หลงที่ 12 : การตัดสินใจ [หมอปาย]
ผมกำลังขับไปตามท้องถนนโดยเหลือบตามองทางสลับกับการสอดส่ายสายตาหาใครบางคน ผมไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้ผมถึงได้ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำมาก่อนอย่างการตามหาใครบางคนเพียงเพราะมันกำลังติดต่อไม่ได้ เหตุเกิดจากก่อนหน้านี้เสียงออดหน้าประตูดังขึ้นพร้อมกับการมาเยือนของเพื่อนสนิทของไอ้ยิมซ้ำยังพ่วงเอาไอ้หนึ่งเพื่อนที่ผมรู้จักตั้งแต่ปีหนึ่งมาด้วย ทั้งคู่มีสีหน้าเคร่งเครียดตอนที่มาถึงพร้อมกับยิงคำถามเข้าประเด็นเลยทันทีที่ผมเปิดประตูห้องรับ
“ ไอ้ยิมอยู่ที่นี่มั้ยครับ” เพื่อนไอ้ยิ้มมันเปิดปากพูดก่อน
ในตอนนั้นผมส่ายหน้าปฏิเสธด้วยความมึนงง
“ แล้วมันติดต่อมึงมารึเปล่าวะ” คราวนี้ไอ้หนึ่งถามอย่างร้อนใจ
“ ไม่”
“ เชี่ยเอ้ย” เพื่อนไอ้ยิมสถบจนชวนให้สงสัย
“ เกิดอะไรขึ้น” พวกนั้นไม่ได้ขยายความอะไรมากมายบอกเพียงแค่ว่าตอนนี้มันมีเรื่องไม่สบายใจแล้วก็หายไปจนติดต่อไม่ได้ แต่สีหน้าเป็นกังวลของคนทั้งคู่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น หลังจากนั้นทั้งคู่ก็กลับไปพร้อมฝากฝังผมว่าถ้าหากมันติดต่อมาหาให้โทรบอกพวกมันด้วย ผมรับคำโดยที่ขาทั้งสองข้างพาก้าวมายังรถส่วนตัวก่อนที่จะพามันทะยานมาตามท้องถนน ผมได้ยินว่าพวกนั้นเตรียมแยกกันไปตามหาที่ต่างๆที่ไอ้ยิมเคยไป พวกนั้นไม่ได้ขอร้องให้ผมช่วยเหลือแต่เหมือนร่างกายผมทำตามคำสั่งนั้นอย่างอัตโนมัติ
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ผมขับรถออกมายามค่ำคืนเพื่อตามหามัน ทั้งๆที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เราเป็นแค่เพื่อนข้างห้องเป็นแค่คนรู้จักกันเท่านั้น แต่ทำไมผมต้องทำแบบนี้ ความรู้สึกห่วงใยที่มันเกิดขึ้นนี้มันคืออะไรกัน
“ แค่เพื่อนงั้นเหรอ” ผมหวนนึกถึงสิ่งที่พูดกับมันเมื่อเย็น นึกถึงสิ่งที่มันร้องขอความเป็นเพื่อนระหว่างเราก็พอจะมีเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่าที่ผมทำไปทั้งหมดนั่นหมายถึงผมห่วงมันในฐานะเพื่อน
...แค่เพื่อนที่รู้จักคนหนึ่ง...
หลายชั่วโมงที่ขับรถวนไปมาพร้อมกับโทรไปยังเบอร์ของมันที่ขอมาจากไอ้โอ๊คเพื่อนมัน น่าแปลกที่เรารู้จักกันมาตั้งนานแล้วผมไม่เคยคิดที่จะแลกเปลี่ยนเบอร์มือถือกับมัน ช่างเป็นความสัมพันธ์ของคนรู้จักที่ดูประหลาด
สุดท้ายผมไปจอดรถอยู่ตรงสวนสาธารณะแห่งหนึ่งจำได้ว่ามันเป็นสถานที่เดียวกับที่ครั้งหนึ่งเคยมาวิ่งตากฝนกับมัน เวลาในขณะนี้เกือบเช้าแล้วเพราะแสงจากดวงอาทิตย์กำลังสาดส่องลงมาทำให้ความมืดมิดรอบกายกลับค่อยๆสว่างไสวขึ้น ผมไม่คิดว่าจะเจอมันที่นี่หรอกเพียงแค่อยากจะพักบ้างหลังจากขับรถวนไปมาอย่างไม่มีจุดหมาย ทั้งๆที่ผมสามารถเฝ้ารอข่าวมันได้ที่ห้องแต่ใจมันร้อนรนมากกว่าที่จะนิ่งเฉยได้ สุดท้ายถึงได้มานั่งจดจ่ออยู่นี่ที่อย่างมืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี
ผมขยับปลายเท้าเดินเหยียบไปตามสนามหญ้าสีเขียวและในวินาทีนั้นผมเห็นคนที่ตามหามาทั้งคืนนั่งพิงต้นไม้มองไปยังสระน้ำเบื้องหน้า ผมไม่เห็นสีหน้ามันหรอกเห็นแต่แผ่นหลังที่เหยียดตรงแค่เห็นว่ามันปลอดภัยความรู้สึกถ่วงในอกก็แทบจะสูญสลายหายไป ผมพ่นลมหายใจแรงๆทีนึงแล้วยืนมองมันนั่งนิ่งโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
“ มึง”
มันขยับศีรษะเงยขึ้นพร้อมกับหยีตาแล้วเพ่งโฟกัสมาที่ผม สีหน้ามันดูซีดเผือดแววตาที่เคยเปล่งประกายกลับหมองลง มันยิ้มให้ผมก่อนจะขยับตัวแบ่งพื้นที่ให้ผมนั่งด้วย
“ หมอมาทำอะไรแถวนี้ครับ”
มันถามโดนไม่หันมามองหน้าผมด้วยซ้ำ ผมจึงเพิ่งสังเกตสีหน้าด้านข้างของมันนิ่งๆ ในมือมันกำโทรศัพท์มือถือมียี่ห้อแน่นไม่ยอมปล่อย
“ มึง”
“ ครับ”
“ หิวมั้ย”
ผมถามมันเสียงเรียบ เหม่อมองไปเบื้องหน้า “ นิดหน่อยครับแล้วหมอล่ะ”
“ กูหิว”
ผมตอบเบาๆเพิ่งนึกว่าตลอดค่ำคืนที่ผ่านมาผมยังไม่มีอะไรตกถึงท้องด้วยซ้ำ มันหันมามองผมแล้วยิ้มอ่อนๆ
“ อยากกินสปาเก็ตตี้แกงเขียวหวานจังหมอ”
“ งั้นก็ลุกสิ เดี๋ยวก็พาไปกินร้านอร่อยๆ”
มันส่ายหน้าไปมา “ อยากกินฝีมือหมอ” แววตาอ้อนเหมือนเด็กหลงทางของมันทำเอาผมชะงักไปทำอะไรไม่ถูก
“ แค่บอกเฉยๆหมอไม่ต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นก็ได้ แค่บอกว่าอยากกินหมอไม่ต้องลำบากทำหรอก” ผมพูดยิ้มๆสีหน้าแววตาดูร่าเริงเกินไปจนผมรู้สึกได้ว่ามันกำลังกลบเกลื่อนร่องรอยความเจ็บปวด
“ หมอยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยว่าหมอมาที่นี้ได้ยังไง”
“ ถ้ากูตอบว่ามาตามมึงล่ะ”
“ ถ้าเป็นเรื่องจริงผมโครตดีใจเลยนะหมอ” มันยิ้มกว้างสีหน้าดีใจจริงๆเหมือนที่มันพูดไม่มีผิด แววตาคู่คมวาววับราวกับยินดีเสียเต็มประดา
“ กูพูดจริง”
“ ต่อให้มันไม่ใช่เรื่องจริง ต่อให้หมอโกหกเพื่อให้ผมรู้สึกดี แต่แม่งโครตได้ผลเพราะผมโครตดีใจเลย ผมดีใจมากๆเลยครับหมอ”
มันหันมาสบตากันผม ใบหน้าคมคายของมันคลี่ยิ้มน้อยๆ
“ กูตามหามึงจริงๆ ไม่เชื่อดูโทรศัพท์สิ กูโทรหามึงตั้งหลายรอย”
มันทำหน้าตื่นก่อนจะยิ้มมุมปาก “ คงเป็นเบอร์แปลกๆที่ไม่ได้รับมั้งครับ ขอโทษด้วยที่ผมไม่รับสายหมอ”
“ อืม”
“ หมอรู้มั้ยว่าตอนที่ผมทุกข์ใจ หมอเหมือนเป็นแสงสว่างของผมเลยนะ”
“ งั้นเหรอ”
“ แม่งโครตเจ็บปวดเลยวะหมอ” สีหน้ามันเหมือนกำลังเจ็บปวด แต่พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกนั้นทิ้ง “ ข้างในผมแม่งโครตแย่เลย”
“.....”
“ กรรมกำลังจะตามสนองผมแล้ว”
“ ทำไม”
“ ขณะที่ผมกำลังคิดนอกใจแฟน แต่ผมดันถูกเซอร์ไพร์สกลับแบบไม่ทันตั้งตัว” มันแค่นยิ้ม “ น่าสมน้ำหน้ามั้ยละหมอ”
ผมส่ายหน้าไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรหรอก แต่พอจะคาดเดาได้ว่าคนทะเล้นแบบมันมีเรื่องทุกข์ใจทีเรื่องนั้นคงใหญ่น่าดูไม่งั้นทั้งเพื่อนสนิทมันและไอ้หนึ่งคงไม่ร้อนรนตามหามันแทบจะทั้งคืน
“ ผมไม่อยากให้เรื่องที่ได้ยินมาเป็นเรื่องจริง” น้ำใสๆคลอหน่วยตามัน “ เพราะนั่นหมายถึง....” มันหยุดพูดก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“ ถึงมันจะแย่แค่ไหนมึงก็ต้องยอมรับมัน” ผมพูด “ กูรู้มันยากแต่เชื่อเถอะว่ามึงทำได้”
“ โครตแย่เลยวะหมอ”
“ อืม”
ผมไม่ใช่คนที่ปลอบคนเก่ง ผมรู้ว่าตัวเองทำหน้าที่นี้ได้ไม่ดีหรอก ผมแค่อาศัยความเงียบแล้วนั่งอยู่เป็นเพื่อนมันเท่านั้น ผ่านไปพักนึงมันจึงหันมายิ้มให้ผมถึงแม้จะเป็นยิ้มดูซีดเผือด
“ ถ้ามันฝืนขนาดนั้นมึงก็ร้องออกมาเถอะ”
มันสบตาผมแล้วยิ้มกว้างแต่เป็นยิ้มที่คนเห็นรู้สึกเจ็บปวดแทน “ ไม่เอาหรอกหมอ ถ้าผมร้องไห้ต่อหน้าหมอผมคงเป็นคนที่โครตอ่อนแอในสายตาหมอแน่ๆ”
“แล้วมึงจะเข้มแข็งไปทำไม”
“ เพื่อให้ผมดูดีในสายตาหมอมั้ง”
เราสบตากันแล้วมันก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“มึงเคยบอกกูว่า
‘เหนื่อยก็ต้องพัก เจ็บหนักก็ต้องรักษา...และถ้ารู้สึกไม่ไหวมาก็ต้องระบายให้ใครสักคนได้ฟัง’ จำได้มั้ย”
“ ครับ”
“ คนเราไม่ต้องเข้มแข็งไปซะทุกอย่างหรอก”
มันหันมาสบตาผม “ ผู้ชายร้องไห้ไม่ใช่เพราะว่าอ่อนแอบางทีก็แค่อยากจะระบายให้ใครสักคนได้ฟัง”
“ แค่หมออยู่ตรงนี้ทุกอย่างก็ดีขึ้นแล้ว”
พูดจบมันก็หันมองไปเบื้องหน้า
“ กูหิวแล้ว” ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะผุดลุกนั่งโดยมีมันผุดลุกตามมาติดๆ ถึงแม้สีหน้ามันจะดูแย่แค่ไหนแต่อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่ามันคงจะทำใจได้ไม่นาน
“ หมอ”
“ หืม”
“ขอให้หมอช่วยอะไรสักอย่างสิ”
ผมชะงักปลายเท้าแล้วเอี้ยวตัวหันไปมองมัน “ ไปส่งผมที่สนามบินหน่อยได้มั้ย”
“อืม”
.
.
.
หลังจากที่พวกเรากินข้าวกันเรียบร้อยแล้วผมก็ขับรถพาไปมันไปส่งที่ดอนเมืองโดยก่อนหน้านั้นผมโทรไปบอกไอ้หนึ่งให้รู้ว่าตอนนี้ผมเจอมันแล้วคาดว่าพวกเพื่อนของมันคงอยู่ด้วยกัน เพราะมันบอกว่าจะไปรอเจอไอ้ยิมที่สนามบิน
“ ยิม”
เมื่อไปถึงสนามบินนอกจากไอ้หนึ่งและไอ้โอ๊คแล้วยังมีเนมมายืนรอตรงบริเวณช่องทางผู้โดยสารขาออกทุกคนมีสีหน้ากังวลและดูเป็นห่วงเป็นใยไอ้ยิมไม่น้อยโดยเฉพาะเนมที่ถึงกับน้ำตาคลอเมื่อไอ้ยิมมันไปถึง
“ ยิม”
เนมมันพุ่งเข้ากอดมันแล้วถึงกับร้องไห้ ไอ้ยิมฝืนยิ้มให้เพื่อนแล้วลูบศีรษะเนมเบาๆ
“ พวกมึงมากันทำไมเยอะแยะเนี่ย”
“ กูจะไปด้วย” โอ๊คมันไม่ตอบคำถามแต่บอกความต้องการของตัวเองทันที
“ อย่าเลย”
“ มึงไหวเหรอ” ไอ้หนึ่งมันถามตบบ่าน้องมันสีหน้าดูเป็นกังวล
“ ไหวพี่” มันตอบ “ ผมอยากให้ทุกอย่างมันชัดเจนสักที”
“ ให้พวกกูไปด้วยเถอะ”
มันส่ายหน้าก่อนจะหันมาสบตากับผม แววตาของมันดูไม่มีประกายเหมือนเคย ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะไหน แต่พอจะรู้ว่าสาเหตุของความทุกข์ใจของมันครั้งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับใครคนที่ทำให้มันเจ็บปวดและคนๆนั้นต้องเป็นมีความสำคัญกับมันมาก
ผมสัมผัสได้ว่ามันกำลังเจ็บปวดเสียใจอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมเคยเจอแต่ภาพใบหน้าทะเล้นๆและรอยยิ้มกวนๆของมันบอกตรงๆว่าทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นคนอย่างมันทำหน้าเศร้าใบหน้าคมคายพยายามฝืนยิ้มให้ทั้งที่รู้ว่ามันช่างยากเย็นเหลือแสน
คนสำคัญคนนั้น ผู้หญิงของมันคงทำให้มันเจ็บปวดน่าดู ก่อนหน้านี้ผมได้ยินมันตัดพ้อเงียบๆแต่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ตลอดเวลาที่มันพูดถึงเขาผมสัมผัสว่ามันคงรักเธอคนนั้นมากทีเดียว มันเหมือนกับคนเสียศูนย์และเหมือนว่ามันเสียหลักจนทำอะไรไม่ถูก ผมรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ถูกกดทับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มให้กับผู้อื่น
ท่าทางประหลาดแบบนี้ทำให้รู้สึกไม่คุ้นชินจนหวนคิดถึงใบหน้าคมคายที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
น่าแปลกที่ผมกำลังคิดถึงยิมคนก่อนหน้านี้
“ ไม่ต้องห่วงกูเหรอ” มันปฏิเสธเนมซึ่งมันโอบกอดอยู่
“ สัญญานะ”
“.......”
“ สัญญาว่ามึงต้องกลับมาพร้อมรอยยิ้ม”
มันพยักหน้ามองผ่านไหล่ของเนมมาสบตากับผมอีกครั้ง “ สัญญาว่าจะกลับมาทำให้ดีที่สุด”
“ แน่ใจเหรอว่าจะไม่ให้พวกกูไปด้วย”
ไอ้หนึ่งถามซ้ำอีกครั้ง แต่มันยังส่ายหน้าปฏิเสธเช่นเดิมจนพวกเพื่อนมันถอนหายใจ คนเหล่านั้นหันมามองผมแล้วขอร้องด้วยสายตาประมาณว่าให้ช่วยพูด แต่ผมได้แต่ยืนนิ่งมองมันเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้า
“ อย่าขอร้องผมแทนพวกมันเลยหมอ”
“ มึง”
“ ถ้ามันเป็นความจริงที่ผมต้องเผชิญผมขอไปตามหาความจริงด้วยตัวเอง”
“ แต่”
มันยิ้มน้อยๆเป็นรอยยิ้มที่เริ่มดูดีขึ้น
“ ผมอยากให้หมออวยพร”
“ กูไม่รู้จะพูดอะไร”
“ หมอบอกว่าขอให้ผมเดินทางโดยสวัสดิภาพแบบคนทั่วไปก็ได้”
ผมส่ายหน้า “ มึงต้องกลับมาเป็นยิมคนเดิม” ผมหลุบตามองพื้น “ เพราะยังมีเพื่อนๆของมึงรออยู่”
“ แล้วหมอล่ะ”
“ กูก็ยังอยู่ที่เดิม” มันหัวเราะออกมาทั้งที่สีหน้าไม่แจ่มใสนัก เรียกความสนใจจากเพื่อนๆของมันที่หันมามองอย่างสงสัย มันยิ้มให้ผมเสียกว้างแล้วเดินกลับไปหาเพื่อนมัน ไอ้โอ๊คถอนหายใจก่อนจะยื่นตั๋วเครื่องบินไปภูเก็ตให้ มันรับมาก่อนจะกวาดสายตามองทุกคนอีกครั้งแล้วตัดสินใจเดินเข้าเกทไป
ทุกคนถอนหายใจแรงๆแล้วไอ้หนึ่งก็เดินมาตบไหล่ผลแล้วพึมพำขอบคุณที่มาช่วยตามหาน้องมัน ไอ้โอ๊คหันมาก้มศีรษะให้ผมเป็นเชิงขอบคุณเช่นกัน ส่วนเนมสบตาผมแล้วยิ้มเพียงแค่แวบเดียวก่อนจะหลุบมองพื้นจนน่าประหลาดใจ ยังไม่ทันที่ผมจะไถ่ถามว่าน้องรหัสผมเป็นอะไร เนมก็เดินเลี่ยงไปอีกทางแล้วโดนมีโอ๊คเดินตามไปติดๆ พอดีกับที่มีเสียงข้อความเข้าโทรศัพท์ของผมเจ้าของความดังกล่าวเป็นเบอร์คุ้นเคยที่จดจำได้ขึ้นใจตลอดค่ำคืนที่ผ่านมา
...ผมก็จะกลับไปที่เดิมเหมือนกัน... น่าแปลกที่ผมดันเผลอยิ้มกับถ้อยคำเพียงแค่บรรทัดเดียว
********************************************************
“ เนม”
“ เนมมึงจะรีบเดินไปไหน”
“ เนม”
เพราะเรียกหลายรอบแล้วเนมมันไม่หันสักทีโอ๊คเลยวิ่งไปคว้าไหล่บางของมันจนเซมาปะทะแผ่นอกคนที่รอรับอยู่
“ เนม”
“ ฮือๆๆๆๆ”
โอ๊คทำอะไรไม่ถูกเมื่อใบหน้าขาวของเพื่อนตัวน้อยซุกลงที่อกเขาก่อนจะปล่อยโฮจนน้ำหูน้ำตาไหลเปียกปอนเลอะเสื้อ ร่างสูงได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้ไอ้นีออนนี่ปลดปล่อยน้ำตาให้เต็มที่ มันขยำคอเสื้อเขาไว้เสียแน่นโอ๊คเลยอดไม่ได้ต้องเลื่อนฝ่ามือไปลูบไล้แผ่นหลังมันคล้ายกำลังปลอบประโลม
“ ฮือ”
“ เนม”
“ ฮึก”
“ มึงร้องไห้จนตาบวมหมดแล้ว” โอ๊คพูดแล้วเกลี่ยปลายนิ้วกรีดน้ำตาที่อาบเต็มแก้ม
“ ฮึก” คนตัวเล็กยังสะอื้นไห้จนใบหน้าแดงก่ำเห็นแบบนี้เขายิ่งรู้สึกว่าเวลามันร้องไห้ทำไมถึงได้น่าสงสารนัก ใบหน้าขาวแดงเห่อไปหมดท่าทางเหมือนเด็กน้อยน่าทะนุถนอมเหลือเกิน โอ๊คไม่รู้ตัวเลยว่ามันกำลังโอบกอดคนในอ้อมแขนแล้วโยกเบาๆ
“ ตัดใจซะเถอะ”
“ ฮึ”
“ มึงจะเป็นอย่างอื่นนอกจากเพื่อนมันไม่ได้หรอก ถ้ามึงคิดหวังมากกว่าเพื่อนมึงจะไม่มีทางสมหวังซ้ำยังอาจจะต้องเจ็บปวดซ้ำๆแบบเดิม แต่ถ้าหากมึงรู้สึกกับมันแค่เพื่อนเชื่อกูเถอะมึงจะเป็นเพื่อนคนพิเศษของไอ้ยิมแน่นอน”
“ มันรักมึงนั่นคือความจริง แต่มันรักมึงแค่เพื่อน”
“ กะ กูรู้”
“ แต่ความรักแบบเพื่อนของมันจะทำให้มึงมีความสุขกว่าใครๆ เพราะนอกจากคนที่มันรักแล้วมึงจะเป็นคนสำคัญลำดับถัดมาแน่นอน”
“ เก็บความรักที่มันเกินขอบเขต เก็บความพยายามที่ไม่เป็นผลไว้ใช้เป็นแรงขับเคลื่อนเรื่องดีๆในชีวิตเถอะ”
เนมกำขายเสื้อโอ๊ค มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวด ทั้งๆที่พยายามปิดบังซ้อนเร้นแต่คนตรงหน้ากลับรู้ทันไปเสียหมด มันรู้แม้กระทั่งความรู้สึกที่ไม่อาจเปิดเผยให้ใครต่อใครได้รู้ ถึงจะรู้ก็แค่นิ่งเฉยและจ้องมองอยู่ห่างๆ นับว่าเป็นคนที่ไว้ใจได้เพราะมันไม่เคยปริปากบอกใคร
เนมมันเก็บความรู้สึกแอบรักเพื่อนสนิทอย่างยิมมานานแสนนาน แม้แต่ยิมเองก็ไม่อาจรู้ จะมีรู้ก็แค่คนตรงหน้ากับแฟนสาวของไอ้ยิมที่บังเอิญเคยเห็นรูปยิมในกระเป๋าเขา นั่นจึงเป็นสาเหตุให้นัตตี้จงเกลียดจงชังเขาชนิดที่ว่าพวกเราไม่มีทางญาติดีกันได้
ในตอนนั้นเนมได้แต่ขอโทษนัตตี้ที่ทำให้เธอไม่สบายใจ แต่ฝ่ายนั้นไม่ยอมเลิกราทำทุกวิถีทางหาเรื่อง เนมก็ยอมมาตลอดเพราะรู้ตัวดีว่ามันเองไม่มีสิทธิ์อะไรซ้ำยังผิดที่คิดกับยิมมันเกินเลย มันอาศัยความเป็นเพื่อนอยู่เคียงข้างยิมมาตลอด ใช้ความใกล้ชิดคอยเฝ้ามองยิมแค่นี้เนมก็มีความสุขแล้ว มันคงจะเป็นเช่นนั้นตลอดไปถ้าหากว่าเมื่อวานเนมจะไม่ได้ยินเรื่องอะไรบางอย่างมา
“ผมแค่อยากบอกเฉยๆว่าผมรู้สึกดีกับหมอจริงๆ” ยิมมันสารภาพว่ารู้สึกพิเศษกับรุ่นพี่เขา มันบอกว่ามันรู้สึกดีกับอีกฝ่าย เนมมันบังเอิญได้ยินก็แทบจะซวนเซ ไม่ปฏิเสธหรอก ว่าที่มันขออยู่ข้างๆยิมแบบนี้มันก็แอบหวังว่าสักวันหนึ่งมันจะกล้าพอที่จะเผยความรู้สึกที่อัดแน่นเต็มอกให้ยิมได้รับรู้ แต่เนมคงไม่มีโอกาสเพราะต่อให้ไม่มีนัตตี้ เนมก็ไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงข้างยิมอยู่ดี
...เพราะต่อให้ยิมมันหันมาชอบผู้ชาย ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ใช่เนม... คราวของนัตตี้ก็ว่าเจ็บแล้วพอมาครั้งนี้เจ็บยิ่งกว่าเป็นไหนๆ ยอมรับว่าแวบแรกก็ดีใจไม่น้อยที่มันมีเหตุร้าวฉานกับนัตตี้แต่พอเห็นสภาพของเพื่อนแล้วเนมได้แต่นึกด่าทอตัวเองที่คิดเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น ต่อให้เนมอยากยืนเคียงข้างยิมขนาดไหนก็ทำใจไม่ได้หากเห็นท่าทางย่ำแย่ของมันแบบนี้
ในเวลาที่ยิมมันเจ็บปวด เนมรู้ว่าไม่เข้มแข็งพอที่ปลอบใจยิม ไม่กล้าพอที่จะพามันก้าวผ่านวันคืนอันเลวร้าย ต่างจากพี่หมอปาย เนมรู้อยู่เต็มอกว่าคงไม่มีใครถ้าไม่ใช่พี่หมอที่เหมาะที่จะยืนเคียงข้างยิม
ยิ่งเห็นพี่หมอปายมากับยิม ทั้งคู่มาด้วยกันแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเนมต้องเจ็บปวดอีกครั้ง
แวบแรกที่เห็นพี่หมอที่สนามบินมันเกิดอคติและอิจฉาที่ในเวลาเช่นนี้รุ่นพี่มันมีโอกาสได้อยู่กับยิม เวลาที่ยิมอ่อนแอพี่หมอปายดูแลมันไม่ห่าง ภาพนั้นเหมือนอาวุธแหลมคมที่ทิ่มแทงหัวใจ แต่จะโทษใครได้ในเมื่อพี่หมอไม่ได้ทำอะไรผิด และยิมมันก็ไม่ผิดที่จะรักพี่เค้าในเมื่อมันเป็นสิทธิ์ของหัวใจมัน
...เค้าแค่รักกัน แต่เค้าไม่รักเราเท่านั้นเอง... เนมยิ่งคิดยิ่งสะอื้นไห้หนักขึ้น ไม่น่าเชื่อว่านอกจากโอ๊คจะไม่ต่อว่ามือหนาของมันยังลูบไล้เส้นผมของเนมอย่างแผ่วเบา เป็นความอบอุ่นที่สว่างวาบขึ้นท่ามกลางความรู้สึกสับสน
“ ไม่ใช่มีแค่มึงหรอกที่เสียน้ำตาเพราะความรัก วันนี้อาจมีคนเป็นแสนๆบนโลกที่กำลังร้องไห้เพราะอกหัก อย่างน้อยมึงก็มีเพื่อนที่ร้องไห้เป็นเพื่อนมึง”
“ นี่กำลังปลอบใช่มั้ย”
“ เปล่า”
“ อะไร”
“ แค่เล่าให้ฟัง”
เนมเงยหน้าจากอกกว้างแล้วสบตากับดวงตาคู่คมที่ทอดมองอยู่ “ มึงแม่ง”
“ หยุดร้องไห้ได้แล้วมั้ง”
“ กูจะร้อง” เนมเชิดปลายจมูกทำเหมือนไม่พอใจแล้วปาดน้ำตาตัวเองป้อยๆ
“ หน้าตาก็ขี้เหร่อยู่แล้วยังร้องไห้อีก ดูไม่จืดเลยวะบอกตรงๆ”
“ ไอ้โอ๊ค”
“ ร้องจนน้ำมูกไหลยืดติดเสื้อกูยาวเป็นกิโลแล้ว” โอ๊คแซวขำๆแต่คนโดนแซวทำหน้าคว่ำทั้งที่ใบหน้ายังเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาดูไม่จืดทีเดียว
“ เว่อร์” เนมค้อนให้
“ อกหักจากคนนี้ มึงก็หาคนใหม่สิวะยากอะไร”
“ กูไม่ใช่มึงนะที่เปลี่ยนคนควงเหมือนเปลี่ยนทิชชู่อ่ะ”
“ ก็เข้าทีนะ”
“ อะไร”
“ คนอกหักกับคนรักเยอะ” โอ๊คมันพูดยิ้มๆ
“ พูดอะไรไม่เข้าใจ”
“ ลองดูมั้ยล่ะ” โอ๊คสีหน้ากรุ้มกริ่มนึกอยากแกล้งให้มันยิ้มซะหน่อย เพราะเห็นหน้าขาวๆปากแดงๆร้องไห้คร่ำครวญแล้วใจไม่ดียังไงไม่รู้ มันห่วงบอกไม่ถูก
“ อกหักจากผู้ชายแสนดีลองมาทางผู้ชายดีบ้างเลวบ้างดูมั้ย ถึงไม่สุภาพชวนหวั่นไหวแต่ก็ทำให้มึงใจสั่นได้นะ”
“ ไอ้บ้า”
เนมมันอ้าปากพะงาบๆเหมือนหาเสียงตัวเองไม่เจอ แก้มขาวแดงก่ำเพราะก่อนหน้านี้ร้องไห้หนักมาก แต่บัดนี้มันแดงด้วยสาเหตุอื่น
“ เอ้าพูดเรื่องจริงนะ”
“ ไม่รู้”
“ ลองมั้ย”
“ อะไรเล่า”
“ ลองคบกันมั้ย”
โอ๊คแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“ บ้า”
“ หลุดจากไอ้ยิมมามีกูรอบเสียบนี่ถือว่าโชคดีนะ”
“ พูดดีๆเสียบเสิบอะไร”
“ ถ้าคบกันแล้วไอ้เรื่องเสียบๆเสียวๆมันก็ต้องมีบ้างล่ะ”
“ ไอ้โอ๊ค ไม่พูดด้วยแล้ว” เนมทำหน้าฮึดฮัดยกมือไปหูทั้งสองข้างแล้วส่ายหน้าไปมาเหมือนไม่ยอมรับฟัง
“ ยิ้มได้แล้วนี่”
เนมมันเผลอยิ้มออกมาจนคนมองเอ่ยแซว
“ คุยกับคนบ้าไม่ยิ้มยังไงไหว พูดแต่ละเรื่อง”
“ คนบ้าก็รักจริงนะโว้ย ลองดูมั้ยละ” โอ๊คถามยิ้มๆ “ อกหักมารักกับผม”
“ ร้องเพลงบ้าอะไร”
เนมแหวใส่
“ อกหัก อกหักมารับกับผม”
เนมหน้าแดงค้อนควับก่อนจะแลบลิ้นใส่อีกฝ่ายแล้ววิ่งหนีไปก่อน ทิ้งให้คนข้างหลังได้แต่นึกขำ เหมือนว่าเนมมันจะลืมไปชั่วขณะรึเปล่าว่ามันกำลังอกหักมา มันกำลังเสียใจที่ความรักข้างเดียวกับเพื่อนสนิทมีมันต้องหยุดชะงักไม่ใช่หรือ น่าแปลกที่มันแค่ร้องไห้ได้ไม่นานแล้วกลับยิ้มออกมาง่ายๆเพราะใครบางคน ลืมไปรึเปล่าที่บอกว่าเสียใจหนักหนาแต่พอเค้าแหย่มันไม่นานทุกอย่างก็ดีขึ้น
เหมือนว่าความรู้สึกบางอย่างกำลังงอกเงยขึ้นในใจคนอกหัก
:hao5:มาแล้วๆ หายไปนานเพราะไม่สบายค่ะนี่ก็เพิ่งดีขึ้น ยังไงก็อย่าเพิ่งลืมกันน้า 
ปกติถ้ามีแจ้งข่าวอะไรเกี่ยวกับการอัพจะแจ้งเฉพาะในเพจนะคะ ถ้ายังไงไปกดติดตามกันไว้น้าถ้านักเขียนหายไปจะแจ้งข่าวตลอดค่ะ
ช่วงนี้ดราม่าอีกแล้วทนหน่อยเนอะ เดี๋ยวจะได้ยิ้มกันแล้ว
***หนึ่งความคิดเห็นคือหนึ่งกำลังใจน้า***