ตอนที่ 19
จากวันนั้นฟ้าลั่นกับเชอเบทก็กลายเป็นตัวติดกันแม้แต่คนรอบข้างก็สังเกตได้ งานกีฬามหาลัยจบลงไปแล้วตะกร้อสถาปัตย์ได้ที่สอง บาสเศรษฐศาสตร์ได้ที่สาม และเทนนิสเดี่ยวชายได้ที่หนึ่ง
จบงานกีฬาก็เข้าสู่ช่วงสอบมิดเทอม ฟ้าลั่นก็ต้องแบ่งเวลาอ่านหนังสือกับการซ้อมละครเวทีในงานมหาลัยที่ใกล้เข้ามา เชอเบทก็ยุ่งหัวหมุนกับโปรเจคมิดเทอม
เวลาเจอกันน้อยลงไป…แต่แชทในไลน์ไม่ได้น้อยลง
เชอเบทชะงักมื่อที่กำลังตัดกระดาษชานอ้อยหันไปมองโทรศัพท์ข้างตัวที่สั่นเพราะไลน์เข้า…
Fhafar : อยู่สตู?
SB : yep
Fhafar : อยากกินไร?
SB : up 2 u.
ข้อความขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วก็วางมือถือสนใจงานต่อ สตูดิโอคณะสถาปัตย์ตอนนี้แน่นไปด้วยนักศึกษาหลากชั้นปีที่จะต้องทำโปรเจคตัวเองส่ง บางคนก็สลบข้างกองงานไปเรียบร้อยแล้ว บ้างก็เบื่องานตัวเองจนต้องแห่กันไปช่วยเพื่อนในกลุ่มวนกันไป
เชอเบทมองไปที่เพื่อนสนิทที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งกับเกียร์…เมื่อก่อนเป็นเขาที่ต้องช่วยมันทำแต่เดี๋ยวนี้มีประธานรุ่นคนเก่งคอยช่วยแล้ว ยิ้มจางแล้วคิดว่าดีที่เพื่อนได้เจอคนที่ดีๆ
แม้เกียร์จะต้องปั่นงานของตัวเองแต่ก็แบ่งมาช่วยปริ๊นซ์ รู้กันทั้งรุ่นว่าเกียร์มันทำงานอลังการ งานยาก งานเยอะสมกับเป็นมือหนึ่งของรุ่นแต่มันคงรักปริ๊นซ์มากขนาดปริ๊นซ์เผลอหลับมันยังวางมือจากงานตัวเองมาช่วยคนตัวเล็ก
ตาเรียวหันกลับมาสนใจงานตัวเอง ชิ้นส่วนต่างๆเริ่มตัดไปสามสิบเปอร์เซ็นต์ คัตเตอร์เปลี่ยนใบมีดไปแล้วหนึ่งกล่อง…ดินสอไม้ทัดอยู่บนหู ผมยาวรวบขึ้นลวกๆ แว่นสายตาทรงวินเทจวางอยู่ไม่ไกล
เมื่อยและเหนื่อยจนอยากกลับไปนอน แต่คิดว่ากลับไปคงเผลอหลับและงานจะไม่เสร็จเลยต้องนั่งทำหลังขดหลังแข็ง อีกส่วนหนึ่งก็เพราะรอฟ้าลั่น…รอมันซ้อมละครเวทีแล้วกลับพร้อมกัน
กิจวัตรที่เพิ่มมาใหม่ไม่รู้ตัวว่าตั้งแต่ตอนไหน มันเริ่มซ้อมตั้งแต่หลังงานกีฬาแล้ว จบมิดเทอมไปหนึ่งอาทิตย์ก็จะมีงานเปิดบ้านมหาลัย เรียกว่ามันก็รับภาระหนักเหมือนกัน ดึกๆดื่นๆยังต้องเห็นมันตื่นมาอ่านหนังสือและทำโปรคเจค โปรเจคจบหรือธีซิสของเศรษฐศาสตร์แบ่งให้ทำสองเทอม
ฟ้าลั่นเรียนเก่ง…หลังจากไปนั่งข้างมันทำงานมาหลายคืนก็หยิบเลคเชอร์ในสมุดหนังหลายเล่มมาอ่านบ้าง ลายมือเป็นระเบียบ จดเข้าใจ…ต่างจากเลคเชอร์เขาลิบลับที่ว่าง โล่ง และลายมือไก่เขี่ย
“เฮ้”
เสียงเรียกทำให้ละสายตาจากงานขึ้นไปมอง…ฟ้าลั่นยืนยิ้มอยู่ข้างหน้าก่อนจะทรุดนั่งลงขัดสมาธิตรงข้ามกัน ในมือมีถุงจากเซเว่น
“วันนี้เลิกซ้อมไวจัง”
“อื้อ ส่วนใหญ่มีสอบพรุ่งนี้กัน พรุ่งนี้ก็งดซ้อม อ่ะน้ำส้มกับขนมปัง”
“น้ำนางเอกนี่หว่า”
ยิ้มขำแต่ก็รับมาเจาะดูด ส่วนฟ้าลั่นดึงคัตเตอร์จากมือเชอเบทไปตัดกระดาษให้ต่อ ช่วยกันหอบงานมาหลายวันได้ช่วยตัดก็หลายหน แถมตัดเบี๊ยวตัดบูดจนเชอเบทไล่ไปไกลๆ
สุดท้ายก็เอาเศษชานอ้อยมาหัดตัดจนบาดมือ…บาดไปหลายทีมีปลาสเตอร์แปะนิ้วไปหลายนิ้วก็เริ่มตัดคล่องจนอีกฝ่ายไว้ใจให้ช่วยตัดงาน
“เดี๋ยวนี้เก่งว่ะ”
“แน่นอน คนมันมีประสบการณ์”
หัวเราะขำท่าทางมั่นใจ เมื่อก่อนเขาก็ตัดพลาดเหมือนกัน นั่นล่ะ…มันต้องอาศัยประสบการณ์กันทั้งนั้น ไอ้คัตเตอร์บ้านี่ก็โคตรคม
“แล้วกินข้าวยังฟ้า?”
“ยัง รอกินพร้อมมึง”
อีกกิจวัตรที่เพิ่มเข้ามาในชีวิตไม่รู้ตัว…กินข้าวเย็นไม่ได้ถ้าไม่ได้กินด้วยกัน รู้สึกได้กันทั้งคู่แต่ไม่คิดจะพูดอะไร ก็แค่ปล่อยให้มันเป็นไป
“งั้นไปเหอะ เมื่อยว่ะะ”
ฟ้าลั่นลุกขึ้นยืนก่อน เชอเบทยกมือขึ้น สายตาสองคู่สบกัน ฟ้าลั่นหัวเราะเบาๆจับมืออีกฝ่ายแล้วดึงให้ยืนขึ้นคู่กัน
“โอเค”
กินเสร็จก็ช่วยกันเก็บของ ใบหน้าคมยิ้มจางมองเชอเบทนับดินสอกับคัตเตอร์และยางลบที่พกมาอย่างละสามชุด เจ้าตัวบอกบางทีตัดมันส์ๆขี้เกียจเปลี่ยนใบมีดก็เอาอันใหม่เลย แต่บางทีก็หายจนต้องแปะชื่อ พวกข้างๆมันชอบยืมไปแล้วไม่คืน ขโมยกันไปขโมยกันมา
‘คัตเตอร์ที่นี่ยิ่งกว่านางเอกละครไทย แย่งชิงกันชิบหาย’
ไปซื้ออันใหม่ด้วยกันคราวก่อนก็บ่นยาวเพราะใครไม่รู้เอาไป
มีปากกาคอนกแร้งอันหนึ่งด้วยแต่เสียบที่เสื้อตลอดเพราะแพงจนไม่กล้าทำหาย
“เกียร์ กูกลับแล้วนะ”
ตะโกนบอกเกียร์เพราะปริ๊นซ์ยังฟุบหลับ เกียร์แค่โบกมือลาก่อนจะก้มลงไปจัดการงานตัวเองต่อ ฟ้าลั่นช่วยแบกของลงมาจากตึกด้วยกัน สองทุ่มครึ่ง…แต่เด็กสถาปัตย์ก็อยู่โยงเฝ้ามหาลัยกันอย่างขันแข็ง
“เมื่อยโคตร”
“เดี๋ยวกลับบ้านแล้วนวดให้”
วางของไว้บนเบาะหลังเรียบร้อยก็ขับออกมา…แวะกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางง่ายๆ ก่อนอินโนว่าจะมุ่งออกถนนที่ทอดยาวสู่ชานเมือง…บ้านของเชอเบท
สักพักแล้วที่มาอยู่ที่นี่เพราะเชอเบทต้องใช้โต๊ะเขียนแบบทำงาน สักพักแล้วที่ไม่ว่ามองไปทางไหนบ้านที่เป็นโลกส่วนตัวของเชอเบทเริ่มมีข้าวของของฟ้าลั่น
ขนาดแชมพูที่เพิ่งหมด ฟ้าลั่นยังเป็นคนซื้อมาเปลี่ยน…แชมพูจากเมืองนอกยี่ห้อเดียวกับที่บ้านตัวเองผสมกับครีมอาบน้ำกลิ่นของเชอเบท
รองเท้าหนังด็อกเตอร์มาร์ตินบนชั้นมีรองเท้าหนังสีน้ำตาลของหลุยส์วิคตอง แถมด้วยรองเท้าแตะยี่ห้อเดียวกันที่พากันไปซื้อหลังจากคู่เก่าของฟ้าลั่นเริ่มขาด เชอเบทเลยซื้อใหม่ด้วยกันซะเลย
ครีมทาผิวตอนนี้ก็ปนกันบนโต๊ะเครื่องแป้งจนไม่รู้ของใครเป็นของใคร…
ถึงบ้านเชอเบททิ้งตัวลงกลางกองฟูก เหนื่อยกับการปั่นโปรเจค ปวดคอที่ต้องก้มหน้าตัดกระดาษเป็นชั่วโมง ฟ้าลั่นวางของบนโต๊ะเขียนแบบก่อนจะทรุดนั่งลงข้างๆ
มือหนาค่อยๆบีบนวดท้ายทอยขาวเนียน…เสียงครางเบาๆของคนนอนคว่ำเป็นสัญญาณว่ากำลังสบายเลยทีเดียว แอร์เย็นๆ จังหวะการนวดพอดีๆ ทำให้หนังตาเริ่มหย่อน
แต่ฉับพลันก็สะดุ้งเพราะมือหนาฟาดลงที่สะโพก
“ตื่น ทำงาน เดี๋ยวไม่เสร็จ”
ขำคนง่วงหน้ามุ่ย…ก็อยากให้นอน แต่ถ้านอนงานก็จะไม่เสร็จเลยต้องใจร้ายปลุกให้ตื่น เชอเบทแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะเดินไปอาบน้ำให้หน้าสว่างขึ้น
ฟ้าลั่นเดินไปนั่งบนโต๊ะทำงานข้างโต๊ะเขียนแบบ หยิบหนังสือเรียนและสมุดเลคเชอร์ที่ไม่รู้ว่ามาทิ้งไว้นี่ตอนไหนเริ่มอ่านของตัวเองบ้าง
เชอเบทเดินตัวหอมใส่ชุดนอนเรียบร้อยออกมาถึงสลับเข้าไปอาบน้ำแล้วใส่ชุดนอนเรียบร้อยเหมือนกัน อันที่จริงตั้งแต่วันนั้น…. คนที่เคยมีอะไรกันทุกวันแบบฟ้าลั่นและเชอเบทยังไม่ได้แตะต้องกันไปมากกว่าการสกินชิพเล็กๆน้อยๆ
ในความใกล้ชิดที่มีความเหินห่าง…
มีระยะห่างที่เรียกว่า ระยะปลอดภัย…
คนตาเรียวในกองกระดาษลอบเงยหน้ามองคนนั่งอ่านหนังสือบนโต๊ะ…สังเกตความเปลี่ยนแปลงของฟ้าลั่น…แท็ปกับปิงบอกว่าฟ้าลั่นเป็นพวกอ่านหนังสือในความเงียบ ถ้ามีเสียงเพียงนิดเดียวก็ไม่มีสมาธิแล้ว…แต่ก็ยังมานั่งอ่านด้วยกันทั้งๆที่บางทีเขาก็ชอบหยิบมือถือมาเล่นเกมส์ หรือเปิดเพลงเพื่อฟังเพลงของศิลปินที่ออกใหม่ก็ไม่เคยทำท่าหงุดหงิด
ฟ้าลั่นละสายตาจากหนังสือมองคนที่นั่งตัดกระดาษ…เชอเบทที่ชอบตระเวนราตรี เมาแสงไฟ สูบบุหรี่ในสถานที่อโคจรแทบจะไม่ทำแบบนั้นอีกยกเว้นไปเล่นดนตรีที่ขอบโลก…ถ้าเขาอยากกลับบ้านมันก็กลับด้วย อยากกินข้าวมันก็ไปด้วย เขาไม่ไปมันก็ไม่ไป
ไม่รู้ทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกัน…แต่มันต้องมีอีกคนอยู่ข้างๆ
ถามว่าสบายใจหรือเปล่า ก็ใช่…แต่บางทีก็เหมือนท้องทะเลที่นิ่งสงบก่อนมีพายุพัดเข้ามา…
“ฟ้า ง่วง”
คนตัดกระดาษไปครึ่งหาวหวอดคลานเข้าไปนั่งพิงข้างโต๊ะคนอ่านหนังสือ หาววอดตาเริ่มปิด ฟ้าลั่นหยิบที่คั่นหนังสือคั่นหน้าที่อ่าน ยีกลุ่มผมยาวเบาๆดึงแว่นตาทรงวินเทจออกมาวางบนโต๊ะแล้วส่งมือให้
ดึงให้ลุกขึ้นมาเดินเคียงข้างกันไปที่เตียง…เหมือนทุกคนที่เชอเบทต้องนอนซุกเข้าไปในอ้อมแขนของฟ้าลั่น และฟ้าลั่นต้องกระชับกอดพลางลูบกลุ่มผมยาวจนกระทั่งหลับไปพร้อมกัน
ตอนเช้าก็เป็นภาพชินตา…ฟ้าลั่นตื่นมาอาบน้ำแล้วปลุกอีกคนให้ตื่น เดินไปทำอาหารเช้าง่ายๆ เน้นผักผลไม้หลายสีกับนมและน้ำผลไม้ให้มีทุกเช้า ทำเสร็จเชอเบทก็เดินออกมากินพอดี
ช่วยกับเก็บของแล้วไปเรียน…ด้วยอินโนว่าสีขาวที่ต้องจอดเทียบหน้าตึกสถาปัตย์ก่อนเลยไปที่คณะเศรษฐศาสตร์
“เชอ ถึงไหนละงานมึง”
ต้านั่งเหมือนวิญญาณออกจากร่างอยู่ใต้ตึก กำลังโด๊ปกาแฟแก้วแรกของวัน อันที่จริงตอนนี้ทั้งคณะเหมือนสุสานซอมบี้ไปแล้ว จะหล่อขนาดไหนพอช่วงมิดเทอมก็กลายเป็นหลอนไปหลายคน สาวๆก็หน้าซีดเป็นศพแต่งหน้ากันไม่ทัน
“ตัดเสร็จไปห้าสิบเปอร์ ยังไม่ได้ทำห่าไรเลยสัส แค่ตัดก็จะตาย มึงอ่ะ?”
“พึ่งตัดเสร็จเมื่อคืน ดูมือกูสิ”
ชูมืออวดปลาสเตอร์ที่แปะอยู่เต็ม…เชอเบทยักคิ้วชูมือตัวเองที่มีอยู่สองแผล…จบห้าปีนิ้วไม่หายก็แทบจะวิ่งแก้บนแล้ว ตัดเก่งแค่ไหนพอไฟลนตูดก็มีพลาดเหมือนกัน
“กูต้องตายแน่ๆ ตายชัวร์ๆ เชี่ยเอ้ยยย”
ต้าหลอนขึ้นสมอง…อาการ panic ที่เป็นโรคแอบแฝงของชาวสถาปัตย์ พีคสุดคือช่วงวันสุดท้าย ปั่นกันวินาทีสุดท้าย ยังไม่ตายก็ห้ามหยุด
“ไปเรียนเหอะ ค่อยไปต่อกันที่สตู”
“เห็นป้ายสตูกูก็แทบอ้วก”
เอางานไปไว้ที่สตูจับจองพื้นที่ก็พากันเดินไปเรียน ปริ๊นซ์กับเกียร์นั่งอยู่ก่อนแล้วในสภาพที่ปริ๊นซ์มีหนอนอวกาศแปะหน้าผาก ส่วนเกียร์ก็เริ่มมาดหลุดไปเหมือนกัน
ต่างยิ้มให้กันแบบเข้าใจกันดีในชะตากรรมอันโหดร้าย สี่คนนั่งเรียงกันแล้วถอนหายใจทิ้ง…อาจารย์เข้ามาถึงกับสะดุ้งเพราะเป็นวิชาที่อาจารย์สาขาอื่นมาสอน
“นักศึกษาต้องพักผ่อนกันเยอะๆนะคะ อาจารย์เป็นห่วง หาวิตามินกินกันบ้างนะเด็กๆ เอาล่ะอาจารย์จะไม่สั่งงานเยอะแล้วกัน แต่ต้องตั้งใจเรียนกันหน่อยนะคะ”
เสียงรับคำยานครางเหมือนวิญญาณจะหลุด…ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนักศึกษาก็หน้าผากแนบกับโต๊ะไปหลายชีวิต เหลือตัวท็อปแบบเกียร์ไม่
กี่คนที่ยังมุ่งมั่นกับการเรียน ส่วนเชอเบท ต้า ปริ๊นซ์ หลุดไปตั้งแต่ยังไม่แตะสิบห้านาทีแรก
“เชอ”
“หือ”
“เพื่อนกูอยู่บริหารฝากมาขอไลน์มึง”
เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทันทีที่เลิกคาบ
“ใครวะ”
“แอดไปก็รู้เองอ่ะ ให้ได้ปะ?”
“กูประวัติไม่ดีนะ?”
มั่วไปเรื่อย เมาไปทั่ว คั่วไม่เว้นนี่รู้กันไปทั่วทีปทั่วแดน ทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยไม่คบกับใครสักคน แถมได้ทุกเพศอีกต่างหาก
“เออ เพื่อนกูรับได้”
“เออ ก็ให้แอดมาดิ”
เป็นเพื่อนร่วมคณะมีไลน์กันอยู่แล้ว ดังนั้นเพื่อนผู้หญิงจึงแค่พยักหน้าแล้วก็เดินกลับไป การมีคนเข้ามาขอไลน์ขอเฟสโคตรเป็นเรื่องธรรมดาจนชิน
“พี่ฟ้าจะไม่โกรธหรอ”
ปริ๊นซ์กระพริบตาปริบๆ
“โกรธเรื่องอะไร?”
ทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน…แต่พอได้ยินก็ไม่สบายใจ ทำไมต้องมีความรู้สึกนี้ขึ้นมาด้วยวะ? ก็แค่มีคนขอไลน์ ก็แค่ให้ไปเหมือนทุกที
“อ้าว…ก็เหมือนคุยๆกัน”
“คุยไร ก็ปกติน่า เหมือนทุกทีแหละเมีย”
ยกมือขยี้หัวเพื่อน หน้าแดงๆแบบนี้ยิ่งโคตรน่าฟัดแต่ช่วงนี้ฟัดไม่ได้เพราะเพื่อนมีคนหวงแล้ว จะกอดเหมือนเดิมไอ้ปริ๊นซ์ก็ดูจะเกรงใจคนข้างตัวมันเหลือเกิน ถึงเกียร์จะไม่ค่อยแสดงออกอะไรก็เถอะ
“กูว่าไม่มั้ง”
“เออน่า ไม่มีไรหรอก ไม่มีก็คือไม่มี”
“แต่ช่วงนี้เห็นตัวติดกันนะ”
“บ้า ก็จะให้กูไปไหนล่ะ มีแต่โปรเจค…ไอ้ฟ้ามันก็ทักมาเรื่อยก็เลยเจอมันบ่อยหน่อยก็เท่านั้นเอง จบโปรเจคก็ว่างไปแรดเหมือนเดิม”
ปริ๊นซ์เหมือนจะอยากพูดอะไรต่อ แต่เป็นเชอเบทเองที่เดินหนีไปกอดคอต้าชวนกันไปกินข้าว…ไม่อยากฟังเพื่อนพูดอะไรอีก กลัว…กลัวว่าความจริงบางอย่างตัวเองจะรับไม่ได้
เลิกเรียนก็เหมือนทุกวันพากันมากองที่สตูดิโอปั่นงาน…แต่แค่หกโมงเย็นฟ้าลั่นก็ตามเข้ามานั่งช่วยตัดกระดาษแล้ว คำพูดของปริ๊นซ์เมื่อกลางวันเหมือนใบพายที่กวนตะกอนให้ขุ่น
“มึงว่างหรอ?”
“ก็ไม่มีซ้อมละคร”
“ไปเที่ยวบ้างก็ได้”
“สอบพรุ่งนี้”
“ไม่ไปอ่านหนังสืออ่ะ?”
“กูชอบอ่านดึกๆ มึงก็รู้”
“แล้ว..”
“จะไล่ก็พูดตรงๆ”
ฟ้าลั่นเลิกคิ้วพูดตรงๆ เชอเบทรีบหลุบตาลงพึมพำปฏิเสธ แต่ก็เป็นฟ้าลั่นนั่นล่ะที่วางคัตเตอร์กับกระดาษลงแล้วลุกออกไปทันที เชอเบทมองตามแผ่นหลังกว้างที่ก้าวฉับๆเดินออกจากสตู
อยากตามไป…อยากไปอธิบาย…แต่คำพูดของปริ๊นซ์กลับรั้งไว้ให้นั่งอยู่ตรงที่เดิม
ก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน จะง้อทำไมวะ?
เดี๋ยวมันก็หายโกรธแหละ
เรื่องแค่นิดเดียวเอง…
สรุปความคิดให้ตัวเองแบบนั้นแล้วก็ก้มหน้าลงตั้งใจกับการทำงานต่อ ก่อนจะตัดทุกเรื่องรอบตัวออกไปโฟกัสกับแค่กระดาษตรงหน้า…
นิ้วโดนบาดไปอีกหนึ่งแผล…
"แม่งเอ้ย..."
=======================================================
สงสารพี่ฟ้า พ่อยอดขมองอิ่มของแบม ฮรึก...ฮือออออออออออออออออ

ปล. เจอกันวันพฤหัสไม่ก็ศุกร์นะคะ สอบบบบบบ แฮ่
ปล.2 ขอขยับชื่อเรื่องให้มันฟอนต์ติดกันเนื่องจากเอาไปเสิร์ชชื่อในกูเกิ้ลแล้วไม่ขึ้น 55555