❤ Numb Guy!! บทร้าย....ผู้ชายเย็นชา ❤ 25-10-59 ❤ บทสุดท้าย ❤
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤ Numb Guy!! บทร้าย....ผู้ชายเย็นชา ❤ 25-10-59 ❤ บทสุดท้าย ❤  (อ่าน 124470 ครั้ง)

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
บทที่ 3 หนี

   ผมตื่นขึ้นมาอีกทีด้วยอาการปวดหัวรุมเร้าจนต้องยกมือขึ้นมากุมขมับ ทว่าแขนขากลับรู้สึกไม่เป็นอิสระเท่าที่ควร ถูกตึงเอา
ไว้ด้วยเชือกให้อยู่ในท่าที่น่าอาย ตาถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าสีทึบทำให้มองอะไรไม่เห็น ใบหน้าด้านข้างฟุบลงกับฟูกนอนคู้กาย
เข้าหากันทั้งที่ข้อมือถูกดึงรวบขึ้นไปแล้วมัดตรึงเอาไว้

   “ตื่นแล้วเหรอ หลับไปนานเลยนะ”น้ำเสียงทุ้มลึกกระซิบไม่ไกลจากหูเรียกให้ผมสะดุ้งเล็กๆ เหมือนกับมีนิ้วร้อนๆกรีดลงมา
บนแผ่นหลังไล่ไปตามแนวไขสันหลังจนขนลุกซู่ ทำให้รับรู้ได้ว่าร่างกายของผมมันกำลังเปลือยเปล่า

   เสียงนี้ผมจำได้ดี…เสียงของพี่คิน…เสียงที่ผมไม่ได้ยินมาเป็นปี

   “พะ พี่คิน”ผมพึมพำ แทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง

   “ไงครับ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”พี่คินกระซิบ ลิ้นร้อนชื้นตวัดลงบนติ่งหูของผมอย่างลามก

   ผมไม่เข้าใจ…ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าผมอยู่ที่ไหน แล้วเกิดอะไรขึ้น

   “พี่ ช่วยแก้มัดผมที”

   “ถ้าพี่แก้มันรัมภ์จะหนีพี่ไป”

   “หมายความว่าไงครับ…พี่…จะทำอะไรกันแน่”ผมถามออกไปในเวลานั้นด้วยความกลัวที่กำลังเริ่มจะกัดกินหัวใจ

   “ทำโทษเด็กไม่ดีครับ”

   พี่คินสอดกายลุกล้ำเข้ามาในตัวของผมครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่ร่างกายของผมถูกพันธนาการและปิดกั้นเอาไว้ให้มองไม่เห็น
ในสิ่งที่เขากระทำ

   บทลงโทษที่ผมสมควรจะได้รับ…ลงโทษให้กับความรู้สึกของคนดีดีอย่างเขาที่เสียไป

   ผมตื่นขึ้นมาอีกทีร่างกายมันเหมือนกับแก้วที่ร้าวจวนเจียนจะแตกอยู่เต็มกลืน ร่างกายพันธนาการถูกปลดออกหลงเหลือ
เพียงแต่ร่องรอยเอาไว้ที่ข้อมือและข้อพับเข่าตอกย้ำให้ผมจำจดสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าผมจะมองไม่เห็นมันก็ตาม…ผมไม่กล้า
แม้แต่จะจินตนาการเลยสักนิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวผม

   ของเหลวเหนียวหนืดที่ผมรู้ดีว่ามันคืออะไรไหลย้อนลงมาที่โคนขายามที่ผมลุกขึ้นยืนด้วยขาที่สั่นเทา

   ประตูที่ปิดกั้นเอาไว้ไม่ว่าพยายามจะบิดลูกบิดสักแค่ไหนมันก็ไม่ยอมเปิดออก เพราะมันล็อกอัตโนมัติจากด้านใน ทางเดียว
ที่จะเปิดออกจากด้านนี้ได้จะต้องมีรหัสซึ่งผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร

   ผมทิ้งกายลงบนพื้นไม้ผิวมันด้วยขาที่สั่นเทา ร่างกายถูกชำระล้างจนสะอาดสะอ้าน สวมใส่ชุดนอนให้อย่างดิบดี หากแต่สิ่ง
ที่ยังคั่งค้างอยู่ในใจมันยังทำให้ผมรู้สึกว่าร่างกายผมยังคงสกปรก

   “ปะ เปิดประตู”ผมร้องบอกเสียงแห้งผากความหิวเริ่มเข้ามาครอบงำจนท้องร้องออกมา

   กลิ่นข้าวต้มหอมฉุยที่อยู่บนโต๊ะริมหน้าต่างเรียกให้ผมหันไปมองแล้วกลืนน้ำลายลงคอ ถึงแม้ว่าจะไม่วางใจที่จะกินมัน แต่
ก็คงไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้ว ผมต้องกินมันเพื่อให้ผมมีแรงที่จะรับมือเรื่องที่ผมไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกสักเท่าไร…ผม

ไม่รู้ว่าพี่คินคิดอะไร และจะทำอะไรกับผมอีก

   “ลมอ่อนๆพัดเอากลิ่นเค็มเข้ามาผ่านบานหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ เสียงคลื่นทะเลกระทบฝั่งเอื่อยๆทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าบ้าน
หลังนี้อยู่ไม่ไกลจากชายหาด

   โชคดีที่อาหารที่กินไปไม่มีอะไรผิดปรกติ ผมถอนหายใจเดินกลับมาทิ้งตัวลงบนผืนเตียง ช่องทางด้านหลังยังคงเจ็บแสบ
สิ่งที่อยู่ข้างในยังคงคั่งค้าง เพราะผมไม่รู้ว่าจะเอามันออกมายังไง…สิ่งที่พี่เขาทิ้งเอาไว้ในร่างกายของผม

   พอทอดมองไปที่นอกหน้าต่าง แสงจันทร์เหลืองนวลส่องกระทบผืนทะเลที่ไม่เคยนิ่งสงบประจักษ์สู่สายตา ทำให้ผมคิด
อะไรออก แล้วลุกขึ้นจากเตียงอีกครั้ง ชะโงกหน้าออกจากหน้าต่างก้มลงไปมอง เป็นอย่างที่คิด พื้นเบื้องล่างเป็นฝืนทราย หาก
ตกลงไปคงไม่เจ็บมาก

   เคยเห็นแต่ในหนังที่เวลาหนีออกจากหน้าต่างจะใช้ผ้าปูที่นอนโรยตัวลงไป ได้ทำเอาจริงๆก็วันนี้

   ผ้าปูที่นอนถูกปลดออก ผมฉีกมันออกเป็นสองส่วนแล้วมัดมันเข้าหากันจนแน่นดีแล้วผูกกับขาเตียง

   ผมถอนหายใจอีกครั้ง ถึงแม้ว่าไม่มีอะไรติดตัวแม้แต่โทรศัพท์หรือว่าเงิน แต่ผมก็เลือกที่จะไป
   ผมค่อยๆหย่อนตัวลงมาผ่านบานหน้าต่างชั้นสอง แต่แล้วความมืดก็ทำให้กะระยะผิดเพราะเหลืออีกตั้งช่วงตัวกว่าจะถึงพื้น
จึงตัดสินใจกระโดดลงไปด้วยเท้าที่เปลือยเปล่า


   ผมเดินเลาะมายังด้านหลังของตัวบ้านเป็นระเบียงยื่นออกมาติดกับชายหาด ได้ยินเสียงคนคุยกันจึงย่อตัวหลบแล้วถอยอ้อมไปอีกทาง


   โชคดีที่เป็นเวลากลางคืน ผมลัดเลาะผ่านสวนของบ้าน ผ่านหลังตึกสามชั้นที่มีลักษณะเหมือนอพาร์ทเม้นท์ น่าจะเป็นที่พักของคนงาน ผมอ้อมด้านหลังตึกออกมาอีกกว่าสิบนาทีจนเจอกับถนนแคบๆสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม่ไม่มีบ้านของใคร

อยู่เลย

   มีเพียงแสงจันทร์ที่เป็นตัวช่วยทำให้เดินผ่านความมืดโดยไม่ผิดพลาดง่ายๆ ผมเดินย่ำเท้าเปลือยลงบนถนนลาดยางแคบๆ
กอดอกคู้กายเข้าหาตัวเองเมื่อรู้สึกถึงอากาศที่เย็นเฉียบ ความสว่างจากแสงของดวงจันทร์มันคงไม่พอ ความรู้สึกเจ็บแปลบที่
ปลายเท้าทำให้ผมสะดุ้ง สัมผัสได้ถึงของเหลวเย็นฉ่ำกับกลิ่นคาวของเลือดขึ้นมาจนขนลุก

   แต่ถึงยังไงผมก็ต้องเดินต่อไป หวังว่าจะมีรถผ่านมาสักคัน

   เหมือนว่าคำขอของผมจะสมหวัง รถกระบะคันเก่าขับผ่านมาเรียกให้ผมยิ้มออกมาอย่างดีใจ อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องเดินเท้าเปล่าทั้งที่เท้ายังเจ็บไปจนถึงสถานีตำรวจ
   “ทำไมมาเดินเท้าเปล่าเอาแถวนี้ล่ะหนุ่ม”คนที่นั่งข้างคนขับลดกระจกลงมาถามเป็นภาษาใต้

   “คือ ผม จะไปสถานีตำรวจ”อย่างน้อยที่นั่นก็น่าจะช่วยเหลือส่งผมกลับบ้านได้

   “ไปสิ มืดค่ำป่านนี้เดินคนเดียวอันตราย เดี๋ยวไปส่งให้”คนขับตอบแล้วยิ้มให้ผิดกับหน้าตาที่ดูหน้ากลัว

   ผมถูกจัดที่นั่งให้นั่งทางข้างหลังของคนขับ จนรถขับออกไป

   “เอ่อ แน่ใจนะครับว่าไปทางนี้”ผมถามจ้องมองสองข้างทางเพราะมันเป็นทางที่ผมเดินผ่านมา

   “อืม ทางนี้แหละหนุ่ม ถูกทางแล้ว”

   “อ่า ครับ”ผมพยักหน้า จะเถียงผู้รู้ก็ไม่ได้ ก้มมองปลายเท้าที่ชุ่มไปด้วยเลือดที่บางส่วนแห้งเกรอะกรัง

   คิดซะว่าเป็นบทสงโทษที่ผมทำกับพี่เขาเอาไว้…เหยียบย่ำความรู้สึกดีดีที่พี่เขามีต่อผมตลอดเวลาที่ผ่านมา



   รถขัยมาได้ไม่กี่นาทีผมร่างกายผมก็เกร็งตัวขึ้นมาเมื่อรถเลี้ยวเข้ามาในถนนแคบคุ้นตา ถึงแม้ว่ามันจะมืดแต่ผมก็จำได้ดีว่า
ทางนี้เป็นทางออกจากบ้านของพี่คิน

   “ไม่ใช่ที่นี่นะครับ จอดรถ จอด ไม่ใช่ที่นี่ จอดรถทีผมร้องห้ามทันทีเมื่อรถขับผ่านตึกสามชั้นที่พักของคนงานเข้ามาจอดที่

หน้าบ้านพักริมทะเล

   ผมตัวสั่นคู้กายอยู่หลังเบาะคนขับ มองดูคนงานกว่าสิบคนที่มารวมตัวแล้วเดินไปมาเหมือนกับว่ากำลังมองหาอะไร

   ผมสะดุ้งเมื่อประตูรถฝั่งคนขับถูกเปิดออกเบาะถูกปรับให้เอนไปด้านหน้า…ไม่มีที่ให้ผมหลบอีกต่อไป

   “ลงมาได้แล้ว”เสียงทุ้มดูแข็งกระด้างสั่งเรียกให้ผมรู้สึกกดดันจนแทบอยากจะอาเจียนแต่ก็ยังคงนิ่งเฉย เพราะผมไม่อยาก
ลงไป

   “บอกให้ลงมา”พี่เขาขึ้นเสียงก่อนที่ข้อมือของผมถูกฉุดกระชากให้ผมเดินตามลงมาจากรถ คนงานหลายคนต่างก็จ้องมอง
มาทาผมด้วยความสนใจ บางคนก็กระซิบกระซาบ

   “ปล่อยผม ผมอยากกลับบ้าน”ผมยื้อเอาไว้แต่พี่คินกลับไม่สนใจยังคงดึงให้ผมเดินตาม เลือดที่หยุดไหลเริ่มไหลออกมา
อีกครั้ง

   “พี่คิน…ผมเจ็บ หยุด ก่อน”ผมร้องบอกเมื่อเผลอมันเริ่มรู้สึกปวดระบมอีกทั้งเดินเท้าเปล่าเหยียบย้ำไปบนพื้นถนนตั้งไกล

   พี่คินหยุดชะงักดวงตาดุดันหันมาลดสายตาจ้องมองมาที่เท้าผม ทันทีที่เห็นเลือดแห้งเกรอะกรังดวงตาคู่นั้นดูโกรธขึ้นมา
อย่างเห็นได้ชัด ไม่ทันตั้งตัวร่างของผมก็ถูกยกขึ้นพาดบ่าผ่านสายตาของคนงานนับหลายสิบคู่

   “จะพาผมไปไหน ปล่อยผมลง”พี่คินไม่สนใจเสียงร้องขอของผม แต่กลับอุ้มผมเดินผ่านบันไดขึ้นมายังชั้นบนของตัวบ้าน

   เข้ามายังห้องที่เปิดประตูทิ้งไว้…ห้องที่ผมเพิ่งจะออกไป ผ้าปูที่นอนสีขาวถูกเปลี่ยนใหม่เรียบร้อย

   “ภูผาไปตามหมอนทีมา”พี่คินวางผมให้นั่งลงที่ริมเตียงแล้วหันไปสั่งเด็กผู้ชายที่เดินตามขึ้นมาบนบ้านยืนรออยู่หน้าประตู

   “อะ คะ ครับนายหัว”เด็กผู้ชายคนนั้นตอบรับก่อนจะเดินออกไป

   “ผม…”ผมอ้ำอึ้งเบือนหน้าหนีเมื่อมือใหญ่จับฝ่าเท้าของผมให้ยกขึ้นมาก่อนจะหยิบทิชชู่มาเช็ดคราบเลือดออก

   ไม่นานผู้ชายที่คิดว่าน่าจะเป็นหมอก็เข้ามาพร้อมกับกล่องเครื่องมือแพทย์ พี่คินจ้องมองดูผมทุกอิริยาบถยามที่หมอทำ
แผลให้ผมจนผมอึดอัด

   สายตาคู่นั้นจ้องมองมาราวกับว่าผมเป็นอะไรสักอย่างที่เขาเป็นเจ้าของ อาจจะเหมือนเจ้านายกับลูกน้องที่ทำผิด หรืออะไรสักอย่างที่ผมเองก็ยังไม่เข้าใจ

   “ฉีดยากันบาดทะยักให้แล้ว ช่วงนี้ก็อย่าเดินมาก แผลจะไม่ระบม”หมอในชุดลำลองหันไปบอกกับพี่คินก่อนจะเดินออกไป

   พี่เขาพยักหน้าเดินไปปิดประตูลงหลังจากที่หมอออกไปจากห้องแล้ว เสียงล็อกอัตโนมัติดังเบาๆทำให้ผมสะดุ้งเล็กๆ ถอย
กายออกห่างเมื่อพี่เขาเดินเข้ามาใกล้

   “กล้ามากเลยนะที่หนีไปแบบนี้”พี่คินพูดเสียงเบาแตะลงบนต้นแขนของผม

   “พี่…จับผมมาทำไม”ผมถามออกไป เบี่ยงหน้าหลบมือใหญ่ที่แตะลงมาบนผิวหน้า ทว่าพี่คินก็คว้าแขนของผมเอาไว้

   ไม่ทันได้ระวังตัว ผมถูกจับให้คว่ำหน้าลงกับที่นอน จับแขนล็อกไขว้หลังเอาไว้ให้ขยับไปไหนไม่ได้
   “พะ พี่จะทำอะไรผม”

   “รัมภ์ก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอ”กางเกงนอนขอบยางยืดถูกดึงให้ร่นลงจากทางด้านหลัง ทั้งที่พยายามดิ้นแต่ก็ไม่สามารถฝืน
แรงที่มีมากกว่าได้

   แก้มก้นถูกนิ้วแข็งแรงดันแยกออกจากกันทำให้ผมเกร็งตัวขึ้นมา สิ่งที่พี่คินทำกับผมเมื่อตอนกลางผมยังไม่หายเจ็บดีเลย

ด้วยซ้ำ

   “อย่า”

   “ทั้งที่ข้างในตัวยังมีของของพี่ติดอยู่มันไม่ดูใจกล้าไปหน่อยรึไง”

   “ฮึก”นิ้วยาวสอดเข้ามาผ่านช่องทางของผมโดยไม่ทันตั้งตัว ผมสะอื้นเกร็งตัวเมื่อนิ้วที่สอดเข้ามานั้นกำลังคว้านวน
ของเหลวที่อยู่ภายในแล้วดึงมันออกมา

   “ถ้ารัมภ์หนีพี่ไปอีก ครั้งต่อไปพี่จะล่ามรัมภ์ไว้ เข้าใจไหม”พี่คินโน้มตัวมากระซิบข้างหู

   ร่างกายของผมมันสั่นเทานิ้วที่ดึงออกมาถูกสอดเข้ามาในปากให้ผมได้ลิ้มรสสิ่งที่พี่เขาทิ้งเอาไว้ในร่างกายของผม

   “ว่าไง…รัมภ์เข้าใจไหม ตอบพี่สิ”นิ้วแข็งขืนตวัดหยอกล้อดึงลิ้นของผมให้ขยับตามจนน้ำลายของผมไหลย้อนลงมาที่มุม
ปาก ภาพเบื้องหน้าเริ่มจะพร่ามัวเพราะความกลัวกำลังผลักดันให้ผมอ่อนแอ

   ผมพยักหน้าให้กับคำถามของพี่เขา นิ้วถูกถอนออกไปพร้อมกับร่างของพี่คินลุกขึ้นจากเตียง ปล่อยผมให้เป็นอิสระ

   ผมกระถดกายขึ้นไปชิดหัวเตียงดึงกางเกงขึ้นมาให้เหมือนเดิมแล้วจ้องมองพี่เขาด้วยความกลัว

   “ไม่เอานะ อย่าทำเลย”ผมส่ายหน้าเมื่อพี่คินค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกแล้วโยนมันลงตะกร้าผ้าท่างอยู่มุมห้อง พี่
คินยกยิ้มมุมปากคล้ายกับลังขบขัน

   “ไม่สบายก็ต้องฉีดยาสิ”พี่คินหัวเราะในละคอ ดึงข้อเท้าของผมเข้าไปหาตัว กดผมให้อยู่เบื้องล่าง

   “ไม่เอา ผมไม่เอาแล้ว”ผมผลักพี่เขาออก ข้างหลังของมันมันยังรู้สึกเจ็บอยู่เลย

   แต่พี่เขาก็ไม่ฟังดึงเอาเสื้อผ้าออกจากร่างกายของผม ฝ่ามือสากลากผ่านผิวกายของผมไปทั่ว ริมฝีปากขบเม้นซอกคอไล่
ไปทั่วทั้งตัว

   “ฮึก ผมขอร้อง อย่าทำเลย”ดวงตาของผมกำลังสั่นระริก แต่ดวงตาของพี่คินกำลังดูมีความสุข

   มือทั้งสองข้างถูกจับตรึงเอาไว้ไม่ให้ขัดขืน ลิ้นร้อนลากผ่านผิวกายตวัดลงบนยอดอกแล้วดูดดึงจนมันตั้งชัน

   รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหยียดขึ้นที่มุมปากของพี่เขายามที่ผมหลุดเสียงครางประหลาดออกมา ร่างกายของผมกำลังถูกรบกวนให้
คล้อยตามทั้งที่ใจกำลังต่อต้าน ท่อนกายแข็งขืนสอดเข้า ถึงแม้จะไม่รุนแรงแต่มันก็ใหญ่มากพ่อที่จะทำให้ผมรู้สึกอึดอัด

   จูบร้อนตะโบมจูบลงมาส่งลิ้นชื้นสอดเข้ามาจาบจ้วงตักตวงเอาความหวดกลัวของผมเอาไปจนสิ้น

   ผมตัวสั่นเทา ร่างกายกระตุกทุกครั้งเมื่อพี่เขาสอดกายเข้ามาลึก แรงกระแทกทำให้ผมรู้สึกทรมานจนแทบคลั่งปลดปล่อย
ความสุขออกมาทั้งที่ใจไม่ต้องการ พี่คินดูชอบใจที่เห็นสีหน้าของผมราวกับสีหน้าของสัตว์ที่กำลังถูกล่า

   ผมหลับตาลงเพื่อหลบสายตาของผู้ล่าที่จ้องมองมา ช่องทางตอบรับกายแข็งขืนที่ล่วงล้ำเข้ามาไม่มีทีท่าจะว่าหยุด
นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาล่วงเลยเข้าวันใหม่แต่พี่เขายังคงไม่หยุด ตักตวงความสุขจากร่างกายของผมทั้งที่ผมแทบไม่เหลือ
เรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน

   ผมหอบหายใจถี่รัว เมื่อกายของเขาถอนตัวออกไป ของเหลวรอบใหม่ที่คั่งค้างไหลย้อนออกมาอีกรอบ ผมไม่มีแรงแม้แต่
จะลืมตาขึ้นมา รู้สึกตัวเหมือนมีอะไรสอดเข้ามาอีกครั้งแล้วควานเอาของที่อยู่ข้างในออกไป ผ้าชุบน้ำเช็ดไปทั่วร่างกายของผม
แต่ผมกลับไม่ได้สนใจมัน เพราะตอนนี้ผมไม่อยากจะสนใจอะไร

   ร่างกายนี้ถูกกระทำราวกับว่าผมไม่ใช่เจ้าของมันอีกต่อไป…เมื่อไรพี่เขาจะปล่อยผมไปสักที   



   กลิ่นข้าวต้มหอมกรุ่นปลุกให้ผมลืมตาขึ้นมา ผมกระพริบตาถี่ๆจ้องมองเด็กผู้ชายตัดผมสกินเฮดอายุไม่น่าจะเกินสิบแปดปีดู
จากทรงผม

   “ดะ เดี๋ยว”ผมรีบเรียกเอาไว้ด้วยเสียงแห้งผากก่อนที่เด็กคนนั้นจะออกจากห้องไป

   เขาสะดุ้งเล็กๆเมื่อผมเรียกเอาไว้ แต่ก็เดินต่อทำเหมือนกับไม่ได้ยิน

   “นี่ เดี๋ยวก่อน”ผมลุกขึ้นมาเรียกเอาไว้

   “นายหัวสั่งไม่ให้คุยกับพี่”

   “ใคร…คือนายหัว”

   “นายหัวภาคินไง สั่งให้เอาข้าวเอาน้ำมาให้เท่านั้น แต่ห้ามพูดคุยด้วย”เด็กคนนั้นตอบสีหน้าหลุกหลิกจ้องมองมายังแผลที่
เท้า

   นายหัวที่ว่านี่คงจะหมายถึงเจ้านาย หากนายหัวคือเจ้านายจริงพี่คินก็คือเจ้าของบริษัทนี้ใช่ไหม…หรือว่าผมจะคิดไปเองกัน

   บางทีพี่คินอาจจะเป็นคนวางแผนให้ผมมาฝึกงานที่นี่…เพื่อที่จะ…จับผมมา

   “อยู่ที่นี่เหรอ”ผมถาม

   “อืม”พยักหน้าตอบ

   “ขอบใจนะ”

   “อืม”พยักหน้าอีกครั้ง “เจ็บไหม”ถามพลางมองมาที่แผลที่เท้า

   “ไม่เจ็บเท่าไร”ผมส่ายหน้า ถ้าหากเทียบกับใจแล้วแผลแค่นี้เทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ “ชื่ออะไรเหรอเราน่ะ”

   “ภูผา”

   “ภูผาช่วยพาพี่ออกไปหน่อยได้ไหม”ในที่สุดผมก็ถามออกไป เพราะเด็กคนนี้เข้าออกในห้องนี้ได้แสดงว่าเด็กคนนี้จะต้องรู้
สหัส

   ภูผาขมวดคิ้วเหมือนใช้ความคิดดวงตาคมหลุกหลิกไปมาคล้ายกำลังสับสน

   “ผะ ผมเข้าใจว่าถูกขังมันเป็นยังไง…แต่ช่วยพี่หนีไม่ได้หรอก นายหัวเอาผมตาย”

   “งั้นเหรอ”มันก็จริง ถ้าหากภูผาพาผมออกไปจากที่นี่ พี่คินคงไม่ปล่อยภูผาเอาไว้แน่

   “พี่เกลียดนายหัวเหรอ”

   จู่ๆภูผาก็ถามขึ้นมา เป็นคำถามที่ผมเองก็ยังไม่มีคำตอบ ผมไม่รู้ว่าผมเกลียดพี่เขาไหม ผมรู้ว่าผมกำลังกลัว…กลัวสิ่งที่ใจ
ของพี่คินคิด

   ผมส่ายหน้าไม่ตอบ ภูผาไหวไหล่เล็กๆ

   “พี่กินข้าวเถอะ เดี๋ยวถ้านายหัวมาเจอนายหัวจะโกรธเอาได้”ภูผาทิ้งทายก่อนจะเดินออกไป



   “เย็นนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”พี่คินถามพลางเหลือบมองชามข้ามต้มเกลี้ยงชาม อันที่จริงผมกินมันไปแค่ไม่กี่คำ ที่
เหลือเอาไปเททิ้งลงชักโครก

   ผมส่ายหน้าเบือนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง…หน้าต่างที่ตอนนี้มีเหล็กดัดเป็นลวดลายติดเอาไว้กันไม่ให้ผมหนีออกไป
อีกครั้ง

   “เจ็บมากไหม”พี่คินย่อตัวลงนั่งบนพื้นเบื้องหน้าจับเท้าของผมข้างที่เป็นแผลอย่างเบามือ

   พี่เขาดูไม่สนใจคำตอบของผมเท่าไร ผมเองก็ไม่สนใจที่จะตอบเช่นกัน ปล่อยให้พี่คินล้างแผลให้จนเสร็จ

   “ถ้าทำตัวดีดี ไม่หนีพี่ไปอีก พี่จะพาไปเดินเล่นที่หาดหลังบ้าน”พี่คินพูดราวกับเอาขนมมาหลอกล่อเด็ก

   เรียกให้ผมปรายตามองเขาเล็กน้อย และเขาก็ดูจะพอใจยิ้มออกมาเมื่อผมหลงกล

   “ผมอยากกลับบ้าน”

   ผมบอกแต่พี่คินไม่สนใจทำราวกับว่าไม่ได้ยินที่ผมพูด พี่เขาลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปล้างมือในห้องน้ำแล้วเดินออกมานั่งบน
เตียงข้างๆผม

   “พี่จะปล่อยรัมภ์กลับบ้านถ้าพี่ได้สิ่งที่พี่ต้องการจากรัมภ์แล้ว”

   “พี่ต้องการอะไรจากผม”

   “พี่อยากให้รัมภ์รู้ด้วยตัวเอง”พี่คินตอบก่อนจะดึงตัวผมให้ล้มลงไปนอน พาดแขนลงกอดผมกักผมเอาไว้ในอ้อมแขน

   ผมไม่รู้ว่าพี่เขาต้องการอะไร ไม่รู้ว่าผมควรจะทำยังไง ผมควรจะตัวยังไงดีในเมื่อผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะผลักไสหรือจะนิ่งเฉย
กับอ้อมกอดนี้

   

 :katai2-1:



โอยยยย ขอโทดจ้าาาา บอกว่าจะมาต่อแต่ดันหลับ 555 ไม่ได้ตั้งใจให้ค้างเจงๆ

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
โผเข้ากอดนายหัว 555

ออฟไลน์ chaweewong19841

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-2
อยากอ่านต่อแล้ว มาต่อเร็วๆนะ

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
อูยยย  จำเลยฮัก   จะมาหลอกให้รัมภ์รักแล้วเฉดหัวทิ้งหรือเปล่าน้อ

ตอนที่รัมภ์หนีนั้นคนเขียนเล่าโดยผ่านมุมมองของรัมภ์โดยใช้*ผม*  แต่มีที่หลุดออกมาใช้เป็น*เขา*อยู่นะคะ   ถ้าเล่าโดยใช้ผมแล้วไม่ควรใช้เขาค่ะ  ทำให้กระโดดไปมาระหว่างการเดินเรื่องโดยบุคคลที่หนึ่งกับบุคคลที่สาม

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไยยยย  :z3:

ออฟไลน์ naoai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-5
คนที่ไว้ใจร้ายที่สุด

ออฟไลน์ 0%

  • 0percent.
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ต้องการความรักจากรัมภ์สินะฮือ
จริงๆก็แอบสงสารพี่คินนะ เเลดูรักรัมภ์มาก
รัมภ์คงยังไม่รู้หัวใจตัวเองรึเปล่า มาต่อไวๆน้า

ออฟไลน์ chaweewong19841

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-2
เมื่อไหร่จะมาต่ออยากอ่านต่อแล้ว

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-03-2016 16:52:39 โดย NeLy เนลี่ »

ออฟไลน์ sosi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
ในโลกนี้ยังมีหลายคนทีแพ้แปลกๆเช่น แพ้เครื่องใน แพ้ยีสต์ แบบแปลกมาก

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
โรคแพ้ถั่วนี่บอกเลยนะว่าสำหรับคนบางคนรุนแรงมากๆ   มีเด็กสาวฝรั่งคนหนึ่งแพ้พวกนี้ ปกติก็ดูแลตัวเองดีทุกอย่าง  มาวันหนึ่งไปซื้อช็อคโกแล๊ตมาทานแล้วก็เกิดอาการช็อค จนเสียชีวิตเพราะว่าในช็อคโกแล๊ตอันนั้นมีส่วนผสมที่อาจจะมี(ร่องรอย)ถั่วผสมอยู่ อันนี้แปลตรงๆจากภาษาแสกนนะ  แต่ตัวหนังสือมันเล็กมากๆ  เด็กคนนั้นปกติทานยี่ห้ออื่น  มาวันนั้นที่กินประจำหมด  อ่านส่วนผสมแล้วแต่เดาเอาว่าตัวเล็กมากๆเลยมองไม่เห็น

น่าจะคิดได้แล้วมั๊งว่าอีกฝ่ายกลัวตัวเองจนขนาดยอมกินสิ่งตัวเองแพ้

ออฟไลน์ benicezii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แอบใจดีนะเนี้ย :mew4:

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
บทที่ 4 แพ้ + ยอมทิ้ง


   ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็เหมือนมีใครกำลังเอามือลูบหน้าอยู่ ทำให้ต้องฝืนลืมตาขึ้นมา หากเป็นไปได้ผมอยากจะหลับลงไป
อีกครั้งแล้วคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน ผมจ้องมองดวงตาสีดำสนิทราวกับขนของปีกอีกาทอดมองมาที่ผมด้วย
แววตาที่ผมเองก็อ่านมันไม่ออก

   ผ่านไปสามวันแล้วกับการที่ต้องถูกพี่คินขังเอาไว้ที่นี่…ห้องสี่เหลี่ยมแคบๆในบ้านริมทะเลของพี่เขา ตลอดระยะเวลาสาม
วันที่ผ่านมา ครั้งแล้วครั้งเล่าพี่พี่คินเฝ้าหมกมุ่นอยู่กับร่างกายของผมตลอดทั้งคืน มีก็แค่ตอนกลางวันเท่านั้นที่พี่เขาจะออกไป
ทำงานและปล่อยให้ผมได้พักผ่อน

   “เดี๋ยวตอนเย็นพี่ไปทำธุระในเมืองรัมภ์จะเอาอะไรไหม”ดวงตาดุดันนัยน์ตานิ่งเฉยจ้องมองมาที่ผมที่ยังคงนิ่งงันไม่ขยับ
ตัว…ไม่แม้แต่จะเบือนหน้าหนีมือที่สัมผัสอยู่บนใบหน้า

   เพราะรู้ว่าหนียังไงก็คงไม่พ้น…นี่คือบทลงโทษของผม

   ผมส่ายหน้าถอนหายใจปล่อยให้พี่เขาไล่มือลงไปจากพวงแก้มแตะลงที่ต้นคอแผ่วเบาและผ่านลงไปที่แผ่นอกราวว่ากับ
กำลังชื่นชมสิ่งของ

   “ไว้พี่จะซื้อขนมมาฝาก พี่รู้ว่ารัมภ์ชอบกินขนม”พี่คินยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบส่งสายตามาสำรวจผิวกายที่โผล่พ้นจาก
ผ้านวมผืนหนา

   สามเดือนที่เราเคยคบกันมันมากพอที่จะทำให้ผมและพี่คินรู้จักอุปนิสัยใจคอและความชอบซึ่งกันและกัน…แต่นั่นมันก็แค่
ผิวเผิน

   เมื่อผมไม่ตอบพี่คินก็เลิกสนใจละออกจากร่างกายของผมแล้วลุกออกไปในที่สุด เสียงปิดประตูพร้อมเสียงล็อกอัตโนมัติดัง
ปิ๊บเรียกให้ผมได้คำนึกและสำนึกอยู่ทุกช่วงเวลาว่าผมเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยงของพี่เขาที่กำลังถูกขังอยู่ในกรง

   ผมค่อยๆลุกออกจากที่นอนด้วยร่างกายที่อ่อนแรง ข้าวที่ภูผายกมาให้ในทุกมื้อมันไม่ได้ชวนให้อยากจะกินแต่ผมต้องกิน
มันเพียงเพื่อประทังชีวิต แล้วเทมันทิ้งลงชักโครกเหมือนทุกครั้ง…ผมอยากกลับบ้าน ผมคิดถึงแม่ ครั้งสุดท้ายที่คุยกับแม่ก็ตอนที่
ผมโทรไปบอกแม่ว่าผมมาถึงแล้ว

   ผมจ้องมองตัวเองผ่านกระจกเงาในห้องน้ำ รอยช้ำรอยจูบมากมายประปรายอยู่บนร่างกายตอกย้ำว่านี่ไม่ใช่ความฝัน นี่คือ

ความเป็นจริงที่ผมควรจะยอมรับ

   ตลอดทั้งวันเวลาที่ผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไร ผมเอาแต่คิดวนไปมาว่ามันสมควรแล้วใช่ไหมกับสิ่งที่ผมได้กระทำเอาไว้
ความเงียบงันและความเหงากำลังกัดกินหัวใจให้ผมจมดิ่งสู่ความมืดมิดที่แสงสว่างจากทางเข้าค่อยๆเลือนหายไปในขณะที่มอง
ไม่เห็นทางออกเลยแม้แต่นิดเดียว

   ตกเย็นบรรยากาศด้านนอกเริ่มเงียบสงัดจนได้ยินเสียงคลื่นไกลๆ ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิทเห็นเพียงแสงดาวระยิบระยับบน
ท้องฟ้าผ่านบานหน้าต่างสี่เหลี่ยมเล็กที่พอจะเชื่อมผมเอาไว้จากโลกภายนอกได้บ้าง


   เสียงปลดล็อกดังปิ๊บเรียกให้ผมหันไปมองคิดว่าเป็นภูผาที่ยกอาหารมื้อเย็นมาให้เหมือนทุกที แต่เปล่าเลย เจ้าของใบหน้า
คมคายที่ดูต่างจากตอนที่เจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อปีกว่าเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารส่งกลิ่นหอม ในนั้นมีจานผัดไทยมีควันลอย
กรุ่นขึ้นมาเรียกให้น้ำลายไหลอยู่สองจาน

   “พี่เห็นผัดไทยข้างทางน่ากินเลยซื้อมา คิดว่ารัมภ์น่าจะชอบ”พี่คินวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะข้างหน้าต่างจ้องมองมาทางผม
แล้วยิ้มให้เล็กๆ

   ผมมองมันนิ่งแล้วเบือนหน้าหนีออกไปมองม่านท้องฟ้าประดับแสงดาวราวกับผืนผ้าปักดิ้นทองเลอค่าโดยไม่สนใจคำพูด
ของพี่คิน

   “ลุกมากินผัดไทยสิรัมภ์”พี่คินเรียก

   “  ”

   “รัม…พี่บอกให้ลุกมากินผัดไทย”พี่คินเริ่มเน้นเสียงเมื่อผมทำเหมือนไม่ได้ยิน

   “  ”

   “รัมภ์ ถ้าไม่กินก็ขึ้นไปถอดเสื้อผ้านอนรอพี่บนเตียง”พี่คินพูดด้วยน้ำเสียงแข็งลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ มันทำให้ผมสะดุ้งเล็กๆหัน
ไปปรายตามองทางเขาด้วยความกลัวและไม่พอใจ

   “ถ้าผมกินพี่จะไม่ทำใช่ไหม”ผมถามลุกขึ้นจากเตียงเดินไปนั่งลงบนเก้าฝั่งตรงข้าม

   “ก็อาจจะ…ถ้ารัมภ์ทำตัวดี”

   เขาไหวไหล่ยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจเมื่อผมยอมทำตามที่เขาสั่ง ผมตักผัดไทยในจานเข้าปาก หัวใจที่อยู่ในอกเต้นแรง
เพราะไม่รู้ว่าหลังจากนี้มันจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวผม ผมฝืนกินมันจนหมดเพราะพี่เขาออกคำสั่ง ในขณะที่ดวงตาคู่นั้นจ้องมองผม
แทบทุกอิริยาบถ

   

   หลังจากที่เรากินผัดไทยกันเสร็จสักพักพี่คินดึงให้ผมกลับมานั่งที่ปลายเตียงข้างๆพี่เขา วงแขนใหญ่โอบรัดเอวผมให้
เข้าไปชิด มือใหญ่สอดเข้าในในกางเกงนอนทำให้ผมสะดุ้งผละตัวออกมา แต่ก็ไม่พ้นเงื้อมือของเขาที่จับให้ผมกลับไปนั่งอยู่ที่
เดิม

   “ไหนพี่บอกว่าจะไม่ทำ”

   “พี่บอกว่าอาจจะ”พี่คินย้ำ

   หัวใจของผมเริ่มเต้นแรงจนรู้สึกหายใจแทบจะไม่ทัน ปล่อยให้พี่คินสอดมือเข้ามาในกางเกงเพราะไม่สามารถห้ามเขาได้
รู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วปวดจนต้องเผยอปากออกมาสูดลมหายใจเข้าไปช่วย ข้างในท้องมันกำลังปั่นป่วน หัวสมองหนักอึ้งจน
รู้สึกทั้งปวดหัวและเวียนหัวไปในเวลาเดียวกัน

   พี่คินจ้องมองผมเมื่อหน้าผากเริ่มมีเหงื่อผุดซึมออกมา ผมผลักพี่เขาออกเบาเบาแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำ ผัดไทยที่กิน
เข้าไปเมื่อครึ่งชั่วโมงผมอาเจียนมันออกไปจนหมด อาเจียนจนแทบไม่เหลืออะไรให้ออกมา เว้นก็แต่เมือกเลือดสีแดงสดที่ปะปน
มากับน้ำลาย

   “รัมภ์เป็นอะไร ทำไมถึงได้อ๊วกออกมาแบบนี้”พี่คินเข้ามาลูบหลังให้ แต่ผมยังคงโก่งคอขย้อนสิ่งที่อยู่ข้างในให้ออกมา
เพราะอาการคลื่นไส้ยังคงไม่หาย ถึงแม้ว่าจะมีมีอะไรให้ออกมาแล้วก็ตาม

   “รัมภ์ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ไม่สบายตรงไหน ทำไมไม่บอกพี่”

   นานนับสิบนาทีจนไม่มีอะไรจะออกมาจริงๆแล้ว ผมถูกดึงให้ลุกขึ้นมาจากพื้นห้องน้ำ ถูกประคองด้วยมือของพี่คินจนมาถึง
เตียง ผมทิ้งตัวด้วยความอ่อนเพลียและหมดแรงไปกับการอาเจียนและอาการเวียนหัวและปวดหัวในเวลาเดียวกัน

   ครึ่งชั่วโมงต่อมา หมอนทีที่เป็นหมอประจำที่นี่ตามคำบอกเล่าของภูผาก็มาถึง ผมถูกฉีดยาไปหนึ่งเข็มโดยที่พี่คินยังคงเฝ้า
อยู่ไม่ห่างด้วยท่าทีกังวล

   ทำไมเขาต้องกังวลในเมื่อเขาน่าจะดีใจที่ผมเป็นแบบนี้

   “รัมภ์เป็นอะไร”พี่คินถามทันทีที่เห็นว่าหมอนทีกำลังเก็บกระเป๋า สองครั้งแล้วที่หมอนทีต้องมาที่นี่สองครั้งภายในเวลาไม่
ถึงอาทิตย์เพื่อมารักษาผม

   “ฉันฉีดยาแก้แพ้ให้แล้ว ว่าแต่แกให้รัมภ์กินผัดไทยเข้าไปได้ไง”

   “ทำไมจะไม่ได้”

   “แล้วแกไม่รู้รึไงว่ารัมภ์แพ้สารจำพวกเลซิติน”

   “ฉันไม่เข้าใจ”

   “เป็นอาการของคนแพ้ถั่ว แต่ไม่ต้องห่วง ยังอยู่ในระยะไม่ร้ายแรงมาก”หมอนทีตอบ

   “ตั้งแต่เมื่อไร”พี่คินหันมามองทางผมแล้วตั้งคำถามอย่างไม่พอใจ “ทำไมพี่ถึงไม่รู้”

   “ใจเย็น ยังไงก็คุยกันดีดี ฉันกลับก่อนแล้วกันเดี๋ยวจะดึก”

   จนหมอนทีออกจากห้องไป พี่คินยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด ดวงตาดุดันจ้องมองผมไม่วางตาจนผมรู้สึกอึดอัดทั้งที่อาการน่า
จะเริ่มดีขึ้น

   “พี่ถามว่าตั้งแต่เมื่อไร แล้วทำไมไม่บอกพี่”เมื่อไม่ได้คำตอบเสียงของพี่คินเริ่มแข็งกร้าวขึ้นทำให้ผมรู้สึกกลัวว่าเขาอาจจะ
ทำร้ายผมขึ้นมาด้วยความไม่พอใจที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน

   “พี่จะถามอีกแค่ครั้งเดียว ว่าตั้งแต่เมื่อไร ทำไมไม่บอกพี่ก่อนกิน!!พี่จะได้หาอย่างอื่นให้กินแทน”คราวนี้พี่เขาปรี่เข้ามาหา
ผมดึงกระชากเอาผ้าห่มที่คลุมกายผมออก ถึงแม้ว่าพี่เขาจะยังไม่ได้ลงไม้ลงมือ แต่ท่าทางที่พร้อมจะกระโจนเข้ามาใส่ผมทุกเมื่อ
มันทำให้กระบอกตาของผมเริ่มร้อนผ่าว

   “สะ สองปี พึ่งเป็นได้สองปี”ผมตอบเสียงแหบแห้ง

   “แล้วทำไมถึงไม่บอกก่อนที่จะกิน”พี่คินถามย้ำ

   ผมไม่รู้จะตอบคำถามนี้ได้อย่างไรในเมื่อเขาเป็นคนขู่ผมให้ต้องกิน…เพราะผมไม่อยากให้เขาแตะต้องตัวผม ถ้าผมตอบไป
พี่เขาจะรู้สึกยังไง จะโมโหไม่พอใจผมรึเปล่า

   สุดท้ายผมก็เลือกที่จะไม่ตอบ พี่คินโกรธจนหายใจเข้าออกแรงจนเห็นได้ชัด ดวงตาดุดันจ้องมองผมราวกับว่าพร้อมจะเข้า
มาฉีกทึ้งผมได้ทุกเมื่อ

   “ช่างเถอะ คราวหลังมีอะไรก็บอก จะได้ไม่ต้องวุ่นวายกันขนาดนี้”

   พี่เขากระแทกตัวลงนั่งริมขอบเตียงข้างๆผม หันหลังให้ผมด้วยความหงุดหงิด ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่เห็นหน้าของพี่เขา แต่
ผมก็รู้ว่าพี่เขากำลังพยายามระงับอารมณ์

   พี่คินกำลังโกรธ แล้วผมจะขอสิ่งที่ผมคิดจะขอเขาได้ไหม…ผมอยากโทรหาแม่ อยากได้ยินเสียงแม่ ไม่อยากให้แม่เป็น
ห่วง



   นานนับหลายสิบนาทีที่เราต่างคนก็ต่างนิ่งเงียบได้ยินเพียงเสียงคลื่นลมด้านนอกกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่คั่นกลาง
ระหว่างเรา

   “แล้วรัมภ์แพ้อะไรอีกไหม พี่จะได้รู้ ได้ไม่ต้องวุ่นวายกันอีก”ดูเหมือนว่าสาเหตุที่พี่คินโกรธ จะเป็นเพราะผมทำให้พี่เขา
วุ่นวาย

   หันกลับมามองผมอีกครั้งคราวนี้สีหน้าเรียบนิ่งดวงตาคมดุคู่นั้นค่อยๆกลับมานิ่งสงบดังเดิมรวมทั้งน้ำเสียงที่ไม่เจือถึง
อารมณ์ใดใด

   ผมส่ายหน้าเบาเบา เบือนสายตาหนีไปทางอื่น ผมไม่รู้ว่าผมควรจะขอพี่เขาในเวลานี้ดีไหมในเมื่ออารมณ์ของพี่เขายังไม่
นิ่งสงบแบบนี้

   “แน่ใจนะว่าไม่มี”

   “แค่ถั่ว ทุกอย่าง น้ำมันพืช ซอส ขนม ที่มีถั่ว”ผมตอบคำถามตามที่พี่เขาอยากให้ผมตอบเพราะอยากให้เขาวางใจและ
อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

   พี่เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเกือบที่จะสังเกตไม่เห็น แล้วลุกขึ้นจากเตียง

   “นอนเถอะ พรุ่งนี้ได้ตื่นแต่เช้า”

   แต่ผมเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อของพี่เขาไว้ เรียกให้เขาหันมามองด้วยความแปลกใจ



   “ผม…ขอโทรหาแม่ได้ไหม”ผมช้อนตาขึ้นมอง ไม่ได้ต้องการอ้อนวอน แต่เพื่อที่จะมองปฏิกิริยาว่าพี่เขาจะทำอย่างไร จะ
ยอมให้ผมติดต่อแม่ได้ไหม หรือว่าจะกักขังผมจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง

   หัวใจของผมเริ่มเต้นไม่ตรงจังหวะกลัวคำตอบที่จะได้รับ กลัวจะต้องเป็นสัตว์เลี้ยงของพี่เขาไปโดยสมบูรณ์

   “พี่บอกให้รัมภ์นอนรัมภ์ก็ต้องนอน ไม่สบายอยู่ไม่ใช่รึไง”

   “แต่…”ผมพูดคำว่าแต่เอาไว้เพียงแค่นั้น ไม่สามารถพูดอย่างอื่นต่อไปได้ เพราะมันอาจจะดูเหมือนเป็นการร้องขอหรือ
อ้อนวอน…ผมไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น

   ผมหลุบตาลงจ้องมองผืนผ้าห่มสีขาวสะอาดปล่อยมือออกจากชายเสื้อของพี่เขา



   “ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยโทร วันนี้นอนพักไปก่อน”พี่คินตอบแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

   เสียงน้ำตกกระทบพื้นดังแว่วมาจากห้องน้ำ ทั้งที่คำตอบที่ได้รับมามันควรจะทำให้ผมรู้สึกมีความหวัง แต่กลับไม่เลยสักนิด
คิดว่าพี่คินคงแค่บอกปัดเพื่อตัดความรำคาญ ไม่ให้ผมเรียกร้องอะไรอีก…ก็แค่รับปากไปอย่างนั้น เพราะพี่เขาใจร้ายกับผมมา
ตลอดตั้งแต่ผมทิ้งเขา

   ผมพลิกตัวหันหลังให้กับประตูห้องน้ำ หันหน้าไปทางหน้าต่าง อย่างน้อยผมก็ยังมองเห็นดาวบนท้องฟ้า…ดาวที่มันส่อง
แสงได้อย่างอิสระ

   นานนับสิบนาทีจนเลอหลับไป เสียงน้ำในห้องน้ำหยุดลงพร้อมกับเสียงเปิดประตูออกมาไม่นานเตียงอีกฟากก็ยวบตัวลง
กายสูงใหญ่สอดเข้ามาใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ดึงรั้งร่างกายของผมเข้าไปกกกอดเหมือนทุกที ราวกับต้องการจะตอกย้ำว่าผมไม่สา
รถหลุดรอดออกไปจากอ้อมแขนแข็งแรงนี้ได้



   ผมตื่นมาอีกทีก็รู้สึกว่ามือเย็นๆแตะลงมาที่แขนเบาๆหลายที ผมเงยหน้าสบตากับดวงตาดุดันสีดำสนิท ทุกครั้งพี่คินมักจะ
ตื่นก่อนผมเสมอ เหมือนกับครั้งนี้

   พี่เขาอยู่ในชุดสุภาพเป็นทางการเสื้อเชิ้ตสีเข้มพอดีตัวส่งให้ดูสุขุมและเกรงขามกว่าทุกครั้ง ผมยันตัวขึ้นลุกนั่ง จ้องมอง
หน้าของเขาเพราะมันดูเหมือนกับว่ามีอะไรซ่อนอยู่

   “จะโทรหาแม่ไม่ใช่เหรอ”พี่คินนั่งลงบนเตียงส่งยิ้มเล็กๆมาให้ แต่ยิ้มนั้นมันทำให้ผมรู้สึกแปลกจนต้องเบือนหน้าหนีแล้ว
พยักหน้าตอบรับแทน

   “รู้ใช่ไหมว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด”

   “อืม”ผมพยักหน้าตอบรับ

   “ถ้ารัมภ์พูดในสิ่งที่พี่คิดว่ารัมภ์ไม่น่าพูด พี่จะไม่ให้รัมภ์ใช้โทรศัพท์อีกตกลงไหม”

   เหมือนกับเป็นข้อต่อรองแต่มันคือกฎกติกาที่ผมควรทำอย่างเคร่งครัดไม่มีทางเลี่ยงมันได้เมื่อผมต้องการมัน

   ร่างของผมถูกอุ้มให้ลุกขึ้นมาแล้วนั่งซ้อนอยู่บนตัก ซึ่งมันทำให้ผมผลักมือลงบนอกพี่เขาแล้วผละตัวออกมาโดยอัตโนมัติ

   “ผม ไม่ชอบ”ผมตอบไปตามตรง ผมไม่อยากให้พี่เขาจับผมนั่งตักเพราะมันดูเหมือนว่าผมเป็นผู้หญิงของเขาและดูเหมือน
ไร้ศักดิ์ศรี ผมไม่ได้ตัวเล็กน่ารักเหมือนเด็กไม่ได้บอบบางเหมือนผู้หญิง ผมไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น


   “อย่าขัดใจพี่ พี่บอกหลารออบแล้วใช่ไหม”พี่คินพูดเสียงแข็งขึ้นมา ใบหน้าเริ่มแสดงออกถึงความไม่พอใจเล็กน้อย

   ผมเชิดหน้าขึ้นเล็กๆยังคงขืนตัวเอาไว้ทั้งที่มือใหญ่กำลังจับที่ต้นแขนเริ่มออกแรงบีบจนรู้สึกเจ็บ

   “ถ้ารัมภ์ยังดื้ออยู่อย่างนี้ก็ไม่ต้องโทร พี่เสียเวลามามากพอแล้ว พี่ต้องไปทำงาน”พี่คินลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ

   มันทำให้ผมเม้มปากแล้วยอมทิ้งสิ่งที่ถือเอาไว้ให้ร่วงลงไปอย่างไม่ใยดี ผมยื้อแขนพี่เขาเอาไว้ มือสั่นเทาเพราะกลัวว่าพี่
เขาจะไม่ให้ผมได้คุยกับแม่

   พี่คินนั่งลงแล้วดึงผมขึ้นไปนั่งบนตักยื่นโทรศัพท์เครื่องแพงมาให้ อ้อมแขนที่เป็นราวกับโซตรวนกอดรัดเอาไว้ที่รอบเอวผม
แน่น บังคับให้ผมเปิดลำโพงเพื่อที่จะได้ยินการสนทนาทั้งหมดในขณะที่จมูกโด่งก้มลงมาคลอเคลียที่พวงแก้มของผม

   เสียงรอสายดังอยู่นานกว่าแม่จะยอมรับโทรศัพท์ ผมเกร็งตัวขึ้นมาเมื่ออ้อมแขนที่โอบรัดกระชับแน่นขึ้น

   “มะ แม่”

   ‘อ้าวนี่รัมภ์เอาเบอร์ใครโทรมาล่ะลูก’

   “เบอร์คนรู้จักน่ะ พอดีว่าโทรศัพท์รัมภ์เสีย”ทันทีที่ได้ยินเสียงแม่ความเข้มแข็งของผมราวกับพังทลายลงมา ผมสะอื้นเล็กๆ
พยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น โกหกออกไป…เพราะไม่อย่างแสดงความอ่อนแอให้พี่เขาได้เห็น

   ‘ไม่เห็นโทรมาหาแม่หลายวัน แม่ก็เป็นห่วง ไม่กล้าโทรไปกลัวจะงานยุ่ง ที่แท้โทรศัพท์พังนี่เอง แล้วที่นั่นเป็นยังไงบ้าง
สบายดีไหม’

   “สบายดีแม่ ช่วงนี้รัมภ์ยุ่งๆ ยังเก็บของไม่เสร็จแล้วก็กำลังเรียนงาน แม่ไม่ต้องห่วงรัมภ์นะ รัมภ์สบายดี”

   ‘ถ้าสบายดีก็ดีแล้ว’

   “แม่อยู่ที่ไหน ทำไมรัมภ์ได้ยินเสียงดัง”ผมถามเมื่อได้ยินเสียงคนจอแจ แล้วมีเสียงเรียกชื่อเหมือนกับกำลังรอคิวหรือทำ
อะไรสักอย่าง

   ‘แม่อยู่ข้างนอกน่ะ’แม่ตอบเสียงเบาต่างจากปกติ สักพักก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อแม่ให้เข้าห้องตรวจแว่วมาตามสาย ผมรู้ได้
ทันทีเลยว่าแม่อยู่ที่ไหน

   “แม่เป็นอะไร ทำไมต้องไปโรงพยาบาล”ผมถามเสียงเครือน้ำตาที่กักเอาไว้จวนเจียนจะไหลลงมาเต็มทน

   ‘แค่นี้ก่อนนะรัมภ์ แม่ไม่เป็นไรหรอก แค่รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย’

   สุดท้ายแม่ก็ตัดสายไปทั้งที่ผมมีอะไรจะถามอีกมากมาย ผมบังคับตัวเองไม่ได้ที่จะไม่ให้ร่างกายมันสั่นเทา

   ผมเป็นห่วงแม่…อยากกลับบ้านไปหาแม่ ฟังจากน้ำเสียงผมรู้ดีว่าแม่โกหกเพื่อไม่ให้ผมเป็นห่วง

   พี่คินเก็บโทรศัพท์ไปแล้ว ปล่อยผมออกจากอ้อมแขนแล้วลุกขึ้นจากเตียง

   “พี่จะขึ้นไปทำธุระที่กรุงเทพฯสองวัน อาจจะกลับเย็นวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็เช้าวันถัดไป พี่หวังว่ารัมภ์จะทำตัวดีๆ”พี่คินหันมาสั่ง
ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ โน้มตัวลงมา ยื่นฝ่ามือใหญ่ช้อนกรอบหน้าผมให้รับจูบร้อนๆที่ส่งมาพักใหญ่ก่อนจะผละออก

   ในขณะที่พี่คินหันหลังเตรียมจะเดินออกไป ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องหน้ายินดีที่จะไม่เจอหน้าพี่เขาอีกสองวัน ผมน่าจะมีความ
สุขแต่ใจมันกลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น ผมดึงแขนพี่เขาไว้อีกครั้งและเลือกที่จะทำในสิ่งที่ไม่อยากจะทำ…นั่นคือการร้องขอ

   “ผม…อยากกลับบ้าน ผมเป็นห่วงแม่”พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นไปกว่านี้

   “รัมภ์จะไม่ได้ไปไหนทั้งนั้นถ้าพี่ยังไม่ได้ในสิ่งที่พี่ต้องการ”พี่คินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่ใยดี มันทำให้ผมสะอึก

   “พี่จะขังผมแบบนี้ตลอดไม่ได้ แม่ผมไม่สบาย พี่ก็ได้ยิน ผมต้องกลับไปหาแม่”

   “เรื่องแม่รัมภ์ไม่ต้องห่วงพี่จะจัดการเอง ถ้ารัมภ์ต้องการอะไรอยากได้อะไรพี่จะจัดการให้ แต่อย่างเดียวที่พี่ให้รัมภ์ไม่ได้คือ
การปล่อยรัมภ์กลับไป”

   “ทะ ทำไมล่ะ แล้วเมื่อไรที่พี่จะพอใจ เมื่อไรที่พี่จะได้สิ่งที่พี่ต้องการ”ผมเริ่มจะคิดแล้วว่าสิ่งที่พี่คินต้องการไม่มีตัวตนอยู่
จริง ผมไม่รู้ว่าพี่เขาต้องการอะไร อยากได้อะไรจากผมกันแน่ เพราะเวลานี้หัวสมองของผมมันคิดอะไรไม่ออกเลย



   “เรื่องนั้นรัมภ์ต้องเป็นคนตอบเองตัวเอง ไม่ใช่พี่”



   หลังจากที่พี่คินปิดประตูลงเสียงดังด้วยความไม่พอใจ สิ่งที่ผมพยายามสะกดกั้นเอาไว้ก็พังทลายลงมาในเสี้ยววินาที น้ำตา
ที่แสดงให้เห็นถึงความไร้ค่า ไม่สารถแม้จะทำในสิ่งที่ต้องการจะทำได้…ไม่แม้แต่จะมีอิสระ

   เสียงปลดล็อกประตูดังขึ้นทำให้ผมรีบเช็ดสิ่งที่อาบเปื้อนอยู่บนใบหน้าเพราะไม่ต้องการให้ใครมาเห็นใจหรือสงสารใดใด
ทั้งสิ้น

   ภูผาเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารส่งกลิ่นหอม แต่ผมกลับไม่รู้สึกอยากมันเหมือนกับทุกที ภูผาชะงักเหมือนเห็นคราบ
น้ำตาเปื้อนอยู่บนใบหน้าของผม ดวงตากลมหลุบลงมองพื้นแล้ววางถาดอาหารลงบนโต๊ะ

   “พี่ ทะเลาะกับนายหัวเหรอ”ภูผาถามเสียงเบา

   ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ภูผาหลับหยิบกล่องกระดาษทิชชู่บนโต๊ะยื่นมาให้

   “ตอนออกไป นายหัวดูไม่ค่อยพอใจ ปกตินายหัวจะไม่โกรธใครง่ายๆ”

   “อืม”

   “ผมจะไม่ถามหรอกว่าทำไมนายหัวถึงทำอย่างนี้กับพี่ แต่ผมไม่อยากเห็นพี่เป็นแบบนี้เลย ผมไม่อยากให้พี่ร้องไห้ เพราะ
น้ำตามันจะยิ่งทำให้คนเราอ่อนแอ ถึงให้ผมเพิ่งจะรู้จักพี่แค่ไม่กี่วัน แต่ผมก็รู้ดีว่าพี่รู้สึกยังไง”ภูผาส่งยิ้มมาให้คล้ายกับต้องการ
เป็นกำลังใจ

   ภูผาพูดถูกน้ำตามันไม่ได้ช่วยอะไร มีแต่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอและด้อยค่า ผมเงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าเกลี้ยงเกลา
เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งตามแบบของคนใต้

   “งั้นภูผาช่วยพี่ออกไปจากที่นี่ได้ไหม พี่ขอร้อง พี่ต้องกลับไปหาแม่พี่ แม่พี่อยู่คนเดียว”ผมดึงแขนเล็กเอาไว้

   “ไม่ได้หรอกพี่ นายหัวมีบุญคุณกับผมมาก ผม…ทำไม่ได้หรอก”ภูผาหลบตาหันไปมองทางอื่น

   มันก็จริง ถ้าหากภูผาช่วยผมให้ออกไป คนที่อยู่ที่นี่อย่างภูผาคงจะต้องเป็นคนแบกรับความผิดทั้งหมดไว้คนเดียว

   “ผมไปก่อนนะพี่ เดี๋ยวในบ้านจะสังเกตว่าผมขึ้นมานาน”ภูผาดึงแขนออกจากมือผมแล้วหันหลังจากไป

   ทิ้งให้ผมจมลงสู่ความเงียบอีกครั้ง สุดท้ายก็ต้องอยู่คนเดียว ไม่เหลือใครอยู่เคียงข้าง ผมเลือกที่จะทิ้งให้อาหารที่ส่งกลิ่น
หอมคลุ้งนอนแน่นิ่งอยู่ในจานตามเดิมโดยไม่แตะมัน

   จนมื้อเที่ยง ภูผากลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมถาดอาหารถาดใหม่

   “พี่ไม่กินเลยเหรอ”

   “พี่ไม่หิว”ผมตอบส่ายหน้าเบาเบานอนหันหน้าเข้าหาหน้าต่างทอดมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่นานครั้งจะมีนกบินผ่านมาให้เห็น
สักตัว…อย่างน้อยสัตว์ตัวเล็กๆพวกนั้นมันก็มีอิสระมากกว่าผม

   อีกมื้อที่ผมปล่อยให้มันแน่นิ่งอยู่ในจานจนมันเย็นชืด ภูผากลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อท้องฟ้าด้านนอกเปลี่ยนเป็นสีดำครึ้มวาง
ถาดอาหารลงบนโต๊ะ

   “นายหัวบอกว่า ถ้าพี่ไม่ยอมกินข้าวอีก เขาจะไม่ให้ใช้โทรศัพท์”ภูผาอ้ำอึ้ง เก็บถาดอาหารมื้อกลางวันออกไป

   มันทำให้ผมรู้ว่าภูผาต้องคอยรายงานเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของผมตลอดเวลา แต่ผมเลือกที่จะขัดคำสั่งของพี่เขา ทิ้งให้
อาหารเย็นชืดทั้งที่ร่างกายมันต้องการแต่จิตใจกลับไม่รู้สึกอยากมันเลยสักนิดเดียว



-----------------------------------------------------------------------------------------------

โรคแพ้ถั่วนี่ไม่ตลกนะ อาจจะเฮ้ยจะบ้าเหรอมันต้องเป็นตั้งแต่เกิด ไม่ได้เป็นตั้งแต่เกิดก็มี ตัวคนเขียนเนี่ยแหละ กินนมถั่วเหลือง
ทุกวัน ผัดไทยเป็นอาหารโปรด กินนมถั่วเหลืองหลังมื้อกลางวันทุกวัน แล้วก็แบบเอ๊ะ ทำไมฉันอาเจียนหลังกินข้าวทุกวัน แถมมี
เลือดปนมาด้วย แล้วบางทีกินขนม หรือกินอะไรก็อาเจียน คิดว่าเฮ้ยท้องรึเปล่า แต่ก็ไม่นะ ชั้นยังอยู่ในระยะหาพ่อพันธุ์ ก็เลย
สังเกตตัวเองว่ากินอะไร แล้วคอยอ่านฉลากว่ามีอะไรเป็นส่วนประกอบ สุดท้ายก็รู้แน่แท้ว่าแพ้ถั่ว ไปหาหมอเลยได้ยาแก้แพ้มา
โชคดีไม่เป็นถึงระยะที่กินแล้วเป็นผื่นขึ้นตามตัวหน้าบวม เป็นแค่อาเจียนเวียนหัวหมดแรง ประมาณนั้น ไขข้อสงสัยนะจ๊ะ






ออฟไลน์ 0%

  • 0percent.
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มีความหน่วงอ่า มาต่ออีกกกก

ออฟไลน์ SiHong

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 484
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2
ทำไมไม่คุยกันดีๆ เปิดอกคุยกันไปเลย :katai1:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
มาตามอ่านมาให้กำลังใจจ้า

ออฟไลน์ saotome

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
สนุกมากๆ รอตอนต่อไปเน้อ

ออฟไลน์ jajomjun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบบบๆๆๆๆๆ :ling1:
+1  เป็ด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Serioz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
คินต้องการความรักหรือความสำนึกที่รัมทำไปเปล่างะ

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-03-2016 17:12:11 โดย NeLy เนลี่ »

ออฟไลน์ chaweewong19841

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-2
อยากอ่านต่อแล้ว

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เมื่อไหร่นะ ที่ทั้งคู่จะเข้าใจกัน   :ling1: อยากให้พี่คิน กับรัมภ์ ดีกัน ไวๆ
รออออ ตอนใหม่   :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
เราเห็นรัมนะแต่บางทีก็แบบนางทำตัวเอง

ออฟไลน์ Oเด็กหญิงเย็นชาO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +100/-3
บทที่ 5 หนีอีกครั้ง

   ภูผาเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมกับถาดอาหารเช้าถาดใหม่ ภูผาหันมามองผมเล็กน้อยนัยน์ตาทอประกายรู้สึกผิดอยู่ข้างใน
ก่อนจะเก็บถาดอาหารเย็นของเมื่อวานที่ยังคงไม่พร่องออกไป แล้วประตูก็ปิดลงอีกครั้ง

   ผมถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นมาจากเตียงเพื่อเดินไปไหนมาไหน วันนี้แล้วที่พี่คินจะกลับมา ผมไม่รู้ว่า
จะมีโอกาสอีกเมื่อไรทีพี่เขาจะปล่อยให้ผมอยู่ลำพัง

   เสียงนกนางนวลบินร่อนไปมานอกหน้าต่างบานเล็กที่ถูกปิดทับด้วยลูกกรงเหล็กดัด ผมรู้สึกอิจฉานกพวกนั้นที่ได้บินไปบน
ท้องฟ้าได้อย่างอิสระ ต่างจากผมที่ต้องนอนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ นอนนิ่งราวกับไร้ชีวิตยามที่ริมฝีปากร้อนลากผ่านไปทั่ว
ร่างกาย

   นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาเกือบจะเที่ยง ภูผากลับเข้ามาอีกครั้ง ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป กลิ่นข้าวต้มยังหอมฉุยเหมือน
เดิม แต่ภูผากลับมีท่าทางหลุกหลิก

   “พี่กินข้าวนะพี่ วันนี้ที่บ้านไม่มีใครอยู่นอกจากผม ผมจะรอนะ”ภูผารีบพูดก่อนจะรีบออกไป

   ผมไม่แปลกใจว่าทำไมภูผาถึงไม่ค่อยอยากคุยอะไรมากนัก ภูผาเคยบอกในห้องนี้มีกล้องติดเอาไว้นานแล้วตั้งแต่ผมยังไม่

มาอยู่ที่นี่ ซึ่งภูผาเองก็ไม่ได้บอกว่าติดไว้ทำไม

   แต่ที่น่าสงสัยก็คือทำไมต้องบอกว่ารอ ทำไมต้องบอกว่าวันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน ผมเหลือบมองชามข้าวต้มควันกรุ่น ท้องเริ่ม
ร้องโครกครากเพราะไม่ได้กินอะไรเกือบสองวันแล้ว

   ผมรวบรวมแรงที่แทบไม่ค่อยจะเหลือพาตัวเองไปยังโต๊ะริมหน้าต่าง สายตาก็เหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษถูกซ่อนเอาไว้ใต้
ชามข้าวต้ม

   ‘ผมวางรองเท้าเอาไว้ประตูหลังบ้าน รอพี่ที่ปากทางเข้าฟาร์มตอนบ่ายสอง’

   ข้อความสั้นๆทำให้หัวใจสั่นรัว หันไปมองประตูก็พบว่ามันปิดไม่สนิท มีอะไรบางอย่างกั้นมันเอาไว้ไม่ให้ปิดลง นาฬิกาบน
ฝาผนังบอกเวลาเลยเที่ยงวันมาแล้ว ความหวังเดียวของผมในตอนนี้ก็คือภูผา หากแต่มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปไหมหากผม
จะเอาตัวรอดแล้วปล่อยให้ภูผาอยู่ที่นี่ยอมรับชะตากรรม

   ข้าวต้มในชามถูกส่งลงไปนอนอยู่ในท้องผมเกือบหมด จนบ่ายโมงตรงผมค่อยๆผลักประตูออกไป ลอบมองทั่วชั้นบนของ
ตัวบ้าน แต่ก็ไม่มีเสียงใดใดที่บ่งบอกว่ามีใครอยู่ภายในบ้านเลย ผมลงมายังชั้นล่างของตัวบ้าน ได้ยินเสียงคนคุยกันมาจากด้าน
หน้าของตัวบ้านอยู่ไกลๆทำให้ต้องก้มตัวหลบแล้วมองหาประตูหลังบ้าน เปิดมันออกไปพบว่ารองเท้าถูกวางหลบเอาไว้ด้านข้าง

   แผลที่เท้าครั้งเก่าตอนที่หนีออกไปเกือบจะหายดีแล้วเหลือแค่แผลตกสะเก็ดที่ยังคงตอกย้ำผลของการคิดไม่รอบคอบ แต่
ครั้งนี้ต่างออกไป ผมมีคนคอยช่วยเหลือถึงแม้ว่าใจจะรู้สึกผิดมากก็ตาม ผมเดินลัดเลาะออกมาตามแนวป่าด้านหลังของตัวบ้าน
และตัวตึกที่ทำเป็นบ้านพักของคนงาน โชคดีที่เวลานี้คนอื่นๆต่างก็ออกไปทำงานกันหมดเหลือไม่กี่คนที่เดินไปมา

   จนมาถึงปากทางเข้าฟาร์ม แขนก็ถูกดึงให้เข้าไปที่ด้านหลังพุ่มไม้ ภูผาส่งเสื้อแขนยาวกับหมวกใบหนึ่งมาให้ผมด้วยความ
ร้อนรน

   “ถ้าไม่รีบนายหัวจะกลับมาซะก่อน ใส่พวกนี้เอาไว้ แถวนี้ไม่ค่อยมีคนผิวขาวหน้าลูกครึ่งอย่างพี่นักหรอก คนแถวนี้รู้จักกับ
นายหัวกันเยอะ”

   “ขอบใจ”

   “ไม่ต้องหรอก รีบใส่แล้วก็ก้มหน้าเอาไว้ก็พอ อย่าให้ใครเห็นหน้าพี่ คนที่นี่รู้จักหน้าพี่กันหมดแล้ว”

   “อืม”ผมพยักหน้า

   ภูผาขับรถมอเตอร์ไซพาผมผ่านทางลาดยางสองเลนแคบข้างทางแทบจะไม่มีบ้านคนมีแต่ต้นไม้สูงชะลูดปรกคลุมทอด
ยาวออกไป นานครั้งถึงจะมีรถขับสวนมา ซึ่งผมก็ได้แต่ก้มหน้าตามที่ภูผาบอกด้วยความตื่นเต้นจนถึงท่ารถในตัวอำเภอ

   “อย่าลืมนะพี่ ห้ามสบตาใคร แล้วก็เอานี่ไป นี่น่าจะพอถึงกรุงเทพ”เงินแบงค์สีแดงกับสีเขียวยับยู่ยี่ถูกยัดใส่มือ

   “ขอบใจนะ ไว้พี่จะใช้คืน”

   “ไม่ต้องหรอก แค่พี่ถึงบ้านก็ดีแล้ว”

   “อืม”ผมพยักหน้า รู้สึกตื้นตันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

   ภูผากับผมพึ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน แทบจะไม่มีการพูดคุยระหว่างกัน แต่ภูผาก็ยอมที่จะช่วยทั้งที่รู้ว่าตัวเองจะต้องกลายเป็น
คนทรยศต่อเจ้านาย

   “เดี๋ยว”ผมเตะเขนภูผาเอาไว้ก่อนที่ภูผาจะกลับ

   “เขาจะทำอะไรภูผาไหม ถ้าหากพี่ไป”

   “พ่อเลี้ยงเขาไม่ทำอะไรผมหรอก ผมไม่ใช่คนของเขา”ภูผาส่ายหน้าฝืนยิ้ม ดันผมขึ้นรถเมื่อเห็นว่าผมกำลังเป็นกังวล

   “ขอบใจนะ”

   ผมนั่งอยู่ด้านในสุดของรถสองแถวที่จะเข้าเมืองเพื่อไปต่อรถที่บขส. ระหว่างทางที่รถออก ถึงแม้จะนั่งก้มหน้าพยายามเก็บ
มือขาวเผือดที่โผล่พ้นเสื้อออกมาแต่คนในรถก็ยังคงจ้องมองผมราวกับกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง

   “พ่อหนุ่ม จะไปไหนเรอะ”

   “กลับกรุงเทพฯครับ”ผมตอบเสียงเบาโหวงเมื่อผู้ชายตัวใหญ่ด้านข้างถามทักขึ้นมา

   “ใช่คนของฟาร์มสานรักรึเปล่า หน้าตาคุ้นๆ”คำถามของเขาทำให้ผมเข้าใจที่ภูผาบอกว่ามีคนรู้จักหน้าผมเยอะได้เป็นอย่าง
ดี

   “ไม่ ไม่ใช่ครับ ผมมาเยี่ยมเพื่อนที่อยู่แถวนี้ กำลังจะกลับ ไม่รู้จักฟาร์มสานรักอะไรนั่นหรอกครับ”

   “งั้นเรอะ”เขาตอบรับแล้วหันไปโทรศัพท์ ทำให้ผมโล่งใจแล้วก้มหน้าก้มตาไม่สนใจใครดังเดิมถึงแม้ว่าคนในรถยังคงมอง
มาที่ผมอยู่ก็ตาม

   จนรถขับออกมาจากตัวอำเภอได้เกือบครึ่งชั่วโมงก็จอดลงทั้งที่สองข้างทางยังมีแต่ต้นไม้ขึ้นสูง เห็นบ้านคนอยู่ไกลลิบตา
ทำให้ผมเริ่มเกร็ง

   เสียงพูดคุยของคนขับกับใครสักคนเป็นภาษาใต้ที่ผมเองก็ฟังแทบจะไม่ออกเริ่มทำให้ผมเป็นกังวล ตามมาด้วยเสียงคน
เดินมายังด้านหลังที่เป็นส่วนของผู้โดยสาร

   ฝีเท้าที่ย่างก้าวอย่างมั่นคงทำให้ผมยิ่งก้มหน้าต่ำ แต่ถึงกระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหันไปจ้องมองร่างกายครึ่งท่อนล่างที่ผมคุ้น
เคยและจดจำมันได้เป็นอย่างดี

   “ลงมา”เสียงทุ้มห้วนออกคำสั่ง แต่ผมก็ทำเป็นไม่ได้ยินแล้วหันกลับมา ก้มหน้าลงจ้องมองปลายเท้าตัวเอง

   “ลงมา”อีกครั้งที่พี่เขายังคงเรียกและผมยังคงทำเป็นหูทวนลม

   “กลับไปปรับความเข้าใจกันดีดีเถอะพ่อหนุ่ม”สำเนียงแปร่งๆจากผู้ชายคนเมื่อกี้ที่ทักผมทำให้ผมปะติดเรื่องราวได้ทันทีว่า
โทรศัพท์สายที่เขาโทรไปหลังจากที่คุยกับผมเขาโทรหาใคร

   “จะลงมาดีดี หรือต้องให้พี่ไปลากลงมา”คราวนี้น้ำเสียงกลับแข็งกร้าว ไม่รอคำตอบจากผมร่างสูงใหญ่พี่เดินขึ้นมาบนร
ถลากเอาผมลงไปแม้ว่าผมจะขืนตัวเอาไว้ก็ตาม พี่คินลากผมมายังหน้ารถแล้วหันไปขอบคุณคนขับรถสองแถวเป็นภาษาใต้

   ผมถูกผลักเข้ามาในรถด้านหลังคนขับ มองเห็นด้านหน้ามีคนขับรถประจำที่อยู่แล้ว พอตั้งตัวเพื่อจะเปิดประตูรถอีกฝั่งก็ถูก
ดึงมือรวบเอาไว้ไม่ให้ขัดขืน

   ผมพยายามข่มใจไม่ให้สั่นเทาเมื่อรถขับมาจอดที่หน้าบ้านหลังเดิม ผมมองเห็นภูผาผ่านกระจกรถ ใบหน้าคมดูหม่นลงและ
ก้มหน้านิ่งไม่สบตาใคร

   “ลงมา”

   “ไม่”ผมตอบสั้นๆแต่นั่นก็เหมือนหาเรื่องใส่ตัวเมื่อมันไปทำให้พี่เขายิ่งโกรธแล้วดึงผมออกมาจากรถ ลากให้ผมเดินตาม
ผ่านภูผาและคนอื่นๆขึ้นมายังชั้นบนของตัวบ้าน ถูกผลักลงโยนเตียงให้ล้มลงไป

   “รัมภ์สัญญากับพี่แล้วใช่ไหมว่ารัมภ์จะทำตัวดี”ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

   ผมได้แต่เบือนหน้าหนีราวกับไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาถาม และนั่นก็ยิ่งทำให้พี่คินไม่พอใจตรงเข้ามาจับกรอบหน้าบีบบังคับให้
ผมหันไปจ้องตอบ

   “พี่ถามรัมภ์ต้องตอบ”

   “ผมไม่ได้สัญญาอะไรกับใคร”

   “รัมภ์แน่ใจว่าไม่ได้สัญญา?”

   “ใช่”ผมกัดฟัน จ้องตอบดวงตาดุดันน่ากลัวคู่นั้นกลับไป

   “รัมภ์คงจะจำไม่ได้ งั้นพี่จะเตือนความจำให้รัมภ์เอง”พูดจบพี่คินก็ปล่อยมือออกจากหน้าผมแล้วเดินไปหยิบเอกสารอะไร
บางอย่างในลิ้นชักหัวเตียงออกมาส่งให้

   “นี่น่าจะทำให้รัมภ์เลิกคิดที่จะหนีได้”

   “อะ อะไรกัน”ผมพึมพำออกมาเสียงแผ่วเมื่อลายมือที่เซ็นกำกับสัญญานั้นเป็นชื่อผม หากแต่เนื้อหาที่ระบุอยู่บนแผ่น

กระดาษตรงหน้ามากกว่าที่ทำให้ตกใจ

   “เลิกคิดจะหนีพี่รึยัง”พี่คินถามสียงเรียบ ตอกย้ำให้ผมยิ่งจมอยู่กับความสิ้นหวัง

   “นี่มันตั้งหลายแสน พี่ก็รู้ว่าผมไม่มีเงิน”สัญญาระบุเอาไว้ว่าผมจะถูกปรับสามเท่าเมื่อทำงานให้ไม่ครับสามเดือนซึ่งนั่นเป็น
เงินทั้งหมดเกือบสามแสน ผมไม่มีปัญญาจ่ายให้เขาแน่นอน “ทั้งหมดนี่…เป็นแผนของพี่ใช่ไหม”

   แผนที่หลอกให้ผมรีบเซ็นสัญญา รวมหัวกับคนอื่นๆเพื่อที่จะทำกับผมราวกับเป็นสัตว์เลี้ยง ขังผมเอาไว้ในห้องแคบๆแบบนี้

   ผมฉีกกระดาษสัญญาในมือออกเป็นชิ้นเล็กๆทันที บีบขยี้มันจนมันย่ำยู่ยี่กับความโง่เขลาของตัวเองที่ไว้ใจคนอื่นมากเกิน
ไป

   “รัมภ์ก็รู้ว่ามันเป็นสำเนา ไม่ใช่ตัวจริง”

   “พี่ทำแบบนี้กับผมทำไม”ถามออกไปเสียงสั่น กระบอกตามันรู้สึกร้อนผ่าวไปหมด

   “คำถามนี้พี่ขอคืนให้รัมภ์”พี่คินเหยียดยิ้ม ซึ่งนั่นมันทำให้ผมรู้สึกราวกับกำลังถูกเยอะเย้ย

   “ทะ ทำไมกัน”

   “ถอดเสื้อผ้าออก”

   “อะไรนะ”ผมถามย้ำแทบไม่เชื่อหูเมื่อจู่ๆพี่เขาก็สั่งให้ผมถอดเสื้อผ้า

   “จะถอดออกเองหรือจะให้พี่ขึ้นไปถอดให้”

   “ไม่ ผมไม่ถอด”ไม่ไหวแล้วหากต้องให้พี่เขาแตะต้องร่างกายโดยที่ผมเองไม่รู้อะไรเลย

   “รัมภ์เลือกเองนะ”สิ้นเสียงพี่เขาก็กระโจนขึ้นมากดร่างผมเอาไว้กับผืนเตียง ถอดกระชากเสื้อผ้าออกจากร่างกายของผมที
ละชิ้นจนไม่เหลือ ทิ้งให้ผมซุกกายเข้ากับตัวเองกอดร่างที่เปลือยเปล่าเอาไว้หวังจะพ้นสายตาที่เป็นราวกับเจ้าป่าที่กำลังล่าเหยื่อ

   พี่คินปล่อยผมให้เป็นอิสระทันทีที่ร่างกายของผมไม่เหลืออะไรปกปิด เขาเดินลงไปจากเตียง เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบ
อะไรสักอย่างออกมา




   อะไรที่มันทำให้ร่างกายของผมมันเย็นวาบไปทั้งตัว ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองมัน ผิวกายสั่นระริกเมื่อเสียงของมันกระทบกัน
ไปมาเสียดหู

   “พี่จะทำแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่ใช่สัตว์”ผมส่ายหน้า เมื่อพี่เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับโซ่เส้นใหญ่ในมือ

   “พี่เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าถ้าหนีพี่ไปอีกครั้งรัมภ์จะถูกล่ามเอาไว้”


   “อย่า ผมไม่เอา”ผมถอยหนีไปจนชิดหัวเตียง แต่ข้อเท้าก็ถูกจับเอาไว้แล้วดึงลากเข้าไปหา

   เสียกล็อกของโลหะดังกริ๊กพร้อมกับความเย็นวาบแล่นเข้ามาที่ข้อเท้า ถูกล่ามเอาไว้กับขาเตียง

   “บทลงโทษที่รัมภ์พยายามจะหนีพี่ครั้งแล้วครั้งเล่า”เสียงที่ฟังดูน่าขนลุกกระซิบพร้อมกับจมูกโด่งคลอเคลียลงมาที่พวง

แก้ม

   “ฮะ ฮึก”

   “รัมภ์เป็นของพี่”ลิ้นร้อนลากลงมาเกี่ยวกระหวัดติ่งหูให้ผมสะดุ้ง

   “มะ ไม่เอาอย่าทำ”ผมส่ายหน้าไปมา

   ฝ่ามือร้อนกำลังลากผ่านผิวกายของผมไปทั่ว ยอดอกถูกนิ้วทั้งสองของพี่บีบขยี้จนรู้สึกเจ็บ แต่ก็ขัดขืนไม่ได้เมื่อถูกกดลง
ไปบนเตียง

   พี่คินถอดเน็คไทล์ของตัวเองออกอย่างลวกๆ แล้วทำในสิ่งที่ผมกำลังกลัว นั้นก็คือใช้มันมาพันธนาการมือทั้งสองของผม
เอาไว้ไม่ให้ขัดขืน

   “รัมภ์น่าจะเชื่อฟังพี่บ้าง ไม่อย่างนั้นรัมภ์คงไม่ต้องเป็นแบบนี้”พี่คินพูดพลางถอดเสื้อเชิ้ตสีเข็มออก แล้วเอามันมาคลุมไว้ที่
หน้าของผม ใช้แขนเสื้อผูกเอาไว้ไม่ให้หลุดออก ทำให้ผมมองไม่เห็น

   มันทำให้ผมรู้สึกถึงวันแรกที่พี่เขาทำกับผม ผูกมัดผม ตรึงผมเอาไว้ให้ผมไร้ทางสู้ ไม่ให้มองเห็นสิ่งที่เขากระทำกับร่างกาย
ของผม

   “อย่า”

   ร่างกายของผมถูกจับให้พลิกคว่ำ กดหัวให้ต่ำลงไปทั้งที่มองไม่เห็น เจลร้อนถูกราดลงมาผ่านระหว่างร่องหลืบด้านหลังจน
มันชุ่ม

   “ครั้งนี้พี่จะทำให้รัมภ์เจ็บ จนไม่กล้าที่จะหนีพี่ไปอีก”

   “อะ อึก”

   ความจุกเสียดในครั้งเดียวที่โถมเข้ามาทำให้ร่างกายของผมมันสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ กายร้อนผ่าวที่ลุล้ำเข้ามามัน
ใหญ่โตเกินที่ผมจะรับมันไหว ขาทั้งสองข้างสั่นจนแทบจะทรงตัวเอวไม่อยู่

   “โทษที่รัมภ์ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น”


   “อะ อึก เจ็บ”

   พี่คินกระแเทกกายเข้ามาจนสุด ทั้งรุนแรงและหนักหน่วง ผมได้แต่ซุกหน้าลงกับที่นอน จิกนิ้วลงบนผ้าปูเมื่อท่อนเนื้อร้อน
ราวเหล็กนาบไฟสอดใส่เข้ามาไม่หยุด

   จากที่เจ็บแสบเริ่มรู้สึกหน่วงๆ แก่นหายเบื้อหน้าถูกมือหยาบกร้านปลุกเร้าจนรู้สึกทรมานราวกับถูกแขวนเอาไว้บนที่สูงแล้ว
ถูกยังคับให้ต้องมองลงมาทั้งที่กำลังหวาดกลัว

   “ยะ หยุดที”ถึงแม้จะร้องขอแค่ไหน แต่เสียงของผมก็ยังคงส่งไปไม่ถึง พี่เขายังคงโถมกายเข้ามา กระหน่ำความป่าเถื่อน
เข้ามาราวกับเป็นบทลงโทษที่ผมพยายามหนีอีกครั้ง

   “คราวหลังอย่าคิดหนี อย่าคิดเข้าใกล้คนอื่น อย่าร้องขอให้คนอื่นมาช่วย”


   เสียงคำรามขู่ดังก้องอยู่ในหู พี่คินกระแทกกายเข้ามาทั้งเร็วและรุนแรงจนผมทนต่อไปไม่ไหว เบื้องหน้าที่รู้สึกอัดอั้นถูก
ปลดปล่อยออกมาจนสิ้น ร่างกายสั่นระริก ภายในตอดรัดท่อนกายใหญ่ถี่รัวขัดแย้งกับความรู้สึกทีมี

   พี่คินปลดเสื้อที่คลุมหน้าผมไว้ออก ทำให้ผมกลับมามองเห็นอีกครั้ง แต่ผมก็ยังไม่เห็นหน้าของเขาอยู่ดี เพราะถูกจับให้
นอนคว่ำ บังคับให้ต้องยกสะโพกรับกายของพี่เขาเข้ามา

   แล้วสิ่งที่ทำให้ผมหน้าชาราวกับโดนตบก็คือประตูที่น่าจะปิดลงกลับถูกแง้มเอาไว้ ดวงตาคมของใครบางคนทำให้ผมเบิก
ตากว้าง

   ภูผาถูกบังคับให้ยืนอยู่ตรงนั้น ข้างหลังประตูแล้วจับให้มองมาที่ผมทั้งที่ดวงตากำลังสั่นระริก โดยมีหมอนทียืนซ้อนอยู่ด้าน
หลัง

   “รู้ไหมว่าความดื้อรั้นของรัมภ์ทำให้คนอื่นเดือดร้อน”พี่คินกระซิบจับใบหน้าของผมให้หันไปอีกทางก่อนที่ลิ้นร้อนแลบเลีย
ลงมาที่พวงแก้ม

   “ทะ ทำไมกัน”

   ถูกภูผากับหมอนทีเห็นหมดแล้ว เห็นว่าผมกำลังถูกพี่คินกอดด้วยความป่าเถื่อน ทำไมพี่เขาต้องทำกับผมถึงขนาดนี้กัน

   “ยะ หยุด”

   ผมพยายามดิ้น แต่มือที่ถูกพันธนาการเอาไว้ทำให้ผมเป็นเหมือนกับสัตว์ตัวเล็กที่กำลังถูกผู้ล่ากัดเข้าที่คอ ไม่มีวันหลุด
รอดไปจากคมเขี้ยว

   เสียงโซ่กระทบกันยามที่พี่เขากระแทกกายเข้ามายังคงดังก้องหู ผมอยากให้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขั้นเป็นเพียงแค่ความ
ฝัน อยากจะตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงเก่าๆ ในตึกสองแถวที่ซึ่งเป็นบ้านของผมกับแม่ ผมอยากกลับไปหาแม่


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระเอกขาโหด มีคนบอกว่าเรื่องนี้แนวจำเลยรัก ไอ้เราก็ไม่เคยดูหรอก รู้แค่ว่าชอบ 555 ชอบพระเอกเย็นชา กักขังหน่วงเหนี่ยว เก็บไว้รักคนเดียว ห้ามออกไปไหน

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ใช่เลย จำเลยรัก  :ling1:
เจ็บแค้นเคืองโกรธ โทษฉันใย  รัมภ์ทำผิดที่หลอกให้พี่คินรัก
พี่คินถึงกับจับรัมภ์ กักขัง ข่มขืน ล่ามโซ่ เป็นที่ระบายความใคร่ :katai1:
พี่คินโหดไปไหม   :m16:
เมื่อไหร่จะรักกันดีๆ นะ  :กอด1:
รอตอนใหม่  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
 :เฮ้อ: อิชั้นพูดอะไรไม่ออกเลยค่ะ  :o12:

ออฟไลน์ 0%

  • 0percent.
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เมื่อไหร่จะได้รักกันสักที พี่คินเบาๆกับน้องหน่อยก็ได้

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
ถ้าได้รักกันจริงๆจะไว้ใจกันได้ไหม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด