หลงที่ 8 : รักสามเศร้า [ยิม]
“ ยังติดต่อไม่ได้หรอวะ”
ผมถอนหายใจก้มมองปลายสายที่เพียรโทรหาซึ่งอยู่กันคนละทวีปก่อนจะส่ายหน้าแทนคำตอบที่ไอ้โอ๊คมันถาม มันยักไหล่พร้อมทำหน้าเบื่อหน่าย
“ ติดแต่ไม่มีคำรับ”
“ งั้นก็หมายความว่าเขาไม่อยากรับสายมึง”
ใช่ เห็นจะเป็นอย่างที่มันกล่าวอ้างนั่นแหละ
ผมคลึงขมับตัวเองแน่นแล้วถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน ผมพยายามติดต่อกลับไปหาแฟนสาวเพื่อขอโทษเรื่องที่เมื่อคืนปล่อยให้เธอโทรตามกว่าสิบสายแต่พยายามเท่าไหร่ความพยายามของผมก็ไม่สำเร็จผลสักที นั่นหมายความว่าเธอโกรธผมมากแน่นอน
“ใจเย็น” มันตบบ่าผม
“ อืม”
“ ปล่อยไปก่อนให้ใจเย็นกว่านี้ก่อนค่อยคุยกันไม่ดีกว่าเหรอ”
“ แต่กู”
ผมถอนหายใจอย่างปลงๆนึกห่วงความรู้สึกของเธอไม่น้อย ยิ่งอยู่ห่างไกลกันคนละซีกโลกเวลาจะพูดคุยทำความเข้าใจก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ขนาดอยู่ใกล้กันกว่าจะง้อได้แต่ละครั้งก็เล่นเอาหืดขึ้นคอ ผมทราบดีว่าตลอดเวลาที่คบกันมาเธอเป็นคนที่ค่อนข้างเอาแต่ใจและแสนงอนเป็นที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นนัตตี้ก็เป็นผู้หญิงที่น่ารักเพราะเวลาเธอดีก็ดีแสนดีซ้ำทุกการกระทำที่
แสดงออกว่าเธอรักผมมากมันทำให้ผมละอายใจที่ผมรักเธอได้ไม่เท่ากับที่เธอรักเลย
คิดถึงความสัมพันธ์ตลอดสามปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะนาน เหมือนว่าเรารู้จักกันและกันเป็นอย่างดี แต่ในความเป็นจริงแล้วเราแทบจะไม่รู้จักกันเลยหรือแท้จริงแล้วเราแทบไม่รู้จักกัน
ผมวางมือถือลงเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณฝากข้อความจากปลายสาย...สุดท้ายเธอก็ปิดมือถือหนีผม
“ เฮ้ย”
บางทีผมก็ง้อจนเหนื่อย
ยิ่งห่างไกล...ยิ่งเหมือนใจจะเลือนราง
ผมเหม่อมองไปเบื้องหน้าในหัวเต็มไปด้วยความคิดหลากหลาย แน่นอนว่ามีเรื่องของเธออยู่ในนั้นแต่แปลกไปคือช่วงแวบ นึงผมกลับเห็นภาพของเพื่อนข้างห้องหลุดเข้ามาในห้วงแห่งความคิด ผมมองเห็นภาพของหมอปายยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มสว่างไสวก่อนที่เราจะแยกกันเมื่อเช้า
“ มึงนั่งกุมอกทำไมวะ”
โอ๊คมันทำหน้าแปลกๆที่เห็นผมยกมือข้างนึงกุมหน้าออกของตัวเอง
“ เช็คน่ะ”
“ เช็คอะไรวะ”
“ กูรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นแปลกๆ”
“ มึงเป็นโรคหัวใจเหรอ” ไอ้โอ๊คทำหน้าตื่นจนผมยิ้มขำ
“ น้ำหน้าอย่างมันเป็นโรคหัวใจขาดรักน่าจะเหมาะกว่า”
พี่หนึ่งซึ่งนั่งดื่มอยู่ใกล้ๆเอ่ยแซวทำเอาลูกทีมซึ่งประกอบไปด้วยทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ผมที่ไปช่วยพี่แกที่สตูฯเกือบสิบคนเป่าปากแซวมันกันใหญ่ “ อย่าเศร้าไปไอ้น้องแค่แฟนไม่รับสายแค่นี้”
“ เชื่อกูหล่อๆอย่างมึงเดี๋ยวกูหาสาวๆมาดามใจให้”
“ หาให้ผมด้วยดิพี่”
“ แล้วที่เรียงคิวไปให้มึงป้อหลังซ้อมบอลนั่นล่ะกูว่าแค่นั้นก็ยาวเป็นหางว่าวแล้วมั้ง”
พี่หนึ่งสวนไอ้โอ๊คซึ่งสอดปากขึ้น มันยักไหล่ขำๆ “เค้าเรียกว่าใช้ชีวิตคนโสดให้คุ้มค่าพี่”
“ คุ้มมากไอ้ห่า งั้นแบ่งมาเผื่อเพื่อนมึงด้วย”
โอ๊คมันโบกมือปฏิเสธ
“ ไอ้ห่ายิมมันคนดี มันพ่อพระไม่เคยออกนอกลู่นอกทางหรอกพี่ ขนาดพาไปปาร์ตี้ขากลับเค้าได้สาวไปเป็นคู่ๆ ไอ้ห่านี่เสือกพาเค้าไปส่งบ้านแล้วกลับออกมาเฉยๆ”
“ สุภาพบุรุษสุดตีน”
ผมส่ายหน้าอย่างไม่ใคร่จะยอมรับคำปรามาสนั่นเท่าไหร่ก็จะให้ทำอะไรแบบนั้นได้เล่าในเมื่อเขามีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว ไอ้เรื่องนอกกายนอกใจมันถึงไม่มีอยู่ในสมองเลย
“ ไอ้ห่าที่เทวดามาเกิดรึไงวะ” พี่หนึ่งแซว “ กูอยากรู้นักว่ามันจะมีใครมาทำให้พ่อพระนี่ตบะแตกคิดอยากจะนอกกายนอกใจแฟนบ้างวะ”
“ คงยากพี่”
ไอ้โอ๊คยักคิ้วหลิ่วตามาทางผม “เพราะมันตายด้าน”
“ อ้าวๆไอ้โอ๊ค”
ผมสถบก่อนจะถีบเก้าอี้มันแรงๆ โดยที่รอบข้างต่างสงเสียงแซวกันดังลั่นร้านเหล้าหลังมหาวิทยาลัย ผมส่ายหน้าพอดีกับสายตาหันไปเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในร้าน
หัวใจผมกระตุกวาบ
เพราะหนึ่งในนั้นคือคนที่เพิ่งนึกถึงไปก่อนหน้านี้ หมอปายกับเพื่อนของมันกำลังเดินมาทางนี้ บ่าของมันถูกเพื่อนที่ชื่ออั้มพาดแขนแสดงถึงความสนิทสนมของทั้งคู่ใกล้กันนั้นมีผู้ชายร่างเล็กตัวออกจะขาวซีดก้าวตามมาติดๆ นอกนั้นก็น่าจะเป็นนิสิตแพทย์รุ่นพี่อีกสี่ห้าคนเดินพูดคุยหัวเราะกันเข้ามา
ผมจ้องมองภาพนั้นนิ่งทั้งที่ในใจมีความรู้สึกที่แปลกไป
“ กูอยากรู้นักว่ามันจะมีใครมาทำให้พ่อพระนี่ตบะแตกคิดอยากจะนอกกายนอกใจแฟนบ้างวะ” ไม่แน่หรอกอาจจะมีใครบางคนที่ทำให้ผมผิดบาปด้วยการนอกใจแฟนตัวเอง
แค่คิดก็ผิดแล้วไอ้ห่ายิม...ผมคิดในใจ “ จ้องขนาดนั้นมึงรู้จักรึไง” ไอ้โอ๊คก้มลงมากระซิบกระซาบ
“ .......”
“ เฮ้ยปาย”
“ อ้าวไงวะหนึ่ง”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบเพื่อนสนิทพี่หนึ่งแกก็ตะโกนเรียกชื่อเพื่อนข้างห้องผมอย่างดัง ฝ่ายนั้นเอี้ยวตัวหันมามองด้วยความแปลกใจก่อนที่มันจะหันไปดูอะไรไม่รู้กับเพื่อนมันแล้วผละมาทางโต๊ะผม
“ ไง”
“ สบายดีมึงล่ะ”
“ ก็ดี” หมอปายเหลือบตามองผมแวบหนึ่งก่อนจะกวาดตาไปรอบๆ จังหวะนั้นที่ผมเองกดยิ้มมุมปาก
“ ไม่เห็นไปช่วยงานอบจ.เลยวะ”
“ กูไม่ค่อยว่างช่วงนี้ขึ้นราวน์วอร์ด”
“ อ๋อ”
“ คงเรียนหนักสิมึง”
“ อืม มึงก็ใกล้จบแล้วสิ”
“ เออ ช่วงนี้ทำโปรเจ็คหนังสั้นได้น้องๆพวกนี้มาช่วย” พี่หนึ่งผายมือมาที่พวกเรา “โดยเฉพาะไอ้ยิมนี่มือหนึ่งตัดต่อเชียวล่ะ” พี่แกชี้นิ้วมาทีผม หมอปายมองตามมือพี่หนึ่งมาที่ผม
เราสบตากันนิ่ง
มันยิ้มมุมปากก่อนจะรับคำในลำคอ “ อืม”
“ กูไปก่อนนะไว้ๆว่างไปแดกเหล้ากัน”
“ อืม”
ผมเงี่ยหูฟังบทสนทนาระหว่างมันกับพี่หนึ่งเงียบๆ ก่อนที่มันจะขอตัวผละออกไป
“ ใครเหรอพี่”
เพื่อนผมคนนึงในโต๊ะถามขึ้น พี่แกเหลือบตามองก่อนจะหัวเราะขำ “นี่พวกมึงไม่รู้จักคิวท์บอยในตำนานรึไง”
“ อ๋อ” เจ้าเดิมทำหน้าเหมือนคุ้นเคย “ ใช่ที่เค้าว่าเรียนหมอรึเปล่าพี่”
“ อืม ไอ้หมอปายรุ่นเดียวกับกูนี่แหละ สมัยมันเข้ามาปีหนึ่งใหม่ๆนะหน้าใสกิ๊กโครตเกาหลี เค้าจะให้มันประกวดเดือน มหาลัยด้วยแต่เสือกไม่เอานี่ขนาดมันไม่ได้ตำแหน่งอะไรนะสาวๆนี่ตามหากันให้ควั่ก”
“ ขนาดนั้นเลย” พวกนั้นทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ แล้วพี่ไปรู้จักได้ไงอ่ะ”
พี่หนึ่งยิ้มๆก่อนจะตอบ “เคยทำงานให้สภามหาวิทยาลัยตอนปีหนึ่งด้วยกัน”
“ ข่าวว่าโครตลึกลับจริงป่าวพี่”
คราวนี้ทั้งโต๊ะต่างพร้อมกันอยากรู้ประวัติของหมอปาย คนตอบจึงขมวดคิ้วนิดๆ ส่วนผมแค่นั่งจิบเบียร์ไปตามเรื่องตามราว
“ นี่พวกมึงปราวารนาตัวเป็นแฟนคลับมันรึไง”
“ เปล่าพี่ๆ” เพื่อนเขาโบกมือปฏิเสธ
“เก็บข้อมูลเอาไว้เวลาคุยกับสาวๆจะได้รู้เรื่อง” เพื่อนๆเขาพูดไปหัวเราะไป “ ช่วงนี้สาวๆในคณะพูดถึงแต่เรื่องหมอปายกัน รู้ไว้จะได้มีเรื่องชวนคุยกับสาวๆเค้า”
“ เออ ความคิดพวกมึงเข้าท่าเนอะ” พี่หนึ่งสัพยอก
“ ว่าก็ว่าเถอะนะ พี่หมออะไรนั่นเรียนเก่งแล้วแม่งยังเสือกหล่ออีก พี่เค้าจะเพอร์แฟ็คอะไรขนาดนั้นวะ”
“ เออจริง”
บทสนทนาเหล่านั้นเข้าหูผมก่อนจะผ่านเลยไป คนอย่างหมอปายนะเหรอน่าอิจฉา คนอย่างมันนะเหรอที่แสนจะเพอร์แฟ็ค คงไม่มีใครรู้ว่าลึกลงไปผู้ชายที่เก่งกาจไปรอบด้านซึ่งชอบทำหน้านิ่งเฉยกับทุกเหตุการณ์แท้จริงแล้วมันกำลังทำเฉยเพื่อผ่านเลยเหตุการณ์ที่แสนเจ็บปวดไปให้ได้ การที่มันดูนิ่งเฉยนั้นบางทีข้างในมันอาจจะร้องไห้อยู่ก็ได้ใครจะไปรู้ได้ แต่นั่นละเรื่องนั่นผมบังเอิญก้าวเข้าไปร่วมรับรู้ด้วย
คนที่แสนจะสมบรูณ์แบบกลับมีมุมเด็กๆอย่างการหวงของกินและเขินอายทุกครั้งที่มีคนแสดงความห่วงใย
หึ แท้จริงแล้วหมอปายมันไม่ได้เพอร์แฟ็คหรอกแต่เพราะมันเป็นของมันแบบนั้น ใครต่อใครต่างกล่าวขวัญถึงเพราะมันมีในสิ่งที่หาได้ยากคือเสน่ห์ในแบบของไอ้หมอปาย
เสน่ห์ที่ทำให้คนมองเพียงแรกพบกลับหลงใหลและพอได้รู้จักชิดใกล้กลับเป็นความรู้สึกถอนใจไม่ได้เลย
**********************************
[หมอปาย]
“ โทษทีนะพี่ผมไม่มีของอะไรติดมือมาให้เลย”
“ ไม่เป็นไร”
พี่รหัสในสายโบกมือปฏิเสธอย่างไม่ใส่ใจ
“ แค่ปายมาก็ดีแล้ว”
“ พูดเหมือนผมหาตัวยากขนาดนั้น”
รุ่นพี่ผู้หญิงปีห้าหัวเราะร่วนพาให้ทุกคนในโต๊ะหัวเราะตาม “ ก็ใครต่อใครพูดกันว่าปายหาตัวยากนิ”
“ หาไม่ยากหรอกพี่อยู่ที่ว่าปายมันอยากจะมารึเปล่า”
อั้มมันสัพยอกผม
“ โอ้โห้ปกป้องคู่จิ้นตัวเองซะด้วย”
รุ่นพี่ผู้หญิงแซวพร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตาใส่ผมกับอั้ม ผมแค่ยิ้มอ่อนๆนึกถึงเรื่องราวของผมกับอั้มที่ถูกจับให้เป็นประเด็นด้วยกันตั้งแต่ปีหนึ่งเพราะสนิทกันมากตัวติดกันแทบจะตลอดเวลาจริงๆไม่เชิงว่าอยู่ด้วยกันสองคนหรอกมีหยกอยู่ด้วยอีกคน แต่เพราะพอถูกแซวทีไรอั้มมันชอบออกรับแทนเลยไม่แปลกที่รุ่นพี่ในสายเขาจะจับประเด็นแซวกันขำๆแบบนี้ ยิ่งวันนี้เป็นวันรวมตัวกันของสายรหัสเขาเนื่องจากเป็นวันเกิดของรุ่นพี่ปีห้าที่เอ่ยแซวก่อนหน้านี้
“ คู่จิ้นอะไรล่ะพี่”
“ แหน่ะมีอาการ”
“ โธ่พี่”
“ หึ”
อั้มขยับมาโอบบ่าผมไว้เป็นการแกล้งเล่นเรียกเสียงเฮจากรุ่นพี่ผู้หญิงที่พร้อมใจกันปิดปากแล้วทำเสียงเล็กเสียงน้อย ผมยิ้มขำก่อนจะโบกมือปฏิเสธเมื่อเหลือบไปเห็นเพื่อนสนิทอีกคนนั่งเงียบตั้งแต่ก้าวเข้ามาในร้าน
“ หยก”
“ หืม”
ใบหน้าขาวซีดยิ้มรับ “อะไรเหรอ”
“ เห็นบ่นอยากกินตั้งแต่กลางวันไม่ใช่เหรอ” ผมยื่นจานทอดมันให้
“ อ๋อ”
หยกสะดุ้งเมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้ใบหน้าขาวดูเจื่อนลง ผมถอนหายใจก่อนจะเอื้อมมือไปแตะหลังมือมันเอาไว้
“ หยก”
“ กูไม่เป็นไร”
มันพึมพำเสียงแผ่ว
“ มีอะไรรึเปล่า”
อั้มมันถามขึ้นเมื่อเห็นผมก้มลงไปกระซิบกระซาบกับหยกอยู่สองคน ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นขมวดมุ่นก่อนจะเหลือบมองหยกนิ่งทำให้อีกฝ่ายเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
ผมแกล้งถองศอกใส่ท้องอั้มแรงๆจนมันสะดุ้งแล้วเขม่งมองหน้ามันแล้วบุ้ยปากไปที่จานทอดมันตรงหน้า อั้มถอนหายใจก่อนจะคว้าของกินดังกล่าวยื่นไปตรงหน้าหยก
“ อ่ะ”
หยกทำหน้าอึ้ง
“ กินสิ”
“.......”
“ ช่วงนี้มึงไม่ค่อยกินข้าว หาอะไรใส่ท้องบ้างเดี๋ยวจะไม่สบาย”
จบประโยคยืดยาวของอั้ม หยกมันก็จิ้มของกินตรงหน้าเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ใบหน้าขาวซีดดูสดใสมากขึ้น ผมมองภาพนั้นแล้วยิ้มออกมา
อย่างน้อย
อย่างน้อยก็อยากจะรักษาความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของพวกเราไปให้นานที่สุด ถ้าเปรียบอั้มเป็นเพื่อนรัก หยกก็คือเพื่อนแท้ของผม ผมไม่อยากต้องเสียใครคนใดคนหนึ่งไปในวันที่ความรู้สึกของพวกเราคนใดคนหนึ่งเปลี่ยนไป
ถึงความรู้สึกของใครบางคนอาจจะไม่เหมือนเดิมแต่ผมไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของพวกเราเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี
“ นั่งเหงานานแล้วอ่ะ ไหนๆคู่จิ้นขึ้นไปร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิ”
“ เอาจริงเหรอพี่”
“ เออดิ” รุ่นพี่ทำหน้าจริงจังก่อนจะพยักพเยิดมาทางพวกผม “นี่อุตส่าห์ปิดโซนฝั่งนี้เพื่ออยากได้ความเป็นส่วนตัวเลยนะเนี่ย”
ผมมองไปรอบๆร้านอาหารกึ่งบาร์ซึ่งแบ่งเป็นโซนและแต่ละมุมความเป็นส่วนตัวซ้ำยังเวทีเล็กๆพร้อมเครื่องดนตรีไม่กี่ชิ้นสำหรับเฉลิมฉลองกันแบบไม่จริงจังนัก
“ ผมขอตัวพี่ให้อั้มมันร้องเลย”
“ อะไรว้า”
“ .....” ผมส่ายหน้าไปมา สุดท้ายอั้มมันเลยขึ้นไปนั่งเกลากีตาร์เบาๆอยู่ตรงเวทีเล็กๆคนเดียว
“ ไม่เอาเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์นะน้องอั้ม อารมณ์นี้พี่ขอหวานๆเลย”
“ จัดไปครับพี่”
อินโทรเสียงกีต้าร์ขึ้นเบาๆเรียกเสียงปรบมือจากคนทั้งโต๊ะ พร้อมกับเสียงโห่แซวที่พร้อมใจกันส่งมาให้ผม ผมกับหยกสบตากันอย่างประหลาดใจพอดีกับที่เนื้อเพลงถูกขับกล่อมออกมา
**อยากรู้ ใจเธอมีฉันหรือเปล่า
อยากรู้ ว่าเธอได้ยินบ้างไหม**
“ ฮิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“ เฮ้ยๆ นี่พวกมึงจีบกันออกสื่อเลยเรอะ”
ทั้งโต๊ะเป่าปากแซวอย่างขบขัน ผมนิ่งเงียบอยากจะหลับตานิ่งเพราะรู้สึกได้ถึงอาการสั่นสะท้านของเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ใกล้ๆกัน ผมเหลือบตามองอั้มนั่งเกลากีต้าร์พร้อมกับปล่อยเสียงทุ้มนุ่มหูออกมาให้ฟัง แววตาคู่นั้นของมันจดจ้องมาที่ผมอย่างแน่นอน
**ก็เสียงใจมันบอก ว่ารักเธอมากมาย
ร่ำร้องเรียกภายในใจเท่านั้น**
ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ผมไม่อยากสบตากับมัน ผมไม่อยากเห็นว่ามีกระแสบางอย่างมันถูกถ่ายทอดออกมาจากแววตาคู่นั้น ผมรู้ดี รู้มาตลอดว่ามันคิดยังไงทั้งคำพูดและการกระทำทุกอย่างบ่งบอกมันคิดกับผมเกินเพื่อน อั้มคือเพื่อนสนิทตั้งแต่จำความได้ผมไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกของมันเปลี่ยนไป
ความรู้สึกของเรากำลังสวนทางกันในขณะที่มันรักผมเกินกว่าเพื่อน แต่ผมรักมันมากเกินกว่านั้นไม่ได้ ผมไม่มีวันรู้สึกกับมันเปลี่ยนไป
“ กูไปเข้าห้องน้ำนะ”
หยกมันผุดขึ้นก่อนจะรวบรัดบอกผมเสียงแหบพร่า ผมหลับตานิ่งรู้สึกได้ถึงหัวใจที่วูบโหวงก่อนจะผุดลุกขึ้นตามหยกออกไป รุ่นพี่ในโต๊ะทำหน้ามึนงงที่เห็นผมลุกพรวดพราดตามหยก วินาทีนั้นผมเหลือบตามองคนบนเวทีที่มองตามมา แววตามันดูเจ็บปวด
กูขอโทษ...ได้แต่บอกมันในใจก่อนจะก้าวตามเพื่อนสนิทอีกคนออกไป
ผมไม่รู้หรอกว่ามันร้องเพลงนั้นจบมั้ย
ผมไม่รู้หรอกว่ามันรู้สึกยังไง
ผมขอโทษเพราะรู้ว่ามันจะเสียใจกับการกระทำที่ผมลุกออกมาดื้อๆแบบนี้ แต่ผมทำไม่ได้ในเมื่อยังมีเพื่อนอีกคนกำลังร้องไห้อยู่ตอนนี้
“ หยก”
“ ....”
ผมวิ่งตามไปคว้าแขนของหยกตอนที่คนตัวซีดเดินสะโหลสะเหลอยู่แถวๆข้างร้าน คนตรงหน้าผมนิ่งเงียบแต่เนื้อตัวสั่นเทาผมได้ยินเสียงสะอื้นที่เบาแสนเบาแต่ฟังแล้วโครตเจ็บปวด
“ ไม่เป็นไร” “ หยก”
“ กูไม่เป็นไร”
ผมสวมกอดหยกเอาไว้แน่น มันหันมาซุกใบหน้ากับอกผมแล้วปล่อยน้ำตาไหลอย่างอัดอั้นตันใจ ผมได้แต่ลูบไล้แผ่นหลังมันเบาๆระหว่างเราไม่มีคำพูดใดๆ หยกมันกัดฟันแน่นสีหน้าดูเจ็บช้ำทั้งแววตาที่แดงก่ำยังดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน
“ ร้องออกมาเถอะ ร้องออกมาให้หมด”
“ ฮือ”
หยกมันปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น
“ ไม่เป็นไร” มันกระซิบบอกผมเสียงแผ่ว “ กูไม่เป็นไร”
ผมกอดมันแน่นในใจมันเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก ท่าทางหยกมันอดทนอดกลั้นอย่างสุดกำลัง ผมรู้ดีว่ามันกำลังไม่ไหว ไหล่น้อยๆของมันกำลังแบกรับความเจ็บช้ำอย่างแสนสาหัส
“ มึงเสียใจได้หยก” ผมบอกมัน “ แต่มึงหยุดรักตัวเองไม่ได้”
มันพยักหน้าร้องไห้อยู่กับอกผม
“ เดี๋ยวพรุ่งนี้มันจะดีขึ้น” ผมหลับตานิ่ง
“ มันต้องดีขึ้น” มันร้องไห้กับอกผมอยู่นาน
นานมากจนรู้สึกได้ว่าเข็มนาฬิกาขยับเวลาไปเกือบชั่วโมงแล้ว หยกค่อยๆโผล่หน้าออกจากอกผม มันเช็ดน้ำตาตัวเองก่อนจะค่อยๆส่งยิ้มให้
“ ขอบคุณมากปาย อย่างน้อยกูก็มีมึง”
“ อืม”
หยกมันผุดลุกขึ้น “ วันนี้น้องชายมารับ” มันบอกผมก่อนจะพยายามทำหน้าร่าเริงทั้งที่ดูฝืนเหลือเกิน
“ กูปล่อยมึงไปเองได้ใช่มั้ย”
หยกพยักหน้ารับรัวๆนัยน์ตายังแดงก่ำแต่สีหน้าดูสดใสขึ้นถึงแม้แววตาจะเศร้าจับใจ ผมเดินไปส่งมันพอดีกับที่น้องชายมันมารอรับกลับ ผมมองตามรถมันไปก่อนจะเดินมาหยุดอยู่จุดเดิมที่ปลอบประโลมหยกอยู่นานสองนานก่อนหน้านี้
“ ออกมาเถอะ”
“......”
“ กูรู้มึงอยู่แถวนี้”
ผมกวาดตามองไปรอบๆก่อนจะถอนหายใจเมื่อเห็นร่างของนิสิตแพทย์ที่ใส่แว่นขยับตัวออกมาจากเงามืด
“ อั้ม”
“ กูขอร้อง” ผมสบตากับอั้มนิ่ง
“ถ้ามึงไม่รัก...ขอร้องอย่าถึงขนาดต้องทำร้ายกัน” อั้มมันยืนนิ่งแต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“ กูไม่คิดเคยคิดทำร้ายมัน”
“ แต่สิ่งที่มึงทำอยู่คือการทำร้ายมัน”
“ มันต้องยอมรับความจริง” อั้มพูดเสียงเรียบแววตาก็นิ่งไม่ต่างจากน้ำเสียง
“ ความจริงที่กูไม่ได้รักมัน แต่กูรักมึง”ผมหลับตานิ่งรู้สึกได้ถึงฝีเท้าของมันที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“ ขอร้อง” ผมพึมพำ “ กูขอร้องอย่าทำร้ายมัน”
มันเอื้อมมือมาเกลี่ยปอยผมที่หน้าผากผมเบาๆ “ กูไม่มีวันรักหยก”
“ อั้ม”
ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้ากับทุกอย่างที่ประดังประเดเข้ามา
“ กูรู้สึกกับมึงไม่ต่างจากความรู้สึกที่มึงมีต่อหยกหรอก”
มันทำหน้าอึ้ง ส่วนผมเบือนหน้าหนีก่อนจะผละออกมาแต่มันก้าวเข้ามาโอบหลังผม ผมนิ่งไปก่อนจะเอื้อมมือไปปลดข้อมือที่กุมเอวผมอยู่แล้วเดินออกมาโดยที่ไม่หันกลับดูมันด้วยซ้ำ
ผมใจร้ายใช่มั้ย
ผมทำลายความรู้สึกดีๆที่เพื่อนมีต่อผมลงแล้วใช่มั้ย
น่าตลกกับความสัมพันธ์ประหลาดของพวกเรา เหมือนว่าเราอยู่ในวงกลมเดียวกันโดยที่หยกมองไปอั้ม ส่วนอั้มมองมาที่ผม แล้วผมล่ะควรจะมองไปทางไหนดี
ผมนั่งกุมขมับแล้วหลับตานิ่งเสมือนปิดการรับรู้แต่เพียงไม่นานก็รู้สึกเหมือนใครสักคนหย่อนตัวลงนั่งใกล้ๆกัน
“ รักสามเศร้างั้นเหรอ”
“......”
“ คุณนี่มันแน่จริงๆหมอปาย”
ผมสบถเบาๆก่อนจะเปิดเปลือกตามาเห็นรอยยิ้มกวนประสาทของไอ้ตัวป่วนข้างห้อง ใบหน้าคมคายส่งยิ้มสว่างไสวมาให้ก่อนจะเลิกคิ้วมองผมเป็นเชิงถาม
“ ไปไกลๆตีนกู” ผมโบกมือไล่มัน
มันทำหน้ายิ้มๆก่อนจะก้มมองปลายเท้าผมแล้วขยับหนีไปประมาณสองก้าวได้ นี่คือกวนตีนใช่มั้ย
ผมกำหมัดแน่นอารมณ์ที่ไม่คงที่อยู่แล้วทำให้ขึ้นง่ายกว่าทุกครั้ง อาจจะเพราะขาดสติถึงได้ผุดลุกขึ้นเตรียมยกเท้าถีบอีกฝ่ายเสียแต่ว่ามันก็ไวเหลือเกินถึงได้ผุดลุกหนีพร้อมกับปล่อยเสียงหัวเราะร่วน รอยยิ้มของมันทำให้ผมโกรธควันออกหูเตรียมวิ่งไปจัดการไอ้ตัวป่วนนี่ซะหน่อย
“ เฮ้ย”
“.....”
“ ระวัง”
“ โอ้ย”
เพราะยืนชิดริมฟุตบาธริมถนนพอมันถอยหลังหนีขาข้างหนึ่งจึงก้าวพลาดลงถนนอย่างไม่ได้ตั้งใจ เป็นจังหวะที่รถเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับมาอย่างรวดเร็วเฉี่ยวมันจนล้มลงไปกองกับพื้น ก่อนที่มอเตอร์ไซค์คนนั้นจะบิดหนีหายไปในความมืด
ผมตะลึงตอนที่มันล้มลงไปแขนข้างหนึ่งได้เลือดทันที ภาพเลือดตรงหน้าซ้อนทับกับภาพเหตุการณ์อุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน หัวใจผมสั่นระรัวด้วยความรู้สึกที่ห่างหายไปนาน
ผมกำลังหวาดกลัว
กลัวว่ามันจะเกิดเหตุการณ์เหมือนวันนั้น
“ มึง”
“ หมอปาย” มันทำหน้าเหย “ ช่วยพยุงผมที”
ผมตั้งสติได้ตอนที่เสียงมันร้องขอความช่วยเหลือ พอพามันขึ้นมาจากถนนได้ถึงได้มีโอกาสสำรวจเนื้อตัวมันอย่างละเอียด
“ มึง”
“ สงสัยเป็นคราวซวยชนแล้วหนีซะด้วย” มันบ่นน้ำเสียงไม่จริงจังนักทั้งๆที่เลือดอาบแขนจนหยดลงพื้น ผมยืนนิ่งเนื้อตัวแข็งทื่อ เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวเลือด แต่มันเป็นความกลัวที่ว่าใครสักคนจะหายไป
“ ผมไม่เป็นไรหมอปาย”
“ เลือดมึงออก”
“ ไม่เป็นไร ผมไม่เป็นไรหมอปาย” มือข้างที่ไม่เจ็บของมันสอดเข้ามากุมมือผมไว้แล้วบีบเบาๆ ความรู้สึกอบอุ่นค่อยๆแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
ผมถอนหายใจก่อนจะช่วยประคองมันไปที่รถก่อนจะคว้าเอาเสื้อยืดหลังรถมาซับเลือดแล้วพันประคองไว้เป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ดีว่าแถวนี้อยู่ใกล้โรงพยาบาลแถวมหาวิทยาลัย
ค่ำคืนนี้เป็นครั้งแรกที่ผมขับรถมือเดียว เพราะอีกมือหนึ่งกุมมือข้างที่ไม่เจ็บของมันไว้
มือเรากุมกันอยู่นั้น
น่าแปลกมั้ยที่ผมลืมความรู้สึกอึดอัดก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว แต่มันกลับแทนที่ด้วยความรู้สึกประหลาดอะไรบางอย่าง ทั้งๆที่เหงื่อจากฝ่ามือของผมซึมออกมาแต่มันกลับกุมมือผมเอาไว้แน่นกว่าเดิม
มาแล้วๆ หานหัวไปนานเช่นเคย แหะๆ
ขอบคุณทุกเสียงที่ตามไปทวงนิยายนะฮะ เสียงของคุณดังถึงเราแล้ว หุหุ

ตอนนี้ทีมใครไม่รู้ทีมใครละเนอะ ลุ้นกันยาวๆ หุหุ
**เครดิตเพลงคนไม่มีสิทธิ์ ของคุณฮิวโก้ นะจ๊ะ**