Chapter 8
กนธีตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวเล็กน้อย อันที่จริงอากาศกำลังดีจนเขาอยากจะหลับต่อ แต่เสียงพัดลมที่ครางหึ่งเหมือนใกล้จะพัง กับสัมผัสนุ่มๆแถวจมูก ทำให้เขาต้องปรือตามองอย่างเสียไม่ได้
ภาพแรกที่เห็นทำเอาเขางุนงง มันเป็นเพดานไม้สีเข้ม กับพัดลมติดเพดานรุ่นเก่าเมื่อสมัยหลายสิบปีที่แล้ว
ระหว่างที่กำลังไล่เรียงความคิด อะไรบางอย่างก็ปัดผ่านหน้าไป กนธีมุ่นคิ้ว หรี่ตามองตาม
..แมว..
ชายหนุ่มกะพริบตาปริบ เอียงหน้าไปทางที่มันเดินนวยนาดผ่านไปยังประตูที่เปิดแง้ม แต่แล้วแทนที่จะเจอแมว เขากลับหยุดกึกเมื่อได้เห็นเด็กชายตัวน้อย..น่าจะอยู่วัยประถมกำลังนั่งขัดสมาธิ เอาเตารีดไถบนกางเกงสแล็คสีดำท่าทางคล่องแคล่ว พอเจ้าหนูเห็นเขานอนมอง รอยยิ้มกว้างระคนเก้อเขินก็ผุดขึ้นเป็นการทักทาย
“ตื่นแล้วหรือครับ”
กนธีค่อยๆยันตัวขึ้น เขาเหลียวมองรอบตัว มันเป็นห้องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ทั้งผนังและพื้นเป็นฝาไม้กระดานทั้งหมด มีปฏิทินโป๊เปลือยของแม่โขงฉบับสิบปีก่อนแขวนไว้ เพดานกลางห้องมีไซมงคลดักเงินดักทองที่ฝุ่นจับจนดำห้อยอยู่ ประตูไม้มีทองคำเปลวติดแน่น พ่วงด้วยอักขระอาคมเขียนด้วยชอล์กขาวซึ่งดูจะเลือนไปตามสมัย ส่วนข้าวของในนี้ก็มีไม่กี่อย่าง เช่น ทีวีเครื่องโตที่ล้าสมัยไปแล้ว โต๊ะเครื่องแป้งไม้ ตู้เสื้อผ้า กับเตียงเหล็กที่เขานอนอยู่
“พี่ชาย..” เสียงเล็กๆเรียกซ้ำ “ดื่มน้ำไหมครับ”
เขาหันกลับมา เด็กน้อยที่รีดผ้าอยู่เมื่อครู่ปรากฏตัวด้านข้าง ในมือประคองแก้วใบใหญ่เอาไว้ ดูท่าจะรินน้ำมาเสียเต็มปริ่ม
กนธียิ้ม นึกขึ้นได้ว่าเสียมารยาทเสียแล้ว “ขอบคุณครับ..”
เจ้าหนูฉีกยิ้ม จากนั้นก็เดินกลับไปนั่งจุ้มปุ๊ก จัดการรีดผ้าต่อ กนธีมองเงียบๆ ไล่สติระลึกว่าที่นี่คือที่ไหน และเขามานอนบนเตียงนี้ได้อย่างไร
มีเสียงผู้คนโหวกเหวกจอแจดังมาจากด้านนอก ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ เสียงพูดคุยต่อรองราคาของ คิดว่าน่าจะเป็นโซนตลาดหรือแหล่งค้าขายที่มีคนอยู่กันหนาแน่น กนธีหันมองออกไปทางหน้าต่าง คะเนจากความสูงของต้นมะม่วงด้านข้าง เหมือนว่าตรงนี้จะเป็นชั้นสอง..ดูสภาพแล้ว เดาว่าที่นี่คงเป็นบ้านไม้สองชั้นที่ทำเป็นห้องเช่าตามชุมชนทั่วไป
..แต่ถ้าอยากรู้ก็อย่ามัวแต่เดา ถามเลยดีกว่า..
“หนู..” เขาเรียกเด็กชายที่ฉีดน้ำในขวดฟึ้ดๆ “ช่วยบอกพี่..เอ่อ..ลุง..” มันระคายปากชอบกลถ้าจะลดอายุตัวเอง “บอกลุงหน่อยได้ไหมว่านี่มันที่ไหน”
ร่างเล็กจ้อยเงยหน้าขึ้น “ตลาดหลังวัดตะพานครับ”
กนธีพยักหน้ารับ ก้าวขาลงจากเตียงแล้วชะเง้อมองออกไปข้างนอก..ภาพแรกที่เห็นคือเมรุเผาศพ ชัดเจนเต็มสองตาเลยทีเดียว แต่ก็โอเค..ถ้าอยู่แถวนี้ ก็แปลว่าเขายังอยู่ในโซนใจกลางเมือง
ยังไม่ทันได้พูดอะไร ประตูไม้ก็เปิดอ้าออก ร่างสูงใหญ่ของเด็กหนุ่มที่คุ้นเคยโผล่หน้าเข้ามา มือข้างหนึ่งหิ้วถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ อีกข้างจับจูงเด็กตัวอ้วนกลม แก้มยุ้ยเป็นพวงมาด้วย
กนธีเลิกคิ้ว มองอินทัช สลับกับมองเด็กทั้งสองคนที่หน้าตาถอดแบบอีกฝ่ายมาแทบจะเป็นแพทเทิร์นเดียวกัน ตอนนี้เขารู้แล้วแหละว่านอนอยู่บ้านโอ๊ต แต่ว่าเด็กสองคนนี้เป็นใครกัน
“ลูกชาย?”
อินทัชหัวเราะขณะหยิบโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยออกมากาง “น้องชายครับ ผมมีน้องสองคน เมื่อคืนก็เล่าให้ฟัง”
กนธีปวดหัวจี๊ด เขาค่อยๆทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้มานอนที่ห้องนี้ พอไล่เรียงเหตุการณ์และเห็นภาพเมื่อคืนผุดเป็นฉากๆ เขาก็อดรู้สึกอับอายไม่ได้ แต่คิดใหม่อีกทีก็ช่างมันเถอะ..นานๆจะมีคนเห็นเขาร้องไห้เป็นเผาเต่า มันก็ตลกดี
อีกอย่าง ได้พูดได้คุยออกไปเยอะแยะ มันทำเอาเขาตัวเบาโหวงเหวงเลยทีเดียว
“ยังไงก็ตาม..ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะ”
อินทัชส่ายหัว “ตื่นแล้วจะอาบน้ำก่อนไหมครับ” เขาบุ้ยใบ้ไปที่ผ้าเช็ดตัว ตรงตู้เสื้อผ้ามีเสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงบอลเนื้อลื่นแขวนไว้ “ผมเลือกตัวใหม่ๆมาให้ แต่ก็เคยใส่มาครั้งสองครั้งแล้ว ยังไงถ้าไม่รังเกียจ จะใช้ก่อนก็ได้นะครับ”
กนธียิ้มตาปิด เขาเหนียวตัวแทบแย่ ทั้งน้ำหูน้ำตาน้ำมูกน้ำลาย เกินจะรับตัวเองจริงๆ “รบกวนอีกทีนะ”
“ห้องน้ำรวมนะครับ อยู่ด้านล่าง ไม่ค่อยสะดวกแต่ก็สะอาดพอใช้”
คนฟังพยักหน้ารับ มองตามแขกวีไอพีของที่ร้านอย่างประหลาดใจเล็กน้อย กนธีเดินอ้อมพวกเขาที่นั่งอยู่กับพื้นแบบมีมารยาท ไม่วายลูบหัวน้องชายทั้งสองของเขาอย่างเอ็นดู ถ้าเป็นพวกเศรษฐีมีเงินคนอื่นที่เคยเจอมา พวกนั้นแทบจะเดินเตะคนที่อยู่ต่ำกว่าด้วยซ้ำ และถ้าเป็นผู้ดีคนอื่น คงไม่ยอมใช้เสื้อผ้าร่วมกับใครแน่
“ผมซื้อข้าวต้มปลามาฝาก เจ้านี้ทำอร่อย มากินด้วยกันนะพี่” อินทัชชวน
“โฆษณาถึงขนาดนี้ ต้องลองซะแล้ว” กนธีหยิบผ้าขนหนูขึ้นพาดบ่า เห็นขัน ยาสีฟัน แปรงสีฟันอันใหม่ กับสบู่ก้อนเล็กที่ยังไม่แกะห่ออยู่ในถุงเซเว่นก็ยิ้มบาง
“ระวังตะขาบนะฮะ” น้องชายคนเล็กของอินทัชยิ้มอวดฟันหลอ “พี่โอ๊ตเอารองเท้าแตะตีตายไปเมื่อคืนตัวนึง”
ชายหนุ่มหัวเราะ ทำนิ้วโอเคเป็นการรับรู้ “ว่าแต่..พวกหนูชื่ออะไรกัน”
“คนรอง..ไอ้อ้น อยู่ป.สี่” อินทัชตอบแทนน้องที่ยัดปาท่องโก๋เข้าไปเต็มปาก “ไอ้ตัวเล็กนี่..อุ้ม กำลังเรียนอนุบาลสาม เกิดมาก็ไม่เจอหน้าพ่อแล้ว” เขาโยกหัวน้องเล็กอย่างรักใคร่
“โอ๊ต อ้น อุ้ม” กนธีจะพยายามเรียกไม่ให้สลับ “โชคดีจังที่มีพี่ชายใจดีแบบนี้”
“มีกันแค่สามคนพี่น้อง กับยายอีกคนที่น่าน ต้องรักกันไว้มากๆ” อินทัชบอกก่อนจะหันมาเร่ง “เดี๋ยวข้าวต้มเย็นหมดนะครับ”
“ถ้าช้า เดี๋ยวน้องอุ้มจะแย่งพี่ชายกินนะ” อ้นหัวเราะ
“ไปแล้วๆ ยังไงก็เหลือปลาไว้ให้ลุงขี้เมาชิ้นหนึ่งแล้วกัน”
คล้อยหลังกนธี อ้นกับอุ้มก็หันมายิ้มแป้นให้พี่ชาย
“พี่คนนั้นชื่ออะไรอ่ะพี่โอ๊ต ใจดีจังเลย”
“อ้นก็ถามเขาเองสิ”
“ไม่เอาอ่า..อ้นเขิน” เด็กชายพ่นลมแก้มป่อง
“เขินอะไรวะ”
“ไม่รู้..เขินพี่ชายใจดี เหะๆ”
“เลิกพูดมากแล้วกินข้าวได้แล้ว” อินทัชหัวเราะ เขาตักเนื้อปลาจากส่วนของเขาไปใส่ถ้วยของน้องสองคน “กินเยอะๆ โตเร็วๆ”
น้องอุ้มแบ่งปลาชิ้นหนึ่งกลับไปให้พี่ “พี่โอ๊ตให้พวกหนูเยอะ พี่โอ๊ตกินบ้าง”
อ้นเห็นก็พยักหน้า ตักปลาคืนพี่อีกคน “อ้นกินเยอะแล้ว พี่โอ๊ตยังไม่กินเลย”
“เป็นพี่ต้องเสียสละให้น้อง เรื่องแค่นี้สบายมาก” อินทัชขยี้หัวเด็กๆ “ไม่ต้องมาทำเป็นฮีโร่ กินเข้าไป! กินขิงด้วย!”
เสียงพูดคุยในห้องดังเล็ดลอดออกมาข้างนอก ใครบางคนที่ยังไม่ไปไหนไกลได้แต่ยิ้มจาง
.
.
.
กนธีนั่งขัดสมาธิกับพื้น กินข้าวเช้าแบบง่ายๆที่อินทัชซื้อมาให้โดยมีเด็กน้อยสองคนนั่งมองเขาตาไม่กะพริบ
“เอ่อ..อ้นกับอุ้มไม่อิ่มหรือเปล่า” สี่ลูกตากลมป๊องมาจ้องเอาๆแบบนี้ เล่นเอาเขาทำอะไรไม่ถูกเลย
เด็กๆส่ายหัว พากันหัวเราะร่วนอย่างชอบอกชอบใจ นานๆทีจะมีเพื่อนพี่โอ๊ตมาที่ห้องเช่า สองพี่น้องเลยเห่อแขกคนใหม่เป็นพิเศษ
“พี่ชายชื่ออะไรครับ” อ้นถาม จ้องอีกฝ่ายที่กินขิงเผ็ดๆได้อย่างหน้าตาเฉย
“เรียกพี่เลยหรือ” กนธีขบขัน “เรียกลุงก็ได้นะ ไม่ว่ากัน..ลุงชื่อกุนต์”
“ไม่เห็นจะแก่เลย จะเรียกลุงได้ไงอ่ะ”
..ปากหวานงี้..เป็นลูกเป็นหลาน ลุงรักตายเลย..
“เรียกอากุนต์ก็ได้ กระดากน้อยหน่อย”
อินทัชที่มารีดผ้าต่อจากเจ้าอ้นฟังแล้วอดขำไม่ได้ “ให้มันเรียกพี่นั่นแหละครับ จะได้ไม่งง”
“เอ้า..พี่กุนต์ก็พี่กุนต์” กนธียิ้ม หันมองน้องอุ้มที่เท้าคางมองเขา ทุกครั้งที่เขาตักผักชีกับต้นหอมเข้าปาก น้องอุ้มจะขมวดคิ้วเป็นโบว์พร้อมกับทำสีหน้าเหมือนอมบอระเพ็ดไว้
“น้ำฮะ” อุ้มยกแก้วให้อีกฝ่าย
“ขอบคุณครับผม” เขายกขึ้นมาจิบพอเป็นพิธี เพราะนี่ก็เป็นครั้งที่แปดแล้วที่น้องอุ้มยื่นแก้วให้ เขาไม่อยากให้เด็กเสียความตั้งใจเลยแทบจะกินข้าวคำน้ำคำกันเลยทีเดียว
“ระวังพี่กุนต์ท้องแตกนะอุ้ม” อินทัชปรามเมื่อน้องน้อยตั้งท่าจะส่งแก้วน้ำให้เป็นครั้งที่เก้า
“ท้องแตกแบบลูกโป่งเลยเหรอพี่โอ๊ต” เด็กชายทำตาโต
กนธีหัวเราะ เห็นความไร้เดียงสาของเด็กแล้วอารมณ์ดี เขากินข้าวจนเกลี้ยงก่อนจะมองซ้ายมองขวา หาว่าจะเอาไปล้างตรงไหนได้ มานอนเตียงคนอื่นแล้ว ยังใส่เสื้อ และให้เจ้าบ้านเลี้ยงข้าวอีก อย่างน้อยชามสามสี่ใบนี่ เขาก็ควรจะล้างให้เป็นการตอบแทน
“ไม่เป็นไรครับ วางไว้เถอะ เดี๋ยวเจ้าอ้นมันล้างเอง”
“ไม่ดีมั้ง ยังเด็กอยู่เลย” ตอนตื่นก็ตกใจพอตัวแล้วที่เด็กวัยกระเตาะรีดผ้าเป็น แต่ดูจากการเลี้ยงดูน้องของโอ๊ตก็เดาได้ไม่ยาก ว่าพี่ชายคงจะสอนให้เด็กๆพยายามพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด แต่เขาก็ยังคิดว่างานบางอย่างมันเกินขีดความสามารถของน้องๆอยู่ดี
“อ้นล้างได้ๆ” อ้นกระตือรือร้น “ล้างจานเรื่องจิ๊บๆ”
“พี่ช่วยถือนะ” กนธีรวบรวมชามมากองรวม ยังดีที่ว่าเป็นเมลามีน แต่ถ้าตกแรงๆทีก็แตกได้เหมือนกัน “เอาไปล้างตรงไหนครับ”
“ข้างล่างครับ เดี๋ยวอ้นพาไป” เด็กชายกุลีกุจอไปเปิดประตู
บ้านเช่าที่นี่มีหลายห้องติดกัน ห้องน้ำที่ใช้เป็นห้องน้ำส่วนรวม มีอยู่หลายห้องจะได้เพียงพอกับความต้องการของผู้เช่า มีการแยกชายหญิงและแยกห้องสุขากับห้องอาบน้ำไว้ต่างหาก ตรงหน้าบ้านจะเป็นลานปูนกว้างๆ ส่วนซักล้างเป็นอ่างปูนยาว มีก็อกน้ำหลายหัวเหมือนในโรงเรียน
อ้นหยิบกะละมังใบเล็กในห้องติดมาด้วย พอถึงตรงลานปูนก็ต่อสายยางเข้ากับก๊อก เปิดลงกะละมัง ร่างเล็กชูมือขอชามที่พี่กุนต์ถือมาแม้ว่าคนเป็นผู้ใหญ่จะขอทำเอง เจ้าหนูก็ไม่ยอม
“พี่กุนต์เป็นแขกครับ ให้แขกทำไม่ได้” อ้นนั่งยองๆกับพื้น เคาะเศษข้าวใส่ถุงพลาสติกและล้างน้ำเปล่ารอบหนึ่ง
กนธีได้แต่เกาหัวแกรก เขากลายเป็นผู้ช่วยเด็ก บีบน้ำยาล้างจานลงสก็อตไบรท์ และคอยล้างน้ำเปล่าตอนน้องถูชามเสร็จแล้ว จากนั้นก็รวบรวมมาถือให้ทั้งชามทั้งช้อน
อ้นทำความสะอาดกะละมังจนหายมันก็เอามาหนีบไว้ที่แขน ชวนพี่กุนต์กลับขึ้นห้อง
“น้องอ้นเก่งมาก” กนธีชมอย่างจริงใจ “นอกจากรีดผ้า ล้างจาน อ้นทำอะไรได้อีกครับ”
“อ้นคลุกข้าวให้แมว” เด็กชายฉีกยิ้มกว้าง “แล้วก็กวาดพื้น ถูพื้น ซักผ้า พับผ้าด้วยครับ”
“รู้สึกว่าตัวเองเป็นมนุษย์ไร้ประโยชน์เลยทีเดียว” ลุงละอายใจเหลือเกิน
ขากลับขึ้นมาชั้นสอง กนธีเห็นผู้หญิงวัยกลางคนยืนเท้าเอวอยู่หน้าห้อง ส่งเสียงบ่นไม่หยุด โดยที่ผู้เช่าอย่างอินทัชได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายต่อว่า ฟังๆแล้วดูเหมือนจะเป็นเรื่องแมว
“มีคนมาบอกว่าพวกเธอแอบเลี้ยงแมวไว้หรือ ป้าบอกแล้วว่าห้ามเอาอะไรมาเลี้ยง”
กนธีนึกขึ้นได้ว่าตอนนอน มีแมวตัวหนึ่งเอาหางปัดผ่านหน้าเขาไป ไม่รู้มันหลบไปไหนแล้ว รู้แกวจริงๆ
“ขอโทษทีครับ” อินทัชประนีประนอม “มันเป็นแมวจรท้องแก่ พอดีให้ข้าวไว้ มันเลยมาอาศัยคลอดลูก เดี๋ยวโตแล้วก็คงจะไปเอง”
“ให้อาหารมันทุกวันแบบนี้มันคงจะไปไหนได้หรอก มันลำบากนะเธอ กลิ่นฉี่กลิ่นขี้มันรบกวนชาวบ้านเขา แถมมันยังไปฟัดหนูทิ้งไว้เรี่ยราดบนทางเดิน แล้วตอนดึกๆยังขึ้นไปวิ่งบนหลังคาอีก ส่งเสียงโครมคราม กวนคนจะนอน”
กนธีโอบไหล่น้องอุ้มที่ก้มหน้าสลดเพราะพี่ชายถูกดุ เขาขยี้หัวปลอบใจน้อง
“ยังไงก็เถอะ ช่วยเอาไปปล่อยวัดด้วยแล้วกัน ป้าก็ไม่อยากว่าอะไรพวกเธอนักหรอก แต่กฎต้องเป็นกฎนะ”
“ขอโทษอีกทีนะครับ”
เจ้าของบ้านเช่าพยักหน้ารับ พอหล่อนคล้อยหลังไป เจ้าแมวสีส้มนมห้อยย้อยแบบแมวแม่ลูกอ่อนก็กระโดดตุบเข้ามาทางหน้าต่าง พอเห็นน้องอุ้มก็รีบวิ่งมาแทรก คลอเคลียออดอ้อน ส่งเสียงร้องขอกินข้าว
“แกงส้ม..แกงส้มมาหาอ้นเร็ว” เจ้าตัวกวักมือเรียก เตรียมจะพาแมวหนี เพราะพี่โอ๊ตตั้งท่าจะดุอีกแล้ว
อินทัชส่ายหัว เขามองน้องชายอย่างคาดโทษ “อ้น..พี่เตือนเราแล้วใช่ไหมว่าถ้าป้าเขารู้มันจะแย่”
“พี่โอ๊ตอย่าดุพี่อ้น” น้องอุ้มมายืนกางแขน ช่วยปกป้องพี่คนรอง เด็กชายร้องเรียกเหมียวๆ ไอ้แกงส้มเลยหันมาถูไถตัวกับสีข้างของน้องแทน
“ก็..ก็มันมีลูก” อ้นแย้ง “ลูกแกงส้มยังตัวเท่ามดอยู่เลยนะพี่โอ๊ต ทิ้งไม่ได้หรอก”
อินทัชกุมขมับ แม่แมวท้องแก่ที่เจ้าอ้นเอามาให้ข้าวให้น้ำ เมื่ออาทิตย์ก่อนเพิ่งจะคลอดลูกถึงสี่ตัว ไอ้แสบตั้งชื่อเสร็จสรรพ เป็นตระกูลถั่วทั้งนั้น ตอนนี้แม่มันเลี้ยงไว้ในซอกเก็บของหลังบ้าน อาศัยอาหารที่น้องชายเขาให้ทั้งสามเวลาเป็นตัวสร้างน้ำนมให้ลูกที่ตัวแคระแกร็นของมันกิน เขาก็ไม่อยากจะใจดำ เอามันไปปล่อยทั้งครอกหรอก แต่ป้าเจ้าของบ้านสั่งมาแบบนี้ ถ้าไม่ทำอะไรก็คงเดือดร้อนพอตัว
“ไม่น่าเก็บมาตั้งแต่แรก” เขาถอนหายใจ
“อ้นขอโทษครับ” น้องอ้นเข้ามาเกาะขาพี่ชายตัวโต “แต่ว่า..ถ้าจะเอามันไปปล่อย ให้มันโตกว่านี้ได้ไหมครับ”
น้องอุ้มเข้ามาอ้อนพี่โอ๊ตเป็นการช่วยพี่อ้นด้วย “สงสารแกงส้มน้า~”
กนธียืนฟังอยู่นาน ปัญหาอยู่ที่เจ้าของบ้านเช่าไม่ยอมให้เลี้ยงแมว และน้องๆก็สงสารพวกมันเกินกว่าจะเอาไปปล่อยวัดอย่างที่ป้าแกบอกมาได้
“ถ้าเอาไปไว้วัดคงจะลำบากทั้งแมวทั้งพระ ยังไงจะฝากพี่เลี้ยงให้ไหมล่ะ” เขาเสนอ “เดี๋ยวให้แม่บ้านดูแลให้” เอาไว้บ้านใหญ่ก็ได้ มีสนาม มีบริเวณให้มันวิ่งเล่น รั้วรอบขอบชิด ทำกระบะทรายไว้ให้ก็ไม่ไปรบกวนใครที่ไหนหรอก
สายตาสามคู่หันมามองที่แขกคนใหม่เป็นตาเดียว กนธีหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นประกายความหวังจากอ้นกับอุ้ม
“พี่แน่ใจหรือ” อินทัชลังเล “เลี้ยงแมวห้าตัว ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะครับ”
“น่าจะง่ายกว่าเลี้ยงคน..”
เด็กๆเอียงคอมอง งงว่าการเลี้ยงคนคืออะไร กนธีเลยกระแอมแก้เก้อ บอกว่าเล่นมุก
“แล้วถ้าอ้นฝากพี่กุนต์เลี้ยง อ้นจะขอไปเยี่ยมแกงส้มกับลูกๆบ้างได้ไหมครับ” น้องอ้นส่งสายตาวิงวอน
“อ้น..มากไปแล้ว” อินทัชปราม “รบกวนเขาเกินไปหรือเปล่า”
กนธีโบกมือปัดๆ “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ อ้นกับอุ้มจะไปเมื่อไรก็ได้ แต่โทรบอกพี่ก่อนแล้วกันนะ พี่จะได้มารับ”
“พี่กุนต์..” เด็กหนุ่มรู้สึกว่าพวกเขากวนใจอีกฝ่ายมากเกินไป
“โอ๊ตช่วยพี่ไว้มาก เรื่องรับฝากแมวน่ะจิ๊บจ๊อย” กนธียิ้ม
อินทัชอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากเมื่อคืนเขารับเงินแล้วพี่กุนต์รู้ทีหลัง อีกฝ่ายคงจะไม่มารู้สึกดีอยู่แบบนี้แน่
“ขอบคุณพี่ชายสุดหล่อมากๆครับ” อ้นยิ้มอวดเขี้ยวซี่เล็ก
“พี่ชายใจดีม้ากมาก” น้องอุ้มทำท่าเขิน
“ถ้าให้ทิปค่าชมจากพวกเราทุกครั้ง พี่คงหมดตัวแน่” กนธีหัวเราะ ก้มลงรับเจ้าแกงส้มจากน้องอุ้มที่ยื่นส่งให้
แกงส้มส่งเสียงคราง มันเอาหัวถูไถกับบ่าเจ้าของคนใหม่อย่างรู้งาน ปกติแล้วกนธีก็ไม่ได้เป็นคนรักสัตว์นักหรอก แต่มาเจอลูกอ้อนของมันแล้ว อดใจอ่อนยวบไปด้วยไม่ได้
“จะเอาไปวันนี้เลยหรือครับ” อินทัชเกรงใจไม่น้อย “สะดวกพี่หรือเปล่า”
“ไม่เป็นไร ขากลับเดี๋ยวเรียกน้องชายมารับ” เจ้าแกงส้มนี่เดี๋ยวรอสักพักคงจะต้องพาไปทำหมัน ถ้าออกลูกมาเป็นโขยงอีกมันจะดูแลกันยาก ส่วนพวกลูกแมวคงต้องรอให้โตก่อน เขาจะเป็นธุระจัดการให้เอง
“ผมคงไม่ได้ไปส่งที่บ้านนะครับ วันนี้ยังต้องเข้างาน”
“ปัดโธ่..พี่จำทางกลับบ้านได้น่า” กนธีขำ เขาวางแกงส้มลง เอาไว้เดี๋ยวจะกลับแล้วค่อยพาไปด้วย “ว่าแต่..เวลาโอ๊ตไปทำงาน พวกเด็กๆอยู่ยังไงล่ะ” เท่าที่ดูเวลางานก็ปาเข้าไปครึ่งคืนแล้ว กว่าจะกลับถึงห้อง ตีสองตีสาม เด็กๆอยู่กันตามลำพังมันอันตรายเหมือนกันนะ ห้องเช่าแบบนี้ ใครๆก็เข้าได้
“ผมจ้างเพื่อนข้างห้องที่ไม่ได้ทำงานให้ช่วยดูอ้นกับอุ้มน่ะครับ” อินทัชเล่า “ฝากให้เขาดูแลเรื่องข้าวเย็น แล้วก็ให้พวกตัวแสบเข้านอน ตอนเช้า ถ้าผมไปส่งน้องเข้าเรียนทันก็จะพาไปเอง แต่ถ้าวันไหนผมมีเรียนเช้าก็ต้องจ้างวินไปแทน”
“เหนื่อยหน่อยนะ” กนธีชูนิ้วโป้งให้กำลังใจพลางมองน้องน้อยสองคนที่ยืนออเรียงกัน นึกเอ็นดูเด็กๆ ทั้งที่ตัวแค่นี้ แต่ก็เก่ง เอาตัวรอดได้ ไม่มีซนหรืองอแงให้พี่ชายต้องหนักใจเลย
มีเสียงเรียกเข้าจากมือถือ เขาหยิบขึ้นมาดู เห็นว่าเจ้าไผ่โทรมาแต่แบตขึ้นสีแดง เหลือแค่สิบเปอร์เซ็นต์
“ว่าไงไผ่..” กนธีรับสาย “มือถือพี่แบตจะหมด ยังไงเดี๋ยวแกโทรเข้าเบอร์..” เขาหันไปถามอินทัชก่อนจะบอกเบอร์มือถือของอีกคนให้ พอพูดเสร็จ โทรศัพท์เขาก็ดับพอดี
รอไม่ถึงอึดใจ พสิษฐ์ก็โทรเข้าหาอินทัช เด็กหนุ่มเลยส่งมาให้คุยแล้วต้อนน้องๆที่ยืนหูผึ่ง เหมือนจะรอฟังให้ออกไปด้านนอก ดูเหมือนว่าอ้นกับอุ้มจะถูกใจกนธีเข้าให้แล้ว ขนาดพี่กุนต์อ้าปากหาว ไอ้แสบสองตัวยังมองตาไม่กะพริบด้วยความชื่นชมเลย
‘พี่กุนต์อยู่ไหน’ พสิษฐ์ถาม ‘หายไปทั้งคืนแบบนี้ หัดพกที่ชาร์จโทรศัพท์ติดตัวไว้บ้างได้ไหม ผมเป็นห่วงนะ’
“เอาน่า..ยังอยู่ดีมีสุขครบสามสิบสอง ไม่ตายง่ายๆหรอก พี่มันหนังเหนียว” กนธีเกาหัวแกรกๆ “ตอนนี้พี่อยู่บ้านของโอ๊ต ในซอยวัดตะพานน่ะ” เล่าแล้วก็รอฟังว่าเจ้าไผ่มันจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
‘แล้วไง เมื่อไรจะกลับ จะให้ผมไปรับหรือจะมาเอง’
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย น่าแปลกที่พสิษฐ์ไม่ซักไซ้ไล่เรียงเรื่องนี้เลย “แกมีธุระอะไรแถวดินแดงหรือเปล่า ถ้าไม่สะดวก ยังไงพี่เรียกแท็กซี่ก็ได้ แถบนี้รถมันติด กว่าจะไปกว่าจะกลับอีก”
‘ไม่มี แต่ไปรับได้’
“เออ..เมื่อเช้ามีใครโทรเข้าเบอร์ที่ห้องหรือเปล่า” ตอนไผ่โทรมา เขาเพิ่งสังเกตเห็นเบอร์ลูกค้า ถ้าวันนี้ไม่ได้นัดคนรู้จักไปดูคอนโดในแถบ MRT เขาก็คงจะยังไม่กลับตอนนี้หรอก
‘ผมยังไม่ได้เข้าไปเลย เดี๋ยวพี่กุนต์กลับไปก็เช็กเองแล้วกัน’
“อย่างนั้นหรือ” คนฟังหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด ‘ยังไม่ได้เข้าไป’ ก็แปลว่าไผ่มันไม่ได้มาจากคอนโดของเขา แล้วมันรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่อยู่ที่ห้องซ้ำยังหายไปทั้งคืน จู่ๆจะโทรมาโวยวายถามว่าเขาอยู่ไหน มันประหลาดเกินไป
“งั้นไม่เป็นไร พี่จัดการเอง”
‘โอเค..อีกยี่สิบนาทีเจอกัน’
กนธีพยักหน้ารับก่อนจะตัดสาย เขารู้แล้วว่าไผ่ไม่ได้มาจากบ้านของมันด้วย ถ้าจะเดินทางกลางเมืองภายในยี่สิบนาที รวมกับที่รถติด แปลว่ามันจะต้องอยู่ในรัศมีไม่ไกลนัก เรียกว่าอยู่ในแถบนี้ก็ยังได้ แต่มันก็ยังปฏิเสธว่าไม่มีธุระแถวดินแดงอยู่ดี
การที่ไผ่ไม่ได้ไปที่ห้องเขา แต่รู้ว่าเขาไม่ได้กลับไปนอนที่นั่น ซ้ำร้ายยังไม่มีทีท่าแปลกใจเลยด้วยที่เขามาปรากฏตัวที่บ้านเช่าของโอ๊ต ทำให้เขาตีความว่า มันรับรู้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ว่าเขามานอนค้างที่ไหน กับใคร
..Sealed with a kiss คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ..
“ไอ้เด็กเปรต” กนธีหัวเราะหึ ต่อให้เจ้าไผ่จะอายุมากแค่ไหน มันก็เป็นเด็กเมื่อวานซืนสำหรับเขาอยู่ดี
ชายหนุ่มเอามือถือมาคืนเจ้าของ เขาออกปากขอยืมเสื้อยืดกับกางเกงบอลขาสั้นที่ใส่อยู่ จากนั้นก็ขอตะกร้าสำหรับใส่แมวทั้งห้าตัว เขาจะวานพสิษฐ์เอาไปส่งให้ที่บ้านใหญ่ของเขาก่อน เย็นนี้ค่อยแวะไปดูมัน
“ถ้าไม่สะดวกยังไง พี่รีบบอกผมนะครับ ผมจะลองหาบ้านให้พวกมันดู” อินทัชกำชับ
“บ้านพี่นี่สะดวกที่สุดแล้วแหละโอ๊ต รับรองว่ามีข้าวให้กิน มีบ้านให้นอน มีทีวีให้ดู วันไหนถูกหวยจะเลี้ยงแซลมอนด้วย”
อ้นกับอุ้มหัวเราะชอบใจ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าแซลมอนรสชาติอย่างไรก็ตาม
กนธีหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา เขาหยิบแบงค์พันขึ้นมาสองใบ มองหน้าเด็กหนุ่มที่ยืนตรงหน้าตน
“อย่าหาว่าพี่เสียมารยาทเลยนะ แต่มาใช้เตียง ใช้น้ำใช้ไฟ มากินของฟรี พี่ขอชดใช้ค่าเสียหายหน่อยเถอะ”
อินทัชขมวดคิ้ว เขาไม่ยอมรับเงินสองพันจากอีกฝ่าย “ไม่ต้องหรอกครับ นี่ไม่ใช่เวลางานของผม”
“อย่างน้อยๆ ก็เก็บไว้เป็นค่าขนมของน้องๆ”
น้องอุ้มเอื้อมมือเหมือนจะหยิบ แต่อินทัชคว้าแขนไว้ก่อน
“ขอบคุณพี่กุนต์มาก แต่อย่าเลยครับ ผมไม่อยากให้น้องผมเคยนิสัย คนเราอดจนชิน ยังดีกว่ากินจนเคย เงินสองพันบาทไม่ได้หากันได้ง่ายๆ เขาต้องรู้จักความลำบากมากกว่านี้ ถึงจะมีสิทธิ์จับเงินเป็นพัน”
กนธีนิ่งงัน บางทีเขาก็ตามความย้อนแย้งในตัวเองของอินทัชไม่ทัน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธ ยืนยันว่าไม่รับเงิน เขาก็จะไม่ฝืนบังคับ มันก็จริงอย่างที่โอ๊ตบอก เด็กๆต้องรู้จักคุณค่าของเงิน ต้องรู้ว่ามันไม่ได้หยิบยื่นให้กันแบบง่ายๆ ถ้านี่คือวิธีเลี้ยงดูของหมอนี่ เขาก็จะไม่แย้งอะไร
มีสายโทรเข้าอีกครั้ง เป็นพสิษฐ์ที่โทรมาเรียกให้เขาออกไปยืนรอหน้าปากซอยได้แล้ว เพราะซอยนี้เข้ามาลำบาก สองข้างทางขายของกันเยอะ เรียกได้ว่าแทบจะต้องแหวกตลาดเข้ามากันเลย
“ไว้เจอกันนะครับ” กนธียิ้ม เอาตะกร้าใส่แมวที่เด็กๆไปหามาให้ขึ้นอุ้ม เจ้าแกงส้มนอนขดตัว มีลูกอีกสี่ตัวนอนซุกอก หลับปุ๋ยอย่างไม่งอแงอะไรเลย “ไปก่อนนะโอ๊ต ขอบคุณมากที่ช่วยเหลือ”
“ไม่เป็นไรครับ” อินทัชเดินลงไปส่งด้านล่าง “ออกไปตามซอยนี้นะครับ เดินผ่านตลาดไปเรื่อยๆจนออกถนนใหญ่นะ ถ้ายังงง เดี๋ยวผมให้อ้นไปส่ง”
“ไม่เป็นไรๆ พี่ไม่หลงหรอก มีปากก็ถามคนเขาได้” คนเป็นผู้ใหญ่กว่าตะเบ๊ะ “ไปแล้วครับ ไว้เจอกัน”
พวกเด็กทั้งสามคนโบกมือให้ กนธียิ้มรับ เดินอุ้มแมวห้าตัวไปยังจุดที่นัดเจอญาติผู้น้อง
พสิษฐ์จอดรอหน้าปากซอย เบนซ์คาบริโอเลตสีดำแทบจะขวางทางมิด เขาเปิดไฟกะพริบเป็นการบอก
“ไผ่..” กนธีเคาะกระจก น้องมันเลยปลดล็อคให้ เขาเอาแมวไปไว้เบาะหลังแล้วขึ้นไปนั่งคู่มันด้านหน้า
พสิษฐ์หันมอง “แมวใครน่ะ”
“เขาฝากเลี้ยง ไม่งั้นมันถูกเอาไปปล่อยวัดแน่ พี่เลยว่าจะฝากแกเอาไปไว้บ้านใหญ่หน่อย”
“อืม..วันนี้ไม่มีธุระที่ไหน จะไปให้แล้วกัน” เขาออกรถ ตรงดิ่งไปยังคอนโดของพี่ชาย
“แกจะไม่ถามหน่อยหรือว่าทำไมพี่ถึงไปนอนบ้านโอ๊ตมา” กนธีหันมองน้อง ยกยิ้มมุมปาก
พสิษฐ์นิ่งไปครู่ “เออ..แล้วไปทำไม”
“จริงๆแกน่าจะรู้เหตุผลอยู่แล้วนี่”
คนฟังมุ่นหัวคิ้ว
“แกจ้างโอ๊ตด้วยเงินเท่าไรกัน..ไผ่”
พสิษฐ์ถึงกับอึ้ง ไม่ทันได้โต้ตอบจนกนธีจับทางได้ถูกต้อง
“Sealed with a kiss ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” เขายิ้ม “My love is gone from me ก็ด้วย มันไม่ประจวบเหมาะกันขนาดนั้นหรอก..จริงไหม”
“พี่กุนต์..” เขาแทบจะขับรถไม่ตรงทาง
“แกต้องเตรียมคุยกับโอ๊ตเรื่องของศรัณย์อยู่นานแค่ไหนนี่..แล้วหมอบีของแกคนนั้น มีส่วนด้วยหรือเปล่า”
พสิษฐ์เงียบ โต้ไม่ถูก “ผม..”
“เฮ้ย..ไม่ต้องทำท่าอึ้งขนาดนั้น พี่ไม่ได้ต่อว่า” กนธีส่ายหัวระอาพลางยิ้มจาง “ขอบคุณในความหวังดีของแกกับทุกคนนะ..พี่ซึ้งใจจริงๆ นี่ลงทุนขนาดมาแกร่วแถวบ้านของโอ๊ตก่อนเวลาด้วยสินะ”
เขาถอนหายใจ หลอกอะไรพี่กุนต์นี่มันช่างยากเย็นจริงๆ ถูกจับทางได้หมด อันที่จริง..อยากบอกว่าเขาขับรถมาส่งอินทัชที่บ้านนี้เอง เขาถึงได้รู้ว่าบ้านเช่าเจ้านั่นอยู่ในตรอกซอกซอยไหน
“ไม่มีอะไรจะสารภาพแล้ว..พี่กุนต์รู้เองหมดแล้ว ยังไงผมก็ต้องขอโทษพี่ด้วยที่ทำอะไรลงไปโดยพลการ” ช่วงที่รถติด คนเป็นน้องหันมา มองลึกลงในดวงตาของพี่ชาย “ถึงเรื่องทั้งหมดพวกเราจะคุยกันไว้แล้วก็ตกลงจ้างอินทัชเอง แต่ผมอยากบอกพี่ว่า เด็กคนนั้นเป็นคนดีคนหนึ่งเลยนะ”
“ยังไง”
“เขาไม่ยอมรับเงินสักบาท เขาบอกว่าอยากช่วยพี่” พสิษฐ์เล่า “ทำเอาผมละอายขึ้นมาเลยแหละที่เคยนึกไม่ดีกับเขาไว้”
กนธีเงียบกริบ “เอาเถอะ..” เขาตบบ่ากว้าง “ขอบคุณนะไผ่ที่คิดถึงความรู้สึกของพี่มาโดยตลอด พี่เอง ถ้ารู้จักเล่าให้แกฟังตั้งแต่แรก แกก็คงไม่ต้องมาห่วงถึงขนาดนี้ แต่ทำยังไงได้ พี่ยังอยากให้แกมองพี่ในรูปที่ดีที่สุดต่อไป..ไม่ใช่คนบ้าบอที่ไม่มีวุฒิภาวะ แล้วก็เอาแต่ใจสุดๆคนนั้น”
พสิษฐ์ยิ้มบาง “ต่อจากนี้ มีอะไรก็สัญญากับผมได้ไหม อย่ากลัวที่จะเล่า..พี่ก็รู้ ผมไม่เคยตัดสินพี่”
กนธีพยักหน้า “สัญญา..” เขายอมตกลง “หลังจากนี้คงจะต้องพึ่งแกหลายอย่าง..รวมทั้งหมอบีด้วย”
เขาคิดว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว ควรจะลองคุยกับเพื่อนของเจ้าไผ่ต่อไป เพื่อที่ว่าปลายเท้าที่ติดหล่ม จะได้ก้าวพ้นจากโคลนของความรู้สึก และก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมีความสุข
..เป็นกำลังใจให้พี่ด้วยนะ..ศรัณย์..
...........................................................................................
เขียนไปหลับไป คร่อก.....