หลงที่ 9 : สปาเก็ตตี้แกงเขียวหวาน (ครึ่งแรก) [ยิม] 50 เปอร์เซ็นต์
“ กระดูกแขนซ้ายบริเวณข้อศอกได้รับแรงกระแทกพอสมควรหมอเลยใส่เผือกอ่อนสักสองอาทิตย์ก็น่าจะถอดได้แล้วแต่ต้องระวังอย่าพึ่งใช้งานด้านนี้มากเกินไป ส่วนเข่าที่ถลอกจนแผลเปิดนี่ต้องล้างแผลทุกวันป้องกันบาดทะยักนะ นอกนั้นเอ็กซเรย์ดูแล้วไม่มีอะไรแค่ฟกช้ำตามตัวนิดหน่อยครับ”
จบประโยคที่ยืดยาวของหมอหน้าขาวตรงหน้าทำเอาว่าที่หมอซึ่งนั่งเงียบอยู่นานก็ถอนหายใจแรงๆ มันเป็นอาการที่เห็นแล้วอยากจะขำแต่ขำไม่ออก ผมเสก้มมองสภาพตัวเองซึ่งแขนใส่เฝือกอ่อนประคองไว้ทั้งเนื้อทั้งตัวเมื่อยขบไปหมด
“ ครับ”
“ คนไข้สะดวกมาล้างแผลที่โรงพยาบาลทุกวันมั้ยครับ ถ้าไม่สะดวกไปคลินิกแถวที่พักก็ได้”
ผมนิ่งคิดก่อนจะเหลือบตามองว่าที่หมอซึ่งกอดอกยืนนิ่งฟังอยู่เงียบๆ
“ ทุกวันเลยเหรอครับคุณหมอ”
“ ครับ”
ผมเบ้หน้า “ น่ากลัวว่าผมจะลืมนะสิ” พูดไปนึกปลงตัวเอง
นายแพทย์หนุ่มหน้าขาวยิ้มอ่อนค่อยอธิบายอย่างใจเย็น
“ ข้อควรระวังคือคนไข้แผลต้องล้างทำความสะอาดทุกวันเพื่อป้องกันการติดเชื้อครับ”
“ งั้น..”
ผมเหลือบตามองไปที่มันอีกรอบเพราะนึกอะไรดีๆออก
“ ผมไปล้างกับว่าที่คุณหมอได้รึเปล่าครับ”
นายแพทย์ตรงหน้าทำหน้ามึนงงก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจเมื่อเห็นสายตาผมมองเลยบ่าหมอไปยังว่าที่คุณหมอซึ่งยังนิ่งเงียบไม่รับรู้ว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตา
ไม่นานหมอปายคงจะรู้ตัวแล้วว่ามีคนมองอยู่มันถึงเงยหน้าขึ้นสบตากับผม
“ อะไร”
“ หมอปายเค้าอาสาล้างแผลให้ผมทุกวันครับ” ผมตู่เอา
นายแพทย์ตรงหน้ายิ้มรับ “ งั้นก็แล้วแต่คนไข้สะดวกเลยครับ” หมอยิ้มๆแล้วหันไปพูดกับหมอปาย “ ว่าไงล่ะปาย”
มันถอนหายใจแรงๆอย่างไม่รักษามารยาทเลยคาดว่ามันกับหมอที่รักษาผมคงจะรู้จักกันเป็นการส่วนตัวแน่แท้เห็นทักกันอย่างสนิทสนทตั้งแต่แรกแล้ว
“ ถ้าผมปฏิเสธการรักษาจะผิดจรรยาบรรณแพทย์ป่ะพี่เอิ้น”
มันแยกเขี้ยวใส่ผม
“ เอาน่าถ้ามันทำให้การรักษาประสบผลและตัวคนไข้เองรู้สึกดีมันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ”
หมอปายกรอกตาไปมาจนหมอที่รักษาผมยิ้มขำ
“ เอาล่ะเรียบร้อยแล้ว” หมอว่าตอนที่ทำความสะอาดแผลที่เข่าพร้อมกับปิดผ้าก๊อชให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ ขอบคุณครับพี่เอิ้น ขอโทษที่มารบกวนตอนที่พี่จะออกเวร”
มันไหว้ขอบคุณหมอแต่หางตาเหลือบมองผมอย่างขัดเคืองเรื่องก่อนหน้านี้ ผมยิ้มขำก่อนจะยกมือไหว้หมอตามมัน
“ เฮ้ยไม่เป็นไร”
“ ขอบคุณครับ”
“ ว่าแต่เพื่อนเราเหรอ” หมอถามแล้วมองผมสลับกับมัน “ ท่าทางห่วงกันน่าดู”
ผมตาโต....ส่วนมันเม้มปากแน่นก่อนจะกรอกตาเซ็งๆ
“ เพื่อนข้างห้องครับ” ผมตอบแทนให้พอดีกับที่มันสวนขึ้นมา “ คนรู้จัก”
หมอยิ้มน้อยๆมองคนโน้นคนนี้ทีแล้วยักไหล่
“ เอาเถอะจะเพื่อนข้างห้องหรือคนรู้จักยังไงก็ดูแลกันดีๆล่ะ ห้ามให้โดนแผลน้ำล่ะเข้าใจมั้ยทั้งคนไข้และว่าที่หมอเจ้าของไข้”
ผมหัวเราะขำหมอก่อนจะยกนิ้วโป้งให้แกไปทีนึงส่วนไอ้หมอปายโน่นเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไปโน่นแล้ว
คนห่าอะไร...โกรธตลกชิบหายดูสิเดินหน้ามุ่ยไปลิบๆแล้ว
.
.
“ ผมหิวข้าว”
มันทำหน้ายุ่งมือที่กำพวงมาลัยอยู่เหมือนจะเกร็งขึ้น สีหน่าบ่งบอกมันกำลังหงุดหงิดไม่น้อยถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงถูกถีบลงจากรถแน่นอน แต่นี่มันคงเห็นว่ามีส่วนให้ผมเจ็บตัววันนี้เลยไม่ได้รุนแรงอะไรกับผมมาก
“ ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่บ่ายเลย”
ผมพูดไปเรื่อยๆเมื่อเห็นมันยังนิ่งเงียบอยู่เหมือนเดิม
“ ผมหิวอ่ะหมอปาย”
“.......”
“ หมอ”
“ หุบปาก”
มันหันมาตวัดตาใส่ผมก่อนจะตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทางซึ่งเป็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ผมยิ้มมุมปากเหลือบตามองคนขับที่พยายามเกร็งใบหน้าให้เบื่อหน่ายแค่ไหนแต่แววตาคู่นั้นบอกว่ามันเองก็รู้สึกไม่ต่างจากผม
“ หมอปาย”
“.......”
“ เปิดเพลงได้ป่ะ”
มันไม่ตอบแต่ไม่ได้ห้ามอะไรผมจึงยื่นมือข้างที่ไม่เจ็บไปกดปุ่มวิทยุ แล้วเสียงเพลงเบาๆก็ดังขึ้นทำให้บรรยากาศในรถดูไม่อึมครึมเหมือนก่อนหน้านี้ ผมนิ่งฟังดนตรีแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างดูบรรยากาศภายนอก
“ มึง”
“ ครับ”
“ กู..”
“ ครับ”
“ กูขอโทษ”
“ เรื่อง?” ผมทำหน้ามึน
มันถอนหายใจก่อนจะบุ้ยปากไปที่แขนข้างที่ใส่เฝือกอ่อนอยู่
“ ถ้าหมอรู้สึกผิดก็รับผิดชอบผมสิ” ...เอี๊ยด...
“ เฮ้ย”
ผมกุมคอนโทรลรถแน่นเมื่ออยู่ดีๆหมอปายแม่งเหยียบเบรกกะทันหันขนาดนี้ดีว่าไม่มีรถตามมาไม่งั้นคงได้เสยตูดกันเป็นเรื่องเป็นราวแน่น มันเสยผมทำหน้าหงุดหงิดก่อนจะจ้องมองเขม่ง
“ มึงอยากจะเจ็บอีกข้างรึไง”
“ หมอนั่นแหละจะทำให้ผมเจ็บ”
“ ก็มึง..” หมอปายชะงักไป
“ ผมทำไม”
มันทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ มึงพูดอะไรล่ะเมื่อกี้”
ผมเลิกคิ้วมองก่อนจะระลึกความทรงจำว่าก่อนหน้านี้พูดอะไรออกไปบ้าง “ อ๋อ” ผมยิ้มมุมปากขณะที่หมอปายหรี่ตามองผมอย่างไม่ไว้ใจ
“ ที่ผมบอกว่าให้หมอรับผิดชอบผมน่ะเหรอ” ผมเผลอหัวเราะออกมาเมื่อหมอปายทำหน้าเหมือนกินยาขม “ ผมหมายถึงให้หมอรับผิดชอบด้วยการล้างแผลให้ทุกวันแค่นี้”
“เรื่องอะไร”
“ก็หมอแม่งทำผมเจ็บ”
“ มึงทำตัวเองรึเปล่า”
“ หมอก็มีส่วนนะ”
“ เชี่ย” หมอสบถท่าทางหัวเสียไม่น้อย “ หมอเอิ้นน่าจะเย็บปากมึงด้วยนะ พูดมากชิบหาย”
ผมอมยิ้ม
“ ผมรู้..”
หมอปายหันมามองผมเหมือนรอว่าผมจะพูดอะไรต่อ
“ ผมรู้ว่าหมอไม่มีทางทนเห็นผมเจ็บได้หรอก” มันทำหน้าอึ้งก่อนเบือนหน้าหนีแล้วหันไปสนใจถนนตรงหน้าทำเหมือนว่าไม่ได้ยินไม่รับรู้อะไร ส่วนผมแค่เบือนหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มออกไปนอกหน้าต่าง
ผมรู้สึกว่าในอกมันตื้นตันแปลกๆ และความรู้สึกประหลาดนี้มันก็มีสาเหตุมาจากคนข้างๆนี่แหละ ก่อนหน้านี้ผมทำใจกล้ากุมมือมันตลอดทางจนถึงโรงพยาบาลและก็แปลกที่หมอปายไม่สะบัดมือผมทิ้งตรงกันข้ามมันยอมให้ผมกุมมือมันนิ่ง
ผมยังจำสีหน้าแววตาที่มันมองบาดแผลผมได้ติดตา หมอปายหน้าซีดเผือดทั้งยังอึ้งไปชั่วขณะผมรู้ดีว่าหมอไม่ได้กลัวเลือดหรือกลัวกับภาพอุบัติเหตุนั้น แต่เหมือนว่ามันมีอะไรในใจมากกว่า อะไรบางอย่างที่ผมเองก็เดาได้ถูกเช่นกันว่าสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจหมอมันคืออะไร
แต่ที่ผมรู้ได้คือแววตาที่หมอมองผมมันเปลี่ยนไป ปกติมันชอบมองเหมือนเหยียดๆไม่โฟกัสและผ่านเลยไปราวกับว่าไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้น แต่ครั้งนี้ผมเห็นความห่วงใยจากแววตาคู่นั้น ผมเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าหมอเป็นคนตาสวยและมันน่ามองแค่ไหนเวลามันจดจ้องและใส่ใจกับอะไรบางอย่าง
บางอย่างซึ่งคือผมที่หมอมองอย่างห่วงใยเหมือนว่าเข้าข้างตัวเองแต่แค่คิดในอกมันก็สั่นแปลกๆ แม้เพียงแวบเดียวตอนที่หมอเผลอมองผม แค่แวบเดียวหัวใจก็เหมือนจะพองโต
“ สปาเก็ตตี้แกงเขียวหวาน” ...หืม...
ผมเงยหน้าจากเมนูเมื่อได้ยินเมนูคุ้นหูหลุดออกมาจากหมอปายหลังจากที่เราแวะร้านอาหารแถวนี้ หมอมันเงยหน้าขึ้นมองผมเป็นเชิงถามประมาณว่าสงสัยอะไรผมเลยได้แต่ยักไหล่ไม่ใส่ใจ ทั้งที่ในความเป็นจริงชักสงสัยแล้วว่าไอ้เมนูสปาเก็ตตี้แกงเขียวหวานดูท่าจะเป็นของโปรดของหมอปายจริงๆ
“ สงสัยอะไร”
ผมทำหน้างงแต่คนตรงหน้าพ่นลมหายใจแรงๆ
“ หน้ามึงอยากเสือกขนาดนั้น” หมอเหน็บผม
“ แค่อยากรู้”
“ อะไร”
“ ทำไมหมอชอบกินสปาเก็ตตี้แกงเขียวหวานอ่ะ”
“ ถ้ากูไม่ตอบ..” หมอเลิกคิ้วถามกวนๆ
“ ผมก็จะถามใหม่ครั้งหน้า”
ผมยักไหล่ชิว ทำเอาอีกฝ่ายเบ้หน้าหงุดหงิด “ยังไงกูต้องตอบคำถามมึงสินะ”
“ หมอพูดเองนะ” ผมยิ้มรับ
“ มึง”
“ โธ่หมอผมก็แค่อยากรู้”
“ ถ้าอยากจะรู้เรื่องชาวบ้านไปทั่ว มึงควรรู้เรื่องตัวเองให้มากกว่านี้ด้วย” ว่าแล้วหมอก็โยนซองยาที่ได้จากโรงพยาบาลมาตรงหน้า ผมตาโตเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้กินยาก่อนอาหารซ้ำตัวเองยังลืมซองยาไว้บนรถ แต่หมอซึ่งดูไม่ใส่ใจอะไรผมนักหนากลับหยิบมันติดมือลงมาด้วย
“ มันเป็นเมนูที่แม่กูชอบทำให้กิน”
ผมเลิกคิ้วประหลาดใจหลังจากกินยาเรียบร้อยแล้วหมอก็เริ่มต้นบทสนทนากับผม
“ แสดงว่าแม่หมอทำกับข้าวอร่อย”
“ คงงั้นมั้ง”
“ ดีเลยไว้วันหลังผมจะไปฝากท้องบ้าง”
หมอปายส่ายหน้า “ มึงไม่มีบุญได้กินหรอก”
“ อ้าว”
“ แม่กูเสียไปหลายปีแล้ว”
ผมรู้สึกได้ว่าประโยคนั้นดูแผ่วเบาเหลือเกินซ้ำแววตาคู่สวยยังหรุบลงทันที ผมถอนหายใจว่าแล้วเชียวว่าหมอต้องมีปมอะไรเกี่ยวกับครอบครัวแน่ๆ แต่เรื่องราวที่ลงลึกไปมากกว่านี้ก็ยากจะคาดเดาได้
“ ขอโทษ ผมไม่รู้...”
หมอยักไหล่ก่อนจะทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจอะไร แต่หากสังเกตดีๆผมมองเห็นความเศร้าในแววตาคู่นั้น ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่าผมอยากทำให้มันมีแต่ความสดใส
“ ผมชอบกินข้าวผัดปลาสลิด”
“ บอกกูทำไม”
เราประสานตากันนิ่ง สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยขณะที่ผมแค่ยิ้ม
“ แค่อยากให้รู้”
“........”
“ ผมแค่อยากให้หมอจำไว้ว่านอกจากสปาเก็ตตี้แกงเขียวหวานแล้วยังมีข้าวผัดปลาสลิดอีกเมนูนึงที่น่าลองแค่นั้นเอง” หมอเสหน้าหลบไปทางอื่นก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม พอดีกับที่พนักงานร้านเอาอาหารที่สั่งไปก่อนหน้านี้มาเสิร์ฟเมื่อนั้นเราทั้งคู่ก็ต่างสนใจกับอาหารตรงหน้าทันที อย่างที่บอกว่าผมรู้สึกหิวตั้งแต่อยู่โรงพยาบาลแล้วเพราะเมื่อหัวค่ำที่ร้านเหล้านั้นกระดกแต่ของมึนเมายังไม่มีสารอาหารอะไรสักอย่างตกถึงลงท้อง
“ เฮ้ย”
หมอยกจานตัวเองหนีผม ซ้ำยังมองผมตาเขียวปั๊ด “ ทำอะไรของมึง”
“ แค่ขอชิม”
ผมยิ้มขำเมื่อนึกถึงรสชาติของอาหารในจานหมอที่ผมวิสาวะใช้ช้อนตักมันมาชิม ดูท่าทางหมอจะห่วงของกินจานโปรดไม่น้อยไม่งั้นมันคงไม่มองผมตาเขียวขนาดนี้
“ แล้วเป็นไง”
“ อร่อยครับ”
“ สปาเก็ตตี้แกงเขียวหวานของหมออร่อยดี” ผมเท้าคางมองอาหารในจานหมอนิ่ง
“ ผมว่าผมเริ่มชอบมันแล้วล่ะ” ผมเงยหน้าจานอาหารแล้วมองหมอตรงๆ
ผมรู้สึกว่าตัวเองชักจะเริ่มชอบเมนูโปรดของหมอเข้าซะแล้ว เหมือนผมกำลังเปิดใจรับรู้เรื่องของหมอมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้สิยิ่งได้รู้จักหมอปายผมว่าผมเหมือนก้าวเข้าในโลกอีกใบ โลกที่ผมไม่รู้จักแต่ให้ความรู้สึกท้าทายและน่าค้นหาชะมัด
ผมดันจานอาหารตัวเองไปตรงหน้าอีกฝ่าย
“ ลองชิมข้าวผัดปลาสลิดของผมมั้ย” หมอแม้มปากแน่น “ เผื่อหมอจะเริ่มชอบมันขึ้นมาบ้าง”
“ กูไม่ชอบกินข้าวผัด”
“ ทำไมครับ”
“ กูว่ามันไม่อร่อย”
“ วันนี้อาจจะอร่อยก็ได้” ผมพูดยิ้มๆ “ ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้เหรอ”
...ถ้าไม่ลองคงไม่รู้...
เราต่างฝ่ายต่างนิ่งไปเหมือนวัดใจกัน สุดท้ายหมอปายก็ค่อยๆยื่นช้อนมาตักอาหารในจานไปผมชิม ผมนิ่งมองอีกฝ่ายอย่างลุ้นๆตอนที่มันทำหน้าเฉยเคี้ยวอาหาร
“ เป็นไงบ้างครับ”
“ ไม่รู้สิ”
“ ไม่อร่อยเหรอครับ”
“ กูว่ามันไม่ค่อยรู้รสอะไรเท่าไหร่” หมอพูดเบาๆ “ แต่ถ้าได้ชิมบ่อยๆคงจะรู้รสมั้ง”
“ ครับผมก็เชื่ออย่างงั้นว่าถ้าหมอได้ชิมบ่อยๆความรู้สึกในรสสัมผัสมันจะต้องเปลี่ยนไป”
...ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป...
เรามองสบตากันนิ่งก่อนที่ต่างฝ่ายต่างเบือนไปคนละด้าน ผมว่าอาหารมื้อนั้นโครตอร่อยเลยตั้งแต่กลับมาเหยียบแผ่นดินเกิด ทำไมน่ะเหรอเพราะมันรู้สึกอิ่มในใจยังไงก็ไม่รู้ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าผมกินข้าวไปแล้วยิ้มไปด้วย
ช่วงนี้มาบ่อยเนอะ ฮ่าๆ อิยิมนี่มันยังไงหยอดหมออยู่นั่น
แล้วยังไงดีจ๊ะหมอปาย ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวเหรอ อิอิ
เอาไปครึ่งนึงก่อนเนอะ ใจร่มๆน้า
