หลงที่ 11 : จุดเปลี่ยน [ ยิม]
“ มีสมาธิกับเกมหน่อยยิม”
“ ครับพี่”
ผมได้แค่รับคำโดยที่หูผ่านเลยคำพูดเหล่านั้นของรุ่นพี่ไปอย่างเฉยชา ผมยอมรับว่าไม่มีทั้งสติหรือแม้แต่สมาธิกับเกมการแข่งขันฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศแมทช์นี้เลย สมควรแล้วที่รุ่นพี่ปีสูงจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ผมแบบนี้แต่จะให้ผมทำใจให้นิ่งยังไงไหวในเมื่อมีเรื่องราวมากมายให้ขบคิดอยู่ในหัว ผมหลับตานิ่งนิ้วเรียวยาวคลึงขมับตัวเองไปมา
“ อ่ะน้ำ”
ไอ้โอ๊คยื่นน้ำเปล่าขวดหนึ่งมาให้ดูก็รู้ว่าสีหน้ามันสงสัยกับอาการประหลาดของผมไม่น้อยแต่มันไม่ได้ซักถามใดๆคงจะรอให้ผมเปิดปากเล่าเอง เพราะตอนนี้ตัวผมเองก็ยังไม่พร้อมที่จะพูดอะไร ผมเทน้ำใส่ศีรษะแล้วสะบัดเบาๆเพื่อให้เกิดความรู้สึกชดชื่นกระฉับกระเฉงทั้งที่ในใจร้อนรนและเต็มไปด้วยความคิดสับสนมากมาย
โอ๊คมันถอนหายใจมองผมเงียบๆเหมือนว่ามันอยากจะพูดอะไรกับผมสักอย่าง แต่จนแล้วจนรอดมันก็ยังนิ่งเงียบไปเสียเฉยๆผมเลยผ่านเลยความรู้สึกสงสัยนั้นไปแล้วหวนคิดถึงเรื่องที่รบกวนจิตใจผมในตอนนี้
ผมรู้สึกว่าหมอปายกำลังหลบหน้าผมอยู่
นับตั้งแต่วันที่หมอมานอนห้องผมวันนั้นจนตอนนี้ผ่านมากว่าสองอาทิตย์แล้วผมไม่มีโอกาสได้พบเจอหรือพูดคุยกับหมออีกเลยหมอทำเหมือนกำลังหลบลี้หน้ากัน ตอนแรกผมก็ไม่เอะใจจนเมื่อมีพยาบาลสาวคนหนึ่งซึ่งทราบว่าหมอเป็นคนจ้างมาล้างแผลให้ผมโดยให้เหตุผลว่าช่วงนี้หมอยุ่งเรื่องสอบไม่มีเวลาแม้แต่จะกลับห้องหรือแวะมาดูอาการผมเลย
ราวกับว่าหมอปิดทุกทางที่จะติดต่อกัน
สองสัปดาห์จนถึงวันที่ผมนัดไปเอาเฝือกออก ตอนนี้ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บหายดีจนสามารถลงแข่งฟุตบอลเฟรชชี่ในนัดสุดท้ายได้แล้ว ผมไม่เห็นแม้แต่เงาของเพื่อนข้างห้องเหมือนว่าคนๆนั้นไม่ได้กลับมาห้องเลยตลอดสองอาทิตย์ ผมรู้สึกอึดอัดเหมือนว่าหายใจลำบากทุกครั้งที่มองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิท ทำให้หวนนึกถึงค่ำคืนนั้นแววตาหมอดูเศร้าแปลกๆผมไม่รู้ว่าวันต่อมาหมอจะหายไปราวกับล่องหน
หมอไปไหน หมอจะรู้มั้ยว่าผมกำลังทรมานเพราะความรู้สึกผิดและเหนือสิ่งอื่นใดผมคิดถึงหมอ แค่คิดถึงก็หน่วงไปทั้งหัวใจแล้ว
และความทรมานนี้คงเหมือนเป็นบทลงโทษสำหรับคนบาปแบบผม คนบาปที่กำลังเผลอใจให้คนอื่นโดยที่ผมเองก็มีคนของตัวเองแล้ว เหมือนเป็นบาปจริงๆเพราะทุกอย่างประดังประเดเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อนพร้อมกับข่าวไม่สู้ดีจากน้องสาวที่โทรจากแดนไกลมาเล่าให้ฟัง
“ พี่ยิมรู้มั้ยว่าตั้งแต่พี่ไปเรียนที่ไทยยัยพี่นัตตี้ควงผู้ชายคนใหม่ทั่วเมือง แล้วทำมาเป็นโทรมาฟ้องคุณแม่ว่าพี่ยิมเปลี่ยนไปทั้งๆที่ตัวเองนั่นแหละกำลังจะนอกใจพี่”
“ บัวอาจจะเข้าใจผิด”
“ พี่ยิมบัวก็ไม่อยากพูด พูดไปก็เหมือนใส่ร้ายแฟนพี่แต่ผู้ชายคนนั้นบัวเห็นเค้าไปไหนมาไหนด้วยกันตั้งแต่พี่ยิมยังอยู่ที่อังกฤษด้วยซ้ำ” เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ
ผมยอมรับว่าทั้งตกใจและเสียใจไม่น้อยกับข่าวที่ได้ยิน บางทีมันอาจจะเป็นการเข้าใจผิด บางทีน้องสาวผมอาจจะพูดเกินจริง บางทีมันอาจจะไม่มีอะไร
แต่ทำไมพอได้ยินเรื่องแบบนี้ผมถึงจุกแน่นไปหมด ผมไม่ได้คร่ำครวญฟูมฟายแต่ข้างในมันเจ็บปวดแสนสาหัส หรือว่านี่อาจจะเป็นผลลัพธ์ของความรู้สึกที่เผลอไผลไป ผมยอมรับว่าผมรู้สึกแปลกๆกับหมอปาย ผมยอมรับว่าผมกำลังเผลอใจไปแต่ทุกครั้งที่คิดเรื่องราวเหล่านั้นภาพของแฟนสาวก็ผุดขึ้นมาแม้จะเลือนรางแต่ยังชัดเจนในความรู้สึก ผมเคยคิดว่าหากผมได้มีโอกาสเจอหมอช่วงก่อนหน้านี้ผมอยากจะขอโทษหมอ อยากให้หมอรู้ว่าผมรู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำให้หมอต้องปฏิบัติตัวกับผมแปลกไป ผมยินดีที่จะยอมรับผิดกับความรู้สึกเปราะบางนี้แต่เพียงผู้เดียว
ขอแค่ให้หมอพูดคุยและยอมรับเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งก็พอ
แต่วันนี้วันที่ได้ยินข่าวร้ายจากทางไกลผมถึงกับซวนเซเหมือนคนไม่มีแรง วินาทีนั้นผมเห็นภาพหมอในใจสว่างวาบขึ้นมาอย่างชัดเจน ผมหลับตานิ่งในหัวคิดวุ่นวายสับสนไปหมด ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน ไม่รู้ว่าทำอะไรก่อนดี โทรศัพท์ของแฟนผมปิดเครื่องตั้งแต่เมื่อวานจากที่ตอนแรกผมร้อนเป็นไฟแต่พอนานไปผมกลับรู้สึกชินชา
อย่างที่บอกยิ่งเราห่างกัน เรายิ่งไม่เข้าใจกัน
หรือว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเราแค่พยายามเข้าใจกัน แต่พอเวลาผ่านไปความสัมพันธ์ที่ประคับประคองมาถึงมันมีอันต้องแปรเปลี่ยนไป ความเข้าใจผิดที่ไม่ได้เคลียร์หรือทำความเข้าใจยิ่งปล่อยให้มันทับถมวันหนึ่งคงจะประทุขึ้นและผลลัพธ์มันคงทำลายล้างพวกเราให้เจ็บปวดกันถ้วนหน้า
ผมกำโทรศัพท์ในมือแน่นตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ผมติดต่อเธอไม่ได้เลย เหมือนว่าเธอปิดโทรศัพท์หนีผม ผมยอมรับว่าตัวเองก็กลัวไม่น้อยหากโทรไปแล้วรู้เธออยู่กับใคร ผมกลัวคำตอบราวกับเป็นคนขี้ขลาด ผมกลัวว่ามันนั้นมันจะมาถึงแล้ว ความสัมพันธ์มันถึงบิดเบี้ยวแบบนี้ซ้ำผมยังดึงหมอซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรเลยเข้ามาในวังวน ผมทำให้หมอต้องเสียความรู้สึกจนหลบหน้าผมไปแบบนี้
แม่งเอ้ย
ผมกุมขมับตัวเองอีกรอบก่อนจะผุดลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นสักหน่อย ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปผมคงทำให้เกมวันนี้พังแน่ ผมเดินเรื่อยมาจนถึงห้องน้ำใต้สเตเดียมของสนามการแข่งขันแล้วตรงไปยังก๊อกน้ำแล้ววักน้ำใส่หน้าแล้วพยายามรวบรวมสมาธิซึ่งดูจะยากเย็นเหลือเกิน
“ ยิม”
“ อ้าวเนม”
ตอนที่ออกจากห้องน้ำเพื่อนตัวน้อยก็ถลาวิ่งมาหาอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวยื่นผ้าเย็นกับของกินถุงเบ้อเร่อให้ทันที “ เราซื้อมาฝาก ยังไงวันนี้สู้ๆน้าเดี๋ยวจะไปนั่งเชียร์ที่อัฒจรรย์”
“ ขอบใจนะเนม”
ผมยักหัวมันเบาๆ ไอ้เนมหันมาปัดมือผมอย่างไม่จริงจังนักมือข้างหนึ่งมันถืออมยิ้มอมเล่นราวกับเด็กน้อย ไม่ว่าจะโตขนาดไหนแล้วก็ตามมันยังชอบทำตัวเหมือนเด็กๆ ทั้งรูปร่างหน้าตามันที่ดูเปราะบางไม่ใกล้เคียงกับเพศดั้งเดิมเลยทำให้มันดูน่ารักไม่หยอกจนบางครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่ามีน้องชายตัวเล็กๆมากกว่ามีเพื่อนเสียอีก
“ แล้วนี่มาคนเดียวเหรอ”
“ เปล่า” มันยิ้มตาหยีส่ายหน้าไปมา “มากับรุ่นพี่ อ้าว” มันเกาหัวงงๆเหมือนว่ามองหาใครบางคน ผมเลยกวาดสายตามองตามมัน
“ มองหาใครวะ”
“ ก็รุ่นพี่ไง”
“ หืม”
“ พอดีรุ่นพี่พากูไปเลี้ยงข้าวที่สามย่าน ขากลับกูนึกได้ว่ามึงมีแข่งที่นี่เลยชวนพี่เค้ามาดู”
“ เหรอ”
ผมมองไปรอบๆภาวนาให้รุ่นพี่ที่ว่าเป็นหมอปายเพราะผมอยากเจอหมอ อยากมีโอกาสได้คุยกับหมอตรงๆสักครั้ง แต่คำภาวนาของผมไม่เป็นผลเมื่อรุ่นพี่ที่ว่าทั้งสี่คนที่เดินมาสมทบกับเนมนั้นไม่มีหมอปายอยู่เลย ผมถอนหายใจแรงๆก่อนจะพยักหน้ารับตอนที่เนมมันชี้ไม้ชี้มือเป็นสัญลักษณ์ว่าจะเป็นนั่งเชียร์ที่อัฒจรรย์ด้านบนพร้อมกับรุ่นพี่มัน
“ ปาย”
“ ปาย ทางนี้โว้ย”
...หืม...
ผมหันขวับเมื่อได้ยินชื่อที่ใครบางคนเอ่ยเรียกแล้วคนที่ผมมองหามาตลอดก็ปรากฏขึ้นทันที หมอหันไปยิ้มให้เพื่อนมันก่อนจะหันมามองผม เราสบตากันนิ่งแล้วหมอก็พยักพเยิดบอกเพื่อนมันให้ไปก่อน ผมยืนนิ่งในใจสั่นระรัวตอนที่ค่อยๆเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
“ หมอ”
“ อืม”
“ ใจร้าย” ผมตัดพ้อหมอทันทีที่เปิดปากได้
หมอเลิกคิ้วกอดอกแล้วมองผมตรงๆ “ เรื่อง” หมอถามสีหน้าดูเรียบเฉย
“ .....”
เรายืนนิ่งมองหน้ากันนิ่งก่อนที่หมอจะถอนหายใจแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น “ ดูดีขึ้นแล้วนี่” หมอเอ่ยขึ้นหลังจากสำรวจแขนข้างที่เคยใส่เฝือกแต่ตอนนี้ถอดออกแล้ว
“ หมอ คือผม”
“ ไอ้ยิม”
ขณะที่พวกเราได้แต่นิ่งเงียบไม่มีบทสนทนาใดๆเสียงตะโกนชื่อผมก็ดังมาแต่ไกล
“ เร็วมึงจะลงสนามแล้ว”
“ เออเดี๋ยวกูไป”
“ เร็วๆนะมึง รุ่นพี่แม่งจะแดกหัวอยู่แล้วโดยเฉพาะมึง ไปทำสมาธิก่อนจะลงสนามด้วย” เพื่อนผมอธิบายยืดยาวก่อนจะวิ่งนำไปก่อน ผมจึงหันกลับมายังหมอที่ยืนนิ่งอยู่เช่นเดิม
“ ผม...”
“ โชคดี” หมอเอ่ยเบาๆ “ มึงทำได้อยู่แล้ว” พูดจบแล้วหมอก็เตรียมผละออกไป
“ หมอ”
หมอหันมามองข้อมือที่ถูกผมกุมอยู่ “ หมอให้กำลังใจผมอยู่ใช่มั้ย”
“ กูพูดอย่างงั้นเหรอ” หมอส่ายหน้าไปมาแต่ผมมองออกว่าหมอกำลังปากไม่ตรงกับใจ
“ ขอบคุณครับ”
ผมวิ่งลงสนามด้วยสีหน้าที่คนทั้งทีมได้แต่ประหลาดใจ ไอ้โอ๊ควิ่งซอยเท้าเข้ามาใกล้ๆแล้วเอ่ยถาม “ ยิ้มขนาดนี้ไปได้ยาดีอะไรมาวะ”
“ กำลังใจดีๆ”
ผมตอบเสียงแผ่วมองไปยังอัฒจรรย์ที่จุดหนึ่ง ผมเห็นเนมมันโบกมือให้ไหวๆแล้วมองเลยไปยังคนหน้านิ่งซึ่งหันหน้าคุยกับเพื่อนไม่ได้สนใจอะไรในสนามเลย ผมอมยิ้มมองภาพนั้นนิ่งโดยที่ไม่เห็นเลยว่าคนที่มองอยู่หันมามองกลับทันทีที่ผมหันหลังวิ่งลงสนามไปแล้ว
“เย้”
“ ฉลอง อย่างงี้ต้องฉลอง”
รุ่นพี่และเพื่อนที่คณะซึ่งตามมาเชียร์เฮกันลั่นกับผลการแข่งขันซึ่งคณะผมสามารถเอาชนะทีมคู่แข่งไปได้ขาดลอย สีหน้ายิ้มแย้มของทุกคนทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง ในขณะที่รุ่นพี่รุ่นน้องในคณะเข้ามาแสดงความยินดีกับทีมฟุตบอลของพวกเรา ผมบังเอิญเหลือบไปเห็นเนมกับรุ่นพี่มันกำลังผุดลุกขึ้นแล้วเคลื่อนตัวออกจากอัฒจรรย์ ขาทั้งสองข้างของผมจึงซอยเท้าวิ่งไปตามจุดหมายนั้นทันที
“ ไปไหนวะยิม” เสียงตะโกนถามตามหลังมา
“ เดี๋ยวกูมา”
ผมไม่ได้หันไปดูด้วยซ้ำว่าไอ้โอ๊คจะทำหน้าสงสัยแค่ไหนได้แต่ออกวิ่งไปให้ทันก่อนที่คนกลุ่มนั้นจะเดินหายลับไป
ผมวิ่งไปยืนหอบอยู่ตรงทางออกกลุ่มเพื่อนหมอแวะเข้าห้องน้ำขณะที่หมออกมายืนรออยู่ตรงทางออกพอดี ดีว่าประตูฝั่งนี้คนไม่พลุ่กพล่านซ้ำบริเวณนี้มีแค่หมอคนเดียวที่ยืนอยู่
“ หมอ” ผมเรียกหมอปายเสียงแผ่วเพราะหายใจไม่ทันเนื่องจากวิ่งออกจากสนามอย่างไม่คิดชีวิต
“ มึงวิ่งมาเหรอ”
“ ครับ”
“ มีอะไร” หมอเลิกคิ้วมอง
“ ผมอยากจะขอบคุณหมอ”
“ เรื่องอะไรวะ”
“ เพราะหมอทำให้ผมมีสมาธิวันนี้” ผมพูดยิ้มๆ “ ขอบคุณอีกครั้งครับ”
“ อืม” หมอพยักหน้าไปแบบส่งๆ
“ แล้วผมก็มีเรื่องอยากจะถามหมอ”
เราสบตากันก่อนที่หมอจะหลุบตามองต่ำ
“ หมอหลบหน้าผมทำไม”
“ กูเปล่า”
“ ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรให้หมอโกรธหรือไม่สบายใจ แต่ผมอยากขอโทษหมอถ้าการกระทำบางอย่างของผมทำให้หมอไม่ชอบใจ ผมขอโทษครับ”
“ กูไม่ได้โกรธ”
“ หมอไม่โกรธแต่หมอหลบหน้าผม หมอไม่กลับห้องเลยเป็นอาทิตย์เพราะผมใช่มั้ย” ผมถามตรงๆขณะที่หมอแค่ถอนหายใจ
“ ทำไมมึงถึงคิดว่ามึงมีอิทธิพลกับกูขนาดนั้น”
“ ไม่รู้สิ” ผมถอนหายใจ “ เพราะผมแคร์หมอมั้ง”
หมอส่ายหน้า
“ มึงคิดไปเองมั้ง”
“ ผมเชื่อความรู้สึกตัวเองและผมก็รับรู้ได้ว่าผมรู้สึกดีกับหมอ หมอไม่ต้องกังวลหรอกนะผมแค่อยากบอกเฉยๆว่าผมรู้สึกดีกับหมอจริงๆ”
“ มึงรู้สึกดีกับคนๆหนึ่งทั้งๆที่มีแฟนอยู่แล้วนะเหรอ”
หมอพูดยิ้มๆทำเอาผมสะอึกเพราะสิ่งที่หมอพูดมันเป็นเรื่องจริง
“ ครับผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ” ผมยอมรับ “ ผมคงจะแย่มากใช่มั้ยในสายตาหมอ”
“ นั่นอยู่ที่มึงคิด”
“ แล้วหมอล่ะคิดกับผมยังไง”
หมอกระตุกยิ้มมุมปาก “กูไม่มีความคิดอยากจะเป็นมือที่สามของใคร”
“ ผมก็จะไม่มีทางดึงหมอลงมาแปดเปื้อนกับผม”
ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆตราบใดที่ผมมันคาราคาซังอยู่แบบนี้ผมจะไม่ทำให้หมอต้องทุกข์ใจกับเรื่องนี้เด็ดขาด ผมรู้ว่าผมกำลังอ่อนไหวและในความรู้สึกไม่มั่นคงนี้คงจะเผลอทำร้ายใครต่อใครให้เจ็บช้ำ
“ ผมขอแค่ให้หมอยอมรับผมเป็นเพื่อนก็พอ”
“ มึงขอมากไป”
เรามองตากันเหมือนการวัดใจ
“ แต่กูให้ได้” “หมอ” ผมครางออกมาอย่างยินดีส่วนหมอตีหน้าเฉยทั้งที่ผมแอบเห็นผมยิ้มเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น แค่นี้ก็ทำให้ผมโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
“ แค่เพื่อน” หมอพูดเสียงเรียบและทำหน้ากวนๆ
“ หมอปาย”
“ อะไรอีก”
“ วันไหนที่ผมอยากจะขยับฐานะเป็นมากกว่าเพื่อน...ผมจะทำทุกอย่างให้ชัดเจน” “ บอกกูทำไม” หมอทำหน้าบึ้งตึง
“ อยากรู้ไว้”
“ ใครอยากรู้กับมึง”
หมอปายตาเขียวใส่ผมก่อนจะบ่นพึมพำอะไรสักอย่างเป็นคำด่าผมแน่นอน แต่แปลกที่ผมกลับหัวเราะชอบใจไล่หลังหมอที่เดินไปสมทบเพื่อนแล้วเดินจากไป
*************************************************************
ตั้งแต่พวกเรามาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งรุ่นพี่เฮโลพากันมาฉลองแชมป์ผมรู้สึกว่าพี่หนึ่งและไอ้โอ๊คทำหน้าแปลกๆเมื่อเห็นผม ทั้งคู่จะหันไปคุยอะไรบางอย่างกันเงียบๆด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มันออกจะแปลกใจไม่น้อยเพราะขณะที่ทุกคนในทีมและรุ่นพี่ในคณะที่ตามมาสมทบกำลังฉลองกันอย่างสนุกสนานบ้างก็คุยถึงจำนวนประตูที่ยิงถล่มฝั่งตรงข้ามอย่างออกรสออกชาติ แต่สองคนนั้นกลับทำหน้าเหมือนมีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรสักอย่าง ปกติผมไม่ค่อยใจสนใจเรื่องของคนอื่นเท่าไหร่แต่วันนี้ท่าทางของสองคนนั้นดูแปลกๆเวลามองผม นั่นอาจจะหมายถึงพวกเขากำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของผม
“ มีอะไรเหรอ”
ผมถามขึ้นอย่างทนไม่ไหวเมื่อสองคนนั้นเหลือบตามามองผมอีกครั้ง
“ ไปคุยกันข้างนอกเถอะ” พี่หนึ่งเป็นเอ่ยปากขึ้นผมเลยเดินตามไอ้โอ๊คกับพี่หนึ่งซึ่งเดินนำไปก่อนแล้ว
“ บุหรี่มั้ย”
“ ครับ”
ผมรับมามวนนึงแล้วขอต่อไฟกับพี่แก ควันสีเทาถูกพ่นลอยสู่อากาศพาให้จิตใจที่ร้อนรุ่มผ่อนคลายลงบ้าง
“ พี่มีอะไรจะพูดกับผมเหรอครับ”
“ ยิม” พี่หนึ่งพ่นควันบุหรี่สีหน้าไม่สู้ดี “ มึงกับแฟนยังคบกันดีอยู่มั้ยวะตอนนี้”
“ ครับ”
ผมรับคำแล้วนึกเอะใจ ทำไมช่วงสองสามวันที่ผ่านมาถึงมีแต่คนพูดถึงแฟนสาวของผม มันจะบังเอิญเกินไปรึเปล่า บังเอิญจนน่าหวั่นใจ
“ มึงรู้มั้ยว่าตอนนี้เค้าอยู่ที่ภูเก็ต”
“ อะไรนะ”
ผมมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกนึกประหลาดใจขึ้นมา ในเมื่อเธอมาถึงไทยแล้วทำไมถึงไม่โทรบอกผมทำไมผมถึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลยในตอนนี้ ผมนั่งนิ่งเริ่มพิจารณาในใจแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสองสามวันก่อนเธอโทรหาผมด้วยเบอร์โทรศัพท์ภายในประเทศแต่ผมในตอนนั้นไม่ได้นึกเอะใจอะไร ในเมื่อนัตตี้อยู่ใกล้ผมขนาดนี้ทำไมเธอถึงไม่บอกหรือขอร้องให้ผมไปหา มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ถ้าหากว่าเธออยู่ภูเก็ตแสดงว่าเธอมาเที่ยวงั้นเหรอ แล้วมากับใคร
“ พี่ไม่ได้ล้อผมเล่นใช่มั้ย”
“ ถ้านี่คือรูปแฟนมึงจริงๆเชื่อกูเถอะว่ากูไม่ได้พูดเล่น” ผมทำหน้าประหลาดใจเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ที่มีรูปแฟนสาวตัวเองกำลังโพสภาพคู่กับผู้ชายคนหนึ่ง ไม่แปลกหรอกที่พี่หนึ่งจะรู้จักแฟนผมในเมื่อผมไม่เคยคิดปิดบังว่าตัวเองมีแฟนแล้วกับเพื่อนๆซ้ำพอขอดูรูปผมก็เคยให้ดูมาก่อน แต่ที่หน้าประหลาดใจคือเธอถ่ายรูปคู่กับผู้ชายคนหนึ่งหน้ารีสอร์ทซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวของพี่หนึ่งที่ภูเก็ต
นั่นหมายความว่าเธออยู่ที่ภูเก็ตจริงๆ
“ ทำไม”
“ กูบังเอิญกลับบ้านที่ภูเก็ตแล้วแวะไปรีสอร์ท เห็นครั้งแรกแค่รู้สึกคุ้นๆกูเลยถ่ายแล้วส่งมาให้ไอ้โอ๊คมันดู” พี่หนึ่งหันไปทางไอ้โอ๊คซึ่งพยักหน้ารับด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ ให้โอ๊คมันช่วยดูให้แน่ใจว่าเป็นแฟนมึงจริงๆ พวกกูถึงตัดสินใจมาพูดกับมึง”
“ เค้ามากับใครครับ”
“ .....”
พี่หนึ่งกับโอ๊คมันเงียบไป
“ ทำไม” ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะหน้ามืด
“ กูโครตตกใจที่แฟนมึงไปกับคนอื่นและคนอื่นที่ว่าก็ยังถูกทุกคนที่รีสอร์ทเข้าใจว่าเป็นแฟนกัน”
“ พี่กำลังจะบอกอะไรผม” ผมกำมือถือในมือแน่น
“ เค้ามีคนอื่น” พี่หนึ่งพูดช้าๆชัดๆ “ เค้านอกใจมึง”
“ นานแค่ไหนแล้ว ทำไมผมไม่เคยรู้ ผมไม่รู้อะไรเลย”
ผมอึ้งเอามือลูบใบหน้าอย่างหมดแรง
“ เค้ามาพักผ่อนกับผู้ชายคนนี้สองต่อสองตลอดสองปีเพราะเป็นลูกค้าขาประจำที่รีสอร์ทบ้านกู”
ผมคอแห้งผากในอกมันสั่นระรัวไปหมด ใครก็ได้บอกผมทีว่าสิ่งที่ได้ยินมาไม่ใช่เรื่องจริง ผมหูฝาดใช่มั้ย ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ
“ สองปีที่นัตตี้มีคนอื่นทั้งๆที่เป็นแฟนกับผม”
หมายความว่าผมเป็นแฟนเธอมาสามปี ขณะที่เธอคบผู้ชายคนอื่นได้ราวๆสองปีซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เธอเป็นแฟนกับผม
....ยิ่งกว่าโดนหลอก ยิ่งกว่าเสียใจ ยิ่งกว่าคำว่าเจ็บปวด... มันเป็นการตอบแทนที่ผมเผลอใจให้หมอใช่มั้ย เรื่องราวมันถึงได้เลวร้ายขนาดนี้
ผมรู้สึกตัวชาหน้าชาไปหมด ในหัวผมมึนงงสับสนและหูทั้งสองข้างอื้ออึงไม่ได้ยินเสียงอะไร สีหน้าของคนตรงหน้าดูจะกังวลไม่น้อยกับท่าทีของผม
“ มึงโอเคมั้ย”
“ ไม่รู้สิ”
ผมรู้สึกเลยว่าเสียงที่เปล่งออกมาเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
“ ที่พวกกูบอกเพราะพวกกูไม่อยากให้มึงทนอยู่กับความไม่รู้ กูไม่อยากให้อะไรมันเลวร้ายมากไปกว่านี้ อย่างน้อยถ้ามึงรู้มึงจะได้ทำอะไรให้มันชัดเจน พวกกูห่วงมึงนะ ถึงแม้เรื่องที่กูบอกอาจจะทำร้ายมึง แต่ขอให้รู้ว่าพวกกูหวังดี”
“หรือไม่บางทีมันอาจจะมีความเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง กูอยากให้มึงไปเคลียร์กับเค้าแล้วทำทุกอย่างให้มันจบ ขอโทษวะที่ทำให้มึงต้องรู้ด้วยวิธีนี้” พี่หนึ่งตบบ่าผมเบาๆ
แววตาคนทั้งคู่บ่งบอกว่าห่วงใยผมจากใจจริงแต่ตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะรับรู้เรื่องใดๆ
“ ผมขออยู่เงียบๆสักพัก”
“ ยิมมึงไหวแน่นะ”
“ ไหวสิ กูไหว”
ผมฝืนยิ้มค่อยๆเดินออกมาโดยที่สายตาของคนทั้งคู่มองตามมา พวกนั้นขยับตัวตามผมแต่ผมยกมือห้ามไว้ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่เห็นด้วยแต่ทั้งคู่ก็ยอมปล่อยผมออกมา ผมเดินมาเรื่อยๆเรียบฟุตบาทไปอย่างไม่รู้ทิศทางไม่รู้ว่าเดินมาไกลแค่ไหน จนมาทรุดตัวลงนั่งกับพื้นริมแม่น้ำแห่งหนึ่งใกล้ๆกับสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ลมเย็นๆพัดปะทะใบหน้าไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยตรงกันข้ามผมรู้สึกว่ามันโครตเงียบเหงาเลย
ผมล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเห็นเบอร์ของไอ้โอ๊คกับพี่หนึ่งรวมสิบกว่าสาย และเบอร์แปลกๆอีกห้าสาย ผมปัดหน้าจอแล้วจึงกดเบอร์ที่โทรออกเป็นประจำเกือบทุกวัน รูปของเธอยังปรากฏอยู่หน้าจอตอนที่โทรออก รอยยิ้มของเธอยังสว่างไสวเหมือนเดิม
“ เลขหมายนี้ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้ง” ผมนั่งฟังเสียงระบบฝากข้อความอัตโนมัติพูดประโยคเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาก่อนที่หน้าจอจะดับพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆไหลอาบแก้มผม

มาแล้วๆ ฮือเศร้าเนอะ สงสารอิยิมจริงๆ พี่หมอปายอยู่ไหนคะมาช่วยปลอบน้องที

ช่วงนี้มรสุมดราม่าเยอะหน่อย อย่าเพิ่งเบื่อกันน้า อดทนหน่อยอีกไม่กี่ตอนเราจะกลับสำเริงสำราญกัน
รอน้องยิมจอมกวนคัมแบ็คหน่อยน้า ช่วงนี้ให้น้องได้เคลียร์ตัวเองก่อน ถถถถถถถ
*** อ่านแล้วเม้นท์ด้วยน้า หนึ่งความคิดเห็นคือหนึ่งกำลังใจจ้า ***