอันแสนฮาร์ดคอร์ที่มักแสดงออกให้ผมเห็น และผิดไปจากตอนที่ผู้หญิงมาหามันถึงคอนโด
หรือ...ไอ้หมอนี่จะเป็นประเภทรักร่วมเพศ
‘ เป็นเกย์’ งั้นเหรอ
ถึงว่ามันถึงดูผลักไสไล่ส่งผู้หญิงนักที่แท้มันเป็นประเภทชอบมองข้างหลังกันอย่างนี้นี่เอง ผมกระตุกยิ้มมุมปากลอบสังเกตตัวอักษรสีเขียวที่ปักชื่อบริเวณอกด้านขวา
...นศ.พ. ปารมี วงษ์วรกาญจน์... เรียนหมอจริงๆด้วย ชัดเลย หึ ไอ้แสบน้องรักกะว่าพบชายในฝันที่ไหนได้ชายที่ว่าแม่งแดกกันเอง ผมกดยิ้มมุมปากอย่างขบขันไม่ใช่รู้สึกรังเกียจหรือเวทนาอะไรกันหรอก เพราะตอนที่เรียนไฮสคูลอยู่ต่างประเภทผมมีเพื่อนที่เป็นแบบนี้ค่อนข้างเยอะเลยไม่ได้รู้สึกตระหนกตกใจอะไร
แต่ที่รู้สึกอยากจะขำเพราะท่าทางที่ไอ้หมอนี่ อืมสมควรเรียกหมอนี่จริงๆเพราะมันเรียนหมอ นั่นล่ะท่าทางมันที่แสดงออกว่าดิบๆเถื่อนๆที่แท้ต้องการปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเองว่ามันรักชอบผู้ชาย
...โธ่เอ้ยถ้าแสดงออกมาตรงๆใครมันจะไปว่าอะไรวะ ในเมื่อเป็นตัวของตัวเอง คิดแล้วก็ได้แต่นึกปลงนึกสงสารผู้หญิงคนนั้นนี่หล่อนจะรู้มั้ยว่าการเทียวไปอ่อยไอ้หมอนี่มันไม่ได้ผลหรอกในเมื่อนั่นไม่ใช่แบบที่มันชอบ
“ พี่หมอปาย”
“ พี่หมอปายคะ”
ไอ้หมอนั่นหันไปมองหน้าเพื่อนมันก่อนจะเดินไปตามเสียงร้องเรียก
“ มีอะไรเหรอ”
“ คือ พวกหนูมีเรื่องให้พี่ช่วยค่ะ” สาวๆกลุ่มนั้นน่าจะเป็นนิสิตชั้นปีหนึ่งสังเกตจากกระโปรงพรีทที่ใส่ทั้งยังรองเท้าขาวนั่นอีก ผมยืนพิงเสาเงี่ยหูฟังบทสนทนาของทั้งหมดอย่างสนใจ
“ อะไร”
“ คือ”
“ พวกน้องมีปัญหาอะไรกันรึเปล่า” คนที่ชื่ออั้มถามสาวๆพวกนั้น
“ คืองี้นะคะ” สาวนางหนึ่งน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มเอ่ยขึ้น “ คืออีกไม่กี่นาทีจะมีสาธิตวิธีการใช้ถุงยางที่ถูกวิธีที่ซุ้มค่ะ แล้วทีนี้เพื่อนผู้ชายเรายังไม่มาสักคน แล้วคือพวกเรา...” ทางอึกอักของสาวๆพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำก็พอจะตีความหมายจากท่าทางนั้นไม่ยากคาดว่าพวกเธอคงจะอายที่จะสาธิตแน่ๆ
“ พวกเราเลยจะขอให้พี่ช่วยเหลือ เอ่อ”
“ ให้พวกพี่ช่วยสาธิต”
ไอ้หมอนั่นพูดต่อให้ สาวๆพยักหน้าดีใจเมื่อรุ่นพี่ตรงหน้าพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินเข้าไปในซุ้มเป็นการตีความหมายว่าสองคนนั่นกำลังตกลงใจช่วยสาวๆกลุ่มนั้นแน่นอน
ผมเพิ่งสังเกตว่าตอนนี้บรรยากาศโดยรอบไม่ใช่มีแค่นิสิตแพทย์เท่านั้นแต่มันยังคึกคักไปด้วยบรรดาเด็กมัธยมในเครื่องแบบโรงเรียนต่างๆพาเดินกันให้ขวักไขว่ซ้ำประชาชนทั่วไปยังเดินปะปนอยู่โดยรอบเยอะพอสมควร ผมขมวดคิ้วมองไปรอบๆด้วยความแปลกใจก่อนจะถึงบางอ้อที่เงยหน้าขึ้นไปบนเวทีกลางที่มีป้ายประชาสัมพันธ์งานกิจกรรมแนะแนวของคณะแพทยศาสตร์
มิน่าคนถึงเยอะขนาดนี้
เมื่อนิสิตแพทย์ในชุดกาวน์ทั้งสองเดินไปประจำซุ้มดังกล่าวผู้คนที่เดินดูตามบอร์ดตามซุ้มอื่นก็ต่างมุ่งหน้าไปสนใจกิจกรรมที่กำลังใจเกิดขึ้นทันที แต่ผมยังยืนนิ่งพิงเสาที่ใหญ่พอจะกำบังกายตัวเองจากการสังเกตของคนโดยรอบถึงอย่างนั้นก็พอจะจับใจความและเสียงพูดคุยของคนเบื้องหน้าได้
“ นั่นพี่หมอปายนี่”
“ ไหนๆ”
“ ที่ใส่กาวน์ยืนอยู่ข้างพี่หมอคนนั้นอ่ะ”
“ จริงด้วย”
“ โชคดีจังได้เจอตัวเป็นๆด้วย”
“ นั่นสิ ไปขอพี่เค้าถ่ายรูปกัน”
สองสาวในชุดนิสิตที่กำลังชี้ชวนดูภาพที่ผมกำลังให้ความสนใจ ท่าทางมันจะเป็นที่รู้จักของสาวๆพอสมควรเพราะตั้งแต่ได้ยินชื่อมันรู้สึกว่าผู้หญิงจะนิยมชมชอบเป็นพิเศษรวมถึงน้องสาวของผมด้วย ทำท่าทำทางอย่างกับมาดูสิ่งมหัศจรรย์ทั้งๆที่มันก็มีตา มีจมูก มีปากเหมือนกันมนุษย์โดยทั่วไป
อ่อมีดีที่หนังหน้านิดหน่อยเท่านั้นเอง
ผมลอบสังเกตอีกฝ่ายเงียบๆเอาจริงๆถ้าเจอกันข้างนอกโดยที่มันไม่ได้ใส่เสื้อกาวน์คงจะนึกว่าท่าทางแบบนี้น่าจะเรียนพวกช่าง หรือไม่ก็เรียนวิศวะฯเป็นแน่ เพราะบุคลิกภายนอกดูกวนๆมันใส่เสื้อนิสิตแขนยาวสีขาวแต่พับแขนเสื้อขึ้นถึงศอกถึงแม้ชายเสื้อจะอยู่ในกางเกงซึ่งเป็นกางเกงแสล็คขาเดฟสีดำสนิท ใบหน้าเรียบเฉยไม่ค่อยจะยิ้มสักเท่าไหร่ ทั้งติ่งหูทั้งสองข้างก็เจาะใส่ตุ้มหูอันเล็กสีดำ เรียกได้ว่ามีภาพลักษณ์ที่ค่อยข้างอันตรายสำหรับผู้ที่พบเห็น
แต่แปลกพอสวมเสื้อกาวน์ทับไปมันดับกลบภาพเหล่านั้นเหลือเพียงว่าคุณหมอหนุ่มอนาคตไกลราวกับมีแสงบางอย่างส่องสว่างไปทั่ว การกระทำทุกอย่างตอนหยิบจับอุปกรณ์สาธิตดูอ่อนโยน สายตาที่จดจ้องอยู่กับภารกิจตรงหน้าดูมุ่งมั่นอย่างประหลาด
และในเสี้ยววินาทีนั้นผมเห็นมันหันไปยิ้มมุมปากให้เพื่อนมัน ยิ้มที่ไม่ใช่การแสยะยิ้มเวลาเจอกันหน้าผม ยิ้มที่แสดงออกว่านี่คงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของมัน
“ กรี๊ด”
สองสองเจ้าเดิมแอบปิดปากทำเสียงในลำคอ
“ คนอะไรยิ้มทีใจฉันแทบจะละลาย”
“ โอ้ย ใจสั่นไปหมด”
“ คนอะไรทั้งน่ารักและหล่อในเวลาเดียวกัน”
“ ใช่ยิ้มโครตน่ารักเลย”
...‘ยิ้มน่ารัก’ งั้นเหรอ...
หึ คงจะจริงมั้งถ้ามันตั้งใจจะยิ้มให้ใครสักคนอะนะ
เรียกได้ว่าวันนี้ผมคงโชคดีอย่างประหลาดที่เห็นคนซึ่งชอบทำหน้าบึ้งตึงยิ้มออกมาง่ายๆแบบนี้ ผมส่ายหน้าขำก่อนจะคิ้วกระตุกเมื่อมองภาพการสาธิตเบื้องหน้า
นั่นอะไร
อุปกรณ์สาธิตที่อยู่ในมือไอ้หมอปายทำให้ผมหลุดขำออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ตรงกันข้ามกับเสียงสาวๆที่สูดปากทำหน้าเขินอายแต่ใจยังสู้เขยิบเข้าไปใกล้ขึ้นทั้งยังถือโทรศัพท์ตั้งถ่ายวีดีโอซะด้วย
เออเนอะเห็นแบบนี้แล้วดันนึกถึงเจ้าแสบแทบจะทันที
ผมมองกล้วยในมือมันซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้แทนจุดยุทธศาสตร์ของผู้ชาย แอบได้ยินเสียงหัวเราะโดยรอบแต่นิสิตแพทย์ทั้งสองก็ยังทำหน้านิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยิน เสียงอธิบายประกอบการบรรยายสลับกันไปมาอย่างมีจังหวะจะโคนระหว่างว่าที่หมอทั้งสองที่กำลังทำการสาธิตไปด้วย ถุงยางอนามัยซึ่งหยิบออกมาจากซองที่ฉีกพร้อมใช้งาน มือคู่นั้นบรรจงบีบจุกถุงยางเพื่อไล่อากาศภายในก่อนจะใช้มืออีกข้างรูดห่วงลงมาอย่างช้าๆให้แนบชิดไปกันอุปกรณ์สาธิต
สิ้นสุดการทดลองก็มีคำอธิบายเพิ่มเติมพักนึงแล้วหมอนั่นก็เอ่ยปากให้ผู้ที่สนใจรอบข้างได้สอบถามข้อสงสัย ระหว่างนั้นแหละผมถึงได้เดินไปหยุดอยู่แถวหลังสุดแต่เพราะเป็นคนตัวสูงเลยมองเห็นภาพตรงหน้าได้ไม่ยาก
ตอนที่ก้าวเดินนี่แหละถึงได้รู้สึกเจ็บๆตรงสะโพกที่ถูกถีบยิ่งเห็นตัวต้นเหตุอยู่เบื้องหน้าด้วยแล้วยิ่งรู้สึกนึกเจ็บใจไม่น้อย “ ผมมีคำถามครับ”
“.......”
หืม
ใครยกมือถามวะ
เสียงจ้อกแจ้กจอแจเบื้องหน้าพลันเงียบลงทุกสายตาหันมามองผมอย่างสนใจ
อ้าวนี่ผมยกมือถามงั้นเหรอชิบหายแล้ว ผมเกาหัวงงๆจนผู้คนโดยรอบแอบขำ ต่างจากผู้นำการสาธิตทั้งสองด้วยโดยเฉพาะเพื่อนข้างห้องของผมที่ทำหน้าขมวดคิ้วอย่างคาดไม่ถึงว่าจะมาเจอกันที่นี่ แต่มันก็ยังมีสติที่จะปั้นหน้านิ่งก่อนจะพยักหน้ารับเมื่อเห็นว่ามีคนเอ่ยถาม
“ ครับ”
“ เอ่อ หมอคิดว่าสาธิตครั้งเดียวมันจำได้เหรอครับ”
ไหนๆก็ไหนๆแล้วเอาคืนเรื่องเมื่อเช้าซะหน่อยละกัน
ผมยิ้มมุมปากตอนที่ไอ้หมอปายหน้าตึงขึ้นมาทันที ส่วนเพื่อนมันนิ่วหน้าคล้ายๆกับว่าไม่พอใจต่างกับผู้คนโดยรอบที่ดันหัวเราะร่วนราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องตลกขบขัน
“ ผมเป็นแค่นิสิตแพทย์ ยังไม่ได้เป็นหมอ” ไอ้หมอนั่นกัดฟันแย้งเสียงเข้มสีหน้าแววตาดูโมโหผมไม่น้อย
“ ครับคุณว่าที่หมอ”
“.......”
มันทำหน้านิ่งจ้องหน้าผม
“ คุณมีปัญหาเรื่องความจำ ? ”
“ ครับ” ผมยืดอกรับท่าทางกวนตีนไม่น้อย
“ คุณ”
“ ไม่เป็นไรอั้ม”
มันกุมแขนเพื่อนหมอที่แสดงออกว่าไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ หมอปายเดินแหวกคนเหล่านั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม มันสบตาผมนิ่งท่าทางยังเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
“ นี่จะต่อยผมรึเปล่าเนี่ย”
“ ต้องการอะไร”
“ ผมมันคนความจำไม่ดี”
“ จะบอกว่าตัวเองโง่”
ผมหุบยิ้มหน้าตึง
“ งั้น..” หมอปายแสยะยิ้มอีกแล้ว “ กูจะสงเคราะห์ให้”
“ ยังไงครับ” เล่นกับไอ้หมอนี่ซะหน่อย
“เดี๋ยวคืนนี้กูจะสาธิตให้มึงดูอีกรอบ” “ หืม”
เอาแล้วไงเกย์จะเล่นกูแล้วมั้ยล่ะ ผมนิ่งคิดเลิกคิ้วอย่างนึกไม่ถึงเหมือนว่าเรื่องที่ได้ยินก่อนหน้านี้เป็นเรื่องไม่คาดฝัน มันยักไหล่กระตุกยิ้มมุมปาก
“ มึงไม่กล้า”
โอ้โหหยามกันขนาดนี้ใครจะไปยอม
“ ก็เอาสิ”
เราจ้องหน้ากันถ้าคนนอกมองมาคงจะสัมผัสได้ถึงประกายไฟอะไรสักอย่างที่สะท้อนออกมาจากดวงตาของเราทั้งคู่ เสียแต่ว่าตอนนี้ผู้คนโดยรอบดันหันไปสนใจการสาธิตรายการต่อไปที่ซุ้มซะก่อน จะมีก็แค่สายตาของเพื่อนมันซึ่งยืนมองอยู่ไม่ไกลถึงอย่างนั้นก็ไกลเกินกว่าที่จะได้ยินประโยคสนทนาของเราทั้งสองคน
“ ยิม”
“....”
“ พี่หมอปาย”
ผมเอี้ยวหน้าไปตามเสียงเรียกของเพื่อนสนิทที่มายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เนมมันทำหน้างงๆมองผมกับไอ้หมอปายสลับกันไปมา
“ นี่รู้จักกันด้วยเหรอครับ”
เนมหันไปถามรุ่นพี่คณะมันอย่างงงๆ
“ เปล่าหรอก” ไอ้หมอนั่นส่ายหน้าไปมา
“ แล้วทำไม”
เนมขมวดคิ้วกับท่าทางระหว่างผมกับมันก่อนจะยิ้มเผล่ตรงเข้าไปควงแขนไอ้หมอปายอย่างสนิทสนม
“ ไม่เป็นไร ไม่รู้จักกันก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวเนมแนะนำให้รู้จักกันเอง” เนมมันพูดเองเออเองทั้งยังเอาศีรษะไปไถแถวต้นแขนฝ่ายนั้น มันน่าแปลกที่ไอ้หมอนั่นไม่ยักกะผลักออกซ้ำยังทำท่าทำทางเหมือนว่าเอ็นดูเพื่อนผมไม่น้อย
“ พี่หมอปายนี่ยิมเพื่อนเนมเองมันเรียนนิเทศฯภาคอินเตอร์อยู่ฝั่งโน้น”
‘โน้น’ ของเนมมันทำปากยื่นได้อย่างน่ารักน่าชังจนคนใส่เสื้อกาวน์ยิ้มน้อยๆ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมมันกลับทำหน้าบึ้งตึงเช่นเดิม
“ ยิม” เนมสะกิดแขนผมเบาๆก่อนจะชี้มือไปที่หมอนั่น “ นี่พี่หมอปายรุ่นพี่สายรหัสกูเอง”
“ หืม”
“ อะไรอ่ะ” เนมทำหนางง
“ รุ่นพี่นี่แก่กว่ากี่ปีวะ” ผมชะโงกไปกระซิบถามเพื่อนสนิทแต่แววตายังจับจ้องอยู่กับนิสิตแพทย์หน้านิ่ง
“ พี่มึงหลายปีแล้วกัน”
คนตอบคือไอ้หมอปายที่สวนขึ้นมาทันที เนมมันชะงักไปเล็กน้อยคงจะพอเดาอะไรได้ลางๆมันขึ้นตวัดใส่ตาเป็นเชิงถามว่าผมไปกวนใจอะไรรุ่นพี่มัน ผมกดยิ้มมุมปากก่อนจะยักไหล่แล้วเดินถอยหลังไปพิงเสาอยู่ไม่ไกลนักเพราะสายตาเนมมันบังคับให้ผมออกไปไกลๆจากตรงนี้ก่อน
“ พี่หมอ”
“ ครับ”
...ครับ...ไอ้หมอนั่นพูดครับก็เป็นด้วยผมทำหน้าประหลาดใจเรียกได้ว่าตั้งแต่เช้ามานี่มันทำให้ผมประหลาดใจหลายอย่าง
“ เนมเอาของฝากมาให้เมื่ออาทิตย์ก่อนไปเที่ยวมา กะว่าจะเอาไปให้พร้อมกันทั้งสายเลยแต่เจอพี่หมอก่อน”
“ ครั้งนี้จะอ้อนเอาอะไรฮึเรา”
มันพูดยิ้มๆมือก็ลูบหัวเพื่อนผม เนมมันยิ้มเผล่เอียงหัวหลบฝ่ามือรุ่นพี่มัน “ เอาเท็คอนาโตมีกับสรีวิทยาก็พอ”
“ โอ้ย”
หมอปายดีดหน้าผากเนมมันเบาๆ “ ก็พอน้อยไปสิ”
“ แหง่ะ”
“ ขี้ขอจริงๆไอ้นี่ น้องใครก็ไม่รู้”
“ น้องพี่หมอปาย”
ผมยิ้มขำกับภาพการหยอกล้อของรุ่นพี่รุ่นน้องเบื้องหน้า ไอ้หมอปายมันมีมุมแบบนี้ด้วยรึไงวะ หลังจากพี่น้องร่วมคณะคุยกันสักพักไอ้หมอนั่นก็ขอตัว แต่ก่อนไปมันหันมามองผมก่อนจะเดินมาหยุดยืนตรงหน้า
“ คืนนี้มึงเจอกูแน่” เป็นอันรู้กัน
มันพูดเสร็จแล้วก่อนเดินกลับไปหาเพื่อนมันที่คอยท่าอยู่
“ เมื่อกี้พี่หมอพูดอะไรกับยิมอ่ะ” เนมถามสีหน้าใคร่รู้
“ เรื่องของผู้ใหญ่”
เนมมันหน้างอ “กูอายุเท่ามึงเหอะยิม”
ผมหัวเราะก่อนจะโยกศีรษะมันเล่น มันเลยแกล้งกลับด้วยการฟาดแขนผมแรงๆถึงอย่างนั้นผมก็หลบไปมาให้มันเจ็บใจเล่น สุดท้ายเนมมันเลยทำแก้มพองใส่ผมแล้วค้อนให้อย่างไม่จริงจังนัก
ว่าแต่...เหมือนลืมอะไรไปอย่างนะ
หืม ชิบหายแล้วสั่งข้าวไว้นี่หว่า ผมตาเหลือกก่อนจะวิ่งลากแขนเพื่อนตัวเล็กที่แทบจะกลิ้งตาม เนมมันโวยวายเสียงดังจนคนอื่นมองแล้วได้แต่อมยิ้ม
แอร้ย อะไรยังคืนนี้มีสาธิตกันด้วย อุ๊บปิดตาแป๊บ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 
ตอนหน้าไปเกาะขอบหน้าต่างรอพี่หมอเค้าสาธิตละกันเนอะ 
สนุกไม่สนุกยังไงเม้นท์บอกกันด้วยเนอะ #ทีมปายยิม #ทีมยิมปาย แอบมีคนชูป้ายไฟทีมโอ๊คเนมด้วยแหนะ