(ต่อ) ผมคลึงขมับอย่างอ่อนล้าหลังจากเดินสะโหลสะเหลออกมาจากตึกผู้ป่วยในเวลาบ่ายแก่ๆ ทั้งยังรู้สึกรำคาญสายตาใครต่อใครทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องที่ทำหน้ายิ้มแปลกๆ เวลาที่ผมเดินผ่าน ไม่รู้เพราะพวกรูปบ้าๆนั่นของไอ้ยิมรึเปล่าที่ทำให้ทุกคนยิ้มประหลาดใส่ผมแบบนี้ และมีสองสามรายที่ใจกล้าขอถ่ายรูปผมก่อนจะจบประโยคทิ้งท้ายพาลให้นึกโมโหคนต้นเรื่องที่ว่า
“ พี่หมอปายเป็นแฟนพี่ยิมจริงๆเหรอคะ หนูชอบพวกพี่มาก คบกันนานๆนะคะ”
...แม่ง...
ได้แต่ยืนอ้าปากค้างทำใจตั้งนานกว่าจะตั้งสติได้แล้วตัวต้นเหตุก็โผล่มายืนพิงรถเสนอหน้าอยู่หน้าตึก มันยิ้มร่าเริงทันทีก่อนจะสาวเท้ามาหยุดยืนตรงหน้าผม
“ ผมมารับหมอครับ”
“ มึงเอารถใครมา” ผมเหลือบตามองเลยไหล่มันไปเห็นบีเอ็มซีรีย์สีดำสนิทเงาวับคันใหม่
“ รถที่บ้านน่ะครับ พอดีเดือนหน้าครอบครัวผมจะกลับมาอยู่ไทยถาวรแล้ว พ่อเขาเลยซื้อจากที่โน่นแล้วเพิ่งนำเข้ามา”
“ อืม”
ผมพยักหน้ารับก่อนจะตวัดสายตามองมันนิ่งๆ เพราะยังเคืองเรื่องก่อนหน้านี้
“ ขึ้นรถก่อนเถอะครับหมอมีอะไรไปคุยกันบนรถ”
“ ได้...เพราะกูก็มีเรื่องจะคุยกับมึงเหมือนกัน”
รถออกตัวมาได้สักพักผมยิ่งนึกหมั่นไส้เจ้าของรถที่ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเสียเต็มประดาซึ่งพอมองมากๆยังมียักคิ้วหลิ่วตาให้อีกจนผมชักจะหมดความอดทน
“ วันนี้มึงทำอะไร”
“ เปล่านี่ครับ”
“ โอ้ยหมอ ผมขับรถอยู่นะ”
ผมชะงักฝ่ามือที่เตรียมจะฟาดบ่ามันอีกที มันดันหัวเราะร่วนแล้วตบไฟเลี้ยวซ้ายขับไปจอดในสวนสาธารณะที่ผมกับมันเคยมาด้วยกัน
“ หมอ”
“........”
“ หมอครับ” มันทำเสียงอ้อน “ ผมไม่ขอโทษหรอกนะเพราะผมตั้งใจทำมันจริงๆ”
“ มึง”
มันคว้าข้อมือผมที่เตรียมจะประทุษร้ายมันอีกครั้ง
“ เผื่อหมอจะยังไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว ‘หลงกาวน์’ สำหรับผมหมายถึง ผมหลงรักหมอเข้าแล้วล่ะ” “.....” ระหว่างเรามีแต่ความเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่าย
“ หมอที่ผมทำทุกอย่างผมจริงจังนะ ไม่ใช่แค่หยอดหมอเล่น”
“ รู้ด้วยรึไงว่ามึงมันสันดานเสียชอบหยอดให้ความหวังคนอื่นไปเรื่อย”
“ คนอื่นที่ไหนผมหยอดหมอคนเดียวเหอะ”
“ ตอแหล”
ผมด่าให้แต่มันกลับหัวเราะร่วน “ ผมพูดจริงๆนะครับ”
“ หมอครับ เรามาลองคุยกันจริงๆมั้ย”
คำถามนั้นทำให้ต้องหยุดนิ่งคิด แล้วลองทบทวนอยู่ในใจเงียบๆ ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่ารู้สึกดีจริงๆกับสิ่งที่เป็นอยู่ขณะนี้ มันดีมากจนกลัวว่ามันอาจจะหายไปสักวันหนึ่ง”
“ หมอไม่สนใจอยากเป็นหมอเจ้าของไข้ผมงั้นเหรอครับ”
“ ขอคบ? ”
ผมถามตรงๆอย่างไม่จริงจังนักแต่มันดันพยักหน้ารับหน้าตาย “ ครับ คบกันมั้ย”
“ เดี๋ยวๆ เมื่อกี้มึงเพิ่งบอกว่าลองคุยกัน แล้วอยู่ดีๆมาขอคบมึงไหวมั้ยเนี่ยยิม” ผมคลึงขมับ “มึงนี่มันประหลาดโดยแท้ ถ้าขอเป็นเจ้าของไข้แปลว่าขอคบ ถ้างั้นชวนไปเดทมึงไม่บอกว่าชวนไปกินน้ำแดงโซดาเลยรึไง”
คราวนี้มันหัวเราะเสียงดังลั่นจนน้ำหูน้ำตาไหล ทำเอาอารมณ์แย่ๆของวันหายไปเหลือไว้แต่ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“ มึงแม่ง”
“ คงงั้นมั้งครับหมอ”
“ อะไร”
มันลูบหลังมือผมเบาๆ “ ไปกินน้ำแดงโซดากันมั้ยครับ เผื่อหมอจะมีเหตุผลประกอบการตัดสินใจเป็นหมอเจ้าของไข้ของผม” พูดแล้วก็หันมายักคิ้วฉีกยิ้มโชว์ฟันเรียงสวยครบทุกซี่
...เชี่ยเอ้ย แล้วกูจะยิ้มทำห่าอะไรเนี่ย...
*************************************************************
[ยิม]
ผมรู้ว่าหมอเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด
เปล่าเลย ผมไม่ได้ชวนหมอไปกินน้ำแดงโซดาธรรมดา ผมรู้ว่าคุณคงรู้เหมือนกันว่าผมหมายความว่ายังไง
บอกตามตรงว่าตอนนี้มองไปทางไหนก็รู้สึกดีชะมัดแค่เพราะหมออมยิ้มแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างแบบนั้น ผมตั้งใจพาหมอไปกินข้าวที่ร้านอาหารริมแม่น้ำแห่งหนึ่งซึ่งบรรยากาศค่อนข้างชิว เพราะโต๊ะอาหารวางติดพื้นมีเสื่อปูพร้อมกับเบาะรองนั่ง ซ้ำยังนั่งห้อยขาได้สบายคล้ายๆกับแพริมน้ำ การตกแต่งที่ดูชิวๆทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่จึงมีทั้งวัยเรียนและวัยทำงานมาใช้บริการ
ผมนั่งเท้าคางมองหมอที่กวาดสายตามองไปรอบๆอย่างสนใจ
“ ชอบมั้ยครับ”
“ บรรยากาศดี” หมอตอบ “แล้วมึงรู้จักที่นี่ได้ยังไง”
“ ร้านของลูกพี่ลูกน้องผมเองครับ”
“ อืม”
หมอรับคำแววตามองไปเรื่อยท่าทางเหมือนเด็กที่ตื่นเต้นเวลาพบเจอสิ่งแปลกใหม่
“ หมอปาย”
“ หืม”
“ ผมถามอะไรสักอย่างได้มั้ย”
“ เอาสิ ถ้ากูตอบได้จะตอบ” หมอจิบน้ำเปล่าที่พนักงานเอามาเสิร์ฟแล้วกดยิ้มมุมปาก
“ ทำไมถึงเรียนหมอล่ะครับ”
หมอชะงักไปก่อนจะค่อยๆตอบ “ ทำไมน่ะเหรอ คงเพราะแม่กูร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงตั้งแต่กูจำความได้มั้ง”
“ หมออยากเป็นหมอเพราะแม่เหรอครับ”
ผมยิ้มกว้างในใจมันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก หมอปายเป็นคนที่ดูเย็นชาจนคนรอบข้างสัมผัสได้แต่ใครจะคิดว่าลึกลงไปหมอเป็นคนที่แคร์คนอื่นและทำเพื่อคนอื่นมากมายขนาดนี้
“ คงงั้นมั้ง” หมอถอนหายใจ “ แต่ถึงอย่างนั้นกูก็ไม่สามารถช่วยแม่ได้ในวันที่เขาต้องการ”
“ ไม่จริงหรอกครับ”
ผมกุมมือหมอเอาไว้ “ แค่หมออยากเป็นในสิ่งที่มันยากลำบากแบบนี้ก็ดีมากพอแล้ว เพราะอาชีพของหมอมันสามารถช่วยชีวิตคนได้มากมาย”
“ กูไม่ได้คิดขนาดนั้นหรอก ก็แค่ไม่อยากให้คนที่อยู่ข้างหลังต้องเจ็บปวดมั้ง”
หมอเหม่อมองไปข้างหน้า “ แค่อยากรักษารอยยิ้มของคนที่เฝ้ารอคนไข้ไว้ให้นานที่สุด เพราะกูเข้าใจดีว่าการรอคอยด้วยความหวังมันเจ็บปวดทรมานแค่ไหน”
คำตอบของหมอทำให้ความรู้สึก ‘ชอบ’ เมื่อแรกกลับกลายเป็น ‘ความรัก’ เพิ่มมากขึ้น โดยไม่ต้องหาคำตอบใดๆ ผมรู้แล้ว่าวินาทีนี้ผมอยากให้หมอใช้ความรักที่มีรักษาคนไข้ ส่วนผมจะใช้ความรักของหมอรักษาความเย็นชานี้ให้ทลายลงให้ได้สักวันหนึ่ง
ผมจะทำให้หมอดีขึ้นด้วยความรักของผม
“ แล้วมึงล่ะ”
“ ผมทำไมเหรอครับ” ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“ ทำไมถึงเรียนนิเทศ”
“ ผมชอบถ่ายรูปครับ” ผมยิ้มกว้างทั้งยังไม่ปล่อยมือที่กุมข้อมือของหมอเอาไว้ “ เพราะผมคิดว่าเสน่ห์ของภาพถ่ายคือมันยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าทุกอย่างในภาพจะเปลี่ยนไป”
เราสบตากันนิ่งพอดีอาหารมาเสิร์ฟนั่นแหละหมอถึงพยายามบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของผม
“ ปล่อย”
หมอกระซิบเสียงรอดไรฟันเพราะไม่อยากกระโตกกระตากให้พนักงานเสิร์ฟจับสังเกตได้จนอาหารเต็มโต๊ะแล้วคนเหล่านั้นเดินหลบไปหมอจึงเตะขาผมแรงๆทีนึง
“ โอ้ย”
“ ปล่อยมือกู”
“ ครับ”
ผมค่อยๆปล่อยข้อมือหมออย่างเชื่องช้า เมื่ออีกฝ่ายเตรียมปากล่องทิชชู่ใส่ผม
“ ใจเย็นครับ”
“ ไอ้ยิม”
ผมหัวเราะก่อนจะรีบเลื่อนอาหารจานหนึ่งไปตรงหน้าหมอ อีกฝ่ายทำหน้าไม่เข้าใจก้มมองข้าวผัดปลาสลิดสลับกับมองหน้าผม
“ อะไร”
“ หมอบอกว่ากลับมาจากทะเลจะลองกินนี่ครับ”
หมอยิ้มๆก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ
“ กูกินได้เลยมั้ย”
ผมพยักหน้ามองอาหารมากมายบนโต๊ะ แต่หมอกลับตักข้าวผัดปลาสลิดตรงหน้าเข้าก่อนจะค่อยๆเคี้ยวเพื่อรับรู้รสชาติอาหาร
“ เป็นไงครับ”
“ ก็ดี”
“ แล้ว” ผมจ้องริมฝีปากหมอที่ขยับไปมาเพราะกำลังเคี้ยวอาหารนิ่งๆ
“ แล้วอันนี้กับอันนี้อันไหนอร่อยกว่ากันครับหมอ”
ผมชี้ไปที่ข้าวผัดแล้วชี้มาที่ตัวเองก่อนจะอาศัยความใจกล้าถามหมอตรงๆ หมอนิ่งไปจนต้องเท้าศอกกับโต๊ะอย่างรอคอยคำตอบ เนิ่นนานก่อนที่ผมจะถอนหายใจเสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ Both of them” .
.
.
ระหว่างเรามีแต่ความเงียบทั้งที่เดินเคียงข้างกันมาตั้งแต่ประตูลิฟต์เปิดออกจนถึงหน้าห้องพักของแต่ละคน ผมเหลือบตามองใบหน้าของอีกฝ่ายที่เรียบเฉยผิดกับใบหูแดงก่ำท่าทางแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจยังไงก็ไม่รู้
“ กูเข้าห้องก่อนนะ”
หมอเอ่ยขึ้นเป็นการทำลายความเงียบ
“หมอ”
“.....”
หมอหันกลับมามอง ผมเลยเผลอมองริมฝีปากหมอที่อยาใกล้แค่เอื้อมทำเอาคนมองแบบผมรู้สึกใจเต้นระส่ำ จะเรียกว่าความบ้าก็ได้ที่ผมคว้าข้อมือหมอเอาไว้ตอนที่ฝ่ายนั้นกำลังจะผลักประตูเข้าไป หมอปายทำหน้างงเมื่อถูกผมดันเข้าไปในห้อง แล้วผลักให้หมอยืนพิงประตูห้องที่ปิดสนิทปลอดจากสายตาคนภายนอก
“ มึงจะทำอะไร”
“ เห็นหมอบอกว่าผมอร่อย” ผมยิ้มตาพราวนึกถูกใจสีหน้าเงอะงะของหมอ “ ผมเลยอยากจะให้หมอได้ชิมมันอีกสักครั้ง”
“ มึง”
“ ชิมสิครับ”
“ อื้ม”
หมอครางเสียงแผ่วตอนที่ริมฝีปากผมประกบจูบกลีบปากของอีกฝ่ายแล้วค่อยๆบดคลึงอย่างแผ่วเบา การจูบครั้งนี้ทำให้ผมจังสังเกตอาการสั่นของอีกฝ่ายได้ว่ามันหมายความว่ายังไง
และครั้งนี้ผมขอเข้าข้างตัวเองว่าหมอก็ใจตรงกับผมเช่นกัน
“ Can you hear my heart? ”
“ Uhm” หมอคราง
“ It’s telling that ‘love’....‘ I love you’ ”หมอนขาดกันรึยัง ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ

กลับมาอัพแล้วค่ะ ขอบคุณนักอ่านที่ร่วมยินดีในความสำเร็จของเราน้า ขอบคุณมากๆค่ะ
ต่อไปนี้เป็นไทแล้วค่ะเพราะจบมายังไม่มีงานทำคงจะได้อัพนิยายบ่อยๆแล้ว 555555++++