หลงที่ 14 : คืนฝนพรำ [หมอปาย]
“ ปาย”
ผมยิ้มขำๆตอนที่เพื่อนตัวซีดวิ่งดุ๊กๆมาแต่ไกล ซ้ำมือทั้งสองข้างยังหอบเอาของกินมามากมายเต็มไม้เต็มมือ
“ หอบอะไรมาพะรุงพะรัง”
“ ปาย”
หยกยิ้มแป้นชูขนมในมือขึ้นสูงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งแล้วเลื่อนสารพัดของหวานมากองไว้ตรงหน้า ผมออกจะแปลกใจไม่น้อยที่คนชอบของหวานเป็นชีวิตจิตใจแบบหยกมันไม่ยักกะอ้วน ซ้ำยังดูเหมือนว่ากินไปเท่าไหร่ก็ดูจะไม่น่ามีเนื้อมีหนังไปมากกว่านี้
“ ไม่กลัวอ้วนรึไงดูซิหิ้วมาแต่ละอย่าง”
“ ไม่ดีเหรอจะได้กลิ้งทับปายได้ไง”
ผมขำก๊ากเมื่อดูสภาพคนร่างสูงโปร่งที่ติดจะผอมไปด้วยซ้ำ ผิวก็ขาวซีดแบบนี้มันเลยทำให้ผมนึกภาพหยกในเวอร์ชั่นขยายข้างจนสามารถทับผมไม่ออกจริงๆ
“ ขำอะไรเล่าปายก็”
หยกค้อนให้แล้วหันไปสนใจขนมใส่ไส้ตรงหน้าต่อ
“ หยกรู้ตัวมั้ย”
“ หืม”
ใบหน้าขาวแก้มกลมเพราะอาหารเต็มปากเงยขึ้น
“ ช่วงนี้หยกยิ้มบ่อยขึ้นนะ”
“ ก็” หยกเกาแก้มตัวเอง “ ก็คงงั้นมั้ง”
“ มีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้นรึเปล่า”
หยกส่ายหัวแล้วยิ้มบางๆ “แค่ปล่อยวาง”
“ ยังไง”
“ รักที่ไม่คาดหวัง รักที่ปล่อยวางมันสบายขึ้นนะ” หยกก้มหน้าถอนหายใจ แต่ประกายตาสดใสแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เพื่อนตัวขาวของผมเหม่อมองไปเบื้องหน้าไม่สามารถเดาความคิดหรือความรู้สึกใดๆได้ ก่อนที่หยกจะหันมายิ้มให้ผม
“ ปาย”
“ อะไร”
“ ขอบคุณนะ”
“ เรื่องอะไร”
ผมทำหน้างงจนอีกฝ่ายหัวเราะน้อยๆ
“ ปายจำได้ป่ะ...ปายเคยบอกให้เรารักตัวเองให้มากๆ” หยกพูดขึ้น “ ขอบคุณที่ปายพูดแบบนั้น”
“ ให้รักคนอื่นน้อยลง แล้วลองรักตัวเองให้มากขึ้น มันสมดุลง่ายๆที่ถ้าลองทำแล้วโครตดีเลย” ผมอมยิ้มตามหยก “ดีแล้ว”
“ หยก”
“ หืม”
“ ตัดใจจากอั้มมันได้แล้วจริงๆเหรอ”
หยกนิ่งไปพักนึงก่อนจะส่ายหน้า
“ เปล่าหรอก ความรักที่เรามีให้อั้มยังเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกอยากครอบครองต่างหากที่เบาบางลง” นั่นสินะ หากจะให้ตัดใจจากใครสักคนมันคงต้องอาศัยวันเวลาเป็นเครื่องเยียวยา เพราะขนาดความรู้สึกรักยังต้องใช้เวลากว่ามันจะงอกเงยและงดงามอยู่ในใจ จึงไม่แปลกถ้าวันเวลาจะทำให้บาดแผลจากความรักหายสนิท
ถึงจะตกสะเก็ดเป็นแผลเป็นแต่มันคือร่องรอยของความทรงจำ
“ งั้นเรามาฉลองกัน”
ผมเอื้อมมือไปหยิบวุ้นมะพร้าวรูปเป็ดในกล่องโฟมชูขึ้น ถึงหยกจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็เอื้อมมือไปหยิบวุ้นเป็ดขึ้นมาเช่นกัน
“ ขอให้ความรักที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้เป็นสิ่งที่สวยงาม”
“ อืม”
“ชน”
เราหันส่วนหน้าของวุ้นเป็ดชนกันเบาๆ ก่อนจะพร้อมใจกันปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
“ ฉลองอะไรกัน ขอร่วมด้วยคนสิ”
เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้นเหนือหัวพวกเขา ก่อนที่มันจะถือวิสาสะทรุดตัวลงนั่งข้างๆกันกับหยกโดยที่คนซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วขยับที่นั่งให้อย่างเต็มใจ
“ มาพอดีเลยอั้ม กินขนมที่หยกซื้อมาฝากดิ”
อั้มพยักหน้ารับก่อนจะเอื้อมไปหยิบอะไรสักอย่างด้วยท่าทางสบายๆ เป็นภาพที่แปลกใจสำหรับผม เพราะตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันสามคนเมื่อก่อนมันดูอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก แต่วันนี้ความรู้สึกเหล่านั้นหายไป
“ ว่าแต่เมื่อกี้ฉลองอะไรกันเหรอ”
หยกเหลือบตามองผมแล้วอมยิ้มคล้ายกับว่าจะให้ผมเป็นผู้ให้คำตอบ
“ เรื่องดีๆน่ะ”
“ เรื่อง”
อั้มทำหน้าสงสัย
“ เรื่องดีๆของคนเป็นเพื่อนกัน”
อั้มทำหน้าสงสัยกว่าเดิมจนพวกผมหัวเราะดังลั่น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่คิดจะอธิบายต่อ
“ อะไรวะ”
“ เอาน่า ฉลองกัน”
“ หืม”
หยิบวุ้นเป็ดอันเดิมขึ้นมา หยกหน้าเผือดไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของอั้มที่มองวุ้นในกล่องคงจะนึกถึงเหตุการณณ์ที่ครั้งหนึ่งอั้มเคยเหวี่ยงใส่จนไม่กล้าซื้อวุ้นมาให้เห็นอีก อั้มมันมองวุ้นรูปเป็ดสีขุ่นนิ่งก่อนจะค่อยๆหยิบมันขึ้นมา ผมเลยสะกิดหยกเบาๆให้ทำตาม
...พวกเราจ่อส่วนหัวของวุ้นเป็ดชนกันแล้วตะโกนอย่างพร้อมเพรียง...
“เชียร์”
“ อร่อยดีนะ”
อั้มหันไปพูดกับหยกตอนที่เคี้ยววุ้นเนื้อนุ่มแล้วกลืนลงท้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรียกรอยยิ้มหวานๆจากใบหน้าขาวซีด
“ หยก”
“ หืม”
“ ถ้ามึงสะดวกช่วยซื้อมาให้กินอีกนะ”
หยกพยักหน้ารับคำอั้ม ก่อนที่ทั้งคู่จะเผลอหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจผมพองฟูราวกับว่าสิ่งที่กดทับมานานมันกำลังค่อยสลายหายไป
มันอาจดูเก้อกระดากสำหรับก้าวแรกในความสัมพันธ์แบบเพื่อน แต่เชื่อเถอะว่าพวกเราจะประคับประคองมันให้ดีที่สุด ผมรู้สึกว่าสิ่งที่เฝ้ารอมานานมันกำลังเกิดขึ้นพวกเรานั่งกินขนมไปแล้วหัวเราะอย่างง่ายดายกับเรื่องตลกที่ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากตอนที่ผมมองไปเบื้องหน้าแล้วเห็นอั้มกับหยกนั่งอยู่เคียงข้างกันแบบนี้...โครตดีเลย
.
.
.
“ พี่หมอปาย”
จากที่เดินมึนๆลงมาจากตึกคนไข้ก็มีอันต้องตาสว่างเพราะเสียงเรียกชื่อผมดังลั่น
“ พี่หมอ”
“ หืม”
“ ไปแข่งรถกัน”
“ หา”
ผมร้องอุทานจนรุ่นน้องทำหน้ายู่ “ พี่หมอปายอ่ะ”
“ เมื่อกี้เราว่าไงนะจะไปแข่งรถเหรอ”
เนมโบกมือปฎิเสธเป็นพัลวัน “ ไม่ใช่เนมไม่ได้แข่งแต่จะไปดูเขาแข่งรถกัน”
“ นึกยังไงล่ะเรา”
“ เนมจะไปเชียร์เพื่อน”
อาจจะเพราะสีหน้าไม่ไว้วางใจกับกิจกรรมที่เอ่ยถึงฝ่ายนั้นจึงรีบอธิบาย “ สนามแข่งถูกกฎหมายครับ”
ผมพยักหน้ารับไปงั้นๆทั้งที่ไม่ค่อยเข้าใจสักท่าไหร่ กะว่าจะปฎิเสธแต่น้องดันทำหน้าอ้อน “ พี่ปายไปเป็นเพื่อนเนมหน่อยน้า”
รุ่นน้องหน้าขาวเอาศีรษะมาถูๆแถวไหล่ผมอย่างอ้อนๆ เพราะสนิทกันมากน้องจึงรู้ว่าผมค่อนข้างตามใจอีกฝ่าย โดยเฉพาะกับเนมถึงแม้ว่าวันนั้นที่สนามบินผมจะรู้สึกแปลกๆกับท่าทางของน้อง แต่พอหลังจากนั้นทุกอย่างก็เหมือนเดิม ซ้ำเจ้าตัวขาวนี่ยังกลับมาอ้อนเก่งยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“ วันนี้ยิมมันลงแข่งเนมอยากไปเชียร์อ่ะพี่ปาย”
...หืม...
ชื่อของคนที่วนเวียนอยู่ใกล้ตัวช่วงสองสามวันนี้ทำให้อดที่จะหูผึ่งไม่ได้ ในอกก็รู้สึกอุ่นๆแค่ได้ยินชื่อนี้ ไม่รู้สิผมไม่รู้ว่าอาการประหลาดของตัวเองมันคืออะไร ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีไอ้เด็กข้างห้องก็มาวนเวียนอยู่ใกล้ๆกันแล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะเราเป็นผู้ชายเหมือนกันมั้งถึงทำให้รู้สึกสบายที่ได้อยู่ใกล้อีกฝ่าย
...แล้วผู้ชายที่ไหนมันสนิทสนมกันจนเกือบจูบกันหรือว่าเคยจูบกันไปแล้ววะ...
ผมสะบัดหัวแรงๆไล่ความคิดประหลาดนี้ออกไปจากหัว
“ ทำไมเราถึงมาชวนพี่ล่ะ ช่วงนี้เพื่อนมารับมาส่งตลอดไม่ใช่เหรอ” เพื่อนที่ว่าไม่ใช่เพื่อนคนข้างห้องผมหรอก แต่เป็นอีกคนหนึ่ง
“ ไอ้โอ๊คน่ะเหรอครับ”
ผมพยักหน้า
“ ก็มันห้ามไม่ให้เนมไปอ่ะ”
“ อ้าว”
“ มันบอกเป็นกีฬาพวกผู้ชายแมนๆเนมไม่ควรไปดู ดูมันพูดดิพี่ปาย แม่งพูดงี้โครตกวนตีนเลยเนมไม่แมนตรงไหนวะ”
...ทุกตรงครับ...
นั่นเป็นแค่คำพูดในใจ เพราะผมไม่ได้บอกออกไปขืนพูดไปใบหน้างอเง้านี่คงได้งอเป็นจวักถาวรแน่
“ ถ้าเพื่อนเราห้ามขนาดนั้นก็อย่าไปเลยมันอาจจะอันตรายก็ได้”
“ ไม่จริงอ่ะ เนมเคยตามยิมไปไม่เห็นเป็นอะไรเลย สนุกดีออก”
แสดงว่าเด็กข้างคงจะลงสนามบ่อย ยังไม่ทันได้ถามรุ่นน้องตัวขาวก็เล่าต่อทันที
“ ยิมเมื่อก่อนอ่ะสิงห์สนามเลยนะพี่ปาย จนช่วงสองสามปีนี่แหละที่เหมือนจะเลิกไปนี่ไม่รู้นึกยังไงไปลงแข่งอีก เนมเลยห่วงอยากไปดูซะหน่อยยิ่งเพิ่งอกหักมาใหม่ๆด้วย”
...นั่นสินะ...หวังว่าไอ้เด็กนั่นคงไม่คิดอะไรสั้นๆหรอกนะ
ผมคิดตามแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมสักหน่อยที่ต้องห่วงไอ้เด็กนั่น
“ พี่ปาย”
เนมทำตาอ้อนๆ แต่แววตาดูเจ้าเล่ห์แปลกๆผมสังเกตว่าช่วงหลังๆมานี้เนมมักเอ่ยถึงไอ้เด็กข้างห้องผมบ่อยๆซ้ำพอผมทำหน้าจะสนใจ แววตากลมโตก็มักมีประกายวิบวับ ซ้ำยังยิ้มเหมือนถูกใจอะไรบางอย่างบอกไม่ถูก
“ น้า”
“ น้าพี่ปายน้า”
คราวนี้เพิ่มออฟชั่นด้วยการโถมตัวใส่ผมเต็งแรงซ้ำยังเอาหัวมาสีต้นแขนผมอย่างจริงจังคาดว่าถ้าไม่ตกลงเจ้านี่คงไม่หยุด
“ อืม”
สุดท้ายผมก็ตกกระไดพลอยโจรเซไปตามแรงจูงของรุ่นน้อง คล้ายๆกับว่าถูกน้องหลอกล่อไปยังไงก็ไม่รู้
สนามแข่งรถที่นี่มีขนาดใหญ่มากสมเป็นสนามที่ได้มาตรฐานซึ่งมีอัฒจันทร์ขนาดใหญ่รองรับผู้เข้าชมซ้ำยังมีการตรวจตราจากเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัยก่อนที่ผู้ชมจะได้ก้าวสู่พื้นที่ด้านใน ผมมองไปรอบๆเพื่อพิจารณากลุ่มคนหลากหลายที่รวมตัวกันสำหรับการเชียร์นักแข่งที่ตัวเองชื่นชอบ ขาทั้งสองข้างก้ามตามแรงจูงของรุ่นน้องที่ดูรีบร้อนเหลือเกิน เนมมองไปรอบๆเหมือนมองหาใครสักคน แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร เสียงห้วนห้าวจากขอบอัฒจันทร์ก็ตะโกนเรียกดังลั่น
“ เนม”
รุ่นน้องผมสะดุ้งโหยงพอดีกับที่โอ๊คมายืนหน้าทำหน้ายักษ์อยู่ตรงหน้า
“ มาทำอะไรที่นี่”
“ ก็”
“ กูบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามา” โอ๊คมันทำหน้ายุ่งก่อนจะเหลือบตามาทางผมแล้วก้มศีรษะเป็นเชิงทักทาย “ นี่คงไปลากพี่หมอมาสินะ”
“ เปล่าสักหน่อย”
“ เชื่อยาก”
เนมทำหน้างอจนอีกคนต้องโยกศีรษะเบาๆ ท่าทางของคนทั้งคู่มันดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ราวกับว่ามันลึกซึ้งกว่าความเป็นเพื่อน
“ มึงไม่คิดบ้างรึไงว่างบางทีพี่ปายอาจจะอยากมาเป็นเพื่อนกูก็ได้” เนมเถียง
“ ไม่มีทาง”
โอ็คจิ้มหน้าผากเพื่อนตัวขาว “ กูเชื่อว่ามึงต้องไปอ้อนจนเขาปฏิเสธไม่ได้ ถึงได้โดนมึงลากมาด้วยแบบนี้”
...ถูกเผง...
ผมกลั้นยิ้มจนปวดแก้มกับการวิเคราะห์ของเด็กนิเทศฯซึ่งเดาทุกอย่างได้อย่างแม่นยำจนรุ่นน้องผมทำหน้างอขัดใจ
“ เออมึงพูดถูก”
เนมกระชากเสียงตอบก่อนจะไปมองไปรอบๆ “ ว่าแต่ยิมอยู่ไหนอ่ะ”
ผมมองตามปลายนิ้วโอ๊คซึ่งชี้ไปยังรถแข่งคนสีดำคาดขาวกำลังดริปโชว์อยู่กลางสนาม ภาพตรงหน้าดูน่าใจหายเพราะความเร็วในการหมุนขนาดดูด้วยสายตาเปล่ายังแทบจะดูไม่ทัน ซ้ำสภาพอากาศตอนนี้ยังมีฝนตกลงมาพรำๆ การขับรถน่าหวาดเสียวแบบนั้นจะไม่มีอุปสรรคบ้างรึไงในสภาพอากาศขมุกขมัวแบบนี้
รถคันนั้นกลับมาขับแบบปกติวิ่งตามถนนที่จัดให้อีกครั้งท่ามกลางเสียงถอนหายใจโล่งอกของเนมกับผมต่างจากโอ๊คที่ดูชิวๆกับภาพที่เห็น ขณะที่พวกเรากำลังจะทรุดตัวลงนั่งรถแข่งคันสีดำคาดขาวก็ส่ายไปมาแปลกๆ จนผมต้องเพ่งพิจารณาดูอย่างแปลกใจและพอจังหวะเข้าโค้งรถคันนั้นก็มีอาการท้ายปัดจนส่วนหัวพุ่งออกนอกสนามไปชนกับบังเกอร์ยางรถสูงเกือบเมตรพาให้รถพลิกคว่ำทันที
“ ฉิบหาย”
“ ยิม”
เสียงเพื่อนมันคนร้องเสียงหลง ไม่ต่างหัวใจของผมที่กระตุกวาบ แล้วขาก็ขยับตามสองคนนั้นที่กระโจนไปดูเพื่อนมันทันที ผมรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงราวกับว่ามันจะทะลุออกจากอก นัยน์ตาผมพร่ามัวแทบมองอะไรไม่เห็น ในอกก็ร่ำร้องเหมือนใจจะขาดแล้วภาพเหตุการณ์วันนั้นเมื่อหลายปีก่อนก็สว่างวาบขึ้นมาในหัว
มันเป็นวันฝนพรำเช่นนี้ในเวลาพลบค่ำวันนั้นมีอุบัติเหตุรถคว่ำเกิดขึ้น เสียงกรีดร้องและรอยเลือดสีแดงฉานไหลนองเต็มพื้น หยาดน้ำตาที่ไหลมาเป็นสาย ผมจำภาพนั้นได้จนติดตา เสียงร่ำไห้ของคนที่รักและเสียงลมหายใจอันแผ่วเบาจนสุดท้ายคนที่ผมรักที่สุดก็จากไปตลอดกาล
ภาพตรงหน้าเหมือนภาพซ้อนทับเรื่องราวในอดีต มันเหมือนเป็นฝันร้ายที่ไม่อยากจดจำ ผมกำหมัดแน่นเนื้อตัวสั่นเทาก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลเงียบๆ
***********************************
[ยิม]
“ หมอ”
“ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว”
ผมกระตุกข้อมือคนที่นั่งนิ่งมาตลอดตั้งแต่โรงพยาบาลจนมาถึงคอนโด หมอมีอาการแปลกๆดูเหมือนตกใจหรืออาจจะช็อกกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ รถที่ผมใช้ลงสนามเกิดยางระเบิดในจังหวะเข้าโค้งพอดีซ้ำถนนยังลื่นเลยไม่แปลกถ้ามันจะพลิกคว่ำ แต่ดีว่าเขาเซฟทุกอย่างพอแงะตัวเองออกจากรถได้จึงมีบาดแผลตรงหางคิ้วซึ่งกระแทกกับพวงมาลัยจนคิ้วแตก และมีแผลที่ข้อศอกยาวเกือบนิ้วเท่านั้นเอง ส่วนตามลำตัวก็แค่ฟกช้ำเล็กน้อยจนต้องขอบคุณเซฟตี้ของตัวรถด้วย เพื่อนทั้งสองของผมดูตกอกตกใจรีบพาส่งโรงพยาบาลทั้งที่ยืนยันแล้วว่าผมไม่ได้บาดเจ็บอะไรร้ายแรง
ทุกอย่างรอบกายดูวุ่นวายจนผ่านไปสักพักผมจึงได้มีโอกาสสังเกตว่ามีใครบางคนนั่งนิ่งมาตั้งแต่ต้น หมอนั่งนิ่งจนไม่ได้รับรู้ว่าผมกำลังยืนมองแววเหม่อลอยนั้นด้วยความห่วงใย จนได้รับการยืนยันจากแพทย์แล้วว่าผมปลอดภัยทุกอย่างสองคนนั้นจึงล่าถอยกลับไปหลังจากพามาส่งถึงห้อง
หมอปายขอแยกตัวไปแต่เพราะอาจจะยังเบลออยู่ผมถึงได้ทำเนียนเดินเข้าห้องหมอ มันน่าแปลกที่หมอไม่บ่นหรือเอ่ยปากไล่อย่างที่แล้วมา มันน่าตกใจที่เห็นหมอเหม่อลอยเหมือนมีอะไรในหัวให้ขบคิดมากมาย
“ หมอ”
ผมเรียกหมออีกครั้ง
“ อะไร”
“ หมอโอเคมั้ย”
หมอหันมามองงงๆก่อนจะหรี่ตามองแผลตรงหางคิ้ว “ กูมากกว่าที่ต้องถามว่ามึงโอเครึเปล่า”
“ โอเคสิหมอ ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“ ก็ดีแล้ว” หมอปายหันมาถามต่อ “ มึงชอบแข่งรถงั้นเหรอ”
“ ครับ ผมว่าเวลาที่มันเคลื่อนไหวไปเร็วๆมันเหมือนว่าหัวโล่งดี เหมือนว่าเราบินได้”
“ ไม่กลัวรึไง”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
“ ผมชอบความท้าทายครับหมอ”
“ มันน่าสนุกตรงไหน”
“ ตรงที่มันไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดมันอยู่ตรงไหน” ผมตอบ
หมอหันมาสบตากับผมตรงๆและมองอยู่อย่างนั้นนิ่งๆ
“ สำหรับผมแล้วหมอคือความท้าทายที่น่าพิชิตเหมือนกัน”
“ ยังไง” หมอเลิกคิ้ว
“ คงเหมือนช้อยส์ข้อสอบมั้งครับ ดูมีหลายคำตอบดี”
“ กูนึกว่ามึงจะเล่นมุขเปรียบกูกับหนังสือซะอีก” หมอพูดเสียงเรียบแววตาดูขบขันไม่น้อยจนผมเผลอยิ้มตาม
“ หมอไม่เหมาะเป็นหนังสือหรอกครับ เป็นช้อยส์คำตอบน่ะดีแล้ว”
หมอส่ายหัวไม่จริงจังนักแล้วเล่นผมกลับ “ งั้นมึงจะเลือกข้อไหนล่ะ”
“ ผมเหรอ” ผมชี้นิ้วใส่ตัวเอง
“ ผมคงเลือกทุกข้อ” หมอชะงักแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ขณะที่ผมกระตุกยิ้ม ในใจมันฟูแปลกๆบอกไม่ถูก
“ ถ้ามึงจะกลับออกไปล็อคประตูให้ด้วยกูจะไปอาบน้ำ”
“ ไม่ครับ”
หมอกอดอกแล้วสบตาผมนิ่งคงจะนึกว่าผมตอบกวนตีน “ เพราะคืนนี้ผมจะนอนห้องหมอ”
.
.
.
สุดท้ายหลังจากหน้าด้านและมารยาอ้อนจนหมอพยักหน้ารับอย่างระอา ผมก็กลับไปอาบน้ำที่ห้องแล้วมายืนเสนอหน้าอยู่กลางห้อง
“ เพราะมึงบอกว่ากลัวเจ็บแผลตอนกลางคืนหรอกนะ ไม่งั้นมึงไม่มีทางมานอนได้หรอก”
“ เจ๊ากันไงหมอ”
“ อะไร”
“ ตอบแทนที่ผมเคยให้หมอไปนอนที่ห้องไง”
หมอเบ้ปากก่อนจะปาหมอนใส่แต่ผมดันรับไว้ทันก่อนจะยิ้มกริ่มเดิมตามหมอเข้าห้องไปติดๆ หมอแสยะยิ้มชี้นิ้วไปที่ผ้าห่มซึ่งกองอยู่ตรงพื้นใกล้ๆเตียงก่อนที่เจ้าตัวจะกระโดดขึ้นเตียงท่าทางไม่แยแส ผมเลยได้แต่ยักไหล่ปูที่นอนตรงพื้นข้างเตียงก่อนจะเดินไปปิดไฟ
“ อย่าปิดไฟ”
เสียงทุ้มดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
“ ทำไมครับ”
“.......”
“ หมอ”
หมอปายลุกขึ้นนั่งก่อนจะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งบรรยากาศภายนอกมีสายฝนที่โปรยปรายลงมา “ ฝนมันตก”
ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจแต่หมอก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรเพิ่มเติม ก่อนจะล้มตัวลงนอนหันหลังให้ผม
“ กูชอบนอนเปิดไฟเวลาฝนตก ถ้ามึงนอนไม่ได้ก็กลับห้องมึงไป”
ผมส่ายหน้ามองคนชอบนอนเปิดที่ห่อไหล่หลังงองุ้มเนื้อตัวสั่นเทา ท่าทางแบบนั้นบอกถึงความผิดปกติ ความรู้สึกตอนนั้นผมอธิบายไม่ถูกรู้แค่ว่าโครตอยากอยู่ข้างๆหมอเลย ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินไปปิดไฟ พอความมืดปกคลุมไปทั้งห้องจนหมอถึงกับสะดุ้งโหยง
“ มึง”
“ กลับห้องมึงไป”
ผมไม่ตอบแต่เดินไปทรุดลงบนเตียง หมอขยับตัวลุกขึ้นก่อนจะผลักอกผมแรงๆ ผมจึงสวมกอดหมอเอาไว้เต็มอ้อมแขน
“ ปล่อยกู”
“ หมอ” ผมลูบแผ่นหลังคนที่สั่นไปหมดทั้งตัว “ อย่ากลัวผมอยู่ตรงนี้”
“ ปล่อยกู”
“ ผมอยู่ตรงนี้ครับหมอ”
“ ปล่อย”
“ ผมอยู่ตรงนี้ครับ ผมอยู่ตรงนี้ ผมอยู่กับคุณ...หมอปาย”
สักพักคนในอ้อมแขนที่ดิ้นเร่าก็หยุดดิ้น หมอนิ่งไปจนสัมผัสได้แต่ลมหายใจที่แผ่วเบา
“ กูเกลียดการนอนปิดไฟในวันที่ฝนตก”
“ ทำไมครับ”
“ มันเป็นวันที่กูต้องสูญเสียแม่ไปตลอดกาล”
“ หมอ”
“ ขอร้องไปเปิดไฟเถอะ” หมอพูดเสียงแผ่ว “ กูนอนไม่ได้”
“ หมอนอนได้” ผมค้าน
“ ปล่อย” ผมค่อยๆ ดันหมอให้หงายหลังลงนอนหมอดูอึกอักไม่ทำตามแต่ผมก็ไม่ยอมเช่นกัน สุดท้ายหมอจึงยอมนอนลง ขณะที่ผมทรุดตัวลงนอนใกล้โดยที่มือของพวกเรากุมกันแน่น
“ หลับเถอะครับ”
“ มึง”
“ นอนเถอะครับ ผมอยู่ตรงนี้”
.
.
“ โอ้ย”
ผมถลาตกเตียงด้วยแรงถีบของหมอ หมอผุดลุกขึ้นนั่งแม้ในความมืดผมก็เดาสีหน้าหมอออกว่ามันฉุนเฉียวแค่ไหน
โธ่ โกรธอะไรนักหนาแค่ผมเผลอล้วงมือข้างที่ว่างไปในเสื้อหมอเท่านั้นเอง ผมล้วงผิดหรอกกะจะดึงผ้าห่มมาคลุมให้ต่างหาก นี่ถึงขนาดโกรธจนเท้ากระตุกเลยเหรอเนี่ย
“ ไอ้หมายิม”
“ มือมันลั่นอ่ะหมอ” คราวนี้หมอนอีกใบปลิวมาโดนหน้าผมเต็มๆ
“ ไสหัวไปนอนพื้นเลย”
“ ครับ”
ผมรับคำพร้อมกับกลั้นเสียงหัวเราะ ผ่านไปสักพักนึงผมจึงค่อยๆย่องขึ้นเตียงไปทรุดตัวลงนอนใกล้ๆเพราะห่วงกลัวหมอจะมีอาการแปลกๆอีก คราวนี้ผมแค่ลองจับมือหมอเฉยๆแต่ผมกลับรู้สึกว่าฝ่ามือของหมอกระชับมือของผมให้แน่นขึ้น ไอร้อนจากตัวหมอแผ่วเบาลงคล้ายกับว่าเจ้าตัวผ่อนคลายขึ้น
แล้วเราก็กุมมือกันและกัน หลับใหลไปอย่างสนิทตลอดคืน
มาแล้วๆ หายไปเป็นอาทิตย์เพราะไปจัดการธุระในเมืองเสียหลายวันค่ะ
ตอนนี้เหมือนอะไรๆจะดีขึ้นเนอะ หุหุหุ เตรียมหมอนเตรียมใจให้ดีต่อจากนี้เราจะพาคุณไปฟินแลนด์ ฮ่าๆๆๆๆๆ
#หนึ่งความคิดเห็นคือหนึ่งกำลังใจของนักเขียนนะคะ 